ยินดีต้อนรับสู่บ้านอบอุ่นของคนรัก บอย สพล ชนวีร์

::: MAGAZINE ONLINE SERIES ZONE :::ห้องหนังสือ วรรณกรรม ละคร => ห้องธรรมะ เทวศาสตร์ => ข้อความที่เริ่มโดย: นานะจัง ที่ มิถุนายน 16, 2012, 07:43:50 PM

หัวข้อ: นรกอเวจีกับนรกโลกันต์ อันไหนร้ายแรงกว่ากัน
เริ่มหัวข้อโดย: นานะจัง ที่ มิถุนายน 16, 2012, 07:43:50 PM
นรกอเวจีกับนรกโลกันต์ อันไหนร้ายแรงกว่ากัน

hare krisna :  เคยได้ยินว่านรกอเวจีร้ายที่สุด ต้องโดนเผาไหม้และหอกทิ่มแทงตลอดเวลา ไม่มีหยุด แต่ทำไมนรกโลกันต์ถึงขุมลึกกว่า
โดยนรกอเวจีอยู่ขุม 8 แต่นรกโลกันต์อยู่ขุม 9
และเวลารับโทษในนรกโลกันต์ก็ยาวนานกว่า โดยนรกอเวจีคือ 1 อันตรกัป แต่นรกโลกันต์นี่ 1 พุทธันดร

จึงสงสัยว่าที่ไหนร้ายแรงกว่ากันค่ะ

โพธิ์แก้ว : ตามที่จำได้(อาจจะมีผิดพลาดนะครับ)

โลกันต์มหานรก เป็นแดนที่รับโทษร้ายแรงกว่าครับ

แต่เป็นนรกที่ลงโทษสัตว์นรกด้วยความเย็น ความมืดมิด และความหิวโหยอย่างยิ่ง

ที่ตั้งของโลกันตนรกนี้ อยู่ระหว่างมุมของจักรวาลที่ชนกัน ต่างกับนรกอื่นๆที่จะอยู่ในจักรวาลนั้นๆ(จึงไม่ได้ถือว่าอยู่ลึกกว่านะครับ......แต่อยู่ต่างหากเอกเทศออกไปอีก)
ทั้งนี้ก็เพราะระยะเวลาในการรับโทษในขุมนี้นานมาก อาจจะนานกว่าอายุขัยของจักรวาลนั้น
ดังนั้นนรกขุมนี้จึงตั้งอยู่นอกขอบจักรวาล ตรงบริเวณที่จักรวาลชนกันพอดีครับ

โดยนรกขุมนี้ มีระยะเวลารับโทษที่ยาวนานมาก อุุปมาเวลาได้เท่ากับการที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาถึงหนึ่งพันพระองค์ครับ (ในกรณีที่ต้องรับโทษแบบเต็มเวลานะครับ)


ติดบ่วง : แล้วโลกันต์มหานรก โทษทัณฑ์จากการทำกรรมอะไรครับ ใช่ขุมเดียวกับพระเทวทัตไหมครับ ผมคนโง่ไม่ค่อยมีความรู้อ่ะครับ อยากทราบจริงๆครับแล้วเว็บไหนมีภาพตัวอย่างให้ดูมั่งครับ


ศนิวาร  : โลกกันตนรก

นิรยภูมิ หรือโลกนรกนี้ นอกจากจะมีมหานรก อุสสุทนรก และยมโลกนรกดังกล่าวมาแล้ว ยังมีนรกขุมพิเศษอีกขุมหนึ่งซึ่งมีนามว่า โลกันตนรก อันว่าโลกันตนรกนี้เป็นขุมยิ่งใหญ่ แปละประหลาดกว่าบรรดาขุมนรกทั้งหลายเพราะอยู่ภายนอกจักรวาล สถานที่ตั้งของโลกันตนรกนี้อยู่ในจักรวาล ๓ โลก ถ้าจะเปรียบให้เห็นเป็นมโนภาพก็เหมือนกับเอาดอกปทุมชาติ ๓ ดอกมาตั้งชิดติดกัน ก็จะเกิดมีช่องว่างขึ้นในตอนกลางจักรวาล ต่าง ๆ ก็ตั้งชิดติดกันเช่นกับดอกปทุมชาติ ๓ ดอกนั้น ตรงช่องว่างเว้นอยู่ในระหว่าง ๓ โลกจักรวาลนั้นเอง เป็นสถานที่ตั้งแห่งนรกขุมพิเศษนี้ เพราะฉะนั้น นรกขุมพิเศษนี้จึงมีชื่อว่า โลกันตนรก = นรกขุมนี้พิเศษอันอยู่สุดโลกจักรวาล





ก็ในโลกันตนรกนี้ มีสถาพมืดมนเป็นยิ่งนัก แสงดาวแสงเดือนและแสงตะวันส่องไปไม่ถึง เป็นสถานที่อันมืดมนนอนธการ สามารถที่จักห้ามเสียซึ่งความบังเกิดขึ้นแห่งจักษุวิญญาณ เปรียบปานเช่นกับคนหลับตาในคราวเดือนดับข้างแรมฉะนั้น สัตว์ที่ไปอุบัติเกิดในโลกันนรกนี้ ย่อมมีสภาพแปลกประหลาดพิลึก คือ มีสรีระร่างกายโตใหญ่เป็นยิ่งนัก ประกอบไปด้วยเล็บมือและเล็บเท้ายาวเหลือประมาณ ต้องใช้เล็บมือและเท้าเกาะอยู่ตามเชิงเขาจักรวาลห้อยโหนโยนตัว โดยเอาหัวปักลงมาข้างล้างชั่วนิรันดร์ เปรียบปานดังค้างคาวห้อยหัวอยู่บนกิ่งไม้ในมนุษย์โลกที่เราเห็นนี้ฉะนั้น ครั้นเขาได้ประสบการณ์อันแสนจะทรมานด้วยความมืดมากเช่นนี้ เขาก็ได้เแต่รำพึงรำพันอยู่ในใจว่า






“ อโห ! กรรม ...อโห กรรม....ทำไมตูจึงเป็นอย่างนี้ และ ทำไมตูจึงมาอยู่ที่นี่ ชะรอยที่นี่จักมีแต่เพียงตูเพียงผู้เดียวกระมังหนา” เขาไม่ได้อยู่แต่เพียงผู้เดียวดอก มีอยู่มากมายที่สัตว์บุคคลทั้งหลายตายแล้วไปเกิดที่มันมืดแสนมืด มองไม่เห็นเพื่อนสัตว์นรกโลกันตนรกด้วยกัน และมองไม่เห็นอะไรเลยนั้นเอง ตลอดเวลาเหล่าสัตว์นรกโลกันตนรกไม่ต้องทำอะไร มีแต่จะห้อยโหนโยนตัวเปะปะด้วยความหิวโหยอย่างเหลือประมาณ ครั้นปีนป่ายตะกายไปถูกต้องตีนมือแห่งกันและกันเข้าแล้ว ก็สำคัญว่าตนมีชะตาผ่องแผ่วโชคดีเจออาหารซึ่งปรารถนาอยากจะกินมานาน จึงต่างก็ดีเนื้อดีใจ มิกิริยาขวนขวายไขว่คว้าฉวยจับกันและกัน โดยต่างตนต่างก็จะตะครุบกันกินเป็นอาหาร




ต่างก็ปล้ำฟัดกันเพื่อจะจับกินเป็นภักษาหารอยู่อย่างนี้ ในไม่ช้าก็เผลอปล่อยมือและเท้าที่ใช้เกาะเชิงชายภูเขาจักรวาลนั้นเลยกันดำดิ่งนรกพลัดตกลงไปเบื้องล้าง โดยลักษณะการมีหัวปักดินลงมาและมีตีนชีฟ้า ลอยละลิ้วลงมาอย่างน่าหวาดเสียว สถานที่เบื้องล่างที่เขาพากันพลัดตกลงมานั้นมันไม่ใช่เป็นพื้นที่ธรรมดาโดยที่แท้เป็นทะเลนำกรดอันเย็นยะเยือก ซึ่งมีความเย็นอย่างร้ายกาจยิ่งนักครั้นเขากอดคอกันพลัดตกลมา พอถึงพื้นน้ำกรดนั้นแล้ว บัดเดี๋ยวใจตัวตนร่างกายของเขาก็เปื่อยพังแหลกลาญลงอย่างไม่มีชิ้นดี ทั้งนี้ก็เพราะว่าถูกน้ำกรดนรกอันมีความเย็นอย่างร้ายกาจนั้นกัดเอาร่างกายอันใหญ่โตและเหม็นสาบเหม็นสางน่าเกลียดน่าชังของเขา ถึงความเหลวแหลกละลายเพราะฤทธิ์น้ำกรดไปอย่างรวดเร็วประดุจดังก้อนอุจจาระที่ตกไปในน้ำ ครั้นแล้วด้วยอำนาจกรรมบันดาล เขาก็กลายเป็นสัตว์ประหลาดมหัศจรรย์กลับเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาอย่างเก่า ให้รู้สึกหนาวเย็นและเจ็บปวดอย่างลึกเป็นกำลัง จึงรีบตะเกียกตะกายปีนป่ายขึ้นมาเกาะเชิงเขาจักรวาลด้วยความลำบากยากเย็น แล้วก็ห้อยโหนโยนตัวแสวงหาอาหารด้วยความหิวโหยต่อไปอีกตามเดิม







ครั้นตะกายไปพบปะกันเข้า ก็ตั้งหน้าตั้งตาแต่จะตะครุบกันกินด้วยความสำคัญผิดคิดว่าเป็นภักษาหาร แล้วก็กอดคอพากันพลัดตกลงไปในทะเลน้ำกรดเย็นจนถึงแก่ความตาย และแล้วก็กลับเป็นขึ้นมามาตามเดิมอีก พวกเขาเฝ้าเวียนตายเวียนเกิดด้วยความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสอยู่เช่นนี้ไม่มีวันสิ้นสุด โน่นแหละชั่วพุทธันดรหนึ่งนั้นแล จึงจะพ้นทุกข์โทษไปจากขุมนรกโลกันต์นี้ ปรากฏมีปัญหาสอดแทรกเข้ามาว่า ได้เคยก่อกรรมทำเข็ญอะไรไว้เล่าจึงต้องมาเป็นสัตว์นรกเหมือนนกค้างคาว เกาะเชิงเขาจักรวาล ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสสากรรจ์ในโลกนตนรกนี้? ” ผีนรกเหล่าโลกันต์นี้ ได้เคยประกอบอกุศลกรรมอันร้ายกาจและหยาบช้าลามกนัก คือ เมื่อครั้งที่เขาเป็นมนุษย์ได้เคยทำการประทุษร้ายทรมานบิดามารดาผู้ให้กำเนิดตน เพราะเหตุที่เป็นคนปราศจากกตัญญูกตเวทีมีตามืดบอดมองไม่เห็นคุณท่านแม้แต่นิดหนึ่ง เมื่อเกิดความไม่พอใจขึ้นมาก็ทุบตีเตะถีบและด่าทอเอาตามอัธยาศัย อีกประการหนึ่งนั้นไซร้ได้เคยประกอบกรรมอันชั่วหนักไว้ คือ ประทุษร้ายพิฆาตท่านผู้ทรงศีลทรงธรรมไม่นำพาต่อบาปบุญคุณโทษคล้ายกับเป็นคนวิกลจริตเป็นบ้า ทั้ง ๆ ที่ตนก็เป็นมนุษย์มีรูปทรงสุดสง่าดีกว่าหมูหมาเป็ดไก่ซึ่งเป็นสัตว์เดียรัจฉานมากมายนัก




แม้มีใจรักในการทำบาป จึงก้มหน้าทำแต่บาปทุก ๆ วัน เช่นกระทำปาณาติบาตหรือทินนาทาน ก็ทำมันทุกวันไป ครั้นแตกกายทำลายขันธ์แล้ว อำนาจอกุศลกรรมอันหนักและแกร่งกล้าเช่นนั้น จึงพลันให้วิบากชักนำให้ลงมาเกิดในโลกันตนรกนี้ ซึ่งมีสภาพมืดบอดนอนธการอยู่เป็นนิตย์ ต่อเมื่อใดองค์สมเด็จพระพิชิตมารสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาอุบัติในโลกเรานี้แล้ว เมื่อนั้นโลกันตนรกนี้ จึงมีโอกาศปรากฏเป็นแสงสว่างขึ้นนิดหนึ่งชั่วฟ้าแลบ หรือชั่วระยะมาตรว่าสักลัดนิ้วมือเดียวเท่านั้น ตามที่พรรณนามานี้แล้ว คือสภาพแห่งนรก โลกันตนิรยภูมิ


เพชร์ : ที่พระเทวทัตไม่ลงโลกันต์เพราะว่าในวาระสุดท้ายของชีวิตเกิดสำนึกผิดครับ รอดไปได้อย่างหวุดหวิด นรกขุมนี้รับผู้ที่ไม่กตัญญูรู้คุณคน ตายไปก็ยังไม่สำนึกถึงความชั่วที่ทำเอาไว้

นรกขุมนี้มีระยะเวลาการลงโทษที่ยาวนาน(พระพุทธเจ้าลงมาตรัสหนึ่งพันพระองค์) เมื่อพ้นจากนรกขุมนี้จะไปต่อที่อเวจีมหานรกทันทีครับ

นรกทุกขุมไม่มีการผ่อนเบาโทษเลยสักวินาทีหนึ่ง ยกเว้นแต่มีพระอรหันต์ผู้ปฏิสัมภิทาญาณลงมาโปรดเท่านั้น ซึ่งก็เป็นระยะเวลาสั้นเท่านั้


ถิ่นธรรม : อเวจีแปลว่า ปราศจากคลื่น คือเจ็บปวดแบบไม่มีช่องว่างแม้แต่อนุวินาทีเดียว เป็นนรกที่ร้อนสุดๆ ตรงข้ามกับโลกันตร์ที่เย็นสุดๆ
สัตว์ที่จะลงอเวจีนี่ต้องประกอบอนันตริยกรรมหรือทำครุกรรมหรือบาปหนักๆมามาก แต่สัตว์ที่จะลงโลกันตร์นี่ต้องประกอบด้วยโมหะหนาแน่นแล้วประกอบกรรมชั่ว เช่นพวกที่สั่งสอนว่าพ่อแม่ไม่มีคุณ ฆ่าพระได้ไปสวรรค์ อเวจียังมีพ้นโทษ แต่โลกันตร์ไม่มีกำหนดโทษที่แน่นอน อยู่ยาวแบบนับกัปไม่ถ้วนก็ได้

credit : http://board.palungjit.com/f124/%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C-%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99-337358.html