ยินดีต้อนรับสู่บ้านอบอุ่นของคนรัก บอย สพล ชนวีร์
:::FICTION ZONE :::นวนิยาย มุมนักเขียน => มุมนักเขียน => ข้อความที่เริ่มโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 26, 2015, 11:38:38 PM
-
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเกราะกายสิทธิ์กับสังวาลย์มณีมาอยู่ในเรื่องเดียวกัน ........
-
ก่อนอื่นก็ขอฝากเรื่องนี้ด้วยนะคะ เป็นนักแต่งมือใหม่แฮะๆ ถ้ามีการใช้ภาษาผิดก็ขออภัยด้วยนะคะ มีอะไรแนะนำติเตียนได้คะ
แนะนำตัวละครหลัก
ฝั่งเกราะกายสิทธิ์= สุริยะ/ จันทราภา/ อังคาส/พุทธรัตน์/ภูมินทร์/ประกายพฤกษ์/ ศนิวาร
ฝั่งสังวาลย์มณี=แสงสุรีย์/จันทลักษณ์/ปัทมาสน์/เพชรราหู/จินดา/ศุภลักษณ์/เมธาวี
ตัวร้าย= เทพวิษุวัติ/ อัคนิน/บดิศร/ฉันทนา/ ลีลาวดี
และที่แน่ๆขาดไม่ได้เลยก็คือ ตุ้บเท่งกับจั๊กกะแหล่น
เนื้อเรื่องจะเป็นเช่นไรนั้นต้องติดตาม!!
-
ณ เมืองรัตนบุรี พระมเหสีฝ่ายขวาได้ประสูติกาพระโอรสซึ่งใช้เวลานานถึง7วัน7คืน ตลอด7 วัน7คืนนี้ได้เกิดเหตุฝนตกหนักมรสุมโหมกระหน่ำเมืองรัตนบุรี ทำความเสียหายเป็นอย่างมาก แต่ที่น่าตกใจนั่นก็คือพระโอรสที่ออกมานั่นพระหัตถ์หงิกงอพรโอษฐ์บิดเบี้ยวน่าเวทนายิ่ง พระราชาก็ทรงกริ้วเป็นอย่างมากแต่โหราได้ห้ามไว้พร้อมบอกว่าในกาลอันหน้าพระโอรสจะทำคุณยิ่งใหญ่ให้แก่เมืองอย่างแน่แท้จึงไม่ไดัทำโทษอันใด. จนเวลาผ่านไป 9 ปี พระโอรสได้เจริญพระชันษาขึ้น ก็ยิ่งน่าเวทนาจะไปไหนมาไหนก็ลำบากซ้ำยังไม่มีพระสหายสักคนเดียว แล้ววันไหนโชคร้ายก็จะมีพระโอรสนามว่า"บดิศร" มากลั่นแกล้งสารพัด วันนี้ก็คงโชคร้ายอีกเช่นกัน
"ไอ้ง่อยอยู่ที่ไหนออกมาเดี๋ยวนี้นะ"
"มีอะไรกับเราอีกบดิศร " พระโอรสพูดด้วยความยากลำบาก
" เจ้ามันเป็นไอ้ง่อยที่น่าแกลังที่สุดในชีวิตข้า ฮะๆฮ่า" พระโอรสบดิสรได้ผลักพระโอรสคนโตจนล้มลงแล้วเอาเท้าเหยียบที่กลางอก
"เจ้าจะทำอะไรลูกเรา" พระมเหสีสไบทองเข้ามา รีบตรงไปที่พระโอรส
" ทำไมเจ้าต้องรังแกลูกของเราด้วย ลูกเราผิดอะไร"ทรงเข้ากอดพระโอรสที่กำลังร้องด้วยความเจ็บปวด
" พระมเหสีไสบทองก็น่าจะรู้ดีนะเพคะว่าพระโอรสทรงเป็นอย่างไร ตั้งแต่ประสูติจนบัดนี้บ้านเมืองแห้งแล้งไปหมดไม่ใช่หรอกหรือเพคะ" พระมเหสีสไบแก้วพระมารดาของพระโอรสบดิสรเดินเข้ามาพูด
"สไบแก้วทำไมเจ้าว่าหลานแบบนี้ได้"
" ก็คือความจริงนี่เพคะ ออกไปกันเถอะบดิศรแม่ว่าอยู่ที่นี่นานๆจะติดอะไรที่ไม่ดีไปก็ได้นะ"
" พระเจ้าค่ะเสด็จแม่" ทั้งสองพระองค์ทรงจากไปพร้อมทิ้งคำเสียดสีไว้ในใจของพระโอรส
-
พระราชาเกิดระแหงแคลงใจว่าจนป่านนี้แล้วเหตุุใดปัญหาบ้านเมืองแห้งแล้งจึงมีมายาวนานเช่นนี้ จึงได้เรียกโหรมาเข้าเฝ้าเพื่อไต่ถามและทำนายดวงชะตา
" ท่านโหรจนป่านนี้แล้ว บ้านเมืองยังแห้งแล้งอยู่เพราะเหตุใดกัน ดวงชะตาบ้านเมืองเป็นอย่างไรทำไมถึงโชคร้ายเช่นนี้"
" เหตุนี้เป็นความผิดพลาดของโหรคนก่อนพระเจ้าค่ะ"
" ผิดพลาดอะไร"
"ที่ทำนายว่าพระโอรสจะทำคุณอันยิ่งใหญ่แก่บ้านเมือง แต่จึงๆแล้วดวงชะตาของพระโอรสนี่เองพระเจ้าค่ะที่ทำให้บ้านเมืองเป็นเช่นนี้"
" เป็นความจริงหรือ"
" จริงแท้แน่นอนพะยะค่ะ"
"เจ้าทั้งสองออกไปจากนอกเมือง อย่าได้กลับมาอีก" ทรงมองมายังพระมเหสีสไบทองและพระโอรส
" องค์เหนือหัวเพคะ สุริยะไม่ได้ทำอะไรผิดนะเพคะ ทรงไตร่ตรองอีกทีด้วยเพคะ"
" เราไตร่ตรองดีแล้วไปเถอะ"
"เสด็จพ่อพะยะค่ะ"พระโอรสพูดด้วยความยากลำบากในน้ำเสียงมีปนสะอื้น
" ข้าบอกให้พวกเจ้าไปก็ไปสิ!!!!!!"
"องค์เหนือหัว"
" ทหารเอาสองคนนี้ออกไปอย่าให้ข้าหน้าอีก!!!!"
"พระเจ้าค่ะ" ทหารรับคำสั่งเอาทั้งสองพระองค์ออกจากนอกวังไป
-
พระมเหสีสไบแก้วได้สั่งให้อำมาตย์ตามไปสังหารทั้งสองพระองค์ในป่า ได้เกิดการไล่ล่ากันจนสุริยะไปต่อไม่ไหวได้ล้มลงไปแล้วอำมาตย์ทั้ง2ก็ตามมาทัน
" พวกท่านอย่าทำอะไรเรากับลูกเลย ปล่อยเรากับลูกไปเถอะนะ"สไบทองอ้อนวอนขอร้องอำมาตย์ทั้งสอง
" ถ้าไม่ทำข้าก็หัวขาดหละสิ " อำมาตยง้างดาบขึ้นจะฟัน จากนั้นเองก็มีตัวประหลาดมากระโดดถีบอำมาตย์ทั้งสองเข้าอย่างจัง แล้วก็ได้พาทั้งสองพระองค์เข้ามาในถ้ำ
"พวกเจ้าไม่เป็นอะไรแล้วนะ" ตัวประหลาดท่าทางเหมือนเป็นหัวหน้าพูดขึ้น
" พวกท่านเป็นใครกัน" สไบทองถามด้วยความตื่นตระหนกตกใจ
"พวกข้าคือราชสีห์ ข้าอยู่มาหลายปีเพื่อรอพวกเจ้า "
" ราชสีห์หรือ แล้วพวกท่านรอพวกเราทำไมกัน"
" ข้าก็จะให้สิ่งวิเศษสิ่งหนึ่งแก่ลูกเจ้า มันคือกำหนดของฟ้าดิน. " จากนั้นก็ไปนำของวิเศษออกมา
" สิ่งนี้คือเกราะกายสิทธิ์"
" เกราะกายสิทธิ์!!"
" ให้ลูกเจ้าสวมสิ" จากนั้นสไบทองก็ได้นำเกราะมาสวมให้สุริยะก็ได้เกิดอัศจรรย์ สุริยะไม่มีรูปร่างพิการเข็ญใจกลายเป็นเด็กที่มีสง่าราศีน่าเกรงขาม
"เสด็จแม่"
" สุริยะ ลูกแม่ เจ้าไม่เป็นเหมือนก่อนแล้ว" สไบเข้ากอดลูกด้วยด้วยความปลื้มปิติ
" เจ้าจะไม่ได้มีลูกคนเดียวแล้วเจ้าจะมีลูก7คนหมุนเวียนพลัดเปลี่ยนกันไป อ้อพวกเจ้าควรไปที่ที่ดีกว่านี้เถอะ"
" ขอบคุณท่านราชสีห์"
"ขอบคุณท่านลุงราชสีห์"
"พ่อ ข้าขอไปกับเกราะกายสิทธิ์นะ"
"ไม่ได้"
"ทำไมจะไม่ได้เกราะนี่เป็นของเรานะ"
"เจ้าไปก็มีแต่ปัญหา พวกเจ้าไปเถอะนะ"
"ขอลาท่านราชสีห์"
" ขอลาท่านลุงราชสีห์"
"โชคดี'. ทั้งสองเดินทางในป่าดงพรงไพรกันต่อเพื่อไปพึ่งบารมีท้าวทิศพล. จนถึงเวลารุ่งขึ้นเป็นอีกวันปรากฎเด็กน่าตาน่ารัก
"ลูกมีนามว่าจันทราภาเพคะ"
"นามของเจ้าเพราะจริงๆเลยนะ"สไบทองยิ้มแล้วลูบหัวลูกด้วยความรักและเอ็นดู ในขณะที่เดินทางไปก็เจอสิ่งหนึ่งกระโดดตัดหน้าเข้า
-
"จ๊ะเอ๋ แฮ่!!" ปรากฏร่างอันคุ้นเคยขึ้น
" เจ้ามาได้ยังไงกันพ่อเจ้าไม่ให้มาไม่ใช่เหรอ"
"พ่อข้าไม่ให้มา ข้าก็หนีมาได้ ที่สำคัญเกราะนี่ก็เป็นของข้าด้วย"
"เกราะนี่เป็นของลูกเรา ฟ้าดินก็กำหนดมาให้ เจ้าไม่มีสิทธิ์"
"เจ้านี่ ฮื่อ!!" ง้างมือขึ้น
"อย่าทำอะไรเสด็จแม่นะ!!!"
" คิดว่าเจ้าเก่งนักหรือไงกัน"
"เก่งไม่เก่งเราไม่รู้แต่ทำร้ายเสด็จแม่เราไม่ยอม"
"ฮ่าๆฮะฮ่ะ อะอะไรเนี่ย" แล้วก็เกิดแผ่นดินก็เกิดสั่นไหว จนภูเขาเริ่มทลายลงมา
"เกิดอะไรขึ้น"
"รีบหนีก่อนเถอะเพคะ"จันทราภาพาสไบทองหนีเหล่าภูเขาที่ถล่มถลายพังลงมา
"ช่วยข้าด้วย!!!" ตุ๊บเท่งขอความช่วยเหลือหลังจากโดนหินและก้อนดินทับร่างไว้ จากนั้นจันทราภาก็ได้เข้าไปช่วยจนออกมาได้ แต่แล้วก็เจอกับหิ่วห้อยยักษ์ตาสีแดงก่ำออกมา
" หนีเร็ว!!!!" ทั้งสามได้วิ่งหนีจนสไบทองล้มลงไปต่อไม่ไหว
" เสด็จแม่"
" จันทราภาหนีไป อย่าห่วงแม่"
" ไม่เพคะ" จนกระทั่งหิ่งห้อยตามมาทัน
"เราจะไม่ยอมให้เจ้าตามล่าเราอีกแล้ว"จันทราภาลุกขึ้นประจันหน้ากับหิ่งห้อยยักษ์ ทันใดนั้นก็เกิดแสงสีบุษราคัมประกายออกมาสาดส่องหิ่งห้อยยักษ์ จนตกลงมานอนกับพื้น จันทราภาเข้ามาดูและลูบที่ตัวหิ่งห้อย
"จันทราภาระวังนะ"
"เพคะ"
"โอย~" มีเสียงดังขึ้นมาจากหิ่งห้อย
"เป็นอะไรไหม"
" นี่เราเป็นอะไรไปนี่"
"หน๋อยๆ เจ้าอย่ามาทำไขสือหน่อยเลย เจ้าจะฆ่าพวกเราอยู่ทนโธ่"
"เกราะกายสิทธิ์สุดท้ายก็เจอแล้วผู้สวมใส่เกราะกายสิทธิ์"
" มีอะไรเหรอ"
" ขอติดตามพระธิดาด้วยได้ไหมพระเจ้าค่ะ"
" เจ้ารู้ด้วยเหรอว่าลูกเราเป็นใคร"
" รู้พระเจ้าค่ะพระมเหสีสไบทอง"
" ขอเรียกพี่หิ่งห้อยได้ไหมจ๊ะ"
"ได้อยู่แล้วพระเจ้าค่ะ"
" นี่ก็เย็นแล้ว เราไปหาที่พักกันดีกว่า"
"เพคะเสด็จแม่"
" หิ่งห้อยจะพาไปพระเจ้าค่ะ" เมื่อถึงที่พักก็ไต่ถามว่าเหตุใดถึงเป็นหิ่งห้อยร้ายไปได้ หิ่งห้อยก็ได้เล่าให้ฟัง จนถึงยามกลางคืนทุกคนก็หลับกันหมด
-
ในวันรุ่งขึ้นทั้งสองพระองค์และหิ่งห้อยยักษ์ยังหลับอยู่ ตุ้บเท่งก็ได้ตื่นก่อนแล้ว
"เกราะกายสิทธิ์ถ้าขืนยังอยู่กับมันข้าก็ไม่ได้ครอบครองกันพอดี ตอนนี้หละ" ตุ้บเท่งได้ลอบเข้าจับเกราะกายสิทธิ์กำลังจะดึงออกก็มีมือมาจับที่มือของตุ้บเท่ง แล้วก็จับมือของตุ้บเท่งไปตีหน้าเข้าอย่างจัง
"เจ้า กล้าดียังไงขโมยเกราะกายสิทธิ์!!!!"
" เกิดอะไรขึ้น"
" ก็ไอ้เจ้าตัวประหลาดนี่/สิพระเจ้าค่ะ จะขโมยเกราะกายสิทธิ์จากลูกพระเจ้าค่ะเสด็จแม่"
" โธ่ๆ ข้าก็แค่ดูความเรียบร้อยให้เฉยๆ"
"เจ้าโกหก!!!"
" ลูกแม่อย่าถือสาเขาเลยนะ มาหาแม่เถอะ"
" พระเจ้าค่ะเสด็จแม่"
" เจ้าชื่ออะไรไหนบอกแม่มาสิ"
"ชื่ออังคาสพระเจ้าค่ะเสด็จแม่"
" ดีจริงๆ"
" เสด็จแม่ไม่ต้องลำบากหรอกพระเจ้าค่ะ เดี๋ยวลูกจะไปเก็บไม้ผลและนำน้ำมาถวายนะพระเจ้าคะ"
" พี่หิ่งห้อยดูแลเสด็จแม่ดีๆนะ"
" พระเจ้าค่ะ พระโอรส"
" อังคาสลูกไปคนเดียวมันอันตรายนะ"
" ไม่เป็นไรพระเจ้าค่ะ ลูกมีเกราะคุ้มกายอยู่ ลูกไปนะพระเจ้าค่ะ"
" ระวังตัวดีๆนะอังคาส" อังคาสได้ไปหาไม้พืชไม้ผลในป่าเพียงลำพังจนไปที่น้ำเพื่อนำน้ำใส่กระบอกไม้ไผ่ไปให้สไบทองผู้เป็นแม่
" เจ้ามีสิทธิอะไรมาตักน้ำที่นี่!!!". อังคาสหันไปมองตามเสียง
" ก็ที่นี่ใครจะมาใช้ก็ไม่ผิด" อังคาสเดินมาประจันหน้ากับเด็กหญิงที่มีอายุไล่เลี่ยกัน แล้วก็เห็นหน้าตาเด็กคนนี้ที่คิ้วเป็นหยักไม่เหมือนคนทั่วๆไป แล้วก็ยังสวมใส่สังวาลย์มณีสีชมพูอีกด้วย
" แต่ที่นี่เป็นที่ของข้าถิ่นข้าถ้าไม่ได้รับอนุญาตก็ห้ามตัก!!!"
" เจ้านี่เป็นใครมาแต่ไหน แม่น้ำนี่เจ้าสร้างนี่ไง แหล่งน้ำที่ไหนธรรมชาติก็สร้างทัังนั้น"
" เจ้า!!!" เด็กหญิงชี้หน้าอย่างสุดจะทน จากนั้นก็กระทืบเท้าอย่างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ว
" ข้าเป็นยักษ์ วันนี้ข้าจะกินเจ้าให้ไม่เหลือเลย!!!!!" จากนั้นก็เนรมิตรตัวเองให้ใหญ่ขึ้น จับตัวอังคาสที่ตะลึงงันอยู่ขึ้นมาหมายจะกิน แต่อังศาสก็ใช้พระขรรค์ออกมาจะสู้กับยักษ์เด็กตนนี้ ทันใดนั้นหิ่งห้อยยักษ์ก็บินมารับอังคาส ยักษ์น้อยก็ไล่เอามือคว้าให้วุ่น
" พระธิดาปัทมาสน์หยุดนะเพคะ"
" บัวแย้มเจ้าห้ามเราทำไม"
" อย่าทำร้ายชีวิตผู้อื่นเลยนะเพคะ จะเป็นบาปติดตัวได้นะเพคะ"
" ก็ได้ ข้าจะปล่อยให้เจ้าตักน้ำไปก็ได้" ปัทมาสน์พูดเสร็จก็กลับสู่ร่างเท่าเดิม แล้วมองไปที่อังคาสแล้วสังเกตุเก
ห็น
" เกราะกายสิทธิ์เหรอ อืมไว้คราวหน้าดีกว่า เราไปกันเถอะบัวแย้ม"
" เพคะ"
" ขอบใจมากนะหนูบัว" หิ่งห้อยขอบใจด้วยเสียงอันเป็นไมตรี
" จ๊ะ" ปัทมาสนน์ก็จูงมือไปทางอื่นจนลับตา อังคาสเห็นบัวแย้มก็สงสัยแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก หิ่งห้อยพาอังคาสกลับไปหาสไบทองทานไม้ผล แล้วเดินทางต่อไป
-
ทางฝั่งปัทมาสน์ก็จูงมือบัวแย้มมาส่งที่กระท่อมกลางป่า
" บัวแย้ม เราไปก่อนนะว่างๆแล้วจะมาหาใหม่"
"เพคะ พระธิดา" ปัทมาสน์ก็กลับไปยังเมืองคีรีมาศ เมืองของพระบิดา
" เสด็จพ่อ ลูกกลับมาแล้วเพคะ" ปัทมาสน์เข้ามาหาชายมนุษย์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นกษัตริย์เมืองคีรีมาศที่กำลังเป่าปี่บรรเลงเพลงที่ฟังแล้วน่าสลดใจยิ่ง ปัทมาสน์เห็นท่าไม่ดีจึงรีบแย่งปี่ออกจากพระบิดา
" อีกแล้วนะเพคะเสด็จพ่อเป่าปี่นี่อีกแล้ว ทรงเศร้าก็อย่าเป่าปี่เลยเพคะ รังแต่จะให้ตรอมใจตายปล่าวๆ"
" เสด็จแม่เจ้าเสีย พ่อจะมีความสุขได้หรือ"
"ได้สิเพคะ ราษฎรยังต้องการพระองค์อยู่นะ เพคะ"
" นั่นสินะ เราเป็นกษัตริย์นี่ จะทิ้งราษฎรได้อย่างไร"
" งั้นลูกขอเก็บปี่นะเพคะเสด็จพ่อ" ว่าแล้วก็รีบวิ่งนำปี่ไปเก็บในที่ลับตาทันทีไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหนนอกจากปัทมาสน์ตนเดียวเท่านั้น พอจะกลับตำหนักก็ไปชนกับเด็กคนหนึ่งเข้า
" โอ้ย!!! เดินยังไงไม่มองทิศมองทาง มาชนข้า"
" คิดว่าข้าอยากจะชนเจ้านักสิไอ้ลูกนอกไส้"
" ใครกันแน่ลูกนอกไส้ พูดให้มันดีๆนะ!!"
" เจ้าไง เสด็จพ่อเป็นมนุษย์ แม่เจ้าก็เป็นมนุษย์ แต่เจ้าเป็นยักษ์"
" ข้าเป็นยักษ์แล้วยังไง ยังไงข้าก็เป็นลูกเสด็จพ่อ ไม่เหมือนเจ้าลูกแท้ๆรึปล่าวก็ไม่รู้!!" แล้วปัทมาสน์ก็ผลักให้พระโอรสต่างพระมารดาหลีกทางกลับไปสู่ตำหนัก หวนคิดเรื่องต่างๆในหัวเกี่ยวกับชาติกำเนิดของตนแต่แล้วก็ปลงเพราะคิดได้ว่าล้วนแต่สวรรค์กำหนดว่าใครเป็นใครเมื่อสวมใส่สังวาลย์มากกว่า จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนหลับไปนาน.....
วันรุ่งขึ้นแล้วแสงปรากฎสาดส่องมายังสังวาลย์ที่สวมใส่เปลี่ยนจากสีชมพูเป็นสีเขียวมรกตสดใสพระธิดายักษ์ก็เปลี่ยนไปเป็นพระโอรสท่าทางนิ่งแต่แฝงด้วยความคมเมื่อเห็น เช่นเดียวกันกับเกราะกายสิทธิ์ที่เปลี่ยนจากพระโอรสเป็นพระธิดาน่าตาจิ้มริ้มพริ้มพราวน่ารักยิ่ง ทั้งสองสิ่งดำเนินชีวิตอย่างคู่ขนานกันไป อีกวันเปลี่ยนคนสลับกันไปมาหมุนเวียนจนครบกลับมาที่จุดเริ่มต้นคนแรกอีกครั้ง บัดนี้สุริยะกับสไบทองได้มาถึงเมืองทิศพลเมืองแห่งพระบิดาของสไบทองทัังคู่ได้ไปเข้าเฝ้าท้าวนวดล
" สไบทองเหตุใดเจ้ากับลูกถึงได้ระเหเร่รอนมาถึงที่นี่ได้"
" เป็นเพราะคำทำนายใส่ร้ายสุริยะจึงถูกขับออกจากเมืองเพคะเสด็จพ่อ"
" พระสวามีเจ้าก็เชื่อหรือ สไบแก้วไม่ช่วยแก้ต่างเจ้าเลยเหรอไง"
"ไม่ได้ช่วยเพคะ"
" หูเบาที่สุด!! เรื่องแค่นี้ก็เชื่อเหรอ ชักจะลองดีกับเราซะแล้ว!!"
" เสด็จพ่อพระทัยเย็นก่อนเพคะ อย่าได้บาดหมางกันเลย ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกันอีกเลยเพคะ"
" ได้ ดีเราจะเลี้ยงหลานเราให้ดีไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับเมืองรัตนบุรีอีก!!". พออยู่ได้สักพักก็มีข่าวคราวของเมืองรัตนบุรีเข้ามาถึงเมืองทิศพล
-
" เกิดเรื่องขึ้นแล้วพระเจ้าค่ะ พระโอรสภูมินทร์"
" เรื่องอะไรหรือจ๊ะพี่หิ่งห้อย"
" ที่เมืองรัตนบุรี องค์เหนือหัวพีรเชษฐ์โดนครอบงำตอนนี้บ้านเมืองระส่ำระส่ายไปหมดเลยพระเจ้าคะ"
"เสด็จพ่อโดนใครครอบงำจ๊ะพี่หิ่งห้อย!!!!"
" ปุโรหิตและพระโอรสบดิศรแห่งรัตนบุรีพระเจ้าค่ะ" เมื่อได้ความว่าเช่นนั้นพระโอรสก็ไม่รอช้า รีบไปหาสไบทอง เล่าเรื่องให้ฟัง และได้ขอไปช่วยท้าวพีรเชษฐ์ด้วย ด้วยความที่สไบทองสองจิตสองใจว่าจะให้พระโอรสไปช่วยดีหรือไม่ก็ได้ไปปรึกษากับพระมเหสีอมรินทร์ผู้เป็นพระมารดา พระมเหสีอมรินทร์ก็ให้คิดตัดสินใจระหว่างรักกับชังสิ่งไหนมีค่ามากกว่าในจิตใจก็เลือกสิ่งนั้น สไบทองเกิดความสับสนขึ้นมาสุดท้ายแล้วก็ใจอ่อนยอมให้พระโอรสไปช่วยเหลือพระบิดา โดยมีตุ้บเท่งกับหิ่งห้อยยักษ์ติดตามไปด้วย แต่เนื่องจากท้าวนวดลไม่ยอมให้ไป จึงต้องหาวิธีหนีออกมาจนสำเร็จให้สไบทองอยู่ที่เมืองทิศพลก่อนเพื่อความปลอดภัย
ทั้งหมดได้เร่งรีบไปเมืองรัตนบุรีไม่ได้พัก2วัน2คืน ก็ได้เดินทางไปถึงเมืองรัตนบุรี ไม่เห็นผู้คนแต่ยังแน่ใจว่ามีคนอยู่ ศนิวารมุ่งหน้าเข้าวังเพื่อไปหาท้าวพีรเชษฐ์ผู้เป็นพระบิดาแต่ก็มีกับดักตกลงมากุมตัวพระโอรสศนิวารเอาไว้ ตุ้บเท่งก็บอกว่าจะช่วยแต่ต้องแลกด้วยเกราะกายสิทธ์ถึงจะช่วย พระโอรสก็ตกลงว่าจะให้เมื่อหมดเรื่องแล้ว ตุ้บเท่งก็ได้ใช้กรงเล็บข่วนตัดบ่วงจนขาด
" ที่นี่มีกับดัก อันตรายจริงๆ ต้องระวังตัวให้มากว่านี้" เดินเข้าไปก็พบกับชายผู้หนึ่งนั่งอยู่ตั่งท่าทางเลื่อนลอย ศนิวารจึงเข้าไปดูใกล้ๆพร้อมกับหิ่งห้อย โดยให้ตุ้บเท่งรอดูอยู่ข้างนอก
-
" องค์เหนือหัวพระเจ้าค่ะ องค์เหนือหัว"
" เสด็จพ่อนี่เสด็จพ่อหรือจ๊ะพี่หิ่งห้อย"
" ใช่แล้วพระเจ้าค่ะ พระโอรส" ศนิวารเข้าไปหาท้าวพีรเชษฐ์ แต่แล้วก็ถูกจับตัวได้ พระโอรสคิดได้ว่ามีเกราะกายสิทธิ์จึงได้ปล่อยพลังออกมาส่องแสงสีม่วงไปทั่ววัง แล้วพาท้าวพีรเชษฐ์หนีออกมาได้ แต่หารู้ไม่ว่าเป็นแผนยึดเมืองรัตนบุรี แต่อะไรจะสำคัญเท่าชีวิตของพระบิดาผู้บังเกิดเกล้า ศนิวารบอกให้หิ่งห้อยเร่งความเร็วเพื่อพาพีรเชษฐ์ไปยังเมืองทิศพลให้ถึงที่โดยเร็วเพื่อความปลอดภัยโดยที่พีรเชษฐ์สติยังเลื่อนลอยไม่รับรู้อะไรเลยสักอย่างเดียว
ในขณะเดียวกันกษัตริย์เมืองคีรีมาศก็เดินทางมาเยี่ยมเยือนเมืองทิศพลตามประสาเมืองที่มีไมตรีต่อกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรโดยมีพระธิดาตามเสด็จมาด้วย การที่มีกษัตริย์มาเยือนท้าวนวดลจึงไม่มีเวลามาหาพระธิดาและพระนัดดาของตนเองเลยไม่รู้ว่าพระนัดดาหนีไปช่วยพีรเชษฐ์ผู้เป็นพระบิดาที่เมืองรัตนบุรี ต่อมาในวันรุ่งขึ้นพระโอรสสุริยะก็กลับมาถึงทันเวลา แต่ต้องซ่อนพีรเชษฐ์ไว้ก่อน ท้าวนวดลมาหาถึงที่ตำหนัก
"สุริยะหลานตา วันนีช่วยพาพระธิดาต่างเมืองชมเมืองต่อทีนะ"
" ได้พระเจ้าคะ"
" ปะ ไปกับตา" หลังจากที่ท้าวนวดลออกไป สไบทองก็ไปหาพีรเชษฐ์มองด้วยความสงสารและรู้สึกเห็นใจพีรเชษฐ์อย่างมากที่สติเลื่อนลอย ยังต้องเสียเมืองไปอีก...
-
สุริยะไปกับท้าวนวดลเพื่อพบกับแสงสุรีย์ หลังจากเจอกันก็พาไปชมเมืองให้ทั่วจากนั้นก็พาส่งกลับตำหนักที่รองรับ
" สุริยะ". สุริยะหันมามองตามเสียงของแสงสุรีย์
" มีอะไรหรือปล่าว"
" คราวหน้าชมเมืองกันอีกนะ" แสงสุรีย์ส่งยิ้มอันมีไมตรีจิตให้สุริยะ
" ได้ เราสัญญา" สุริยะก็ยิ้มตอบ จากนั้นก็กลับไปยังตำหนัก ตุ้บเท่งก็กระโดดเข้ามาตัดหน้า
" พระโอรส. ไหนบอกหมดเรื่องหมดราวแล้วจะให้เกราะสิทธิ์แก่ข้าไง ป่านนี้ยังไม่ให้อีก"
" เราไม่ได้สัญญาสักหน่อยนี่ หรือว่าเราสัญญาตอนไหน"
"ก็เมื่อวานนี้ไง พระโอรสศนิวารให้คำสัญญากับข้า"
" แล้วเราชื่ออะไร"
" พระโอรสสุริยะ"
" นั่นหละ ศนิวารตะหากที่ให้สัญญาแก่เจ้า จะมาบอกว่าเราให้สัญญาแก่เจ้าไม่ได้"
" เอ๊ะ!! "
" เราว่ารอถึงวันที่ศนิวารปรากฎตัวก่อนดีกว่าแล้วไปคุยเรื่องนี้กับเขา"
" ก็ได้ๆ ข้ายอมก็ได้ ข้าขอตัวก่อนนะ"
" จะไปไหน? เหรอตุ้บเท่ง"
" เรียกข้าว่าสุดหล่อสิเหมาะกับข้า ออแล้วข้าจะไปไหนมันก็เป็นเรื่องของข้า"
" ก็ได้สุดหล่อก็สุดหล่อ". ทั้งสองแยกย้ายกัน สุริยะเดินเข้าไปในตำหนักแต่ก็หยุดอยู่ที่หน้าประตูมองเห็นพระมารดาสไบทองกำลังป้อนข้าวป้อนน้ำให้พีรเชษฐ์ผู้ที่สติเลื่อนลอย สุริยะมีความรู้สึกเห็นใจทั้งพระมารดาสไบทองและพระบิดาพีรเชษฐ์ที่ต้องเป็นเช่นนี้ สุริยะตัดสินใจเดินเข้าไปหาแล้วนั่งข้างล่าง แล้วเรียกพระบิดา
" เสด็จพ่อพระเจ้าคะ" พีรเชษฐ์มีท่าทางเลื่อนลอยไม่รับรู้เสียงเรียก
" เสด็จพ่อพระเจ้าค่ะ เสด็จพ่อ" แต่ก็ยังไม่มีการตอบสนองใดๆเกิดขึ้นเลย
" สุริยะอย่าได้เรียกเขาเลย เรียกไปก็เท่านั้นเขาไม่รับรู้อะไรอีก" แต่แล้วก็เหมือนจะมีปฏิหารเกิดขึ้น พีรเชษฐ์หันมาทางสุริยะ
" เสด็จพ่อรู้สึกพระองค์แล้วหรือพระเจ้าค่ะ" พระโอรสถามด้วยน้ำเสียงที่ดีใจเหลือล้น
" สุริยะลูกพ่อ"
" ไปหาเสด็จพ่อสิสุริยะ" สุริยะเข้าไปหาพีรเชษฐ์ พีรเชษฐ์ลูบศีรษะของสุริยะ และลูบที่หลังของสุริยะ สุริยะมองตาพระบิดา และพระบิดาก็มองตาสุริยะ ทันใดนั้นเอง!!!
-
พีรเชษฐ์ก็ได้ดึงเกราะกายสิทธิ์ออกจากตัวสุริยะ สุริยะกลับไปเป็นร่างไม่สมประกอบอีกครั้ง
" ฮ่าๆๆๆ" พระบิดากับพระมารดาหัวเราะลั่น
" เสด็จพ่อ เสด็จแม่พระเจ้าค่ะทำไม.." พระโรสพูดด้วยความยากลำบากก่อนจะถามให้จบคำ
" ก็พวกเราไม่ใช่พ่อแม่ของเจ้าหละสิ ฮ่าๆ" ทั้งสองเปลี่ยนไปจากเดิมกลายเป็นชายหนุ่มที่ค่อนข้างจะไม่เป็นคนดีสักเท่าไหร่นัก
" หน้าโง่จริงๆแค่รู้สึกอะไรนิดหน่อยก็หลงเชื่อไปหมด"
"ใช่หน้าโง่จริงๆ"
" เสด็จพ่อเสด็จแม่เราอยู่ที่ไหน"
" พ่อแม่เจ้าก็น่าจะอยู่ที่ไหนสักแห่งที่หละ ฮ่าๆ"
" เจ้าเอาเสด็จพ่อเสด็จพ่อไว้ที่ไหนแล้วเจ้าเอาเกราะกายสิทธิ์ไปทำไม"
" ก็เกราะกายสิทธิ์นี่เป็นของเทพวิษุวัติน่ะสิ เราก็แค่มาเอาคืนให้เท่านั้นแหละ"
" แล้วทำไมต้องจับเสด็จพ่อเสด็จแม่เราไปด้วย"
" ก็พ่อแม่เจ้าก็มีความผิดด้วยไง ถ้าอยากได้นักก็ไปเอาเองสิ"
" เราทำอะไรผิดนักหนาถึงต้องทำกับเราเช่นนี้ด้วย เกราะก็ได้ไปแล้วคืนเสด็จพ่อเสด็จแม่ให้เราเถอะนะ เราจะไม่ยุ่งกับเกราะนี่อีก"
" ไม่มีทาง!!"
" เราขอร้องหละปล่อยเสด็จพ่อเสด็จแม่มาเถอะนะ"
"ไม่"
"ปล่อยเสด็จพ่อเสด็จแม่เรามาเถอะนะ"
" บอกว่าไม่ก็ไม่ไง" ข้ารับใช้เทพวิษุวัติถีบสุริยะจนล้มลงกองไปกับพื้น จากนั้นก็มีแสงสีแดงวาบเข้ามาจนแสดตาไปหมด
" หนีเร็วพระเจ้าค่ะพระโอรส"
" หนีเร็วเข้า" หิ่งห้อยกับตุ้บเท่งรีบพาสุริยะหนีออกมาจากตำหนักไปหาท้าวนวดลโดยเร็ว ปรากฎเหลือเด็กผู้หญิงอยู่ในตำหนักประจันหน้ากับข้ารับใช้เทพวิษุวัติ
" พวกท่านมีฤทธิ์มีเดชแต่มารังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าคิดว่าทำถูกแล้วงั้นหรือ" เด็กผู้หญิงคนนั้นก็คือแสงสุรีย์นั่นเอง
" พวกเรามีหน้าที่ต้องทำ เจ้าเป็นเด็กมีสิทธิอะไรมายุ่ง!!"
" มีสิมีอยู่แล้ว คุณธรรมค้ำจุนจิตใจคนให้ทำดี พวกท่านเป็นถึงข้ารับใช้ของเทพ มีฤทธ์มีเดชแต่มาทำร้ายคนทำไมข้าจะยุ่งไม่ได้"
" หน๋อยเด็กนี่ช่างกล้านักนะ"
" ใช่เรากล้า คืนเกราะมาดีกว่าถ้าไม่อยากเจ็บตัว"
" ไม่ ถ้าเจ้าอยากได้นักก็เข้ามาเอาเองสิ!!"
"ได้" ทั้งสองได้ต่อสู้กันโดยมีอีกหนึ่งถือเกราะกายสิทธิ์ไว้อยู่ จนกระทั่งเริ่มจะสู้แสงสุรีย์ไม่ไหวเลยคิดจะหนีนำเกราะไป. แสงสุรีย์ได้ปลดสังวาลย์ออกมาถือส่องแสงประกายใส่ทั้งสอง จนตกลงมาแต่กระนั้นก็ยังคิดจะหนีต่อ แสงสุรีย์จึงใช้สังวาลย์ส่องไปอีกแต่คราวนี้ไม่ใช่แสงแต่เป็นไฟแทน ทั้งสองทรมานเจ็บปวดแสบร้อนไปหมด แสงสุรีย์ได้ทีไปคว้าเอาเกราะกายสิทธิ์ได้ แล้วจึงดับไฟ
" ไปบอกกับเทพที่เป็นนายของท่านด้วยนะว่าอย่าสั่งใครมาล่อลวงและทำร้ายคนไม่มีทางสู้อีก" พูดจบก็มุ่งหน้าไปหาท้าวนวดล ท้าวธีรชัย และสุริยะ นำเกราะไปสวมให้ดังเดิม
" เราขอบใจมากนะแสงสุรีย์"
" ไม่เป็นไรหรอก"
" เสด็จตาหลานขอไปช่วยเสด็จพ่อเสด็จแม่ก่อนนะพระเจ้าค่ะ""
" เจ้าจงช่วยเสด็จแม่เจ้าอย่าช่วยพ่อเจ้า"
" ทำไมหละพระเจ้าค่ะ"
" เจ้าก็รู้ดีเขาไล่เจ้าออกจากเมืองปล่อยให้เจ้ากับแม่ของเจ้าลำบากแค่ไหน"
" เสด็จตา"
" ท้าวนวดลเพคะ หม่อมฉันว่าพ่อนั้นลูกมีพระคุณต่อลูกต่อลูก หากไม่ช่วยเพราะความผูกพันธ์ก็ควรให้ช่วยเพื่อตอบแทนพระคุณเถอะนะเพคะ"
" ก็ได้ๆ"
"ขอบพระทัยพระเจ้าคะเสด็จตา"
" เราไปด้วย"
" ไม่เป็นไรหรอกนะเราไปกับพี่หิ่งห้อยกับสุดหล่อ กันเองก็ได้"
" ใช่มีข้าอยู่ไม่ต้องกลัว"
"ให้เราไปด้วยก็ดีแล้ว มีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน"
" แล้ว.."
" เสด็จพ่อกลับไปเมืองก่อนนะเพคะแล้วลูกจะตามไปนะเพคะ"
" อย่านานักนะแสงสุรีย์"
" เพคะ ทูลลาเสด็จและท้าวนวดลเพคะ"
" ทูลลาเสด็จตาและท้าวธีรชัยพระเจ้าค่ะ" ทั้งคู่มุ่งหน้าเพื่อไปสู่เมืองรัตนบุรีโดยมีอันตรายต่างๆรออยู่อีกมาก..
-
ทางด้านฝั่งของเทพวิษุวัติ ข้ารับใช้ทั้งสองกลับไปหาร่างกายเต็มไปด้วยรอยไหม้ซ้ำยังมามือปล่าวไม่มีเกราะกายสิทธ์มาด้วย สร้างความไม่พอใจให้แก่เทพวิษุวัติเป็นอย่างมาก
" ไม่ได้เรื่อง!!!!! แค่เด็กตัวนิดเดียวแถมยังเป็นผู้หญิงอีกแค่นี้พวกเจ้าก็จัดการไม่ได้!!!"
"ตอนแรกก็จะสู้ได้แล้วพระเจ้าค่ะ"
" แต่ว่าเด็กคนนั้นมีของวิเศษพระเจ้าค่ะ"
" ของวิเศษอะไร"
" สังวาลย์พระเจ้าค่ะ. สังวาลย์นี่ไม่ได้ธรรมดาเลยนะพระเจ้าค่ะ"
" สังวาลย์งั้นเหรอ "
" พระเจ้าค่ะ สังวาลย์นั่น.."
"ไปได้แล้ว"
" อะไรนะพระเจ้าค่ะ"
" ออกไปได้แล้วเราจะอยู่คนเดียว"
" พระเจ้าค่ะ"
" สังวาลย์ที่เป็นของวิเศษงั้นหรือ". เทพวิษุวัติครุ่นคิดอยู่แล้วก็ได้ยินเสียงในหัวเหมือนคิดขึ้นได้ว่า : นอกจากเกราะวิเศษกายสิทธิ์แล้วยังมีสิ่งวิเศษอีกอย่างนึงก็คือสังวาลย์มณีมีฤทธิ์เดชพอกันแต่ถ้ามาอยู่ด้วยกันจะทรงอนุภาพมากที่สุดเลยก็ว่าได้ แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าสิ่งวิเศษนี้อยู่ที่ไหน:
" สุดท้ายเราก็รู้เสียทีว่าสิ่งนี่อยู่ที่ไหน" เทพวิษุวัติยิ้มเหมือนชนะอะไรสักอย่าง. จากนั้นเทพวิษุวัติก็ไปสังเกตุการณ์สุริยะกับแสงสุรีย์ที่กำลังจะถึงเมืองรัตนบุรี
" ไม่ได้การณ์แล้วสิ" เทพวิษุวัติบรรดาลให้เกิดพายุซัดพวกสุริยะไปทางอื่นจนถึงเมืองเมืองหนึ่งที่เหมือนร้าง
" ที่นี่ที่ไหน"
" นั่นสิที่นี่ที่ไหนกัน"
-
" ที่นี่มันร้างแปลกๆนะข้าว่า"
" ดูนั่นสิมีวังด้วย"
" ไปดูกันดีไหมพระเจ้าคะพระโอรสพระธิดา"
" ดีสิพี่หิ่งห้อย ไปกันเถอะสุริยะ"
" ไปกันเถอะ" ทั้งสามเดินไปทางเข้าวัง
" นี่ไม่คิดจะชวนข้าไปเลยนะ" ตุ้บเท่งวิ่งตามไป
ที่ท้องพระโรงเต็มไปด้วยใยแมงมุมและใบไม้เกลื่อนไปหมด มีเงาปรากฎผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทั้งสี่หันมองกันให้วุ่น
"พี่หิ่งห้อยหายไปไหนแล้วหละ"
" อ๊ะ!!!" สุริยะหันมองตามเสียงไปแต่ไม่พบอะไร
" ตุ้บเท่งก็หาย" ขณะที่ทั้งสองหันหาอยู่นั้นควันก็พวยพุ่งออกมาปกคลุมไปทั่วทั้งสองก็สลบไป...
.
.
.
.
.
.
" สุริยะ สุริยะลูกแม่" สุริยะมองไปมาตามเสียงเรียก
" เสด็จแม่พระเจ้าค่ะ" สุริยะวิ่งไปสไบทองหายไป
" เสด็จแม่!!!!". สุริยะตกใจลืมตาขึ้นมา พบว่าตนเองถูกมัดอยู่
" เจ้าคิดถึงเสด็จแม่เจ้างั้นสิ" มีผู้หญิงหน้าตาสวยงามดูไม่มีอายุเยอะเท่าไหร่นักพูดพร้อมเข้ามา
" พี่สาวท่านเป็นใครแล้วทำไมเราถึงโดนมัด"
" ไม่ต้องรู้หรอกว่าเราเป็นใคร เอาเกราะกายสิทธิ์แลกกับแม่เจ้าดีไหมหละ"
" ถ้าช่วยเสด็จแม่ได้เกราะนี่ก็ไม่สำคัญอะไร แล้วแสงสุรีย์ สุดหล่อ และพี่หิ่งห้อยหละ"
" พวกเขาก็สบายดีอยู่ เราขอแล้วกันนะ" ไม่รอช้ารีบใช้มืจับเกราะกายสิทธิ์ แต่ก็ไหม้มือ
" โอ้ย!! หึย" เขาได้ใช้มือจับอีกครั้งแต่ก็เผาไหม้มือดังเดิม
" หน๋อย แค่นี้ก็ร้อนได้นะทำไมคนอื่นจับไม่เห็นจะร้อนเลย"
" ก็เจ้าเป็นแม่มดไงหละเกลียวทอง" มีเด็กหญิงออกมาพูดจาฉะฉานใส่เกลียวทองอย่างไม่เกรงกลัว
" อัญญานีเจ้ามาทำไม. ทำไมไม่อยู่ในตำหนัก!!"
"ก็นี่เมืองเสด็จพ่อเรา เราจะไปไหนมาไหนเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์มาห้ามเรา"
" ปากดีนักนะ" ฝ่ามือของเกลียวทองตบหน้าของอัญญานีอย่างไม่หนักแรงมากแต่ทำให้อัญญานีกระเด็นไปได้ ในตอนนั้นนั่นเองแสงอาทิตย์ก็สาดส่องมายังเกราะกายสิทธิ์ทำให้สุริยะกลายเป็นจันทราภาทันที
-
ไอเดียดีนะเนี่ย เจ๊งอ่ะ w8
-
@ต้องขออภัยที่ไม่ได้มาแต่งต่อซะนานเลยนะคะ ช่วงที่ผ่านมาติดธุระเยอะจริงๆคะ. w25 ขอบคุณคุณ K.N.K คะ^^
จันทราภารู้สึกว่าตนเองไม่ได้อยู่เมืองทิศพลของท้าวนวดลผู้เป็นพระอัยกาแต่อย่างใดกลับพบสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือเกลียวทองกับอัญญานีในที่รกร้างแห่งหนึ่งเท่านั้น
"ที่นี่ที่ไหน แล้วท่านจับเรามัดไว้ทำไมกัน"
"เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้หรอก รู้แค่ว่าแม่ของเจ้าตอนนี้ก็โดนจับอยู่เช่นกัน" เกลียวทองพูด สายตาจับจ้องที่จันทราภา
"เสด็จแม่ ท่านเอาเสด็จแม่เราไว้ที่ไหน"
"เราไม่บอกเจ้าหรอก แต่เราจะช่วยให้เจัาเจอกับแม่เจ้าไวๆ ดีไหมหละ"
"ดีสิ แล้วพี่หิ่งห้อยหละ"
"พี่หิ่งห้อยก็เหมือนแม่เจ้านั่นแหละถ้าอยากได้พวกเขาคืนมาก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนกันหน่อย"
"อะไร"
" เอาเกราะกายสิทธิ์มาแลกไงหละ"
-----------------++-
ทางด้านฝั่งของหิ่งห้อย ตุ้บเท่ง และเจ้าของสังวาลย์มณีแน่นอนว่าวันเปลี่ยนก็เปลี่ยนคนได้เช่นกันจากแสงสุรีย์เด็กหญิงกลายเป็น จันทลักษณ์เด็กชายขึ้นมา เขาค่อยๆลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าตนเองอยู่ในห้องขังแห่งหนึ่ง หันมองซ้ายขวาเจอหิ่งห้อยยักษ์ กับสิ่งมีชีวิตที่ประหลาดหลับไหลไม่ได้สติเลย ด้วยความที่รู้วิชาทำนายหยั่งรู้มาบ้างจึงได้นั่งสมาธิถึงเรื่องราวต่างๆมากมาย พอรู้เรื่องราวก็ได้ช่วยให้ทั้งสองฟื้นขึ้นมา
+++++++------+++++------
"เกราะกายสิทธิ์หรือ"
"ใช่เกราะกายสิทธิ์ แต่เจ้าต้องถอดออกมาให้แก่เรา"
"แล้วเราจะถอดได้อย่างไร ในเมื่อถูกจับมัดเช่นนี้" จันทราภาเกิดคิดบางอย่างขึ้นมาในหัว
" เราจะแก้มัดให้" เชือกหลุดออกมาอย่างง่ายดายราวกับไม่ได้มัดไว้
จันทราภาจับที่เกราะทำท่าจะถอดออกมา แม่มดเกลียวทองตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อ ทันใดนั้นเองเกราะก็ได้ส่องแสงสีเหลืองส่องประกายออกมาเข้าตาเกลียวทองอย่างจัง จันทราภาไม่รอช้ารีบพาอัญญานีที่บาดเจ็บหนีออกมาแล้วก็เจอกับ.........
"พี่หิ่งห้อย ตุ้บเท่งพวกท่านไม่เป็นอะไรนะ"
"ไม่เป็นไรพระเจ้าค่ะ พระธิดาหละพระเจ้าค่ะ"
"เราไม่เป็นไร แล้วนี่..."
"เราจันทลักษณ์ เราว่าอย่าช้านักเลยเดี๋ยวจะไม่ทันการ"
"ดีเราไปกันเถอะ"
"รอข้าด้วยสิ!!!" ตุ้บเท่งวิ่งตามมา
หลังจากออกนอกบริเวณเมืองได้แล้วทั้งหมดจึงพักที่ป่าเสียก่อน แล้วช่วยกันรักษาอัญญานี
"เจ้าเป็นอะไรกับแม่มดนั่น!!!"ตุ้บเท่งถาม
"ลูกเลี้ยง เมืองนั่นก็เมืองของเสด็จพ่อเรา"
"เหตุุใดเมืองจึงร้างเช่นนั้น เจ้าช่วยเล่าให้เราฟังหน่อยได้หรือไม่"
"ได้เราจะเล่าให้ฟัง" อัญญานีเล่าให้ฟังถึงความหลังแต่ก่อนเก่าของเมืองร้างแห่งนั้น
-
*แต่งต่อตอนปิดเทอมคะ. ขอบคุณคะ
-
"แต่เดิมเมืองนี้คือเมืองโกสุมพิสัยเป็นเมืองของเท้าทรงพลบดีซึ่งเป็นเสด็จพ่อของเรา หลายปีที่เมืองนี้อยู่อย่างสงบสุขแล้ววันหนึ่งเสด็จพ่อก็ได้รับเกลียวทองมาเป็นพระสนม ต่อมาไม่นานนักเสด็จแม่ก็ทรงประชวร พระอาการก็หนักขึ้นเรื่อยๆจน...จนเสด็จแม่สิ้นพระชนม์..จากนั้นเกลียวทองก็เลื่อนจากตำแหน่งพระสนมขึ้นเป็นพระมเหสีแทนเสด็จแม่
หลังจากนั้นซักประมาณ1ปี ราษฎรก็เป็นโรคล้มตายกันเป็นจำนวนมากแม้แต่คนในวังก็เป็นลามไปจนถึงเสด็จพ่อก็ประชวรด้วยโรคนั้นเช่นนั้น ที่น่าแปลกคือราษฎรที่ล้มตายไปนั้น ศพของพวกเขาก็หายไปจนน่าตกใจ สุดท้ายแล้วเสด็จพ่อก็สิ้นพระชนม์แต่ก่อนสิ้นพระชนม์ก็ทรงมีรับสั่งให้เกลียวทองดูแลเรา ซึ่งนางก็ทำตาม นางก็ออกจะร้ายกับเราอยู่แล้วเราก็ไม่คิดอะไร ช่วงเวลาสั้นๆเพียงไม่กี่เดือนก็พรากชีวิตคนทั้งเมืองไปหมดเหลือเพียงเรากับเกลียวทองเท่านั้น. จนกระทั่งวันหนึ่งเราก็พบศพคนจำนวนมากที่ตำหนักของนาง ซึ่งตอนนั้นนางกำลังเอาเลือดของศพพวกนั้นเอามารดให้แก่ต้นไม้เป็นเสมือนอาหาร นางก็เห็นเราแต่นางไม่ฆ่าเรา มีหลายครั้งที่เราพยายามหนีแต่ก็หนีไม่พ้นเสียทีจนมาเจอพวกเจ้านี่หละ" อัญญานีเล่าให้ฟังจนหมดแล้วก็หันมองไปที่จันทราภาและจันทลักษณ์
"เราน่าสงสารเ2รึสียจริงอัญญานี เราเสียใจด้วยนะ"จันทราภาพูดพร้อมจับมืออัญญานี
"เราขอบใจเจ้ามาก"
"แล้วพวกเราจะทำยังไงต่อไปดีหละ จะให้อัญญานีไปด้วยก็คงไม่ปลอดภัยเท่าไหร่นักนะ"
"ควรให้อัญญานีไปที่เมืองของเสด็จตาก่อน พี่หิ่งห้อยจ๊ะ.!!"
"พระเจ้าค่ะ พระธิดา"
"พี่ช่วยพาอัญญานีไปอยู่กับเสด็จตาก่อนนะจ๊ะ เราจะมุ่งหน้าไปรัตนบุรีกันก่อน"
"ได้พระเจ้าค่ะ พระธิดาแล้วพี่หิ่งห้อยจะรีบตามไปพระเจ้าค่ะ"
"พระธิดา แล้วข้าหละ ข้าสุดหล่อหละ"
"จันทราภาให้สุดหล่อไปกับพวกเราเถอะ ถ้าเกิดพรุ่งนี้เรากลัวว่าปัทมาสน์จะอาละวาดจนเสียเรื่อง มีคนห้ามบ้างก็ดี"
"เราก็ว่าดีเหมือนกันเพราะพรุ่งนี้เป็นอังคาสเจ้าอารมณ์เสียด้วย ให้สุดหล่ออยู่ก็ดีเหมือนกัน"
"อัญญานีเราไปก่อนนะ แล้วเจอกันอีก"
"ลาก่อนจันทราภา ลาก่อนจันทลักษณ์"
"เราไปกันเถอะพระเจ้าค่ะพระธิดาอัญญานี"
"เจอกันที่รัตนบุรีนะจ๊ะ พี่หิ่งห้อย"
"พระเจ้าค่ะพระธิดา". หิ่งห้อยยักษ์ก็บินพาอัญญานีไป
"พวกเราไปกันเถอะ"
"ไปกัน" จากนั้นทั้งสามก็มุ่งหน้าไปยังรัตนบุรี
"
-
จักรกรดต้องอภัยที่หายหน้าไปเสียนานนะคะ ไม่ค่อยว่างจริงๆในชีวิตตอนม.3นี่ กำลังจัดเรื่องให้เข้าลู่เข้าทางอยู่ค่ะ
สอบเสร็จแล้วจะมาเขียนต่อแน่นอนค่ะ จักรกรดยังรักในงานเขียนและละครพื้นบ้านหรือละครจักรๆวงศ์ๆเสมอค่ะ
ขอบคุณทุกท่านที่มาอ่านเรื่องนี้มากๆนะคะ แล้วเจอกันแน่นอนค่ะ ขอบคุณมากค่ะ
-
อ่านได้ความรู้เยอะเลย
-
ขอบคุณ คุณ Pridezero ที่มาแสดงความคิดเห็นนะคะ จักรกรดไม่ได้มานานนับปีแล้ว ยอมรับเลยค่ะว่ามีเทจริงๆเพราะงานกับไม่มีเวลาเลยคิดไปว่าคงจะไม่มาแล้ว แต่ก็เข้ามาเพราะคิดถึง อ่านแล้วอยากแต่งต่อ จักรกรดจะพยายามแต่งให้จบไม่ทอดทิ้งแล้ว ณ จุดๆนี้คิดถึงมากจริงๆ ต่อจากเม้นนี้ก็จะแต่งต่อแล้วค่ะ w15 w15 w15
-
ในวันต่อมาทั้งสองได้เปลี่ยนเป็นอังคาสกับ ปัทมาสน์ โดยมีตุ้บเท่งนั่งดูอยู่
" ต่างเป็นเจ้าอารมณ์กันทั้งคู่ ดีล่ะข้าจะทำให้แตกคอกัน จากนี้จะไม่มีใครมาคุ้มกันเกราะกายสิทธิ์แล้ว " ตุ้บเท่งคิดอยู่ในใจแล้วยิ้มกรุ่มกริ่ม
" ที่นี่ที่ไหน เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน " ปัทมาสน์ลืมตาตื่นขึ้นมาพบตนเองไม่ได้อยู่ในตำหนักจึงพึมพำกับตัวเอง
" ที่นี่ก็คือป่ายังไงล่ะพระธิดา " ตุ้บเท่งตอบเมื่อได้ยินเสียง
" ข้ารู้แล้วว่าที่นี่เป็นป่า ข้าอยากรู้ว่าข้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง !!!! " ปัทมาสน์ลุกขึ้นท้าวเอวถามตัวประหลาดที่พอเจอ
" ถามสุดหล่อ สุดหล่อจะรู้ได้ไง นู่น ถามพระโอรสอังคาส นู่น " ตุ้บเท่งพูดพร้อมหันหน้าไปทางอังคาสที่กำลังหลับอยู่ใต้ต้นไม้อีกต้น
" นี่มันเจ้าคนที่มันบุกรุกที่ของข้านี่....ตื่นขึ้นมาคุยกับข้าเดี๋ยวนี้นะ!!! " ยักษ์น้อยพูดขึ้นพร้อมกับกระทืบเท้าลงแผ่นธรณี สนั่นไหวไปทั่วทุกทิศ
" โอ้ย!!! นี่เจ้า!! ครั้งที่แล้วเจ้าก็จะฆ่าเรา ยังตามมาฆ่าเราอีกเหรอ " อังคาสตื่นขึ้นเพราแรงสะเทือน แล้วพบกับยักษ์ที่จะทำร้ายมื่อก่อนเก่าก็จำได้
" ใช่ๆพระโอรส ยักษ์น้อยตนนี่กำลังจะจับพระโอรสกิน " ตุ้บเท่งได้จังเติมไฟไป
" นี่เจ้าพูดอะไรระวังปากด้วย คนแบบนี้ข้าไม่กินหรอกนะ!!! "
"สุดหล่อเห็นจริงๆ สุดหล่อเป็นพยายานได้"
" ไม่จริง!! ข้าตื่นมาก็พบตัวประหลาดนี่ก่อนแล้ว ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิด"
" อย่ามาโกหก !!!" อังคาสตอบกลับ
" ตัวประหลาดอะไรกัน เรียกสุดหล่อตะหากล่ะ สุดหล่อดีกว่าเยอะ "
" อเวจีล่ะสิไม่ว่า!!!" อังคาสและปัทมาสน์ตอบเป็นเสียงเดียวกันอย่างพร้อมเพรียง
" ทีอย่างนี้สามัคคีว่าสุดหล่อจริงนะ เมื่อคืนนี้ยังตีกันจะตายอยู่เลย "
" เมื่อคืนอะไรกันเราเพิ่งจะเถียงกันเมื่อไม่นานมานี้เองนะ " อังคาสกล่าว
" ก็เมื่อคืนพระโอรส พระธิดาก็ตีกันแทบตายดีนะที่ห้ามไว้ทันไม่งั้นก็...." ตุ้บเท่งได้ยุแยงขึ้นอีกครั้ง
" หมายความว่าเมื่อคืนคนของเจ้าก็ทำร้ายคนของข้าล่ะะสิ " ปัทมาสน์กล่าว
" อย่ามาว่าจันทราภานะ คนของเจ้าล่ะสิไม่ว่า!!! " อังคาสกล่าวปกป้องผู้เป็นพี่
" จันทลักษณ์ไม่เคยหาเรื่องใครก่อน ห้ามว่าคนของข้า!!! " ปัทมาสน์ก็ตอบกับเช่นกัน
" จำได้ว่าบาดเจ็บกันด้วยนะ " ตุ้บเท่งเติมประโยคลงไปอีก
" บาดเจ็บเหรอ... ข้ายอมไม่ได้ เจ้าต้องชดใช้แทนคนของข้า!!! " ปัทมาสน์พูดแล้วเนรมิตกายให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม
"เราก็ยอมไม่ได้ เจ้าก็ดีแต่แปลงกายให้ใหญ่ เจ้าอย่าคิดนะว่าเราจะสู้เจ้าไม่ได้เหมือนครั้งก่อน !! " อังคาสเรียกพระขรรค์ออกมา
" แล้วเจ้าจะรู้ว่าข้าไม่ได้เก่งแค่ตัวใหญ่อย่างเดียว !!! " พระธิดายักษ์กล่าวแล้วจึงใช้มือไล่คว้าตัวพระโอรสมนุษย์ให้ทั่ว แต่ไม่ทันจับได้เหมือนครั้งก่อน เหตุเพราะอังคาสมิได้เผลอตัวแล้ว
" ดี ตีกันให้ตายไปเลย " ตุ้บเท่งหลบอยู่หลังต้นไม้แล้วดูเหตุการณ์ไปคิดไป
________
" พระโอรส พระธิดา หยุดเถอะพระเจ้าค่ะ" เสียงห้ามปรามที่ดังมาแต่ไกลทำให้ทั้งสองหยุดการต่อสู้
" พี่หิ่งห้อย ห้ามเราทำไม!?! " อังคาสถามหิ่งห้อยยักษ์ที่เขามาห้าม
" เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาห้ามข้า!!!! " ปัทมาสน์มองไปยังหิ่งห้อย
" ทั้งสองพระองค์จะทรงสู้กันมิได้พระเจ้าค่ะ เพราะทั้งสองพระองค์เป็นมิตรกัน " หิ่งห้อยกล่าวตอบ
" เอ๊ะ!! ข้าเป็นมิตรกับเจ้านี่ตอนไหนกัน" ปัทมาสน์กล่าวถามแล้วลดตนเป็นขนาดปกติ
" ตั้งแต่พระธิดาแสงสุรีย์กับพระโอรสสุริยะพระเจ้าค่ะ " หิ่งห้อยยักษ์ตอบคำถามอีกครั้ง
" นี่มันเรื่องอะไรกันแน่? "
" เรื่องเป็นอย่างนี้พระเจ้าค่ะ ........." หิ่งห้อยยักษ์ได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้กับสองบุตรกษัตริย์ฟัง
" แล้วข้าจะแน่ใจได้ยังไงว่าแสงสุรีย์กับจันทลักษณ์เต็มใจ แล้วข้าจะต้องช่วยต่อ? " ปัทมาสน์ถามอย่างเคลือบแคลงใจ
" หม่อมฉันไม่มีหลักฐาน มีแต่คำที่พระธิดาแสงสุรีย์ทรงตรัสไว้ว่า หากพระธิดาปัทมาสน์ช่วยเหลือคนก็ควรช่วยให้ทั่วถึงด้วย พระเจ้าค่ะ "
ปัทมาสน์ได้ยินดังนั้นจึงครุ่นคิดสักพักหนึ่งจึงนึกได้ว่ามีแต่พวกสังวาลย์กับพระบิดาเท่านั้นที่รู้คำกล่าวนี้ของแสงสุรีย์ จึงไว้ใจ
" ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะช่วยพวกเจ้าเอง" พระธิดากล่าว
"คำก็ข้าสองคำก็ข้า พูดดีๆไม่เป็นหรอกหรือยังไง?" อังคาสกล่าวขึ้นหลังจบคำพูดของปัทมาสน์
" ก็ได้ ข้า...เราพูดดีก็ได้ เราจะพูดข้ากับคนที่เราไม่พอใจเท่านั้นล่ะ " ปัทมาสน์ตอบเสร็จก็หันหน้ามองตุ้บเท่ง
ตุ้งเท่งจึงหลบหน้าหันมองอังคาส
" พระโอรสคงไม่ว่าสุดหล่อใช่ไหม " ตุ้บเท่งยิ้มเฟื่อนๆ
" ไม่หรอก " อังคาสตอบ
ตุ้บเท่งยิ้มอย่างดีใจ
" แต่เราจะทำให้เจ้าพูดไม่ได้อีกตลอดชีวิต " อังคาสพูดเสร็จเตรียมจะลงโทษตุ้บเท่ง
" พอๆ พวกเราไปกันได้แล้ว ชักช้าจะไม่ทันกาล เจ้าตัวประหลาดไว้ทีหลัง" ปัทมาสน์ปรามไว้แล้วชวนให้เดินทางต่อ
" ได้ " อังคาสตอบแล้วทั้งหมดจึงเดินทางไปยังเมืองรัตนบุรีต่อไปโดยไม่รู้ว่าจะมีอันตรายใดๆรออยู่
-
ณ เมืองรัตนบุรี
สไบทองได้ลืมตาขึ้นมาในห้องบรรทมของตนเมื่อครั้งยังเป็มเหสีฝ่ายขวาอยู่
" ท...ทำไมเราถึงมาอยู่ที่นี่ " สไบทองลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปรอบๆห้อง พลางนึกทบทวน
" เราจำได้ว่าตอนนั้นเราไปหาเสด็จพี่พีเชษฐ์นี่" สไบทองนึกได้เพียงเท่านี้มิอาจจะคิดต่อไปได้เพราะหลังจากนั้นก็มีแต่ความมืด
เสียงประตูเปิดเข้ามาในห้องนี้ทำให้สไบทองหันตามเสียงไปแล้วพบกับสตรีนางหนึ่ง
" สไบแก้ว!! " อดีตมเหสีรู้สึกตกพระทัยเป็นอย่างยิ่งเมื่อพบว่าสตรีนางนั้นคือพระมเหสีฝ่ายซ้ายของอดีตพระสวามี
" ใช่ เราเอง " สไบแก้วตอบรับเสียงที่เรียกชื่อของตน
" ทำไมเราถึงมาอยู่ที่นี่ แล้วท้าวพีรเชษฐ์ล่ะ" สไบทองถามขึ้นเพราะจำได้ว่าเมืองนั้นน่าจะถูกยึดครองแล้ว
"เสด็จพี่ทรงบรรทมอยู่ที่ห้องของเรา" สไบแก้วตอบคำถามของสไบทอง
" แสดงว่าเขายังอยู่ดีกินดีใช่ไหม" สไบทองถามขึ้นเพื่อความแน่ใจ
" ใช่เสด็จพี่ยังอยู่ดี" สไบแก้วตอบอีกครั้งพร้อมกับยิ้มอย่างพอใจ
" เหตุใดเจ้าถึงจับเรามา เราไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขาอีกแล้ว" สไบทองถามในสิ่งที่ตนไม่เข้าใจ
" ไม่มีก็แค่นั้น ที่เราจับเจ้ามาเพราะเกี่ยวข้องกับลูกของเจ้า"
" เจ้าจะทำอะไรทำไมต้องมายุ่งกับลูกของเราอีก"
"เราจับเจ้ามาเพื่อให้ลูกของเจ้านำเกราะกายสิทธิ์มาให้กับพ่อของเรา" สไบแก้วแก้ความกังขาให้กับสไบทอง
" เจ้ารู้เรื่องเกราะกายสิทธิ์ได้ยังไง!!"
" เรื่องนี้ออกจะแพร่หลายไปทั่วทุกแห่งหนใยเล่าเราจะไม่รู้ "
" สไบแก้วเราไม่คิดเลยว่าเจ้าเป็นคนเช่นนี้ เรารักเจ้าเหมือนน้องแท้ๆ เจ้าไม่รักเราบ้างเลยเหรอ"
" รัก? เราจะรักเจ้าทำไมในเมื่อเจ้าไม่ใช่พี่ของเรา"
" ใช่สิ เสด็จพ่อรับเจ้าเป็นลูกคนหนึ่ง เราก็ต้องเป็นพี่ของเจ้า "
" อย่าพูดดีเลย ตลอดชีวิตนี้เราเคยได้อะไรเท่าเจ้าที่เป็นลูกแท้ๆบ้าง ดีที่เรายังมีท่านพ่ออยู่ ไม่อย่างนั้นเราคงเสียเปรียบไปตลอดแน่"
" เราให้เจ้าตลอดยังเสียเปรียบอยู่อีกเหรอ"
" เจ้าไม่รับรู้ความเจ็บปวดของเราหรอก ฉะนั้นแล้วเจ้าจะต้องเจ็บปวดเสียบ้าง จะได้รู้ว่าความทรมานเป็นยังไง !! "
สไบแก้วพูดจบจึงรีบเดินออกจากห้องไปด้วยความโมโห สไบทองพยายามวิ่งออกตามแต่ไม่ทันประตูที่ปิดลง
" ลูกแม่..เจ้าอย่ามาช่วยแม่นะเจ้าจะเป็นอันตราย " สไบทองร่ำไห้ไม่อยากให้ลูกมาช่วยตนแล้วจึงกลับไปนั่งที่บรรทมดังเดิม
__________________
" ท่านพ่อเราจะทำยังไงต่อไปจ๊ะ " สไบแก้วถามปุโรหิตซึ่งเป็นพ่อแท้ๆของตน
" เราจะต้องรอให้เด็กนั่นมาถึงแล้วเราจะได้ชิงเอาเกราะกายสิทธิ์" ผู้เป็นพ่อตอบคำถามของลูกสาว
" ถ้าเรารออยู่อย่างนี้แล้วเมื่อไหร่จะถึงล่ะจ๊ะ ข่าวคราวเรื่องเกราะนี่ก็รู้กันไปทั่วแล้ว "
" มันต้องมาถึงเร็วนี้แน่ๆ องค์วิษุวัติบอกเราขนาดนี้แล้ว ระหว่างนี้เจ้าจะทำอะไรกับพระมเหสีสไบทองก็ได้ทั้งนั้น"
" จะ ท่านพ่อ "
" เจ้ารีบไปเถอะ พระสวามีของลูกคงตื่นพระบรรทมแล้ว"
"จะ ท่านพ่อ แล้วลูกจะมาหาท่านพ่ออีก "
กล่าวจบแล้วไสบแก้วก็กลับไปยังพระตำหนักของตน
______
" บดิศรแม่ของเจ้าหายไปไหน" ท้าวพีรเชษฐ์ถามพระโอรสเมื่อตื่นบรรทมแล้วไม่เห็นพระชายาของตน
" เสด็จแม่เสด็จไปเยี่ยมท่านตาพระเจ้าค่ะ " บดิศรตอบคำถามพระบิดา
" แล้วจะกลับเมื่อไหร่ล่ะ? "
" หม่อมฉันกลับมาแล้วเพคะ " สไบแก้วกลับเข้ามาในพระตำหนักแล้วได้ยินเสียงถามถึงตนจึงตอบ
" ทำไมเจ้าไปนานนักล่ะสไบแก้ว" พีรเชษฐ์ถามด้วยความสงสัย
" ไม่นานหรอกเพคะ หม่อมฉันเพียงไปปรึกษาหารือเรื่องหนึ่งก็เท่านั้น "
" เรื่องอะไรกัน" พีรเชษฐ์ขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างกังขา
" เรื่องของวิเศษ เกราะกายสิทธิ์เพคะ " สไบแก้วคลายความกังขาลง
"ของวิเศษ !!" เหล่านางกำนัลพูดกันอย่างสนใจ
" พวกเจ้าออกไปก่อน นี่ไม่ใช่ธุระของพวกเจ้า " สไบแก้วให้เหล่านางกำนัลออกไปเพื่อจะไม่ให้ใครรู้เรื่องเกราะกายสิทธิ์มากนัก
" เสด็จแม่เรื่องนี้ท่านตาไม่ให้บอกใครนะพระเจ้าค่ะ " บดิศรแย้งขึ้นมาหลังจากเหล่านางกำนัลออกไปหมดแล้ว
" ไม่เป็นไรหรอก ทรงเป็นสด็จพ่อของลูก ยังไงรู้ไว้ก็ดีแล้วนี่ " สไบแก้วตอบกลับผู้เป็นลูก
" แล้วเกราะกายสิทธิ์นี่คืออะไรกันสไบแก้ว " พระสวามีถามขึ้นมา
"เป็นเกราะที่มีอานุภาพมากเพคะ หากใครได้สวมใส่ก็จะมีอิทธิฤทธิ์เป็นอย่างมาก"
สไบแก้วกล่าวตอบ
" แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหนล่ะ "
" อยู่ที่พระโอรสสุริยะเพคะ "
" เด็กกาลีบ้านเมืองนั่นไม่ใช่ลูกของเราอย่าพูดแบบนี้อีก!!" พีรเชษฐ์รู้สึกอารมณ์ไม่ดีเมื่อได้ยินชื่อของอดีตพระโอรส
"ขอพระราชทานอภัยเพคะ หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจ" สไบรีบกล่าวขออภัยที่ทำให้พระสวามีอารมณ์เสีย
" ไม่เป็นไร แล้ว เราจะทำยังไงให้ได้มันมาล่ะ " พีรเชษฐ์ถาม
" ต้องรอให้สุริยะมาถึงแล้วเสด็จพ่อก็ทรงดึงเกราะกายสิทธิ์ออกตอนมันเผลอสิพระเจ้าค่ะ" บดิศรตอบคำบิดาแทนมารดาของตน
" แล้วจะมาหาเราได้ยังไงกัน ? "
" ได้สิเพคะ สุริยะต้องมาแน่ " สไบแก้วตอบไปยิ้มไป
...
" องค์เหนือหัวพระเจ้าค่ะ ท่านเสนาอำมาตย์มีเรื่องจะกราบทูลพระเจ้าค่ะ "
เสียงทหารเข้ามารอหน้าประตูกราบทูลให้พีเชษฐ์ไปยังท้องพระโรง
" วันนี้เราไม่ว่าง ให้ท่านปุโรหิตออกว่าราชการแทนเรา " พีเชษฐ์ตอบทหารของตน
" แต่ว่า..."
"ไม่มีแต่!!!! ไปได้แล้ว !! " กษัตริย์ออกปากไล่ทหารให้กลับไปโดยไม่สนใจอะไรเลย
-------
" ท่านอำมาตย์ขอรับ องค์เหนือหัวทรงให้ท่านปุโรหิตออกว่าราชการแทนอีกแล้วขอรับ " ทหารคนเดิมได้บอกกับอำมาตย์เรืองรองเจ้านายของตน
" แปลกจริงๆ นี่ก็ตั้งนานแล้วทำไมองค์เหนือหัวยังไม่ทรงออกว่าราชการเองอีก "
อำมาตย์เรืองรองกล่าวขึ้นเมื่อได้ทราบเรื่องที่ปฏิเสธเช่นเดิม
" ให้ปุโรหิตเฒ่านั่นออกว่าราชการแทนจนจะขึ้นเป็นเจ้าเมืองได้อยู่แล้ว " อำมาตย์พิชัยกล่าวขึ้น
" นี่เมืองใครกันแน่นะ เห้อ..." อำมาตย์เรืองรองทอดถอนหายใจ
.............
-
ทางฝั่งของอังคาสกับปัทมาสน์ ทั้งหมดเดินทางไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งในยามที่ใกล้จะมีแสงอาทิตย์ ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากเขตเมืองรัตนบุรีเท่าไร
" สุดหล่อไม่ไหวแล้วพระโอรส เดินทางมาทั้งวันทั้งคืนไม่พักเลย " ตัวประหลาดที่เรียกตนเองว่าสุดหล่อพูดด้วยความเหนื่อยที่ประสบมาตลอดจนจะครบวัน
" อะไรกัน ถ้าเราไม่เร่งเดินทางจะมาถึงขนาดนี้เรอะเจ้าตุ้บเท่ง " หิ่งห้อยยักษ์กล่าวตอบคำแทนผู้เป็นนาย
" นี่ก็ใกล้เช้าแล้วเราพักกันสักหน่อยก็คงไม่เป็นอะไรหรอก " พระธิดายักษ์กล่าวขึ้นมาเพราะไม่อยากให้อ่อนล้าเกินไป
" แล้วเสด็จแม่เราล่ะ เรามาถึงขนาดนี้ ไปอีกหน่อยเราก็จะถึงรัตนบุรีแล้ว " พระโอรสมนุษย์กล่าวตอบด้วยเพราะเป็นห่วงพระมารดา
" เถอะน่านี่ก็จะเปลี่ยนวันแล้ว เจ้าไม่นึกถึงตัวเจ้าเจ้าก็น่าจะนึกถึงคนที่เปลี่ยนต่อจากเจ้าบ้างสิ " ปัทมาสน์พูดตอบอย่างรู้ดี
" เจ้าก็รู้เรื่องนี้หรือด้วย? " อังคาสถามขึ้นเพราะไม่เคยสงสัยมาก่อน
" ตอนเถียงกันนึกว่าจะรู้ซะอีก เรารู้อยู่แล้วว่าคนสวมใส่เกราะกายสิทธิ์ต้องเปลี่ยนตัวกันตลอดเจ็ดวัน แต่ไม่ใช่แค่พวกเจ้า พวกเราก็เป็นเหมือนกัน " ปัทมาสน์คลายความสงสัยให้
" เจ้ารู้ได้ยังไง แล้วนี่ทำไมเจ้าเหมือนกับเรา " อังคาสยังคงกังขาอยู่
" เราเคยได้ยินมาแต่เราจำไม่ได้หรอกว่าที่ไหน ออที่เราเหมือนเจ้าเพราะเรามีสังวาลย์มณี " ปัทมาสน์คลายกังขาให้อังคาสอีกครั้ง
" สังวาลย์มณี พี่หิ่งห้อยไม่เคยได้ยินเลยนะพระเจ้าค่ะเห็นแต่พระธิดาเปลี่ยนวันกันจริงๆ " หิ่งห้อยช่วยเสริมเล็กน้อยว่าเห็นจริง
" แล้วมันมีฤทธิ์เหมือนกับเกราะกายสิทธิ์ไหมพระธิดา " สุดหล่อถามอย่างตาวาวเพราะตนไม่ได้สังเกตว่าสังวาลย์จะวิเศษ นึกเพียงว่าเป็นเครื่องประดับอย่างเดียว
" ไม่มีสำหรับตัวประหลาดอย่างเจ้า!!" พระธิดายักษ์เริ่มเคืองเมื่อมีคนถามถึงความวิเศษ
" เราว่าเจ้าไปพักเถอะ เราจะเดินทางไปก่อน " อังคาสออกความเห็นเพราะตนไม่อยากให้เสียเวลา
" ก็ได้แล้วเราจะตามไป " ปัทมาสน์ตอบ
ทั้งสองจึงแยกทางกันไปโดยแสงอาทิตย์ได้ลงมาสาดส่องลงสู่ด้านล่าง เป็นสัญญาณบอกว่าวันใหม่ได้เข้ามาแล้ว
" เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง.....หรือว่าปัทมาสน์มาเที่ยวเล่นอีกแล้ว จริงๆเลยเชียว" ร่างที่เปลี่ยนจากเด็กผู้หญิงกลายเป็นเด็กผู้ชายโดยเด็กชายคิดว่าคนก่อนหน้านี้มาเที่ยวเล่นไกลๆเหมือนเคย เพชรราหูได้มองดูไปรอบๆก็เห็นต้นไม้ต้นหนึ่งสลักอักษรไว้จึงได้อ่านดู
" เพชรราหูตอนนี้มีเรื่องที่เจ้าต้องทำต่อจากเราคือติดตามพวกเกราะกายสิทธิ์ที่มีผู้ติดตามเป็นตัวประหลาดหนึ่งและหิ่งห้อยยักษ์อีกหนึ่ง ไปยังเมืองรัตนบุรี เพื่อช่วยเหลือผู้คน " พระโอรสน้อยอ่านดูก็รู้ว่าเป็นเรื่องจริงจังหาใช่เรื่องเล่นของพระธิดายักษ์ไม่ ได้ความดังนั้นเพชรราหูจึงรีบเดินทางตามไปโดยทันที
อีกทางหนึ่งพระโอรสอังคาสก็เปลี่ยนเป็นพระธิดาพุทธรัตน์ซึ่งหิ่งห้อยยักษ์ได้เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง
" พี่หิ่งห้อยจ๊ะแล้วคนที่ใส่สังวาลย์เขาจะตามมาเมื่อไหร่ล่ะจ๊ะ " พระธิดาน้อยถามขึ้น
" คงไม่นานหรอกพระเจ้าค่ะ หากพระธิดาเหนื่อยก็ทรงพักผ่อนก่อนได้นะพระเจ้าค่ะ " หิ่งห้อยยักษ์กล่าวด้วยความห่วงใยเพราะร่างกายนี้เมื่อวานก็ไม่ได้ำพักเลย
" ไม่เป็นไรหรอกจะพี่หิ่งห้อย เราไปต่อเถอะ น้องเป็นห่วงเสด็จแม่ " พุทธรัตน์กล่าวตอบแล้วเร่งเดินทางต่อจนถึงเขตเมืองรัตนบุรี
" พระธิดาถึงแล้วๆ นี่ใช่เมืองรัตนบุรีใช่ไหมเจ้าหิ่งห้อย " สุดหล่อได้ถามหิ่งห้อยเมื่อเดินทางมาพบเมืองที่มีกำแพงขาวตั้งตระง่านอยู่
" ใช่แล้วล่ะ " หิ่งห้อยยักษ์ตอบ
" แต่แปลกนะพระเจ้าค่ะพระธิดา ครั้งที่แล้วพี่หิ่งห้อยกับพระโอรสศนิวารมาที่นี่ไม่เห็นมีผู้คนแต่ตอนนี้กลับเห็นผู้คนยังอยู่กันดี " หิ่งห้อยเล่าให้ฟังด้วยความสงสัย
" อาจจะเป็นครั้งที่แล้วที่มาช่วยไปเป็นตัวปลอม เมืองนั่นอาจเนรมิตขึ้นมา แต่เมืองนี้ก็ไม่ควรประมาทเหมือนกันจะ " พุทธรัตน์กล่าวตอบหิ่งห้อยแล้วจึงเดินไปยังหน้าประตูที่ทหารเฝ้ายามอยู่ โดยหิ่งห้อยยักษ์และตุ้บเท่งยังหลบอยู่
" เสด็จแม่เราอยู่ที่ไหนกัน " พระธิดาถามหาพระมารดากับทหาร
" เสด็จแม่อะไรกันล่ะหนู ข้าไม่รู้จัก " ทหารยามถามขึ้นเพราในวังนี้ไม่เคยมีพระธิดาเลยสักคน
" เสด็จแม่สไบทอง " พุทธรัตน์ตอบคำถามพร้อมกับมองหน้าทหาร
" อะไรกันพระมเหสีสไบทองมีแต่พระโอรสหนำซ้ำยังโดนเนรเทศไปแล้ว อย่าเหลวไหลหน่อยเลย " ทหารบอกเด็กผู้หญิงที่เรียกอดีตมเหสีฝ่ายขวาว่าแม่ได้อย่างเต็มปาก
" เราไม่เชื่อ เสด็จแม่ต้องอยู่ในนี้แน่ ให้เราเข้าไปนะ " พุทธรัตน์พูดแล้วจึงพยาพยามจะวิ่งเข้าไปแต่ทหารดักไว้พร้อมชักดาบออกมา
" อย่าทำร้ายพระธิดานะ " หิ่งห้อยยักษ์รีบบินออกจากที่ซ่อนแล้วมาห้ามเหล่าทหาร
" น..นี่มันหิ่งห้อยยักษ์นี่ พวกเจ้ารีบไปตามท่านอำมาตย์มาเร็ว!! " ทหารที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าเวรยามสั่งให้ทหารคนอื่นไปตามอำมาตย์มา
" เราไม่ได้จะทำอะไรพวกเจ้า เราแค่ต้องการจะพบเสด็จแม่ของเราเพียงเท่านั้น เราไม่ได้อยากทำร้ายพวกเจ้า" พุทธรัตน์พูดแสดงเจตจำนงของตนต่อเหล่าทหาร
"ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอกดูสิเจ้ามีหิ่งห้อยยักษ์ตัวนี้อยู่ พวกเราไม่เชื่อว่าจะปลอดภัย " หัวหน้าทหารยามพูดขึ้นด้วยความไม่ไว้ใจที่เด็กน้อยคนนี้มีสัตว์ข้างกายที่แสนใหญ่โต
" มีเรื่องอะไรกัน !!" เสียงอำมาตย์วัยกลางคนดังขึ้นมาหลังจากที่หัวหน้าทหารพูดได้ไม่นาน
" ท่านอำมาตย์เด็กหญิงคนนี้มาพร้อมกับหิ่งห้อยยักษ์อ้างว่าเป็นลูกของพระมเหสีสไบทองขอรับ " หัวหน้าทหารได้บอกเรื่องที่ตนพบเจอ
" พระมเหสีสไบทองออกจากเมืองนานแล้ว ที่สำคัญพระองค์มีพระโอรสพระองค์เดียว กลับไปเสียเถิด " อำมาตย์เรืองรองกล่าวด้วยความอ่อนโยนเมื่อพบเห็นพุทธรัตน์
" เราเป็นลูกอีกคนของเสด็จแม่ให้เล่าคงยาว ท่านอำมาตย์ให้เราเข้าไปเถอะ " พุทธรัตน์อ้อนวอนด้วยเหตุตนต้องการจะพระมารดาเป็นที่สุด
" กลับไปเถอะ " อำมาตย์พูดเสียงแพ่ว ไม่รู้จะหาคำใดมาพูดให้เด็กน้อยใจอ่อน
" ในเมื่อให้เข้าไปง่ายๆไม่ได้ เราคงต้องใช้วิธีแล้ว......พี่หิ่งห้อย" พุทธรัตน์รู้ดีว่ายังไงคงจะยอมไม่ได้จึงเรียกหิ่งห้อยยักษ์สหายร่วมทางคู่ใจของตนแล้วขึ้นขี่บนหลัง
" พวกเราต้องบินไปแล้วล่ะจะพี่หิ่งห้อย" พระธิดาน้อยกล่าวบอกกับหิ่งห้อย ซึ่งหิ่งห้อยก็รับรู้ในคำนี้ดี จากนั้นหิ่งห้อยยักษ์จึงบินพาข้ากำแพงไปยังด้านใน
" มันเข้าไปแล้ว !!! " ทหารต่างตกใจที่ทั้งคู่ตัดสินใจบินข้ามกำแพงวังไป
" อ้าวพระธิดาไปไม่ชวนสุดหล่อบ้างเลย" ตุ้บเท่งที่คอยมองอยู่ตรงที่ซ่อนนึกเสียดายที่ตนไม่ได้เข้าไปข้างในกับทั้งสอง
" รออะไรอยู่ล่ะ ไปกราบทูลองค์เหนือหัวเร็วเข้า " อำมาตย์เรืองรองรีบสั่งทหารให้กราบทูลเจ้าเมืองเพื่อจะได้ทราบว่ามีผู้บุกรุก
-
สนุกมากเลยค่ะ อยากให้บัวกับอังคาส เจอกันบ่อยๆจัง รออ่านทุกวันนะค่ะ
-
ขอขอบคุณคุณ NingM ที่ติดตามนะคะ จักรกรดไม่ได้มาเป็นเดือนๆเลย w15 ขออภัยด้วยนะคะ ช่วงนี้ตารางชีวิตเริ่มคลายความยุ่งอีกครั้งแล้ว จักกรดมีแพลนจะแต่งต่อค่ะ ส่วนของพระโอรสอังคาสกับบัวแย้มจะได้พบเจอบ่อยเมื่อเติบใหญ่แน่นอนค่ะ คิดว่ากลับมารอบนี้จะแต่งตอนเด็กให้จบ แล้วจะเริ่มตอนโตอย่างเป็นทางการค่ะ w8 w8
-
ที่ตำหนักพระมเหสีสไบแก้ว
"องค์เหนือหัวพระเจ้าค่า องค์เหนือหัว" เสียงของทหารคนหนึ่งดังมาแต่ไกล ไม่นานเจ้าของเสียงก็มาถึงอย่างเหนื่อยหอบเพราะด่วนวิ่งมากเกินไป
" มีอะไร ทำไมถึงด่วนมาบอก เกิดอะไรขึ้น? " ท้าวพีรเชษฐ์ถามขึ้นเมื่อเห็นคนส่งข่าวมาถึงอย่างร้อนรน
" คือ..ม.ม....มี..มีผู้..ผู้บุกรุกพระเจ้าค่ะ " นายทหารรีบกราบทูลเจ้าเมืองเสียงปนหอบยังไม่หายเหนื่อยดี
" มีผู้บุกรุก? แล้วทำไมไม่จัดการเสียหละ มาบอกเราทำไม " องค์เหนือหัวถามขึ้นอีกครั้งด้วยความสงสัย
" ผู้บุกรุกนี้ไม่ใช่คนธรรมดา เป็นเด็กวิเศษขี่หิ่งห้อยยักษ์บินเข้ามาพระเจ้าค่ะ " ทหารตอบอย่างไว
" เด็ก...เด็กนี่ใส่เกราะรึเปล่า " พระมเหสีกล่าวขึ้นอย่างสนใจ พลางนึกถึงพระราชบุตรของอดีตพระมเหสีจะมาช่วยพระมารดา
" ใส่พระเจ้าค่ะ "
"ดี..องค์เหนือหัวเพคะ หม่อมฉันขอเชิญพระองค์เสด็จยังท้องพระโรงเพคะ " เมื่อแน่ใจสไบแก้วจึงทูลพระสวามีอย่างมีเลศนัย
" ทำไมล่ะ " ท้าวพีรเชษฐ์ไม่อยากไปถึงได้ถามขึ้น
" เด็กคนนั้นมีเกราะกายสิทธิ์เพคะ หากพระองค์ทรงรับเป็นพระบิดาแล้วเราจะได้ชิงเกราะได้เพคะ " สไบแก้วกระซิบทูล
" ดี เช่นนั้นเราไปกันเถอะ "
" เสด็จก่อนเถิดเพคะ แล้วหม่อมฉันจะตามไป " สไบแก้วกล่าว เพราะตนต้องทำเรื่องหนึ่งก่อน
" อย่าช้านะ เราไปหละ " เจ้าเมืองกล่าวเสร็จจึงเสด็จไปยังท้องพระโรง
--------------------------------------------------------------------------------------------------
-
ฝ่ายพระธิดาพุทธรัตน์เมื่อเข้ามาด้านในได้แล้วก็ตามหาพระมารดา แต่หาสักเท่าใดก็ไม่พบเวลาก็จวบจะย่ำค่ำเต็มทน
" เสด็จแม่เพคะ เสด็จแม่ประทับอยู่ที่ไหนเพคะ " พระธิดาส่งเสียงเรียกพระมารดาหวังให้มีเสียงตอบกลับมาบ้างในบริเวณตำหนักริมสระอันแสนเงียบงัน
อดีตพระมเหสีสไบทองได้ยินเสียงก็จำได้ว่าเป็นพระลูกยาจึงจะเปล่งเสียงตอบรับ แต่ยังไม่ได้จะได้พูดก็มีมือคู่หนึ่งมาปิดพระโอษฐ์แน่นทำให้สลบแล้วเจ้าของมือคู่นั้นจึงนำร่างคนสลบไปอีกที่อย่างรวดเร็ว
" พระธิดาพระเจ้าค่ะ " หิ่งห้อยยักษ์กล่าวขึ้นเมื่อตนสังเกตเห็นบางอย่าง
" มีอะไรหรือจ๊ะพี่หิ่งห้อย "
" ตรงข้างซ้ายของตำหนักมีแสงเป็นวงอยู่พระเจ้าค่ะ "
พระธิดาวันพุธรู้เช่นนั้นจึงรีบไปดู เมื่อพินิจแล้วจึงตัดสินใจบอกกับหิ่งห้อยยักษ์
" พี่หิ่งห้อยจ๊ะ น้องว่าสิ่งนี้จะต้องเป็นมิติเชื่อมไปที่ใดที่หนึ่งแน่จะ เราลองเข้าไปดูก่อนดีไหมจ๊ะ "
"ดีพระเจ้าค่ะ " หิ่งห้อยกล่าวเสร็จแล้วทั้งสองจึงเข้าไปในมิตินั้น เมื่อเข้ามาจึงพบว่าเป็นตำหนักว่างเปล่าธรรมดาๆเพียงเท่านั้น
" หรือว่าเสด็จแม่จะไม่อยู่ที่นี่กันจ๊ะ" พระธิดากล่าวพลางถอดถอนใจที่ไม่ได้เจอผู้เป็นมารดาของตนเสียแล้ว หิ่งห้อยยักษ์ไม่รู้เช่นกันแต่ไม่ได้กล่าวอะไรในใจก็นึกสงสารพระธิดาน้อยองค์นี้จับใจ
ไม่นานประตูตำหนักก็เปิดออกหาใช่มีลมหรือมหัศจรรย์ใดแต่เป็นการเปิดของนางกำนัลคนหนึ่ง ทำให้ทั้งคู่ตกใจเป็นอย่างมาก ยังไม่ทันสิ้นความตกใจนางกำนัลก็ได้กล่าวขึ้นมา
" หม่อมฉันทูลเชิญพระธิดาเสด็จยังท้องพระโรงเพคะ"
" แต่เราบุกรุกมานะ ไม่เป็นความผิดหรือจ๊ะ" พุทธรัตน์กล่าวถามอย่างกลัวความผิด
" ไม่หรอกเพคะ องค์เหนือหัวทรงปรารถนาที่จะเห็นพระพักต์พระธิดามากเพคะ"
"เสด็จพ่ออยากพบเรางั้นเหรอ หรือว่าทรงให้อภัยเสด็จแม่กับเราแล้ว ไปกันเถอะจะพี่หิ่งห้อย " พระธิดาได้ยินเช่นนั้นก็ดีพระทัยอย่างมากที่จะได้พบหน้าพระบิดาจึงรีบตามนางกำนัลไปยังท้องพระโรงในทันที
-
ครั้นเมื่อถึงท้องพระโรงแล้ว ท้าวพีรเชษฐ์ทรงทอดพระเนตรเห็นเกราะที่มีแสงสีมรกตแล้วเกิดความปรารถนาที่จะได้สัมผัสสักครั้งก็ยังดี มองได้ไม่นานก็ต้องทำตัวปกติเพื่อกันไม่ให้เจ้าของเกราะวิเศษสงสัย ทรงให้เหล่าข้าราชบริพารอออกไปแล้วกล่าวปราศรัยกับพระธิดา
" ลูกพ่อทำไมมาถึงที่นี่ได้แล้วสุริยะหละ " เจ้าเมืองแกล้งคุยอย่างสนิทสนมเหมือนพ่อลูก ด้วยรับรู้ว่าเด็กหญิงคิดว่าตนเป็นบิดา
" ลูกมาตามหาเสด็จแม่เพคะ สุริยะจะปรากฏในวันอาทิตย์เพคะ "
" ยังไงกัน " ท้าวเธอรู้สึกฉงนกับคำพูดของพุทธรัคน์
" เพราะว่าการสวมเกราะกายสิทธิ์จะมีลูกมีทั้งหมดเจ็ดคน จะผลัดเปลี่ยนกันมาในแต่ละวันเพคะ "พระธิดาแก้ข้อกังขาแห่งพระบิดา
"ออ...แล้วที่บอกว่าตามหาเสด็จแม่ ทำไมถึงมาที่นี่หละ "
" ลูกคิดว่าเสด็จแม่อยู่ที่นี่เพคะแต่ไม่พบ ดังนั้นลูกจะออกไปตามหาเสด็จแม่ที่เมืองอื่นเพคะ "
"( แปลกจริง สไบทองก็จากเราไปแล้วจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน) " พระราชาครุ่นคิดอยู่ในใจแต่ไม่ได้ตรัสอันใด
-
" จะไปเลยเหรอ นี่ก็เริ่มมืดแล้ว น้าว่าพักที่นี่ก่อนดีกว่า " สไบแก้วกล่าวขึ้นกันไม่ให้เกราะกายสิทธิ์นั้นหายไปไกลจากตน
" คงจะไม่ได้เพคะ หม่อมฉันจะต้องพบเสด็จแม่ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะมีอันตรายหรือไม่ "
" ไม่หรอกน่า พักก่อนนะ " นางกล่าวอย่างรู้ดี จะไม่ให้รู้ดีได้อย่างไรในเมื่อนางเป็นคนจับขังสไบทองไว้เอง
" เอาเถอะ พักที่นี่สักคืน ถือว่าพ่อขอเถอะนะ" พระบิดากล่าว
" ไม่ได้เพคะ " พระธิดายืนยันคำเดิมอย่างหนักแน่น
" เช่นนั้นก็ได้ แต่ก่อนไปพ่อขอกอดลูกสักครั้งนึงเถอะ " ท้าวพีรเชษฐ์กล่าวเช่นเพื่อให้ลูกตนมาใกล้เพื่อจะได้สัมผัสเกราะแล้วช่วงชิงมา
"เพคะ " พระธิดารับคำขอของพระบิดาแล้วเข้าไปสู่อ้อมกอด
เมื่่อพระราชากอดพระลูกยาเกิดรู้สึกรักใคร่ผูกพันแสนท่วมท้น แต่ทว่ากอดไม่นานท้าวเธอก็ผลักออกทันทีด้วยตกใจระคนกับสับสนในความรู้สึกของตนเอง ทั้งที่ในตอนแรกตนนั้นอยากได้เกราะวิเศษแต่เหตุใดกลับรู้สึกอาลัยไม่สนใจเกราะกายสิทธิ์แทน พุทธรัตน์รู้สึกตกใจและฉงนในการกระทำของบิดาแต่ไม่ได้กล่าวอันใดจึงไดตัดสินใจลา
"ทูลลาเพคะเสด็จพ่อ " กล่าวเสร็จจึงเดินกลับไปพร้อมกับหิ่งห้อยยักษ์ สไบแก้วเห็นดังนั้นจึงทูลให้พระสวามีทัดทานแต่ไม่เป็นผล
" พระธิดาจะเสด็จไหนพระเจ้าค่ะ!!!"เสียงอันดังของคนที่เพิ่งเข้ามาทำให้พุทธรัตน์หันกลับไปมอง แล้วจึงเห็นพระมารดาตนอยู่กับคนผู้นั้น
" เสด็จแม่!!!!"
-
" พุทธรัตน์หนีไปลูก ไม่ต้องห่วงแม่ " สไบทองพูดให้ดวงใจหนีไปด้วยกลัวว่าจะเป็นอันตราย
" นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมสไบทองถึงมาอยู่ที่นี่ได้ " ท้าวพีรเชษฐ์กังขากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
" คือว่า..." สไบแก้วไม่อาจจะสรรหาคำพูดใดมาตอบองค์ภัสดา
"กระหม่อมจับมาเองพระเจ้าค่ะ " ชายชราที่จับตัวสไบทองทูลต่อเจ้าแผ่นดิน
" ไม่เห็นจะต้องทำขนาดนี้ เราขอให้ท่านปล่อยสไบทองเถอะ อย่าได้ทำร้ายนางเลยนะท่านปุโรหิต " ท้าวเธอยังรู้สึกห่วงอดีตพระมเหสีอยู่บ้างจึงได้ออกคำสั่งกับคนที่จับพระนางไว้
"ไม่พระเจ้าค่ะ กว่าเกราะนี่จะมาไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะพระเจ้าค่ะ " ปุโรหิตยืนกราน
" ท่านปุโรหิต ปล่อยเสด็จแม่เราเถอะนะ ท่านอยากได้อะไรเราจะให้ท่านทุกอย่าง พุทธรัตน์อ้อนวอนต่อบิดาของสไบแก้ว
" ได้พระเจ้าค่ะ แต่พระธิดาจะต้องยกเกราะกายสิทธิ์ให้กับกระหม่อม" ผู้เฒ่าเสนอข้อต่อรอง
" เรายอมแล้ว ขอเพียงปล่อยเสด็จแม่ของเราก็พอ"
" อย่านะลูก!! " พระมารดาได้ค้านความคิดของพระบุตรี
หิ่งห้อยยักษ์เห็นท่าไม่ดีจึงคิดเข้าไปช่วยแต่มิอาจทำได้ด้วยเหตุเพราะมีมนต์ดำคุ้มกันไว้ไม่ให้เข้าไปใกล้
" ทหารมาเร็วเข้า ทหาร!! " เจ้าเมืองเรียกทหารอย่างร้อนรน ในขณะที่เจ้าเมืองเรียกอยู่นั้นพระธิดาได้ถอดเกราะกายสิทธิ์ออกปรากฏร่างอันพิการน่าสงสารของพระโอรสสุริยะมาแทนที่
" ปล่อยเสด็จแม่เราเถอะนะ แล้วเราจะให้เกราะกายสิทธิ์แก่ท่าน " พระโอรสพูดอย่างทุลักทุเล
"ไม่ได้พระเจ้าค่ะ พระโอรสต้องส่งเกราะมาให้กระหม่อมก่อนแล้วกระหม่อมจะปล่อย"
ท้าวพีรเชษฐ์ร้อนใจนัก เรียกหาทหารสักเท่าใดไม่เห็นใครมา ใครเล่าจะมา ในเมื่อมีคนของปุโรหิตขัดขวางอยู่ ท้าวเธอจึงตัดสินใจลงมาห้ามภอีกครั้ง
"หยุดนะ !!จะทำอะไรไม่สนเราเลยเหรอ ท่านไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้ ปุโรหิต "
" สนพระเจ้าค่ะแต่เกราะนี้ก็สำคัญไม่แพ้กัน " ชายชรากล่าวตอบพลางจับสไบทองไว้แน่นกว่าเดิม
" รับเกราะของเราไปเถอะ " พระโอรสส่งเกราะกายสิทธิ์ให้กับเฒ่าเจ้าเล่ห์ผู้นั้นอย่างมีหวังให้ปล่อยพระมารดา แต่ทว่าเมื่อปุโรหิตได้เกราะวิเศษมาก็มิได้ปล่อยสไบทองแต่อย่างใดกลับมีจิตคิดสังหารเจ้าของเกราะด้วยซ้ำไป
"ฮ่าๆ เจ้ามันหน้าโง่ไม่เปลี่ยนแปลง วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าให้ตายซะ" พูดจบทันใดเฒ่าปุโรหิตก็ใช้เกราะกายสิทธิ์ทำร้ายพระโอรสในทันที พระบิดามิอาจทนเห็นพระโอรสวายชนม์จึงนำตนเองมากำบังทำให้สิ้นพระชนม์อย่างรวดเร็ว
-
"เสด็จพ่อ !! / เสด็จพี!! " พระโอรสสุริยะและพระมเหสีสไบทองร้องเรียกท้าวพีรเชษฐ์อย่างตกใจระคนกับเสียใจเป็นอย่างมาก
สไบแก้วรีบวิ่งเข้ามาโอบกอดร่างอันไร้วิญญาณของพระสวามีอย่างใจแทบแหลกสลายน้ำตาไหลนองหน้า
" พวกเจ้าทำให้พระสวามีเราต้องตาย...ท่านพ่ออย่าได้ไว้ชีวิตพวกมัน " สไบแก้วบอกพ่อของตนเสียงสั่นสะท้าน
ปุโรหิตได้ยินดังนั้นจึงใช้เกราะกายสิทธิ์ทำการสังหารพระโอรสอีกครั้งเพราะคิดว่าไม่มีผู้ใดจะสามารถขัดขวางได้อีก
แต่ผิดคาด ในขณะที่ใช้เกราะวิเศษอยู่นั้นมีแสงสีโกเมนสาดส่องมาต้านพลังของเกราะกายสิทธิ์ให้หายไป ซึ่งแสงนั้นมาจากสังวาลย์ของพระโอรสเพชรราหูแห่งท้าวธีรชัย ช่วงที่แสงสาดส่องสร้างความเจ็บแสบในดวงตาของผู้คนในท้องพระโรงอยู่นั้น เพชรราหูได้ชิงเกราะกายสิทธิ์จากปุโรหิตและนำพรรคพวกของตนออกมายังป่าบริเวณรอบเมืองรัตนบุรีในเพลาใกล้รุ่ง
" พวกเรารอดปลอดภัยแล้ว ต่อไปก็กลับกันเถอะ " พระโอรสแห่งเมืองคีรีมาศพูดพลางส่งเกราะกายสิทธิ์ให้พระโอรสสุริยะสวม แต่พระโอรสสุริยะไม่สวมเกราะกลับกอดไว้กันแสงพร้อมกับพระมารดา
" อะไรกัน จะร้องไห้ไปทำไมนัก..เอ่อ..พระเจ้าค่ะ ปลอดภัยก็ดีแล้วจะได้เกราะคืน ..เอ๊ย!!...กลับเมือง" ตุ๊บเท่งถามขึ้นอย่างสงสัยในกริยาของสองเชื่อกษัตริย์
" เสด็จพี่ปกป้องเรากับลูกให้พ้นอันตรายจนถึงแก่ชีวิต เราจะดีใจได้ยังไงกัน " สไบทองอาลัยองค์ภัสดาเป็นอย่างมาก
" เราไม่ดีเองที่เกิดมาพิการเป็นง่อย รังแต่จะทำให้เสด็จแม่กับเสด็จพ่อต้องลำบากพระวรกายและพระทัย มีเกราะกายสิทธิ์แล้วยังไง เราก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี " สุริยะกล่าวโทษเป็นความผิดของตนอย่างเจ็บปวด
" อย่าพูดอย่างนี้เลยลูกแม่ ลูกไม่ผิดอะไร " สไบทองกอดลูกสะอื้นไห้ไม่หยุดหย่อน สุดหล่อทนฟังเสียงร้องไห้ต่อไปไม่ไหวจึงเดินหนีไปไกลๆ หิ่งห้อยนิ่งเงียบไม่รู้จะปลอบอย่างไร เพชรราหูเห็นเช่นนั้นก็สังเวชทำได้ถอดถอนใจที่ไม่อาจช่วยคลายความเศร้าใจได้ ผ่านไปสักเพลาหนึ่ง แสงจากดวงอาทิตย์ได้สาดส่องลงมากระทบสังวาลย์มณีทำให้พระโอรสเปลี่ยนเป็นพระธิดาในอีกวัน...
-
สู้ๆนะค่ะเอาใจช่วยอยู่เสมอ w26
-
ขอบคุณคุณ NingM มากค่ะ เว้นมาเป็นอาทิตย์แล้วยังไม่ได้แต่งต่อเลยวันนี้พอมีเวลาว่างจะแต่งต่อค่ะ w8 w8
-
" เกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกท่านถึงได้ร้องไห้กันขนาดนี้ " พระธิดาจินดาผู้ใส่สังวาลย์สีบุษราคัมถามขึ้นเมื่อพบกับคนสองคนกันแสงไม่หยุดหย่อน
ทางฝั่งพระมเหสีสไบทองและพระโอรสสุริยะได้ยินเสียงถามไถ่ก็มิอาจทำใจตอบได้ยังคงกันแสงต่อไป หิ่งห้อยยักษ์จึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้จินดาฟัง เมื่อจินดาฟังดังนั้นจึงนึกได้แล้วกล่าวกับสองแม่ลูก
" ได้โปรดหยุดกันแสงเถอะเพคะพระมเหสี พระโอรส กันแสงไปก็ไม่สามารถจะทำให้พระพีรเชษฐ์ฟื้นคืนมาได้หรอกนะเพคะ "
" เจ้าจะเข้าใจอะไรพวกเรา เจ้าไม่เคยสูญเสียเหมือนกับพวกเราทั้งสอง" สไบทองกล่าวตอบเสียงปนสะอื้นแล้วกอดลูกร้องไห้ต่อ
พระธิดาจินดามีหรือจะไม่เข้าใจความสูญเสียในเมื่อตนนั้นสูญเสียพระมารดาตั้งแต่ยังไม่รู้ความ ถึงจะไม่ใช่การสูญเสียที่รับรู้ในคราวแรกแต่เป็นการสูญเสียระยะยาวเสมอมาตลอดชีวิต
" หม่อมฉันอาจจะไม่เข้าใจแต่ว่า..หม่อมฉันยังพอมีวิธีที่จะทำให้พระพีรเชษฐ์ฟื้นคืนชีพมาได้เพคะ " จินดากล่าวขึ้นมาทำให้สไบทองหยุดร้องไห้หันมาด้วยความฉงนระคนกับดีใจ
" จะทำได้จริงเหรอ....แต่ว่าองค์เหนือหัวสิ้นไปแล้วจะกลับมาได้ยังไง "
" ทำได้เพคะ หม่อมฉันได้ดูดวงพระชะตาของพระองค์ยังไม่ถึงฆาต ตราบใดที่พระวรกายและพระวิญญาณยังอยู่ก็สามารถทำพิธีเรียกพระวิญญาณคืนสู่พระวรกายได้เพคะ "
"จริงเหรอช่วยเสด็จพ่อได้จริงๆใช่ไหม " สุริยะได้ยินสิ่งที่จินดาพูดจึงถามอีกครั้งให้แน่ใจ
" จริงสิ เราไม่โกหกหรอก สวมเกราะก่อนดีกว่าจะได้ช่วยพระองค์ต่อไป " พระธิดากล่าวพร้อมกับส่งเกราะกายสิทธิ์ให้พระโอรสสวม พระโอรสสุริยะรับเกราะมาสวมเปลี่ยนร่างจากพิการสู่ร่างที่สมบูรณ์ของพระโอรสอีกพระองค์คือพระโอรสภูมินทร์ผู้มีรัศมีแห่งความเมตตา
จากนั้นทั้งหมดยกเว้นตุ้บเท่งจึงได้ร่วมกันคิดวางแผนที่จะนำพระวรกายแห่งท้าวพีรเชษฐ์มายังป่านี้ต่อไป
-
ด้านฝั่งในวังเมืองรัตนบุรี เหล่าขุนนางและข้าราชบริพารทั้งน้อยใหญ่ได้ทราบข่าวการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์ผู้ครองเมืองสร้างความเสียใจและความแปลกใจแก่ทุกคนเป็นอย่างมาก แต่ถึงกระนั้นเหล่าขุนนางตัดสินใจที่ยังจะไม่บอกกล่าวแก่ประชาชนชาวเมืองที่อยู่นอกวังให้รับรู้การจากไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้
ปุโรหิตเฒ่าไม่ต้องการให้เสียตำแหน่งจึงรีบกล่าวกับเหล่าขุนนางให้รีบแต่งตั้งพระโอรสบดิศรหลานของตนขึ้นครองราชย์ในทันที แต่ทว่าบดิศรยังไม่ต้องการเพราะยังเสียใจในการจากไปของพระบิดาที่ตนเพิ่งรู้ข่าวเมื่อตอนรุ่งเช้าเท่านั้น
ในขณะเดียวกันอำมาตย์เรืองรองนึกเคลือบแคลงสงสัยในตัวปุโรหิตว่าสาเหตุการสิ้นพระชนม์คราวนี้คงต้องเกี่ยวกับปุโรหิตเป็นแน่แท้ แต่มิอาจแสดงออกมาได้ต้องคอยดูท่าทีไปเสียก่อน
................................................
ในพระตำหนักใหญ่ที่มีพระวรกายของท้าวพีรเชษฐ์อยู่นั้น มีแมลงภู่สองตัวบินมายังที่แห่งนี้เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีผู้ใดอยู่ในตำหนักจึงได้เปลี่ยนจากแมลงภู่กลับคืนสู่ร่างมนุษย์ดังเดิม พระโอรสภูมินทร์เมื่อคืนร่างได้กราบพระบาทของพระบิดาแล้วมองดูพระพักตร์ของพระบิดาตน ขณะเดียวกันกับสองตาหลานได้เดินมาและพูดคุยกันอยู่ด้านหน้าประตู
" ท่านตา ทำไมเสด็จพ่อถึงได้สิ้นพระชนม์ได้ในเมื่อในวังนี่แน่นหนาขนาดนี้ " บดิศรได้ถามขึ้นด้วยเพราะรู้สึกติดข้างอยู่ในใจ
" ก็พระโอรสสุริยะน่ะสิเป็นคนสังหารองค์เหนือหัว " ปุโรหิตตอบคำถามผู้เป็นหลาน
" ไอ้ง่อยน่ะเหรอท่านตา มันง่อยขนาดนั้นหลานก็รังแกมันตลอดมันจะทำอะไรใครได้กัน " หลานนึกฉงน
" ก็พระโอรสง่อยน่ะเป็นภูติผีปีศาจที่ยอมเพราะกลัวบารมีหลานน่ะสิ แต่เพราะแค้นองค์เหนือหัวจึงมาหลอกล่อแล้วฆ่าเสีย " ปุโรหิตนั้นรู้อยู่แก่ใจว่าอะไรเป็นอะไรแต่คิดจะหลอกให้หลานเชื่อใจจึงได้ตอบสิ่งเท็จเช่นนั้น
ฝั่งพระธิดาจินดาได้ยินเช่นนั้นจึงเตือนพระโอรสภูมินทร์ ทั้งหมดจึงแปลงกายตนและเจ้าเมืองเป็นแมลงภู่พากันบินหนีไปเป็นเวลาเดียวกับที่บดิศรเปิดประตูมาแล้วพบกับความว่างปล่าวบนแท่นบรรทมแลเห็นแต่แมลงภู่ที่บินออกหน้าต่างไปจึงได้กล่าวออกมา
" เสด็จพ่อหายไปไหน ทำไมมีแต่แมลงภู่บินตัวติดกันออกไป"
ปุโรหิตได้ยินดังนั้นก็แจ้งใจในทันทีว่ามีคนแปลงกายมาพาพระวรกายท้าวพีรเชษฐ์ไป จึงได้สั่งเหล่าบริวารให้ตามจับแมลงภู่ แต่มิอาจจับได้เพราะแมลงภู่ได้บินสูงเสียดฟ้าเข้าในม่านเมฆไป แมงภู่ได้แปลงเปลี่ยนเป็นนกแก้วคาบผลองุ่นบินไปยังที่ที่ได้นัดหมายไว้ในป่าแล้วกลับกลายร่างเป็นคนดังเดิม ปุโรหิตเจ็บใจที่ไม่อาจขัดขวางได้แม้แต่แมลงภู่แต่ไม่จนหนทางเพราะรู้ว่าใครเป็นคนทำจึงได้ใช้มนต์ดำตรวจดูว่าอยู่กันที่ใดแล้วจึงตามไปพร้อมกับบดิศร
สไบทองเมื่อเห็นร่างของภัสดามีจึงได้กอดร่างอย่างอาลัย จินดาไม่รอช้ารีบบอกให้พากันไปอยู่ในถ้ำเพื่อให้ปลอดภัย
" แล้วพวกเราจะทำยังไงกันต่อไปล่ะท่าน " พระโอรสได้ถามกับพระธิดา
" เราจะสอนมนต์เรียกพระวิญญาณให้แก่ท่าน แล้วพวกเราก็แยกย้ายกันตามหาพระวิญญาณให้เข้าสู่พระวรกายภายในยามสอง " พระธิดากล่าวตอบ เมื่อสอนมนต์เสร็จจึงได้แยกย้ายกันออกตามหาพระวิญญาณโดยให้พระมเหสีและหิ่งห้อยยักษ์เฝ้าร่างในถ้ำ ก่อนแยกย้ายพระโอรสและพระธิดาได้ใช้มนต์มิติปิดหน้าถ้ำไม่ให้เข้าไปทำอันตรายได้...
-
ฝ่ายบรดิศรได้เดินทางออกตามหาก็พบกับถ้ำที่คาดว่าเป็นแหล่งพักพิงและกบดานของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี เขาไปที่ปากถ้ำแต่พบว่ามีมนตรากำบังปิดเอาไว้ด้วยความที่รีบร้อนจึงใช้มนตราและกำลังที่ตนได้ฝึกฝนกับผู้ให้กำเนิดมารดาเข้าทำลายมนต์มิตินั้น แทนที่จะถูกทำลายกลับทำให้บดิศรต้องไปติดอยู่ในมิตินั้นแทน
"นี่มันอะไรกัน!! ทำไมข้าถึงติดอยู่ที่นี่ ปล่อยเราเดี๋ยวนี้นะ!!" เขาใช้มือทุบตีมิติที่แข็งราวกระจกกั้นแต่ไม่แตกง่ายดายเช่นนั้น ออกแรงไปได้สักพักต้องหยุดเสียเพราะอ่อนแรง
ด้านฝั่งของพระโอรสภูมินทร์ที่ตามหาวิญญาของพระบิดาได้มายังบริเวณกลางป่าที่อยู่ระหว่างทางเข้าเมืองได้เห็นแสงพระจันทร์สาดส่องสว่างไสวแจ่มชัดเป็นที่สุดพลางคิดในใจว่า"หากเป็นเสด็จพ่อคงจะอยู่แถวนี้เป็นแน่" เพราะความสว่างคือหนทางที่ทุกผู้คนต่างต้องการ คิดดังนั้นแล้วจึงได้ตั้งจิตอฐิษฐานให้ได้พบพระบิดาแล้วกล่าวออกมาว่า
"เสด็จพ่อเจ้าค่ะ ได้โปรดมาพบลูกเถิด ชะตาพระองค์ไม่ได้ถึงฆาต หากทันเวลาเราจะสามารถช่วยประชาราษฎร์ให้พ้นภัยได้นะพระเจ้าค่ะเสด็จพ่อ" ในขณะที่กล่าวสายตาของพระโอรสก็ได้มองหาพระบิดา
"ลูก.. ลูกของพ่อ.. เจ้าคือลูกของพ่อใช่หรือไม่" เสียงของผู้เป็นบิดาดังขึ้นมาพร้อมความใกล้ชิดที่เข้ามาข้างกายผู้เป็นบุตร
" พระเจ้าค่ะเสด็จพ่อ " ภูมินทร์ดีใจเป็นอย่างมากที่ได้พบกับพระบิดาแต่เมื่อรู้สึกตัวได้ว่ามีเวลาไม่มากสำหรับการคืนชีพจึงได้รีบพาวิญญาณไปยังถ้ำที่ไว้ร่างนั้น เมื่อมาถึงจึงได้พบกับร่างสะท้อนในมิติที่เป็นของบดิศรนั่งอ่อนแรงอยู่
"เจ้าเป็นใคร ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!! "เมื่อทันทีที่ได้้เห็นคนผ่านมาหมายจะเข้าไปด้านในถ้ำจึงคำนวณได้ไม่ยากว่ามิตินี้เป็นฝีมือของใคร เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่พยายามทุบมิติเพื่อเรียกร้องการปลดปล่อยตนจากพันธนาการเสีย
"ภูมินทร์.. กับพระองค์" จินดาพูดพลางมองไปด้านข้างกายอีกคนสร้างความไม่เข้าใจให้กับผู้ถูกคุมขัง เขาเห็นอยู่กันแค่สองคนแล้วพระองค์นี่หรือคือใครกัน
"ดีแล้วที่หาพบทันแต่เราไม่มีเวลามากนักคงต้องรีบเสียแล้วล่ะ" พูดพลางผ่าช่องมิติเปิดทางให้ได้เข้าไปด้านในกันทั้งสาม
" ไว้เสร็จกิจแล้วเราจะมาคุยด้วยนะบดิศร"กล่าวเสร็จก็รีบรุดเข้าไปทันทีสร้างความไม่พอใจเป็นอย่างมากต่อผู้ถูกเรียกทั้งที่ตนไม่รู้ว่าเขาเป็นใครแต่อีกฝ่ายกลับรู้จักตนเสียนี่
" เสด็จแม่ ลูกมากับเสด็จพ่อแล้วพระเจ้าค่ะ"
"ไหนล่ะเสด็จพ่อของลูก แม่ไม่เห็นเลย" ดวงตาของนางมองหาอดีตภัสดาด้วยอาลัย
" ผู้ที่ใช้จิตตามอัญเชิญพระวิญญาณจะสามารถเห็นได้เพคะ เห็นทีต้องรีบทำพิธีแล้ว.. ภูมินทร์ท่านจำบทเรียกพระวิญญาณที่เราสอนให้ขึ้นใจดีแล้วใช่หรือไม่"จินดาตอบพระมารดาของสหายเฉพาะกิจแล้วถามอีกคนเพื่อความแน่ใจ
" เราจำได้ท่านไม่ต้องกังวล"
"ขอเชิญองค์เหนือหัวพีรเชษฐ์ทรงประทับบนพระวรกายของพระองค์เพคะ ตั้งจิตอฐิษฐานตั้งมั่นแน่วแน่ เริ่มสวดเรียกพระวิญญาณสู่ร่างได้"ท้าวเธอทำตามคำเชิญแล้วพนมมือตั้งจิตมั่นพร้อมกับโอรสาที่ท่องบทสวด ส่วนผู้นำทำพิธีได้นำใบสรรพชีวีมาโรยรอบพระวรกายราวกับดอกไม้ร่วงงามยามสุขสันต์แล้วทำการเจิมที่กลางหว่างคิ้วของพระราชาส่งผลให้ร่างกายและวิญญาณเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอีกครั้ง บัดนี้ทรงได้ฟื้นคืนชีวีมาแล้วนั่นเอง สไบทองดีใจและพอใจที่คนที่ตนรักยังไม่สิ้นสูญสลายไป
"สำเร็จแล้วพระเจ้าค่ะพระโอรส" หิ่งห้อยยักษ์กล่าวด้วยความยินดีต่ออีกผู้เป็นนาย
"สไบทอง..พี่กลับมาแล้ว" ทันทีที่รู้สึกตัวตนได้เข้าโผกอดหญิงอันเป็นที่รักโดยอีกฝ่ายได้รับความรู้สึกนั้นโดยวางความช้ำชอกจิตเมื่อคราก่อนไว้แล้วกล่าวกับสวามี
"เสด็จพี่ทรงกลับมาแล้ว.. ภูมินทร์ได้ช่วยเสด็จพี่ไว้เพคะ" พลางมองมองไปยังพระบุตรตนที่สรวลด้วยใจปิติ
"ไม่ใช่ลูกหรอกพระเจ้าค่ะ หากแต่เป็นพระธิดาจินดาที่่ได้ช่วยพระชนม์เสด็จพ่อไว้"
"เอาเป็นว่าเราร่วมมือกันจะเหมาะสมกว่าเพคะ" จินดาธิดาน้อยกล่าว
"จริงสิ.. แล้วบ้านเมืองเราล่ะ จะทำอย่างไรดี" เมื่อนึกขึ้นได้ท้าวเธอจึงรีบปรึกษาหาหนทางต่อ
"เท่าที่ลูกไปยังเมืองเพื่อนำพระวรกายเสด็จพ่อมา พบว่าบ้านเมืองยังสงบสุขอยู่พระเจ้าค่ะ ท่านปุโรหิตรอแต่ให้บดิศรขึ้นครองราชย์เท่านั้น" เมื่อกล่าวตอบพระบิดาพลันให้นึกถึงผู้ที่ถูกกล่าว ตัวเขายังอยู่ในมิติอยู่เลย
" จริงด้วย บดิศรยังอยู่ในมนต์มิติ เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ลูกขอไปนำบดิศรออกมาก่อนนะพระเจ้าค่ะ" ไม่ว่าปล่าวตัวก็รีบรุดไปทันที โดยมีจินดาและพี่หิ่งห้อยตามออกไป
" บดิศรตามเรามาถึงนี่เลยหรือ" สไบทองพึมพำออกมาด้วยความประหลาดใจ
"พี่ว่าบดิศรคงมาตามหาพี่ อย่างไรเสียพี่ก็เป็นพ่อเขาคนนึงเช่นกัน"พีรเชษฐ์กุมมืออีกฝ่ายแล้วตอบอีกฝ่ายเพื่อคลายกังวล
อีกด้านของถ้ำทั้งสามได้มาพบกับบดิศร
"เราเสร็จกิจธุระแล้วบดิศร" ภูมินทร์ปรากฏตัวต่อหน้าโอรสาผู้เป็นน้อง
"นี่มันอะไรกัน เสด็จพ่อข้าอยู่ไหน แล้วรู้ชื่อข้าได้ยังไงกัน!! "น้ำเสียงของอีกฝ่ายมีความโกรธาที่ปะทุอยู่รู้สึกได้ชัดเจน
"เราเป็นพระโอรสของเสด็จพ่อ เราอยู่ร่างเดียวกันกับสุริยะ เราพอจะรู้เกี่ยวกับท่านเพราะท่านเป็นน้องของเรา"
"ร่างเดียวกัน อะไรกันเจ้าพล่ามอะไร ไอ้ง่อยมันจะมีพี่น้องร่างเดียวกันได้ยังไง ที่สำคัญข้าน่ะไม่ใช่น้องไอ้ง่อยและก็เจ้าด้วย!!"
"มันเกิดจากเกราะกายสิทธิ์ที่สวมใส่ ช้ามากคงไม่ทันเล่าหรอก เอาเป็นว่าเรากับจินดาจะปล่อยท่านไปก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น"
" คนเช่นนี้เราไม่อยากปล่อยเลย ดูพูดกับท่านสิไม่ให้ความเคารพกันอีก" พระธิดาต่างเมืองกล่าวขึ้นมาด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย
" เอาเถอะยังไงเขาก็เป็นลูกคนนึงของเสด็จพ่อ เราไม่อยากบาดหมางใจด้วย" อีกฝ่ายส่งสายตาขอความเห็นใจเพราะมนตรานี้จะต้องแก้ด้วยคนสองคนถึงจะหายไปได้
" ได้เราตกลง" จากนั้นทั้งสองคนได้บริกรรมพระคาถาแต่ทว่าแสงจากดวงอาทิตย์ได้สาดส่องมาทำให้วันนั้นเปลี่ยนไปกายคนก็เปลี่ยนตาม
" พระธิดาประกายพฤกษ์พระเจ้าค่ะ" หิ่งห้อยยักษ์เรียกอีกคนเมื่อลืมตามองมายังมิติ
"นี่มันอะไรกันจ๊ะพี่หิ่งห้อย ทำไมบดิศรถึงได้ติดอยู่ในนั้น " พระธิดารัตนบุรีถามขึ้นด้วยความสงสัย
"จินดาขังใครไว้อีกล่ะนี่" เสียงเด็กชายพูดออกมาหลังจากรู้สึกตัว
"พระธิดาจินดากับพระโอรสภูมินทร์ทรงสร้างมนต์มิติกันไม่ให้ใครล่วงล้ำไปในถ้ำเพื่อหาองค์เหนือหัวกับพระมเหสีพระเจ้าค่ะ" แมลงส่องแสงตัวใหญ่อธิบายให้สองเชื้อไขกษัตริย์ฟัง
"จินดา.. แล้วเขาไปไหนล่ะจ๊ะ"
" นางก็พักผ่อนน่ะสิ ออแล้วนี่คงเป็นเกราะกายสิทธิ์ที่ร่ำลือกันล่ะสิ พวกเราก็เหมือนกับเจ้านั่นล่ะที่เปลี่ยนกันไปตามวัน" ศุภลักษณ์ตอบแทน
" เปลี่ยน.. หมายถึงสังวาลย์นี่น่ะเหรอ" พระธิดานึกสงสัยขึ้นมา
"ใช่.. สงสัยว่าจินดาคงนึกช่วยคนอีกตามเคยน่ะสิ ที่ขังไว้นี่ก็คงไม่ใช่คนดีเท่าไหร่มั้ง" เขาพูดพลางมองไปยังมิตินั้น
บดิศรที่ได้เห็นร่างที่เปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตาจึงประจักษ์เกราะกายสิทธิ์ที่ว่าเมื่อถูกแสงดวงอาทิตย์ของอีกวันสาดส่องมาจะทำให้เปลี่ยนคนได้อย่างน่าอัศจรรย์โดยสังวาลย์นั้นก็ไม่ต่างกันเลย
" เมื่อไหร่จะปล่อยข้าไปสักทีล่ะ" บดิศรอดทักท้วงเสียมิได้เพราะตนถูกจองจำมานานแล้ว
"เราไม่รู้มนต์อะไรนั่นของภูมินทร์หรอกนะ ถึงเรารู้เราก็ไม่ปล่อยเจ้าหรอก เท่าที่เรารู้เจ้าน่ะชอบรังแกสุริยะตลอด จ้างให้เราก็ไม่ทำ... พี่หิ่งห้อยเราไปกันเถอะจะพี่หิ่งห้อยน้องอยากพบเสด็จพ่อเสด็จแม่" ว่าแล้วก็เข้าไปพบบิดรมารดาทันที
"เจ้านี่ไม่ธรรมดาเลยนะชอบรังแกคนซะด้วย ตอนแรกก็อยากจะช่วยนะ แต่เราเปลี่ยนใจดีกว่า" ว่าแล้วก็กำลังจะจากไป แต่เสียงห้ามอีกคนก็ดังขึ้น
" หยุดนะ!! ปล่อยข้าไปเดี๋ยวนี้!! " มือก็ทุบด้านหน้าอย่างแรงอีกครั้งแต่ไม่เป็นผลให้เสียหายได้เลย
" ถ้าเราปล่อยเราจะได้อะไรล่ะ" อยู่ๆอีกฝ่ายได้หยุดแล้วสนใจขึ้นมา
" เจ้าอยากได้อะไรข้าจะให้ทุกอย่าง" เขาเพียงบอกไปเช่นนั้นเอง หากออกไปได้คนคนนี้จะถูกจัดการเป็นคนแรกอยู่แล้ว
" งั้นเป็นข้ารับใช้ติดตามเราสิ เราจะหาคนอีกคนมาช่วยแก้มนต์" ศุภลักษณ์ยื่นข้อเสนอให้กับบดิศรด้วยความคึกคะนอง อีกฝ่ายมีทีท่าจะไม่ยอมตนจึงจะไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด
" ได้ได้ได้ข้ายอม จะใช้งานข้ายังไงก็เชิญ" เขารับปากเสียดื้อๆให้มันรู้แล้วจะหลอกตลบหลังเสีย
"เจ้านี่นะจริงๆเลย เพียงแค่อยากออกจากมิตินี่ถึงกับต้องยอมทุกอย่างเลย ข้าจะบอกอะไรให้นะมนต์นั่นน่ะมีแต่จินดาที่รู้ ถึงเรารู้เราก็ไม่ช่วยคนใจคดหรอกฮ่าๆ" ว่าแล้วก็จากไปยังลำธารโดยทันทีทิ้งไว้ให้อีกคนร้องตะโกนด้วยความโมโห
"ถ้าข้าออกไปได้นะข้าจะหักคอเจ้า!! "เสียงเกรี้ยวกราดนั่นทำให้ผู้เป็นตามาพบ
" บดิศรหลานตาทำไมถึงโดนขังอย่างนี้"
" ก็พวกไอ้ง่อยน่ะสิท่านตา ใช้กลอุบายร่ายมนต์ปิดปากถ้ำทำให้หลานต้องมาอยู่ในนี้"
" มนต์นี่คือมนต์อะไรกันแน่"
"มันคือมนต์มิติไงล่ะ.." เสียงคนวัยชราผ่านมาทางนี้พอดี เมื่อพิศดูจะรู้ได้ว่าเป็นฤๅษีอย่างแน่แท้
"ถ้าเช่นนั้นได้โปรดช่วยหลานข้าด้วยเถอะท่านฤาษี"
" ได้สิ.. ไม่ว่ายังไงข้าก็ต้องช่วยเราต่างก็เป็นข้ารับใช้พระเทวาเช่นกัน เอาล่ะท่องมนต์ตามข้า" ว่าแล้วก็ได้สวดคาถาแก้ให้บดิศรหลุดจากพันธนาการได้สำเร็จ
"ท่านตาพวกมันเอาเสด็จพ่อไปไว้ในถ้ำ เราต้องไปเอาร่างเสด็จพ่อคืนมานะท่านตา" ว่าแล้วก็รีบไปในถ้ำนั้นทันที
"ท่านปุโรหิต บดิศร!!! " ท้าวพีรเชษฐ์เรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความตกพระทัย
" เสด็จพ่อ เสด็จพ่อฟื้นแล้วเหรอพระเจ้าค่ะ" บดิศรดีใจที่บิดาตนฟื้นคืนชีพแต่ต้องหยุดดีใจเมื่อพบอดีตพระมเหสีอริของมารดา
" เสด็จพ่อ พวกนี้สังหารเสด็จพ่อนะพระเจ้าค่ะ กลับมากับลูกเถอะนะพระเจ้าค่ะ" ตนก็ว่าไปตามที่รู้มาจากคำโป้ปดของผู้เป็นตา
"ไม่ใช่หรอกตาของลูกนั่นล่ะที่ผิด เขาใช้เกราะกายสิทธิ์ที่ชิงมาจะฆ่าพี่ของลูก พ่อเลยต้องกำบังเอาไว้เลยถึงแก่ความตาย" ฝ่ายพ่อได้อธิบายแทนเพราะลูกของตนไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์
"ถึงยังไงมันก็สมควรตายแล้วนี่พระเจ้าค่ะ กาลีบ้านกาลีเมืองเก็บไว้ก็รังแต่จะทำให้เดือดร้อน" เขาอ้างเหตุผลเข้าข้างตาด้วยการทำนาย
" พ่อด่วนตัดสินใจไปเอง พ่อมันเห็นแก่ตัวเพราะกลัวลำบากจากภัยแล้ง พี่เขาก็ร่างกายไม่สมประกอบยังได้รับความลำบากมากถ้าไม่มีเกราะวิเศษเขาก็คงไม่รอด พ่อตัดสินใจผิดพลาดเองมันไม่ใช่ความผิดของสุริยะที่บ้านเมืองแห้งแล้งเลยสักนิด ยังไงซะเขาก็เป็นลูกเราทั้งสุริยะและอีกหกคน"
"เสด็จพ่อ .. "ประกายพฤกษ์เรียกด้วยประหลาดใจทั้งที่ท้าวนวดลผู้เป็นตาได้ว่ากล่าวเช่นนั้น ทำไมต่างกันเช่นนี้
" ไม่ได้ ลูกเป็นลูกคนเดียวของเสด็จพ่อเท่านั้นพระเจ้าค่ะ..... เจ้า.. ตายซะเถอะ!! " ว่าแล้วก็เข้าต่อสู้กับประกายพฤกษ์ทันที ในขณะที่ทั้งคู่ได้ต่อสู้กันฤๅษทมิฬก็ได้นำองค์เหนือหัวหายตัวหนีไป
"เสด็จพี่!! เสด็จพี่หายไปแล้ว" เจ้าตัวคว้าสวามีมิทันจึงได้ร้องเรียก ปุโรหิตได้ทีจึงจับตัวนาง นางพยายามสู้กับอีกคนแต่ไม่ไหวจึงร้องเรียกบุตรี
" ประกายพฤกษ์หนีไปลูก" เสียงนั้นเองทำให้สมาธิของประกายพฤกษา์สั่นคลอนจึงถูกบดิศรทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ หิ่งห้อยใช้ทีเผลอของปุโรหิตเข้าโจมตีชิงตัวมารดาผู้เป็นนายมาได้แล้วส่งแสงวาบทำให้มองไม่เห็นตัว แล้วจึงพาพระธิดากับพระมารดาหนีมายังลำธารอีกฟากกับศุภลักษณ์ที่กำลังพักผ่อนอยู่
" นี่มันอะไรกันเหรอ พวกท่านยังปลอดภัยดีไหม" ศุภลักษณ์ส่งเสียงถามคนที่อยู่อีกฝั่งของลำธารเมื่อเห็นทีท่าว่าไม่ดีเสียแล้ว
"พระโอรส.. เอ่อ..ตอนนี้บดิศรสามารถออกมาจากมิติได้แล้วพระเจ้าค่ะ เกิดเรื่องใหญ่อีกด้วยที่องค์เหนือหัวถูกฤๅษีพาหนีหายไปพระเจ้าค่ะ" หิ่งห้อยทูลต่ออีกฝั่ง
" ประกายพฤกษ์ลูกแม่ ลูกเจ็บตรงไหนบ้าง" น้ำเสียงคนเป็นแม่สั่นคลอนที่ลูกตนถูกทำร้ายเช่นนี้
"ลูกไม่เป็นไรเพคะเสด็จแม่"ทั้งที่มีอาการบอบช้ำอยู่แต่บุตรีก็เลี่ยงที่จะบอกไปเพราะห่วงมารดาจะวิตก คนอีกฝั่งก็ได้ข้ามมาถึงอีกฝั่งพอดี
" บดิศรหลุดออกมาได้ยังไงกันหรือฤๅษีนั่นจะเป็นคนช่วยกันนะ.. เอ่อพระมารดากับพระธิดาเสวยผลจุลภัยเสียก่อนเถอะ จะได้บรรเทาการอาการเจ็บปวดได้บ้าง" พระโอรสต่างเมืองไม่พูดปล่าวอีกทั้งยังส่งผลไม้ที่เล็กเท่าเม็ดมะยมแต่ส่องแสงประกายออกมา
"ขอบใจมากนะ..เอ่อ.. เจ้าชื่ออะไรเหรอ"ประกายพฤกษ์รับผลพืชมาแล้วหวังขอบน้ำใจแต่หารู้ชื่อคนอีกฝ่ายไม่
" เราศุภลักษณ์... ตกลงแล้วเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ทำไมถึงดูเป็นเรื่องใหญ่ซะขนาดนี้" เจ้าตัวตอบคำถามเสร็จแล้วจึงถามหาเรื่องราว เจ้าหิ่งห้อยยักษ์ได้เล่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาให้ได้เข้าใจถึงเรื่องราว
"จินดาชุบชีวิตคนแบบนี้ยิ่งจะทำให้อายุสั้นลง เฮ้อจริงๆเลยเชียว" พระโอรสพูดถึงอีกคนในร่างที่มักจะตัดสินใจช่วยคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ
" อายุสั้นลงงั้นเหรอ เช่นนั้นแล้วเราขออภัยแทนพระสวามีของเราด้วยนะ เราไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นเลย" เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูด ตนก็อดละอายใจไม่ได้จึงได้กล่าวขอโทษไป
" ไม่ต้องหรอกพระเจ้าค่ะ ชีวิตเพียงหนึ่งปีที่สูญหายเทียบไม่ได้กับคนทั้งบ้านเมืองหรอกพระเจ้าค่ะ" เขากล่าวตอบพลางคิดในใจว่าไม่ควรพูดออกมาอย่างนั้นเลยแท้ๆ
" พระธิดา เสด็จแม่" เสียงตะโกนเรียกหานั้นทำให้รู้สึกไม่วางใจทั้งหมดจึงระวังตัว
"ใครน่ะ" ประกายพฤกษ์ถามอีกฝ่ายที่มองไม่เห็นตัว
" สุดหล่อเองพระเจ้าค่ะ น..เหนื่อยจังเล้ย" ไม่ว่าปล่าวยังล้มตัวลงนอนแอ้งแม้งด้วยเพราะเหนื่อยล้า
"นี่เจ้าหายไปไหนมาทำไมเพิ่งจะมาเอาวันนี้"หิ่งห้อยยักษ์ถามตัวประหลาดขึ้นมา
"ไม่ได้ไปไหนมาหรอกก็ข้าน่ะพักกับพระธิดาปัทมาสน์ ก่อนนอนพักข้าก็ไปหาผลไม้กิน แต่เจ้าผลไม้นี่สิกินไปคำเดียวก็สลบไปตั้งนาน เมื่อฟื้นข้าก็ตามมาเพราะ..เพราะเป็นห่วงเสด็จแม่และพระธิดานะพระเจ้าค่ะ" คำพูดสุดท้ายนั่นทำให้รู้สึกแปลกประหลาดในน้ำเสียงขึ้นมาเสียอย่างนั้น
" เจ้าห่วงเกราะกายสิทธิ์น่ะสิไม่ว่า"พระธิดาเธอรู้ดีว่าอเวจีน่ะจะมีสักกี่อย่างที่เขาห่วงกัน
" โถโถโธ่พระธิดา มีเรอะสุดหล่อจะไม่ห่วงเกราะกายสิทธิ์ แต่สุดหล่อน่ะก็ห่วงเสด็จแม่และพระธิดาไม่แพ้กัน" คำพูดที่ออกมามีความจริงปนอยู่บ้างแต่ก็แฝงด้วยความปากหวานก้นเปรี้ยวไม่น้อย
" ฟังแล้วจะอ้วก อย่างเจ้าน่ะเหรอจะห่วงใครนอกจากของวิเศษ" หิ่งห้อยทนไม่ได้จึงพูดขัดคอ
" ของวิเศษมีประโยชน์อยู่แล้วใครจะไม่สนล่ะ"พูดถึงของวิเศษเขาก็มองหาสังวาลย์มณีสิ่งวิเศษ
" ไม่ต้องมองหานักหรอกของวิเศษที่เจ้าหมายปองก็อยู่ครบดี" ศุภลักษณ์พูดขึ้นมาเพราะรู้ถึงความต้องการที่ตัวประหลาดมีชัดเจนดี
" แฮะๆ แหมพระโอรสล่ะก็ สุดหล่อไม่ได้หวังแค่ของวิเศษหรอกพระเจ้าค่า" เขาพูดแสร้งตีหน้าเขินเข้าใส่
"อ.. โอ๊ย ปวด.. เราปวดเหลือเกิน" อยู่พระอาการของมเหสีเจ้าก็กำเริบขึ้นมาจุกเสียดที่หน้าอกเข้าอย่างจัง
"เสด็จแม่เพคะ เสด็จแม่ทรงเป็นอย่างไรบ้างเพคะ" พระธิดาเข้าประคองพระมารดา
"ประกายพฤกษ์ แม่.. แม่ปวดอกเหลือเกิน" ความเจ็บปวดเข้าเล่นงานทรวงในจนต้องถึงกับกุมดวงใจไว้แน่นขนัด
" นี่มันอะไรกัน พระโอรสทรงให้เสวยผลจุลภัยแล้วนี่พะยะค่ะ" หิ่งห้อยถามขึ้นมาด้วยสงสัยถึงอาการเจ็บปวดนั้น
" หรือว่านี่จะเป็นคำสาปที่เกิดจากแม่มดเกลียวทองกัน" พระโอรสกล่าวขึ้นมาเนื่องจากปะติปะต่อเรื่องราวได้จากเหตุการณ์ที่ฟังมาประกอบกับที่ผลจุลภัยไม่สามารถจะแก้อาการบาดเจ็บจากคำสาปได้
จึงอนุมานได้เป็นเช่นนั้น
" น่าจะ.. ใช่.. เพราะนางเคยบอกเราว่า.. ว่าต่อให้เราหนีไปไกลแค่ไหนก็.. ต้องกลับไป.. หานาง" เสียงของสไบทองกล่าวระคนความเจ็บปวดอย่างสาหัส
"ไม่ได้การแล้วล่ะ อย่างนี้พวกเราต้องกลับไปยังโกสุมพิสัยก่อนแล้วค่อยหาวิธีช่วยเหลือท้าวพีรเชษฐ์ทีหลัง" พระโอรสต่างเมืองกล่าว
" พวกเเราจะรอช้าไม่ได้แล้ว.. ไปกันเลยเถอะจะพี่หิ่งห้อย"พระธิดาเจ้าเมืองได้พาระมารดาขึ้นบนหลังหิ่งห้อยยักษ์แล้วมุ่งหน้าไปยังเมืองที่แม่มดได้ครอบครอง
" สุดหล่อไปด้วยพระโอรส"เพราะตัวขึ้นหิ่งห้อยยักษ์ไม่ทันจึงขอร้องอีกคนแทน
" ได้สิ จับขาเราไว้ให้ดีๆล่ะ" กล่าวแล้วก็เร่งรุดใช้เมฆนำพาเหาะตามกันไป ทั้งหมดเดินทางกันไปยังเมืองโกสุมพิสัยแล้วถึงในเวลาค่ำเพื่อพบกับแม่มดเกลียวทอง
"แม่มดเกลียวทองเจ้าอยู่ไหนออกมาเดี๋ยวนี้นะ"เสียงเรียกของพระธิดาแสดงความไม่พอใจต่อคนที่ตนหาอยู่เป็นอย่างมาก
" เราอยู่นี่ ครั้งที่แล้วมาทำเราเสียสายตาหมด ดีนะที่เราร่ายคำสาปใส่แม่ของเจ้าแล้ว" เกลียวทองเดินออกมายิ้มชอบใจในความคิดของคำสาปที่ให้ไว้ซึ่งเป็นผลดีกับตนก็คราวนี้
" จันทราภาทำอย่างนั้นก็สมควรแล้วล่ะ รีบแก้คำสาปให้เสด็จแม่ของเราเดี๋ยวนี้ก่อนที่จะไม่มีดวงตาไว้ดูโลกอีกเลย" ประกายพฤกษ์บอกไปเพื่อที่จะได้ช่วยแม่ของตนให้พ้นจากความทรมานนี้
" ดูพูดขู่เข็ญเราเข้าสิ หึ นี่เหรอผู้ขอแก้คำสาป ทางที่ดีนี่นะรีบนำเกราะกายสิทธิ์มาให้เราดีกว่า ไม่เช่นนั้นเราจะทำให้เป็นยิ่งกว่านี้" แม่มดสาวว่าพลางใช้ฤทธิ์ของตนเข้าทำร้ายวรกายมเหสีหมายมุ่งให้ทรมานร้าวรานไปทั้งกายา
"เสด็จแม่!! แม่มดเกลียวทองเจ้าทำร้ายเสด็จแม่ของเรา เราจะทำให้เจ้าแก้คำสาปให้เสด็จแม่" พระธิดาเข้าสู้กับแม่มดร้าย นางใช้เล่ห์เพทุบายร่ายมนตราให้เห็นตนมีหลายร่างหวังหลอกล่อให้อีกฝ่ายสับสนแล้วโจมตีทวีความทรมานให้กับพระมารดา
"เจ้าน่ะมีปัญญาแต่รังแกเด็กผู้หญิง กับคนที่ไม่มีทางสู้งั้นเหรอแม่มดเกลียวทอง" เสียงจะศุภลักษณ์กังวานขึ้นมาแต่กลับไม่เห็นตัว
"ไม่ใช่แค่นั้นหรอก แม้แต่เจ้าก็ด้วย เจ้าเป็นเด็กไม่มีทางสู้ล่ะสิถึงได้เอาแต่หลบอยู่อย่างนั้น" ร่างทุกร่างของนางแม่มดได้พูดพร้อมกัน
" อ้าวๆจะว่าอย่างนี้ก็ไม่ถูกสิ เราก็สู้คนนะ ลองผงนี่หน่อยเป็นไง" กล่าวแล้วเขาก็โยนผงพิษไปยังร่างทั้งหมดของนาง ทำให้นางร้อนดวงตามอดไหม้เพราะนั่นเป็นฤทธิ์จากยาพิษที่ตนคิดขึ้นเอง จนเหลือแต่ร่างจริงปรากฏอยู่
" เจ้า เจ้าเอาผงยามาได้ยังไงกัน " นางหันหน้าหาเสียงให้ทั่วแม้ดวงตาจะมองไม่เห็นก็ตาม
" ห้องเจ้าน่ะหายากนักเหรอ ขอโทษนะ เรามันพวกชอบหาของเล่นพอดี เรามียาแก้ด้วยนะจะเอาไหมล่ะ" พระโอรสกล่าวกับอีกฝ่าย
"เอายาแก้มาให้เราถ้าไม่อยากตาย!!!" นางขู่อีกคนหวังให้อีกคนกลัวตนเหมือนที่เคยทำมา
" เอาใหม่สิ.. แก้คำสาปให้พระมเหสีแล้วเราจะให้ยาแก้ผงนี่ ออ ได้ข่าวว่ามีแค่ขวดเดียวนี่นาอีกไม่นานคงบอดสนิท" เขาไม่ลดละยื่นเงื่อนไขใหม่ให้กับอีกฝ่าย
" รีบแก้คำสาปให้กับเสด็จแม่เราเดี๋ยวนี้ถ้าไม่อยากตาบอดสนิท"พระธิดารีบเสริมให้อีกฝ่ายยอมรับ
"คำสาปนั่นนะต้องใช้เลือดเราเท่านั้นล่ะมาแก้ แต่แก้ได้ยังไงล่ะ ก็เรามองไม่เห็นอย่างนี้" นางก็ยังคงยืนยันคำเดิม
เสียงขวดโหลแก้วตกแตกหลายชิ้นเนื่องจากศุภลักษณ์จงใจทำมันตกเช่นนั้นเพื่อให้อีกฝ่ายยอมรับข้อเสนอ
" ต่อไปขวดไหนดีล่ะ เอาขวดสีมรกตนี่ดีกว่ามั้ยนะ จะได้หมดเรื่องไป"
" เจ้าทำลายยาของเราไม่ได้นะ ถ้าทำอย่างนั้นเราจะไม่ให้เลือดเราเลย"
"ยอมดีๆก็จบแล้วลีลาอยู่ได้ เอากริชรีดเลือดออกมาเดี๋ยวนี้เลย" เสียงที่เล่นอยู่ก็ค่อยเปลี่ยนเป็นเสียงจริงจังของพระโอรสที่ส่งสิ่งมีคมให้พร้อมเอาภาชนะมารองรับ
" เร็วเข้าสิ เสด็จแม่เราจะทนไม่ไหวแล้วนะ" ประกายพฤกษ์รีบทวงเมื่อเห็นว่าอีกคนชักช้าไม่ทันใจ
-
" รู้แล้ว เราก็ทำอยู่นี่ไง"เกลียวทองเมื่อกรีดเอาโลหิตตนออกมาแล้วนั้นร่างที่สาวสะพรั่งก็กลับกายเป็นร่างหญิงชรามีอายุมากแต่ยังคงเค้าโครงเดิมของรูปร่างอยู่บ้าง
"แล้วทำยังไงต่อล่ะ" พระธิดาเมื่อได้รับเลือดแม่มดได้ถามขึ้นเพราะไม่รู้วิธีแก้
"เอาเลือดเราไปสัมผัสกับมือนางแค่นี้คำสาปก็หายแล้ว" เมื่อได้ยินดังนั้นพระบุตรีได้ประคองพระมารดานำพระหัตถ์ลงยังภาชนะรองโลหิตแล้วนั้นคำสาปที่มีอยู่ในวรกายได้หายเป็นปกติ
"เรา.. เราหายปวดแล้ว ประกายพฤกษ์แม่หายเจ็บปวดแล้วลูก" เมื่ออาการนั้นได้หายไปเธอก็โอบกอดลูกยาด้วยความดีใจ
" พวกเราไปกันเถอะพระเจ้าค่ะพระมเหสี พระธิดา" หิ่งห้อยยักษ์ได้บอกให้นายตนรีบไปยังที่แห่งอื่นจะได้ไม่เกิดอันตรายถึงตัวอีก
"ไปกันเถอะเพคะเสด็จแม่" ว่าแล้วก็ได้พากันเดินทางออกจากเมืองไปโดยศุภลักษณ์ยังคงอยู่กับเกลียวทอง
"แล้วยาเราล่ะ ไหนล่ะจะให้ยาแก้แก่เรา" แม่มดร่างชราถามหายาแก้พิษร้ายต่อดวงตาที่มองไม่เห็น
"อยู่นี่" พระโอรสยื่นโอสถให้ตรงหน้านางแต่ยังไม่ส่งให้
"เอามาให้เรานะ" มีนางขวักไขว่ไปทั่วเพื่อจะคว้าเอายา
"รับดีๆนะ" เขาจงใจปล่อยขวดยาสุดท้ายนี้ลงเข้ากับพื้นเสียงแตกกระจายดังพร้อมๆกับไฟที่ลุกโชนมาจากฝั่งห้องยาของนาง
"เจ้า.. เจ้ามันไร้สัจจะ ถ้าเรารอดไปได้เราจะไม่ไว้ชีวิตเจ้า!!!" นางว่ากราดไปตัวก็พยายามตะเกียกตะกายหนีความร้อนของอัคคี
"ถึงวันนั้นแล้วค่อยว่ากันนะ เราไปล่ะ สุดหล่อเราไปกันเถอะ" ว่าพลางเรียกเมฆามาพาเหาะขึ้นฟ้า
"พระเจ้าค่ะ.. ฮ่าๆสมน้ำหน้านักมายุ่งกับของวิเศษข้าโดนดีเข้าแล้วสิ" อเวจีได้จับที่ข้อพระบาทตามติดไป ตามจริงแล้วศุภลักษณ์ได้วางแผนการที่จะตลบหลังแม่มดเกลียวทองโดยตนมุ่งหน้าไปยังพระตำหนักเก่าที่กลายเป็นห้องยาและสมุนไพรเพื่อหายาพิษและยาแก้พิษนั้นแล้วให้ตุ้บเท่งรอสัญญาณเพื่อที่จะได้เผาเมืองไปพร้อมกับนาง
.....
ทางฝั่งเมืองรัตนบุรีบดิศรกับตาได้กลับมายังพระราชวังเมื่อพบกับความผิดคาดที่ฤๅษีคนนั้นเอาองค์เหนือหัวพีรเชษฐ์ไป
"ท่านพ่อ เป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ ทำไมถึงกลับมาแบบนี้แล้ว.. แล้วพระวรกายองค์เหนือหัวล่ะจ๊ะ" นางถามหาร่างสวามีด้วยใจห่วงหาแม้เหลือแต่กายาเท่านั้น นางเห็นท่าทีดูแล้วรู้สึกว่าพวกนางกำนัลอยู่ด้วยแล้วล้วนขัดหูขัดตานางจึงให้พวกข้ารับใช้ออกไปยังด้านนอก
"เสด็จพ่อทรงฟื้นพระชนม์ชีพแล้วพระเจ้าค่ะเสด็จแม่" บดิศรตอบแทนผู้เป็นตาที่มีอารมณ์ค่อนข้างเสียและมัวแต่ครุ่นคิดอยู่
"จริงเหรอบดิศร.. แล้วนี่ลูกทำไมถึงรอยช้ำตามตัวแบบนี้" นางได้เข้าไปดูลูกชายของตนใกล้ๆด้วยความเป็นห่วงของแม่
"จริงพระเจ้าค่ะเสด็จแม่ แถมเสด็จพ่อยังเข้าข้างพวกไอ้ง่อยนั่นอีก ทรงรักมันไม่เห็นใจลูก ลูกเลยสู้กับมันแต่มันก็มีแรงไม่น้อยเลยพระเจ้าค่ะ" ไม่ตอบปล่าวยังฟ้องร้องว่าตนนั้นรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอีกด้วย
" องค์เหนือหัวไม่น่าทำกับลูกเช่นนี้เลย ตอนนั้นไล่มันไปแล้วแท้ๆอีกทั้งสัญญาว่าจะรักลูกยิ่งกว่าใคร ลูกเป็นลูกคนเดียว"
" มันก็น่าโมโหยิ่งกว่าที่ฤๅษีตนนั้นทำทีว่าจะมาช่วยพวกเราแต่ลักพาเอาองค์พีรเชษฐ์ไปจนได้" ปุโรหิตพูดแล้วตนก็รู้สึกเจ็บใจอย่างยิ่งยวด
"ฤๅษีตนนั้นทำไมเหรอจ๊ะท่านพ่อ ท่านถึงได้วางใจ"
" มันช่วยบดิศรมาจากมนต์มิติและมันก็บอกพ่อว่าพวกเรารับใช้พระเทวาเหมือนกัน สงสัยว่าคงหมายถึงเทพวิษุวัติพ่อเลยวางใจ"
" แล้วอย่างนี้เราจะทำยังไงกันต่อไปดีล่ะจ๊ะ" สไบแก้วถามขึ้นมาด้วยความร้อนใจ
"เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน มีลางร้ายก็ยังปรากฏลางดี นี่ล่ะเป็นโอกาสแล้วที่บดิศรจะขึ้นครองบัลลังก์"
" แต่ว่าเสด็จพ่อยังทรงไม่สิ้นแล้วหลานจะทำแบบนั้นได้ยังไงล่ะจ๊ะท่านตา"หลานไม่แน่ใจนักกับความคิดนี้ด้วยเห็นพ่อสำคัญ
" แต่ชาววังเขาก็รู้กันว่าสิ้นแล้วแต่ไม่รู้ว่าฟื้นนี่ บดิศรเจ้าลองตรองให้ดีสิ ระหว่างอำนาจบัลลังก์กับเสด็จพ่อที่รักพระนางสไบทองและพระโอรสธิดาฝั่งนั้นมากกว่าเจ้า เจ้าไม่เห็นประโยชน์จากสิ่งไหนมากกว่ากัน"เขาใช้สองมือจับบนไหล่หลานรักเพื่อเพิ่มส่งต่ออารมณ์คำพูดนั้น
" ได้จะท่านตา หลานจะครองบัลลังก์นี้เอง"เมื่อคิดดูแล้วตนก็ตัดสินใจทำตามแม้จะขัดแย้งอยู่บ้างก็ตาม
" พรุ่งนี้เตรียมตัวประกาศกำนดพิธีขึ้นครองราชย์ได้เลย ชักช้าไปกว่านี้คงไม่ได้แล้ว "ปุโรหิตพูดขึ้นด้วยสีหน้าพอใจต่อคำตอบรับของพระโอรสองค์รองของเมืองรัตนบุรีแล้วตระเตรียมทำธุระต่อไปในวันรุ่งขึ้น
---
ที่พนาไพรไม่ใกล้กับเมืองโกสุมพิสัยแต่ไม่ไกลจากเมืองรัตนบุรีทั้งหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์แลข้ารับใช้ได้มาพำนักอยู่
" ศุภลักษณ์ทำไมถึงมาช้านักล่ะ" ประกายพฤกษ์ถามขึ้นมาหลังจากอีกคนเพิ่งจะตามมาถึง
"เราก็เอายาแก้พิษให้แม่มดเกลียวทองนั่นล่ะ แล้วระหว่างทางก็เก็บผลไม้กับสุดหล่อมาฝากเจ้ากับเสด็จน้าด้วย" เขาพูดพร้อมกับยกยิ้มอย่างสบายใจ
"นี่พระเจ้าค่ะเสด็จแม่ พระธิดา" อเวจีว่าแล้วก็นำผลไม้มาถวายให้ทั้งสองแต่กลับไม่ให้หิ่งห้อยยักษ์กินจึงได้ตีกันเหมือนทุกครั้งไป แต่พระธิดาก็แบ่งส่วนของตนเองให้พอที่จะปรามให้หยุดทะเลาะกัน
"ขอบใจมากนะสุดหล่อและเราก็ขอบพระทัยพระโอรสด้วยนะที่ช่วยเหลือเรา"สไบทองรับผลไม้มาแล้วกล่าวขอบใจในน้ำใจผู้ที่ช่วยเหลือ
"ไม่เป็นไรหรอกพระเจ้าค่ะ หม่อมฉันเต็มใจ"
"เอาล่ะเราว่าเรารีบกินแล้วก็นอนเอาแรงหน่อยดีกว่าวันนี้เจอเรื่องมาทั้งวันแล้ว" มเหสีออกความเห็นแล้วทั้งหมดจึงทำตามที่กล่าวพักผ่อนกันจนถึงรุ่งเช้า
แสงสุริยันผันผ่านมาถึงอีกวันหนึ่งแล้วนั้นพระธิดากลายกลับเป็นโอรส พระโอรสก็ได้เปลี่ยนเป็นพระธิดาเช่นกัน
" ที่นี่ที่ไหนกัน เจ้าตัวแสบพาตัวมาถึงนี่เลยเหรอ"ทันนทีที่ตื่นบรรทมพบว่าตนไม่ได้อยู่ในตำหนักเลยแต่หากเป็นป่าใหญ่เสียแทน
"อื้อ..หลับสบายจังเล้ย..อ๊ะ!! พระธิดาเหรอ ตื่นบรรทมแล้วเหรอพระเจ้าค่ะ" ตัวประหลาดตื่นขึ้นมาก็เข้าทักทายอีกคนที่ตื่นมาก่อนหน้านี้ทันที
" เจ้าเป็นใคร แล้วทำไมมีคนอื่นอยู่ด้วยล่ะ รู้ได้ยังไงว่าเราเป็นพระธิดาน่ะ" เธอถามด้วยความสงสัยขึ้นมาจากคำเรียก
"ก็ก็..พระโอรสแห่งคีรีมาศน่ะร่างเดียวกับพระธิดานี่นาทำไมล่ะสุดหล่อจะไม่รู้"ตัวก็ตอบไปตามจริงที่รู้
"ใช่แล้วล่ะพระเจ้าค่ะพระธิดา" หิ่งห้อยยักษ์ตอบด้วยเสริม
" หิ่งห้อยตัวใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ เราเพิ่งเคยเห็นแหะ"เธอมองแมลงตัวนั่นด้วยความสนใจ
"ตัวมันก็ใหญ่อย่างนี้นะพระเจ้าค่ะ กินเยอะอีกตะหาก"อเวจีได้ทีก็หยอดลงไป
" กระหม่อมก็ตัวใหญ่เช่นนี้ล่ะพระเจ้าค่ะพระธิดาเพราะต้องคอยดูแลหิ่งห้อยตัวอื่น แต่เท่าที่เห็นมาทำไมพระธิดากับพระโอรสไม่เห็นจะดูประหลาดใจกับเจ้าอเวจีเลยนะพระเจ้าค่ะ" หิ่งห้อยก็ทูลถามด้วยสงสัยมานานแล้ว
" สุดหล่อตะหากเล่าเรียกให้ถูกสิโธ่"เขาทักท้วงกับคำเรียกที่แปลกไปจากที่ตนชอบ
" ออราชสีห์นี่น่ะเหรอ พวกเราเคยเห็นแล้วล่ะไม่ใช่แค่เคยเห็นหรอกนะแต่พวกเราเป็นศิษย์ของฤๅษีราชสีห์หน้าตาเช่นนี้ด้วย.. ว่าแต่เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่น่ะ ศุภลักษณ์ถึงได้มาอยู่ที่นี่กับพวกเจ้า" เธอตอบแล้วถามถึงสาเหตุที่ผู้ร่วมร่างได้มาอยู่กับคนแปลกหน้าได้
หิ่งห้อยยักษ์ได้เล่าเรื่องราวให้พระธิดาต่างเมืองฟัง ขณะเดียวกันพระโอรสศนิวารและพระมเหสีสไบทองก็ได้ตื่นพระบรรทมแต่ไม่อยากให้ขัดจังหวะพระนางจึงพากันกับพระบุตรไปหาเก็บผลไม้มาให้
" ฮั่นแน่พระโอรสลืมสัญญาของสุดหล่อรึปล่าว" จู่ๆเจ้าตัวประหลาดก็โผล่หน้ามายังพุ่มไม้ที่ศนิวารเก็บอยู่ทำให้เผลอตีหน้าไปด้วยความตกใจ
"โอ๊ยพระโอรสน่ะใจร้ายนัก แค่ทวงของแค่นี้ถึงกับตีสุดหล่อเลยเหรอ" เขาออกมาจากพุ่มไม้แล้วถามอีกคน
"เราปล่าวนะ เจ้านั่นล่ะผิดอยู่ๆก็ออกมาใครบ้างจะไม่ตกใจ"
"โถโธ่โธ่ สุดหล่อแค่อยากล้อเล่นบ้างเท่านั้นน่าไม่เห็นต้องลงมือเลย"
"ก็สมควรอยู่หรอกเห็นเราเป็นเพื่อนเล่นอยู่ได้"เด็กน้อยบอกพลางเก็บผลไม้
" ตายๆอย่าเปลี่ยนเรื่องสิน่าพระโอรสสัญญาแล้วนี่จะจบเรื่องแล้วจะคืนเกราะกายสิทธิ์ให้น่ะ"เจ้าตัวเริ่มทวงสัญญาทันที
" นี่เรียกว่าหมดเรื่องเหรอ เสด็จแม่ก็ทรงลำบาก เสด็จพ่อยังถูกลักพาตัวไปอีกนี่นะ คุยวันหลังเถอะ" ศนิวารเริ่มอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาเมื่อนึกถึงเรื่องที่แม่ตัวเองเล่าแล้วยังต้องมาฟังคำทวงไร้สาระสำหรับเขาเสียอีก
" ก็ได้ๆ เสด็จแม่สุดหล่อช่วยถือเถอะนะพระเจ้าค่ะ" ว่าแล้วก็เข้าช่วยอีกคนหวังเอาใจเวลาคืนเกราะวิเศษจะได้ไม่ยุ่งยาก แล้วทั้งหมดก็มาถึงได้รวมตัวกันกินผลไม้ที่หามา
"เอานี่ไปกินสิเจ้า.. " โอรสตัวไม่รู้ชื่ออีกฝ่ายเลยเอาวางผลไม้ลงมืออีกคนอย่างเสียดื้อๆแทนที่จะเรียกชื่อ
" เราเมธาวี ขอบใจนะ ว่าแต่เจ้าชื่อ.. " อีกคนรู้ท่าทีจึงบอกชื่อก่อนแล้วค่อยถามอีกฝ่าย
"เราศนิวาร รีบเถอะจะได้ไปช่วยเสด็จพ่อ" ตัวเองกลัวเสียเวลาจึงไม่อยากพูดให้มากความแต่กลับพูดห้วนเกินไปจึงทำให้อีกคนไม่สบอารมณ์
"เราก็กินเร็วอยู่แล้วไม่ต้องมาสั่งหรอก เรามาช่วยนะไม่ได้มารับคำสั่งใคร"เธอตอบแล้วจึงรีบเสวยโดยเร็ว
"เราก็ไม่ได้ขอนี่.." เขาตอบยังไม่ทันเสร็จมารดาก็ไว้เสียก่อน
" ศนิวารไม่เอาสิลูก อย่าทำอย่างนี้เราต้องถนอมน้ำใจกัน"นางพูดพลางลูบศีรษะบุตรเป็นเชิงสั่งสอน
"พระเจ้าค่ะเสด็จแม่"
"ฤๅษีที่ว่านั่นหม่อมฉันว่าน่าจะเป็นฤๅษีทมิฬเพคะ"เมธาวีทูลต่อมเหสีต่างเมือง
"ฤๅษีทมิฬเขาเป็นใครกันเหรอ" พระนางสนใจขึ้นมาจึงได้ถามขึ้น
"เท่าที่หม่อมฉันทราบนะเพคะ ฤๅษีทมิฬเป็นฤๅษีศิษย์ร่วมสำนักกับพระอาจารย์ของหม่อมฉันเพคะ เขาเป็นคนที่บูชาเทพวิษุวัติมากหวังว่าจะได้รับใช้สักวัน แต่หารู้ว่าจะมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร" พระธิดาต่างเมืองก็ได้เล่าเรื่องที่ตนรู้มา
"แล้วอาศรมของฤๅษีทมิฬนั่นอยู่ที่ไหนกันล่ะ"ศนิวารถามขึ้นด้วยร้อนใจกลัวภัยจะถึงบิดาสาหัส
" ฤๅษีทมิฬน่ะชอบเปลี่ยนที่อยู่ตลอดมีก็แต่ท่านตาที่รู้ เอาเป็นว่าเราไปหาท่านตาที่อาศรมป่าจินตภพกันจะได้ถามให้รู้เรื่อง"
ธิดาเธอแนะถึงวิธีที่ดีที่สุด
"ป่าจินตภพเหรอ แล้วมันอยู่ที่ไหนกันล่ะ" โอรสเขาถามต่อด้วยเพิ่งได้รู้จักป่านี้
"มันหาไม่ได้แค่ตาเปล่าหรอก ที่ไหนก็ไปถึงได้ถ้าใจสื่อถึงน่ะ" อีกคนอธิบาย
"เจ้าหมายความว่ายังไง" อีกคนฉงนในคำพูด
"เราหมายความว่าต้องตั้งจิตประสานกันไปที่อาศรมท่านตาแล้วก้าวเข้าสู่ทิศบูรพาเจ็ดก้าวก็ถึงที่พักของท่านตาแล้ว" ธิดาเธออธิบายต่อไปจนจบ
"มันมีวิธีเข้าอย่างนี้ด้วยเหรอ" ศนิวารค่อนข้างสับสนกับสิ่งที่ได้ยินว่าเป็นความจริงหรือไม่
"มีสิป่าจินตภพน่ะอยู่ทุกหนแห่งแต่ต้องใช้จินตภาพร่วมด้วยในการจะเข้าไป จะว่าเข้าง่ายก็ง่ายแต่ถ้าจิตไม่นิ่งพอและไม่รู้วิธีก็อย่าหวังจะได้เข้าเลย มิหนำซ้ำอาจจะได้แผลมาไม่น้อยด้วย" พระโอรสได้ฟังดังนั้นจึงทำจิตใจเย็นลงเพื่อจะได้เข้าไปถามข้อมูลเพื่อตามหาพระบิดา
"เอาล่ะเราพร้อมแล้ว" ศนิวารบอกพร้อมกับเตรียมตัวหันไปทางด้านทิศตะวันออก
" ศนิวารระวังตัวนะลูก" สไบทองเตือนลูกด้วยห่วงใย
" พระเจ้าค่ะเสด็จแม่" พระโอรสรับปากพระมารดา
" พนมมือแล้วหลับตานึกถึงพระอาศรมพร้อมกับเรานะ" เมธาวีพูดพร้อมทำดังคำพูด และแล้วอาศรมพระฤๅษีได้ปรากฏในสายตาทั้งสองคู่นั้น
"เราไปกันเถอะ" ว่าแล้วทั้งคู่ได้เดินทั้งเจ็ดก้าวจนหายวับไปต่อหน้าต่อตาพระมเหสีและบริวารทั้งสอง
" ลูกเราจะไม่เป็นอันตรายใช่ไหม" เกิดความกังวลใจในหัวอกคนเป็นแม่ขึ้นมา
" มีพระธิดาเมธาวีอยู่ด้วยคงไม่เป็นอันตรายหรอกพระเจ้าค่ะ" หิ่งห้อยทูลตอบเพื่อให้เจ้านายคลายกังวลแต่ตนก็อดห่วงไม่ได้ เช่นเดียวกันที่อเวจีห่วงของวิเศษจะเป็นรอยเอาได้
..........
ขณะเดียวกันด้านฝั่งเมืองรัตนบุรีก็ได้มีการเตรียมจัดทำพระราชพิธีราชาภิเษกให้กับพระโอรสบดิศรที่นับว่าเป็นองค์ทายาทผู้เดียวที่เหลืออยู่แม้จะผ่านวันสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์องค์ก่อนได้ไม่ทันครบเจ็ดวัน
"ตาให้โหราจารย์ดูฤกษ์ที่เร็วที่สุดให้ เขาบอกว่าพรุ่งนี้ดีที่สุดเพราะเป็นวันพระอาทิตย์ทรงกลดเหมาะแก่การเฉลิมชัยยิ่ง" ปุโรหิตได้พูดกับหลานตนพลางมองเหล่าข้ารับใช้ในวังเตรียมงานกันขันแข็ง
"วันเฉลิมชัย ท่านตาหมายความว่ายังไงกัน เราจัดการพวกไอ้ง่อยได้ไม่ราบคาบเลยนะจ๊ะ" บดิศรฉงนกับคำกล่าวของผู้เป็นตา
" นี่ล่ะจะเป็นวันจัดการทุกอย่างให้จบสิ้น เทพวิษุวัตได้บอกกับตาเมื่อคืนนี้ว่าฤๅษีทมิฬคือข้ารับใช้ที่จับตัวองค์เหนือหัวไว้เพราะต่อรองกับพวกมัน พอจัดการได้แล้วเมืองนี้ทั้งเมืองจะเป็นของเรา เกราะกายสิทธิ์ก็จะเป็นของเทพวิษุวัติ"
" อย่างนี้ก็เท่ากับว่าเราทรยศเสด็จพ่อน่ะสิท่านตา"
"นี่หลานจะใจอ่อนไม่ได้นะ ยังไงซะองค์เหนือหัวกลับมาก็ต้องยกเจ้าพระโอรสนั่นขึ้นเป็นยุพราชแน่ ทุกอย่างที่ตากับแม่เจ้าทำมาก็จะสูญเปล่า เจ้าทนดูได้เหรอ แลกกับพ่อที่ไม่รักเจ้าแล้วยังไงก็ต้องคิดให้ดี ไม่มีใครมาว่าเราได้เมื่อเราขึ้นเป็นเจ้าเหนือหัว เข้าใจมั้ย"
" เข้าใจจะท่านตา"เขาตอบรับพลางคิดแล้วก็เจ็บใจที่พ่อนั้นสนใจรักลูกคนอื่นอีกครั้งทั้งยังเพิ่มมาอีกหกคน ตนคงไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วจริงๆ
..........
ที่ป่าจินตภพทั้งสองเนื้อหน่อกษัตราได้เข้ามายังหน้าอาศรมนี้เมื่อลืมตามองไปรอบๆจะพบพืชพรรณแปลกตามากมายรวมถึงสัตว์ที่ไม่คุ้นตาเอาเสียเลย พิศได้ครู่ฤๅษีเจ้าของอาศรมก็ได้ออกมาต้อนรับขับสู้โดยปรากฏหน้าค่าตาหลายเป็นเผ่าเดียวกันกับตุ้บเท่งตามที่เล่าไว้
"ท่านตา หลานมีเรื่องให้ช่วยเจ้าค่ะ" ธิดาน้อยพนมมือกล่าวกับอาจารย์ตน
"ฤๅษีทมิฬน่ะเหรอเขาน่ะอยู่อีกฟากของรัตนบุรีนั่นล่ะ"
"ท่านรู้.." ศนิวารพูดขึ้น
"รู้สิพระโอรสศนิวาร แล้วเราก็รู้ด้วยว่าจะเกิดศึกอาทิตย์ทรงกลดขึ้นด้วย" ฤๅษีเฒ่าตอบพลางยิ้มด้วยรู้ดีถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น
" ศึกอาทิตย์ทรงกลด... คืออะไรหรือเจ้าคะท่านตา"
" พรุ่งนี้เทพวิษุวัติจะใช้รัตนบุรีเป็นสถานที่ทำศึกเพื่อนำสิ่งวิเศษที่พวกท่านสวมใส่ไป"
" แล้วเทพวิษุวัตจะมาเอาเกราะกายสิทธิ์ไปทำไมล่ะท่านฤๅษี ไหนจะสังวาลย์มณีนี่อีก" ศนิวารอดสงสัยไม่ได้
"เขาก็มีเหตุผลเขานั่นล่ะ อยากรู้ก็ถามเขาสิ เอาล่ะหมดเวลาแล้วกลับไปได้"
" เดี๋ยวสิท่านตา ท่านตา!! " นักบวชมิฟังได้ร่ายคาถาด้วยไม้เท้าให้ลมพัดมาทั้งสองออกจากจินตภพนั้นจนเซล้มลงตรงหน้าพระพักตร์มเหสีผู้เฝ้ารอ
" ศนิวาร เมธาวี เป็นยังไงบ้าง" ตนเห็นดังนั้นจึงเข้าไปดูทั้งสอง
" ไม่เป็นไรพระเจ้าค่ะ/เพคะ"ทั้งสองคนตอบพร้อมกัน
" ดีนะเนี่ยที่ของไม่เป็นรอย"สุดหล่อพูดขึ้นเมื่อมองสิ่งวิเศษทั้งสอง ทำให้เจ้าของมองอย่างไม่พอใจ
"ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะเจ้าอเวจี หัดห่วงคนอื่นบ้างไม่ใช่แค่ของวิเศษ"หิ่งหัอยยักษ์สั่งสอนอีกตนให้รู้จักอะไรเสียบ้าง
" เป็นยังไงบ้างลูกข่าวคราวของเสด็จพ่อ" สไบมองเริ่มถามอีกครั้งเมื่อพบว่าบุตรยังปลอดภัยดี
"เสด็จพ่ออยู่กับฤๅษีทมิฬที่ป่าอีกฟากของเมืองพวกเราพระเจ้าค่ะ"
" อย่างนั้นเรารีบไปช่วยเสด็จพ่อกันเถอะศนิวารอย่าช้าเลย" มารดาเร่งรุดให้ไปเสียทันทีก่อนมิทันการแล้วทุกคนก็เดินทางมายังป่าอีกฟากพบกับอาศรมของฤๅษีทมิฬ
"ฤๅษีทมิฬ ปล่อยเสด็จพ่อเรามาเดี๋ยวนี้นะ" ศนิวารได้พูดออกมาเมื่อมาอยู่หน้าอาศรมฤๅษีเฒ่า
" ฮ่าๆ คิดว่าบอกให้เราปล่อย เราจะยอมปล่อยให้ง่ายๆงั้นเหรอ"เสียงชายชรากล่าวตอบมาแต่ไร้ซึ่งร่างปรากฏ
"จะหลบอยู่ทำไมน่ะ ไม่ออกมาเพราะไม่กล้าอย่างนั้นเหรอ" พระโอรสท้าทายอีกฝ่าย
" ตัวเจ้าก็แค่นี้ ถ้ากลัวเราน่ะก็ไม่ใช่ข้าพระเทวาแล้ว"
"มาสู้กับเราสิอย่าเอาแต่หลบ"พระโอรสเข้าไปดูด้านในอาศรมแต่ไม่พบฤๅษีแต่แล้วลำแสงก็พุ่งมาจากบนต้นไม้ลงมายังอาศรม
"ศนิวารระวังลูก!! " มารดาเห็นเช่นนั้นจึงเตือนภัยแก่ลูกยาทำให้เขารู้ตัวหลบทัน
"อยู่ไหนนะ" เมธาวีพยายามมองหาจากต้นกำเนิดแสงแต่ไม่พบแต่กลับมีหุ่นพยนต์ที่เสกจากฟางข้าวรูปคนนับสิบกระโดดลงมาจากต้นไม้นั้น
"ท่าไม่ดีแล้ว พี่หิ่งห้อยพาเสด็จแม่ไปหลบก่อนเถอะ" พระโอรสบอกขณะที่หุ่นพยนต์ทั้งสิบมาล้อมตนเองกับพระธิดาต่างเมืองไว้เป็นวงกลม
"พระเจ้าค่ะพระโอรส พระมเหสีพระเจ้าค่ะไปกันเถอะพระเจ้าค่ะ" หิ่งห้อยยักษ์มารอรับพระมารดาเพื่อจะนำพาพระนางไปยังที่ปลอดภัย
"ไม่ เราไม่ไปไหนทั้งนั้น ลูกเรายังอยู่นี่ทั้งคนน่ะเราจะไปได้ยังไง" สไบทองคัดค้านความคิดที่จะทิ้งบุตรตนให้เจออันตรายลำพัง
"ไม่ไปก็ไม่ไปสิ งั้นมาอยู่ในนี้ก็แล้วกัน จงเข้าไปน้ำเต้าอมฤต!! " โยคีเฒ่าปรากฏตัวพร้อมกับใช้น้ำเต้าดูดกลืนร่างของพระมารดา หิ่งห้อยยักษ์และตัวราชสีห์หน้าประหลาดนี่ไปด้านในทันที
" เสด็จแม่!!! " ศนิวารพยามยามเข้าไปช่วยแต่ไม่อาจช่วยได้เพราะหุ่นพยนต์ไปยอมปล่อยไปง่ายๆ จึงต้องเข้าต่อสู้ต่อยตีฟัดเหวี่ยงเสียให้วุ่น
"พระฤๅษีท่านไม่เห็นจะต้องทำอย่างนี้เลยนี่ คุยกันดีๆไม่ได้เหรอ" เมธาวีช่วยอีกคนสู้เหล่าบริวารปลุกเสกพร้อมกับถามดาบสผู้นี้ไปพลาง
" เรารับใช้พระเทวาวิษุวัต ไม่ว่าอะไรที่เราช่วยได้เราก็จะช่วย อย่าคิดมาขวางเราเลย ของวิเศษนั้นน่ะเจ้าใช้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์หรอก พรุ่งนี้เทพท่านจะมายังเมืืองรัตนบุรีแล้วจะคืนสู่พระองค์ตามสมควรแล้ว" ชายชราตอบอีกฝั่ง
" เทพวิษุวัตอะไรนั่นน่ะ ถ้าจะหาคนมารุมรังแกกันขนาดนี้นะ อย่าได้เรียกตัวเองว่าเทพเลยเถอะมันน่าละอายนัก!! " พระโอรสพูดประชดอีกฝ่ายขณะสู้กับหุ่นพยนต์ที่ไม่ว่าจะล้มกี่ครั้งก็กลับมาสู้ได้อยู่ดี
" เจ้าอย่ามาปากดี ชีวิตพ่อแม่เจ้าอยู่ในกำมือเราแล้ว ระวังเถอะจะไม่เหลืออะไรเลย" คนมีใจบูชาต่อเทพผู้นี้ไม่สบชะตาเข้าไปอีกเมื่อได้ยินคำพูดประชดส่อเสียดต่อเทพเหนือเกล้าตน
" ศนิวาร ขืนยังเสียเวลาสู้กับพวกนี้อยู่พวกเราจะหมดแรงเอาได้นะ" เธอพูดกับสหายร่วมสู้ของตน
" งั้นเราอย่าเสียเวลาเลย ไหนๆแล้วสิ่งวิเศษก็อยู่กับเราก็ต้องใช้ประโยชน์อย่าให้ใครมาว่าเราได้" ว่าแล้วทั้งสองพระองค์จึงใช้สิ่งวิเศษคู่กายทั้งสองปลดปล่อยพลังทำลายล้างจนเกิดระเบิดไฟลั่นไปทั้งบริเวณ ส่งผลให้หุ่นพยนต์ทั้งหมดเสียหายไม่อาจสู้ได้อีก ทั้งสร้างความเจ็บปวดย้อนกลับไปยังเจ้าของอีกด้วย
" ร้ายนักนะเจ้าเด็กพวกนี้!! "ดาบสเฒ่าใช้พลังจากไม้เท้าเข้าหมายทำร้ายทั้งสองศัตรูแต่ทั้งสองได้ร่วมมือกันใช้พลังจากสิ่งวิเศษสองสิ่งพร้อมกัน รวมแล้วได้พลังที่มากกว่าหลายเท่าจนท้ายสุดฤๅษีทมิฬก็เพลี่ยงพล้ำ จนร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัสส่งผลให้หมดเรี่ยวแรงจะต่อกรต่อไปได้
" เสด็จพ่อเสด็จแม่ พี่หิ่งห้อย ตุ้บเท่ง" ศนิวารเมื่อสู้เสร็จได้รีบปรี่ไปเข้าไปเอาน้ำเต้าออกมาจากข้างกายของโยคีที่นอนไร้แรงอยู่ แล้วได้เปิดฝาน้ำเต้าออก
"จงออกมาทั้งหมดน้้ำเต้าอมฤต!! " กล่าวจบร่างทั้งสี่ก็หลุดจากที่คุมขังออกมายังภายนอก
"โอ๊ยปวดตัวจริงๆเล้ย"อเวจีออกมาก็ออกปากบ่นทันที
" จะบ่นอะไรนักหนาแทนที่จะขอบพระทัยพระโอรสศนิวารกับพระธิดาเมธาวีน่ะเจ้านี่หนิ" หิ่งห้อยติเตียนอรกตน
"เสด็จพ่อเสด็จแม่พระเจ้าค่ะ" ด้วยความดีใจที่พระบิดาและพระมารดายังคงปลอดภัยดีจึงได้เข้าไปหาแล้วกอดบุพาการีอย่างไม่เขินอาย
" ศนิวารลูกไม่เป็นอะไรใช่มั้ย บาดเจ็บตรงไหนรึปล่าว"เมื่อผละจากการกอดได้ผู้เป็นแม่ก็ได้ถามไถ่ลูกด้วยความเป็นห่วง
"ลูกไม่เป็นอะไรเลยพระเจ้าค่ะ" ลูกยาแย้มสรวลส่งไปให้มารดาสบายใจ
"ลูกไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วล่ะ แล้วนี่เป็นใครกัน" ผู้เป็นพ่อได้ถามขึ้นเมื่อเห็นคนไม่คุ้นตาคนหนึ่งกับตัวประหลาดอีกหนึ่งเพิ่มมาด้วยเนื่องจากตอนอยู่ในน้ำเต้าตนได้สลบอยู่รู้ตัวอีกทีก็ออกมาอยู่ด้านนอกพร้อมกับชายา
" หม่อมฉันเมธาวีเพคะ หม่อมฉันมาช่วยตามประสงค์ของแสงสุรีย์เพคะ"เมื่อได้ยินดังนั้นตนก็แนะนำตัวไม่ให้ผู้ใหญ่กว่ารอนาน
"ข้ากระหม่อมมีชื่อว่า สุดหล่อ พระเจ้าค่ะ "ราชสีห์หนุ่มไม่รอช้ารีบแนะนำตัวตามมาติดๆ
"เราว่าเราหาพักเอาแรงก่อนดีไหม พรุ่งนี้ค่อยกลับวังกัน"พีรเชษฐ์กล่าวเสนอข้อคิดเห็น
-
"เห็นสมควรตามนั้นเพคะ เพราะพรุ่งนี้เทพวิษุวัตจะมาที่เมืองรัตนบุรี ไม่ใช่เรื่องดีแน่" พระธิดาต่างเมืองทูล
"เทพวิษุวัตมีอะไรกับพวกเราถึงว่าไม่ดีล่ะ" ท้าวเธอฉงนกับคำกล่าวจากเด็กผู้หญิงคนนี้
"ก็เทพวิษุวัตน่ะสิเพคะ เป็นคนที่อยากจะได้เกราะกายสิทธิ์จึงส่งคนมาหมายจะทำร้ายพระองค์เพื่อจะแลกกับสิ่งนั้น"
" ตอนแรกที่ได้ยินคำทำนายของพระฤๅษีที่ป่าจินตภพลูกก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งหรอกพระเจ้าค่ะ" พระโอรสกล่าวเสริมแล้วกล่าวต่อไปว่า"แต่พอมาผเชิญหน้ากับฤๅษีทมิฬที่พูดเรื่องการมาในวันพรุ่งของพระวิษุวัต ทำให้มีน้ำหนักด้านความเป็นจริงขึ้นมา"
" พระอาจารย์ของหม่อมฉันมักทำนายทายทักแม่นยำเสมอเพคะ พรุ่งนี้จะเป็นวันสำคัญที่พระอาทิตย์จะทรงกลดด้วยเพคะ"
" วันสำคัญที่พระอาทิตย์ทรงกลด สำคัญยังไงกันน่ะ"สไบทองถามขค้นมาด้วยสงสัยในท่าที
" วันพระอาทิตย์ทรงกลดจะทำให้ร่างทั้งเจ็ดได้แยกออกจากกันหนึ่งวัน พอหมดแสงอาทิตย์จะกลับสู่ร่างเดียวตามเดิมเพคะ หม่อมฉันนึกว่าทรงทราบแล้วเสียอีก"พระธิดาตอบไปก็ประหลาดใจพลางนึกไปว่าพวกเขานั้นไม่ได้รู้เรื่องนี้ด้วยงั้นหรือ
" เราไม่รู้หรอกพระธิดา ลูกเราเพิ่งจะได้เกราะกายสิทธิ์มาใช้เมื่อไม่ถึงเดือนนี่เอง" นางได้ไขกังขาให้เด็กน้อยได้ฟัง
" อ๋อ.. อย่างนี้นี่เอง พระอาจารย์ยังเคยบอกว่าหากเกิดสุริยคราส ร่างทั้งเจ็ดจะสามารถแยกออกจากกันได้ถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนเพคะ แต่ว่า.. ทางที่จะแยกออกจากกันอย่างถาวรยังเป็นที่กังขาอยู่เพคะ" เมธาวีก็รู้อยู่เพียงเท่านี้เอง
" แสดงว่าพรุ่งพวกเราทั้งเจ็ดคนจะออกมาพร้อมกันงั้นเหรอ"ศนิวารถามย้ำเพื่อให้แน่ใจ
" เรื่องนี้เราก็ไม่แน่ใจเกี่ยวกับเกราะกายสิทธิ์นั่นเท่าไหร่หรอก เรารู้แต่ส่วนของเราน่ะ คงต้องดูกันอีกที" เธอตอบด้วยเพราะยังไม่รู้ของอีกฝั่งว่าจะมีปรากฏการณ์เช่นเดียวกับสังวาลย์มณีหรือไม่
" ยังไงพรุ่งนี้ไม่ว่าพวกเราจะสามารถแยกร่างกันได้เหมือนพวกเจ้าหรือไม่ ยังไงซะพวกเราทั้งหมดก็ต้องร่วมมือกันต้านทานอันตรายจากเทพวิษุวัตที่ไม่รู้ว่าจะมาแบบไหนด้วย" เขาตอบด้วยเชื่อใจในสุริยะ หากแม้ว่าจะไม่ได้ออกมาแต่เชื่อว่าจะต้องสู้จนสุดใจเช่นเดียวกับตน
อรุณรุ่งขึ้นเวียนวนครบบรรจบขึ้นมาเป็นวันอาทิตย์ทั้งสองสิ่งวิเศษเปลี่ยนสี เช่นเดียวกันกับที่บุคคลเปลี่ยนไป
" วันนี้คงต้องเสด็จเข้าเมืองรัตนบุรีเร็วเสียหน่อยพระเจ้าค่ะพระโอรส พระธิดา" เสียงเจ้าหิ่งห้อยบอกกล่าวให้เตรียมตัวเดินทางเร็วขึ้นกว่าเดิม
" มีอะไรเหรอจ๊ะพี่หิ่งห้อย ทำไมถึงต้องเดินทางเร็วด้วยล่ะ เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ก็ปลอดภัยดีแล้ว" สุริยะถามด้วยตนเห็นว่าบิดรมารดาก็อยู่ดีไม่เห็นต้องรีบร้อนเลย
" แต่ว่ารัตนบุรีอาจจะไม่ปลอดภัยนะพระเจ้าค่ะ เพราะองค์เทพวิษุวัตจะเสด็จมา" หิ่งห้อยกล่าวตอบ
"จะเสด็จ.. แล้วไม่ดีตรงไหนเหรอจ๊ะพี่หิ่งห้อย"
" พระโอรสศนิวารและพระธิดาเมธาวีทรงพบกับพระฤๅษีที่ป่าจินตภพ ท่านทำนายไว้ว่าจะเกิดศึกอาทิตย์ทรงกลดในวันนี้พระเจ้าค่ะ ซึ่งศึกนี้นำโดยพระวิษุวัตพระเจ้าค่ะ"
" ศึกอาทิตย์ทรงกลด นี่มันเรื่องอะไรกันแน่นะ ทำไมต้องทรงทำเช่นนี้ด้วยล่ะ " พระโอรสกล่าวด้วยความวิตกเล็กน้อย
" รู้แต่เพียงว่าทรงต้องการเกราะกายสิทธิ์เท่านั้นพระเจ้าค่ะ ส่วนเหตุผลที่ทรงต้องการนั้นไม่มีใครรู้เลยพระเจ้าค่ะ" แมลงตัวใหญ่ตอบ
" พวกเราออกเดินทางกันเลยดีกว่านะ จะได้ให้ชาวเมืองและทหารเตรียมการณ์รับมือได้"พีรเชษฐ์เสนอเพราะตนไม่อยากเห็นชาวประชาล้มตายโดยไม่รู้เรื่องใดด้วยเลย
" พระเจ้าค่ะเสด็จพ่อ " ว่าแล้วทุกคนก็มุ่งเดินทางสู่เมืองรัตนบุรีทันที
.....
ฝ่ายด้านในวังรัตนบุรีนั้นปุโรหิตได้จัดแจงแต่งกายและเตรียมตัวให้กับหลานชายเพื่อเข้าพิธีขึ้นครองราชย์ ์โดยมีองค์วิษุวัติมาร่วมอำนวยอวยชัย
"ท่านตาหลานไม่สบายใจเลยจะ" บดิศรกล่าวพลางถอนหายใจหนักหน่วงหลังจากที่แต่งกายเสร็จแล้ว
"หลานไม่สบายใจเรื่องอะไรกันล่ะ วันนี้เป็นวันที่ดีนะ เจ้าจะมีอำนาจเหนือผู้คนทั้งหลาย ไม่ต้องกลัวอาญาถึงตาย ใครก็หมายรับใช้พวกเรา" ผู้เป็นตาพูดขึ้นเมื่อหลานได้มีท่าทีไม่สบายใจเอาเสียมาก
" เสด็จพ่อจะทรงคิดเช่นไรที่หลานรับบัลลังก์ต่อโดยพละการเช่นนี้ ทั้งหลานยังกังวลใจเหลือเกินว่าเรื่องปกครองจะทำได้ไม่ดีพอ"พระโอรสองค์รองนึกกังวลขึ้นมาเสียอย่างนั้น
" จะทรงคิดเช่นไรก็ทรงคิดไปสิ เมื่อทำพิธีแล้วเจ้าก็เป็นใหญ่เหนือทุกคน ถึงเวลานั้นพระองค์ก็ไม่อาจทัดทานอำนาจที่เจ้ามีไปได้หรอกนะหลานตา" ปุโรหิตพูดให้หลานตนนั้นสบายใจ แต่นั่นไม่ได้ทำให้สบายใจเท่าใดนักด้วยเพราะบดิศรยังรักและห่วงหาพระบิดาเสมอและคิดเกี่ยวกับตนเองว่าไม่พร้อมก็ไม่ควรขึ้นครองบัลลังก์ เขาฟังคำผู้เป็นตาแล้วได้แต่พยักหน้าไม่พูดอะไรต่ออีก เพียงแค่รอเวลาที่จะได้เช้าพิธีราชาภิเษกเท่านั้น
..
"เจ้าว่าอะไรนะ วันนี้จะมีพิธีราชาภิเษกเรอะ!!" เจ้าตัวประหลาดที่เอาผ้าปิดหน้าตนไปพูดคุยกับชาวบ้านกลับได้รับข่าวที่น่าประหลาดใจ
"ก็ใช่น่ะสิ นี่ล่ะนะในวังตีกลองให้รู้กันว่าพระราชาองค์ก่อนน่ะสิ้นแล้วและมีประกาศแจ้งมาว่าทรงสิ้นนานแล้วแต่เพิ่งประกาศเพื่อความมั่นคง วันนี้พระโอรสบดิศรจะทรงเข้าพิธีราชาภิเษกเพื่อเป็นกษัตริย์องค์ต่อไปของรัตนบุรี" ชาวบ้านก็ตอบตามคำถาม
เจ้าสุดหล่อได้ไปดูลาดเลามาแล้วจึงทูลเล่าเรื่องราวที่ได้ยินมาให้องค์เหนือหัวฟัง
" อะไรนะ บดิศรจะขึ้นครองราชย์!! "ท้าวเจ้าเมืองกล่าวด้วยตกพระทัย เหตุใดหนาพระโอรสที่เชื่อใจจึงได้ทำ เช่นนี้
" เรายังไม่ตายและก็ยังไม่สละราชสมบัติ ทำไมถึงได้ทำกับเราเช่นนี้นะ" เขากล่าวต่อไปด้วยความสับสน
"เสด็จพี่เพคะ หม่อมฉันว่าควรเข้าไปเขตพระราชฐานแล้วถามให้รู้เรื่องกันเสียก่อนดีไหมเพคะ" สไบทองแนะพระสวามี
"ดี พวกเราไปกันเถอะ" ท้าวเธอก็ตอบรับ
"เสด็จพ่อเสด็จแม่พระเจ้าค่ะ เสด็จไปกับพี่ห้องหิ่งห้อยก่อนเถอะพระเจ้าค่ะ ไว้ลูกเตือนชาวเมืองแล้วลูกจะรีบตามไป" สุริยะกล่าว
" เราไปด้วย" แสงสุรีย์พูดหลังจากที่เงียบมาเสียนานเพราะกำลังคิดถึงการเกิดของอาทิตย์ทรงกลดอยู่
"เช่นนั้นแล้วพ่อกับแม่จะไปกับพี่หิ่งห้อยของลูกก่อน ระวังตัวด้วยนะลูก พระธิดา" สไบทองตอบรับ
" พระเจ้าค่ะ/เพคะ"ทั้งสองก็ตอบรับที่จะระวังตัว อย่างน้อยๆก็พกอเวจีไปคงไม่น่าเป็นปัญหาอะไร สิ้นการสนทนาลงก็แยกย้ายเป็นสองฝั่ง
"วันนี้เป็นวันดีไม่ใช่เรอะ องค์เทวาจะมาอวยพรด้วยหนิ จะให้พวกเราระวังภัยอะไรล่ะพูดจาแปลกๆ" ชาวบ้านถามขึ้นเมื่อได้ยินเสียงประกาศเตือนกลางเมืองนั้น
"เอาเถอะน่า พวกข้าบอกให้หลบก็หลบไปก่อน" ตุ้บเท่งเจ้านึกรำคาญขึ้นมาบ้างแล้ว ตนทั้งต้องเตือนทั้งที่ผ้าปิดหน้าอากาศร้อนแล้วยังมาเจอคนที่ไม่เห็นด้วยลำบากสาธยาย
" ถือว่าพวกเราขอเถอะนะทุกท่าน"พระธิดาต่างเมืองช่วยพูดเสริมเพราะไม่อยากเห็นใครต้องมาร่วมเจ็บปวดสูญเสียจากสงคราม
" ไม่รับคำขอหรอกนะ พวกเราจะรอชื่นชมพระบารมีตอนเสด็จเลียบพระนคร" ชาวบ้านก็ไม่ยอมเอาเสียเลย
"หนอยนึกว่าสำคัญนักเหรอ อุตส่าห์มาเตือนยังจะเถียงอีกนะ" สุดหล่อเริ่มขึ้นเสียง
" พอเถอะสุดหล่อ... เอาเป็นว่าหากเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นขอทุกท่านรีบหลีกหนีให้เร็วที่สุดนะ" เขาปรามตัวประหลาดปิดหน้าก่อนที่อารมณ์จะปะทุไปกว่านี้แล้วจึงกล่าวให้เตรียมพร้อมอันว่าพอก่อน ไม่เช่นนั้นจะ
ถูกต่อต้านคำเตือนเอาเสีย
" ถ้าเกิดเรื่องเช่นนั้นจริงพวกเราจะไม่อยู่เฉยหรอก"
ชาวบ้านต่างตอบพลางเออออกันไป
" สุริยะ สุดหล่อ พวกเราไปกันเถอะ" จบเรื่องเธอก็ชวนสหายมุ่งสู่วังทันทีโดยติดตามเจ้าถิ่นคนเมืองนี้ไป
...
"บดิศรนี่มันเรื่องอะไรกันแน่" หลังจากที่หิ่งห้อยพาบินลับตาคนเข้าวังมาได้ท้าวพีรเชษฐ์ก็มุ่งหน้าไปยังท้องพระโรงแล้วพบกับพระโอรสจึงได้ถาม
"เสด็จพ่อ คือว่า.. "บดิศรยังไม่ทันได้ตอบดี เหล่าบริวารขององค์เทพได้พากันมาก่อนเสด็จแล้วขัดจังหวะเสีย
"ดีจริงๆเลยนะ อุตส่าห์หนีจากฤๅษีทมิฬมาได้แล้วยังจะมาหากันซึ่งๆหน้าด้วยอีก" บริวารผู้ที่มีแผลเป็นไหม้ที่ใบหน้ากล่าว
"อย่ามาพูดจาเช่นนี้ใส่องค์เหนือหัวนะ" หิ่งห้อยยักษ์กล่าวอย่างไม่พอใจ
"ทำไมล่ะ องค์เหนือหัวเจ้าใหญ่เท่าไหร่ก็ไม่ใหญ่เท่านายพวกเราหรอก ฮ่าๆ" บริวารที่มีแผลอีกคนก็เสริมแล้วหัวเราะขบขันอย่างชอบใจ
" นี่อย่ามาว่าเสด็จพ่อเราอย่างนี้นะ" บดิศรเขาไม่ชอบให้ใครมาพูดเกี่ยวกับบิดาเช่นนี้เลย
" กล้าดีนักนะ ทหารมาจับสองคนนี้เร็วเข้า!!" เจ้าเหนือหัวสั่งแต่กลับไร้ซึ่งคนกล้าเผชิญเพราะพอรู้ว่าตนไร้แรงเท่ากันเสียทั้งนั้น
" แค่ปัญญาสั่งคนยังไม่มีเลย จะทำอะไรได้" พวกเขาต่างพูดอย่างสนุกปาก
" ข้าให้หยุดพูด เอาแต่พูดอยู่ได้!! " บดิศรเธอทนไม่ได้จึงเข้าถีบทำร้ายพวกปากดีจนออกนอกท้องพระโรง แค่นั้นยังไม่พอ ตนยังออกไปกะจะสั่งสอนเพิ่มเสียให้เข็ดหลาบ
"บดิศร.."พีรเชษฐ์เรียกลูกยังไม่ทันได้พูดต่อปุโรหิตและพวกก็ได้เข้าจับกุมตัวทั้งสองพระองค์ หิ่งห้อยจึงปล่อยลำแสงก่อระเบิดวุ่นวายไปทั่ววังหลวง แต่ด้วยฝุ่นตลบอบอวลเกินไปทั้งสองพระองค์จึงหลีกหนีอย่างยากลำบากส่งผลให้ถูกจับได้ไล่ทัน ทั้งคนและหิ่งห้อยก็โดนบ่วงรัดตัวจากบริวารคนที่สามของเทพท่านเสียแล้ว
"บดิศรกล้าดีนักนะ นึกว่าตัวเองวิเศษวิโสนักเหรอที่ทำอย่างนี้" บริวารที่ถูกกระทำได้เปิดฉากสาดน้ำลาย
"ข้าไม่วิเศษอะไรทั้งนั้นล่ะ แต่ว่ามาว่าเสด็จข้า ข้าไม่ยอม" เขาตอบพลางวิ่งไปกะจะกระทืบอีกคนให้มิดพสุธาแต่ทว่าเทวดารับใช้นี้ใช้มือรับเท้าไว้ได้ทัน
"เสด็จพ่อ เสด็จแม่ พี่หิ่งห้อย!! " เสียงเรียกที่ตกใจของสุริยะทำให้บดิศรหันกลับไปมองพลางใช้เท้าเตะคนที่ตนสั่งสอนทีเพลอเสียเข้าเต็มๆ
" พวกนี้อีกแล้วเหรอ ระวังเถอะจะเสียใจที่มาที่นี่" พระโอรสองค์รองว่า
"ไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้ใกล้เพลาองค์ท่านเสด็จแล้ว พวกเรามาร่วมมือกันจัดการมันก่อนดีกว่า"บริวารผู้ที่ใช้บ่วงมัดได้ออกความเห็น
"มาเลย" สุริยะท้าทายแล้วเริ่มเข้าต่อสู้โรมรันกับบดิศร ซึ่งเหล่าทหารที่ดูเหตุการณ์ก็เข้ามาร่วมหมายจะตะลุมบอน แต่ทายาทเจ้าแห่งสิงสาก็ดักหน้าจัดการ
" ครั้งที่แล้วพวกท่านยังไม่รู้สำนึกอีกเหรอ" แสงสุรีย์ดักทางเจ้าบริวารทั้งสองที่เป็นอริก่อนเก่าเมื่อคราวเมืองทิศพล
"สำนึกอะไรล่ะ เกราะนั่นเป็นของพระวิษุวัต เรามาเอาคืนให้ก็ถูกแล้ว" เขาเถียงเด็กหญิงพลางนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดแล้วนึกแค้นที่โดนเผาอย่างนั้น
"ของใครเราไม่รู้ด้วยหรอก เรารู้แต่ว่าถ้าเอาโดยวิธีทำร้ายเช่นนี้ก็ถือว่าผิด" เธอตอบแล้วทั้งสองก็เข้าต่อสู้ด้วยทันที
" ยอมซะเถอะบดิศร เราไม่อยากใช้พลังทำร้ายเจ้า"สุริยะพูดขณะที่กำลังฟัดเหวี่ยงพลัดปล้ำกับอีกฝ่าย
"ไม่ต้องพูดไอ้ง่อย" เขาไม่พูดปล่าวยังจะใช้มือยื้อดึงเกราะเสียให้ได้ แต่เจ้าของไม่ยอมง่ายๆจึงสู้ด้วยความลำบาก
" พระวิษุวัตเจ้าเสด็จแล้ว!! " บริวารกล่าวดังขึ้นเพื่อหยุดการต่อสู้เสีย ทั้งสองฝ่ายผละจากกันแล้วมารวมตัวกันไว้
"สุริยะ เจ้าจงคืนเกราะกายสิทธิ์ให้แก่เราเสียเถิด แล้วเราจะปล่อยพ่อกับแม่ของเจ้าไป" ลงมาได้ไม่นานพนะเทวาก็กล่าวเอาเงื่อนไขเข้าแลกเสียแล้ว
"ไม่นะลูก ไม่ว่าแม่จะเป็นยังไงก็อย่าให้เกราะกายสิทธิ์เด็ดขาด" พระมารดาบอกพระบุตรเพราะตนไม่อาจทนเห็นลูกในสภาพที่พิการเข็ญใจได้อีกแล้ว
" เจ้าก็คิดดูเถอะว่าอะไรสำคัญ" เทพเธอก็เสริมไปอีก
" ที่พระองค์บอกว่าคืน หมายความว่าอะไรเพคะ" แสงสุรีย์ถามด้วยสงสัย เมฆาบนฟ้าก็คลาเคลื่อนใกล้เวลา
" เกราะกายสิทธิ์เป็นของเรา แต่เจ้าเทพบุตรโกวิทกลับลักขโมยหยิบเอาของของเราไป" เขาพูดพลางชี้ไปยังเด็กที่ใส่ชุดเกราะวิเศษพลางสังเกตเห็นสังวาลย์ที่คล้องตัวเด็กที่ถามตน
" แต่นี่คือสุริยะนะเพคะ พระองค์ทรงแน่ใจได้ยังไงว่าเป็นเขาจนมาราวีกัน" แสงสุรีย์มิลดละที่จะถามหาเหตุผล
" รู้สิก็เราให้เขาลงมาเกิดเอง แต่ว่าเจ้าโกวิทไม่บอกแหล่งเก็บเกราะนี่จนมาใช้งานนี่ล่ะ เจ้าเถอะไปได้สังวาลย์มณีมาจากที่ไหนล่ะ" เทพท่านได้ถามกลับบ้าง สีรุ้งเริ่มปรากฏข้างดวงอาทิตย์ใกล้เป็นวงเข้าทุกที
" หม่อมฉันได้มายังไงก็ไม่ใช่ของของพระองค์หรอกเพคะ" ตอบเช่นนี้มีหรือเทพท่านจะพอพระทัย
" ยังไงซะ สิ่งวิเศษพวกนี้ก็ไม่ใช่ของที่พวกเจ้าจะใช้ประโยชน์ได้หรอก เราว่าจะใช้เงื่อนไขแลกเปลี่ยนแต่ตอนนี้เราเปลี่ยนใจแล้ว" ว่าแล้วเทพวิษุวัตก็ใช้พลังประจำพระองค์ลงมาหมายจะเอาสิ่งวิเศษทั้งสองแต่ทว่าเมฆที่บดบังดวงสุริยันได้เคลื่อนคลายไปทำให้แสงอาทิตย์ทรงกลดสาดส่องยังสิ่งวิเศษทั้งสองบังเกิดแสงประหลาดแสบเนตรนัยน์จนหายไป แล้วปรากฏเป็นเด็กที่แยกออกมาเป็นร่างทั้งสิบสี่คน
" นี่มันอะไรกัน" เทพเธอฉงนได้พูดไปแต่แล้วไม่นานตนก็ต้องนคกถึงผลเสียที่จะตามมาจะได้จงใจปล่อยลูกไฟประลัยกัลป์ลงมาเป็นห่าใหญ่เข้าหมายโจมตีเด็กที่สวมใส่สิ่งวิเศษเสียให้ราบคาบ ร่างที่ออกมายังไม่ทันตั้งตัวดีจึงพากันหลบหลีก
"พระฉายส่องสิทธิ์!!" พระโอรสภูมินทร์ใช้พลังจากเกราะกายสิทธิ์เข้ากันทุกคนไว้เป็นแนวกระจกสะท้อนลูกไฟกลับไป
"จันทราภา พุทธรัตน์ ประกายพฤกษ์ฝากไปช่วยเสด็จพ่อเสด็จแม่และพี่หิ่งห้อยทีนะ " สุริยะเริ่มบอกแบ่งหน้าที่ทันทีที่มีโอกาส พวกบริวารเริ่มเห็นท่าไม่ดีจึงเข้าต่อสู้กับพวกเกราะกายสิทธิ์และสังวาลย์มณีทันที
"คิดว่ากระจกสะท้อนแล้วเราจะทำลายไม่ได้เหรอ" เทพวิษุวัตจึงจำขวานเพชรเข้าจามพระฉายส่องสิทธิ์
" แก้วทวาราสันตี!! " จินดาใช้พลังจากสังวาลย์มณีสร้างประตูแก้วกั้นเพดานฟ้าเมืองไว้
"ปัทมาสน์ช่วยกั้นขวางประตูให้ทีอย่าให้พระวิษุวัตเข้าทำลายได้" แสงสุรีย์บอกกับธิดาอสุรา
"ได้!! " ปัทมาสน์ตอบรับแล้วแปลงกายใหญ่พร้อมนำพลังจากสังวาลย์ขึ้นมาช่วยต้านพลังทำลายของเทพท่าน
"เราไม่มีความแค้นต่อกัน ปล่อยเสด็จพ่อกับเสด็จแม่เรานะ" ประกายพฤกษ์ต่อรองกับอีกฝ่ายที่มัดร่างพระบิดามารดาไว้
" ไม่ได้ เรารับใช้องค์เทพ จะไม่ยอมปล่อยคนให้อริเด็ดขาด" แล้วบริวารก็เข้าสู้กันกับทั้งสามพระธิดา
จันทลักษณ์เข้าแก้บ่วงให้ทั้งสองพระองค์และหิ่งห้อยยักษ์จนหลุดจากพันธนาการ
" คนเราน้อยกว่า อาจต้านไม่ไหวนะธานินทร์" บริวารของพระวิษุวัตพูดกับสหายตัวขณะต่อสู้
" บดิศรตามาช่วยเจ้าแล้ว" ปุโรหิตโร่เข้ามาใช้หุ่นพยนต์นับร้อยเข้ามาช่วยสู้
"กะจะใช้วิธีนี้มารุมเหรอ อย่าคิดว่ามีคนเดียวเลย" ศุภลักษณ์ก็ใช้วิชาเสกหุ่นพยนต์มาสู้อีกฝ่ายด้วยเช่นกัน
" อีกนานไหม เราจะต้านไม่ไหวแล้วนะ" ปัทมาสน์ท้วงเมื่อแรงโจมตีของขวานเพชรนี้หนักขึ้นหลายเท่าทวีคูณ
" เราก็อยากให้จบเร็วๆอยู่หรอก" อังคาสตอบแล้วเข้าพลัดรับพลัดสู้กับดิศร
" เพชรราหูสร้างพันธนาการเถอะอย่างนี้ไม่ไหวแน่" แสงสุรีย์กล่าว
"เรากำลังเร่งอยู่ ทนไว้ก่อนนะ" เพชรราหูใช้พลังสร้างกรงขังที่อยู่ใต้พสุธาแต่ยังไม่ทันเสร็จดีเพราะมีคนเข้าขวาง การต่อสู้วุ่นวายหาทางหลบหลีกช่างยากเย็นต่อผู้ที่ต่อกรไม่ได้อย่างเจ้าเมืองและมเหสี
" เสด็จพ่อ เสด็จแม่มาอยู่ในนี้ก่อนนะพระเจ้าค่ะ จงนำพระบิดามารดาเราเข้าไปน้ำเต้าอมฤต" ศนิวารใช้น้ำเต้าที่เก็บมาจากโยคีเฒ่ามาใช้เก็บรักษาพระบิดามารดาไว้ก่อน
" พุทธรัตน์" จันทราภาเรียกอีกคนที่ถูกบ่วงบาศก์เข้ารัดแน่นก่อนจะเข้าช่วยแก้ไข แต่ไม่ทันระวังตัวจึงจะถูกหุ่นพยนต์ทำร้ายแต่เมธาวีมาช่วยได้ทัน จากนั้นก็เข้าสู้กันต่อ
" โอมไพรีจงเข้าที่พันธนาการ"เพชรราหูสร้างกรงขังใต้พสุธาเสร็จก็ใช้พลังดึงคนอีกฝ่ายลงสู่ธรณีสูบแต่คนเยอะไปจึงยังค้างคาไม่ลงถึงใต้ธรณี
"เราช่วยนะ" อังคาสเข้าช่วยเพิ่มพลังให้กับพันธนาการจนสามารถสูบคนเข้าพันธนาการได้ แต่ทว่าขณะเดียวกันยักษ์เฝ้ากันประตูไม่สามารถทนแรงทำลายต่อไปได้ ทวาราจึงแตกแยกและขณะเดียวกันปัทมาสน์ก็กลับสู่ร่างปกติด้วยอาการบาดเจ็บ
"เราเสียเวลามามากพอแล้ว ให้มันจบลงตรงนี้เถะ"ว่าแล้วก็ใช้พลานุภาพส่งต่อพลังสู้ขวานเพชรหมายจะจัดการทุกคนในคราวเดียว
"พวกเรารวมพลัง" สุริยะพูดแล้วเกราะกายสิทธิ์ทุกคนก็รวมกำลังเข้าเป็นโล่พลังกั้นแล้วโต้ตอบกลับไปโดยพลังยังคงต้านทานกันคนละครึ่งทาง ฝ่ายสังวาลย์มณีก็ช่วยเอาพลังเข้าช่วยอีกแรงจนพลังมากเกินส่งผลให้เสียการควบคุมจนทั้งสองฝ่ายต้องผละออกจากกัน เทพวิษุวัตและอีกฝ่ายก็ต่างเจ็บกับเสียระบม
"พระโอรส พระธิดาพระเจ้าค่ะ" หิ่งห้อยยักษ์ที่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ได้ปรี่เข้าไปดูเหล่าเชื้อไขกษัตราทันที ทันใดนั้นเองมีแสงสีมรกตประกายแก้วสาดส่องลงมายังพื้นที่เมืองรัตนบุรีท่วนทั่วกัน ปรากฏพระเทวราชาองค์อินทร์แห่งแดนดาวดึงส์ประจักษ์สู่สายตาประชาชาวมนุษย์และเทพเทวัญ
" วิษุวัต เหตุใดเล่าท่านจึงได้กระทำการเช่นนี้" ท้าวมรุตวานท่านถามถึงเทวาในการปกครอง
"ข้าพุทธเจ้าได้รับทุกขเวทนาจากการกระทำของเทพบุตรโกวิทย์ บัดนี้เพียงมาขอสิ่งของของข้าพุทธเจ้าคืนเท่านั้นพระเจ้าค่ะ"เทพวิษุวัตทูลตอบพระเทวราชา
"เรื่องนั้นเราว่าเขาก็ได้รับโทษทัณฑ์จากท่านแล้ว สิทธิ์ในเกราะกายสิทธิ์นั้นเป็นของเทพบุตรโกวิทตามสมควร แต่ท่านใช้กำลังทำร้ายผู้เยาว์และต้องการสังวาลย์มณีด้วยนั้นเราเห็นว่าไม่สมควร เช่นนี้แล้วเราขอให้ท่านละจากการดูแลโลกมนุษย์เป็นเวลาหนึ่งทศวรรษเพื่อที่จะได้บำเพ็ญเพียรให้จิตบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น เราให้เวลาท่านจัดการเรื่องที่ดูแลที่ยังไม่แล้วเสร็จภายในเจ็ดวันแล้วเริ่มการบำเพ็ญโดยทันที" พระโกสีย์เธอมอบหมายให้ตามเห็นสมควร
" ข้าพุทธเจ้าขอน้อมรับพระบัญชา
เป็นพระมหากรุณาธิคุณพระเจ้าค่ะ" วิษุวัตเทพกล่าวตอบรับกับข้อมอบหมายแห่งองค์เจ้าเทวัญ
" ส่วนพวกท่าน เราจะช่วยรักษาอาการทุกข์ยากแล้วเราจะคืนสู่วิมาน" กล่าวแล้วทรงดลบันดาลให้เกิดพิรุณร่วงลงสู่พื้นปฐพีรัตนบุรีที่แห้งแล้งมีร่วมเก้าปี นอกจากจะเป็นน้ำฝนที่ช่วยให้ความแห้งแล้งกลับกลายเป็นความอุดมสมบูรณ์แล้วนั้น ยังรักษาอาการบาดเจ็บจากการต่อสู้แลบูรณะสิ่งก่อสร้างที่เสียหายได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ
" เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่งพระเจ้าค่ะ/เพคะ" เหล่าพระโอรสพระธิดาต่างล้วนซาบซึ้งในองค์อินทร์
"เราขอให้ท่านทั้งหลายประพฤติชอบอยู่ในความดี ขจัดทุกข์ยากให้ผู้คน เราไม่สามารถจะช่วยใครได้ทั่วถึง ถือว่าคือคำขอของเราเถิด ได้เพลาแล้วเราลาก่อน" พูดจบแสงมรกตประกายแก้วหายไปพร้อมกับร่างขององค์อินทร์นั่นเอง
.......
พระโอรสศนิวารได้นำพระปิตุรงค์และพระมาตุเรศออกมาจากจากน้ำเต้าอมฤตแล้วเหล่าปรัตยาทั้งหมดรวมถึงพระสหายได้เข้าเฝ้าถวายบังคมพระกษัตริย์ในท้องพระโรง
" บัดนี้บ้านเมืองเราได้กลับคืนสู่ซึ่งความสุขไร้อาเพศแล้ว ทั้งนี้เป็นเพราะพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์อมเรศวร เราเห็นควรว่าลดการเก็บส่วยแลอากรลดเสียหนึ่งปีตลอดจนบริจาคทานเพื่อเป็นการช่วยสร้างขวัญกำลังใจให้เหล่าประชาทำการต่อไปได้" ท้าวพีรเชษฐ์ได้พระบัญชาตามเห็นชอบ
" รับด้วยเกล้าพระเจ้าค่ะ"อำมาตย์เรืองรองรับพระบัญชาของพระมหากษัตริย์เพื่อจะได้กระทำการต่อไป
" อีกทั้งเราต้องขอบพระทัยพระโอรส พระธิดาของเรารวมถึงพระสหายที่มาช่วยป้องกันรัตนบุรีอย่างสุดกำลัง อีกทั้งยังช่วยชีวิตเราและพระมเหสีให้พ้นโพยภัย" ท้าวเธอกล่าวพร้อมแย้มพระโอษฐ์
" พวกหม่อมฉันยินดีพระเจ้าค่ะ/เพคะ" ผู้ที่ได้รับคำขอบใจต่างตอบด้วยความยินดี
"วันนี้รบกวนพวกท่านมากพอแล้ว พักผ่อนกันก่อนเถอะนะ"กล่าวแล้วก็ถือว่าการประชุมได้สิ้นสุดลง เหล่าข้าในวังได้พาเหล่าอาคันตุกะมายังพระตำนักรับรอง
-
"วันนี้เหนื่อยจังเลยนะ เฮ้อ" ศุภลักษณ์พูดพลางนอนลงยังพระแท่นบรรทม
"อย่างนี้เราช่วยสำเร็จแล้วสินะ" เมธาวีกล่าวต่อ
"ใช่แล้วล่ะ" แสงสุรีย์ตอบ
"เช่นนี้พวกเราก็กลับบ้านกลับเมืองกันได้แล้วล่ะสิ" ปัทมาสน์กล่าวขึ้น
"ใช่ แต่เวลานี้ก็ใกล้ค่ำแล้ว วันนี้พักที่นี่เสียก่อนแล้ววันพรุ่งเราจะเดินทางต่อให้" จันทลักษณ์บอกพลางมองยังแสงสุรีย์
"เราขอบใจมาก"แสงสุรีย์รับรู้ได้ถึงน้ำใจอีกคน
" แล้วผู้คนที่ถูกจองจำในกรงใต้ดินล่ะจะเป็นอย่างไร" จินดาถามกับเพชราหู
"ผู้คนที่อยู่ในนั้นยังมีชีวิตอยู่อย่าห่วงเลย ทางเข้าสู่ด้านล่างก็คือทิศหรดีของวังนั่นล่ะ ไว้พรุ่งนี้ก็ทูลให้ทรงทราบด้วยแล้วกันนะจันทลักษณ์" เพชรราหูกล่าวตอบพลางบอกเจ้าของวันพรุ่ง
" ได้ เราตกลง"
"เสียดายอยู่ด้วยเดี๋ยวเดียวก็ต้องรวมกันกันแล้ว"ศุภลักษณ์พูดเชิงบ่นเล็กน้อย
"เอาน่าอาทิตย์ทรงกลดเกิดขึ้นได้ไม่ยากหรอก ไว้มีอีกเมื่อไหร่คิดอยากทำอะไรก็ทำได้" เมธาวีพูดตอบ
" เฮ้อ" เสียงทอดถอนหายใจประสานคู่ของปัทมาสน์และศุภลักษณ์ดังขึ้นบอกถึงความเหนื่อยใจอย่างยิ่งยวด
..
ด้านฝั่งเจ้าเมือง ชายา บุตรธิดาของเมืองก็ได้เข้าพูดคุยกันเป็นการส่วนพระองค์
" ลูกของพ่อ พ่อขออภัยลูกจริงๆที่พ่อทำการไล่เจ้าไปเพราะคำทำนายเพียงไม่กี่คำ ทำให้พวกลูกกับแม่ต้องลำบากอยู่ในพงไพร" พีรเชษฐ์กล่าวด้วยจิตสำนึก
"ไม่เป็นไรหรอกพระเจ้าค่ะ เดินทางไม่นานหม่อมฉันกับเสด็จแม่ก็ถึงเมืองพระอัยกาแล้วพระเจ้า" สุริยะกล่าว เขาเข้าใจที่บิดาทำไปนั้นเพียงเพราะเพื่อบ้านเมือง
"แต่ว่าเสด็จตาคงพระราชทานอภัยยากอยู่นะพระเจ้าค่ะ"ศนิวารกล่าวทูลพระบิดา
" จริงสิเพคะ เสด็จพ่อทรงทราบแล้วพระพิโรธมาก เป็นเช่นนี้คงไม่ดีแน่" สไบทองกล่าวเสริม
" เอาเช่นนี้ไหมเพคะ ทรงมีลายพระหัตถ์เรขาถึงพระอัยกา แล้วพวกหม่อมฉันนำไปถวายและจะกราบทูลพระองค์ให้พระราชทานอภัย"จันทราภาเสนอแนวคิด
" อะไรกัน พ่อควรจะเป็นคนขอพระราชทานอภัยด้วยตนเองสิ ลูกจะลำบากทำไมกัน"บิดากล่าวเพราะไม่เห็นด้วย
" ตอนนี้เสด็จพ่อเพิ่งจะกลับเข้าสู่พระตำแหน่ง ยังถือว่าไม่มั่นคงดีอย่าเสด็จไปเลยพระเจ้าค่ะ"ภูมินทร์กล่าวช่วยแจง
" จริงด้วยเพคะ จันทราภากับภูมินทร์กล่าวตามเห็นสมควรแล้ว"พุทธรัตน์กล่าวเสริม
" พ่อยอมก็ได้พ่อจะเขียนให้ "
" แต่ว่าไม่ทันไรก็จะเดินทางอีกแล้วเหรอ พวกเราเพิ่งอยู่ด้วยกันไม่นานเองนะ"มเหสีรู้สึกไม่สบายใจ
" เสด็จพ่ออย่าทรงวิตกเลยเพคะ เมื่อเสร็จธุระแล้วพวกหม่อมฉันจะรีบกลับมาอย่างปลอดภัยเพคะ"ประกายพฤกษ์กล่าวมิให้มารดาหม่นหมอง
"หากลูกต้องการเช่นนั้น แม่ก็คงห้ามไม่ได้"
" แล้วเรื่องพวกปุโรหิตกับบดิศรจะทรงทำเช่นไรหรือพระเจ้าค่ะ"อังคาสถามขึ้น
"พวกเขานั้นก็ควรได้รับโทษที่ก่อไว้ แต่ความชอบแต่ก่อนเก่าก็มีอยู่ จะให้โทษถึงประหารไม่ได้ อย่างไรเสียพรุ่งนี้พ่อจะให้โทษแก่พวกเขาตามสมควร" ท้าวเธอตอบพลางมองดวงอาทิตย์ที่ลาลับไป ร่างทั้งหมดก็เหลือแต่พระโอรสเพียงพระองค์เดียวเพราะหมดซึ่งแสงตะวันแล้วนั่นเอง
" เอามาอีกๆ สุดหล่อยังไม่อิ่มเลย เร็วๆสิ" อีกตำหนักรับรองได้มีเจ้าตัวประหลาดและหิ่งห้อยอาศัยอยู่ก็ได้อิ่มหนำจากอาหารที่มาจากห้องเครื่อง
"นี่เจ้าตุ้บเท่งอย่าใช้คนมากนักสิ เขาก็กล้าๆกลังอยู่แล้วยังจะไม่เร่งเร้าขู่เข็ญอีก" หิ่งห้อยยักษ์เตือน
"เอ๊ะ เจ้านี่หนิ ข้าพอใจจะสั่งก็สั่งเถอะ อีกไม่นานน่ะนะเกราะกายสิทธิ์ก็จะเป็นของข้าฮ่าๆ เป้าหมายต่อไปก็จะเป็นสังวาลย์มณีที่ข้าจะติดตาม"
"เจ้านี่คิดแต่จะเอาของคนอื่นอยู่ได้ ถ้าได้คืบจะเอาศอกอีก โตมายังไงกัน"เขาต่อว่าอีกฝ่าย
" โตมาอย่างคนเอ๊ยราชสีห์หล่อนั่นล่ะ อย่าว่านักเลยน่าเกิดมาทั้งทีต้องได้ของดีติดตัวกันบ้าง"เขาพูดไปก็กินไปไม่รู้จักหยุดหย่อน
" เอาเถอะ ไม่อยากจะยุ่งด้วยแล้ว"หิ่งห้อยระอาที่เจ้าตัวประหลาดเอาแต่ได้สอนไม่ได้เต็มทนจนเลิกต่อว่าไป
ในกลางดึกคืนนั้นเองมีแสงเปล่งประกายแก้วทางประจิมทิศของพระราชวังทำให้คนที่นอนไม่หลับทั้งสองต้องไปดูเสียให้รู้ว่าเป็นสิ่งใด
" สุริยะ ท่านก็เห็นแสงประกายแก้วเหมือนกับเราเหรอ" ธิดาต่างเมืองถามเพราะอีกฝ่ายมาคงด้วยเหตุผลเดียวกัน
"ใช่แล้วล่ะ แปลกจริงๆเลย กลางคืนดึกดื่นแต่มีแสงประกายมากได้น่าพิศวงนัก" โอรสเจ้าเมืองตอบอักฝ่าย
"เช่นนี้แล้วพวกเราไปตามหาต้นกำเนิดแสงกันเถอะ" แสงสุรีย์เชิญชวนแล้วทั้งสองได้ช่วยกันตามหาจนเจอต้นกำเนิดแสง
"นี่คือธำมรงค์แก้วล่ะ แต่เมื่ออยู่ในมือแล้วไม่มีแสงมากจนชัดเมื่อตอนยังไม่พบเลย"สุริยะเจอแหวนแก้วแล้วได้บอกอีกคน
" ตรงนี้.. เป็นที่ที่เราต่อสู้กับพระเทวาวิษุวัตก่อนพระเทวราชาจะเสด็จนี่ ไม่แน่ว่าธำรงค์วงนี้อาจจะเกิดจากปะทะของพลังก็เป็นได้นะ" เธอพูดตามที่เข้าใจ
" เช่นนั้นแล้วเราขอยกธำรงค์นี้ให้ท่าน"เขาพูดพลางยื่นแหวนให้อีกฝ่าย
" อย่าเลย เก็บไว้ให้คนที่คู่ควรจะใช้เถิด นี่ก็ดึกมากแล้ว เราว่าไปพักผ่อนต่อเถอะ พรุ่งนี้อีกคนของพวกเราจะได้มีแรง" ว่าแล้วทั้งสองต่างแยกย้ายไปพักต่อไป
..
วันต่อมา องค์เหนือหัวรัตนบุรีมีรับสั่งให้นำตัวพระมเหสีฝ่ายซ้ายมายังท้องพระโรง
"องค์เหนือหัวเพคะ พระราชทานอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ"สไบแก้วทูลขออภัยจากพระสวามีหวังให้เห็นใจตน
" เสด็จแม่"บดิศรเข้าไปหามารดาด้วยใจห่วงหาหลังจากได้รับการปล่อยตัวจากที่คุมขังโดยจันทลักษณ์เป็นคนพาเหล่่าทหารไปนำตัวเหล่าปุโรหิตและพระโอรสมายังที่แห่งนี้
" กระหม่อมขอพระราชทานอภัยพระเจ้าค่ะ ทั้งหมดเป็นความผิดของกระหม่อมเพียงคนเดียว" ปุโรหิตเฒ่าทูลบอกให้ความผิดตกแต่ตนเท่านั้น
"เราเห็นควรลงโทษท่านอยู่แล้ว แต่จะละเว้นบุตรีของท่านเห็นจะไม่ได้ ความผิดที่ท่านจะตั้งพระโอรสบดิศรแทนเรา เราถือว่าไม่ใช่ความผิดของบดิศร แต่เห็นเมื่อครั้งก่อนที่ท่านทำคุณให้เรากับบ้านเมือง เราจะให้ท่านปุโรหิตและบุตรีออกจากเมืองของเราไปเสียอย่าได้กลับมาอีก ส่วนบดิศรเราจะดูแลเอง"ท้าวพีรเชษฐ์รับสั่งเพื่อตัดปัญหาที่อาจตามมาถ้าอภัย
" เสด็จพ่ออย่าให้ท่านตากับเสด็จแม่ไปเลยนะพระเจ้าค่ะ หากไปแล้วหม่อมฉันจะอยู่ได้อย่างไร"บดิศรค้านพระบัญชา
" ไม่ได้หรอก เพียงเราไม่ให้โทษประหารก็ดีพอแล้ว ส่วนเจ้าก็อย่าอาลัยเลย บ้านเมืองนั้นสำคัญกว่านักนะ"พระบิดากล่าวตอบข้อค้าน
"เช่นนั้นแล้ว หม่อมฉันจะขอติดตามท่านตาและเสด็จแม่ไปด้วยพระเจ้าค่ะ"
" บดิศรไม่นะลูก"สไบแก้วกล่าวเพราะไม่อยากให้ลูกต้องทนระกำลำบากไปกับตน
" บดิศร เจ้าว่าเช่นนี้ ไม่เห็นว่าเราเป็นพระบิดาเจ้าแล้วรึถึงได้เลือกอีกฝั่งได้ไม่ลังเล"ท้าวเธอเริ่มกริ้วเสียแล้ว
"ไม่ใช่นะพระเจ้าค่ะ หม่อมฉันเลือกติดตามเพื่อที่จะดูแลด้วยรักและแทนคุณตามที่สมควรทำ หากไม่ได้กระทำหม่อมฉันคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต" พระโอรสกล่าวแจงเหตุผล
" จริงอย่างที่พระโอรสบดิศรกล่าวนะเพคะ คุณธรรมกตัญญูสำคัญมาก ไม่กระทำคงไม่ดีเท่าใดนักนะเพคะ" สไบทองช่วยพูดด้วยสงสาร
" เอาเถอะ ถ้าอยากทำตามใจนักเราไม่ห้าม แต่ห้ามไม่ให้เจ้ามาพบหน้าเราอีกเลยบดิศร ไปได้แล้ว ทหารนำตัวไป" เจ้าเมืองออกโอษฐ์ทันทีเสียให้จบเรื่องราว เหล่าทหารจึงนำตัวไปในทันที
" พระโอรสจันทลักษณ์ท่านจะกลับบ้านเสียวันนี้แล้วหรือ ไม่พัักที่เมืองเราหลายวันก่อนล่ะ" จบเรื่องก็ตรัสถามพระโอรสเมืองคีรีมาศต่อ
" หามิได้พระเจ้าค่ะ หากแต่หม่อมฉันจากเมืองมาหลายวัน เห็นสมควรจะต้องเดินทางกลับเสียทีพระเจ้าค่ะ"
"เสียดายจริง ท่านช่วยเหลือพวกเราเสียมากหากแต่ไม่อาจตอบแทนได้เท่า เราขอยกสมบัติที่มีอยู่ให้กับท่านตามเห็นสมควร" ข้าราชบริพารนำเพชรนิลจินดาพร้อมเครื่องทองมากมายมาถวายให้
" ขอพระราชทานอภัย หม่อมฉันมิอาจรับไว้ได้พระเจ้าค่ะ" จันทลักษณ์ไม่อยากได้ของมีค่าใดเลยเพียงแค่อยากช่วยเท่านั้น
" เรารู้ว่าท่านลำบากใจ ถ้าเช่นนั้นนำสิ่งใดไปสิ่งหนึ่งเถิดหนา ถือว่าไม่เสียน้ำใจกัน" พีรเชษฐ์กล่าวเช่นนั้นอีกฝ่ายคงปฏิเสธไม่ได้แล้วจึงขอเพียงพันธุ์แวววิเชียรดอกไม้ประจำเมืองที่เก็บไว้รอสิ้นภัยแล้งส่วนหนึ่งไปเพื่อทำการปลูกตามความชอบของตน
"เสด็จพ่อเพคะ หม่อมฉันขอร่วมทางไปส่งจันลักษณ์และไปยังเมืองทิศพลด้วยนะเพคะ"จันทราภาทูลขอ
" เราเพิ่งอยู่ด้วยกันได้ไม่นาน จะออกเดินทางอีกแล้วหรือ เอาเถอะอย่างไรก็ตามพ่อคงห้ามไม่ได้ ระวังตัวด้วยนะลูก"
"เพคะเสด็จพ่อ ลูกจะกลับมาอย่างปลอดภัยเพคะ"
"อย่าไปลำพังเลยนะลูก ให้ตุ้บเท่งกับหิ่งห้อยไปเป็นเพื่อนด้วยนะ พอกลับจะได้มีเพื่อน" สไบทองใจหายแต่คิดดูคงไม่มีใครมาปองร้ายลูกของตนได้อีกแล้วเพราะอริราชศัตรูต่างก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้อีกจึงปล่อยไปทำตามใจ
ทั้งหมดลาแล้วเดินทางกันต่อไป
" พระธิดาจันทราภาจบเรื่องแล้ว ขอเกราะคืนให้สุดหล่อนะนะนะ"สุดหล่อขอร้อง
" เราสัญญากับสุดหล่อด้วยเหรอจ๊ะ"ธิดาฉงน
" ถ้าถอดออกจะให้เดินทางยังไงล่ะ" โอรสต่างเมืองถาม
"ก็พระโอรสศนิวารสัญญาไว้นี่พระเจ้าค่ะ ถอดแล้วก็เดินทางเหมือนเช่นเคยๆล่ะพระเจ้าค่ะพระโอรส"
"ศนิวารไม่ใช่เรา อยากทวงสุดหล่อก็ไปทวงกับเขาเถอะนะ อย่าทวงกับเราเลย"
"อีกแล้วนะพระเจ้าค่ะ พูดเหมือนพระโอรสสุริยะเหมือนเดิมไม่ผิดเลย"
แต่แล้วต้องพบกับพญาไกรสรราชสีห์บิดาของตุ้บเท่ง
" เจ้าตุ้บเท่งเอ๊ย ไม่ยอมกลับอยู่บ้าน เกราะนั่นมิใช่ของเจ้าหรอกอย่าติดตามอีกเลย" เขากล่าวกับบุตรชาย
"ไม่นะท่านพ่อ เกราะนี่เป็นของพวกเราอยู่กับพวกเรามานานกว่าอีกจะเป็นของมั...พระธิดาได้ยังไงล่ะ" อเวจีมิฟังทัดทานของพ่อ
"ไม่ต้องมาเถียงเลยกลับไปเดี๋ยวนี้!! " เขาดุดันใส่ผู้เป็นลูกเสียจนขวัญเสีย เขาต้องกลับไปแม้จะไม่เห็นด้วยก็ตาม
" พระธิดา พระโอรส เจ้าหิ่งห้อยคงไม่สบายใจแย่เลยที่ลูกข้าคอยเอาแต่ติดสอยห้อยตายเสมอ ทั้งยังเอาแต่ทวงของที่ไม่ใช่ของตนเองอีก" เขากล่าว
"ไม่เป็นไรหรอกท่าน สุดหล่อก็ช่วยพวกเราไว้มากเหมือนกัน" จันทราภาตอบ
"ข้าถือว่ารบกวนล่ะนะ เอาล่ะพวกเราต้องลากันตรงนี้แล้ว ข้ากับลูกขอตัวก่อน ขอให้พวกท่านโชคดี" ว่าแล้วจึงแยกทางที่ต่างมีจุดมุ่งหมายต่างกันไป
วันเปลี่ยนไปจนถึงศุกร์จึงถึงทิศพลนคร
" ถวายบังคมเพคะ/พระเจ้าค่ะ" ประกายพฤกษ์และศุภลักษณ์เข้าเฝ้าเจ้าเมืองนวดลทันทีที่ถึง
"จำเริญๆกันเถิดหนา ประกายพฤกษ์เสด็จแม่ของหลานไม่เห็นมาด้วยเลย หรือมันเกิดอะไรขึ้น" พระอัยกาไถ่ถามพระนัดดาอย่างใคร่รู้
"เสด็จแม่ประทับที่รัตนบุรีกับเสด็จพ่อเพคะ"
"ว่ายังไงนะ คนอย่างพีรเชษฐ์น่ะถ้าอยู่ด้วยแล้วก็จะประสบเรื่องไม่เป็นเรื่องเหมือนอย่างที่แม่กับหลานเจอมาแล้วนี่ ตาไม่ให้ข้องเกี่ยวกันอีกไม่ใช่หรือ หรือว่าลืมคำเราหมดสิ้นกัน"ท้าวเธอได้ฟังเช่นนั้นก็รู้สึกหงุดหงิดอยู่เนืองๆที่เป็นมันไม่เป็นดั่งใจ
" เสด็จพ่อกับเสด็จแม่เข้าพระทัยกันแล้วเพคะ หลานยังเห็นว่าพวกเราควรให้อภัยกันนะเพคะ เสด็จยังทรงอักษรลงในสานส์มาขอขมาเสด็จตาด้วยนะเพคะ"เธอพูดพลางส่งสานส์ให้กับอัยกาของตน
" ถึงจะมีสิ่งนี้มามอบให้เรา แล้วมีเหตุผลอะไรที่จะเชื่อว่าจริงใจไม่ทอดทิ้งพวกเจ้าอีกครั้งล่ะ" เจ้าเมืองไม่ยอมยกโทษให้เสียง่ายๆ
" สุริยะเล่าให้หลานฟังว่าเสด็จพ่อทรงนำพระวรกายของพระองค์เข้าป้องกันไม่ใช่เขาโดนทำร้ายจนถึงพระชนม์ชีพ ถ้าไม่ได้รับการช่วยจากพระธิดาจินดาแห่งคีรีมาศ ป่านนี้พวกเราคงไม่ได้อยู่ร่วมกันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้วเพคะ" นัดดาเธอแจงให้ฟัง
"องค์เหนือหัวเพคะ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วพวกเราควรให้อภัยแก่เขาเถอะนะเพคะ"พระอัยยิกาทูลขอกับภัสดา
" เอาเถอะๆ ถือว่าครั้งนี้พลาดผิดไป หากมีครั้งต่อไปเราจะไม่ให้โอกาสอีกเลย" ท้าวนวดลยอมรับแม้จะยังคัดเคืองอยู่มิน้อย
" ขอบพระทัยเพคะเสด็จตา" ประกายพฤกษ์ดีใจที่ท่านยอมยกโทษให้
" พระโอรส.. องค์ธริษตรีแห่งเมืองคีรีมาศเสด็จกลับก่อนแล้ว อย่างไรเสียท่านพักที่นี่ก่อนเถิดไว้วันต่อไปจึงเดินทาง" ท้าวเธอกล่าวชวนอาคันตุกะน้อย
" ไม่เป็นไรหรอกพระเจ้าค่ะ เดินทางต่อไปไม่หนักกว่าแรง หม่อมฉันมิขอรบกวนจะดีกว่าพระเจ้าค่ะ" ศุภลักษณ์กล่าวตอบ
"ตามใจเถิด เรารู้ว่าห้ามไปท่านคงมีเหตุผลมาแย้งอีก"นวดลเธอพูดพร้อมยิ้มอย่างอ่อนโยน
" องค์เหนือหัวพระเจ้าค่ะ มีผู้ขอเข้าเฝ้าพระเจ้าค่ะ พวกท่านนั้นบอกว่าเป็นพระญาติขององค์หญิงอัญญานีด้วยพระเจ้าค่ะ " นายทหารคนหนึ่งเข้าบังคมทูล
" งั้นหรอ เช่นนั้นก็เชิญพวกเขาเข้ามา ไปเชิญอัญญานีมายังท้องพระโรงด้วย"เจ้าเมืองรับรู้จึงให้เชิญมา
"ถวายบังคมเพคะหม่อมฉันเป็นปิตุจฉาของพระธิดาอัญญานีเพคะ" หญิงสาวและบริวารมาเข้าเฝ้า น้ำเสียงนั้นดูคุ้นเคยสำหรับผู้เยาว์ทั้งสองแต่รูปกายกลับมิคุ้นเลย
"ท่านเป็นพระญาติแล้วเหตุใดถึงเพิ่งมาตามหากันเล่า ปล่อยให้องค์หญิงต้องเดียวดายเสียเช่นนี้ ทั้งยังตามหาถูกเมืองเสียด้วย" ท้าวเธอฉงนเสียจริง
" หม่อมฉันเพิ่งได้มาเยี่ยมเยือนเสด็จพี่และหลานที่โกสุมพิสัยกลับพบแต่เพียงวังร้างที่ถูกเผาไหม้เหลือให้เห็นแต่โครงสร้างเพียงเท่านั้นเพคะ จากนั้นหม่อมฉันได้ขอให้พระสวามีให้ทรงมีรับสั่งให้ตามหา ได้ข่าวว่าพระองค์รับดูแลองค์หญิงเมื่อสอบถามจึงรู้ว่าเป็นอัญญานีเพคะ" นางชี้แจงแถลงไข
" ออ องค์หญิงอัญญานีมาแล้ว นี่ใช่พระญาติของท่านหรือปล่าว"ท้าวท่านถามผู้ในอุปถัมภ์
" หม่อมฉันไม่เคยเห็นเขามาก่อนนะเพคะ" อัญญานีมองดูอีกคนแต่ไม่คุ้นหน้าเอาเสียเลย
" โถ อาจากเมืองไปเสียตั้งนานหลานคงจำไม่ได้ อาคือทรรศนีย์ ขนิษฐาขององค์ทรงพลบดีแห่งเมืองโกสุมพิสัยไงล่ะหลานอัญญานี " เธอพูดพลางมองผู้ที่ถูกเอ่ยชื่อ เจ้าตัวก็ครุ่นคิดในขณะครุ่นคิดเสียงที่ได้ยินจากใจหาใช่กรรณไม่
"อัญญานียอมไปกับเราเสียเถอะ เจ้าน่ะเป็นคู่ขององค์เทพวิษุวัต เมื่อเติบใหญ่จะได้ไปอยู่ด้วยกับพระองค์ ทรงให้เรามารับเจ้าไปเลี้ยงดู" เธอสื่อในใจให้องค์หญิงได้ยิน
"ทำไมเราต้องไปด้วยล่ะ คู่อะไรอีก นึกอะไรถึงจะเอาเราเป็นชายายยามโตล่ะ ไม่ยอมหรอก" อัญญานตอบในใจกลับไป
" เจ้าอยากให้คนทั้งเมืองต้องมาตายเพราะเจ้าคนเดียวงั้นเหรอ อย่าคิดว่ามีพวกที่มีสิ่งวิเศษอยู่ด้วยแล้วจะปากดี เจ้าพวกนี้น่ะสู้องค์เทพวิษุวัตยังไม่ชนะเลยจะเอาอะไรมาประกัน ตามใจเถอะนะถ้าอยากเห็นบ้านเมืองคนอื่นที่อาศัยต้องพินาศย่อยยับเพราะเจ้า" เธอตอบกลับไปพร้อมกับแสร้งถามเร่งเร้าอีกคนให้ยอมรับ
" ว่ายังไงล่ะ จำอาได้หรือไม่"ทรรศนีย์ถาม
" เสด็จอา.. เสด็จอาเองหรือเพคะ หม่อมฉันความจำไม่ดีเองเพคะ" อัญญานีตอบในใจก็พลอยบอกอีกฝ่าย
" ยอมก็ได้ แต่จำไว้เลยว่าเราจะไม่ยอมเป็นชายาของเทพพวกเจ้าแน่"
" เช่นนั้นแล้วนับเป็นเรื่องดีมากเลยล่ะ" ท้าวนวดลกล่าวอย่างพอใจ
" เก่งให้ตลอดเถอะอัญญานี เอาล่ะพวกเราต้องรีบไปแล้ว" เธอตอบในใจอีกฝ่ายเช่นกัน
" เช่นนั้นหม่อมฉันขอพาอัญญานีกลับไปอยู่กับเมืองของพระสวามีหม่อมฉันนะเพคะ" ทรรศนีย์กล่าวกับราชา
" จะไปเสียเดี๋ยวนี้เลยรึ มิพักก่อนล่ะท่าน อัญญานีก็ยังเล็กอยู่ อยู่ๆจะเดินทางไปมาก็กระไรอยู่นะ"ราชาท่านถามด้วยสงสัย
" ไม่เป็นไรเพคะ หม่อมฉันมิอาจรบกวนพระองค์ต่อไปได้หรอกเพคะองค์เหนือหัว"อัญญานีทูลจะได้จบปัญหา
" เจ้าจะไปแล้ว แบบนี้จันทราภาคงเสียใจแย่เลย"ประกายพฤกษ์กล่าว
" เอาเถอะ หากเรามีวาสนาต่อกันต้องได้เจอกันอีกแน่"องค์หญิงต่างเมืองกล่าวตอบ
" เช่นนั้นแล้วได้โปรดรับธำมรงค์แก้วศุภรของเราไว้ด้วยเถอะนะ" ว่าแล้วจึงส่งแหวนให้กับสหาย
"ธำมรงค์แก้วศุภรงั้นเหรอ" อัญญานีรับแล้วจึงทวนชื่อ
" จันทราภาตั้งใจจะมอบให้เจ้านะ ไม่คิดว่าจะจากกันเสียแล้ว"
" ขอบใจมากนะ"
และแล้วทางด้านพระโอรสและองค์หญิงต่างเมืองก็ทูลลาจากเมืองไป ชีวิตทุกคนก็ดำเนินไปตามทางของตนเอง
" บดิศร เรามาช่วยแล้ว" บริวารเทพวิษุวัตชื่อธานินทร์ที่หนีออกมาโดยร่างแปลงจากที่คุมขังเดียวกันตามหากันจนพบ
" ช่วย ช่วยยังไง" บดิศรถามอีกคนด้วยสงสัย
" ไม่ต้องทนลำบากทนระกำตามพงไพรหรอกนะ ก่อนพระเทวาจะไปบำเพ็ญเพียรไปให้เมืองใหม่กับพวกเจ้า ต่อจากนี้นับอีกสิบปีจึงจัดการเรื่องกันต่อไป"
" เมืองใหม่แล้วนี้จะเป็นเมืองของพวกเราแน่หรือ" สไบแก้วถาม
"ใช่ แต่ว่าพวกเจ้าต้องเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามรวมถึงรูปกายด้วย เพื่อไม่ให้ใครจำได้จะได้ดำรงอยู่ยืนยาว"ธานินทร์ตอบ
" ไม่ล่ะ เราไม่ขอเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนหน้าหรอก อีกหน่อยโตแล้วไม่มีใครจำเราได้ อีกอย่างคนชื่อซ้ำกันถมไปใครจะรู้"บดิศรไม่อยากเปลี่ยนชื่อเพราะชื่อนี้คนที่ตั้งให้เรียกคือบิดาของตน
" ถ้าไม่ทำจะวุ่นวายน่ะสิหลานตา" ปุโรหิตออกความเห็น
" ไม่เป็นไรหรอกจะ ยังไงเสียหลานจะระวังตัวอยู่"
" ตามใจหลานเถอะท่านพ่อ บดิศรน่ะต้องการเพียงเท่านี้คงไม่มากมายอะไร"สไบแก้วเข้าข้างลูกตน
" ออ ที่สำคัญพระคู่หมั้นของพระเทวาจะพำนักอยู่ด้วยยังในส่วนพระตำหนักบุษบากร อย่าได้ไปกวนพระทัยให้ทรงขุ่นข้องหมองใจเป็นอันขาด" ธานินทร์ออกเตือนแล้วพาทั้งหมดไปยังเมืองที่เนรมิตขึ้นใหม่นาม ศาศวัตบุรี
วันหนึ่ง ณ เมืองรัตนบุรี พระโอรสสุริยะคิดคำนึงถึงคำแนะนำจากพระอัยกาเรื่องการฝึกฝนวิชาไว้ให้มีความรู้ติดตัวกับฤๅษีอนุชิตที่ป่าหิมพานต์ แต่การที่จะเข้าสู่ป่าแห่งนั้นจะต้องตั้งจิตคำนึงพร้อมกลั้นหายใจเดินถอยหลังสามก้าวจึงเข้าไปได้ คิดมาได้สักพัก ทำตามแล้วจึงได้พบกับฤๅษีอนุชิตที่รอพบอยู่ ตนจึงทำความเคารพอีกฝากฝั่งป่าจินตภพแสงสุรีย์ได้เข้าพบฤๅษีมฤคินทร์อาจารย์ของตนเช่นกัน
"โชคดีที่ท่านได้มีสิ่งวิเศษติดตัวไว้ หากแต่ว่าจิตใจนั้นยังไม่มั่นคงพอ" อนุชิตโยคีกล่าว
"ฉะนั้นแล้วก็ควรฝึกวิธีให้พลังประสานกับจิต" มฤคินทร์ดาบสก็กล่าวเช่นกัน
"เพื่อจะได้ใช้งานต่อไปในภายภาคหน้าเพื่อผดุงคุณธรรมให้ดำรงต่อไป" ทั้งสองกล่าวพร้อมในปนะโยคเดียวกัน
ทั้งหมดจึงฝึกฝนวิชากับอาจารย์์ของตนอย่างขันแข็งรอวันที่จะเติบใหญ่ไปผดุงธรรมดำรงดั่งที่ได้ฟังคำกล่าวของพระอาจารย์ไว้
-
สวัสดีค่ะท่านผู่อ่านทุกท่านที่เข้ามาอ่านผลงานของจักกรดนะคะ
จักรกรดต้องขออภัยที่ไม่สามารถจัดแจงเวลามาแต่งเรื่องต่อได้จนเป็นเวลานานนับหลายปี
เกิดจากความไม่รับผิดชอบของจักรดจริงๆค่ะ
w6 w6 w6
จักรกรดได้มีเวลามาแต่งต่อจนจบตอนเด็กแล้วนำมาลงค่ะ ส่วนตอนโตจะขอลงทุกๆวันเสาร์ต่อจากนี้นะคะ จะไม่สัญญาที่จะไม่หายไปแล้วค่ะ แต่ถ้าวันไหนต้องหายไปจะแจ้งทราบนะคะ หวังว่าจะแต่งเรื่องนี้จนจบไปได้ด้วยดีค่ะ ขออภัยอีกครั้งนะคะ
w8 w8 w15
-
.... ." อันว่าเข้าทศปีที่ผันผ่าน
จะคิดอ่านสิ่งใดสมมาดหมาย
สิ่งวิเศษพระเวทย์อยู่ข้างกาย
มิห่างหายหากเจ้าเฝ้าคำนึง
รวมสัตตะชำนาญการต่อสู้
หามิรู้ใครเล่าจะเข้าถึง
มีอาเพศเหตุร้ายขอเจ้าจึง
ใช้ฤทธิ์ซึ่งเข้าช่วยอำนวยธรรม".....
เวลาผันผ่านไปจากเหตุการณ์ที่เผชิญมาล่วงเข้าสู่วันอาทิตย์ทรงกลดปีที่สิบเหล่าผู้ถือครองมหาศาสตราวุธทั้งสองได้เติบใหญ่แลสำเร็จวิชาที่ถนัดเหมาะสมเกี่ยวกับพลังจากพระอาจารย์ของตน ทั้งด้านการใช้พลังส่งเสริมเวทย์มนตร์อาคมรวมถึงการสร้างศาสตราวุธสุดตามแล้วแต่ใจปรารถนาเพื่อรอเพลาสามารถใช้ผดุงธรรมสักวัน ส่วนวันนี้จะขอทำตามใจสักวันคงไม่มีปัญหาอะไร
"วันนี้พวกเรามาประลองกันดูไหมว่าใครจะเก่งกว่าใคร"
ศุภลักษณ์กล่าวขึ้นมาขณะที่กำลังพักผ่อนร่วมกับพี่น้อง ณ พระราชอุทยานในเขตพระราชวังเมืองคีรีมาศ
"เราไม่ประลองเห็นจะดีกว่า" จินดาผู้ชอบทำสมาธิมากกว่าใช้พลังฟุ่มเฟือยกล่าวตอบ
"เราก็ไม่ล่ะ เราจะไปด้านนอกเสียหน่อยว่าจะมีอะไรเปลี่ยนไปในรอบสิบปีนี้บ้าง"แสงสุรีย์เตรียมตัวจะไปยังพนาดรรอบๆเมืองเพราะพวกตนได้สัญจรเพียงพระราชวังกับป่าจินตภพตลอดสิบปีนี้
" จริงสิ วันนี้เรายังไม่ได้รดน้ำให้แวววิเชียรเลย" จันทลักษณ์กล่าวขึ้นมาพลางนึกได้
"ไม่ต้องเลยนะจันทลักษณ์ รดน้ำดอกไม้น่ะให้ข้าในวังทำให้ก็ได้"ศุภลักษณ์ท้วง
"ไม่เอาน่า นานๆออกมาวันอื่นทั้งที เราไปดูดอกไม้ของเราก่อนดีกว่า" ว่าแล้วเขาก็จากไปไม่รอให้อีกคนท้วงอีก
" เอาล่ะสามคนนี้จะประลองกับเราไหม" ผู้อยากลองวิชาโดนปฏิเสธไปแล้วสามจึงถามกับคนที่เหลือ
" ไม่กลัวเกิดทะเลเพลิงเหรอ ท่านตาเคยเตือนแล้วนี่ว่าถ้าเราต่อสู้กันเองจะเกิดทะเลเพลิงแดงฉานไปทั่วบริเวณน่ะ"เพชรราหูพูดเตือน
" ไม่เห็นจำได้เลย" เขาน่ะรู้ดีแต่แค่ดื้อด้านเท่านั้นเอง
" จำไม่ได้แต่ว่าเพชรราหูก็บอกแล้วนี่ไง อยากให้บ้านเมืองวอดวายเพราะอยากลองวิชาน่ะเหรอ ไม่เอาด้วยหรอก" เมธาวีช่วยเสริม
" เอาเถอะๆ ศุภลักษณ์วันนี้อย่าลองวิชาที่นี่เลยเถอะ ไปเที่ยวเล่นกับเราดีกว่า" ปัทมาสน์กล่าวชวนเพื่อตัดปัญหา
"จริงๆเลยนะ พร้อมใจกันจริงๆ ก็ได้ๆเราไปกับเจ้าก็ได้เผื่อว่าจะดีขึ้นมาบ้างล่ะนะ"เจ้าตัวก็ยอมเสียแต่โดยดีแล้วจึงเดินทางไป
แปลงดอกแวววิเชียรงามสะพรั่งด้วยความเอาใจใส่ของพระโอรสวันจันทร์ เขามาพิศดูพลางนึกถึงคนเมืองรัตนบุรี ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้างหนา
เมืองเจ้าของพันธุ์ดอกไม้ ธิดาวันจันทร์ก็ได้ชมแวววิเชียรอยู่เช่นกัน
" จันทราภามาชมดอกไม้อยู่นี่เอง เราก็นึกว่าไปไหนเสียอีก" พุทธรัตน์เข้ามาหาพร้อมเก็บดอกไม้ไปพลาง
"ใช่แล้วล่ะพุทธรัตน์ แล้วนี่เข้ามาชมดอกไม้เหมือนกันเหรอ" เธอก็ถามกลับไป
"ไม่ใช่แค่มาชมดอกไม้หรอก เรากะจะเก็บดอกไม้ไปร้อยพวงมาลัยถวายเสด็จแม่" เธอพูดพลางยิ้ม
" งั้นก็ดีเลยสิ เราจะทำด้วยคน"ธิดาวันจันทร์กล่าวแล้วจึงหาดอกไม้
" แล้วมาดูกันว่าของใครจะสวยกว่าใคร"ธิดาวันพุทธกล่าวพลางยิ้มสรวลอย่างชอบใจแล้วก็เก็บดอกไม้ต่อ เมื่อได้ปริมาณที่พอใจแล้วนั้นทั้งสองจึงพากันไปร้อยมาลัยภายในพระตำหนัก อีกฝากฝั่งหนึ่งมีหญิงสาวกับชายหนุ่มรุ่นเดียวกันประลองดาบกันอย่างแข็งขัน
"ศนิวารอย่าออมมือสิ" ประกายพฤกษ์เข้าใช้อาวุธโรมรันอีกฝ่าย
"ถ้าเจ้าเจ็บขึ้นมาใครจะรับผิดชอบล่ะ" อีกฝ่ายตอบ
"เรารับผิดชอบเอง หรือว่าเจ้ากลัว" เธอพูดขึ้นด้วยความท้าทาย
"ไม่กลัว" เขาว่าแล้วจึงต่อสู้สุดกำลัง ทั้งสองนั้นฟาดฟันกันดูแรงทั้งที่ไม่ได้ใช้พลังเสียจนเหมือนไม่ใช่การฝึกธรรมดาจนดาบหลุดมือทั้งคู่
"เล่นกันแรงไปหน่อยหรือปล่าว"สุริยะที่ผ่านมาเข้าเก็บดาบให้ขณะที่เหล่าข้าราชบริพารกำลังอกสั่นขวัญแขวนอยู่
"ไม่นะไม่แรงเท่าไหร่" ศนิวารกล่าวตอบ
"เอาเถอะๆ อย่าฝึกเล่นมากก็แล้วกัน ถ้าเสด็จแม่ผ่านมาเห็นคงมิพอพระทัย" เขาเตือนทั้งสองด้วยความหวังดี แล้วเดินจากมาหาภูมินทร์ที่กำลังทบทวนพระเวทย์เหมือนอยู่ในภวังค์เสียอย่างไรอย่างนั้น
"ขยันซะจริงเลยนะภูมินทร์" เขามาทักทายสักหน่อย
" ขยันอะไรกันล่ะ อีกประเดี๋ยวเราก็ไปนั่งสมาธิแล้ว"เขาพูดตอบเสียอีกคนอดยิ้มไม่ได้
" เอ.. เราแยกร่างกันมาสักพักแล้วยังไม่เห็นอังคาสเลยนะ เจ้าเห็นบ้างหรือปล่าว" สุริยะเห็นไม่ครบก็ห่วงบ้างเป็นธรรมดา
"อ๋อ.. อังคาสน่ะไปป่าตั้งแต่แสงทรงกลดออกแล้วล่ะ" ภูมินทร์พูดตามที่เห็น
" ขอบใจมากนะ เราไม่กวนแล้วล่ะ"เขาพูดเสร็จจึงจากไปเฝ้าพระบิดาแลพระมารดร
" สุริยะมีอะไรหรือปล่าวลูก"ท้าวพีรเชษฐ์เธอถามพระโอรส
" เสด็จพ่อ เสด็จแม่พระเจ้าค่ะ ลูกขอลาเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ไปเฝ้าพระอัยกานะพระเจ้าค่ะ"
" อ้าว.. แล้วลูกบอกกับคนที่เหลือหรือยังล่ะ จะไปก็ไปเลยมันไม่ดีต่อหลายฝ่ายหรอกนะลูก" มเหสีสไบทองกล่าว
"อาทิตย์ทรงกลดคราวที่แล้วลูกตกลงกับทุกคนไปแล้วพระเจ้าค่ะว่าลูกจะเริ่มเดินทางไปก่อน พอรวมร่างกันแล้วก็จะเดินทางต่อๆกันไป"
" ไม่ได้เจอกับพระอัยกาถึงสิบปีไปเฝ้าก็ดีอยู่หรอก แต่ว่าแม่กลัวอันตรายจะมาถึงลูกอีก"เธอกลัวเหลือเกินแม้เวลาจะผ่านมานานแล้ว
"ไม่เป็นไรหรอกสไบทอง ลูกเราน่ะเรียนวิชามาจากท่านฤๅษีอนุชิตแล้วนะ อีกทั้งยังมีเกราะกายสิทธิ์อยู่ ไม่มีใครจะทำอันตรายลูกเราได้อีกแล้วนะ"ท้าวเธอกล่าวให้พระชายาขวัญชื้นฟื้นใจเสีย
" เอาเถอะ ขอให้ลูกเดินทางอย่างปลอดภัยนะ ระวังตัวด้วยนะลูก" ผู้เป็นแม่นางยอมก็จริงอยู่แต่ใจก็อดห่วงไม่ได้
" ขอให้ลูกโชคดี ไร้อันตรายนะ" ผู้เป็นพ่อจึงได้ให้พรอีกคน
" ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ ลูกจะรีบกลับมา หม่อมฉันทูลลา" ว่าแล้วเขาก็ได้ออกเดินทางไปต่างเมืองพร้อมกับพี่หิ่งห้อยคู่ใจทันที
" เอาเถอะ ถ้าอยากทำตามใจนักเราไม่ห้าม แต่ห้ามไม่ให้เจ้ามาพบหน้าเราอีกเลยบดิศร" ประโยคนี้นึกทีไรก็ใจหาย ถึงจะอยู่เมืองใหม่สุขสบายแต่ไม่หายคิดถึงเรื่องผ่านมา บดิศรพลันนึกถึงเหตุการณ์คราวนั้นอีกตามเคย เขาอยากรู้ว่าพระบิดาจะเป็นอย่างไรบ้าง จะเคยนึกถึงลูกอย่างตนบ้างไหม หรือว่าไม่เคยเลย เขาถอนหายใจได้ครู่เดียวมารดาก็เข้ามา
" เป็นอะไรไปลูก ถอนหายใจเสียดังเชียว" แม่เขาถามด้วยความเป็นห่วง
"ไม่เป็นอะไรหรอกพระเจ้าค่ะเสด็จแม่ ลูกแค่คิดอะไรไปเรื่อยๆเท่านั้น" เขาตอบเพราะไม่อยากเอ่ยหาบิดาให้มารดาช้ำใจ
"เช่นนั้นหรอกรึ แล้วนี่พวกเราจะไปเยือนเมืองคีรีมาศเมื่อไหร่กันดีล่ะ จะได้มีพันธมิตรกัน เขาว่ากันว่าเหล่าพระโอรสธิดาของเจ้าเมืองนั้นมีวิชามาก ดีไม่ดีเราจะได้มีคนช่วยเราทำงานใหญ่ได้ลุล่วง"
" น่าจะเป็นพรุ่งนี้พระเจ้าค่ะ "
" ดี แม่เห็นว่าเราต้องเตรียมไว้บ้างเพราะว่าเกราะกายสิทธิ์น่ะมีฤทธานุภาพมาก ไหนจะพวกที่มีสังวาลย์จากไหนไม่รู้อีก ถ้าเรามีพวกด้วยเยอะๆจะดีไม่น้อย"เธอพูดไปใครจะรู้ล่ะว่าเมืองที่จะผูกพันธมิตรก็คือมิตรก่อนเก่าของศัตรูตนนั่นแล
ที่พระตำหนักบุษากรในศาศวัตบุรีนั่นเอง พระธิดาอัญญานีแสร้งเป็นชมดอกไม้ร่วมกับหญิงสาวอีกคนที่ชื่อบัวแย้มเพื่อที่จะหาช่องว่างสู่การหลบหนีเพราะตนพอจะทราบมาว่าอีกไม่นานนี้เทพวิษุวัตจะมารับไปเข้าพิธีวิวาห์โดยไม่เต็มใจ
"เราอยากอยู่กับบัวแย้มสองคนน่ะ ไว้พรุ่งนี้มาเฝ้าเราแล้วกัน" อัญญานีบอกนางกำนัลทั้งสองที่กำลังถวายงานพัดวีให้อยู่
"แต่ว่าพวกหม่อมฉัน..." นางกำนัลจะกล่าว แต่เธอห้ามไว้เสียก่อน
"แต่ว่าอะไรนักล่ะ ถ้าเราต้องการอะไรบัวก็ทำให้เราอยู่แล้ว ถ้าขัดเราอีกล่ะก็จะลงโทษเสียให้เข็ด"เจ้าหญิงทำหน้าขึงขังใส่เสียจนนางกำนัลต้องยอมถอยไปแต่โดยดี เธอจัดแจงแต่งผ้าลำลองแล้วจึงจับที่ข้อมืออีกคน
" เราไปกันเถอะบัว" อัญญานีบอกเตรียมที่จะไป
"พระธิดาแน่พระทัยแล้วหรือเพคะที่จะเสด็จโดยธำมรงค์วงนี้"บัวแย้มกล่าวถามด้วยความไม่แน่ใจ
" แน่ใจสิ แหวนศุภรน่ะเราเพิ่งพบเมื่อคืนว่าสามารถพาเราไปที่ไกลๆได้ ไม่รู้หรอกว่าที่ไหน แต่เราแน่ใจว่าไกลจากที่นี่มาก เราไปกันเลยเถอะ"
"เพคะ" ว่าแล้วแหวนก็ได้นำพาทั้งสองมายังป่าที่อยู่ระหว่างอดีตเมืองโกสุมพิสัยและเมืองทิศพล
"มีเสียงลำธารอยู่แถวนี้ด้วยเพคะพระธิดา พระธิดารอบัวอยู่ตรงนี้นะเพคะ บัวจะไปหาปลากับผลไม้มาถวาย"
" เราไปด้วยไม่ได้เหรอบัว"
" พระธิดาทรงพักผ่อนรอตรงนี้จะดีกว่าเพคะ บัวจะรีบหาอาหารและกลับมา"
"ตามใจก็ได้เราจะรอตรงนี้ล่ะ กลับมาไวๆนะ" ว่าแล้วจึงได้นั่งพักอยู่ใต้ร่มไม้และอีกคนจึงเดินทางไปยังลำธารทันที
" เมฆา เมฆา"เสียงเรียกของผู้หญิงแต่ไกลทำให้ธิดาอสุราฉงน
" ช่วยด้วยสิ ช่วยเราที" พระโอรสวันศุกร์วิ่งขอมาให้ช่วยไม่นานนักเจ้าของเสียงเรียกก็มาถึง
" เมฆาหนีเราทำไมเนี่ย.. อ๊ะ!! .. แล้วนี่ใครน่ะ" หญิงสาวเห็นผู้หญิงที่ควงแขนอยู่กับคนที่เรียกหาก็สงสัยทั้งที่ไม่เห็นหน้า
" อ๋อ... นี่น่ะเหรอ นางคือนภาพร นภาพรหันมาทักทายฉันทนาหน่อยสิ"ว่าแล้วทั้งคู่ก็หันกลับไป
"ย.. ยักษ์!! นี่มันอะไรกันน่ะเมฆา ทำไมถึงมาควงแขนยักษ์แบบนี้ล่ะ"ฉันทนาตกใจแต่ก็สงสัยนัก
" เราต้องถามเจ้ามากกว่าว่าเจ้าเป็นใคร มายุ่งอะไรกับคนรักของเรากันล่ะ" ยักษีตอบพลางควงรัดแขนอีกคนแน่นกว่าเดิม
" เบาๆหน่อยเจ็บนะ"คนที่ใช้นามว่าเมฆากระซิบอีกคนเพราะลงแรงมากไปเสียหน่อยกลับกลายเป็นภาพบาดใจอีกคน
" คนรักเหรอ เจ้าพูดมาหน้าไม่อาย ยักษ์อย่างเจ้านี่นะ เราตะหากล่ะที่เป็นคนรักของเมฆาน่ะ" เธอพูดทำเสียอีกคนแทบปาดเหงื่ิอ
"คนรัก โธ่ๆเจ้านี่ไม่รู้อะไรเล้ย พวกเราน่ะคู่สร้างคู่สมกัน ขนาดชื่อนี่นะยังคล้องจองแถมคู่กันอีก เจ้ามีดีอะไรล่ะที่เมฆาจะชอบ" ยักษ์อ้างชื่อนภาพรกล่าวพลางยิ้มชอบใจที่ได้แกล้งอีกฝ่าย
"หึย.. มีสิ เราเป็นคน สวยก็สวยกว่า ผมก็ตรงงาม เมฆาก็บอกว่าชอบจนอยากตัดผมเราไปเก็บเสียด้วยซ้ำ" ฉันทนาพูดทำให้นภาพรมองหน้าเมฆาอย่างอดสงสัยไม่ได้ แต่ก็ต้องช่วยเล่นไปก่อน
"เจ้าเจอเมฆาเมื่อไหร่ล่ะ เราน่ะดูใจมาสองปีล่ะหนา" เธอพูดกะจะทับถมอีกฝ่าย
"เราอยู่กับเมฆาสามปีแล้ว"อีกคนตอบอย่างมีชัย เมฆาไม่พูดอะไรแต่ก็หายใจติดขัด
" งั้นเหรอ แสดงว่าเราก็แย่งเจ้างั้นสิ"
"ใช่"
"ว้าย!!.. ตายละ เขามีแต่แย่งยัก นี่โดนยักษ์แย่ง ไปกันเถอะเมฆาอย่าไปสนใจเลย"ว่าแล้วก็รีบพากันควงออกไปปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นอัดอั้นตันใจอยู่ ไม่นานก็ตัดสินใจตามไปแต่ตามไม่ทันพบแต่อีกาคู่เกาะอยู่บนกิ่งไม้เท่านั้น พาลพาให้อารมณ์เสียจนเอาไม้ไล่ตีนกผู้ไม่รู้ประสาจึงหนีไปจนถึงอดีตกระท่อมที่พักของบัวแย้มแล้วกลับสู่ร่างเดิม
" ฮ่าๆ ผู้หญิงคนนั้นน่าสนุกดีนี่ ทำไมล่ะถึงได้หลบหน้าหรือว่าจะเป็นคนรักจริงๆ" ปัทมาสน์จ้องมองอีกคนแบบแกล้งเค้นความจริง
"ไม่ใช่หรอก นางน่ะคิดไปเอง แค่ชมว่าสวยนิดสวยหน่อยก็หลงเรา เราไม่รู้ด้วยนะเออ" ศุภลักษณ์บ่ายเบี่ยง
"แล้วใช้ชื่อปลอมทำไมล่ะ กะจะทิ้งงั้นสิ"
" ไม่ใช่ๆ เราแค่ไม่อยากบอกชื่อจริงให้คนแปลกหน้าน่ะ"
" สามปียังจะแปลกหน้าอีกเหรอ"
" ใช่น่ะสิ"
"ปัทมาสน์ศุภลักษณ์ พวกเจ้าสองคนก็มารำลึกความหลังที่กระท่อมบัวกันเหรอ" แสงสุรีย์เข้ามาด้านหลังทำให้ทั้งคู่ตกใจ เมื่อหายแล้วจึงได้ตอบ
" ใช่แล้วล่ะ ปัทมาสน์พามา" ศุภลักษณ์บอก
" นี่เจ้ายังคิดถึงบัวแย้มไม่ลืมเลยล่ะสินะ"ธิดาวันอาทิตย์ถามพลางมองอีกคนอย่างห่วงๆ
" ใครจะไปลืมลง" นั่นน่ะสิ ธิดายักษ์น่ะไม่มีทางลืมหรอกเพราะเธอออกจะรักเหมือนน้องสาวเสียขนาดนั้น
พลางคิดย้อนไปในอดีตที่เจอครั้งสุดท้ายก็สิบปีมาแล้ว
"พระธิดา บัวต้องไปแล้วนะเพคะ" เธอตระเตรียมของพร้อมบอกลา
" ไปไหนล่ะบัว" พระธิดาไม่เข้าใจ
"มีคนมารับบัวกับยายไปอยู่ด้วยเพคะ บัวต้องตามไปดูแลยาย" เสียงไอทรมานของผู้เป็นยายดังเป็นละลอก
"เฮ้อ เราน่ะอยากดูแลมากกว่าอีก ถ้าไม่ติดว่ามีอัคนินสักคน เสด็จพ่อคงให้เราพาบัวกับยายไปอยู่ด้วยแล้ว"
"ไม่เป็นไรหรอกเพคะ ตอนนี้ยายกับบัวก็จะอยู่อย่างที่พระธิดาหวังไว้แล้ว"
" จะดีจริงเหรอ"
" เพคะ ยายของบัวไม่เคยอยากให้บัวลำบาก ตอนนี้มีคนมาช่วยยายด้วย บัวก็สบายใจเพคะ"
" เอาเถอะ เราคงห้ามไม่ได้ ยังไงก็ดูแลตัวเองดีๆนะบัวเราเชื่อว่าสักวันพวกเราจะได้เจอกันอีก"เธอพูดพลางกุมมืออีกฝ่าย
บัวแย้มดับยายจึงเดินทางไปยังเมืองศาศวัตที่ยายได้ช่วยชีวิตคนคนหนึ่งที่เป็นคนเมืองนั้นไว้
ภาพความทรงจำมีในขณะที่บัวแย้มกำลังหาปลา เมื่อพอใจกับปริมาณที่หาแล้วจึงจะไปหาผลไม้ต่อ แต่ต้องหยุดเมื่อได้ยินเสียงเหมือนมีคนมาเล่นน้ำ ตนจึงลอบมองพบว่าเป็นชายหนุ่มรูปงามสวมเกราะชมพูกำลังใช้มือสาดน้ำไปทั่วๆอย่างสบายใจ ตอนนี้เจ้าตัวรู้แล้วล่ะว่ามีคนมาแอบมองอยู่จึงแกล้งพูดออกไป
"ไม่เล่นดีกว่า น่าเบื่อจริงๆ" อยู่ดีๆก็ทำท่าเบื่อแล้วเผลอครู่เดียวก็หายตัวไป
"อ้าว เมื่อกี้ยังอยู่ตรงนี้อยู่เลยนี่นา" บัวแย้มออกมาดูพลางพูดอย่างสงสัย
"อะไรอยู่ตรงนี้" อังคาสลอบถามจากข้างหลัง
"ก็ผู้ชายที่เล่นน้ำนี่ไง.."เธอพูดพลางหันหน้ามาแบบลืมตัวแล้วพบกับเจ้าตัวเข้าให้
"นี่มาแอบดูเราเหรอ" เขาถามพลางขมวดคิ้วมอง
"ป่าวนะ เราแค่ผ่านมาเห็นคนมาเล่นน้ำก็แค่มองดูว่าเป็นใคร" เธอพูดให้อีกคนเข้าใจ
"แล้วก็พบว่าเป็นเรา ถามหน่อยเถอะเป็นผู้หญิงอยู่ในป่าถ้ามีผู้ชายมาเล่นน้ำจะดูทุกคนเลยไหมล่ะ" เขาถามซะจนผู้ฟังเริ่มไม่สบอารมณ์
"นี่จะบ้าเหรอ เราไม่ได้เป็นแบบที่เจ้าถามนะ เจ้าน่ะสิอิท่าไหนถึงมาเล่นในป่าดงดูแล้วก็เป็นคนเมืองนี่นา"
" นั่นมันก็เรื่องของเรา"
" เราผ่านมาเห็นแล้วมองก็เรื่องของเราเหมือนกัน"เธอยอกย้อนอีกฝ่าย
" ย้อนเราเหรอ"อังคาสจับข้อมือบัวแย้มพลางมองอีกฝ่าย
"ย้อนไม่ย้อนก็คิดเอาเองเถอะ แต่ปล่อยเราเดี๋ยวนี้นะปล่อย!! "เธอขัดขืนแต่สู้แรงอีกคนไม่ได้
" ไม่ปล่อยจนกว่าจะขอโทษเรา" เขาจับแน่นกว่าเดิมอีก คนโดนจับเลยคิดที่จะหาทางเลี่ยงความสนใจ
" ย.. ยักษ์!!" เธอร้องพลางมองไปด้านหลังของอีกฝ่ายพลางทำหน้าหวาดกลัวอย่างมากอีกคนจึงหันไปดู อาศัยทีเผลอสะบัดข้อมือวิ่งหนีไปในทันที
" นี่เจ้า.. เจ้า!!" เขารู้ตัวจึงวิ่งตามไปแต่ไม่รู้ทำไมอีกคนถึงวิ่งเร็วนัก แปลกจริงไม่น่าจะวิ่งเร็วขนาดนี้ แต่ป่าวหรอกเธอแค่หลบไปอีกทางเฉยๆ เขาน่ะวิ่งหาไปอีกทาง บัวแย้มจึงไปหาผลไม้ต่อไป
อัญญานีรอนานแล้วแต่อีกคนไม่มีทีท่าที่จะกลับมาเลย จึงจะตามไปดูแต่แล้วต้องพบกับอสรพิษร้ายอย่างงูเจ้ากรรมเข้าให้ เธอไม่อยากทำร้ายมันจึงวิ่งหนีไปเสียดีกว่า นั่นทำให้เธอหลงทางเสียจนได้ สุริยะกับหิ่งห้อยยักษ์ผ่านทางมาพอดีจึงลงไปดู
"ท่าน ทำไมถึงมาเดินป่าคนเดียวล่ะ ดูเหมือนท่านจะมีอันตรายเลย" สุริยะถามอีกคน
"เรา เราไม่ได้เดินคนเดียวหรอก เรามากับภริยาแต่พลัดหลงกัน อันตรายน่ะเราไม่มีหรอก กลัวแต่หิ่งห้อยยักษ์ที่มากับท่านเสียมากกว่า" เธอพูดตอบอีกคน ถึงจะเคยเห็นหิ่งห้อยยักษ์มาก่อนแต่ตัวเองก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นตัวเดียวกันหรือไม่ เขามองเห็นแหวนศุภรพลางมองกับหิ่งห้อยยักษ์เป็นเชิงว่าอย่าเพิ่งถามจะดีกว่า
"ไม่เป็นไรหรอกจะ พี่หิ่งห้อยน่ะไม่ทำร้ายใครแล้ว"หิ่งห้อยยักษ์กล่าวอย่างเป็นมิตร
" เราจะช่วยหาภริยาท่านอีกแรง เราสุริยะนะ ท่านชื่ออะไรหรือ"เขาแนะนำตัว
" เราอัญ.. อันติมะ" อัญญานีเกือบพลั้งบอกชื่อจริงไปเสียแล้ว
"อันติมะ ภริยาท่านชื่ออะไรหรือ เราจะช่วยเรียกหาถูก"เขาถามข้อมูลเพื่อจะช่วยตามหาให้ง่ายขึ้น
"บัวแย้ม นางชื่อบัวแย้ม" สิ้นคำตอบไม่ทันไรฝนก็ตกมาเสียอย่างนั้น ทั้งหมดจึงต้องหาที่หลบฝนก่อน บัวก็ต้องหาที่หลบฝนเหมือนกัน แต่ทว่ามาหลบเจอคนที่ทำเจ็บข้อมือเสียซะอย่างนั้น
" นี่เจ้า อิท่าไหนล่ะถึงมาหลบฝนที่เดียวกับเรา" อังคาสที่ตอนแรกเหมือนจะขึ้นเสียงแต่ลดเสียงให้คล้ายแกล้งถามไป
"ใครจะไปรู้ล่ะว่าจะมีคนอยู่ในนี้ เราไปก็ได้" ว่าแล้วเธอจะเดินไปแต่อีกคนก็คว้าข้อมือไว้
"ปล่อยนะเราเจ็บ" อีกคนขัดขืนอีก แต่นั่นมันจะทำให้เจ็บกว่าเดิมน่ะสิ
" ปล่อยน่ะได้ แต่ต้องหลบฝนด้วยกันที่นี่นี่ล่ะ ส่วนข้อมือนี่เราจะช่วยให้หายเจ็บ ฝนตกแรงขนาดนี้ออกไปจะเปียกไม่น้อยเลย"ว่าแล้วเขาก็คลายมือออก อีกคนไม่ได้หนีไปไหนตัวเองเลยเป่ามนต์ที่เรียนมาให้ข้อมืออีกคนหายเจ็บ
"หายเจ็บแล้ว.. งั้นเหรอ" เธอพึมพำอย่างประหลาดใจ อาการหายเหมือนไม่เคยเจ็บเลย
" แทนที่จะขอบใจ กลับพึมพำอะไรก็ไม่รู้"
" ไม่ล่ะ เราถือว่านี่เป็นสิ่งที่เจ้าต้องทำให้อยู่แล้ว เพราะว่าเจ้าทำเราเจ็บตัว"
"พูดอย่างนี้อยากเจ็บตัวอีกล่ะสิ"
"ไม่อยาก"
"เอ้อนี่ เจ้าหาปลากับผลไม้ไปกินกับใครน่ะ ลักษณะอย่างนี้คงไม่กินหรอกคนเดียวหรอก" เขาพูดพลางมองไปที่อาหารที่เก็บมาได้ของอีกคน
"เราหาไปกินกับ.. สามี สามีเรา"เธอพูดเพราะคิดได้ว่าอัญญานีกำชับให้แสดงตนเป็นสามีภรรยากันจะได้ไม่มีคนสงสัย
" เจ้ามีสามีแล้ว สามีเจ้าไม่ได้เรื่องเลยนะ ให้เจ้ามาหาอาหารคนเดียว" เขาพูดพลางบ่นเล็กน้อย
" อย่าว่าสามีเรานะ"
"แตะต้องไม่ได้เลยงั้นสิ"
"ใช่.."สิ้นสุดคำทั้งสองก็ไม่ได้พูดกันอีก มีแต่ความเงียบท่ามกลางฝนกระหน่ำ เวลาผ่านไปจนค่ำแล้วฝนจึงหยุด ตอนนี้ไม่อีกคนซะแล้วสิ บัวแย้มก็ได้แต่แปลกใจ แต่ไม่ได้การล่ะ ตนต้องไปถวายอาหารให้พระธิดานี่ ป่านนี้คงรอแย่แล้ว คิดได้จึงเร่งเดินทาง
" จะทำอย่างไรดีล่ะ ค่ำแล้วฝนเพิ่งจะหยุด บัวจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ " เธอพร่ำด้วยความเป็นห่วงอีกคน
"อย่างนั้นก็อย่าช้าเลย เราไปหากันต่อดีกว่า" ว่าแล้วทั้งหมดจึงไปตามหา
"จะ.. จะไปไหนเหรอน้องสาว" เสียงน่าขนลุกพิลึกดังขึ้นมาหลังบัวแย้ม เมื่อหันหลังกลับไปจึงพบกลับผีโครงกระดูก มีแต่หัวกับแขน
"ผ.. ผี"เธอตกใจแต่พยามยามไม่กลัวมาก ต้องตั้งสติเข้าไว้
"ก็ผีน่ะซี ช่างเถอะน่าตาหวานน่ะไม่ทำอะไรไรเราหรอก แค่อยากช่วย เหมือนหลงทางเลยนี่"เขาพูดกับอีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร ดูท่าจะเป็นผีดีเสียด้วย ตนจึงอุ่นใจขึ้นมา
"ไม่ได้หลงทางหรอกจะ บัวกำลังจะไปหาสามีของบัว แต่ว่าหาไม่พบนี่สิ" มาที่เดิมแท้ๆแต่ไม่พบน่าฉงนจริง
" เดี๋ยวพี่ตาหวานจะช่วยหาอีกแรงแล้วกัน"ว่าแล้วทั้งคู่จึงออกตามหาแล้วไปพบกันพอดี
"บัว บัวเป็นอะไรรึปล่าว เราเห็นว่าบัวไปนานแล้วเราเป็นห่วง เราเลยออกตามหา" อัญญานีเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วงพลางจับที่ตัวของบัวดู
" บัวไม่เป็นไรหรอกจะพี่อัน พี่ไม่น่าออกตามหาบัวเลย"บัวแย้มเห็นมีคนอื่นอยู่ด้วยจึงแสร้งเรียกเสมือนภริยา
"ออ.. นี่คือสุริยะกับพี่หิ่งห้อยน่ะ แล้วนั่นมันผีหนิ ทำไมถึงอยู่กับผีได้ล่ะ"
" ก็บัวเดินทางมาเจอพี่ตาหวาน พี่ตาหวานเป็นห่วงเลยมาส่งน่ะจะ"
"นั่นมันเกราะกายสิทธิ์นี่หว่า นี่จะเป็นบุญของเราแล้วกระมัง" ผีตาหวานชี้ไปยังสุริยะ
"คิดจะไรทำอะไรน่ะเจ้าผี" หิ่งห้อยยักษ์ถามเพราะกลัวจะมาเป็นอีหรอบเดิมเดียวกับเจ้าตัวประหลาดนั่น
" ป่าวๆ นี่ท่านน่ะ พี่ตาหวานขอติดตามไปด้วยนะ มีคนเคยบอกไว้ว่าถ้าตาหวานช่วยทำคุณกับคนที่สวมเกราะกายสิทธิ์ล่ะก็ ตาหวานจะไปสู่สุขคติ"
"ได้สิพี่ตาหวาน น้องชื่อสุริยะ มีอะไรต้องรบกวนด้วยนะ" สุริยะได้ยินยอมพร้อมกับฝากตัวด้วย
"เอาล่ะเรามาหาฟืนก่อไฟกันดีกว่าเถอะ มืดมากแล้ว" ผู้อ้างชื่ออันติมะกล่าวแล้วทุกคนจึงช่วยกันหาก่อไฟกันจนได้คุยกัน
" เราขอถามท่าน ธำมรงค์ศุภรที่ท่านสวม ท่านไปได้จากไหนมา"สุริยะเปิดประเด็นที่ค้างคาใจมาถาม
" เรา เราได้มาจากผู้หญิงคนหนึ่ง" เธอพูดตอบ เธอไม่ได้โกหกนี่ก็ได้จากผู้หญิงจริงๆน่ะนะ
" ใครงั้นเหรอ" เขาถามพลางขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความฉงน
"เราจำไม่ได้หรอกมันนานมาแล้ว ว่าแต่เจ้าเถอะรู้จักแหวนวงนี้ได้ยังไง
"เราเคยเจอมาก่อนน่ะ" เขาก็พูดตามจริง
"งั้นเหรอ แต่ตอนนี้แหวนี้เป็นของเรา ขอเจ้าอย่าถามอีกเลย" เธอตอบ ดูท่าแล้วก็ไม่เหมือนผู้ชายเท่าใดเลยนี่ หรือว่าจะเป็นอัญญานีสหายเก่าของจันทราภากันนะ เลือกจะไม่เซ้าซี้ดีกว่า ไว้พรุ่งนี้ให้เขาคุยกันเอง
"ได้ เราจะไม่ถามท่านแล้วก็ได้" ทั้งหมดจึงคุยสัพเพเหระเสร็จแล้วจึงนอนหลับพักผ่อนไป
..
" ขยันจริงๆเลยนะอัคนิน" แสงสุรีย์เข้ามาทักอีกคนที่ซ้อมดาบจนค่ำแล้วยังไม่หยุด
"เราไม่ได้ขยัน มีอะไรรึปล่าว" เขาตอบกลับและถามอย่างห้วนๆ
"เราไม่มีหรอก เราแค่อยากมาทักทาย เราเห็นเจ้าฝึกซ้อมดาบอย่างนี้เราก็สบายใจ ดีแล้วล่ะจะได้เป็นเป็นกำลังพลให้บ้านเมืองต่อไปได้ อย่าหักโหมนักนะ เราไปล่ะ" ว่าแล้วเธอจึงเดินจากไป คำพูดที่จะเป็นกำลังพลนั้นมันแทนที่จะให้กำลังใจแต่ว่ากลับเป็นการตอกย้ำในความคิดคนฟังว่าเขาควรเป็นเพียงทหารไม่ใช่คนปกครอง ตัวจึงฟาดฟันคู่ซ้อมที่เป็นข้ารับใช้ตนเสียปางตาย
" ดูถูกข้านักเรอะ ตายซะเถอะ!! "ว่าแล้วตนก็ใช้ดาบจะฟันอีกคนเสียให้สิ้นถ้าไม่มือมีสตรีมาจับระงับไว้
"อัคนิน ลูกจะทำอะไรน่ะ เจ้าจะฆ่าคนของตัวเองงั้นรึ" ผกากรองมราดาถามลูกที่ทำการอุกอาจเช่นนี้ เขาถอนหายใจก่อนจะลงมือลง
"อย่าลืมสิ พวกเรามีคนแค่หยิบมือ ถ้าสังหารพวกข้าใช้สิ้นแล้วใครจะอยู่ข้างพวกเราล่ะ เจ้าต้องใจเย็นอดทนรออีกสักนิด" เธอพูดให้บุตรได้คิดตาม
"รอ อีกเมื่อไหร่ล่ะท่านแม่ อีกเมื่อไหร่กัน ลูกรอมานานมากแล้วนะ" เขาทำท่าไม่พอใจ
"เชื่อแม่เถอะ อีกไม่นานจะเป็นวันของเรา แม่เตรียมการใกล้เสร็จสิ้นแล้ว " ลูกที่ได้ฟังก็หุนหันพลันแล่นไม่อยากฟังอีกจึงไปเสียให้พ้นมารดา
..
" อีกไม่นานนี้เราจะกลับมาอยู่ด้วยกันแล้ว อินทรานี"เทพวิษุวัตพูดถึงนางอันเป็นที่รักขณะอยู่ที่หอชิดดาราที่สูงเสียดฟ้าพอที่จะเก็บดาวและความทรงจำเมื่อครั้งก่อนเก่าไว้ได้ ท่านนึกถึงอดีตครั้งแรกที่พบกันจนถึงวาระสุดท้าย นึกแล้วก็พาลให้โกรธเทพบุตรโกวิทหรือนามรองศรุตเทพที่ตนนั้นได้เคยใช้เป็นบริวารที่ไว้ใจมากที่สุด แต่ความไว้ใจนั้นกลับถูกทรยศเมื่อเขาได้ใช้ให้นำเกราะกายสิทธิ์มารักษาพระชายา
กลับนำหนีไปซ่อนไว้จนไม่อาจรักษานางมันจนสิ้นชีพ ถึงจะสาปให้เป็นคนพิการเข็ญใจเท่าใด ก็ไม่เท่ากับความแค้นในใจได้ บัดนี้เขาได้เจอนางจากคำบอกล่าวของฤๅษีทมิฬที่รอดมาได้ก็อุ่นใจขึ้นมาบ้าง แต่ว่าพระเชษฐภคินีที่สำคัญเท่าชีวิตตนยังหาไม่พบเสียเลย
"พระพี่นางไปอยู่หนแห่งใดกัน ป่านฉะนี้แล้วยังไม่พบเลย" ทำไมกันหนาทั้งทีเป็นพระเทวีเคียงข้างองค์อินทร์ถึงได้หายไปแบบใครก็ตามไม่พบ หรือพระนางไม่อยากให้พบกัน คงต้องติดตามเสาะหากันต่อไป
..
ที่ถ้ำไม่ไกลจากเมืองรัตนบุรีมากนัก เจ้าตัวประหลาดตุ้บเท่งเตรียมตัวจะเดินทางเข้าเมืองในวันพรุ่งซะแล้ว
" ข้ารอมาถึงสิบปี ท่านพ่อสิ้นไปแล้ว ต่อจากนี้ไม่มีใครจะห้ามข้าได้อีกต่อไป เกราะกายสิทธิ์ต้องเป็นของข้า และ และสังวาลย์มณีก็ต้องเป็นของข้าฮ่าๆ" สุดหล่อหัวเราะอย่างชอบใจแล้วจึงจะเดินทางไปในวันพรุ่งเพื่อจะทำสิ่งที่ตนปรารถนาคือครอบครองสิ่งเวษไว้ข้างกาย
-
"ขอให้ท่านอยู่และมีเหตุแห่งการสิ้นเฉกเช่นเรา__ เทพบุตรโกวิทจงไปนำเกราะกายสิทธิ์มาให้เรา__ไม่ได้เราจะนำเหตุแห่งสิ้นขององค์ท่านไปให้ไม่ได้ __ศรุตเทพ เสียแรงที่ไว้ใจเจ้า เราขอสาปให้เจ้าพิการเป็นง่อยเข็ญใจจนกว่าจะได้สวมเกราะกายสิทธิ์" ภาพเหตุการณ์ที่พระอินทร์ตรัส-เทพวิษุวัตให้ไปหาเกราะ- ตนเองอีกคนไม่ยอมนำไปให้-สุดท้ายจึงโดนคำสาป ภาพเหล่านี้ตีสลับซ้ำๆไปมาในห้วงฝันของสุริยะจนเขาตกใจตื่นในเวลารุ่งสางที่แสงอาทิตย์ยังไม่ออกชัดดี ใบหน้าชุ่มเหงื่อดูท่าไม่ดีเอาเสียเลย ความฝันนี้เหมือนจริงมากจนน่ากลัว กลัวว่าจะเป็นความจริงนี่สิ เขามองไปที่เหลือยังไม่เห็นใครจะตื่น ตนจึงปลีกวิเวกไปล้างหน้าที่ลำธารคนเดียวก่อนเห็นจะดีกว่า
"พระโอรสสุริยะ มาทำอะไรคนเดียวน่ะพระเจ้าค่ะ" เจ้าผีโครงกระดูกถามอีกคนด้วยความสงสัย
"ก็มาล้างหน้าตามปกติน่ะจะ พอดีวันนี้น้องตื่นเช้ากว่าเดิมเลยไม่อยากรบกวน" เขายิ้มให้อีกฝ่าย
"พี่ตาหวานจะรบกวนพระโอรสเสียหน่อน่ะพระเจ้าค่ะ"
"รบกวนอะไรหรือจ๊ะพี่ตาหวาน"
"เวลากลางวันแดดร้อน พี่ตาหวานขออยู่ในย่ามให้พระโอรสช่วยให้ได้ไหมพระเจ้าค่ะ"
"ได้สิพี่ตาหวาน"
" ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะพระโอรส" ผีโครงกระดูกส่งย่ามให้อีกฝ่ายแล้วตนจึงเข้าไปอยู่ในย่ามนั้น เสร็จแล้วเขาจึงไปยังที่รวมพล พลางคิดก็วิตกไม่หายจึงได้พึมพำไป
" เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่นะ" สิ้นคำไม่นานแสงวันใหม่ได้สาดส่องมายังเกราะกายสิทธิ์ทำให้คนเปลี่ยนไป
" เรื่องอะไรพระเจ้าค่ะ ตรัสเรื่องอะไร" ผีตาหวานถามทั้งๆที่ร่างอยู่ในย่ามนั้น
"เสียงอะไรน่ะ แล้วสุริยะสะพายย่ามอะไร" จันทราภาเธอจึงดูในย่ามว่ามีอะไรอยู่ในนั้น
" มีตาหวานพระเจ้าค่ะพระธิดา" เขาตอบเมื่อได้ยินเสียงที่เปลี่ยนไปก็พอจะรู้อยู่บ้างว่าไม่ใช่พระโอรสสุริยะแล้วสิ เมื่อจันทราภาเห็นก็ตกใจ
"พระธิดาอย่าเพิ่งกลัวเลยนะพระเจ้าค่ะ.." เขาอธิบายเหตุผลให้ฟังเหมือนกับที่บอกกับคนก่อนหน้า ทำให้อีกคนสบายใจขึ้นมาเดินมาไม่นานก็ถึงจุดรวมพลเสียที
ซึ่งทุกชีวิตก็ได้ฟื้นคืนตื่นมากันหมดแล้ว รอท่าก็แต่อีกคนกับหนึ่งผีเท่านั้นเอง
"อ้าวท่าน มากินอาหารเช้ากันเร็ว"อันติมะกล่าวเรียกอีกคน เพราะตอนนี้มีผลไม้และเหล่าปลาที่ช่วยกันหาของเธอกับภริยากำมะลอระหว่างรอ
"ท่านคงคือผู้ที่เป็นสามีชื่ออันติมะสินะ" จันทราภายิ้มให้อีกคนอย่างมีไมตรีจิต แต่เมื่อพิศดูแล้วคนคนนี้เป็นหญิงนี่นา
"ใช่แล้วล่ะ"
" เราจันทราภานะ อย่าว่าเราอย่างนั้นอย่างนี้เลย ท่านเป็นหญิงทำไมถึงแอบอ้างเป็นชายมีคู่รักล่ะ" อีกคนได้ยินก็ถึงกับผงะ ไม่รู้ต้องตกใจที่ได้พบกันกับสหายเก่า หรือต้องตกใจที่อีกฝ่ายมองตนออกดี
"ท่านรู้.." เธอคิดอะไรไม่ออกเลยถามไป
"ใช่ เราเป็นผู้หญิงด้วยกันนะ ทำไมจะดูไม่ออกล่ะ... ธำมรงค์แก้วศุภร ท่านได้มาจากที่ไหน"เธอพูดบอกไม่นานก็เห็นแหวนวงนี้ที่คุ้นเคยนี้ที่นิ้วอีกของนาง
"เราได้มาจากประกายพฤกษ์ เราคืออัญญานี" ว่าแล้วเธอได้แก้ผ้าโพกศีรษะออกทำให้เกศาลงยาวมา ส่งผลให้เห็นหน้าคล้ายกับอัญญานีเมื่อวัยเยาว์ไม่มีผิดเพี้ยน
" อัญญานี.. เจ้าจริงๆด้วย ทำไมถึงมาเดินป่าแบบนี้ล่ะ แล้วบัวแย้มเป็นใครกันน่ะ" จันทราภาถามอย่างอดสงสัยไม่ได้ ถึงขนาดต้องปลอมตัวก็ต้องมีเรื่องเข้าให้แล้ว
"เมื่อสิบปีก่อนหน้านี้ แม่มดเกลียวทองแปลงกายมาหลอกว่าเป็นเสด็จอาของเรา นางว่าถ้าไม่ยอมไปเมืองทิศพลจะพังพินาศ ขนาดพลังของสิ่งวิเศษที่พวกเจ้าสวมใส่ยังเอาชนะเทพวิษุวัตไม่ได้ เราไม่มีทางเลือกเพราะเราไม่อยากให้มีปัญหาเกิดกับผู้บริสุทธิ์จึงติดตามไปเพื่อหาลู่ทางหนีเมื่อเติบใหญ่ต่อไป ส่วนบัวแย้มเป็นคนที่เกลียวทองนำมาเลี้ยงเพื่ออยู่กับเรา แต่ว่าบัวเป็นคนดีมากนะ" เธอเล่าให้อีกคนฟัง
" แม่มดเกลียวทอง นางยังรอดมาทำเรื่องนี้อีกเหรอ ประกายพฤกษ์เคยบอกว่านางกลายเป็นคนชราไร้พิษสงแล้วนี่" พระธิดาวันจันทร์นั้นสบสน
" ตอนนั้นนางหนีมาพบกับยายของบัวเข้าเพคะ ยายของบัวจึงช่วยชีวิตนางไว้เพราะสงสาร ไม่นึกกว่าเรื่องจะกลายเป็นแบบนี้" บัวแย้มพูดให้ฟังแล้วตนก็นึกถึงยายตนที่เสียไปเมื่อไม่นานนี้เอง
" ที่เราหนีมาได้เพราะแหวนวงนี้ล่ะ พาพวกเรามาที่นี่ แต่บางครั้งเรารู้สึกว่าเหมือนเป็นเพียงแหวนธรรมดาเลย" อัญญานีพูดต่อ
" คงเป็นเพราะไม่ได้ลองใช้จริงจังมากเท่าตอนหนีหรือปล่าวนะ" จันทราภาพูดแล้วทุกคนต่างก็คิดไปอยู่อย่างนั้น
...
"เสด็จแม่ เสด็จแม่จะบอกสุดหล่อว่าพวกพระโอรสพระธิดาเสด็จไปเมืองทิศพลแล้วงั้นรึ"เจ้าตัวประหลาดเดินทางมาเข้าเฝ้าพระมเหสีเมื่อพบจึงได้ถาม ความก็ได้ดั่งที่พูด
" ใช่แล้วล่ะสุดหล่อ พระอัยกาน่ะไม่ได้พบกันนับสิบปีแล้ว พวกลูกๆของเราจึงไปเยี่ยมเยือนสักหน่อย"
" อ้าว แล้วอย่างนี้จะไปกันสักกี่วันล่ะพระเจ้าค่ะเสด็จแม่"
" ก็แล้วแต่ลูกๆของแม่จะพอใจนั่นล่ะสุดหล่อ" พระนางก็มิอาจรู้ได้เช่นกัน
"ไม่ได้ๆ สุดหล่อจะต้องตามไปซะหน่อยแล้ว" เขาเตรียมตัวจะไปหา
" เดี๋ยวสิสุดหล่อ ทำไมถึงต้องรีบไปตามหาด้วยล่ะ พักรอที่นี่ก็ได้"
" ก็สุดหล่อห่วงเกราะ...ห่วงพระโอรสพระธิดาจะมีอันตราย บางทีอาจจะมีศัตรูคนใหม่ก็ได้พระเจ้าค่ะ"
" อยากตามไปเราก็จะไม่ห้ามแล้ว แต่ว่ากินอะไรเอาแรงหน่อยดีไหมล่ะสุดหล่อ แม่เห็นเจ้ามาแต่เช้าน่าจะยังไม่ได้กินอะไร"
" ก็.. ก็ดีพระเจ้าค่ะ" เขานึกถึงอาหารอันโอชาของเมืองนี้จึงตอบตกลงก่อนจะเดินทางต่อไป
...
" องค์เหนือหัวพระเจ้าค่ะ พระอาคันตุกะจากศาศวัตบุรีเสด็จถึงแล้วพระเจ้าค่ะ" นายทหารเข้ามาบังคมทูลยังกษัตริย์แห่งเมืองคีรีมาศที่ออกว่าราชการแต่เช้า
" เชิญพระอาคันตุกะเข้ามาเถิด"ท้าวธริษตรีกล่าวตอบแล้วทหารจึงไปเชิญมา
"ถวายบังคมพระเจ้าค่ะ หม่อมฉันบดิศรจากศาศวัตบุรี" กล่วทูลแล้วจึงให้เหล่่าบริวารที่ตามมาขนสิ่งมีค่ามาถวายให้
"ยินดีต้อนรับท่านราชทูตจากศาศบุรีวัตสู่เมืองของเรา เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ผูกสัมพันธไมตรีกับเมืองของท่าน" ท้าวเธอกล่าวต้อนรับด้วยความยินดี บดิศรจึงยิ้มตอบอีกฝ่าย
" เมืองของหม่อมฉันเพิ่งเป็นเมืองเปิดได้ไม่นาน ได้ยินเกี่ยวกับพระบารมีของพระองค์จึงได้ขอเข้ามาผูกสัมพันธ์ หวังว่าจะช่วยอำนวยความสบายให้กับเมืองของพระองค์ไม่มากก็น้อยนะพระเจ้าค่ะ"
" อย่าว่าเช่นนั้นเลย เมืองเราต้องรบกวนท่่านหลายเรื่องแน่ในภายภาคหน้า ท่านเป็นพระนัดดาของเจ้าเมืองใช่หรือไม่"
" ใช่พระเจ้าค่ะ"
" ดีจริงๆเลยนะที่มีหลานคอยช่วยดูแลงาน ท่านก็มีรุ่นราวคราวเดียวกับบุตรเรา ช่วงที่พักอยู่ที่นี่เราอยากจะให้เป็นสหายกัน จะเป็นการขอมากไปหรือไม่"
" ไม่เลยพระเจ้าค่ะ หม่อมฉันยินดี" หลังจากที่คุยกันเสร็จแล้วเจ้าเมืองได้มีรับสั่งให้เชิญพระโอรสทั้งสองมาพบกับบดิศร บดิศรเห็นสังวาลย์จึงต้องคอยดูว่าใช่สังวาลย์มณีที่ช่วยศัตรูตนแต่ก่อนเก่าหรือไม่ ฝ่ายจันทลักษณ์ก็สงสัยว่าชื่อน่าจะซ้ำกันมากกว่า ป่านนี้ผู้ถูกลงโทษคงอาศัยป่ายังชีพอยู่กระมัง
เจ้าเมืองมีพระดำรัสให้พระบุตรพากันประพาสป่าใกล้ๆพลางล่าสัตว์
" ข้าไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเสด็จพ่อให้เรามาพร้อมกับจันทลักษณ์ด้วย ทำไมไม่เลือกให้มาคนใดคนหนึ่งไปเลย" อัคนินบ่นกับข้าติดตาม
"ถ้าเลือกคนใดคนหนึ่งก็คงเลือกพระโอรสจันทลักษณ์พระเจ้าค่ะ" บริวารพูดตอบนาย
"พูดอะไรฟังไม่เข้าเรื่อง" เขากำลังจะง้างมือตบปากพล่อยๆของลูกน้องแต่มีเสียงเรียกของคนที่ปล่าวถึงเสียก่อน
" อัคนิน เราจะพาบดิศรไปทางไหนดีล่ะ"เขาถามอีกคนเพื่อขอความเห็น
"ไปทิศอาคเนย์ดูสิ แถวนั้นสัตว์เยอะดีไม่ใช่เหรอ... เอ... เราว่าพวกเราทั้งสามคนนี่ไปตามลำพังแบบลูกผู้ชายกันดีกว่า ให้บริวารตามอย่างนี้ก็ออกจะเกะกะสักหน่อย" เขาออกความเห็น กะจะหาเรื่องแกล้งเทำร้ายเสีย
" เราเห็นว่าไปกันตามลำพังก็ดีเหมือนกัน แต่การว่าคนอื่นเกะกะนี่ไม่มากไปหน่อยเหรอ"บดิศรเห็นด้วยแต่ว่าก็ขัดอยู่บ้าง
" ไม่มากไปหรอก ไปกันดีกว่า"ว่าแล้วจึงพากันมุ่งหน้าสู่ป่าอาคเนย์ทิศทันที
...
" พระธิดา พระธิดาเพคะ" นางกำนัลที่มาถวายงานเคาะประตูเรียกแต่ไร้คนตอบ
" หรือว่าจะยังไม่ตื่นบรรทม"นางกำนัลอีกคนถาม
" บ้าน่าสายแล้วนะ อย่างน้อยคนที่บัวก็น่าจะตื่นแล้ว"
"งั้นก็ดันประตูกันเถอะ มันผิดสังเกตแล้ว" ว่าแล้วนางกำนัลทั้งสองจึงดันประตูจนปนะตูเปิดออกก็พบแต่คงามว่างเปล่า
"ตายแล้ว!! พระธิดาหาย!!" ทั้งสองตกใจจึงรีบไปบอกให้นางแม่มดรู้ข่าว
" หายไปไหน!! " เกลียวทองถามคาดคั้น
" พวกหม่อมฉันก็ไม่ทราบเพคะ"
" ไม่ทราบเหรอ ถวายงานกันประสาอะไรถึงได้ปล่อยให้หายตัวได้น่ะ"
"ก็.. ก็พระธิดาสั่งให้พวกหม่อมฉันออกมา ถ้าขัดจะลงพระอาญาเพคะ"
"เจ้ากลัวงั้นรึ"
" กลัวเพคะ"
"เพราะว่ากลัวนี่ล่ะถึงได้พลาด รับโทษไปซะเถอะ" แม่มดเกลียวทองนางใช้พลังเผาผลาญร่างนางกำนัลจนเป็นจุลแล้วคิดหาทางตามหาคนหลบหนีต่อไป
...
" โอ๊ยยย!! "เสียงร้องดังลั่นของผู้หญิงที่ถูกศรจากบดิศรพลาดใส่เข้าให้
" แม่นางท่านเจ็บมากไหม"จันทลักษณ์ลงมาจากหลังม้าก็เข้าประคองคนที่ถูกยิงเธอหันหน้ามาปรากฏเป็นตัวประหลาดหน้าเสือเหมือนเจ้าสุดหล่อเลย
"ตัวประหลาดนี่" อัคนินกล่าวเมื่อเห็น
"จั๊กเจ็บ เจ๊บเจ็บที่ขาเหลือเกินเจ้าค่ะ" จั๊กกะแหล่นกล่าวพร้อมท่าที่เจ็บมากจนคนที่ประคองอดช่วยไม่ได้
" แม่นางทนเจ็บหน่อยนะ" ว่าแล้วเขาก็ดึงศรออกมาจากขานางแล้วนำสมุนไพรที่พกมาทาสมานแผลให้ อัคนินสบโอกาสจึงเล็งศรยิงเข้าที่จันทลักษณ์ทันทีแต่บดิศรยิงตัดปัดธนูไปได้ทัน
" ทำอะไรกันน่ะ"จั๊กแหล่นถามเมื่อเห็นการยิงศรทั้งสองเกิดขึ้น จันทลักษณ์ที่รักษาเสร็จแล้วจึงหันมาดู
" อัคนินจะยิงงูตัวนั้นที่จะฉกจันทลักษณ์แต่น่าจะพลาด เราเลยช่วยยิงน่ะ" เขาอธิบาย คนเกือบถูกยิงจึงไปดูพบงูถูกศรปักหัวอยู่จึงโล่งใจ
"เราขอบใจมากนะอัคนิน บดิศร"เขาหันมายิ้มให้ทั้งสอง
"เรายินดี" บดิศรกล่าวตอบ
"ไม่ต้องขอบใจหรอก อีกไม่นานก็จะเพลแล้ว จะรีบล่าสัตว์ก็รีบเถอะจะได้กลับ" อัคนินว่าแล้วจึงล่วงหน้าไปก่อน
"เราต้องขออภัยที่ทำท่านบาดเจ็บนะ"
"ไม่เป็นหรอกเจ้าค่ะ จั๊กน่ะไม่เป็นอะไรมากอยู่แล้ว ดีซะด้วยซ้ำที่จั๊กได้เจอเนื้อคู่" เธอพูดพลางเขินบิดม้วน
"เนื้อคู่" จันทลักษณ์มองแล้วก็งงใจนัก
" ใช่เจ้าค่ะ ก็พี่จันไงเจ้าคะ พี่จันน่ะสวมสังวาลย์มณีแสดงว่าพี่จันก็คือศิษย์ของท่านตาเป็นเนื้อคู่ของจั๊ก"
"นี่ท่านคือหลานของท่านตาที่ชื่อจั๊กแหล่นล่ะสินะ" ทั้งสองพูดกันเช่นนี้ก็พอจะอนุมานได้แล้วว่าเป็นพวกที่ช่วยอริตนวัยเยาว์นั่นเองในความคิดของบดิศร
"งั้นก็ไปกับเราเถอะนะ พวกเราก็เป็นหลานท่านตาเหมือนกัน... บดิศรท่านล่วงหน้าไปก่อนได้เลยนะ"ว่าแล้วเขาจึงประคองอีกตนขึ้นม้าไปแล้วตัวจูงเดินเอา
" เช่นนี้แล้วเมื่อไหร่จะถึงล่ะ" บดิศรถาม
"อย่าห่วงเลย ล่าสัตว์ให้สนุกเถิด" เขาจึงล่วงหน้าไปยังทิศทางที่อัคนินไป
"ทำไมมันต้องมาขัดขวางข้าด้วยนะ"อัคนินบ่นเสียไม่สบอารมณ์
" ถ้าเราไม่ขัดขวางก็คงเห็นคนลอบกัดกันซะแล้ว ดีไม่ดีนี่คงจะโทษเป็นความผิดเราน่ะสิ" บดิศรที่ตามมาได้ยินเข้าจึงตอบ
" เจ้าว่าข้าเป็นพวกลอบกัดหรือไง!! "เขาเริ่มโมโหอีกคน
"ก็ไม่ใช่อย่างนั้นทีเดียวหรอก นับว่าเป็นกลยุทธ์ทีเผลอแต่ออกจะไร้ชั้นเชิงเสียหน่อย... เราน่ะเคยพลาดมาก่อนจึงอยากเตือนไว้" เขาตอบอีกคนอย่างใจเย็น
" ไม่ใช่เพราะว่าเจ้าน่ะอยากเป็นเพื่อนกับเจ้านั่นรึไง"
"เราก็อยากเป็นเพื่อนกับทุกคนนั่นล่ะ ดูท่าเจ้าจะไม่ชอบพี่น้องคนนี้เอาเสียเลยนี่ อยากกำจัดขนาดนั้นเชียว"
" ใช่ ข้าน่ะอยากกำลังจัดพวกมันทุกคน"
" งั้นก็มารับใช้เทพวิษุวัตซะสิ ลำพังเราคนเดียวคงกำจัดไม่ไหวหรอก"
" ไหนว่าเจ้าอยากเป็นเพื่อนกับเจ้านั่นด้วยไม่ใช่เหรอ รับใช้เทพอะไรนั่นแล้วจะกำจัดพวกนั้นยังไง"
" เดี๋ยวเจ้าก็เข้าใจเองล่ะถ้าเจ้าตกลง" บดิศรยิ้มเล็กน้อยก่อนจะไปหาอะไรติดไม้ติดมือก่อนกลับ
.....
" ลองทำตามที่เราสอนแล้วเป็นยังไงบ้าง ใช้พลังงานจากแหวนได้ไหม" จันทราภาถามสหายที่ตนช่วยลองสอนวิธีที่น่าจะใช้งานได้ เพื่อจะได้ใช้งานอย่างจริงจัง
" เรารู้สึกว่าแหวนจะช่วยตามที่เราต้องการมากขึ้นนะ"อัญญานีตอบกลับ
" ดีแล้วล่ะ พระอาจารย์เคยสอนเราว่าหากต้องการใช้สิ่งวิเศษก็ต้องให้สิ่งวิเศษเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับใจเสียก่อน"เธอยิ้มพลางมองสหายอย่างเชื่อมั่นในความสามารถ อัญญานีลองใช้แหวนมุ่งไปยังพุ่มไม้พุ่มหนึ่งแล้วลำแสงก็พุ่งเข้าทำลายพุ่มไม้ทันที
" แบบนี้ก็ดีน่ะสิ จะได้ป้องกันตัวได้"อัญญานีพูดอย่างพอใจที่แหวนเป็นไปตามปรารถนา
" พระธิดาทรงพระปรีชายิ่งเพคะ"บัวแย้มให้กำลังใจ
ทั้งหมดพักทานอาหารเสร็จจึงเดินทางกันต่อ
" พอจะรู้ไหมว่าที่ที่เจ้าไปอยู่กับแม่มดเกลียวทองน่ะเป็นที่ไหนกัน" จันทราภาถามขึ้นมาเพราะตอนที่เล่าไม่ได้บอกชื่อเมืองให้รู้
" นางให้เราอยู่แต่ด้านตำหนักบุษบากรตลอดนี่ล่ะเลยไม่รู้ว่านี่เป็นเมืองไหน บัวพอจะรู้ไหม อย่างน้อยบัวก็ได้ออกไปยังด้านนอกบ้าง" อัญญานีตอบแล้วถามอีกคนเพื่อช่วยตอบเผื่อจะรู้
" บัวเคยออกไปครั้งนึงเพคะ คนที่ไม่ใช่ฝ่ายพระตำหนักนี้เรียกเมืองนี้ว่าศาศวัตบุรีเพคะ" บัวแย้มก็ช่วยตอบตามที่รู้
" ดีล่ะ เราจะได้ระวังตัวไว้และบอกพระอัยกาด้วย" คนถามเมื่อรู้คำตอบจึงบันทึกไว้เผื่อคนต่อไปมาจะได้รู้เรื่องด้วย
"แต่ว่าเรากลัวพรุ่งนี้มากกว่า" จันทราภานึกขึ้นได้จึงพูดขึ้นมา
" พรุ่งนี้? "อัญญานีทวนคำ
" ใช่ อังคาสคนพรุ่งนี้น่ะมีอารมณ์โมโหง่าย กลัวว่าถ้าทำอะไรให้ไม่ถูกใจขึ้นมาจะยุ่งน่ะสิ"เธอพูดพลางกังวลใจ
" ไม่เป็นไรหรอกพระเจ้าค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่หิ่งห้อยจะช่วยทูลและดูแลเองพระเจ้าค่ะ"หิ่งห้อยยักษ์กล่าว
"พี่ตาหวานก็จะร่วมด้วยช่วยกันพระเจ้าค่ะพระธิดา" ผีโครงกระดูกในย่ามพูดเสริมอีก
" ขอบใจพี่ทั้งสองมากนะจ๊ะ.. แต่ถึงอย่างนั้นพวกเจ้าก็ต้องระวังด้วยนะ อัญญานี บัว" เธอขอบใจแล้วเตือนคนที่เหลือ
" ได้ๆ ถ้าไม่มากไปเขาก็น่าจะเป็นคนมีเหตุผลล่ะน่า" อัญญานีพูดให้สบายใจ
"เพคะพระธิดา บัวจะระวัง"บัวตอบรับพร้อมยิ้มให้โดยไม่รู้เลยว่าคนคนนั้นน่ะเป็นคนเดียวกับที่เจ้าอารมณ์ใส่เธอ ทั้งหมดจึงมั่งหน้าสู่เมืองทิศพลต่อไปโดยไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
...
"รับใช้เทพวิษุวัตงั้นเหรอ"ผกากรองพูดทวนคำที่ลูกกล่าวบอกเธอ
"ใช่จะ ลูกไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่นักแต่มันก็อดคิดไม่ได้" อัคนินพูดตามที่ได้ยินมา
"รับใช้เพื่อจะกำจัดพวกนั้นแสดงว่าต้องเกี่ยวข้องกับสังวาลย์เปลี่ยนคนที่มันใส่แน่ ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นเทวดาหรือปีศาจแม่ก็เห็นว่าเป็นโอกาสเหมาะแล้วที่จะร่วมมือกันกำจัดพวกมันให้พ้นทาง"
" แต่ว่าลูกน่ะไม่ชอบเจ้าบดิศรอะไรนั่นเลย มันน่ะขัดลูก" เขาพูดเป็นเชิงฟ้อง
"ก็ให้มันขัดเจ้าไปก่อน ไว้กำจัดพวกมันสำเร็จแล้วจะจัดการมันต่อแม่ก็ไม่ห้าม"
" งั้นก็ตกลงตามนั้นก็ได้ท่านแม่" ว่าแล้วเขาก็ไปหาคนที่กล่าวถึงเพื่อรับข้อเสนอและฟังเงื่อนไขร่วมกัน
..
ตกกลางคืนของวันนี้ไม่เห็นรู้มาก่อนเลยว่าที่นี่จะมีค้างคาวผีเสียด้วย มันกำลังจ้องมองเหยื่อที่เดินทางทางมาจะหาที่พักพิง
" เราว่าน่าจะพักที่นี่ก็น่าจะดีนะ" จันทราภาออกความเห็น
" เราก็เห็นด้วย" อัญญานีกล่าวตอบ
"เดี๋ยวหม่อมฉันจะหาฟืนมาก่อไฟนะเพคะ" บัวแย้มอาสา
"พี่ตาหวานไปด้วยสิ ช่วยๆกันจะได้เสร็จงานไวๆ" ผีโครงกระดูกตามไปช่วยด้วยเพราะตอนนี้ตนเป็นอิสระจากแสงอาทิตย์แล้ว
"เราไปช่วยด้วยสิ"อัญญานีกล่าว
" ไม่ต้องหรอกพระเจ้าค่ะ มีตาหวานอยู่ด้วยสบายใจหายห่วง" จากนั้นทั้งสองจึงเดินทางออกไป
"ปลีกไปแล้วล่ะสิ ไปกับผีที่มีแค่โครงกระดูกนี่นะจะทำอะไรได้ ฮ่าๆ คืนนี้ล่ะเจ้าจะเป็นอาหารอันโอชะของข้า"ค้างคาวผีว่าแล้วจึงบินโฉบมาหมายจะเข้ากัดหญิงสาวแต่เธอไหวตัวทัน
"ค้างคาวผี!! "บัวแย้มพูดเสียงดังพลางหยิบไม้ไว้ป้องกันตัวฟาดเจ้าตัวดูดเลือดแต่ดันคว้าทัน
"เอ๊ยเจ้าผีดิบนี่คิดจะทำร้ายหนูบัวข้าเรอะ นี่แน่ะ"ผีตาหวานโยนกองไม้ใส่เจ้าผีค้างคาวแต่มันไม่สะทกสะท้านเลยนี่
"ของแค่นี้จะทำอะไรเราได้เรอะ ไอ้เจ้ากระดูกกิ๊กก๊อก" ว่าแล้วมันจึงโยนกองไม้ขนาดหนักกว่าทับกระดูกเคลื่อนที่ไม่ได้ บัวเห็นท่าไม่ดีรู้ตัวว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ควรจะใช้ของวิเศษมากำราบดีกว่าจึงวิ่งไปขอความช่วยเหลือ
" พระธิดาเพคะ พี่หิ่งห้อยช่วยบัวด้วย"นางวิ่งไปส่งเสียงไปเผื่อไม่ทัน ไม่ทันไรเจ้าผีดูดเลือดก็ขวางหน้าเธอไว้
"จะหนีไปไหนล่ะ วันนี้มาเป็นอาหารของข้าซะดีๆ" เจ้าค้างคาวผีเข้าใกล้จะจับกินแต่ก็มีเสียงห้ามซะก่อน
"หยุดนะเจ้าผีร้าย!!" อัญญานีและพวกตามมาดูเพราะได้ยินเสียงบัวขอให้ช่วย ได้ทีบัวจึงรีบวิ่งไปดูเจ้าผีที่โดนไม้ทับอยู่
"เจ้ามายุ่งอะไรด้วยห๊ะ!! แห่กันมาขนาดนี้คืนนี้ข้าจะกินไม่ให้เหลือเลย"ว่าแล้วก็ตรงไปจะเข้าทำร้าย อัญญานีจึงใช้พลังจากธำรงค์แก้วศุภรสร้างไฟล้อมรอบเจ้าผีดูดเลือดนั่น เห็นว่าอีกฝ่ายมีฤทธิ์ท่าไม่ดีแล้วจึงบินหนีขึ้นฟ้าไป
"เราตามไปกันเถอะจะพี่หิ่งห้อย" จันทราภาจึงขึ้นหลังเจ้าหิ่งห้อยยักษ์บินตามไป
" พี่ตาหวานไม่เป็นอะไรนะจ๊ะ"บัวนำไม้ที่ทับออกมาทำให้ผีโครงกระดูกหลุดมาได้
"ไม่เป็นอะไรหรอกหนูบัว"
"บัวเป็นอะไรมั้ย" อัญญานีตามมาดูด้วยความเป็นห่วง
"ไม่เป็นไรเพคะพระธิดา แล้ว.." บัวมองหาที่เหลือ
" พวกนั้นตามเจ้าค้างคาวผีไป เราว่าหาที่ปลอดภัยหลบก่อนเถอะ" ว่าแล้วทุกคนจึงไปหาที่ปลอดภัยพักรอ
ฝ่ายค้างคาวผีที่คิดว่ารอดแล้วผ่านไปเจอนายพรานพอดีตัวเองจะลงไปหาของกิน จันทราภาก็ตามมาทันทีที่ผีดูดเลือดจะทำอันตรายนายพราน
" เจ้าจะมาหากินแบบนี้้ไม่ได้นะ" จันทราภาค้านเจ้าค้างคาว
" โอ๊ย ข้าไม่กินพวกเจ้ายังตามมารังควานอีก พูดไม่รู้เรื่องใช่ไหม" เขาโมโหจึงซัดพลังเข้าใส่หารู้ไม่ว่าอีกฝ่ายก็มีฤทธิ์มิด้อยกว่าคนเมื่อครู่เลย จันทราภาใช้พลังจากเกราะกายสิทธิ์ต้านพลังศัตรูเปล่งแสงประกายเหลืองสว่างสไวไปทั่ว เจ้าค้างคาวทนไม่ได้กับแสงจ้าที่เหมือนจะแผดเผาตนให้มอดไหม้จึงยอมแพ้ และสัญญาว่าจะไม่ทำอีก จบเรื่องแล้วจันทราภากับหิ่งห้อยจึงกลับไปรวมกับพวกที่เหลือแล้วจึงพักผ่อนต่อ
"ป่านี้มีอันตรายมากขึ้นจากสิบปีที่แล้วนะ สงสัยว่าคงต้องจัดเวรยาม" จันทราภาเสนอ
"พี่ตาหวานจะช่วยดูให้พระเจ้าค่ะ พี่ตาหวานเป็นผี ผีก็ต้องอยู่กลางคืนได้อยู่แล้ว" เขาอาสา
"พี่หิ่งห้อยก็จะอยู่ยามเป็นเพื่อนตาหวานเองพระเจ้าค่ะ บรรทมให้สบายเถิด" เขาก็ช่วยอาสาอีกแรง
" อย่างนี้ไม่รบกวนแย่เหรอจ๊ะ ผลัดกับบัวก็ได้นะจ๊ะ"บัวพูดเพราะกลัวการเฝ้ายามจะเปลืองแรงทั้งสอง
" ไม่เป็นไรหรอกจะหนูบัว หนูบัวคอยหาอาหารหาฝืนมาตลอดแล้วนี่นา ไม่ต้องลำบากแล้วนะหลับให้สบายเถอะ" หิ่งห้อยกล่าว
" เอาอย่างนี้เราพักกันก่อนก็ได้ ไว้พอมีแรงปัจฉิมยามค่อยมาผลัดเวรนะ"อัญญานีเสนอ
" ตกลงตามนี้ล่ะ"จันทราภาว่าแล้วทุกคนก็หลับเอาแรงกันก่อนที่เวลาจะเปลี่ยนเวรมาถึง และรอคอยวันใหม่ถัดไป
-
วันที่รอก็มาถึงแต่แสงอาทิตย์ยังไม่สาดส่องมา คนที่ผลัดเวรมาก็ตกลงไปหาอาหารจะได้เดินทางได้เร็วยิ่งขึ้นเมื่อเก็บเสร็จแล้วอัญญานีจึงไปอาบน้ำเป็นคนแรกเพราะตนชอบอาบน้ำคนเดียวผิดกับอีกสองคนที่ชอบอาบน้ำไปเล่นไป จันทราภาจึงชวนบัวแย้มอาบน้ำพร้อมกัน หลังจากที่อัญญานีเธอสรงน้ำเสร็จจึงผลัดให้ทั้งสองไปยังน้ำตก
"บัวลงไปก่อนนะเดี๋ยวเราหาที่วางบันทึกก่อน" จันทราภากล่าวกับอีกคนพร้อมนำ
"เพคะพระธิดา" บัวลงไปเป็นคนแรก น้ำเย็นมากจริงๆใครที่ลงไปได้เลยก็สบาย คนไม่ชินก็ต้องปรับตัวเสียหน่อย
"พระธิดาน้ำเย็นมากเลยนะเพคะ ลงมาสรงเถอะเพคะ" บัวที่กำลังเพลินไปกับน้ำที่เล่นอยู่กล่าวชวนอีกคนที่ยังไม่ยอมลงมาเสียที
" รอก่อนนะบัว น้ำเย็นมากเราขอเพลาสักหน่อย" เธอนำมือไปสัมผัสน้ำเพื่อจะปรับให้ชินได้ที่แล้วก็จะลงไป แต่ไม่ทันไรเลยแสงอาทิตย์ได้สาดส่องลงมากระทบเกราะที่ใส่จนเปลี่ยนเป็นอีกคนเป็นที่เรียบร้อย
"พระธิดาทำไมยังไม่เสด็จล่ะเพคะ" นี่ก็นานแล้วหนาทำไมอีกคนไม่ลงมาสักที ตนเองจึงหันไปดู
" เจ้า!! " ทั้งสองเจอกันแล้วจึงพูดขึ้นมาพร้อมกันด้วยความตกใจ
"หรือว่าจะเป็นพระโอรสอังคาส" เธอนึกขึ้นมาเขาอยู่ตำแหน่งเดียวกันกับคนเมื่อครู่ อีกทั้งแสงอาทิตย์มาแล้วก็น่าจะเดาไม่ยาก
" รู้ชื่อเราได้ยังไง" เขาฉงนนัก เจอครั้งที่แล้วยังไม่รู้จักเลยแต่ครั้งนี้กลับรู้เสียอย่างนั้น
" พระโอรสหันหลังไปก่อนเพคะ บัวจะขึ้นแล้ว" เธอตัดสินใจบอกเขา จะให้พูดคุยทั้งอย่างนี้ก็ยังไงอยู่
"ก็ได้ รีบๆหน่อยก็แล้วกัน" เขาหันหลังให้เธอจึงเจอบันทึกรวมของพวกเขาที่จะได้รู้ความเป็นไปของคนก่อนๆวางอยู่ใต้ต้นไม้ตนจึงเดินไปเก็บมาไว้กับตัว
"เจ้าเป็นขโมยรึไงกันน่ะ"เขาถามขณะที่กำลังเปิดบันทึกดู
" ไม่ใช่นะเพคะ บัวไม่ได้เป็นขโมย" เธอตอบหลังจากแต่งตัวเสร็จจึงเข้ามาดู
" แล้วบันทึกของเรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงล่ะ" เขาถามอีกครั้ง เจอแต่บันทึกว่าให้ระวังเมืองศาศวัตอย่างเดียว
"ก็พระธิดาจันทราภาทรงวางไว้น่ะสิเพคะ"
" ของสำคัญอย่างนี้จันทราภาไม่มีทางจะวางไปทั่วแบบนี้หรอก"
" อ้าวก็จะสรงน้ำ เอาบันทึกไปด้วยก็เปียกน่ะสิเพคะ"
"ไม่ต้องมาพูดเลย"เอาอีกแล้วเขาจับข้อมือเธอไปจากน้ำตกแล้วร้องหาเจ้าหิ่งห้อยยักษ์
"ปล่อยนะเพคะ ปล่อยบัว" เธอขัดขืนการกระทำอีกฝ่าย
" พระโอรสพระเจ้าค่ะ ปล่อยหนูบัวแย้มเถอะพระเจ้าค่ะ"เจ้าหิ่งห้อยที่ได้ยินเสียงเรียกจึงออกตามหามาพบพอดี
" บัวแย้ม.. คนคนนี้ชื่อบัวแย้มงั้นเหรอ แล้วมันยังไงกันกันแน่ล่ะ" เขายอมปล่อยน่ะได้แต่ต้องรู้เรื่องด้วย หิ่งห้อยเล่าให้ฟังพลางพาไปที่พัก
"งั้นเรื่องสามีเจ้าก็โกหกน่ะสิ"อังคาสฟังเสร็จแล้วสรุปได้จึงถามเจ้าตัว
"ใช่เพคะหม่อมฉันโกหก แต่คนเราต้องรู้จักเอาตัวรอดมันก็ช่วยไม่ได้" บัวแย้มตอบคำถาม
" เป็นคำขอเราเอง อย่าว่านางเลย" อัญญานีช่วยพูดให้เพราะดูเหมือนว่าจะตีกันไม่หยุด
"อ้อเราจำได้แล้วชื่อบัวแย้มนี่น่ะ เจ้าเป็นพวกเดียวกันกับยักษ์นั่นน่ะสิ มิน่าล่ะถึงได้นิสัยเสียเหมือนกัน" เขาพูดต่อไป
" อย่าว่าพระธิดาของหม่อมฉันนะเพคะ ว่าแต่พระโอรสเถอะไปทำอะไรให้พระธิดาไม่พอพระทัยได้ คงไม่ได้เป็นเรื่องดีเท่าไหร่หรอกสินะเพคะ" เธอปกป้องยักษ์ที่ถูกกล่าวถึงแม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้วแต่ความผูกพันธ์ฝังลึก การจะมาว่ากันมันไม่มากไปหน่อยหรือ
" นางพาลเองตะหากล่ะ นี่นะถ้าตอนนั้นเจ้าไม่มาขวางล่ะก็ คงเขี้ยวหักไปแล้ว"เขาพูดความจริงที่เข้าใจ ทำให้เธอเข้าใจรู้แล้วว่าเขาก็คือเด็กคนนั้นนั่นเอง
" ถ้าบัวรู้ว่าจะต้องเจอพระโอรสแบบนี้ล่ะก็ ตอนนั้นจะไม่ห้ามเลย"
"พอเถอะๆ ทะเลาะกันไปก็ไม่ได้อะไรดีขึ้นมาหรอก "อัญญานีต้องปรามอีกครั้งเมื่อทั้งสองเริ่มต่อล้อต่อเถียงกัน ทั้งคู่ยอมหยุดให้ จึงชวนทานอาหารเอาแรงกันเสียหน่อยจึงคิดเดินทางต่อไป
....
"พี่อังคารเจ้าขา จั๊กมาหาแล้วเจ้าค่ะ" จั๊กแหล่นหายเจ็บขาเพราะยาขนานดีในคืนเดียว เธอรู้ว่าต้องเปลี่ยนวันน่าจะเปลี่ยนคนเธอจึงอดไม่ได้ที่จะมาชมโฉมหน้าเทพบุตรในร่างมนุษย์คนต่อไป
"นี่น่ะเหรอหลานท่านตา" ปัทมาสน์หันมามองเมื่อมีคนมาหาตนที่ตำหนัก
"ย.. ยักษ์!!" เธอตกใจอีกตนสะดุ้งโหยงแล้ว
" ใช่เราเป็นยักษ์ แล้วมันยังไงล่ะ"
"นี่เจ้า.. เจ้ากินพระโอรสวันอังคารไปแล้วเหรอ เจ้าใจร้ายที่สุดกินเขาแล้วยังเอาสังวาลย์มาใส่อีก" จั๊กแหล่นฟูมฟายเหลือประดาพาอีกตนรำคาญ
"เรานี่ล่ะคนวันอังคาร พระโอรสต้องพรุ่งนี้กับวันศุกร์นู่น เห็นเราเป็นยักษ์ใช่จะกินตามใจได้นักสิ สังวาลย์นี่ก็เป็นของเรา "
" ว่าไงนะ ท่านตาไม่เคยบอกเลยนะว่ามีลูกศิษย์เป็นยักษ์ด้วย"
" ทีตาเจ้าเป็นสิงโตยังมาเป็นฤาษีได้เลย ว่าแต่เจ้าเป็นเสือนี่เป็นตาหลานกันได้ยังไง"
" ก็... ก็ท่านยายจั๊กเป็นเสือไง"
" รวมกันไม่ได้เป็นพยัคฆ์ไกรสรเหรอ"
"ก็ออกมาอย่างนี้แล้วนี่นา.. ต้องรอพบพระโอรสพรุ่งนี้อีก"ท่าทีเหี่ยวเฉาออกนอกหน้าเห็นได้ชัด
"รอไปเถอะไม่ตายหรอก ไปหาอะไรกินดีกว่าฟังเจ้าพูด"ได้ทีตนก็ไปเสียดีกว่า ไม่ชอบดูใครคร่ำครวญ
....
"นี่ท่านว่าพระคู่หมั้นหายไปงั้นรึ"ธานินทร์บริวารองค์เทพทวนคำที่ได้ยินจากแม่มดเกลียวทอง
"ใช่ มั.. พระนางหนีไป เราตามหาแล้วแต่ยังไม่พบจึงมาแจ้งข่าวให้ท่านช่วย"เกลียวทองเธอพูดอย่างจริงจังเกือบหลุดคำไม่เหมาะสมเสียแล้ว
"หนีไปได้ยังไงกัน อยู่มาสิบปีไม่เคยหนีได้ ทำไมครางนี้ถึงปล่อยให้หนีไปได้ ท่านดูแลยังไงกัน" เขาเริ่มจะต่อว่าเธอ
"เราไม่รู้ คนก็หายไปแล้วจะทำยังได้ล่ะ ถ้าท่านไม่ช่วย พวกเราทุกคนจะถูกลงโทษกันหมด ถ้าพระเทวาเสด็จจากบำเพ็ญเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นล่ะ" นางพูดตัดบทดื้อๆ เถียงกันไปไม่ได้ออกตามหากันพอดี
" ช่างเถอะตอนนี้ต้องหาตัวพระนางก่อน ท่านก็หาที่ป่าทางด้านประจิมทิศของเมือง ส่วนบูรพาทิศเรากับธาราจะไปหาเอง" เมื่อตกลงกันเสร็จแล้วจึงได้ออกตามหา
...
" ปัทมาสน์ไปไหนมาเหรอ นี่คือบดิศรฑูตจากเมืองศาศวัตล่ะ" อัคนินมากับบดิศรพร้อมพูดจาดีกับอีกตนอย่างไม่เคยมาก่อน
"คำพูดแปลกไปนะ หาความจริงใจเท่าแต่ก่อนไม่ได้เลย"เธอตอบ
" เจ้า!!... เราพูดแบบนี้มันไม่ดีรึไง" เขาโกรธน่ะดูออกแต่ก็พยายามพูดดี
"พูดดีก็ดี แต่ไม่จริงใจอย่าพูดเลย" พูดอย่างนี้อยากจะเข้าไปปะทะเสียแล้วให้รู้กันไปแต่อีกคนห้ามไว้จึงไม่ได้ทำ
"พระโอรสอัคนิน พระสนมมีรับสั่งให้หาพระเจ้าค่ะ"มหาดเล็กเข้ามาทูลพอดี เขาจึงต้องจากไปให้ทั้งสองอยู่ด้วยกันตามลำพัง
"เขาอารมณ์ร้อนเช่นนี้อย่าได้ถือสาเลยนะท่าน"บดิศรได้ช่องจึงพูดคุย
" พูดดีจังนะเพื่อนที่คบกันได้วันเดียวนี่น่ะ แต่ก็นะถ้าไม่มีประโยชน์จะใจเย็นคุยกันได้จนป่านนี้หรอก"เธอพูดพลางมองหน้าอีกฝ่าย
"ประโยชน์อะไรกัน เราไม่เข้าใจ"
"ประโยชน์ต่อพระเทวาของพวกเจ้าน่ะสิ อย่าคิดนะว่าเหตุผลชื่อซ้ำกันแล้วจะดูไม่ออก เจ็ดวันก่อนบำเพ็ญทำอะไรได้ตั้งเยอะ"
"เราไม่.." เขารู้สึกประหลาดใจ เธอไปเอาอะไรมามั่นใจนักหนาถึงได้ตัดสินฉับไวขนาดนั้น
" พอเถอะไม่ต้องแก้ตัวหรอก เราไม่คิดมากเรื่องคบสหาย พวกเราเป็นเพื่อนกันได้นะแต่ฝ่ายใครฝ่ายมัน"เธอพูดอย่างนี้ก็แย่น่ะสิ มีอย่างที่ไหนคนละฝ่ายกันจะคบเป็นเพื่อนได้
" ว่ายังไงนะ ถ้ารู้แล้วทำไมถึงยังจะเป็นเพื่อนกับเราอีกล่ะ" เพราะสงสัยจึงไม่อยากจะปิดอีกต่อไป
" ดูท่าแล้วเจ้าก็ไม่ได้ร้ายกาจมากกว่าอัคนินหรอก หน้าที่ก็คือหน้าที่ อยากจะทำหน้าที่เจ้าก็ทำไปสิ เราอยากคบเพราะอยากเป็นเพื่อนจริงๆ พวกเรามีเพื่อนที่จริงใจกันสักครั้งคงไม่ตายหรอกมั้ง" พูดมาแบบนี้อีกคนจะทำตัวถูกไหมล่ะ
......
"นั่นไง" ธาราชี้คนที่ตามหาให้ธานินทร์ขณะอยู่บนเมฆ ด้วยเพราะเป็นเทวดาด้วยล่ะมั้งที่ทำให้พวกเขาเดินทางเร็วกว่าคนเป็นปกติ
" อย่ารอช้าเลย รีบไปจัดการกันดีกว่า"ธานินทร์กล่าว
" เดี๋ยวก่อน ไม่เห็นรึยังไงว่ามากับใคร" เขาทัดทานอีกคนเมื่อมองไปที่คณะเดินทางครบทุกคน
" คนสวมเกราะกายสิทธิ์อีกแล้ว"
"การที่เราจะไปพาพระนางมาน่ะ จะพามาตรงๆเห็นจะไม่ได้ เจ้าก็รู้แล้วนี่ว่าพลังมันเยอะขนาดไหน"
" อย่างนั้นก็ต้องลงทุนกันหน่อย" ทั้งสองรู้กันดีจึงสร้างทางวงกตขึ้นมาในระหวางทางที่เดินอยู่รู้ตัวอีกทีป่านี้ก็ซับซ้อนขึ้นมา ตอนนี้ก็เกิดการพลัดกันเป็นสองกลุ่ม โดยอัญญานีอยู่กับเจ้าหิ่งห้อยยักษ์
"อะไรกันน่ะ ทำไมอยู่ดีๆถึงกลายเป็นป่าวงกตไปได้"อัญญานีกล่าวพลางมองสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น
" พระธิดาอย่ากังวลเลยพระเจ้าค่ะ เดี๋ยวพี่หิ่งห้อยจะบินขึ้นไปดูด้านบนให้นะพระเจ้าค่ะ" เจ้าหิ่งห้อยยักษ์บินขึ้นไปหมายจะสำรวจแต่กลับมีเพดานสายฟ้ากั้น เจ้าตัวบินไปถูกเข้าอย่างจังทำไมร่างอันใหญ่โตได้รับบาดเจ็บแปรสภาพขนาดตัวเล็กเท่าหิ่งห้อยทั่วไปตกลงมายังพื้น
" พี่หิ่งห้อย!! " อังคาสที่เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ร้องออกมาด้วยความตกใจ
" พวกเราต้องรีบหาทางไปแล้วล่ะเพคะ พระโอรสไปด้านซ้าย แล้วบัวจะไปด้านขวา" บัวแย้มยังพอคุมความตกใจตัดสินใจบอกอีกคนจะได้ช่วยกันแก้ไข
"อย่าไปเลย ถ้าหลงกันจะวุ่นกว่าเดิม ไปด้วยกันหมดนี่ล่ะ"เขาจูงมืออีกคนเดินไปแต่คราวนี้ไม่รุนแรงออกจะนุ่มนวลเสียมาก
"พี่ตาหวานก็เห็นอย่างนั้นพระเจ้าค่ะ รวมตัวกันไว้ดีกว่า"ผีในย่ามเห็นด้วย
" พี่หิ่งห้อย" อัญญานีเข้าดูเจ้าหิ่งห้อยเหลือตัวน้อยนิดบาดเจ็บแล้วนำมาไว้ในฝ่ามือตน
" พระธิดา พี่หิ่งห้อยเป็นอย่างไรบ้างเพคะ" บัวแย้มเข้ามาช่วยดู
"เมื่อครู่นี้พี่หิ่งห้อยบินขึ้นไปถูกสายฟ้าฟาด อาการไม่ดีเลยบัว" เธอเริ่มใจไม่ดีเสียแล้ว
" บัว เมื่อครู่พูดรึปล่าว" อังคาสได้ยินเสียงเลยสงสัย
"ไม่นะเพคะ บัวยังไม่ได้พูด"
"เราได้ยินเสียงเหมือนเจ้าพูด"
" หรือว่าจะเป็นบริวารของเทพวิษุวัตมากันเพคะ" บัวได้ยินดังนั้นคงประมวลผลไม่ยาก ทั้งป่าวงกตทั้งเสียงที่เหมือนตน
" ไม่ได้การแล้ว" อังคาสใช้พลังจากเกราะกายสิทธิ์เรียกพระขรรค์์วิเชียรชัยชาญด้ามประดับตามภาภรณ์ แล้วใช้ผ่าพุ่มไม้เวทย์มลายสิ้นปรากฏให้เห็นพวกที่เหลือทันที
"บัวแย้มอยู่นั่นแล้วเจ้าเป็นใคร" เห็นดังนั้นเธอจึงรู้ทันทีว่าข้างกายตนไม่ใช่คนสนิท อีกคนเมื่อรู้ว่าหลอกไม่ได้แล้วจึงเข้าจับตัวเธอเสีย
"ปล่อยตัวนางเดี๋ยวนี้นะ" อังคาสที่เห็นเหตุการณ์ร้องห้ามการกระทำของอีกฝ่าย
"ไม่มีหน้าที่อะไรที่ต้องปล่อยหนิ เรามีหน้าที่ตามกลับไป" ธานินทร์ที่เปลี่ยนร่างกลับมาตามปกติได้ตอบโต้อีกฝั่ง
"เช่นนั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องเจรจาหรอกนะ" พระโอรสวันอังคารใช้พระขรรค์ฟาดฟันพลังไปในแนวเส้นตรงสู่บริวารเทพนั้น โชคยังดีสำหรับเขาที่หลบได้ไม่ถึงแก่ความตายแต่โชคร้ายขาซ้ายดันขาดสะบั้น จนเขาล้มลงไปพร้อมกับว่าที่พระแม่เจ้า เธอกำลังจะหนีออกมาทันแล้วเชียวถ้าเกิดเจ้าเทพบาดเจ็บนั่นไม่ใช้พระเวทย์บ่วงบาศมารัดกายเสียแน่น ไม่นานนักเหล่ารากไม้ใต้ดินก็ดึงร่างของอริที่ขัดขวางนายตนลงจมสู่ใต้พื้นปฐพี
"ปล่อยเรานะ!!" ดิ้นเท่าใดอัญญานีก็ไม่หลุดพ้นบ่วงนั่นกลับรัดแน่นเข้าไปอีก
"แข็งใจไว้นะธานินทร์ พาพระนางหนีไปก่อน เราจะจัดการต่อเอง" ธาราเข้าคลายความบาดเจ็บให้พร้อมเรียกเมฆเหินฟ้ามารับทั้งสอง ธานินทร์ไม่รอช้ารีบพาไปทันที ธาราเข้าจับบัวแย้มที่พยายามหนีจากการจับของรากไม้ พอดีกับที่รากไม้และแผ่นดินแตกแยกจากพลังของเกราะกายสิทธิ์จนอังคาสสามารถขึ้นมาได้ต้องพบกับบัวที่กลายเป็นตัวประกันเสียแล้ว คราวนี้ตัวเขาไม่ได้อยู่ข้างๆลำตัวเหมือนตัวประกันคนก่อนแต่หากยืนด้านหลังไว้เพื่อเป็นดั่งเกราะกำบังการโจมตีของอีกฝ่าย
"เอาสิ อยากใช้พลังนักก็ใช้เลย" ธารากล่าวท้าทายอีกฝ่ายอย่างได้เปรียบ
"พระโอรสใช้พลังเลยเพคะ" บัวแย้มกล้ารับเพราะไม่คิดว่าจะมีอะไรต้องเสียแล้ว
"เรารู้หรอกว่าเจ้าไม่กล้า" บริวารนั่นกระหยิ่มยิ้มชอบใจ
"ใครว่าเราไม่กล้า..บัวระวังตัวด้วย" เขาใช้พระขรรค์ที่เกิดจากพลังซัดเข้าไปยังทั้งสอง แต่เจ้านั่นก็พาหลบได้
"มีดีเท่านี้เองรึ" ถามจบประโยคไม่ทันไรพระขรรค์เข้ากรรมก็ได้ย้อนมาแทงด้านหลังธารา แรงของเขาสิ้นบัวจึงรอดพ้นแล้ววิ่งไปหาพระโอรส
"ไม่เป็นอะไรนะบัว" เขาถามด้วยความเป็นห่วง
" บัวไม่เป็นไรเพคะ" เธอตอบ เมื่อสบายใจแล้วเขาจึงเรียกเก็บพระขรรค์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเกราะวิเศษเหมือนเดิม
"บอกเรามาว่านำอัญญานีไปไว้ที่ไหน" เขาถามผู้บาดเจ็บ
"ต่อให้เราตาย เราก็ไม่บอกเจ้าหรอก" เจ็บแล้วยังปากแข็งได้อีก เขาไม่บอกหรอก จงรักภักดีขนาดนั้น
" เจ้า!!" อังคาสเริ่มโมโหเข้าจับตัวอีกฝ่าย
"พวกเจ้าไม่มีวันขัดขวางเรื่องที่จะเกิดต่อจากนี้.. ได้หรอก" สิ้นคำกล่าวเขาสิ้นใจลงในทันทีร่างกายได้สูญสลายไปแล้ว
"พี่หิ่งห้อยเป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ"บัวเห็นหิ่งห้อยอยู่กับพื้นจึงเข้าไปดู ช่างน่าเป็นห่วงและน่าสงสารเสียที่สุด เสียงสะอื้นเกิดขึ้นมาแบบมิรู้ตัว
"เจ้าหิ่งห้อยอย่าเป็นอะไรนะ"ผีในย่ามพูดขึ้นมา
" พี่หิ่งห้อยบาดเจ็บแต่ยังไม่ถึงตาย เราจะช่วยเอง" ว่าแล้วพระโอรสได้ใช้พระเวทย์เข้ารักษา เจ้าหิ่งห้อยพอจะฟื้นคืนชีพได้แล้วนั้นจึงขอบพระทัยเสียใหญ่ แต่ทว่าร่างกายนี่สิยังไม่สามารถกลับมามโหฬารได้เท่าก่อนเก่า
"แล้วพระธิดาอัญญานีจะทำกันอย่างไรต่อไปดีเพคะ"
" เอาเป็นว่าเราจะช่วยตามหา แต่ก่อนหน้านั่นเราต้องเร่งเดินทางพาบัวกับพี่หิ่งห้อยไปอยู่กับพระอัยกาก่อน ไม่อย่างนั้นจะเป็นอันตรายกันหมด" เมื่อพูดดังนั้นแล้วทั้งหมดจึงเร่งเดินทางต่อโดยทันที
....
"ปัทมาสน์ เรากลับเมืองก่อนนะ" หลังจากที่ตกลงเป็นเพื่อนใช้เวลาร่วมกัน มันก็คงถึงเวลาแล้วที่ต้องจากกัน
" อะไรกันเพิ่งจะผ่านไปเดี๋ยวเดียวเอง คิดจะกลับเสียแล้ว" เธอทำเป็นท้วง
"ไม่เป็นไรหรอก อย่างไรแล้วเราจะมาอีก" บดิศรกล่าวพลางยิ้มอย่างเป็นมิตร
"มาพร้อมกับเทพวิษุวัตน่ะเหรอ ไม่ต้องมาหรอก" เธอแกล้งพูดเพราะเหตุการณ์ไม่น่าจะเดายาก
"ไม่หรอก"
"ก็ได้ เราเชื่อใจเจ้า กลับดีๆล่ะ" ว่าแล้วเธอจึงกลับตำนักของตน ความเชื่อใจที่พูดน่ะเป็นจริงก็ดีน่ะสิเพราะบดิศรไม่เคยเชื่อใจใครและไม่ได้รับความเชื่อใจเท่าใดนัก คงต้องดูยาวๆไปว่ามิตรภาพน่ะสำคัญกว่าฝั่งฝ่ายหรือไม่ เขาจึงเข้าเฝ้าทูลลากษัตริย์คีรีมาศกลับบ้านเมืองตนต่อไป
....
"ท่านธานินทร์ ทำไมถึงได้บาดเจ็บเช่นนี้ล่ะ" บริวารหญิงเข้าดูแลทันทีที่พากันมาถึง
"ช่างเถอะ พาพระนางไปยังห้องพระบรรทมก่อน" ว่าแล้วพวกนางจึงรีบพาร่างอัญญานีที่ถูกบ่วงรัดไปทันทีเมื่อเสร็จแล้วจึงใส่กุญแจไว้กันไม่ให้คนข้างในออกมาเมื่อยังไม่ถึงเวลา
"จัดการแล้วนะธานินทร์ ทีนี้เจ้าก็คลายบ่วงได้แล้ว พระนางคงเจ็บพระวรกายมาก"
"เราคลายให้แล้วล่ะสันต์สินี ไม่เจ็บเท่าไหร่หรอกแค่ความรู้สึกมายาเท่านั้น"
"พวกเราทำแบบนี้จะดีเหรอ พรุ่งนี้พระเทวาวิษุวัติจะบำเพ็ญครบสิบปีมนุษย์แล้ว ให้พระนางมาอยู่ที่นี่เลย จะไม่เป็นการรบกวนพระองค์หรอกหรือ"
" ช่างเถอะ ไว้พรุ่งนี้เราจะทูลเอง"
" ก็ได้ งั้นเราจะช่วยพยุงแล้วกัน"
..
" ทำไมแหวนนี่ใช้งานไม่ได้แล้วล่ะ"อัญญานีวุ่นกับการใช้ธำมรงค์แก้วศุภรเมื่อนึกขึ้นได้ อย่่างไรเสียนางก็ไม่อยากอยู่ที่นี่เลยแม้แต่ครู่เดียว แต่แหวนเจ้ากรรมไม่ตอบสนองความต้องการเอาเสียเลย
" หรือว่าจิตใจเราไม่นิ่งพอนะ" เธอพึมพำกับตัวเองพลางเดินไปมองด้านนอกที่หน้าต่าง ปรากฏว่าด้านล่างเป็นมหาสมุทรเสียรอบๆ เข้าทุติยยามมองรอบๆห้องนี้ไม่มีแสงสว่างจางหายเลย ดูสว่างเหมือนมีแสงอาทิตย์สาดส่องผิดกับด้านนอก เธอมิประสงค์จะอยู่ที่แห่งนี้อีกต่อไป ไม่มีทางเลือกแล้ว ในเมื่อแหวนใช้การยังไม่ได้ คนใจเด็ดตัดสินใจกระโดดจากหน้าต่างลงสู่ห้วงมหาสมุทรทันที ขณะเดียวกันเสียงมัจฉาวาฬแหวกว่่ายดังเช่นทุกวันเกิดขึ้นกับอีกฝากอย่างเสียงดัง นับเป็นความโชคดีอย่างยิ่ง เธอว่ายน้ำข้ามสมุทรมาถึงปลายตติยยามได้เห็นเกาะที่เธอจะได้พักสักครู่จึงว่ายต่อไป แต่ทว่าอยู่ดีๆน้ำนั้นกลับหมุนวนเป็นวงกลม เธอพยายามที่จะว่ายหนีแต่กระแสน้ำแรงเป็นเกลียวอย่างรวดเร็วจนทำให้อัญญานีเข้าสู่กระแสน้ำวน
"ไม่ว่าพระเทวีจะอยู่ที่แห่งใด หม่อมฉันจะคอยอภิบาลพระองค์เสมอไปเพคะ_เร่งไปช่วยอัญญานีให้พ้นภัย ตื่นเสียเถิดอย่ามัวหลับใหล จะไม่มีเราอีกต่อไป เร็วเข้า" ภาพปัทมาสน์กล่าวต่อหญิงสาวชาวสวรรค์ที่มีแทนกันว่าพระเทวีสลับกับเทวีนั้นเข้ามาบอกให้ตนช่วยเหลือสลับไปมาจนตกใจตื่น
"อะไรกันน่ะ" ทันทีที่ตื่นมาเธอต้องปวดเศียรเวียนเกล้าที่พยามนึกเรื่องราว แต่ไม่ทันไรเลยแสงสว่างวาบพาเธอไปยังเกาะที่ใกล้สถานการณ์น้ำสมุทรวนนั้น ผู้หญิงคนนั้นกำลังจะไม่รอดแล้ว ขืนมัวแต่สงสัยอยู่ได้สิ้นชีพกันพอดี จึงแปลงกายให้ใหญ่ยักษ์คว้าจับคนขึ้นมาบนเกาะได้
" เรา... เราขอบใจท่านมาก" อัญญานีที่รอดมาอย่างหวุดหวิดกล่าวอย่างทุลักทุเลแต่ยังฟังได้ศัพท์อยู่
"ไม่เป็นไรหรอก แต่ว่านะ..." ยังไม่ทันจบประโยคเลยมีมารมาผจญเสียแล้ว
"เจ้าบังอาจนัก!! พวกข้าจะเอาสตรีนางนี้มาอยู่ด้วย คิดทำการขัดขวางเช่นนี้ เจ้าจะไม่ได้ตายดี" มวลน้ำวนเมื่อครู่รวมตัวกันเป็นรูปร่างมนุษย์ราวกับประติมากรรมใสขนาดใหญ่กล่าวว่ายักษีที่มาขัดขวางตน
"เจ้าดีนักเหรอ เป็นภูตดูแลสมุทรแท้ๆกลับทำตัวระรานผลาญเอาชีวิต" เธอพอจะรู้อยู่บ้างเพราะคุ้นเคยแหล่งน้ำต่างมาไม่น้อย
" เป็นสิทธิ์ของเรา จงรับโทษทัณฑ์!! "น้ำในมหาสมุรซัดวนแรงปานไหลหลากกระชากตัวนางได้ก็จริงแต่เพียงเซครู่เดียวจึงมั่นคงตามเดิม
"เจ้าน่ะสิรับโทษทัณฑ์!! "ว่าแล้วหญิงชาติอสุราเข้าโรมรันอีกฝ่าย เจ้าภูตเหล่านั้นไม่ยอมจึงนำมือเข้าประสานมืออีกฝ่ายเพื่อฉุดยื้อไว้ เธอใช้แรงผลักออกไปจนสำเร็จแล้วนั้นจึงชกด้วยหมัดซ้ายตรงพร้อมกับก้าวเท้าซ้ายไปข้างหน้าเพื่อที่ถีบยันรูปร่างเนรมิตนั่น เซซังยังไม่ทันไรเธอตามด้วยการดึงอวัยวะแขนศัตรูกลับมาชกหมัดซ้ายไปยังบริเวณใบหน้าของอีกฝ่าย
แต่เจ้าพวกนั้นเล่นไม่ซื่อ มวลน้ำที่เหลือในบริเวณนั่นเข้าจับรัดกุมคล้องแขนและขาของนางยักษ์ราวกับโซ่ตรวน
"ไม่นะ" อัญญานีที่ดูเหตุการณ์โดยที่ร่างกายยังไม่สู้ดีรู้สึกเป็นห่วงผู้ช่วยชีวิตเหลือเกิน
"เราให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้งเดียวจะยอมหยุดดีๆไหม" ร่างยักษ์ใหญ่กล่าวทั้งๆที่ตนอยู่ในพันธนาการ
"เจ้านะสิที่ต้องหยุดฮ่าๆ" เหล่าภูตพวกนี้เยาะเย้ยจนอีกฝ่ายมิยอมทนแล้ว
"กงจักรพิราลัยสูญ!! " ปัทมาสน์เรียกอาวุธจากพลังในสังวาลย์เพทายขึ้นมาเข้าตัดกระแสน้ำที่รัดกุมเธอไว้อย่างมิน่าเชื่อแต่ได้เกิดขึ้นแล้ว เมื่อหลุดพ้นนางจึงชี้นิ้วสั่งการจักรของตนให้เข้าทำลายเหล่าภูตที่รวมอยู่กับมวลน้ำที่เป็นรูปตัวคนเสียทันทีมิฟังเสียงร้องขอแต่อย่างใด เสร็จแล้วนางจึงคลายกายตนให้มีขนาดปกติดังเดิม
"ท่านไม่เป็นอะไร" คนที่เกือบสิ้นเพราะน้ำวนดีใจที่ยักษ์ตนนี้รอดมาได้
"ใช่... เจ้าคืออัญญานีใช่ไหม" หมดเรื่องต้องถามสักหน่อย
"ใช่ ว่าแต่ท่านรู้ได้ยังไง เราไม่เคยพบท่านมาก่อน" พูดถึงเรื่องนี้ก็แปลกใจจริงทั้งชีวิตไม่เคยเจอ
"พระเทวีอะไรไม่รู้บอกให้เราช่วย เจ้ารู้จักกับพวกเทพเทพีรึป่าว"
"ไม่ เราไม่รู้จัก" เธอตอบไปพลันตัวก็รู้สึกหนาวสั่นขึ้นมา คงเป็นเพราะช่วงเกิดมหาสมุทรวนนั้นเจ้าภูตพวกนั้นเพิ่มความหนาวเย็นให้นางขาดใจเร็วขึ้น
" ช่างเถอะ... ตอนเรามาแสงสว่างวาบนั่นพามา ตอนกลับไม่มีแสงนั่นจะกลับถูกยังไงนะ อยู่ตรงไหนก็ไม่รู้"เธอเห็นออาการหนาวสั่นอีกคนจึงปัดเป่าน้ำที่ยังเปียกผ้าสวมให้แห้งแต่ว่าอีกคนหนาวจนถึงภายในแล้วนี่สิ ตอนนี้เป็นเวลาปัจฉิมยามแล้ว ถ้าไม่รีบกลับอีกคนคงได้ลำบากกว่านี้แน่
-
"จิตของท่าน..น่าจะ..มั่นคง ใช้แหวนนี้พา.. กลับไป" อัญญานียื่นแหวนให้
"ธำมรงค์แก้วศุภร นี่มันอะ..." ไม่ทันไรผู้ให้แหวนนั้นก็สลบลง
"ไม่ใช่เวลาถามแล้ว.. ธำมรงค์แก้วศุภร หากเจ้าของยังมีวาสนาพอที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ ช่วยนำพวกเราไปยังเมืองคีรีมาศของเราด้วย" ปัทมาสน์อธิษฐานจิตในใจแล้วแสงสว่างวาบเพียงครู่ทั้งคู่ได้กลับมาในห้องบรรทมของพระบุตรแห่งคีรีมาศแล้ว เธอรีบวางร่างของอัญญานีลงที่แท่นบรรทมแล้วหายาสมุนไพรสำหรับรักษาที่จันทลักษณ์เก็บรักษาไว้นำมาป้อนให้ อาการจึงทุเลาลง
" เกือบตายแล้วไหมล่ะ" สมุนไพรเหล่านี้รักษาได้ชั่วคราวอาการจะย้อนกลับมาอีก ถ้าได้สมุนไพรเป็นยาดีจากป่าหิมพานต์ก็เห็นจะช่วยได้ คงต้องพึ่งเพชรราหูที่หายตัวได้ดั่งใจมาช่วยในวันถัดไปเสีย ตอนนี้จึงได้เฝ้าอาการไปพลางๆก่อน
.....
วันต่อมาที่ฟ้ากำลังสาดแสง ขณะที่คณะเดินทางร่วมเกราะกายสิทธิ์ได้เร่งเดินทางอยู่นั้นมีสิ่งผิดปกติตามมายังด้านหลังแต่เมื่อหันกลับไปกลับมองไม่เห็น พอหันกลับมาทางเดินก็เจอกับตัวประหลาดปรากฏตัวออกมาจากการดำดิน
"สุดหล่อมาได้ยังไงกัน!! " พุทธรัตน์ผู้สวมเกราะวันพุธถามขึ้นมาหลังจากที่เจ้าตุ้บเท่งมาจากใต้พื้นดินได้ไม่นาน
"ดำดินมาน่ะสิพระเจ้าค่ะ.. พระธิดาพุทธรัตน์หรือนี่ สวยขึ้นเยอะเลยนะ เกราะก็สวยขึ้นด้วย" เขาพอจะเดาบุคคลได้ไม่ยากจากการแต่งกายและสีของเกราะวิเศษที่เขารักหวงหนักหนา
"ใครมาอีกล่ะนั่น จากน้ำเสียงพูดประจบประแจงเก่งจริง" ตาหวานที่อยู่ในย่ามกล่าวเมื่อได้ยินประโยคที่ดูไม่จริงใจเอาเสียเลย
" ใคร ใครพูดจาว่าร้ายข้า " เขามองหาต้นเสียงก็ไม่พบ
" ไม่ได้ว่าร้ายนะ แต่มันรู้สึกจริงๆ" เจ้าผีในย่ามสั่นตอบอีกฝ่ายจึงรู้ว่ามีสิ่งที่พูดได้อยู่ในนั้น
" อะไรในนั้นเหรอพระธิดา" ตุ้บเท่งถามพลางใช้สายตามองไปยังสิ่งที่ขยับเมื่อครู่
"อ๋อนี่พี่ตาหวานน่ะ" ว่าแล้วเธอจึงส่งให้ดู
" สุดหล่อช่วยถือให้นะพระเจ้าค่ะ" เธอตามใจให้ช่วยแต่ไม่รู้เลยว่าเจ้าตัวประหลาดนี่คิดจะทำอะไร
"อ้อ.. นี่คือบัวแย้มนะเป็นสหายเราเอง ส่วนนี่คือสุดหล่อนะเขาเป็นผู้คุ้มครองน่ะ" เธอแนะนำให้ทั้งสองนั้นรู้จักกัน
"เอ.. ไม่เห็นเจ้าหิ่งห้อยยักษ์เลยนะพระเจ้าค่ะ หรือจะจะ.. จะตายไปแล้ว!! "ถึงจะพูดแบบตกใจก็เถอะแต่ตัวน่ะดีใจออกจะตายที่จะไม่มีใครขัดคอ แต่กับตาหวานก็ไม่แน่
" พี่หิ่งห้อยได้รับบาดเจ็บน่ะ.. "และเ
พุทธรัตน์ได้เล่าเหตุการณ์ที่รู้มาให้เจ้าตัวประหลาดฟัง เรื่องก็เป็นเช่นนี้แล
เมื่อเดินทางสักพักได้ผ่านมายังสระบัวจึงหยุดพักผ่อนเสียก่อน
" พวกเราพักตรงนี้กันก่อนดีกว่า" ว่าแล้วทั้งหมดจึงพากันหุงหาอาหาร เจ้าตุ้บเท่งได้ทีก็โยนย่ามลงสระไปแกล้งว่าทำตกเสียอย่างนั้น
" อ้าวๆ ข้าขอโทษนะตาหวาน ไม่ได้ตั้งใจ๊ไม่ได้ตั้งใจ" เขาทำทีเป็นขอโทษแต่ก็นั่นล่ะดูจะพอใจผลงานมิน้อยเลย
"เหวยๆ เล่นทำข้าตกมาอย่างนี้ก็ถูกแดดส่องเกลี้ยงสิเอ็งนี่" เขาผุดมาใต้ใบบัวนั้นแล้วพบว่ามันสามารถกับร่างโครงกระดูกได้จึงเก็บใช้ใบบัวทำเป็นร่มเงากำบัง
เมื่อเมื่อรวบรวมปรุงอาหารเสร็จแล้วจึงได้รับประทาน
ไม่นานนักอาการเจ้าหิ่งห้อยเริ่มไม่ดีเกิดการไอเป็นโลหิตขึ้นมา
" อย่างนี้ไม่ดีแน่เลยเพคะพระธิดา จะทำอย่างไรดีเพคะ"บังแย้มกล่าวเมื่อเห็นอาการมิสู้ดีของแมลงตัวนี้
"จริงสิ เรามัวแต่เดินทางจนลืมไปว่าอาการน่ะแค่ทุเลาแต่ไม่หายขาดดี.. พี่หิ่งห้อยพอทนไหวไหมจ๊ะ" เธอถามด้วยความเป็นห่วง
"หม่อมฉันไม่เป็นอะไรมากหรอกพระเจ้าค่ะ เท่านี้พอทนได้"แมลงน้อยน่าสงสารตอบไปให้สบายใจแต่อาการก็ดูแย่นัก
"เอาอย่างนี้นะ เดี๋ยวน้องจะไปนำสมุนไพรจากป่าหิมพานต์มาช่วยรักษาพี่หิ่งห้อยนะจ๊ะ"
" ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะพระธิดา"
" พวกท่าน เราต้องรบกวนแล้ว รออยู่ที่นี่กับพี่หิ่งห้อยนะ ระวังภัยด้วย"
" อ้าวแล้วพระธิดาจะเสด็จอย่างไรรึพระเจ้าค่ะ" ผีโครงกระดูกถือใบบัวถาม
"ไปในแบบของน้องนี่ล่ะ ไม่นานเกินรอหรอกจะ เราไปนะ บัวก็ระวังตัวดีๆ"
" เพคะพระธิดา" เมื่อจบการสนทนาพุทธรัตน์จึงกลั้นใจนึกถึงป่าหิมพานต์แล้วถอยหลังสามก้าวหายไปต่อหน้าทุกคนราวกับหายตัวได้อย่างนั้น
........
" พระโอรสวันพุธเจ้าขา" จั๊กแหล่นมาเยี่ยมเยือนที่ตำหนักตั้งแต่รู้สึกได้ว่าเปลี่ยนวันแล้ว แต่แล้วต้องตกใจที่เห็นพระโอรสรูปงามกำลังดูแลสตรีแปลกหน้าที่นอนอยู่บนพระแท่นบรรทมจึงเกือบที่ได้โวยวายแล้วถ้าไม่มีพระหัตถ์ของพระโอรสมาปิดปากไว้เสียก่อน
"จั๊กกะแหล่นชอบเราไหม"อยู่ดีๆถูกถามอย่างนี้ตนจึงผงะบ้างแต่ก็พยักหน้ารับ
"ดีเลย ถ้าชอบเราจริงห้ามโวยวายนะ ไม่ว่าเราจะบอกอะไรต้องเชื่อและทำตามที่เราบอก" เขาจงใจใช้วิธีพูดดีมาให้เรื่องไม่บานปลาย เมื่อเธอตกลงจึงได้ปล่อย
"หูย พระโอรสรู้จักจั๊กด้วยเหรอเพคะ จั๊กยังไม่รู้จักชื่อพระโอรสเลยนะเพคะ" เธอเขินตัวบิดหมดแล้ว รีบบอกดีกว่าจะได้ตัดปัญหาให้หมดไป
" เราเพชรราหู.. ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สตรีนางนี้ นางชื่ออัญญานี นางได้รับการช่วยเหลือจากปัทมาสน์แต่อาการไม่ดีขึ้นเลย จั๊กแหล่นมาได้เพลาพอดี เราจะขอให้ดูแลนางระหว่างเราไปนำสมุนไพรจากป่าหิมพานต์ อย่าเพิ่งให้ใครเข้ามาในตำหนักของเรา"
"จั๊กก็.. ก็เต็มใจอยู่นะเจ้าคะ.. แต่ว่าจะไปยังไงล่ะ ป่ามันไม่ใช่ใกล้ๆนี่"ถึงจะบอกอย่างนั้นแต่ตัวเองอยากอยู่กับบุรุษเนื้อคู่ฟ้าประทานมากกว่าอีก
" ไม่ยากหรอก ดูแลนางกับตัวเองดีๆนะจั๊กแหล่น เราไปล่ะ"ว่าแล้วตนจึงหายตัวไปยังป่าหิมพานต์ทันที
เมื่อมาถึงแล้วเพชรราหูจึงเข้าเก็บเทียนสัตตบุษย์ทันที พอดีกับที่พุทธรัตน์มาถึงได้ตักน้ำในสระน้ำอโนดาตไปใช้ในการต้มและสมานแผลด้วย เมื่อตักน้ำเสร็จตนจึงเข้าเก็บสังกรณีที่อยู่ริมสระ แต่ทว่าดึงเท่าใดก็ยังมิออกเสียทีจึงออกแรงขั้นสุดจึงพลาดหงายไปเกือบถึงผืนน้สระนั้น ถ้าไม่มีคนที่หมายตักน้ำในสระมาช่วยดึงขึ้นมาจนเผลอสบตาเข้าอย่างจัง ฝ่ายชายเผลอยิ้มเอ็นดูอย่างลืมตัว ฝ่ายหญิงเธอรู้สึกประทับใจที่ช่วยอยู่แต่ถ้านานกว่านี้คงไม่ดีแน่จึงผละออกจากกัน
"เราขอบใจท่านมาก" พุทธรัตน์กล่าวต่อคนที่ช่วยเหลือ
"ไม่เป็นไร เราเต็มใจช่วย" เพชรราหูตอบรับแต่ใบหน้าระเรื่อสีแดงขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อพิศดูอีกฝ่ายซึ่งกันดีๆแล้วจึงจำสิ่งวิเศษที่อีกฝ่ายสวมใส่ได้
"เกราะกายสิทธิ์"
"สังวาลย์มณี"
"หรือว่าท่านคือ..!!" ทั้งสองพูดพร้อมกันแล้วจึงหยุดให้อีกฝ่ายกล่าวก่อน
"ท่านคือเพชรราหูนี่เอง"เธอจำสหายที่ร่วมเดินทางกับเธอครั้งสุดท้ายได้แล้ว
"ท่านก็คือพุทธรัตน์.. ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอท่านที่นี่"
"นั่นสิ ท่านสบายดีหรือ"
"เราสบายดี แล้วท่านล่ะ"
" เราก็สบายเช่นกัน แต่ตอนนี้ลำบากใจ เราต้องรีบไปช่วยพี่หิ่งห้อยของเราที่บาดเจ็บ"เธอเริ่มพูดเมื่อนึกได้ จะมัวแต่ดีใจเรื่องพบสหายเก่าก็กระไรอยู่
"พี่หิ่งห้อยบาดเจ็บเหรอ เราขอให้หายไวๆ ทางเราก็มีคนเจ็บไข้เหมือนกัน"เขาได้ฟังดังนั้นจึงพลันนึกถึงคนที่นอนสลบอยู่ในห้องตน
" เช่นนั้นแล้วจะต้องขอลาก่อน ไว้มีโอกาสพวกเราน่าจะได้เจอกันอีกนะ" พุทธรัตน์ยิ้มให้อีกคน
"ถ้ามีวาสนาจะได้เจอกันอีกแน่ ลาก่อน" เพชรราหูยิ้มตอบอีกฝ่าย แล้วทั้งสองจึงแยกย้ายไปยังที่ของตน
.......
ที่หอชิดดารา องค์เทพวิษุวัตที่ได้บำเพ็ญตนครบสิบปีตามพระบัญชาของพระอินทร์ จึงได้ออกจากที่พำนักมายังด้านนอกแล้วปัจจาจึงขอเข้าเฝ้าทันที
"ปัจจา เมื่อปลายตติยยามที่ผ่านมาเรารับรู้ถึงการมีอยู่ของพระเชษฐภคินี เจ้าได้พบพระเทวีหรือไม่" พระเทวาถามบริวารที่มาเฝ้า
"ขอพระราชทานอภัยพระเจ้าค่ะ หม่อมฉันเดินทางไปตามหาแล้วแต่มิพบเลยพระเจ้าค่ะ" เขาทูลไปก็กลัวจะโดนอาญา
"ช่างเถอะ นี่เป็นเวลานานเกือบยี่สิบปีมนุษย์แล้วที่เจ้าเฝ้าตามหาพระเทวี การที่เรารับรู้ได้ถึงการมีอยู่นับว่าเป็นสัญญาณอันดี เราจะเปลี่ยนให้ผู้อื่นไปแทน แล้วเจ้ามาช่วยงานเราดีกว่า"
" เป็นพระมหากรุณาธิคุณพระเจ้าค่ะ.... ก่อนหน้านี้หม่อมฉันได้ไปพบธานินทร์กับธารามาพระเจ้าค่ะ แต่ว่าพบแต่ธานินทร์ได้รับบาดเจ็บอยู่แต่เพียงผู้เดียวพระเจ้าค่ะ" เมื่อได้ยินดังนั้นด้วยความเป็นห่วงจึงเดินทางไปยังที่พักของบริวารทันที
" ธานินทร์เกิดอะไรขึ้น" องค์เทพถามขึ้นหลังจากที่เดินทางมาถึง
" ถวายบังคมพระเจ้าค่ะ คือว่าหม่อมฉัน.... "และผู้ที่ถูกถามได้เล่าเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด
" เราจะช่วยรักษาให้เจ้าเอง"ว่าแล้วพระเทวาจึงใช้มนตราสร้างขาด้านซ้ายของธานินทร์กลับมาปกติดังเดิม
"ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ"
" ถือว่าเป็นการตอบแทนที่เจ้าช่วยพาอินทรานีกลับมา เราว่าได้เพลาสมควรที่จะไปพบกับบดิศร ปัจจาไปกับเรา ธานินทร์ดูแลพระแม่เจ้าดีๆแล้วเราจะกลับมา"
" พระเจ้าค่ะ"ทั้งสองรับคำแล้วจึงต่างทำหน้าที่ของตน
......
หลังจากที่กลับมาได้แล้วนั้น พุทธรัตน์ก็เข้าใช้สมุนไพรรักษาเจ้าหิ่งห้อยจนอาการดีขึ้น เมื่ออาการดีขึ้นมากแล้วร่างกายได้กลับมาใหญ่ดังเดิม สร้างความปิติอย่างยิ่ง แล้วทั้งหมดจึงเดินทางกันต่อไป
" พี่หิ่งห้อยรู้ไหมจ๊ะว่่าตอนที่น้องไปป่าหิมพานต์ได้พบกับใคร" เธอพูดขึ้นมาแล้วยิ้มอย่างพอใจ
"ใครหรือพระเจ้าค่ะพระธิดา"
"เพชรราหูแห่งสังวาลย์มณีจะ"
"พระโอรส!!" บัวแย้มที่ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามจึงร้องเรียกออกมาอย่างอดเสียไม่ได้
"มีอะไรเหรอบัว บัวรู้จักเขาด้วยเหรอ" อีกคนสงสัยจึงถามไป
" รู้จักเพคะ ก่อนหน้านี้ที่บัวจะไปอยู่ศาศวัตบุรี บัวอาศัยอยู่ในป่ากับยายเพคะ ตอนนั้นมีวาสนาได้พบกับพระธิดาแสงสุรีย์ และพระโอรสพระธิดาให้ความเมตตาบัวกับยายมาตลอดเพคะ"
"อ๋ออย่างนี้นี่เองน่ะ รู้อย่างนี้ก่อนล่ะก็ เราจะบอกเขาให้รู้เลย ไว้พวกเราเดินทางถึงเมืองทิศพลแล้วพักผ่แนให้ดี พวกเราจะพาไปหานะบัว" เธอจับมืออีกคนยิ้มให้กันและกันแล้วจึงเดินทางต่อไป
...
เมื่อเพชรราหูกลับมาใช้สมุนไพรรักษาแล้วนั้น อัญญานีได้ฟื้นตื่นขึ้นมา
"ท่านแล้วนาง..นางไปไหนล่ะ"เธอถามถึงผู้ที่ช่วยชีวิตไว้เมื่อไม่พบ
"นางพักแล้วล่ะ วันนี้เป็นวันของเราเอง" เขาตอบคำถาม
"ก็พระโอรสน่ะสลับสับเปลี่ยนกับพระธิดาไปในแต่ล่ะวันตามสังวาลย์มณีไงจ๊ะ" จั๊กแหล่นช่วยเสริม
"เราขอบใจท่านมากนะ... ท่านเป็นสหายของพวกเกราะกายสิทธิ์หรือป่าว"
" จะเรียกว่าสหายก็จะดูไม่สนิทถึงขนาดนั้นนะ ท่านรู้จักได้อย่างไร แล้วเรื่องเป็นยังไงกันแน่" เขาตอบแล้วถามอย่างสงสัย
" เราเป็นเพื่อนกับจันทราภา.... "เธอจึงเริ่มเล่าเรื่องให้ฟัง
"เช่นนั้นแล้วถ้าอาการท่านหายเป็นปกติ เราจะพาท่านไปพบกับพวกเขาที่เมืองทิศพลนะ นี่ธำมรงค์แก้วศุภร"
ว่าแล้วจึงยื่นแหวนให้
" เราขอบใจท่านอีกครั้ง"
" เราเต็มใจ ได้เพลาเข้าเฝ้าเสด็จพ่อแล้ว เราขอตัวก่อนนะ"ว่าแล้วจึงจากไปยังท้องพระโรง
"อ้าวอัคนินไปไหนเสียล่ะ" เขาถามกับมหาดเล็กคู่ใจที่รอเข้าเฝ้าแทน
" พระโอรสอัคนินประชวรพระเจ้าค่ะ"
" แปลกจริง เราไม่เคยเห็นอัคนินป่วยเลย.." เขาได้แต่สงสัยแล้วเจ้าเมืองเสด็จยังท้องพระโรงจึงทำการเข้าเฝ้าต่อไป
.....
" ถวายบังคมพระเจ้าค่ะ" ทั้งบดิศรและอัคนินที่แอบติดตามมาได้เข้าเฝ้าพระเทวาวิษุวัต
"ตามสบายเถอะบดิศร.. คนผู้คือ.." พระองค์มองหน้าคนที่ไม่ได้อยู่ในความดูแลของตนมาก่อน
" หม่อมฉันอัคนินพระเจ้าค่ะ"
"เขาจะมาช่วยหม่อมฉันกำจัดอริของพระองค์พระเจ้าค่ะ เขาเป็นผู้ร่วมวงศากับผู้ครองสังวาลย์มณีพระเจ้าค่ะ"
"เช่นนั้นก็ดี เอาล่ะเราจะมอบหมายให้พวกเจ้าทำลายเกราะกายสิทธิ์และสังวาลย์มณีเสีย ไม่ต้องกังวลไป เรามีเกราะเหล็กและสังวาลย์ศิลาที่สามารถต่อกรกับของพวกนั้นได้ ถ้าหากทำลายได้ไม่ว่าสิ่งใดที่พวกเจ้าปรารถนาเราจะให้ทุกอย่าง" ว่าแล้วปัจจาจึงนำสิ่งวิเศษใหม่ยกให้ทั้งสอง
" ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ"เมื่อรับแล้วเทวดาทั้งสองจึงหายตัวไป ทั้งสองจึงทำข้อตกลงในการทำลายศัตรูตนต่อไป
-
ในปฐมยามที่สองวันนั้นเองที่เมืองทิศพล เหล่าคณะเดินทางได้มาถึงเป็นที่เรียบร้อย เจ้าเมืองจึงได้ต้อนรับพระนัดดาและพระสหายยังท้องพระโรง เหล่าข้าราชบริพารที่ได้พบกับพระสหายที่ไม่ใช่มนุษย์ที่คุ้นเคยอย่างเจ้าตุ้บเท่งกับหิ่งห้อยยักษ์นั้นพอจะทำใจให้ชินได้บ้าง แต่เจ้าผีโครงกระดูกที่มีแต่ศีรษะกับแขนนี่สิน่าขนลุกขนพองเพลาที่อยู่ในท้องพระโรงนัก
"ถวายบังคมเพคะ/พระเจ้าค่ะ" เหล่าคณะเดินทางได้เข้าถวายบังคมกษัตริย์นวดลและมเหสีอัมรินทร์
"ขอให้จำเริญๆเถิด หลานตาโตขึ้นมากเลยนะ พวกหลานสำเร็จวิชาจากฤๅษีอนุชิตแล้วหรือ ถึงได้มาเยือนเมืองของตาได้น่ะ" ท้าวเธอถามขึ้นมาเพราะสาเหตุที่ไม่พบกันเพราะติดร่ำเรียนวิชานานมาสิบปีไม่มีทางที่ดาบสจะให้กลับมาได้แน่ถ้ามิจบการศึกษาวิชา นี่ถ้าไม่มีเกราะกายสิทธิ์อยู่กับตัวคงจะจำหลานมิได้
"สำเร็จวิชาแล้วเพคะเสด็จตา พวกหลานจึงเดินทางมาเข้าเฝ้าเพคะ ระหว่างทางพวกหม่อมฉันได้พบกับพวกเขา... "เธอตอบพลางผายมือไปทางผู้แปลกหน้าทั้งสองแล้วเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พระอัยกาฟัง เมื่อฟังได้ความดังนั้นแล้วจึงคิดต่อว่าตนเองที่เป็นเหตุที่ทำให้อัญญานีต้องไปอยู่กับแม่มดใจร้ายที่แปลงกายมาหลอกล่อ
" อย่าทรงเป็นกังวลเลยนะเพคะ ไม่เช่นนั้นพระวรกายไม่แข็งแรงอีกจะประชวรได้" พระมเหสีตรัสให้นึกขึ้นได้
"เสด็จตาเพคะ ตลอดสิบปีมานี้เสด็จตาประชวรหนักหรืือเพคะ" พระธิดาวันพุธถามอย่างเป็นห่วง
"ก็ธรรมดาของคนมีอายุนั่นล่ะหลานอย่าไปสนใจเลย เสด็จยายเจ้าก็เหมือนกันน่ะห่วงมากเกินไป ไม่ห่วงตัวเองบ้างเลย" ท้าวเธอปฏิเสธแต่กลับบอกว่าพระชายาเสียอีก
" โธ่ หม่อมฉันมิได้เป็นอะไรนี่เพคะ อย่าตรัสให้หลานห่วงพวกเราเลยจะดีกว่านะเพคะ"พระนางมิต้องการให้หลานห่วงไปกว่านี้แล้ว ยิ่งพูดยิ่งไม่ใช่เรื่องดี
" ถึงจะว่าอย่างนั้น อย่างไรเสียหลานก็อดห่วงไม่ได้เพคะ" คนห่วงไปแล้วจะเลิกห่วงก็กระไรอยู่
"ช่างเถอะน่า ตอนนี้เดินทางกันมาเหนื่อยๆพักผ่อนกันก่อนดีกว่านะ ไว้พรุ่งนี้มาช่วยกันคิดหาทางช่วยเหลืออัญญานีกันต่อ" ท้าวเธอว่าแล้วจึงพากันแยกย้ายไปตำหนักต่างๆเพื่อพักผ่อน
" บัวทำไมสีหน้าไม่ดีเลยล่ะ" พุทธรัตน์ที่เข้ามาดูความเรียบร้อยให้เห็นความเศร้าหมองในตัวอีกคน
" บัว..บัวคิดถึงพระธิดาอัญญานีเพคะ จริงอยู่ที่จะกลับไปอยู่สุขสบายกายแต่เท่าที่หม่อมฉันทราบ พระธิดาไม่สบายใจแน่เพคะ" ความกังวลใจชัดขึ้นหลังจากที่ตอบคำถามอีกฝ่าย
"เราเข้าใจนะบัว การพลัดพรากน่ะไม่ดีหรอก เพียงแต่เราต้องตั้งสติไว้ก่อน ทำใจให้สบาย ค่อยๆคิดค่อยๆแก้ปัญหา บางทีพรุ่งนี้ภูมินทร์อาจจะช่วยได้มากขึ้นก็ได้" เธอพูดหวังให้ใจอีกฝ่ายสงบบ้าง
" เพคะ บัวจะตั้งสติแล้วทำใจให้สบายเพคะ" เธอยิ้มให้อีกคนไม่ใช่เพราะหายกังวลแล้วหากแต่ไม่อยากรบกวนใจอีกฝ่ายไปมากกว่านี้
....
"ท่านอยู่พักในตำหนักนี้ก่อนนะ ไว้พรุ่งนี้พวกเราจะเดินทาง ส่วนเราจะไปพักที่อาศรมพระอาจารย์"เพชรราหูกล่าวบอกหญิงในการช่วยเหลือเมื่อเห็นว่าอาการดีมากแล้ว
" เรารบกวนท่านมากไปหรือป่าว ที่ทำให้ท่านต้องไปพักที่อื่น" อัญญานีกล่าว
"ไม่หรอกเราเต็มใจ อีกอย่างที่นี่นอกเหนือจากพวกเรามีเสด็จพ่อเท่านั้นที่รู้ว่ามีท่านอยู่ ถ้าจัดตำหนักรับรองให้ เรื่องต้องถึงหูอัคนิน"
" อัคนินเกี่ยวอะไรหรือ ทำไมถึงได้ต้องปิดบัง"
" เขาเป็นคนของเทพวิษุวัตไปแน่แล้ว อีกอย่างข้ารับใช้ในวังเป็นหูตาให้อัคนินที่เราไม่รู้อีกตะหาก ท่านพักผ่อนเสียดีกว่าพรุ่งนี้จะได้เร่งเดินทาง" กล่าวจบแล้วจึงเข้าสู่ป่าจินตภพทันที
......
" ลูกได้ของดีมาในเพลาเหมาะเช่นนี้ นับว่าโอกาสของพวกเรามาถึงแล้ว" ผกากรองได้ฟังคำเล่าของบุตรชายหลังจากกลับมาก็กล่าวอย่างยินดียิ่ง
" หมายความว่ายังไงกันท่านแม่"ลูกสงสัยในพาทีของแม่
" วันที่พวกเรารอคอยมาถึงแล้ว คืนนี้พระจิตขององค์เหนือหัวไม่มั่นคงเหมาะแก่การทำการใหญ่"
" การใหญ่อะไรกันท่านแม่"
" แม่จะทำพิธีควบคุมและยึดพระวรกายของพระองค์มาเป็นของแม่ แต่แม่ต้องสละสังขารชีพ แม่จึงต้องเตือนเจ้าไว้ให้เตรียมใจ"
" แต่อย่างนี้มันอันตรายมากนะท่านแม่ ถ้าทำไม่สำเร็จท่านก็จะต้อง.. ต้องตาย"
" อย่ากลัวเลย อุตส่าห์รอคอยมานานขนาดนี้มีหรือว่าแม่จะไม่ระวังตัว" ว่าแล้วเธอจึงเริ่มทำพิธีทันที
......
วันถัดมาดูท่าฝนฟ้าคะนองเสียเหลือเกิน แต่ถึงกระนั้นถ้าคิดจะทำการอันใดไว้ก็ต้องทำให้ได้
" แม่ขอให้ลูกโชคดีบดิศร"วิมาลามารดากล่าวอวยพรลูกยาเมื่อเขากำลังจะเดินทางไปกำจัดศัตรู
" แล้วท่าน.. เสด็จตาอยู่ที่ใดกันพระเจ้าค่ะ ลูกมิเห็นเลย" เขาถามหาผู้ที่เป็นเจ้าเมืองนี้ที่ไม่พบหน้าเลยตั้งแต่กลับมา ด้วยเพราะต้องเตรียมตัวรับพระบัญชาจึงไม่ได้ถามตั้งแต่แรก
"ตาของลูกน่ะไปเมืองรัตนบุรีเพื่อทำทีเจริญสัมพันธไมตรี จากนั้นแล้วเราจะได้แก้แค้นกัน" เธอพูดพลางยิ้มอย่างมีหวัง
"แต่ว่าทำไมต้องไปหาเสด็จพ่อด้วยพระเจ้าค่ะในเมื่อพวกนั้นก็อยู่ที่เมืองทิศพล" เขาสงสัยนัก
"ลูกเคยบอกแม่แล้วนี่ว่าเมืองเมืองนี้สักวันนึงมันก็ต้องสลายหายไปไม่ได้ยืนยงเหมือนชื่อของมัน ดังนั้นแล้วขณะที่ลูกจัดการกับฝั่งนั้นแล้ว เสด็จตาจะจัดการกับที่เหลือจะได้ทำการเสร็จได้ไวๆ"เธอกล่าวอย่างมุ่งมั่น
" แล้วเสด็จพ่อจะเป็นอันตรายหรือไม่พระเจ้าค่ะ" ถึงจะจากกันเช่นนั้นแต่เขาก็ยังห่วงบิดาอยู่ดี
" ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตหรอกนะลูก เพียงแต่เสด็จพ่อของลูกจะต้องช่วยเรามันก็เท่านั้นเอง"เธอพูดพลางส่งยิ้มให้ลูกนั้นคลายกังวล
" แล้วเสด็จพ่อจะยอมช่วยพวกเราหรือพระเจ้าค่ะ"
" ช่วยแน่นอน แม่เชื่อในเสด็จตาของลูก แม่ว่าพวกเราอย่าเสียเพลาอีกเลยดีกว่า เร่งทำการให้เสร็จสิ้นพวกเราจะได้อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขเสียที" เมื่อนางกล่าวเช่นนั้นแล้วบดิศรจึงลานางมุ่งสู่เมืองทิศพลทันที
...
"ท่านกลับมาแล้วหรือ.. .."อัญญานีถามขึ้นหลังจากการกลับมาของคนที่พอจะเรียกว่าสหายพร้อมส่งสายตาเชิงอยากเรียกแต่ไม่รู้นาม
" เรากลับมาแล้วล่ะอัญญานี เราชื่อจินดา"เธอตอบอีกคนพร้อมยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
" อาการของเราดีขึ้นมากแล้วล่ะ เราจะขอลาไปตามหาคนของเราเองจะดีกว่า " เธอไม่อยากรบกวนอีกจึงได้บอกไป
"ไม่ต้องหรอกเราจะไปด้วย ถือเสียว่าเราจะได้ไปพบสหายของเราด้วยกัน อย่าคิดว่าเป็นการรบกวนเลย"เธอกล่าวให้ฟังเพราะไม่อยากให้อีกคนลำบากใจและตามที่พูดก็เป็นความจริงที่จะไปพบสหายด้วย
" ใคร!! "เสียงเคาะประตูห้องบรรทมดังขึ้นมาทำให้พระธิดาวันพฤหัสบดีเกิดคำถามขึ้นเพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่ามีคนอีกคนในนี้ จะได้ออกไปด้านนอกแทน
" จั๊กเองเจ้าค่ะ จั๊กเอง เกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ" ว่าแล้วจึงเปิดประตูที่ไม่ได้ลั่นดานแล้วเข้าไป
"มีอะไรหรือที่ว่าเกิดเรื่อง จั๊กแหล่น" อัญญานีถามด้วยความสงสัย
" วันนี้มีข่าวว่าพระสนมผกากรองสิ้นพระชนม์แล้วเพคะ อีกประเดี๋ยวก็จะเรียกเข้าท้องพระโรงตามเวลาแล้ว "
" เช่นนั้นจะช้ามิได้แล้ว เห็นทีเราจะต้องรีบไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ เราไปก่อนนะ" จินดาได้ยินดังนั้นจึงไม่อยู่เฉยเร่งไปยังท้องพระโรงทันทีเพราะใกล้ถึงเพลาเต็มที
เมื่อมาถึงจึงได้พบว่าเรื่องที่ได้ยินมานั้นจริงสุดจะบรรยาย ภาพตรงหน้าน้ำตานองอัคนินเสียเหลือเกิน
" นางสิ้นโดยไม่ใช่วิถีธรรมชาติ นี่ต้องเป็นการสังหารจากบาดแผลที่เกิดจากการแทง อัคนินเจ้าอย่าเสียใจให้มา เราขอถามว่าเมื่อคืนนี้เจ้าได้ไปที่ตำหนักพระสนมหรือไม่" ท้าวธริษตรีเธอถามเพื่อสาวความหาข้อเท็จจริง
"ไม่ได้ไปพระเจ้าค่ะ เมื่อคืนนี้หม่อมฉันเป็นไข้จึงอยู่แต่ในตำหนักตนเองตลอดทั้งวันทั้งคืน" เขาตอบเสียงปนสะอื้นไห้แต่หามีความจริงไม่
" ถ้าเป็นเช่นนั้น มารดาเจ้ามิได้ไปเยี่ยมเยือนเจ้าบ้างเลยหรือ"
" ไม่ได้มาพระเจ้าค่ะ แต่ส่งนางกำนัลมาดูอาการแทนเพราะเสด็จแม่ประชวรด้วยเช่นกันพระเจ้าค่ะ เสด็จพ่อจะต้องให้ความเป็นธรรมให้กับหม่อมฉันนะพระเจ้าค่ะ"
" เรื่องความเป็นธรรมเราต้องให้อยู่แล้ว นางมีปัญหากับใครหรือป่าว"
" ไม่มีพระเจ้าค่ะ จะมีก็แต่คนอื่นที่มามีปัญหา"เขาทูลพลางส่งสายตาไปยังพระธิดาจินดา
" ได้ เช่นนั้นเราจะเร่งหาตัวคนร้ายให้เร็วที่สุด ตลอดการพิจารณาคดีนี้ห้ามมิให้ผู้ใดเดินทางออกจากเมืองของเราเป็นอันขาด แม้แต่เจ้าจินดา อัคคนิน เอาล่ะวันนี้พอแค่นี้ก่อน เราต้องจัดพิธีให้กับผกากรอง"
" น้อมรับพระบัญชาพระเจ้าค่ะ/เพคะ" และแล้วทั้งหมดจึงได้แยกย้ายกันไป
....
"พระองค์เสด็จมาจากศาศวัตบุรีด้วยตนเอง เรายินดียิ่งที่จะต้อนรับกัลยาณมิตรใหม่ของเมืองเรา" ท้าวพีรเชษฐ์กล่าวกับเจ้าเมืองที่มาเจริญสัมพันธไมตรี
" ด้วยเห็นพระบารมีที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์ เราเห็นว่าการมาครั้งนี้มิเสียแรงเลยจริงๆ" นรราชเจ้าเมือง อดีตปุโรหิตที่ใช้นามหน้าใหม่กล่าวกับอีกฝ่าย เขาน่ะที่เคยเป็นพ่อตามาก่อนย่อมรู้ว่าชอบอะไรไม่ชอบอะไร ความสนิทชิดเชื้อที่ท้าวพีรเชษฐ์ได้มารู้สึกเหมือนเจอมิตรแท้ในช่วงเวลาเดียวนั้นเอง เพราะท้าวเธอน่ะเชื่อคนง่ายแถามสบายใจไม่มีอะไรต้องกลัวแล้วจึงไม่ระวังเอาเสียเลย
"องค์เหนือหัวเพคะ หม่อมฉันรู้สึกว่าเจ้าเมืองคนนี้มิน่าไว้ใจเลย" สไบทองสังเกตการณ์ตลอดวันจึงได้กล่าวเมื่อกษัตริย์ต่างเมืองไปยังพระตำหนักรับรองแล้ว
"อย่ากังกลไปเลย ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาก็เป็นคนดีอีกด้วยนะ" คนไม่ระวังตัวกล่าวตอบอีกคนให้สบายใจ
"แต่ถึงอย่างไรหม่อมฉันก็ไม่ไว้ใจที่เจ้าเมืองคนนี้ทำทีรู้เสียทุกเรื่องไป อย่างนี้แล้วจะไม่ดีต่อพระองค์เองนะเพคะ" เธอเตือนพระสวามีด้วยความหวังดี
"ไม่หรอกน่า นี่ล่ะมิตรแท้ที่ฟ้าประทานมาให้แก่เรา"คนดื้อจะทำอย่างไรก็มิฟังหรอก เธอได้แต่ถอดถอนหายใจมิพูดอันใดอีกแต่จะคอยพึงระวังไว้ พระราชาคนนี้ที่พบกันวันเดียวข้อมูลที่จะมีมาคุยกันได้ขนาดนี้เป็นไปไม่ได้เลย
.....
"เพิ่งมาได้คืนกับอีกวันเดียวจะจากตาไปอีกแล้วรึ" ท้าวนวดลถามเมื่อผู้เป็นพระนัดดาทูลลาไปตามหาคน
" พระเจ้าค่ะเสด็จตา หลานจะต้องช่วยเหลืออัญญานีกับบัวแย้มให้ได้พบกันพระเจ้าค่ะ" ภูมินทร์กล่าวตอบพระอัยกีด้วยความเป็นมนุษยธรรม
"เมื่อพบกันแล้วจะไปยังที่ใดกันล่ะ จะกลับเมืองเก่าก็ไม่มีแล้ว"พระอัยกีอัมรินทร์กล่าวด้วยความห่วงใย
" ก็คงจะต้องหาที่อยู่ทำกระท่อมในป่าเพคะ"บัวแย้มทูล
" แล้วอีกฝั่งเขาจะยอมหรือ พวกเขาจะต้องตามหาพวกเจ้าจนพบแล้วถูกนำตัวไปอีกล่ะจะทำยังไง" พระมเหสีกล่าวต่อไป
" เอาอย่างนี้เถอะ เราจะช่วยอุปถัมภ์พวกเจ้าเอง มาอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวเสียที่นี่ล่ะ เพลามีเรื่องขึ้นมาจะได้ช่วยเหลือกัน ห้ามปฏิเสธเชียว" ท้าวนวดลเธอเสนอให้
" ช่างเป็นความคิดที่ดีจริงๆ แต่ท่านคิดหรือว่าบ้านเมืองนี้จะไม่พังทลายไปเสียก่อน" เสียงพูดดังขึ้นมาพร้อมกับการปรบมือทำให้ความสนใจมุ่งสู่คนพูดทันที
" ท่านเป็นใคร มาจากไหนกัน"ภูมินทร์ถามอย่างสัย บุรุษนี้เป็นใครกัน แล้วเข้ามาได้ยังไง
"เราเป็นใครมาจากไหนไม่สำคัญ แต่วันนี้เราจะมาทำลายพวกเจ้าให้สิ้นซาก"คนใส่เกราะเหล็กกล่าวอย่างอวดดี
" พระโอรสบดิศร" บัวแย้มที่เคยพบหน้ามาก่อนจึงรู้ได้ทันทีแบบไม่ต้องนึก
" บดิศร เราจบเรื่องนี้กันไปแล้วอย่าได้จองเวรจองกรรมกันอีกเลย" เมื่อเขาได้ยินดังนั้นจึงได้เจรจาอย่างสันติ
" ไม่มีวันที่จะจบ จนกว่าพวกเจ้าทั้งเจ็ดคนจะถูกทำลาย!! " ว่าแล้วเขาจึงใช้พลังจากเกราะเหล็กพุ่งทำร้ายอีกคนโดยไม่ทันตั้งตัว
"ทุกคนหนีก่อน พี่หิ่งห้อยพาเสด็จตากับเสด็จยายหนีไปก่อนเถอะจะ ทางนี้น้องจัดการต่อเอง"คนที่ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีที่หลบได้แบบฉิวเฉียดรีบบอกให้คนอื่นหนีไปแล้วตนจะได้สู้กันแค่สองคนพอ
" พระเจ้าค่ะพระโอรส องค์เหนือหัวพระมเหสีพระเจ้าค่ะไปกันเถอะพระเจ้าค่ะ" ว่าแล้วทั้งสองจึงขึ้นเจ้าแมลงยักษ์ไปที่ปลอดภัยก่อน
" สู้เขานะพระโอรส"เจ้าตุ้บเท่งที่ไม่ยอมไปไหนได้เฝ้ารอดูพลังสิ่งวิเศษชิ้นใหม่พร้อมให้กำลังใจ
"หนูบัวยังไม่ไปอีกเหรอ" ตาหวานถามเมื่อจะพาไปหลบก่อนส่วนตนจะกลับมาช่วย
" ไม่จะ บัวไม่ไป ถ้าพระโอรสภูมินทร์เป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง" เธอจะคอยช่วยดูสถานการณ์ ถ้าไม่ดีจริงๆเธอก็พอจะช่วยต่อรองกับบดิศรได้บ้าง
บดิศรพุ่งหมัดซ้ายตรงไปยังใบหน้าของอีกฝ่ายพร้อมกับก้าวเท้าซ้ายสืบไปข้างหน้า ภูมินทร์ที่เป็นฝ่ายรับรีบก้าวเท้าซ้ายสืบเท้าเข้าหาตัวฝ่ายรุกตรงหน้า แขนขวาปัดแขนซ้ายบดิศรให้พ้นจากตัวแล้วใช้ช่องว่างยกเท้าขวาเตะกราดบริเวณชายโครงของอีกฝ่าย บดิศรไหวตัวรีบผลักตัวถอยเท้าซ้ายไปข้างหลัง ราวกึ่งซ้ายย่อตัวใช้ศอกขวาถองที่ขาขวาท่อนบนของฝ่ายรุกตน ดีที่ภูมินทร์มีความไหวตัวพอกันจึงหลบหลีกได้ทัน ตอนนั้นนั่นเองบดิศรจึงใช้พลังจากเกราะเหล็กเข้าโจมตีภูมินทร์ แล้วเขาจึงตอบกลับโดยการใช้พลังจากเกราะกายสิทธิ์เช่นเดียวกัน ตอนนี้พลังทั้งสองปะทะกันอยู่ตรงกลางในระยะทางที่เท่ากัน
"เราว่าพวกเราคุยกันดีๆได้นะบดิศร" พระโอรสวันพฤหัสบดีคิดจะเจรจาอีกครั้งในการต่อสู้
"ไม่ต้องพูดแล้ว" เขาเพิ่มพลังมากขึ้นจนพลังของเขาสามารถดันไปยังฝ่ายตรงข้ามได้มากกว่าพลังของอีกฝ่าย อีกฝ่ายเห็นท่าไม่ดีจึงได้เพิ่มพลังไป ตอนนี้พลังทั้งคู่ผลัดกันดันพลังของอีกฝ่ายไปมาแต่ไม่มีทีท่าว่าจะถึงตัวอีกฝ่ายสักที
"อย่าออมมือ!! " บดิศรเขาใช้พลังเกินขีดจำกัดที่ร่างกายจะรับไหวเข้าจู่โจมภูมินทร์ อีกคนไม่มีทางเลือกจึงต้องใช้พลังขั้นสุดกับเขาด้วยความจำเป็นที่ต้องปกป้องร่างกายไว้ เมื่อพลังปะทะกันรุนแรงอาคารสถานท้องพระโรงจึงพังทลายลงมา พวกที่ดูอยู่จึงพาบัวแย้มออกมาจากที่นั่นก่อนจะถูกถล่มทับ สองคนที่สู้กันนั้นแม้จะมีสิ่งก่อสร้างถล่มลงมาก็ทำอันตรายไม่ได้เพราะพลังที่มหาศาลนั้น ไม่นานนักทั้งสองก็ต้องผละออกจากกันเพราะถึงจะไม่ถูกพลังทำลายตรงๆแต่เมื่อใช้พลังปะทะกันนานเข้ามีแต่จะทำให้ช้ำใน เมื่อผละออกจากกันได้แล้วทั้งคู่อาการมิสู้ดีเลย
"พระโอรสพระเจ้าค่ะ เจ้าตุ้บเท่งมาพยุงพระโอรสสิเร็วเข้า" ตาหวานเข้าดูภูมินทร์ทันทีพร้อมกับสั่งให้เจ้าตัวประหลาดช่วยพยุงตัวคนที่เขาติดตาม
"พระโอรสภูมินทร์ทรงเป็นอย่างไรบ้างเพคะ" บัวเข้าไปดูอาการด้วยคน
"เราไม่เป็นอะไรมาก แต่บดิศรล่ะ" เจ้าตัวตอบขณะที่เลือดก็ทะลักมาจากปาก ถึงตัวจะเจ็บแต่ยังห่วงน้องต่างแม่อยู่ดี บัวจึงเข้าไปดูและประคองให้
" พระโอรสบดิศรเพคะ ทรงเป็นอย่างไรบ้างเพคะ" เธอถามอาการ เขานึกว่าจะไม่มีใครใครสนใจเสียแล้ว
" บัว.. เรา.." ไม่ทันจบประโยคปัจจาได้รีบเข้ามาแย่งนำร่างของบดิศรหายตัวไปในทันที
"ไปแล้ว!!" บัวแย้มตกใจจึงได้พูดขึ้น
"เกราะกายสิทธิ์มีรอยร้าว ฮือดูดูมันทำสิ!!" เสียงตกใจอีกคนดังกว่าทันทีที่เจ้าสุดหล่อเห็นรอยขีดร้าวบนเกราะขีดเดียวก็เหมือนใจจะแตกสลาย
"บัวว่าอย่าช้าเลยดีกว่าจะ รีบพาพระโอรสไปยังห้องพระโอสถก่อน เผื่อจะช่วยได้บ้าง ปล่อยไว้อย่างนี้ไม่ดีแน่ ส่วนเกราะกายสิทธิ์ค่อยหาทางแก้เถอะนะสุดหล่อ"เธอออกความเห็น ชีวิตคนก็สำคัญเจ้าตุ้บเท่งมิได้ใจไม้ไส้ระกำขนาดนั้นจึงตัดสินใจแบกพระโอรสวันพฤหัสบดีไปหาทางรักษาต่อไป
...
" ที่ท่านแม่ต้องตายเปล่าก็เป็นเพราะพวกเจ้า อย่างนี้แล้วข้าจะฆ่าพวกเจ้าเสียบัดนี้" อัคนินที่คิดอยู่นานตัดสินใจหยิบสังวาลย์ศิลาหมายจะสังหารผู้เป็นเหตุให้มารดาต้องถึงแก่ความตาย
"องค์เหนือหัวเสด็จพระเจ้าค่ะ" มหาดเล็กเข้ามาทูลบอก ไม่ทันจะทำอะไรเข้ามาเสียแล้วเจ้าหนึ่งในตัวสาเหตุนี่
" พวกเจ้าออกไปก่อน" ทันทีที่พระราชาเข้ามาได้จึงให้เหล่าบริวารทั้งหมดออกไปเสียจะได้ไม่รบกวนเรื่องส่วนตัว
"อัคนินลูกยังเสียใจอยู่อีกเหรอ แล้วสังวาลย์หินนี่จะไปทำอะไรน่ะ" เขาถามด้วยความเป็นห่วงและประหลาดใจที่อยู่ๆก็ได้เห็นอัคนินคว้าสังวาลยังกะจะไปฆ่าใครได้
"ปล่าวหรอกพระเจ้าค่ะ ลูกก็แค่ดูของต่างหน้าเสด็จแม่"
"ของพระเทวาน่ะสิ" เขาหน้าถอดสีเมื่อได้ยินคำคนที่ชื่อว่าพระบิดาที่รู้เท่าทัน
" อัคนิน นี่แม่เองลูก"เขาเปลี่ยนจากท่าทีจริงจังมายิ้มอย่างสบายใจ
"ท่านแม่ ลูกตกใจหมดเลย" เขาขวัญเสียไปทีแล้วหนา
"แม่ขอโทษที่ไม่ได้บอกลูกตั้งแต่แรก แม่อยากรู้ว่าจะสามารถเล่นเป็นองค์เหนือหัวได้ดีจนไม่มีใครผิดสังเกตหรือป่าว"
"แล้วพระวิญญาณขององค์เหนือหัวล่ะท่านแม่"
" ก็บรรทมน่ะสิ เรากำลังจะได้ทุกสิ่งอย่างแล้ว แม่ขอเจ้าวันนี้วันเดียว แล้วพรุ่งนี้แม่จะให้เจ้าใช้สังวาลย์กำจัดมันโดยไม่ผิดใจคนอื่น" เธอยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
" ทำไมหรือจ๊ะ ลูกอยากจะฆ่าพวกมันจะแย่" เขาร้อนใจยิ่งนัก
"เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ได้ฆ่า การที่จะได้คนมาทั้งหมดมากกว่าจากหยิบมือมันต้องซื้อใจให้เจ้า ให้พวกนั้นเข้าข้างเจ้า ถึงเวลานั้นเจ้าสับมันให้เป็นชิ้นๆ พวกนั้นก็จะเห็นดีเห็นงามด้วย" ว่าแล้วถึงจึงเล่าแผนที่เตรียมมาต่อไป
...
" เรารอได้ เรื่องใหญ่เช่นนี้องค์เหนือหัวคงไม่อาจละเว้นได้"อัญญานีกล่าว
" เราขอบใจที่เข้าใจ เราเห็นท่านพยายามใช้ธำมรงค์แก้วศุภรมาสักพักแล้ว มีปัญหาอันใดกัน"จินดาที่มองดูพฤติกรรมมาก่อนหน้าจึงถามเพื่อจะได้ช่วยแก้ไข
"แต่ก่อนแหวนวงนี้น่ะพาเราหนีได้ ใช้พลังได้แต่ตอนถูกจับใช้ไม่ได้เลย จันทราภาเคยบอกว่าหากจิตไม่มั่นคงพอจะไม่สามารถใช้พลังจากวัตถุที่สวมใส่ได้ แต่เราลองทำใจให้มั่นคงแล้วก็ยังใช้ไม่ได้อยู่ดี"เธอกล่าวให้ฟังหวังจะได้รับการแนะนำจากผู้สวมใส่สิ่งวิเศษ
"เราว่าลึกๆแล้วท่านยังคิดมากอยู่ คนเราต้องจะระเบียบความคิดกันตลอดเวลา เราว่าการทำสมาธิจะช่วยท่านได้" เธอพูดจากประสบการณ์
" ให้เรานั่งสมาธิอย่างเดียวมันจะดีเหรอ"
" ทำสมาธิไม่จำเป็นต้องนั่งทำอย่างเดียว อริยาบถใดก็ได้เพื่อที่จะฝึกให้ใจมีความมั่นคง แบบใดถนัดท่านก็สามารถทำได้" เธอแนะนำ อีกคนจึงทำตามพร้อมหาวิธีทำสมาธิในแบบของตนเองพร้อมกับฝึกใช้แหวนเรื่อยๆเพื่อที่จะทำตามความปรารถนาของตนดังเดิม
....
"พระมเหสีทอดพระเนตรเห็นท้าวพีรเชษฐ์หรือไม่"นรราชเดินเข้ามาถามในสวนพฤกษศาสตร์เป็นการส่วนพระองค์ ขณะที่พระนางอยู่ตามลำพังเพราะให้นางบริวารแยกย้ายกันหาเก็บดอกไม้ไปร้อยพวงมาลัย
" พระองค์คงจะอยู่ที่ลานฝึกอาวุธของพวกทหารกระมังเพคะ" นางจำตอบอีกฝ่ายแม้จะไม่เต็มใจ
"เราขอบพระทัยท่าน เพื่อเห็นแก่ไมตรีของเรา โปรดรับบุปผานี้เถิด" เขายกดอกไม้ให้ ท่าทีมันออกชัดว่าเขานั้นออกจะชอบพออยู่
"ขอบพระทัยเพคะ" นางกะจะรับดอกไม้เสียให้จบๆไปจะได้ไปที่อื่น แต่ว่ามืออีกคนก็ก้าวก่ายเป็นปลาหมึกเลยนี่สิ
" ทำอะไรกันอยู่น่ะ" ท้าวพีรเชษฐ์เสด็จพอดีได้เห็นภาพคนสองคนจับไม้จับมือกันก็สงสัย
" พอดีเราให้ดอกไม้กับพระนางแต่ว่าดอกไม้จะตกเลยรับไว้ก็เลยกลายเป็นการผิดพลาดจับมือกันเสีย" โกหกน่าไม่อายตัวเองจงใจแท้ๆ
"ไม่หรอกเพคะ พระองค์คงจะหลงลืมทอดพระเนตรเห็นมือของหม่อมฉันเป็นดอกไม้เสียมากกว่า" เธอพูดเสียเป็นเชิงว่าอีกคงน่ะจงใจ
"พอเถอะสไบทอง" เขากล่าวกับชายาแล้วจึงจะคุยธุระกับสหายต่างเมืองต่อ
" หม่อมฉันทูลลาเพคะ"ว่าแล้วตนก็ไปในทันที
ทั้งสองเดินทางคุยกันอยู่มินานก็เกือบจะถึงตำหนักที่ดูจะไม่มีคนอยู่แล้ว
" นี่ตำหนักใครกันหรือ ทำไมเหมือนไม่มีใครอยู่เลย"
"ตำหนักพระโอรสบดิศรของเราน่ะ แต่ตอนนี้เขาไม่อยู่แล้ว"
"อย่าว่าเรารบกวนท่านเลยนะ ช่วยพาเราไปชมจะได้ไหม"
" ได้สิ" เมื่อทั้งสองที่เดินทางเข้าตำหนักกันตามลำพัง อดีตปุโรหิตเฒ่าที่กลายเป็นชายวัยกลางคนได้ใช้ไฟจุดกำยานให้อีกคนสลบไปและเร่งทำพิธีควบคุมอีกฝ่ายให้เป็นพวกของตนในทันที
...
" พระโอรสดีขึ้นหรือยังเพคะ" บัวถามอาการหลังจากที่ให้ยาภูมินทร์ทานแล้ว
" เราดีขึ้นแล้ว ท่านอย่าห่วงเลย" เขาตอบอีกฝ่าย
"พระโอรสพระเจ้าค่ะ พระโอรสบาดเจ็บหรือพระเจ้าค่ะ"
เจ้าหิ่งห้อยยักษ์บินมาดูสถานการณ์หลังจากที่นำพระอัยกาและพระอัยกีไปยังที่ปลอดภัย
"น้องไม่เป็นอะไรแล้วจะพี่หิ่งห้อย อย่าห่วงเลย" พระโอรสตอบถึงแม้จะยังมีอาการเจ็บอยู่ก็ตาม
"จริงสิพระเจ้าค่ะพระโอรส พวกเรายังเหลือพืชสังกรณีกับน้ำจากสระอโนดาตอยู่ น่าจะช่วยพระอาการของพระโอรสให้ดีขึ้นกว่านี้ก็ได้นะพระเจ้าค่ะ" เขากล่าว
"เดี๋ยวพี่ตาหวานจะไปนำมาให้ แต่เราจะไปเจอกันที่ไหนล่ะ ควรจะพาพระโอรสไปพักเสียก่อนนะ" ตาหวานอาสาจะไปนำมาให้ แต่ก็ต้องการให้พระโอรสอยู่ในที่ที่ปลอดภัย
" ไปเจอกันที่ทิศพายัพของท้องพระโรงนะ ที่นั่นน่ะมีพระราชฐานใต้ดินอยู่" เมื่อตกลงจึงพากันแยกย้ายและลงยังชั้นใต้ดินทีี่สร้างมาเพื่อรองรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นและได้ใช้จริงๆก็คือวันนี้
...
"บดิศรเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง" เทพวิษุวัตกล่าวถามเมื่อปัจจาได้พาตัวมารักษา
" หม่อมฉันรู้สึกเหมือนถูกฉีกร่างตอนที่พลังใช้ถึงขีดสุดพระเจ้าค่ะ แต่ว่าฝั่งนั้นก็ยังได้รับบาดเจ็บเหมือนกันพระเจ้าค่ะ ตอนที่หม่อมฉันสู้เหมือนการที่มีคนเจ็ดคนมาสู้ด้วยกันเลยพระเจ้าค่ะ " เขาตอบพลางให้ข้อมูลแด่พระเทวา
"เราพอจะเข้าใจแล้ว เราให้เจ้าพักรักษาตัวให้ดีเสียก่อน เราจะไปตกลงกับสุริยเทพ เมื่อถึงวันที่เกิดสุริยะคราสแล้วนั้น จะได้จัดการพวกนั้นได้ ส่วนเจ้าธานินทร์นำข่าวไปแจ้งต่ออัคนินว่าอย่าเพิ่งลงมือ "เมื่อจบพระบัญชาต่างก็ทำตามกันต่อไป ตอนนี้คงต้องให้เจ้าพวกนั้นพักไปก่อนแต่ไม่นานเกินรอจะได้กำจัดพวกนั้นให้สิ้นเสียที
-
จักรกรดขออภัยนะคะที่วันนี้อัพเย็นเลยเพราะว่าติดงานพิเศษค่ะ เลยจะเปลี่ยนเวลาอัพเป็น
ทุกวันเสาร์เวลา18.30 น.ตั้งแต่อาทิตย์หน้านะคะ ขอบคุณผู้อ่านที่เข้ามาสนับสนุนการอ่านเรื่องนี้ของจักรกรดค่ะ
ขอร่วมโปรโมทกลุ่มไลน์ คนรักละครพื้นบ้านค่ะ กลุ่มนี้สามารถเข้าไปคุยเรื่องต่างๆเกี่ยวกับละครพื้นบ้านนะคะ ส่วนใหญ่จักรกรดจะอ่านมากกว่าค่ะฮ่าๆ สนุกมากค่ะกลุ่มนี้ดีจริงๆ
แล้วเจอกันอาทิตย์หน้านะคะ สวัสดีค่ะ
https://line.me/ti/g2/NOf6IDqiJE_O1oYAkZVHmA?utm_source=invitation&utm_medium=link_copy&utm_campaign=default
-
"อย่าเพิ่งลงมือ.. นี่เราเตรียมการมาแล้วจะให้ล้มเลิกได้ยังไงกัน" อัคนินถามขึ้นหลังจากได้ยินคำของธานินทร์พร้อมกับอาการที่ไม่สบอารมณ์เสียเท่าใดนัก
"เอาเถอะน่า บดิศรตอนนี้ก็บาดเจ็บจากการปะทะกับเจ้าพวกนั้น พอเกิดสุริยะคราสมาพวกนั้นจะได้แยกกันสู้ไง" เขาหาเหตุผลมาบอกอีกคน
" แยกกันสู้ หึ!! รวมพลังกันสู้ล่ะสิไม่ว่า"เขาไม่เชื่อเหตุผลนั้นหรอก
"ถ้าพวกเราเก็บข้อมูลอีกสักหน่อยแล้ววางแผนดีๆ โอกาสที่พวกนั้นจะแยกกันสู้ก็ไม่ยากหรอกน่า"เขาต้องเกลี้ยกล่อมเสียเพราะไม่อยากให้เสียงาน
" ก็ได้ๆ เราจะไม่สู้ตอนนี้ "เขารับปากแบบปัดๆไปเพื่อให้อีกคนพอใจในคำตอบ
" งั้นเรากลับก่อน ใกล้เพลาแล้วเราจะมาตาม" ว่่าแล้วเขาก็ขึ้นเมฆเหินฟ้ากลับหอชิดดาราทันที
" ใครจะไปเชื่อล่ะ คอยดูฝีมือข้าเถอะเหนือชั้นกว่าบดิศรเป็นไหนๆ" เขาจะทำอยู่ดีนั่นล่ะ ไม่มีใครห้ามได้แล้ว
.....
" น่าแปลก ปกติแล้วพวกอธรรมจะไม่ยอมรามือ ทำไมถึงไม่เห็นวี่แววพวกนั้นเลยนะ"ตาหวานพึมพำเมื่อขึ้นไปสำรวจบนพื้นดินแต่กลับไม่พบพวกศัตรูได้แต่ครุ่นคิดตลอดเวลาที่ลงมายังใต้พสุธานี่
"พวกเขาคงจะคิดวางแผนให้รอบคอบกว่านี้น่ะจะพี่ตาหวาน" ภูมินทร์ที่อาการดีขึ้นกล่าวเมื่อได้ยินเสียงนั้น
" วางแผน แผนอะไรหรือพระเจ้าค่ะพระโอรส"หิ่งห้อยยักษ์ถามด้วยสงสัย
"คงจะแผนที่ทำลายเกราะกายสิทธิ์ด้วยวิธีอื่นน่ะจะพี่หิ่งห้อย วิธีนี้น้องมองว่าเสี่ยงชีวิตมากพอสมควร ไม่รู้ว่าตอนนี้บดิศรจะเป็นอย่างไรบ้าง"ไม่วายจะห่วงคนที่ขึ้นชื่อตนว่าศัตรูเลยหนา
"ช่างเขาเสียสิ จะไปห่วงทำไม เจ้านั้นน่ะทำร้ายพวกหลานนะ ฝั่งนั้นน่ะคงไม่คิดถึงว่าเจ้าจะเป็นอย่างไรหรอกหลานตา"ท้าวนวดลกล่าวเชิงเตือนด้วยอารมณ์ที่ไม่พอใจเล็กน้อยเพราะไม่อยากให้หลานเอาใจไปห่วงคนแบบนั้น
" โธ่องค์เหนือหัว หลานพวกเราเป็นคนมีจิตใจดีนึกถึงผู้อื่นก็ดีแล้วเพคะ" มเหสีอมรินทร์กล่าวกันแทนหลาน
" ก็เพราะนึกถึงผู้อื่นนั่นล่ะเรื่องถึงได้เป็นอย่างนี้ ถ้าวันนั้นไม่ใจอ่อนปล่อยไปง่ายๆ พวกนั้นก็ไม่มีโอกาสกลับมาให้หลานพวกเราบาดเจ็บหรอก" ท้าวเธอพูดตามคิดเห็นจริง ถ้าจัดการเสียให้สิ้นจะกลับมาได้อย่างไร
แต่ถึงอย่างนั้นศัตรูที่จะกลับมาทำลายน่ะจะกลับเป็นพระเทวาวิษุวัตเสียมากกว่า
เสียงสะอื้นไห้มาเป็นระลอกฟังพลางๆก็ไม่น่ายั่วอารมณ์หรอกแต่นานเข้าก็ออกจะน่ารำคาญอยู่
" สุดหล่อเป็นอะไร ทำไมถึงเอาแต่ร้องไห้ล่ะ พระโอรสพระอาการดีขึ้นแล้วนะ" บัวแย้มเข้าไปถามไถ่เจ้าตัวประหลาดนั่นที่กำลังฟูมฟาย
"ก็เกราะกายสิทธิ์น่ะสิมีรอยร้าวขีดข่วนน่ะสิ จะให้ทำหน้าดีใจออกหน้างั้นเหรอ" สิงโตตัวนี้หนิไม่ได้ห่วงคนหรอก ห่วงของวิเศษมากกว่า
" ก็เรื่องแค่นี้เองน่า คิดมากไปได้"บัวบอกเชิงปลอบใจ
" กลัวจะไม่ใช่แค่นี้น่ะสิ" ภูมินทร์กล่าวพลางคิดเรื่องนี้ต่อไปเพราะมันไม่ใช่เรื่องดีเลยที่ถูกโจมตีจนเกิดร่องรอยได้
...
วันต่อมาที่เมืองคีรีมาศ ข่าวการสืบสวนการสิ้นของพระสนมคลี่คลายหาตัวคนร้ายได้แล้วนั้นเกิดขึ้นมาก่อนการเข้าประชุมที่ท้องพระโรง นั่นพอจะให้คนสบายใจได้บ้าง ถึงเวลาควรจะออกเดินทางได้เสียที
" หาตัวคนร้ายได้ก็ดีน่ะสิ พวกเราจะได้เดินทางไปยังเมืองทิศพล" ศุภลักษณ์กล่าวขึ้นมาเมื่อรู้ข่าวจากจั๊กแหล่น
"พระโอรสเจ้าขา จะเดินทางไปลำพังกับนางไม่ได้นะเจ้าคะ ให้จั๊กไปด้วยนะเจ้าคะ นะนะ" จั๊กแหลานได้ยินดังนั้นใจก็คิดจะติดตามไปทุกหนแห่ง
"ได้สิ น้องจั๊กเรียกพี่ศุก็ได้จะ ไม่เห็นจะต้องพิธีรีตองเลย"ดูท่าคนนี้น่าจะถูกใจแม่เสือสาวไม่น้อย พูดจาเสียงหวานขนาดนี้
"แล้วองค์เหนือหัวจะพระราชทานอนุญาตหรือ"อัญญานีถามด้วยสงสัย
" ทำไมจะไม่อนุญาตอีกล่ะ คนร้ายก็หาได้แล้วนะ เตรียมตัวเถอะ เราเข้าเฝ้าเสร็จแล้วพวกเราจะรีบไปทันที" เขาพูดแล้วจึงเดินทางไปยังท้องพระโรง
เมื่อท้องพระโรงมีคนมาครบแล้วสีพระพักตร์ของท้าวธริษตรีเปลี่ยนจากนิ่งเฉยเป็นแข็งกร้าวยิ่งนัก
" เรารู้ว่าใครคือผู้สังหารพระสนมผกากรอง จงออกมายอมรับเสียดีๆ เราจะลดโทษประหารให้ ถ้าไม่ยอมรับเราจะสั่งทรมานแล้วประหารเสียอย่าให้รกแผ่นดิน" คำพูดครานี้ดูรุนแรงด้วยอารมณ์เสียมาก ทรมานคนเหรอ ประหารเหรอ กษัตริย์ผู้นี้เคยทำที่ไหนกัน เหล่าขุนนางข้าราชบริพารต่างต้องขวัญเสียเมื่อคำสั่งนี้ดูจริงจังเสียเหลือเกิน แต่ไร้วี่แววที่ใครจะยอมรับเลย
" ศุภลักษณ์!! เจ้ารู้หรือไม่ว่าในบรรดาพี่น้องพวกเจ้าน่ะมีคนกระทำความผิดแล้วปกปิดเอาไว้" เขาเปรยมาเช่นนี้สายตาทั้งหมดจึงจับจ้องไปที่พระโอรสทันที
"ไม่นะพระเจ้าค่ะ ไม่มีใครที่ไหนจะปองร้ายใครอีกคนด้วยวิธีสกปรกเช่นนี้ได้" เขามองไปยังพระโอรสอีกคนหนึ่ง นี่มันไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว
" งั้นรึ แล้วสร้อยที่เราจะประทานให้พวกเจ้าทำไมถึงมาอยู่ที่ห้องบรรทมพระสนมได้ล่ะ" เขาสุดแสนจะชิงชังลูกคนนี้เสียจริง
"สร้อยนั่นหายไปตอนจันทลักษณ์ไปประพาสป่ากับพระราชทูตแห่งศาศวัตบุรีนะพระเจ้าค่ะ อีกอย่างแค่สร้อยเส้นเดียวจะไปตัดสินอะไรได้กัน ถ้าหากเป็นของอัคนินเขาก็น่าสงสัยด้วย" เขาก็พูดถูกเกี่ยวกับสร้อยนั่น เพียงตกที่เกิดเหตุใครก็เป็นฆาตรกรได้แล้วหรือ
"ไม่ต้องมาอ้าง ในยามวิกาลเพชรราหูที่เป็นชายเข้าตำหนักสตรีได้เช่นนั้นรึ พวกเจ้าเป็นพี่น้องร่างเดียวกันก็ต้องรับผิดร่วมกัน เรามอบอำนาจการลงทัณฑ์ให้กับอัคนินจัดการทรมานและประหารเจ้าซะ" คำพูดนั้นพอจะทำให้อีกคนตกใจอยู่บ้าง แต่ก่อนจะคิดอะไรมากไปกว่านี้ตอนนี้หาทางหนีจะเหมาะกว่า เขาจึงชูสังวาลย์มณีส่องแสงแสบตาทั้งท้องพระโรงแล้วเร่งรีบไปพาตัวอัญญานีหนีทันที
" รีบไปเร็วเข้า!! "เขาคว้าข้อมือเธอรีบพาหนีไปพร้อมกับจั๊กแหล่น ก่อนแสงอันจ้านั้นจะหมดไป
"เกิดอะไรขึ้น" คนที่ถูกจูงมือวิ่ง เมื่อถึงชายป่าแล้วจึงถามอีกคนที่เร่งรีบเช่นนี้
"พวกเราถูกใส่ความเรื่องสังหารพระสนมน่ะสิ" เขามีเสียงหอบเหนื่อยปะปนเล็กน้อย
"จั๊กว่าหาที่ซ่อนก่อนดีกว่านะเจ้าคะ ถ้าเจ้้านั่นตามมาจะไม่ทันการ" จั๊กแหล่นออกความเห็น แต่นั่นกลับไม่ทันเสียแล้ว
"กล้าดียังไงหนีการลงทัณฑ์ เจ้าทำให้มารดาของข้าต้องมาตาย เจ้าก็อย่าอยู่ดีเลย ตายซะเถอะ!! "อัคนินที่ตามมาทันว่าแล้วจึงใช้พลังจากสังวาลย์ศิลาพุ่งโจมตีศุภลักษณ์ แต่โชคร้ายที่อีกฝ่ายหลบทัน
" แม่เจ้าทำตัวเองล่ะสิ ยอมลงทุนฆ่าตัวตายถวายลูก ให้ได้ทำเรื่องงี่เง่าแบบนี้"เขาเข้าใจแบบนั้นก็พูดไปแต่มันก็ตรงความจริงอยู่นา
" อย่าพูดมาก รับไปซะ!! "แล้วจึงชูสังวาลย์ปล่อยพลังใส่ศุภลักษณ์แต่ทว่าเขาก็ไหวตัวใช้พลังสังวาลย์ของตนตั้งรับได้ทัน
"ข้าจะไม่ทำให้เจ้าตายตอนนี้หรอกไอ้ลูกนอกไส้ เจ้าจะต้องเจ็บทรมานก่อนถึงจะสาสม"เขาเพิ่มพลังที่ใช้มากขึ้นเรื่อยๆแสงพลังเริ่มเข้าใกล้คู่ต่อสู้
" มีแรงเท่าไหร่ก็ใส่มาให้เต็มที่เลยสิ อยากจะรู้นักว่าคนอย่างเจ้าจะเก่งอย่างที่ปากพูดรึปล่าว" เขาเพิ่มพลังเข้าไปอีกมันก็พอจะสูสีกันอยู่ตรงกลาง
" เก็บปากไว้ขอร้องข้าเถอะ!! "โดนยั่วโมโหขนาดนี้มีหรือจะยอมได้ เขาใช้พลังเกินขีดจำกัดตัวเองจนเกือบชนะอยู่แล้วถ้าอีกฝั่งไม่ใช้พลังขั้นสุดเสียก่อน เวลาผ่านไปประวัติซ้ำรอยทั้งคู่ช้ำในมากจึงต้องผละจากกัน คนที่เฝ้ามองเหตุการณ์อยู่จึงเข้าไปดูอาการของศุภลักษณ์ทันที ปรากฏเลือดกบปากเสียมากท่าไม่ดีเอาเสียเลย
"แน่นักสิ เหอะก็แค่.." อัคนินตั้งใจจะเย้ยสักหน่อยแต่ดันกระอักเลือดเสียนี่แน่นักล่ะสินะ
"เหอะก็ไม่ต่างกันล่ะว้า" ศุภลักษณ์ตอบกลับเสียอีกคนอารมณ์ขึ้น
"อยากลองดีนักใช่มั้ย" เขาตะเกียกตะกายขึ้นมาแต่ธานินทร์เข้ามาพาหายไปเสียก่อน
"แล้วจะทำ ทำยังไงดีเจ้าคะ พี่ศุระบมแย่เลย"จั๊กแหล่นที่เป็นห่วงก็เริ่มฟูมฟาย
"เอาอย่างนี้ เราไปเมืองทิศพลกันจะได้มีที่หลบที่ปลอดภัย"อัญญานีว่าแล้วจึงใช้ธำมรงค์แก้วศุภรไปยังเมืองทิศพลในทันทีดั่งใจปรารถนา
..
(จะอัพเพิ่มตอนดึกๆนะคะ พอดีวันนี้ทำโอทีค่ะ)
-
.....
"บดิศรต้องได้เกราะเหล็กนั่นมาจากเทพวิษุวัตแน่"ประกายพฤกษ์กล่าวขึ้นเมื่อได้ยินคำบอกเล่าของหิ่งห้อยในเหตุการณ์เมื่อวานนี้ก็ตัดสินใจรู้ได้ทันที
" น่าจะเป็นอย่างนั้นเพคะ"บัวแย้มที่ฟังความมาก็สรุปแบบเดียวกัน
"น่าแปลกที่ป่านนี้แล้วพวกนั้นยังไม่มีทีท่าว่าจะมาเลยสักนิดคงจะคิดแผนอะไรไว้้ แต่ก็ต้องไปดูอีกสักรอบ เมื่อแน่ใจแล้วจะได้เชิญเสด็จประทับดังเดิม" ว่าแล้วเจ้าตัวก็ขึ้นจากชั้นใต้ดินมาสำรวจด้านบนพร้อมๆบัวกับบริวารสนิทที่เหลืิอ
"ดูท่าเจ้าพวกนั้นคงทิ้งระยะห่างของวันไว้ก่อนน่ะสิ ดีล่ะจะได้เชิญเสด็จพระอัยกาและพระอัยกีประทับตามปกติสุขดังเดิม ส่วนท้องพระโรงใช้ที่อื่นไปก่อน"เธอสำรวจไม่พบวี่แววของศัตรูก็น่าจะเบาใจได้ไม่น้อยเลย จู่ๆเสียงคนร้องเรียกหาดังมาจากท้องพระโรงที่ถูกทำลายไป
"พระธิดาเพคะ มีคนมา ดูท่าว่าจะมาขอความช่วยเหลือนะเพคะ"บัวแย้มกล่าวเมื่อได้ยินเสียงนั้น
" พระธิดาพระเจ้าค่ะ พี่หิ่งห้อยว่าพวกเราควรไปดูกันเถอะพระเจ้าค่ะ" เจ้าแมลงยักษ์เสนอมา
"พี่ตาหวานว่านะ ทุกๆคนถึงอยากจะช่วยเหลือใครต้องนะวังตัวไว้ก่อน บางทีอาจจะเป็นกลลวงของฝ่ายตรงข้ามก็ได้"ผีโครงกระดูกถือใบบัวเตือนไป ทั้งหมดจึงไปยังต้นกำเนิดเสียงนั้นพบคนเจ็บที่หนุนตักหญิงหน้าประหลาดเหมือนเจ้าสุดหล่อ กับหญิงสาวอีกคนที่พยายามหาผู้คนในวังราวกับว่าต่างทิ้งวังร้างเสียแล้ว
" พระธิดาอัญญานี... เกิดอะไรขึ้นเพคะ"บัวเรียกอีกคนทันทีที่เห็นหน้า ใจน่ะอยากจะทักทายแต่ต้องห่วงคนบาดเจ็บด้วยสิ
"ดูท่าอาการไม่ดีเลย รีบพาไปรักษาก่อนดีกว่า" ประกายพฤกษ์ออกความเห็นแล้วเจ้าตุ้บเท่งก็พาคนเจ็บขึ้นขี่หลังไปทำการรักษา ซึ่งก็ได้ใช้วิธีเดียวกันกับภูมินทร์ แล้วนี่จะเป็นยาชุดสุดท้ายที่นำมาแล้วด้วย ดีที่ยังเหลือไม่งั้นคงต้องลำบากไปหามาใหม่ อาการจึงดีขึ้นตามลำดับ
"แสดงว่าพี่น้องของเจ้าก็เข้าพวกกับเทพวิษุวัตสินะ" ประกายพฤกษ์ฟังคำเล่าก็กล่าวออกมา
"เราก็ว่าอย่างนั้นล่ะ" ศุภลักษณ์พูดตามที่รู้ที่เก็บข้อมูลมา
"แล้วองค์เหนือหัวพระพิโรธได้ถึงเพียงนี้เลยหรือเพคะ" บัวแย้มที่ฟังเหตุการณ์ก็นึกสงสัยขึ้นมา
"เสด็จพ่อน่ะไม่เหมือนเดิม เหมือนเป็นคนละคนในร่างเดิม เราว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่แต่เรายังสรุปไม่ได้ว่าอะไร"เขาตอบก็พลางเสียงดูเหนื่อยอ่ออนเล็กน้อย
"ควรให้พักผ่อนก่อนดีกว่า ไว้ถึงยามจะมาอีกที"อัญญานีเสนอแนวคิดแล้วทั้งหมดจึงออกไปปล่อยให้เขาพักตามลำพัง
" ไม่เข้าใจเล้ยไม่เข้าใจจริ๊งๆ ของรักของข้าทั้งสองต้องมีรอยร้าวของเจ้าพวกนั้นด้วยนะ น่าโมโหนัก" เจ้าตัวประหลาดที่เคยฟูมฟายก็เปลี่ยนแปรเป็นโมโหที่พวกนั้นทำ จะมากไปแล้วนะ
" ของรักอะไร๊ ของวิเศษนี่อีกล่ะสิ นิสัยเดิมแก้ไม่หาย" จั๊กแหล่นมาทักทายเสมือนรู้จักกันมานานแล้ว
" นางจั๊ก!! ของวิเศษข้าก็ต้องรักและถนอมน่ะสิ ก็เหมือนกับเจ้าล่ะว้าที่รักพวกชายชาตรีถึงได้แจ้นมากับพระโอรสศุภลักษณ์ได้น่ะห๊ะ ข้าบอกให้น่าเขาไม่สนใจเจ้าหรอก" ไม่ยอมแพ้หรอกนะ โอรสองค์นี้ดีกับตนมากซะด้วย เสือสาวจะหยิบฉวยเข้าของตนไม่ได้เด็ดขาด
"อ.. ไอ้ตุ้บเท่งไม่ได้เจอกันนานชักเอาใหญ่แล้วนะเอ็ง"ว่าแล้วจั๊กแหล่นก็เข้าตีกับสุดหล่อทันที ก่อนที่จะทะเลาะกันมากกว่านี้เจ้าผีตาหวานกับหิ่งห้อยก็ช่วยกันใช้น้ำสาดแยกมวยคู่นี้เสีย
"พวกเอ็งนี่เหมือนลูกแมวตกน้ำเลยว่ะ ทะเลาะอีกจะสาดน้ำให้เป็นฝนเลยนะึอยดู" ตาหวานพูดแบบนั้นก็ต้องหยุดไว้ตีรอบนอกเถอะจะเอาให้สาสม
...
"ทำไมเตือนแล้วไม่จำล่ะ ดูสิเจ็บตัวลำบากพามาไหมล่ะห๊ะ" ธานินทร์พาอัคนินมารักษาด้วยความไม่สบอารมณ์
"โอ๊ย ก็ข้าวางแผนมาเป็นคืนๆเลยนะจะยุติได้ยังไง"เถียงมิตกฟากเลยนะตั้งแต่กลับมาจากเหตุการณ์เสี่ยงตายนี่น่ะ
" ก็นิสัยดื้อด้านเจ้านั่นล่ะทำเดือดร้อน ตัวอย่างมีให้ดูไม่ดู" เขาตอบกลับอีกคน
" พอเถอะ ตอนนี้ก็รู้แล้วนะว่าการใช้พลังเกินตัวน่ะเป็นยังไงทั้งสองคน" ปัจจาได้ยินก็เข้ามาพูด
" มันพลาดก็พลาดไป แต่คราวนี้ต้องวางแผนให้ดี ต้องเก็บข้อมูลให้มากๆแล้วล่ะ จะได้สู้กับพวกนั้นได้"บดิศรออกความเห็น
" เริ่มจากพวกเจ้านั่นล่ะ เรื่องราวพื้นฐานเราจำเป็นต้องรู้ ระหว่างที่พวกเจ้าพักอยู่เรากับธานินทร์จะหาข้อมูลทักษะการสู้อย่างน้อยก็ก่อนสุริยะคราสในพุธที่จะถึงนี้"ปัจจากล่าวแล้วจึงออกไปธานินทร์ยังสงสัยในหน้าที่จึงตามไปสอบถาม ทิ้งคนเจ็บทั้งสองให้อยู่กันตามลำพัง
" ไงล่ะเก่งนักหนามานอนทำไมที่นี่"อัคนินเปิดฉากอยากแหนบแนมอีกฝ่าย
" เราไม่เคยบอกว่าเก่งไม่เก่ง แต่เจ้าน่ะก็ไม่ต่างกันนัก อย่ามาชวนตีมันไม่ใช่เพลา พักไป"ว่าแล้วบดิศรก็นอนหันหลังให้อีกคนเพื่อพักผ่อนเอาแรงจะได้คิดหาวิธีต่อสู้ต่อไป
....
"น้ำชันโรงที่เก็บไว้พระอัยกีให้เรานำมามอบให้เจ้า จะได้อาการดีมากยิ่งขึ้น" ประกายพฤกษ์ส่งน้ำหวานจากแมลงนี้ให้กับมือ
" เรา.. ขอบใจมากนะประกายพฤกษ์ ไม่ได้เจอกันนานเจออีกทีก็เจ็บอย่างนี้อีก" ศุภลักษณ์รับน้ำหวานมาแต่สายตาดูอ้อนเหมือนลูกแมวไหนจะมือที่บอนมาจับมืออีกคนอีกล่ะ
" เจ็บยังขนาดนี้นะ ไม่เจ็บจะขนาดไหน"เธอปัดมือส่งไปเพราะเข้าใจในท่าทีอีกคนอยู่
"โอ๊ย เจ็บนะเจ็บ" ลูกไม้นี้อยากใช้ก็ใช้แต่นั่นล่ะพอจะเรียกความสนใจอีกคนได้บ้าง
" เจ็บมากเลยเหรอศุภลักษณ์" น้ำเสียงเปลี่ยนไปนุ่มนวลเสียคนที่แกล้งเผลอเคลิ้มไป
"เจ็บมากนักเราจะสงเคราะห์ให้ จะได้ไม่ต้องมาแกล้งสำออยอีก" หวาแต่ท่าทีเปลี่ยนกลับมาเร็ว ถึงจะเจ็บก็เถอะนะแต่ว่ามาทำแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนกันสำหรับคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกในรอบสิบปี
" พระโอรสตื่นจากพระบรรทมหรือยังเพคะ" เสียงเคาะประตูดังขึ้นมาก็พอจะรู้ว่าเป็นใคร
"บัวเข้ามาสิ พี่ตื่นอยู่"จงใจเน้นหนักว่าพี่คล้ายจะลองใจอีกคนที่อยู่ด้วยกัน
"พระโอรสอย่าแทนพระองค์ว่าพี่เลยนะเพคะ บางคนฟังแล้วแล้วจะไม่งามได้" ไม่งามอย่างแรกก็คือไม่ใช่ราชวงศ์จะนับญาติได้อย่างไร ไม่งามสองคือดูสองความหมายไป เพราะคำว่าพี่ในผู้ชายยังเสมือนแทนสรรพนามคนรักอีกด้วย
" ได้ๆ พี่.. เราทำได้ทุกอย่างเพื่อบัวเลยนะ" เขาก็ไม่วายทำตัวคล้ายเจ้าชู้อย่างนั้น ไม่ชอบเท่าใดปลีกตัวดีกว่า
" เรากลับตำหนักก่อนดีกว่า พวกเจ้าไม่ได้เจอกันนานก็คุยกันตามสบายนะ เราไปล่ะ" ไม่รอให้ใครรั้งรีบไปทันที ในใจศุภลักษณ์ยอมรับว่าน่ารักพอๆหรืออาจจะมากว่ากับสตรีที่เคยพบจึงเย้าเล่นมิคิดว่าจะต่างจากผู้หญิงที่เขาเคยหยอกขนาดนี้ ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบพี่น้องเสียด้วยสิ น่าสนใจไม่น้อยเลย
" ทรงเล่นแบบนี้แล้วหรือเพคะ"บัวแย้มมองออกจึงได้ถาม
"ก็เล่นล่ะไม่นานคงเอาจริง.. บัวรู้ไหมว่าพวกเราคิดถึงบัวมากเลยนะ ถ้าไม่ติดต้องเรียนวิชาล่ะก็จะตามหาให้พบ แต่นั่นล่ะต้องยอมรับอัคนินให้ได้ถึงจะมีพี่น้องอีก แย่เลย.. " เขาเจื้อยแจ้วดี ชวนคุยสัพเพเหระกับคนที่รักเหมือนน้องสาวได้ไม่มีตกหล่น หวังว่านี่คงจะเป็นสัญญาณดีที่จะเริ่มต้นใหม่หลังการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมได้ต่อไป
-
ขณะเดียวกันนั้นเอง รัตนบุรีจะต้องเจอเรื่องไม่เป็นเรื่องจากพระราชาที่ถูกควบคุมเสียแล้ว
"องค์เหนือหัวจะยกหม่อมฉันให้เป็นชายากษัตริย์นรราชหรือเพคะ!!" สไบทองร้องทวนคำตรัสของพระสวามีด้วยความตกใจท่ามกลางผู้คนในท้องพระโรง
"ใช่ เพื่อนรักของเราปองเจ้าด้วยใจจริง ในฐานะสหายกันเราจะต้องช่วยส่งเสริมสหายให้ถึงที่สุด" ท้าวเธอช่างกล้าพูดแบบนี้ได้ ช่างเป็นเรื่องน่าอายเสียหายสำหรับพระมเหสีนัก
" ทุกคนออกไปให้หมด ฝ่าบาทประชวร มิพร้อมประชุมชุมนุมคนอีกต่อไป" เธอตัดสินใจให้คนออกไปเสีย ถ้าขืนราชายังพูดจาน่าอายแบบนี้ต่อไป คนในเมืองจะคิดยังไง
"เสด็จพี่ตรัสเช่นนี้ออกไปในท้องพระโรงได้อย่างไรเพคะ ทรงทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อราชวงศ์มิได้คิดถึงเลยหรือ หรือแม้แต่เกียรติของหม่อมฉันก็ไม่สำคัญแล้วเหรอเพคะ แล้วลูกของเราจะเป็นยังไงมิคิดบ้างเลยหรือเพคะ " เธอถามด้วยความโกรธอันเกิดจากความอาย
"อะไรจะสำคัญไปว่านรราชเพื่อนเราอีกล่ะ ดีเสียอีกเมื่อเจ้าไปอยู่กับเขาแล้วเจ้าจะสุขสบายหลายเท่า ส่วนลูกจะว่าอะไรได้ดีแค่ไหนที่จะมีพ่อคนที่สองน่ะ"ท่าทีวาจาพาโมโห มเหสีจึงพลั้งมือตบหน้าไปอีกคนไป ตัวเองก็สืบเชื้อขัตติยา แม้อีกฝ่ายจะเป็นราชาแต่ตรัสเช่นนี้คนก็มีน้ำโห ยังดีที่ให้คนออกไปหมดแล้วเรื่องนี้จึงรู้แค่สองคน
" เจ้ากล้ามากนะสไบทองที่ทำร้ายเรา โทษของเจ้าจะต้องถูกประหาร แต่ว่าเจ้าคือคู่หมายของเพื่อนเรา ดีเมื่อเจ้าไม่ยอมก็ต้องขืน ไม่ต้องพิธีรีตอง คืนนี้เราจะให้เจ้าเป็นชายานรราชทันที ทหาร นางกำนัล!! พาอดีตพระมเหสีไปประทับที่ตำหนักเก่าของบดิศร ห้ามให้ออกมาจนกว่าตะวันของวันพรุ่งจะขึ้น ไป!! " นี่มันอะไรกันแน่นะ ทำไมถึงจงใจต้องให้ไปตำหนักนั้นด้วยล่ะ แล้วคืนนี้จะรอดไหมนี่
...
"ประกายพฤกษ์ เรามีเรื่องจะปรึกษาหน่อยน่ะ"พระโอรสต่างเมืองออกมาจากที่ตำหนักรับรองดูแล้วอาการดีขึ้นมาก
" ปรึกษาอะไร"ความรู้สึกที่ไม่ไว้ใจอีกคนเดี๋ยวหาเรื่องมาทำชีกอใส่อีกหรอก
"เจ้าว่ามันแปลกมั้ย ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เทพวิษุวัตน่ะอยากจะครอบครองสิ่งวิเศษที่พวกเราสวมใส่ แต่ทำไมตอนนี้ถึงได้ส่งคนมาทำลายล่ะ" สีหน้าจริงจังกว่าเดิมมากดูเป็นการเป็นงานให้สบายใจได้
"ก็คงจะเหมือนกับว่าเราไม่ได้ใครก็ต้องไม่ได้ล่ะมั้ง แต่จะว่าอย่างนั้นก็ไม่น่าถูกไปซะหมด ทำไมถึงใช้สองคนนั้นทั้งๆอาวุธที่ใช้ใครก็น่าสวมใส่ได้" เธอก็เริ่มครุ่นคิดตาม
" คงเป็นเพราะพวกเขามีความแค้นต่อพวกเราถึงได้ใช้งาน ไม่ว่าจะไปที่ไหนพวกนั้นก็คงจะตามไปสุดหล้าฟ้าเขียว " เขาคิดเช่นนั้นก็พูดไป
" มีความแค้นต่อพวกเรา!! "ทั้งคู่นึกขึ้นได้จึงพูดออกมาพร้อมกัน
" เราก็พอจะรู้ว่าเทพวิษุวัตน่ะพิโรธต่อสุริยะในชาติก่อนที่เอาของพระองค์มา แต่ว่าจะโกรธแค้นพวกเจ้าได้ยังไง" ประกายพฤกษ์นั้นสงสัยไม่พ้นไปจากนี้นัก
" อดีตชาติคงทำไม่ดีไว้มั้ง แล้วยังช่วยพวกเจ้าด้วย แต่เราไม่ได้ว่าอย่างนั้นนะ" ไม่ได้ตั้งใจพูดเหมือนว่าพวกสหายในเกราะกายสิทธิ์เป็นต้นเหตุความวุ่นวาย
" เราเข้าใจ แต่ยังไงของวิเศษนี่น่ะจะต้องสำคัญมากแน่ๆไม่อย่างนั้นคงไม่คิดจะครอบครองหรือทำลายหรอก" เธอคิดอย่างนั้นมันต้องมีอะไรมากกว่านี้สิน่าไม่ใช่แค่เรื่องฤทธิ์เดชสิ่งวิเศษอย่างเดียวแล้ว
" เราก็เห็นตามนั้น เอาอย่างนี้ตอนนี้น่ะคนที่เกี่ยวข้องกับเทพองค์นี้คงหนีไม่พ้นอัญญานี ลองไต่ถามดูก่อน รู้เท่าไหนเอาข้อมูลมาค่อยเก็บสะสมไปก่อนแล้วจะได้สืบเสาะหาต่อไป" เมื่อคิดได้แบบนั้นทั้งสองจึงพากันไปพบอัญญานีทันที
.....
ตกดึกตติยยามคืนนั้นพระมารดาของเหล่าผู้ใช้เกราะกายสิทธิ์ต้องพบกับเหตุการณ์คราเคราะห์เสียแล้ว เสียงขอเข้าเฝ้าดังขึ้นมาเพื่อจะช่วยจัดแจงแต่งพระวรกายให้สง่าสมกับรอเข้าหอ
" ขุนท้าวมาได้ยังไงกันน่ะ องค์เหนือหัวพระราชทานอนุญาตให้เข้ามาได้งั้นหรือ" พระนางมองคนสนิทอย่าไม่น่าเชื่อที่พระสวามียังคิดส่งคนมาหาได้
"เพคะ องค์เหนือหัวทรงให้หม่อมฉันมาจัดแจงแต่งพระวรกายเพคะ" ว่าแล้วจึงรีบแต่งกายให้ก่อนเวลาจะหมด พร้อมกับส่งสิ่งของให้อย่างลับๆ หมดเวลาแล้วทั้งหมดจึงออกไป คนใหม่ก็เข้ามานั่นคือปุโรหิตในนามนรราชร่างวัยกลางคนนั่นเอง ขณะนั้นสไบทองกำลังหันหน้าเข้าหากระจกเพื่อมองคนที่เข้ามาจากด้านหลัง แต่ต้องประหลาดใจที่เห็นเป็นหน้าค่าตาปุโรหิตสิระบิดาของสไบแก้วแทนที่จะเป็นใบหน้าของนรราช ตกใจก็จริงอยู่แต่ต้องทำเหมือนไม่รู้อะไร แล้วดูเหมือนว่าเจ้าสิระเฒ่าก็มิรู้ตัวว่ามีคนเห็นเขาผ่านกระจกแล้ว เขาลืมคำเตือนธานินทร์ว่า ถึงหน้าจะเปลี่ยนไปอย่างไรก็ต้องระวังการส่องกระจกให้มากเพราะกระจกมันสามารถสะท้อนตัวตนได้
"สไบทองหันมาทางเราสิ" นรราชเรียกชื่อด้วยสำเนียงเสียงเสน่หา นางจึงหันกลับไปพลางใช้มีดในมือจ่อที่คอตนเพื่อต่อรองกับอีกฝ่าย
"นรราชปล่อยเราไปซะ ไม่อย่างนั้นเราจะฆ่าตัวตาย" เสียงขู่ก้องทำอีกคนไขว้เขว แต่คนอย่างนางจะกล้าทำจริงเหรอ
"เจ้าไม่กล้าทำหรอก" เขาวางท่าพูดเหมือนรู้ดี
" ใครว่าไม่กล้า" นางใช้มีดกรีดไปที่ข้างสันกรามจนเกิดแผลสร้างความกังวลในความกล้าของนางต่ออีกคนอย่างมาก
"ยอม.. เรายอมแล้ว"เขาทำทีเป็นยอมเพราะกะจะรวบตัวเมื่อเผลอ
"ดี เจ้าหันหลังไป" เธอสั่งตาขึงแข็งอีกคนก็ยอมให้อย่างใจเย็น เมื่อได้การแล้วพระนางจึงใช้พระฉายที่ตั้งอยู่ฟาดด้านส่องใส่ศีรษะของเขา ไม่ทันทีเขาจะหันกลับมาสไบทองก็ใช้มีดปักที่หลังอีกคนพร้อมกับปีนหน้าต่างหนีไปตามที่นัดหมายกับขุนท้าวทันที
....
เสียงพระฉายแตกในห้วงความฝันได้ทำลายการบรรทมในยามแสงอาทิตย์สาดส่องมาในอีกวันสักพักหนึ่งแล้ว
"เสด็จแม่!!" ศนิวารตื่นจากการหลับไหลในความฝันที่เห็นพระมารดาที่อยู่ในกระจกนั้นแตกไปพร้อมกับกระจกเนื่องจากแมงป่องยักษ์ใช้ก้ามของมันทุบเข้าอย่างแรง เหงื่อของเขาไหลพรากไม่อยากจะเชื่อในฝันร้ายนี้เลย
"พระโอรสทรงเป็นอะไรหรือพระเจ้าค่ะ" เจ้าหิ่งห้อยที่ได้ยินเสียงร้องเรียกที่เกิดจากความตกใจเข้ามาหาด้วยความเป็นห่วง
"น้องฝันร้าย.." เขาว่าแล้วจึงเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง
"อย่าทรงเป็นกังวลเลยพระเจ้าค่ะ เขาว่าฝันร้ายมักจะกลายเป็นดี... " แมลงยักษ์พูดปลอบขวัญอีกคนหวังให้ใจสงบลง แล้วเล่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาให้ฟัง
" น้องว่าเราไปเข้าเฝ้าพระอัยกากับพระอัยกีกันดีกว่าจะ" ว่าแล้วทั้งคู่จึงเดินทางไปยังตำหนักที่ตั้งมาแทนท้องพระโรงที่เสียไปเป็นการชั่วคราวในทันที
" เท่าที่ฟังตากลัวว่าจะเป็นลางน่ะสิ" ท้าวนวดลที่เป็นห่วงพระธิดาเริ่มจะไม่สบายใจเข้าให้แล้ว
"พระทัยเย็นก่อนนะเพคะ บางทีลูกของเราอาจจะไม่เป็นอันตรายถึงขั้นนั้นก็ได้เพคะ" พระมเหสีอมรินทร์กล่าวปลอบขวัญอีกคนถึงตนจะหวั่นไม่แพ้กัน
"ถ้าอย่างนั้นก็ลองกลับไปยังรัตบุรีก่อนดีไหม จะได้รู้ว่าที่นั่นเกิดอะไรขึ้นกันแน่" เมธาวีเสนอความเห็น ไปดูเสียให้รู้จะได้ไม่ต้องกังวล หรือจะกังวลกว่าเดิมกันนะ
" เราก็อยากไปอยู่หรอก แล้วถ้าทางนี้พวกนั้นย้อนกลับมาอีกล่ะจะทำยังไง จะให้ปล่อยทิ้งไว้เหมือนบ้านเมืองเจ้าน่ะเหรอ" น่าปวดหัวแล้วสิจะไปเมืองนั้นก็ห่วงเมืองนี้
" นี่เจ้า เราไม่ได้ทิ้งให้เป็นอันตรายนะ อย่างอัคนินน่ะไม่ยอมให้บ้านเมืองที่แย่งสิทธิ์คนอื่นมาพังทลายง่ายๆหรอก"เขาพูดอย่างนั้นเธอก็เริ่มหงุดหงิด คนอุตส่าห์หวังดีเสนอแนวคิดให้แท้ๆ
" เอาล่ะๆ พวกเจ้าไปเถอะ ทางนี้เราจะช่วยดูแลให้" อัญญานีที่เห็นท่าไม่ดีจึงได้บอกไป
" ดูแลยังไง" เขาที่อารมณ์เริ่มจะไม่ดีถามขึ้นมา
" พระธิดาอัญญานีมีธำมรงค์แก้วศุภรเพคะ"บัวแย้มช่วยพูดอีกแรง
"ใช่ จินดาสอนเราทำสมาธิตอนนี้สามารถใช้แหวนได้ดั่งใจ หากมีอันตรายเราจะใช้แหวนวงนี้ช่วยทุกคนเอง"เธอก็พูดตามนั้นเพราะน่าจะทำได้ดังใจจริงๆล่ะนะ
"อย่างนั้นก็น่าจะอันตรายพอตัวเหมือนกันถ้าจะช่วยคนครั้งละมากๆนะ"เมธาวีกล่าวเหมือนจะค้าน
" ไปดูเถอะหลานแล้วกลับมาหาตาใหม่ก็ได้ ระหว่างนี้ก็อยู่ใต้ดินไปก่อน ยังไงชีวิตแม่เจ้าก็สำคัญที่สุดแล้ว ให้พระธิดาเมธาวีไปเป็นเพื่อนมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน" ท้าวนวดลตัดปัญหาเสียจะได้เดินทาง
"เราจะใช้แหวนนี้ไปส่งนะ ถึงเพลาแล้วจะไปรับ"เธอจับมือเมธาวีแล้วเมธาวีก็จับมือศนิวารอฐิษฐานไปส่งยังตำหนักพระบุตรธิดาที่เมืองรัตนบุรีทันที อัญญานีจึงลากลับ ทั้งสองจึงแยกย้ายกันดูสถานการณ์เพราะในวังตอนนี้ดูแปลกไปจากเดิม
......
"นั่นพระมเหสีสไบทอง รีบไปจับเร็วเข้า"ทหารที่ท้าวพีรเชษฐ์ใช้ให้มานำตัวสไบทองกลับได้เจอคณะเดินทางหนีเข้าให้แล้ว เมื่อพากันหนีเหล่าทหารที่กันก็ดักไว้ก่อนพอจะยื้อเวลาให้พระนางหนีไปได้ไกลแต่ทว่าก็มีทหารนายหนึ่งหลุดมาได้ ทุกคนจึงหาที่ซ่อน
"พระมเหสีเพคะ ทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์กับหม่อมฉันเถอะเพคะ"นางกำนัลขอเปลี่ยนเสื้อจนอีกคนสงสัยทำไมต้องมาเปลี่ยนตอนคับขันอย่างนี้ด้วย
"จะให้เปลี่ยนตอนนี้เลยเหรอ เจ้าคิดจะทำอะไรกัน" เธอทั้งถามทั้งยังต้องระวังทหารที่กำลังตามหาที่ซ่อน
"หม่อมฉันจะล่อทหารคนนั้นไปอีกทางเพคะ ไม่อย่างนั้นจะไม่ทันการแน่เพคะ"ว่าแล้วจึงรีบเปลี่ยนชุดของกันและกันจึงแยกย้ายไป
"เราขอบใจเจ้ามากระวังตัวด้วย" สไบทองกล่าวก่อนจะไป
" เพคะ ขอแค่พระองค์ทรงรอดปลอดภัยหม่อมฉันก็สบายใจแล้วเพคะ" ว่าแล้วจึงแยกออกจากกันในทันที ทหารที่ตามมาพบก็วิ่งตามนางกำนัลตัวหลอกล่อทันทีแต่ดันวิ่งพลาดตกเข้ากับกับดักนายพรานจนถึงแก่ความตายใบหน้าที่เกิดบาดแผลก็ดูมิรู้ว่าเป็นใคร ทหารจึงอนุมานว่าสไบทองได้สิ้นพระชนม์เป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงได้พาร่างไร้วิญญาณกลับเมืองเป็นหลักฐาน
...
"ศนิวารกลับมาทำไมไม่บอกพ่อ" ท้าวพีรเชษฐ์ที่ออกมาจากด้านหลังได้ถามเขาด้วยสีหน้าจริงจังแต่สังเกตดูแววตาก็ว่างเปล่า
"เสด็จพ่อแล้วเสด็จแม่ล่ะพระเจ้าค่ะ" ถึงจะรู้สึกผิดปกติแต่ก็ยังอยากจะถามอยู่ พระบิดาตบเข้าที่ใบหน้าลูกยาอย่างจังเมื่อได้ยินคำถามที่ไม่เป็นที่พอใจเท่าใดนัก
"ช่างกล้าพูดถึงนางเพศยานั่นนะ เมื่อคืนนี้นางทำร้ายนรราชพระสหายเราแล้วหนีหายไป ตอนนี้เรากำลังรอให้นางกลับมาขอขมาอยู่" เขาพูดคำนี้ได้อย่างไม่รู้สึกรู้สา นี่มันบ้าอะไรกัน ถึงจะสงสัยแต่ก็ไปดีกว่าจะได้ตามหาพระมารดาแต่ทว่ามือของพีรเชษฐ์มาจับมือซ้ายศนิวารไว้สะบัดเท่าใดก็ไม่หลุดพ้นเมื่อหันกลับไปก็พบว่าร่างกายที่จับตนกลายเป็นหินหนักไม่ว่าจะเอาตัวออกอย่างไรก็ไม่เป็นผล
" ทำไมห้องนี้ถึงมีเศษกระจกแตกไปทั่วอย่างนี้นะ" เมธาวีที่แอบเข้ามาตำหนักของบดิศรที่เปิดไว้ด้วยความสะเพร่าของผู้ดูแลที่มัวแต่สนใจด้านนอกจนลืมปิดประตู เป็นช่องโหว่ในการเข้ามาของคนนอก
"เลือดนี่.. แสดงว่าเมื่อคืนเกิดเรื่องไม่ดีแน่ๆ ต้องไปบอกศนิวารแล้ว" ว่าแล้วจึงแอบออกมาพบพวกนางกำนัลพูดกันเรื่องเหตุการณ์เมื่อคืนได้ความจึงรีบไปหาศนิวาร แต่ก็ได้เจอว่ามีคนท่าทางบาดเจ็บกำลังเดินทางไปยังท้องพระโรง
"มันมาได้ยังไง บดิศรยังไม่จัดการมันอีกเหรอ" เขาพึมพำพลางรีบเร่งเดินทางโดยไม่สนใจร่างกายที่บาดเจ็บของตน ไม่รู้เลยว่ามีคนเฝ้าอ่านคำจากปากอยู่ เมื่อเมธาวีรู้ดังนั้นจึงรีบตามไปทันที
" คฑาวุธศิศีระ" ศนิวารเรียกคฑามาตีหุ่นหินจนหินนั้นกลายเป็นน้ำแข็งเย็นเขาจึงตีอีกครั้งน้ำแข็งนั่นก็แตกไปพร้อมร่างหิน พอดีกับที่นรราชได้เดินทางมาถึง
"เจ้ารอดมาได้ยังไง!!" เสียงตวาดกร้าวจากชายวัยกลางคนที่ไม่คุ้นหน้ามาก่อนเลย
"เจ้าเป็นใครเกี่ยวข้องอะไรกับบดิศร"เขาถามจากคำเกรี้ยวของฝ่ายตรงข้ามที่เหมือนกับรู้เรื่องการต่อสู้กับบดิศร
"ไม่สำคัญ สำคัญว่าวันนี้เจ้าต้องตาย" ว่าแล้วเขาก็ใช้ลูกศิษย์มาใช้มนต์ทำโซ่ล่ามขาศนิวารไว้ เมธาวีก็เข้าถีบลูกศิษย์เจ้าปุโรหิตจากด้านหลังแล้วทำการต่อสู้กันกับศิษย์ทั้งสามคนนั้นทันที นรราชคนใจโฉดเข้ามาเงื้อมือที่ถือดาบจะฟันศนิวารที่กำลังสนใจเหตุการณ์ที่ผู้หญิงมาช่วยทั้งที่ตนช่วยเหลือตนเองได้แท้ๆแต่อีกคนน่ะไหวตัวทันจึงใช้คฑาวุธตีตอกกลับจนร่างของเขากลายเป็นน้ำแข็ง ฝ่ายลูกศิษย์เห็นท่าไม่ดีจึงใช้มนต์ดึงขาของศนิวารให้ตัวห้อยหัวไม่สามารถตีคนที่ตัวแข็งเป็นน้ำแข็งได้ในรอบที่สอง เมธาวีจึงปล่อยลำแสงประกายม่วงจากสังวาลย์ทำให้ดวงตาของศิษย์ทั้งสามของปุโรหิตในร่างราชาบอดแสบทรมานแล้วโซ่ที่ตรึงขาของศนิวารก็หลุดได้จากการที่เขาใช้กำลังยกตัวขึ้นมาตีโซ่ให้แตกจากนั้นจึงมุ่งเข้าตีน้ำแข็งร่างนรราชแตกกระจายทันที
"แม่เจ้ากำลังตกอยู่ในอันตราย..." เมธาวีเข้ามาเล่าเหตุการณ์คืนวานให้ฟัง ทั้งสองไม่รอช้ารีบไปยังป่าที่คาดว่าสไบทองจะเดินทางโดยทันที
...
"ขุนท้าว ขุนท้าวเป็นอะไร" สไบทองเข้าดูอาการหญิงชราอีกคนที่ล้มเป็นลมแต่ว่าดูท่าเหมือนจะขาดใจ
"หม่อมฉันไม่ไหวแล้วเพคะพระมเหสี"อาการมิสู้ดีแล้ว
" ไม่ได้นะขุนท้าว ตอนนี้เราเหลือขุนท้าวคนเดียวแล้ว อย่าจากเราไปเลยนะ" เธอน้ำตาร่วงรินด้วยความผูกพันที่มีต่อหญิงคนสนิท
" คนเรามีเกิดแก่เจ็บตายเพคะ แต่หม่อมฉันยังมีห่วงพระมเหสีต้องทรงสัญญากับหม่อมฉันว่าจะอยู่รอดต่อไป เถอะนะเพคะ"อาการหนักขึ้นเรื่อยเปลือกตากำลังจะปิดลง
"ได้ได้ เราสัญญาอย่าได้ห่วงเราเลยนะขุนท้าว"สิ้นคำกล่าวขุนท้าวก็สิ้นด้วยความล้าที่วิ่งหนีมาทั้งคืนทั้งวัน สไบทองจัดการฝังศพให้อย่างเรียบร้อยแต่ใจอาลัยนักจึงยังสะอื้นไห้อยู่จนไม่รู้ว่ามีคนกำลังมาจ้องมองอยู่
...
" นี่มันเรื่องอะไรกัน!!" แม่มดเกลียวทองที่เพิ่งมาถึงเมืองได้ถามขึ้นมาเมื่อพบแต่ศิษย์ทั้งสามของนรราชแต่ไม่พบตัวเขา
"ช่วยพวกข้าด้วยเถอะ อาจารย์ข้าน่าจะตายแล้ว โอย" ศิษย์คนนึงก็ตอบขึ้นมา
"ตาย ตายได้ยังไง" ว่าแล้วตนจึงจับศิษย์คนนั้นมา
"คนที่ใส่เกราะกับสังวาลย์มันมาที่นี่" เขาพูดแค่นั้นความโมโหของนางแม่มดก็ทะลุจุดเดือดจุดเผาศิษย์ทั้งสามของสิระอดีตปุโรหิตให้ตายทั้งเป็น แล้วจึงถามกับคนในวัง ถ้าไม่ตอบตามที่รู้จะมีจุดจบไม่ต่างกัน ทั้งหมดจึงพากันเล่าตั้งแต่กษัตริย์นรราชมาว่ามีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง
" ตายเพราะตัณาก็สมควรแล้ว ดีล่ะเราจะใช้งานเจ้าพีรเชษฐ์เพื่อให้ได้เมืองนี้มาครองอย่างถาวร" หลังจากที่ฟังคำเล่าคนในวังก็เข้ามาหาพระราชาตามลำพังเมื่อคิดได้จึงใช้มนตราของตนเข้าควบคุมทันทีโดยที่เจ้าตัวยังไม่ทันได้รู้สึกตัว ครานี้แววตาดูเป็นธรรมชาติกว่าที่เจ้านรราชควบคุมไว้เสียอีก ทหารที่ได้รับคำสั่งให้ตามล่าสไบทองกลับมาพร้อมร่างอันไร้วิญญาณที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นพระมเหสีเข้าเฝ้าพระราชาเล่าเหตุการณ์ เกลียวทองที่แอบฟังอยู่ก็รับรู้ว่าฝั่งนั้นก็สูญเสีย จึงหายตัวไปยังหอชิดดาราเพื่อแจ้งข่าวให้บดิศรรับรู้
...
" ใคร ใครน่ะ.. "สไบทองเมื่อรู้ตัวว่ามาคนแอบมองจึงได้ถามพลางถือมีดเตรียมป้องกันตัว
"เสด็จแม่ ลูกเองพระเจ้าค่ะ" ศนิวารปรากฏตัวพร้อมกับเมธาวีมาหาทำให้ดวงใจแม่ชื้นขึ้นมาบ้าง
"ศนิวารลูก แม่คิดว่าจะไม่ได้มีโอกาสเจอลูกอีกแล้ว" น้ำตาพรั่งพรูออกมาด้วยเศร้าที่ต้องกลายเป็นแบบนี้ระคนดีใจที่ได้พบลูกอีก
"แล้วนี่ เมธาวีเองหรือ" เธอถามเพราะจำสังวาลย์เส้นนี้ได้
" เพคะหม่อมฉันเอง" เธอไหว้มารดาสหายเพื่อทำความนอบน้อม
"อยู่ที่นี่กันนี่เอง.. นี่คือพระมารดาหรือเพคะ อัญญานีขอนอบน้อมเพคะ" อัญญานีที่มารับตามเวลาโดยตามมาจากของใช้ของเมธาวีไหว้ด้วยคน
"ลูกว่าเรากลับเมืองทิศพลกันก่อนเถอะพระเจ้าค่ะ" ว่าแล้วทุกคนจึงเดินทางกันกลับบ้านเมือง
" สไบทอง เป็นอย่างไรบ้างลูก เจ้าเจ็บมากหรือเปล่า ดูท่าไม่ดีเลย"พระมเหสีอมรินทร์เข้ามากอดถามทันทีที่กลับ ดวงใจหนึ่งเดียวตอนนี้ดูโทรมมากกว่าตอนที่เดินป่ามาคราวที่โดนไล่เสียอีก
" หม่อมฉันไม่เป็นอะไรเพคะ แต่เสด็จพี่เปลี่ยนไปเหลือเกินเพคะ..." แล้วตนก็เล่าเหตุการณ์ให้ฟังตั้งแต่ที่นรราชเข้ามาความสัมพันธ์ก็เริ่มจะแปรเปลี่ยนอย่างน่าตกใจ
"พีรเชษฐ์ เราอุตส่าห์ให้โอกาสกลับมาดูแลลูกเรา แต่กลับกลอกแบบนี้เห็นทีจะต้องตัดขาดถึงที่สุดแล้ว เจ้าอย่าได้ไปยุ่งกับรัตนบุรีอีกเลยนะลูก"ท้าวนวดลฟังความก็ไม่พอใจอย่างแรง
"แต่หลานว่ามันแปลกไปพระเจ้าค่ะ ลูกรู้สึกเหมือนเสด็จพ่อจะถูกควบคุม" ศนิวารทำท่าจะค้านด้วยเหตุการณ์ที่ตนเจอแต่ถูกดักไว้ก่อน
" ไม่ต้องแก้ต่างให้พ่อ.. ให้เจ้าราชาคนนั้นอีก เขาไม่ให้เกียรติแก่แม่หลาน แม้แต่ตัวหลานเอง วันนี้พอแค่นี้พาสไบทองไปพักก่อน" ว่าแล้วมเหสีอมรินทร์จึงขออาสาพาไปดูแลปลอบขวัญตามประสาแม่ลูก ให้หลานพักผ่อนร่างกายก่อนจึงค่อยมาเยี่ยม
" พระธิดาได้รับบาดเจ็บหรือเพคะ" บัวแย้มสังเกตเห็นแผลอันเกิดจากการลอบกัดที่มือของเมธาวี แล้วจับมือมาดูด้วยเป็นห่วง
" แค่นี้เองน่าอย่าใส่ใจเลย" เมธาวีกล่าวเพราะไม่อยากให้บัวกลุ้มใจ
"มานี่ เป็นแผลลึกแล้วยังบอกแค่นี้อีก" ศนิวารแย่งมือมาจากบัวแล้วพานั่งใช้สมุนไพรที่เก็บไว้ในน้ำเต้าออกทำแผลให้
"ขอบใจมากนะ ยังพกน้ำเต้านี่อยู่อีกเหรอ" เธอมองเห็นน้ำเต้าอมฤตยังอยู่แต่ไม่เห็นนำมาใช้เลยถามไป
"ยังอยู่ เอาไว้ใช้เก็บสมุนไพรไปพลางๆก่อนไว้เกิดเรื่องเกินจะเยียวยาค่อยใช้น้ำเต้า" เขาพูดไปก็ทำแผลไป
"เข้าใจแล้ว เจ้าก็ทำแผลเก่งดีนะ.. ทำอะไรน่ะ" กำลังชมดีๆก็ต้องชักมือออกด้วยตกใจเล็กน้อยเพราะอีกคนทำแผลเสร็จก็เป่าที่แผล
" ก็เป่าให้หายเร็วๆน่ะสิ"เขาตอบให้เธอแล้วส่ายหัว อัญญานีที่มองอยู่ก็อดยิ้มไม่ได้ นั่นเหมือนจำมาจากแม่ที่เป่าแผลลูกเบาๆเพื่อให้รู้สึกว่าหายอย่างนั้นล่ะดูน่ารักดีเหมือนกัน บัวแย้มที่มองก็ยิ้มด้วยเหตุผลเดียวกัน
"พวกเจ้ายิ้มอะไรกันน่ะ" เมธาวีที่ยังงงจากการกระทำเมื่อครู่ทั้งๆที่ไม่ได้เป่ามนต์แท้ๆจะหายได้ไงหันมาเห็นคนสองคนยิ้มก็อดถามไม่ได้
"ก็คิดว่าเราน่าจะทำอะไรให้สงบใจดีไง มาเล่นหมากรุกกันดีกว่า จะได้ช่วยกันคิดวางแผน" อัญญานีเบี่ยงประเด็นถึงแม้จะเก็บอาการไม่อยู่ก็เถอะ แต่แปลกที่สองคนที่ทำแผลนี้ไม่รู้ก็ตกลงเอออลงเล่นหมากรุกด้วยกัน แล้วก็ชวนบัวมาร่วมด้วยจะได้สอนเล่น
....
"เสด็จตาสิ้นเพราะมันงั้นเหรอ หลานจะไปฆ่ามัน" บดิศรฟังคำเล่าของนางแม่มดก็จะลุกพรวดพราดไปแต่แม่มดเกลียวทองก็ห้ามไว้
"อย่าเพิ่งไปเลย เจ้ายังไม่หายดี ฝั่งนั้นก็คงเสียใจไม่ต่างกันเพราะแม่พวกมันน่ะตายแล้ว" แม่มดก็เล่าเท่าที่รู้แต่คาดไม่ถึงน่ะสิ
"แล้วที่ว่าพวกสังวาลย์มณีก็มาด้วยงั้นเหรอ"อัคนินได้จังหวะก็ถาม
"ใช่ พวกนั้นมีคนว่ามันก็บาดเจ็บอยู่ไม่ต้องกังวลไป" เธอพูดอย่างนั้นอัคนินก็พอใจ
" บดิศร อาจะไปรับแม่ของหลานกลับรัตนบุรีก่อนนะ ไว้แล้วพวกเราค่อยมาร่วมมือกำจัดพวกนั้นวันสุริยะคราสนี้กัน" ว่าแล้วนางแม่มดก็ไปยังศาศวัตบุรีทันที
" เจ้าจะยังไม่บอกเรื่องคฑาวุธให้สองคนนั้นรู้เหรอ"ธานินทร์ถามขึ้นมาขณะแอบมองอยู่กับปัจจา
"ไว้วันหลังเถอะ ถ้าบอกวันนี้บดิศรได้ทวงชีวิตตาของเขาที่พวกเราไม่ได้ช่วยจนวุ่นวายอีกหรอก" ว่าแล้วก็จากไป จริงๆสองคนนี้ก็เฝ้าดูเหตุการณ์การต่อสู้เพื่อเก็บข้อมูลมาวางแผนการสู้ในวันที่ทั้งหมดจะแยกร่างจากกันโดยไม่คิดจะช่วยชีวิตเฒ่าหัวงูให้เหนื่อยป่าว
...
" ไม่ค่อยจะมีสมาธิเลยนะ ยังกังวลใจเรื่องท้าวพีรเชษฐ์อยู่เหรอ" เมธาวีถามเมื่อเห็นว่าอีกคนไม่ค่อยสบายใจและจะสนใจเท่าไหร่นักกับการเล่นหมากรุกนี่
" ใช่ เท่าที่ฟังมาบางทีอาจจะไม่ใช่เสด็จพ่อเองก็ได้ที่ทำแบบนี้่ ถ้าทำจริงก็น่าจะถูกควบคุมไว้" ศนิวารว่าตามที่รู้และคิดเองด้วยส่วนหนึ่ง
" เราได้ยินคนนินทาว่าในวันส่งตัวเข้าหอเมื่อคืนนี้น่ะ มีเสียงการต่อสู้กันของพระมเหสีสไบทองกับนรราช เขาว่าเป็นตำหนักของบดิศร เราเข้าไปในนั้นก็เจอกระจกแตกทั่วห้องบรรทมนั้น บางทีิอาจจะมีบางอย่างที่พระมารดาของเจ้ายังไม่ได้เล่าให้ครบก็เป็นได้นะ" เธอกล่าวข้อมูลที่หามาได้แล้วก็ลองคิดดู
"ทำไมถึงเสด็จแม่เราจะเล่าเรื่องได้ไม่ครบล่ะ" แม่เขาก็เล่าเหตุการณ์ว่าสู้แล้วหนีมาด้วยหนิไม่เห็นจะมีอะไรตกหล่นเลย
"บางทีอาจเป็นเพราะพระนางยังพระขวัญเสียอยู่จึงเล่ามิครบก็เป็นได้" อัญญานีกล่าวเพราะรู้สึกว่าน่าจะมีอะไรมากกว่านี้
"เราจะไปถามเสด็จแม่" ศนิวารลุกขึ้นจะไปแต่ก็ถูกห้ามไว้
" บัวว่ารอก่อนเถอะนะเพคะ ตอนนี้พระทัยของพระมเหสียังไม่ค่อยสู้ดีนัก ถ้าไปถามจะเป็นการตอกย้ำมากกว่า" บัวแย้มที่เห็นก็ปรามไว้ก่อน
" พรุ่งนี้ไว้ให้สุริยะถามให้ก็ยังได้ แต่ว่าเรื่องนี้อย่าเพิ่งให้ถึงพระเนตรพระกรรณขององค์เหนือหัวนวดลจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นจะสร้างความไม่พอพระทัยให้ได้" เมธาวีเสนอมา เขาจึงยอมรับข้อนี้แล้วจึงปลีกตัวไปทำจิตใจให้สงบก่อนดีกว่า
......
"ท.. ท่านพ่อสิ้นแล้วหรือจ๊ะน้องเกลียวทอง"วิมาลานามใหม่มารดาของบดิศรถามขึ้นมาด้วยสีหน้าที่แสนจะตกใจที่ได้ยินข่าวความตายของบิดา
" ใช่ น้องก็จนปัญญาที่จะช่วยเพราะไม่เหลือแม้แต่สังขารเลยจะ" แม่มดทำสลดไปอย่างนั้นแต่ในใจก็หมดภาระไปหนึ่ง
"ท่านพ่อ.. มิน่าเลย" เธอเริ่มจะทำท่าสะอื้นไห้ ใจของเกลียวทองก็ไม่ชอบคนร้องไห้จึงได้พูดต่อ
"อย่าให้เสียที่ท่านพ่อพี่วิมาลาทำเลยนะ ไปกับน้องไปอยู่ที่รัตนบุรีกันดีกว่า"ถือโอกาสนี้ชวนทันทีจะได้ไม่เสียเวลา
" พวกเราสามารถยึดเมืองนี้ได้แล้วเหรอจ๊ะ" ถึงจะยังเสียใจที่พ่อสิ้นแต่ได้ยินข่าวนี้ก็อุ่นใจที่จะได้ที่อยู่อันถาวรนี้ก่อนที่อายุเมืองศาศวัตจะสิ้นไป
" ใช่จะ เกลียวทองว่าพวกเราไปกันเลยดีกว่า"ว่าแล้วก็ไม่รอช้าเธอจึงคว้ามือของวิมาลาไปยังรัตนบุรีทันที
-
ในวัันต่อมาที่เมืองทิศพล สุริยะที่รู้เรื่องจากบันทึกของศนิวารจึงขอเข้าเฝ้าพระมารดาเพื่อหาบางอย่างที่อาจจะตกหล่นไปถึงแต่ใจจะไม่อยากทำร้ายทางอ้อมโดยการรื้อฟื้นถึงเหตุการณ์ไม่น่าจดจำเช่นนี้
"เมื่อวานแม่ตกหล่นไปจริงๆเรื่องนั้น" สไบทองที่สามารถทำจิตใจให้เข้มแข็งขึ้นได้แล้วนั้น เมื่อได้ฟังคำถามถึงเรื่องราวเมื่อคืนนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าตนไม่ได้บอกส่วนสำคัญที่สุดไปเพราะความโศกเศร้า
"แล้วส่วนนั้นคืออะไรกันหรือพระเจ้าค่ะ" สุริยะได้ถามต่อในขณะที่แม่นั้นกำลังคิดว่านี่น่าจะเป็นความจริง
" ราชานรราชคืออดีตปุโรหิตสิระ แม่เห็นเงาสะท้อนในกระจกตอนที่เป็นคืนส่งตัว" เธอเล่าให้ลูกฟังทีแรกก็ไม่แน่ใจ แต่คิดดูดีๆมันก็ใช่จริงๆเธอจึงได้พูดออกมาอย่างมั่นใจ
" แสดงว่าพวกเขาคงจะมีแผนเกี่ยวกับเมืองรัตนบุรีแน่เลยพระเจ้าค่ะ" เขาตอบผู้เป็นแม่หลังจากที่ได้ยินเพราะทางนี้ก็ถูกบดิศรตามจัดการเหมือนกัน
" นี่ล่ะคงจะจองล้างจองผลาญกันไม่เลิก ยังไงลูกก็ต้องระวังตัวให้มากที่สุดนะ ถึงแม่จะอยากให้สู้ตอบโต้กับพวกเขาขนาดไหน แม่ก็ไม่อยากให้ลูกไปฆ่าใครจนเป็นบาปติดตัว" การที่ลูกและตนถูกทำร้ายนั้นก็อยากจะให้สู้กลับบ้างเพราะเก้าปีที่เคยผ่านตอนนั้นยิ่งไม่ตอบโต้ยิ่งถูกร้ายรุนแรงขึ้นทุกวันโดยส่วนใหญ่นี่จะเป็นทางใจ ใครไม่โดนก็มิรู้หรอก แต่ก็ตามที่พูดคนเป็นแม่ก็ไม่อยากให้ลูกเฆ่นฆ่าใครถึงแก่ชีวิตเช่นกัน
" พระเจ้าค่ะ.. เรื่องเสด็จพ่อเท่าที่ลูกทราบมาจากบันทึกของศนิวารนั้น ลูกจะไปตามสืบเรื่องที่ทรงถูกควบคุมเองพระเจ้าค่ะ" สุริยะรับปากเรื่องนั้นก็จริงแต่ศนิวารก็สังหารนรราชไปก่อนเสียแล้วไม่ทูลให้ทราบเห็นจะดีกว่า แล้วเมื่อนึกถึงพระบิดาก็จึงได้ทูลไป
"การที่มีปุโรหิตสิระในนั้นก็พอจะยืนยันได้ว่าเขาใช้ไสยเวทควบคุมพระบิดาของลูก เมื่อลูกจะไปแม่ก็ไม่ห้ามแต่ว่าลูกต้องระวังตัวให้มาก ส่วนพระอัยกาของลูกแม่จะไปทูลเรื่องนี้เองเพราะพระองค์จะไม่ยินยอมง่ายๆ" สไบทองกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับพระบิดาของตนที่โกรธและชิงชังในราชบุตรเขยผู้นี้จนไม่อยากฟังอะไรเกี่ยวกับเขาเท่าใดนัก สุริยะจึงทูลลาเพื่อจะไปยังรัตนบุรีต่อไป
.....
" เราขอแต่งตั้งให้วิมาลาขึ้นเป็นพระมเหสีของเราแต่เพียงผู้เดียวและขอแต่งตั้งให้เสาวภาเป็นที่ปรึกษาส่วนพระองค์ ส่วนอดีตโอรสธิดาของอดีตพระมเหสีสไบทองคาดโทษไว้ หากมีใครพบเจอลักลอบมายังรัตนบุรีให้สังหารในทันที หากมีใครคัดค้านคำกล่าวข้างต้นและร่วมมือเป็นสมัครพรรคพวกกับพวกนั้น ไม่ใช่แค่ตัวเจ้าที่จะศีรษะขาดแต่รวมคนในตระกูลถึงเจ็ดชั่วโคตรด้วย" เสียงประกาศก้องในท้องพระโรงของท้าวพีรเชษฐ์ที่ถูกควบคุมอีกครั้ง เมื่อไม่นานมานี้ก็ทำเรื่องมากพออยู่แล้ว ครานี้จะสั่งตัดหัวคนไม่ทำตามกันอีกมันก็น่าฉงนและค้านสายตาอยู่ แต่คนในท้องพระโรงก็ต้องยอมรับคำประกาศจากองค์เหนือหัว ไม่เช่นนั้นชีวิตจะหาไม่ สร้างความพอใจให้เกลียวทองที่ตอนนี้เปลี่ยนหน้าเปลี่ยนชื่อเป็นเสาวภาที่คอยควบคุมอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล โชคชะตาคราวนี้ดูจะเข้าข้างทำอะไรก็ง่ายไปเสียหมด
.....
ั"ถ้าข้าไม่ทำแบบนี้ลูกก็จะไม่มีความสุขสินะ" ผกากรองในร่างของธริษตรีราชาพึมพำกับตัวเองขณะที่เดินสำรวจตำหนักของตน นางใช้มือผลักเชิงเทียนลงเผยให้เห็นห้องลับซ่อนอยู่ แล้วจึงได้ตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องนั้นพบว่าเป็นร่างของนางนั่นเอง
"จะให้ทำใจมันก็อยากอยู่หรอก แต่แม่จะรอความสำเร็จของเจ้านะอัคนิน" เธอเข้าไปลูบใบหน้าของสังขารที่เธอสละมาอย่างนึกเสียดายแต่ก็ต้องอดทนเพื่อลูก ร่างกายนี้เดิมทีเข้าใจว่าได้ทำพิธีเผาไปแล้ว แต่เปล่าเลยร่างนี้ยังอยู่ที่นี่ ถึงแม้จะกลับเข้าร่างเดิมไม่ได้อีกแล้วแต่ตนก็อยากจะเก็บไว้เพราะเพศสภาพที่อยู่ไม่ใช่สตรีจึงได้อาลัยร่างเก่า ส่วนร่างที่ทำพิธีศพนั่นน่ะหรือ ก็แค่หาฆ่าคนมาสับเปลี่ยนก็เท่านั้นเอง
......
"พระโอรสสุริยะเพคะ!!" จั๊กแหล่นมากระโดดดักหน้าสุริยะที่กำลังจะไปหาพวกสหายเพื่อแจ้งว่าตนจะออกเดินทาง
"ใครกันน่ะ" ให้ตายเถอะศนิวารไม่ได้บันทึกจั๊กแหล่นให้รู้จักเพราะตนไปช่วยพระมารดาไม่มีเวลาให้อีกฝ่ายเกี้ยวนี่นา
" จั๊กแหล่นเพคะ ได้รู้มาว่าวันนี้เป็นพระโอรสเลยจะขอมาชมโฉม ถูกใจจั๊กจริงๆเพคะ" พูดไปตนก็บิดม้วนขวยเขินนัก
" เป็นหญิงก็อย่าแสดงท่าทางให้มากเกินงามเลยน่าจั๊กแหล่น" กลุ่มสหายได้เดินทางเข้ามาหาพอดี เสียงร้องห้ามเป็นเชิงหยอกมาจากผู้หญิงที่ใส่สังวาลย์
"จั๊กก็แค่มาทำความรู้จักกับพระโอรสเท่านั้นเองเพคะ" แก้ตัวได้อย่างนั้นมันก็ชัดแจ้งเห็นๆอยู่ไม่ใช่เหรอท่าทีนั้นน่ะ
"รู้จักหรือกะจะเก็บไว้สะสมกันล่ะนางจั๊กแหล่น"สุดหล่อที่ตามมาดูสิ่งวิเศษประจำวันให้สบายใจเห็นท่าทีเสือสาวก็อดว่าไม่ได้
"หนอยไอ้ตุ้บเท่ง" กำลังจะทะเลาะกันอยู่แล้วเชียวถ้าไม่มีเสียงเรียกชื่อเสียก่อน
"ท่านคงจะเป็นอัญญานีที่เราได้ยินจริงๆ.. แสงสุรีย์ไม่ได้เจอกันนานสบายดีใช่ไหม" สุริยะทักทายทั้งสองคนพลางยิ้มด้วยความยินดีที่ได้พบเจอ
"เราเอง เราต้องขอบใจท่านมากที่ช่วยเราในป่า" อัญญาณียิ้มตอบรับ เธอไม่เคยลืมคนมีน้ำใจคนนี้ วันนี้ก็เวียนมาพบกันอีกแล้วนะ
"ก็ไม่เชิงว่าสบายดีนักหรอก แต่การได้พบกับสหายมากมายเช่นนี้ก็ดีต่อใจเรานะ" แสงสุรีย์ตอบ จะว่าดีก็ไม่ใช่ซะทีเดียวหรอก ถูกหมายหัวจากพระบิดาซะขนาดนั้น
" เราขอความช่วยเหลือจากท่านใช้ธำรงค์แก้วศุภรนำพาเราไปยังรัตนบุรีได้หรือไม่" เขาไม่รอช้าเปิดประเด็นต่อทันทีเพราะอยากไปดูพระอาการของพระบิดาเต็มทน
" คราวนี้คงจะไปช่วยท้าวพีรเชษฐ์สินะ ได้ เราจะช่วยท่านเอง" เธอพูดอย่างรู้ด้วยสถานการณ์ที่ผ่านมาก็จูงใจอยู่มิน้อย
" เราขอช่วยด้วยคน เผื่อมีอะไรไม่ชอบมาพากลล่ะก็จะได้ช่วยกันระวัง"ผู้สวมสังวาลย์วิเศษก็เสนอเข้าช่วยด้วยเช่นกัน
"อะไรน่ะ เมื่อวานก็พากันไปวันนี้ก็ไปอีกแล้ว นี่กะจะไม่พักสิ่งวิเศษพวกนี้บ้างหรือยังไงกันน่ะห๊ะ" เจ้าสิงโตถึงกับไม่สบอารมณ์เมื่อรู้ว่าของวิเศษจะไปพบอันตรายอีก
" เจ้ามันก็ชอบขัดชอบขวางอยู่ได้นะไอ้ตุ้บเท่ง"จั๊กแหล่นได้ทีก็ว่าบ้าง ช่างน่าหมั่นไส้อะไรถึงปานนี้
" สุดหล่อตะหาก"เขาเถียงเรื่องชื่อเสียงเรียงนามอยู่ ทีเผลอแบบนี้ทั้งสามก็ไปยังรัตนบุรีในทันที
.....
"หนูบัวไม่เห็นจะต้องมาช่วยพวกฉันเก็บดอกไม้ไปถวายพระมเหสีกับพระธิดาเลยนี่ น่าจะอยู่สบายเฉยๆดีกว่านะ"นางกำนัลที่กำลังเก็บดอกไม้ไปถวายพระนางทั้งสองเพื่อร้อยพวงมาลัยบอกกับบัวที่ช่วยคัดช่วยเก็บดอกไม้อย่างขยันขันแข็ง
"บัวไม่อยากอยู่เฉยๆจะ แล้วงานเลือกดอกไม้แค่นี้เองไม่เห็นจะลำบากอะไรเลยนี่จ๊ะ" บัวแย้มก็ช่วยต่อไปด้วยความเต็มใจ
" เก็บเสร็จหรือยังดอกไม้น่ะ รีบไปถวายพระมเหสีอมรินทร์กับพระธิดาสไบทองได้แล้ว" ขุนท้าวที่มีอายุมากพอสมควรมาตามเหล่านางกำนัลด้วยท่าทีที่ดุดันที่เก็บไม่ทันใจ นางกำนัลจึงขอแยกทางไปก่อน
" วันนี้เลือกดอกไม้ได้ดีกว่าครั้งก่อนๆมากนะ ยังดูสดใสเหมือนไม่ได้เด็ดออกจากต้นเลย" มเหสีอมรินทร์กล่าวชมอย่างพึงพอใจ
" วันนี้มีหญิงติดตามพระธิดาอัญญานีแห่งโกสุมพิสัยที่ชื่อบัวแย้มมาช่วยพวกนางเลือกเก็บเพคะ" ขุนท้าวคนนี้ถึงจะดูมาดครึมไปบ้างแต่สายตาก็มองเห็นความสามารถคนมิปล่อยโอกาสที่จะทูลให้ทรงทราบ
" เช่นนั้นฝีมือการร้อยพวงมาลัยคงจะดีและระเอียดไม่แพ้การเลือกเก็บเท่าใดเช่นกัน"สไบทองพูดอย่างเอ็นดูเพราะพอจะรู้เรื่องบัวมาบ้าง
" ขุนท้าวไปพาบัวแย้มมาร้อยมาลัยกับพวกเราเถอะ ดูท่าแล้วนางคงจะว่างจากการดูแลอยู่ก็เป็นได้" พระมเหสีรู้ใจของธิดาตนจึงออกโอษฐ์ให้พามาร่วมร้อยพวงมาลัยอีกคน
.....
ขณะนี้ทั้งสามคนได้มาถึงรัตนบุรีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ดูท่าทีคนในวังจะกังวลกันเป็นพิเศษ บังเอิญอะไรกันหนาที่อำมาตย์เรืองรองกำลังเดินทางกลับเรือนผ่านมาตรงนี้พอดี เขารู้สึกถึงความผิดปกติที่มีคนแอบมองอยู่จึงได้ให้คนของตนล่วงหน้าไปก่อนส่วนตนจะจัดการเอง เขาคว้าดาบมาจะป้องกันตัวโดยการฟาดฟันแต่ถูกยั้งไว้ก่อน
"ท่านอำมาตย์เราเอง" สุริยะกล่าวพร้อมพามายังที่ลับตาคน
"พระโอรสกลับมาทำไมพระเจ้าค่ะ ตอนนี้สถานการณ์ไม่ดีทรงกลับมาเช่นนี้จะเป็นอันตรายนะพระเจ้าค่ะ"
อำมาตย์แทนที่จะดีใจที่ได้พบกลับหนักใจมากเป็นพิเศษ
"ทำไมถึงถามเราเช่นนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่" เขาสงสัยในทีอีกคนจึงได้รีบถามก่อนจะนานไปกว่านี้
"องค์เหนือหัวมีพระบัญชาให้สังหารพระโอรสพระธิดาที่มายังรัตนบุรีทันทีที่มีคนพบ หากไม่ทำตามจะถูกประหารเจ็ดชั่วโคตรพระเจ้าค่ะ" เขาทูลตามที่ทราบประกาศจากพระโอษฐ์โดยตรงนั่นทำให้สุริยะสับสนเป็นอย่างมาก
" แล้วนอกจากนี้ยังมีพระบัญชาอะไรอีกรึเปล่า" อัญญานีถามต่อเพราะอีกคนดูท่าจะสับสนเกินจะถามต่อได้
" ไม่มีพระเจ้าค่ะพระสหาย เพียงแต่ว่าวันนี้มีการแต่งตั้งพระมเหสีพระองค์ใหม่ชื่อวิมาลากับเสาวภาเป็นที่ปรึกษาหญิง" เขาดูท่าทีของเธอก็ไม่น่าใช่ข้ารับใช้ก็ต้องเป็นเพื่อนกับพระโอรสนั่นล่ะ
" ทำไมเร็วนักล่ะ จนถึงเมื่อวานนี้ก็เกิดแต่เรื่องวุ่นวายไม่ใช่เหรอ" แสงสุรีย์ตกใจที่ได้ยินเช่นนี้เมื่อวานนี้เมธาวีมายังสู้กับนรราชอยู่เลยทำไมวันนี้เข้าสู่ปกติเร็วนักล่ะ
" เพราะว่าพระมเหสีสไบทองสิ้นพระชนม์แล้วพระเจ้าค่ะ" อำมาตย์กลั้นใจตอบเพราะกลัวว่าพระโอรสจะฟูมฟายไป
" เราเชื่อใจท่านได้แค่ไหน"สุริยะถามดังนั้นอำมาตย์จึงตอบรับ เขาจึงให้อำมาตย์เรืองรองกลับไปก่อนหากมีเรื่องให้ช่วยจะบอกเอง
...
"หายดีแล้วหรือถึงมาเดินเล่นตามระเบียงแบบนี้น่ะ"บดิศรกำลังถามอัคนินที่ดูว่าอาการไม่น่าจะดีไปกว่าตนจะมีแรงมีรับลมที่ระเบียงได้
"มี มีพอจะจัดการกับเจ้านั่นล่ะ" ดูท่าเขาจะไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก
"ใจเย็นสิ ถามแค่นี้ถึงกับโกรธกันอย่างกับฟืนไฟ" บดิศรพยายามใจเย็นคุยด้วย
" นี่เจ้าคิดว่าพวกนั้นหายไปจากโลกนี้จะดีกว่าไหม" อัคนินถามอย่างนี้กะจะฆ่าให้ตายเลยล่ะสิศัตรูน่ะ
"ก็ดีและก็ไม่" อยู่ดีๆทำไมพูดอย่างนี้ล่ะตัวเองก็จะฆ่าเขามิใช่หรอกหรือ
"ยังไง" เขาฉงนทำไมถึงบอกว่าไม่
"มันก็หมดคนมาทำให้ฝีมือพัฒนาให้เพิ่มขึ้นน่ะสิ" มันก็จริงอย่างที่ว่า
"ไม่เห็นจะต้องพัฒนาเลย อย่างไรซะถ้ากำจัดพวกนั้นได้ก็เท่ากับว่าฝีมือน่ะไม่มีใครเทียบได้" เขาก็พูดจริงอีกนั่นล่ะ
"แสดงว่าเจ้าไม่ชอบพัฒนาตัวเองน่ะสิ" บดิศรเหน็บไปทีแต่นั่นกลับทำให้อัคนินไม่พอใจอย่างมากเข้าเสียแล้ว
......
" เสด็จพ่อพระเจ้าค่ะ" สุริยะที่ซุ่มมองรอให้องค์เหนือหัวอยู่ตามลำพังได้ปรากฏตัวต่อพระพักตร์ทันที
" เจ้ากล้าดียังไงถึงลอบมายังตำหนักของข้า ดีเลยวันนี้จะเป็นวันตายของเจ้า" เขาไม่รอช้าคว้าดาบไล่ฟันทันที
"ช้าก่อนพระเจ้าค่ะ เหตุใดเสด็จพ่อถึงได้แต่งตั้งคนที่วิมาลาเป็นพระมเหสีล่ะพระเจ้าค่ะ" ถึงจะถามอยู่แต่ก็ต้องคอยหลบหลีกอาวุธให้พ้นกาย
"นางไม่ได้เพศยาเหมือนแม่เจ้า"เขาฟันไม่ยั้งมือเลย โอรสจึงใช้กระจกกันไว้ปรากฏว่านี่คือร่างจริงๆของพระบิดาแต่ว่าคนไล่ฟันได้ผ่าลงกระจกไปก็แตกชุลมุนน่าดู
วิมาลากลับมาประทินน้ำอบเพิ่มเสน่ห์ในตัวขึ้นแต่กลับพบพระฉายตั้งอยู่ทั้งๆที่สั่งให้นำออกไปแล้ว
"ใครนำมาตั้งอีกล่ะ" เดินผ่านชั่วครู่ก็เห็นหน้าแท้ในกระจกแล้วก็หงุดหงิดใจจึงปากระจกทิ้งเสีย เท่านี้ก็พอจะรู้แล้วว่าเป็นสไบแก้วนั่นเอง
ด้านเสาวภาก็กำลังมีความสุขกับการเลี้ยงดูต้นไม้พิษพวกนั้นคนที่ลอบมองก็ไม่ต้องลำบากส่งกระจกอะไรหรอกนี่ล่ะแม่มดเกลียวทองตัวจริง เมื่อได้ความแล้วจึงได้กลับมารวมตัวกันที่เดิมขาดก็แต่สุริยะนั่นล่ะ
"ไม่ผิดตัวแน่นี่ล่ะแม่มดเกลียวทองจะต้องควบคุมท้าวพีรเชษฐ์แน่" อัญญานีก็เล่าให้ฟัง
"ทางนี้ก็พบว่าวิมาลานางก็คือสไบแก้วที่เราเคยได้ยินมาเหมือนกัน" แสงสุรีย์ก็ตอบ
"ทำไมสุริยะถึงได้นานขนาดนี้นะ" อัญญานีก็พูดด้วยความเป็นห่วง
ฝ่ายนั้นก็พลาดท่าโดนฟันและแทงจุดสำคัญแต่กลับพบว่านี่คือผลไม้ที่มาแทนสุริยะ เขากำลังจะมาคว้าพระบิดากลับไปด้วยแต่ว่าแม่มดนั่นรู้ตัวแล้วจึงนำตัวมาไว้กับตนได้ทัน
" กล้านักนะที่มาหาที่ตาย" ว่าแล้วจึงใช้พลังใส่อีกแต่คราวนี้ก็เป็นเพียงแค่ท่อนไม้ ใช่แล้วนางโดนหลอก จึงรีบออกตามหาทันที
"กว่าจะมา รีบไปกันเถอะ" และแล้วทั้งสามก็กลับมายังเมืองทิศพล
"เสด็จพ่อเป็นพระองค์จริงแต่ว่าการจะช่วยน่ะไม่ง่ายแล้วล่ะ" สุริยะกล่าวให้สหายทั้งสองฟัง
" ทำไมถึงไม่ง่ายล่ะสุริยะ" อัญญานีถามด้วยสงสัย
"เพราะมนตราที่ทรงถูกกระทำนั้นตรึงพระองค์ไว้กับเมือง ขึ้นพาออกมาก็ถึงแก่พระชนม์ชีพ เราจึงได้ปล่อยไปก่อน" เขาเล่าให้ฟังแบบนั้น เธอก็เริ่มสงสัยว่าจะเหมือนเมื่อคราวพระบิดาทรงถูกกระทำหรือไม่
"เราว่านางไม่ทำให้ท้าวพีรเชษฐ์สิ้นได้หรอกเพราะเขาก็เป็นพระบิดาของคนทางนั้นเหมือนกัน อีกอย่างถ้ายังดูแลดีก็มิน่าเป็นห่วง"แสงสุรีย์ก็เห็นตามนั้น
" แล้วทางท่านมิเป็นอันตรายบ้างหรือ" เขานึกได้ว่าสหายก็เพิ่งออกมาจากเมืองด้วยเหตุที่พระบิดาเปลี่ยนไป
"ถ้าอันตรายคงทำร้ายถึงสิ้นพระชนม์ไปนานแล้ว อัคนินน่ะก็ต้องการพ่อเป็นของตนเองไม่เหตุผลอะไรต้องสังหาร " ถึงจะเสียดายที่ไม่ได้ไปดูบ้านเมืองตนเองแต่ก็ไม่อยากรบกวนอัญญานีอีก
" แหวนวงนี้ก็ใช้ไปยังที่ต่างๆแค่ครั้งเดียวต่อวันแล้วด้วยสิ เราขออภัยจริงๆนะแสงสุรีย์" เธอก็ขอโทษเสียอย่างกับว่าเป็นความผิดของนางขนาดนั้น
" ไว้พรุ่งนี้ไปดูความเรียบร้อยของเมืองคีรีมาศกันดีกว่า ส่วนเรื่องแก้มนต์ไว้ให้ภูมินทร์ช่วยจัดการจะดีกว่า" เขาเห็นเหมาะสมอย่างนั้นจึงได้บอกอีกคน
" มิเห็นต้องลำบากเลย" เธอก็ปัดไปเพื่อจะได้ไม่รบกวน
" เอาเถอะน่า อย่างน้อยๆจะได้ช่วยกันหาวิธีแก้เหมือนของสุริยะยังไงล่ะนะนะ" อัญญานีเซ้าซี้จนสุดท้ายแสงสุรีย์ก็ใจอ่อนแล้วทั้งสามจึงแยกย้ายกันไปที่พักตน
-
"พระโอรสจันทลักษณ์เพคะ จั๊กมาแล้ว" แม่เสือสาวมาพบเขาตั้งแต่เช้าเลยดูท่าจะมีอะไรพิเศษเสียด้วยสิ
" อ้าวจั๊กแหล่น แต่งตัวดูดีเชียว วันนี้เป็นวันอะไรหรือป่าว" เขาวางบันทึกลงแล้วถามจั๊กแหล่นดู
"แหมก็ ก็วันนี้เป็นวันที่พระโอรสมายังไงล่ะเพคะ นานๆจะเจอกันที" เธอพูดพลางใช้นิ้วจ่อกันแบบท่าทีที่เขินอาย
"เราก็นึกว่าวันพิเศษอะไรเสียอีก จริงสิได้เพลานัดแล้ว เราไปก่อนนะ" จันทลักษณ์พูดด้วยมินานก็จะจากไปอีกแล้ว
" ประเดี๋ยวก่อนสิเพคะ อะไรกันน่ะไหนว่ากันว่าวันนี้จะไม่ไปรัตนบุรีแล้ว แล้วจะเสด็จไหนอีกล่ะเพคะ" จั๊กแหล่นยื้อไว้เพราะนี่ก็พากันไปไหนมาไหนตั้งสองวันแล้ว
" เราจะไปดูว่าเสด็จพ่อทรงเป็นอย่างไรบ้างและจะดูความเรียบร้อยของเมืองคีรีมาศด้วย ไม่ต้องห่วงหรอกนะ เราจะกลับมาแน่" เขาไม่ขอพูดพร่ำทำเพลงอีกจึงได้้ไปยังจุดนัดหมายตามที่บันทึกไว้
......
" ตอนนี้เท่าที่พวกเรารวบรวมมาได้นั้น เรารู้ว่าทางนั้นสามารถเรียกอาวุธจากสิ่งที่สวมใส่ได้ แต่ว่าตอนนี้ที่รวบรวมมาได้เห็นจะมีแต่พระขรรค์ของอังคาสกับคฑาวุธของศนิวารเท่านั้น ส่วนพวกที่เหลือพวกเรายังไม่รู้" ปัจจาได้เล่าให้ผู้รับภารกิจทั้งสองฟังเพื่อเป็นข้อมูลในการต่อสู้ที่จะถึง
" เรารู้อีกคน จันทลักษณ์ใช้หอกเป็นอาวุธจากสังวาลย์นั่น" อัคนินที่ดูท่าจะเป็นการเป็นงานบ้างเพราะจะต้องจัดการด้วยกัน ไม่เช่นนั้นคงได้รับโทษที่คาดไว้เมื่อคราวที่ดื้อดึงไปสู้กับเขา
" วันนี้เราเห็นว่าพวกเจ้าก็อาการดีขึ้นมากแล้วควรจะฝึกฝนตนให้พร้อมกับวันสุริยะคราสที่จะเกิดขึ้นด้วย ส่วนเรากับปัจจาจะไปหาข้อมูลเพิ่ม" ธานินทร์ได้พูดแล้วทั้งหมดจึงแยกย้ายกันทำหน้าที่ตน
...
"เรามาตามนัดแล้ว.. จันทลักษณ์"พระนัดดาของเมืองนี้มาถึงเป็นคนที่สองเห็นชายยืนหันหลังรออยู่ก็รู้ว่าเป็นสหายเก่านี่เอง
" จันทราภา.. ไม่ได้.. ไม่ได้เจอกันเสียนานเลยนะ สบายดีใช่มั้ย"เขาหันกลับมาแต่เมื่อเห็นโฉมนางก็พูดตะกุกตะกักขึ้นมาหน้าก็แดงระเรื่อ ตั้งใจจะทำให้แปลกใจเสียหน่อยทำไมถึงประหม่าได้ล่ะ
"เราสบายดี แต่ดูท่าเจ้าไม่ค่อยสบายเท่าไหร่นะ" ถึงจะแปลกใจจริงๆนั่นล่ะแต่ก็อดยิ้มไม่ได้ท่าทีแบบนั้นก็มีด้วยเหรอไม่คุ้นเลย
" เราสบายดี แต่ว่าเพิ่งจะได้เจอเจ้าก็เลยทำตัวไม่ถูกน่ะ นี่แวววิเชียรที่รอขอพันธุ์ไปคราวนั้น เราให้" ทำตัวปกติได้ก็นำดอกไม้มาส่งให้ด้วยความพอใจในผลงานตน
" ขอบใจมาก ประเดี๋ยวนะนี่เก็บดอกไม้ได้นานขนาดนี้เลยเหรอมันก็เจ็ดวันแล้ว" เธอพอใจในความสวยน่ารักก็จริงอยู่แต่น่าฉงนดอกไม้ที่เด็ดจากต้นจะคงสภาพดีขนาดนี้เลยเหรอ
" ดอกไม้นี้เป็นดอกไม้แรกที่เราปลูกแล้วเติบโตมาเป็นดอก เราเลยเก็บไว้เพื่อจะมอบให้น่ะ เราใช้พลังนิดหน่อยแล้วก็หมั่นพรมน้ำกับน้ำอบไว้ทุกๆเจ็ดวัน" เขาพูดไปก็อดยิ้มไม่ได้ เขาใส่ใจดอกไม้เพื่อจะนำมาให้อีกคนดูแลต่อไปถึงขนาดนี้ได้ยังไงกันนะเขาก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน รู้แค่ว่าเธอคือคนสำคัญคนหนึ่งในชีวิตเท่านั้นเอง
" ดีจริงๆเลยนะ เราจะช่วยดูแลต่อให้เอง"เธอยิ้มอย่างพอใจที่ได้ยินคนตรงหน้าเล่าถึงสิ่งที่กระทำเกี่ยวกับดอกไม้นี้
"เราว่าได้เพลาแล้วนะไปกันดีกว่ามั้ย" อัญญานีที่มาเวลาไล่เลี่ยได้เฝ้ามองพฤติกรรมทั้งสองได้สักพักก็พูดขึ้นอย่างได้จังหวะเสียเหลือเกิน
"อัญญานีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เราตกใจหมดเลย" เธอมองคนที่เพิ่งมาพร้อมกับถามไป คงไม่ได้ยินที่สนทนาเมื่อครู่หรอกนะ
"มาเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วแต่จะคิดนะ" เธอแกล้งพูดเสียนี่สายตาก็มองเห็นแวววิเชียรอย่างชัดๆก็อดยิ้มไม่ได้
"เจ้าก็นะ ตอนนี้เล่นภาษาดอกไม้ด้วย ความหมายก็ไม่เบาเลย" ไม่วายจะแหย่สหายอีกคน
" ใครๆก็เล่นนะ เอาเป็นว่าพวกเราไปคีรีมาศกันดีกว่า เราอยากจะรู้ความเป็นไปในบ้านเมืองเราแล้วล่ะ"เขาพูดอย่างจริงจังเสียอีกคนคิดเลิกเล่นเสียก่อนเพราะตอนนี้มันสำคัญกว่า ไม่นานนักทั้งสามก็ได้มาถึงคีรีมาศด้วยเวลาอันรวดเร็วด้วยฤทธิ์ของแหวนวิเศษของพระธิดาแห่งโกสุมพิสัยที่สวมใส่อยู่
" ตำหนักของพระสนมที่ว่าคือตำหนักไหนเหรอ เราจะได้ช่วยดูให้ ที่เรารู้มาก็ผิดปกเกินไป"จันทราภาที่พอจะรู้เรื่องก็จะอาสาไปดูให้เพราะเข้าใจดีกว่าลูกนั้นต้องการที่จะพบพ่อและเวลาก็ไม่คอยท่าที่จะให้ทำอะไรหลายอย่าง เขาบอกทางให้แล้วแยกกันเป็นสองทางโดยที่หญิงสาวนั้นไปด้วยกัน เมื่อมาถึงที่เขาก็ได้พบพระบิดาที่ตำหนัก แต่ทว่ารัศมีดูหม่นหมองไม่กระจ่างใสเหมือนแต่ก่อน เขายังไม่อยากจะเชื่อว่าบิดาตนนั้นเปลี่ยนไปเลยแต่ก็อดลังเลใจไม่ได้เพราะศุภลักษณ์บาดเจ็บเพียงนั้นเพราะคำอนุญาตของใครกัน
"จันทลักษณ์ อยู่ดีไม่ว่าดีก็รนหาที่ ดีล่ะข้าจะได้แก้แค้นให้ลูก" ผกากรองคิดอยู่ในใจเมื่อรู้ถึงความไม่ชอบมาพากลในตำหนักก็พอจะเดาไม่ไม่ยากเย็นด้วยพระโอรสวันจันทร์นั้นใจอ่อนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่แปลกที่จะกล้ามาหาองค์เหนือหัวเพราะถ้าเป็นคนอื่นคงแข็งใจไม่มาเสียดีกว่า
"วันนี้ก็เป็นวันจันทร์แล้ว ไม่รู้ว่าจันทลักษณ์จะเป็นอย่างไร ศุภลักษณ์ก็ดื้อด้านไม่ฟังคำพ่อ ป่านนี้คงทำให้ลูกคนอื่นๆเข้าใจพ่อผิดกันหมด" เธอในร่างราชาแสร้งว่าตนนั้นเศร้าเสียใจเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นตรงกับที่พระโอรสวันศุกร์ได้บันทึกเตือนไว้ คนใจอ่อนก็เข้ามาตามที่คิด
" เกิดอะไรขึ้นกันแน่หรือพระเจ้าค่ะเสด็จพ่อ"เขาไม่รั้งรอที่จะเข้ามาเมื่อได้ยิน
" ลูกพ่อ ศุภลักษณ์เขาไม่ฟังคำตัดสินเลย เพชรราหูเป็นคนสังหารพระสนม เขาก็เข้าข้างมิได้ฟังเหตุและผลที่ควรจะเป็น" เธอไม่พูดต่อเพราะจำมิได้เท่าใดนักว่าจะเท็จอย่างไรไม่ให้คลาดเคลื่อนไปกว่านี้" ลูกเลี้ยงคนนี้นอกจากจะใจอ่อนดูท่าจะหัวอ่อนเชื่ออีกตะหาก
มารยาหญิงยิงเรือผู้นี้นั่นไม่นานก็พอจะทำคนเชื่อได้ มันช่างเข้าทางของนางเหลือเกิน
"แปลกจริง ที่นี่ไม่มีหลักฐานอะไรหลงเหลือบ้างเลยนะ"อัญญานีกล่าวเมื่อเห็นแต่ตำหนักที่ว่างเปล่า
" น่าจะมีแต่เราน่าจะยังหาไม่พบนะ" จันทราภากล่าวตอบ เชิงเทียนที่ตั้งอยู่แลแล้วมีความปราณีต อัญญานีเข้าชมใกล้ๆแต่มือเจ้ากรรมดันไปถูกกับเชิงเทียนจนเอนลง ปรากฏว่ามีประตูห้องลับเปิดอยู่
" นี่ล่ะ หลักฐานชั้นดีต้องอยู่ในห้องนี้แน่" เมื่อเห็นดังนั้นจึงได้มุ่งหน้าจะเข้าไปมิทันไรลูกธนูที่เป็นกับดักก็ยิงเข้ามาในระยะประชิดดีที่หลบได้ทัน
"นี่มันจะอันตรายเกินไปแล้วนะ" เธอที่เห็นจันทราภาจะถูกกับดักก็พูดออกมา ดีที่ว่าเธอไหวตัวทันจึงได้รอด
"ถึงจะเข้าใกล้ไม่ได้ก็ใช่ว่าจะไม่เห็นอะไรซะทีเดียว" จันทราภาได้พูดขึ้นมาเมื่อเห็นร่างไร้วิญญาณในห้องนั้น
"หรือว่าจะเป็นพระศพสนมองค์นั้น แต่ทำพิธีแล้วก็ไม่น่าจะเป็นไปได้นี่"อัญญานีที่ตามมาดูก็ได้เห็นเช่นกันแต่ยังประหลาดใจอยู่
"เรามีเพลาไม่มาก" จันทราภาไม่รอช้าเร่งวาดภาพของสนมนั้นลงบันทึกเพื่อให้ได้ลักษณะที่จะมาเล่าสู่ให้จันทลักษณ์ฟังโดยทันที อัญญานีก็ได้คอยเก็บธนูที่ปล่อยออกมาไปซ่อนเสียจะได้ไม่มีใครผิดสังเกต
" เช่นนั้นแล้วเมื่อถึงวันอาทิตย์ทรงกลดลูกจะบอกให้ศุภลักษณ์เข้าใจพระเจ้าค่ะ แต่ว่าเพชรราหูเป็นน้องของลูกลูกทำใจลงโทษไม่ได้พระเจ้าค่ะ" จันทลักษณ์พูดหลังจากถูกโน้มน้าวให้กระทำโทษพี่น้องกันเองจากคนที่อาศัยร่างพระบิดาอยู่
"ทำไมจะไม่ได้!!" ถึงจะควบคุมอาการเกลียดชังไว้ก็จริงอยู่แต่ไม่ได้ดั่งใจเช่นนี้อารมณ์ก็ขึ้นเป็นธรรมดา
" ลูกทำไม่ได้จริงๆ เป็นไปได้ลูกขอรับผิดแทนเพชรราหูพระเจ้าค่ะ"เขาพูดพลางคุกเข่าลงขอโทษทัณฑ์แทนอนุชา สร้างความพอใจอย่างมาก ดีล่ะเธอจะได้ทำตามที่หวังเสียที มือของเธอยื่นไปจับที่ไหล่ของคนที่กำลังคุกเข่า จังหวะนั้นเองจันทลักษณ์ก็ใช้โอกาสนี้จับชันนุเข้าให้ข้อพับพับลงจนเสียการทรงตัวล้มไปกับพื้น จึงได้ใช้กระจกส่องเหมือนพวกคนวันอาทิตย์ทำแต่ทว่านี่คือพระวรกายที่แท้จริงของพระบิดาแต่วิญญาณที่อยู่ในร่างนี่เป็นของใครกันแน่ล่ะ นางไม่รอช้าตัดสินใจใช้มนต์ดำใส่ศัตรูแต่เขาก็ไหวตัวหลบทัน นางจึงใช้วิธีสกปรกมาขู่เอาเสียแทน
"เจ้าอยากเห็นองค์เหนือหัวเป็นอะไรไหมล่ะ" นางไม่ทำจริงหรอกแต่นางต้องทำเพราะไม่รู้ว่าสังวาลย์นี้จะทำให้นางได้รับบาดเจ็บขนาดไหน
"อย่าทำอะไรเด็ดขาดนะ" เขาอยากจะสู้แต่ว่าเขาก็มิอาจทำได้เพราะเป็นห่วงพระบิดา
"อยู่เฉยๆ" ว่าแล้วเขาก็ยอมทำตามโดยง่าย คนเล่นคุณไสยใช้มนต์ดำทำเชือกมัดเขาไว้แต่ก่อนที่จะเสร็จดีเข้าก็ใช้วิชาเชื่อมความรู้สึกเหมือนกัน ยิ่งเขาเจ็บมากนางก็จะรู้สึกเจ็บปวดไม่ต่างกัน
" เจ้าทำอะไรข้าห๊ะ!!" เสียงตวาดลั่นไปทั่วจนคนอีกฝั่งได้ยิน ท่าไม่ดีแล้วควรจะไปช่วยดีกว่าปล่อยไว้
"ก็ทำที่ควรทำนั่นล่ะ" เขาไม่ยอมเจ็บคนเดียวหรอกแต่ยังมีห่วงบิดาไม่น้อย นางโกรธแค้นมากจึงร่ายมนต์เพิ่มความเจ็บปวดแต่ตนก็เจ็บไม่ต่างกัน เขาทนเห็นร่างกายพระบิดาทนทุกข์ทรมานไม่ได้แล้วจึงใช้พลังของสังวาลย์มณีทำลายมนต์เสีย ประกอบกับที่พวกผู้หญิงจะมาตามเสียงพอดี ไม่ทันจะได้ช่วยอะไรต่อ ผีดิบที่ผกากรองเลี้ยงไว้ก็ได้มาตามเล่นงานพวกเขาทั้งสาม ทั้งหมดจึงต้องร่วมมือกันสู้แต่ทำอย่างไรก็ไม่เป็นผลเลยนี่สิ จันทราภา อัญญานีและจันทลักษณ์จึงใช้ของวิเศษประจำกายปล่อยพลังมาทำลายพวกผีดิบจนสิ้น ผกากรองที่ซ่อนตัวอยู่จึงใช้คุณไสยทำครอบเมืองไม่ให้ทั้งสามไปไหนได้ พวกเขาจึงรวมพลังกันต้านอีกครั้งจนสำเร็จ แต่ไร้ซึ่งร่องรอยของท้าวธริษตรีที่มีวิญญาณอื่นอาศัยอยู่เลย อัญญานีรู้สึกอ่อนแรงคงจะใช้พลังได้เพียงแค่ครั้งเดียวคงต้องกลับไปตั้งหลักก่อน เขาจึงได้เสนอให้กลับกันก่อนส่วนพระบิดาไม่น่าจะเป็นอันตรายเท่าใดนักเพราะอย่างไรก็เป็นที่อาศัยของใครเหมือนกัน เมื่อกลับว่าได้แล้วผู้ใช้แหวนก็หมดสติไปพร้อมกับร่างกายที่ร้อนดั่งไฟลน จันทลักษณ์จึงพาอุ้มไปส่งยังที่พัก โดยมีจันทราภาคอยดูแลอาการไม่ห่าง
"พระธิดาทรงเป็นอะไรเพคะ" บัวแย้มถามด้วยวิตกที่พบภาพตรงหน้า
"คงเป็นเพราะใช้พลังของแหวนติดต่อกันหลายครั้งน่ะพวกเราควรจะรักษานาง" จันทราภาออกความเห็น
"เรามีว่านลดเตโช ที่พอจะทำให้ธาตุไฟในร่างสมดุลขึ้นได้" ว้่่าแล้วจันทราภาก็เร่งเอาน้ำจากสระอโนดาตที่เหลืออยู่พอใช้แค่ครั้งนี้มาป้อนพร้อมกับว่านยา
"อาการน่าจะดีขึ้นในวันมะรืนนี้ ช่วงนี้ก็งดให้นางใช้พลังเสียก่อน"จันทลักษณ์กล่าว แล้วจึงขอตัวแต่ก่อนจะไปจันทราภาได้นำภาพวาดที่นางทำมาได้ให้แล้วเล่าให้ฟัง เขาไม่อยากรบกวนจึงได้ขอแยกตัวไปวิเคราะห์เสียเองเพื่อที่จะให้คนต่อไปสานงานต่อ
......
"ปล่อยพลังแค่นี้จะไปสู้กับพวกมันยังไงกันล่ะ"อัคนินต่อว่าบดิศรที่ใช้พลังไม่เต็มที่
"ออมพลังไว้ใช้วันจริงน่ะสิ" เขาก็ตอบโต้บ้าง
"เจ้ามันขี้ขลาดกลัวจะแพ้เหมือนเดิมที่สู้กับพวกนั้นล่ะสิ" เขาก็จะเย้ยต่อไป
"เจ้ากำลังว่าตัวเองให้คนอื่นฟังอยู่งั้นเหรอ" ว่าคืนเข้าให้ อัคนินไม่พอใจมากจึงใช้พลังพุ่งตรงเข้าทำร้ายบดิศรแต่เจ้าตัวอีกฝั่งก็มิยอม จึงได้ใช้พลังใส่กันไปมาต่างฝ่ายต่างก็ใส่พลังเพิ่มกันสุดฤทธิ์เมื่อใส่ถึงขั้นสุดรอยแยกในสิ่งประทานจากวิษุวัตเทพก็ปรากฏเพิ่มที่สำคัญความเจ็บก็เริ่มทำร้ายพวกเขาจนบาดเจ็บมากกว่าครั้งก่อน สองเทพที่กลับมาได้จับทั้งสองแยกจึงได้พอ
" นี่พวกเจ้าจะตีกันเองไปถึงเมื่อไหร่" ปัจจาเข้าต่อว่าในทันที
"ก็มันเริ่มก่อนแท้ๆ" อัคนินก็โมโหไม่หาย
"พอที พวกเราต่างก็มีหน้าที่เพื่อพระเทวาทั้งนั้น ขืนยังตีกันไม่เลิกแบบนี้จะทำการสิ่งใดก็ไม่สำเร็จหรอก" เขาดูอารมณ์รุนแรงกว่าทุกครั้งที่ปรามน่าจะได้รับแรงกดดันจากนายมากโข
" เอาเถอะน่าเรื่องมากผ่านไปแล้ว" ธานินทร์ไม่อยากให้บานปลายจึงได้ยั้งไว้
"แต่มันก็ไม่รู้อะไรบางอย่างว่าการที่สู้กันเองจะให้เกิดความเสียหายมากกว่าเดิม บางทีพวกนั้นก็อาจจะเป็นเหมือนเรา" รอยร้าวที่ลึกและยาวกว่าของเก่าจนแทบจะผ่าซีกนั้นทำให้บดิศรได้รู้ข้อมูลเพิ่มไปพร้อมๆกับผู้อื่น ข้อมูลนี้จะสามารถใช้แค่ไหนนั้นเมื่อถึงคราใช้ก็จะได้รู้เอง
-
ขออภัยด้วยนะคะ วันนี้ฟ้าร้องหนักมากเลยลงช้าไปค่ะ ขอโทษจริงๆค่ะ w15 w15
-
วันนี้ขอเลื่อนเวลาอัพเป็น20.15น.นะคะ พอดีว่าไฟล์ที่แต่งไว้ขาดหายไปไม่ต่อเนื่องกันค่ะ w15 w15
-
ผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งวันคืนจนถึงอีกวันหนึ่งแล้วนั้น ไม่มีทีท่าว่าอัญญานีจะฟื้นคืนจากนิทราเลย จริงอยู่ที่ว่าอาการวรกายร้อนดังอัคคีนั้นหายไปแต่คนที่ดูแลจะสบายใจได้อย่างไรกันในเมื่อเธอไม่ได้ฟื้นขึ้นมาเลย
" เหตุใดกันที่พระธิดายังไม่ฟื้นจากพระบรรทมอีก" บัวแย้มที่ดูอาการได้พูดขึ้นมา ร่างกายของตนนั้นอ่อนเพลียแต่ยังพอทนได้จะห่วงก็แต่ผู้ที่หลับใหลเท่านั้น
" จันทลักษณ์ไม่ได้บอกกับเจ้าหรอกเหรอว่านนี้มีผลข้างเคียงทำให้หลับไปถึงสองวันสองคืน แต่ก็ช่างเถอะยังไงเสียพรุ่งนี้น่ะนางก็จะหายดีแล้ว" ปัทมาสน์เดินเข้ามาพร้อมกับพูดหลังจากได้ยินที่บัวแย้มกล่าวออกมา
" พระธิดา" เธอเข้าไปหาอีกคนด้วยความยินดีที่ได้พบหน้ากับผู้ที่เข้ามาอีกครั้งในรอบสิบปี
" เรานึกว่าเจ้าได้พระธิดาองค์ใหม่แล้วจะลืมเราแล้วซะอีก" เธอแกล้งพูดไปอย่างนั้นเพราะใจจริงแล้วเธอก็รู้ดีกว่าใคร ในความผูกพันนี้ไม่อาจขาดจากกันได้
" พระธิดาเพคะ บัวไม่ได้ลืมพระธิดาเลยแม้แต่ครั้งเดียว.." เธอพยายามอธิบายแต่อีกตนรู้ดีอยู่แล้วจึงได้กล่าวตอบต่อไป
" เรารู้ เราแค่ถามไปอย่างนั้นเอง"เธอเปลี่ยนสีหน้าที่แกล้งทำจริงจังใส่เมื่อครู่เป็นรอยยิ้มที่อบอุ่นแทน เธอได้พาอีกคนไปนั่งพักแล้วสนทนาต่อไป
" บัวดูแลอัญญานีมาทั้งวันแล้ว เราว่าพักผ่อนก่อนเถอะเราจะให้จั๊กกะแหล่นมาดูแลแทนเจ้าเสียก่อน ไว้พักผ่อนเพียงพอแล้วเจ้าค่อยดูแลต่อก็ได้... เข้ามาสิ" เธอพูดด้วยความเป็นห่วงเพราะรู้ดีว่าความเป็นห่วงของบัวแย้มนั้นที่มีต่อพระธิดาที่อยู่ด้วยกันมานับสินปี ส่งผลให้เธอไม่สามารถพักผ่อนได้โดยที่ยังไม่เห็นอาการที่ดีขึ้นของอีกคนอย่างชัดเจน เพราะเหตุนี้จึงต้องหาใครสักคนมาช่วยแบ่งเบาความเหนื่อยล้าลง
" ไม่ต้องลำบากพี่จั๊กแหล่นหรอกเพคะพระธิดา บัวยังไหว" ไหวน่ะไหวในความคิดเธอแต่กับคนอื่นน่ะไม่ใช่อย่างนั้นน่ะสิ
"ไม่ลำบากเลยจะหนูบัว พี่จั๊กน่ะเต็มใจ๊เต็มใจ" เสือสาวเธอบอกอย่างนั้นก็สร้างความพอพระทัยให้พระธิดาอสุราเป็นอย่างมาก
"เห็นไหม เจ้าตัวเขายังออกปากว่าไม่ลำบากเลย เช่นนั้นแล้วบัวก็พักผ่อนเสียเถอะ เราไปป่าสักพักหนึ่งแล้วเราจะกลับมา" พูดอย่างนั้นก็คงต้องทำตามแต่โดยดี แต่อีกคนอดนึกถึงเหตุผลที่ต้องเข้าป่าเสียไม่ได้มันก็น่าหนักใจอยู่หรอก จะห้ามก็ห้ามมิได้เสียด้วย
.....
" กลับมากันแล้วเหรอนึกว่าจะไปแล้วไปลับไม่กลับมาซะอีก" เจ้าสิงโตกล่าวทักทายตาหวานและหิ่งห้อยยักษ์ที่กลับมาจากธุระที่ทำมาร่วมสองวันแล้ว
" เหวยเหวย ข้าก็ต้องกลับมาสิ ขืนปล่อยไว้กับเองอย่างเดียวน่ะยุ่งแน่" ผีโครงกระดูกที่มีชิ้นส่วนซี่โครงเพิ่มมานั้นตอบกลับคำทักทาย
" ยุ่งยังไง พวกเจ้ากลับมาสิไม่ว่า ข้าอยู่ของข้าดีๆยังไม่ได้ทำอะไรให้พระโอรสพระธิดาเล้ย ดีไม่ดีนี่นะการที่พวกเจ้ากลับมาอาจจทำความวุ่นวายเกิดขึ้นก็ได้" พูดจายั่วโทสะเสียจริง แต่กระนั้นเลยดูท่าแล้วทั้งสองคงจะอยากไปเข้าเฝ้าพระโอรสวันอังคารเสียมากแล้ว คงไม่ว่างที่จะมาต่อล้อต่อเถียงอีกต่อไปหรอก
" ความวุ่นวายที่เกิดจากเจ้าล่ะสิไม่ว่า ไปกันดีกว่าเถอะพี่ตาหวาน อย่าไปต่อล้อต่อเถียงกับสิงโตนิสัยแบบนี้เลย"หิ่งห้อยยักษ์กล่าวตอบไปแล้วตัดจบบทสนทนาเสียเพราะตนมีเรื่องสำคัญกว่าต้องทำ
" กลับมาแล้วเหรอพี่หิ่งห้อยพี่ตาหวาน" อังคาสที่กำลังอ่านบันทึกอยู่นั้นได้รับรู้ถึงการกลับมาจึงได้ถาม
" พระเจ้าค่ะ พี่ตาหวานได้ชิ้นส่วนมาเพิ่มพระเจ้าค่ะ" ไม่พูดเปล่าคันอยากแสดงให้เห็นจริงๆว่าเขานั้นมีชิ้นส่วนมาเพิ่มนอกจากศีรษะและแขนสองข้างของเขา
" พระโอรสพระเจ้าค่ะ หม่อมฉันมีสิ่งสำคัญ จะทูลต่อพระโอรสพระเจ้าค่ะ" เจ้าหิ่งห้อย มาพร้อมกับบันทึกที่อยู่ด้านหลังของเขา สิ่งนี้คงจะเป็นข้อมูลสำคัญโดยแท้
" อะไรกันหรือพี่หิ่งห้อย" เขาสนใจเรื่องที่จะกล่าวต่อไปนี้เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ
" บันทึกเล่มนี้เป็นของศรุตที่บรรพบุรุษของหม่อมชั้นเคยใช้มาพระเจ้าค่ะ" อีกคนเห็นดังนั้นจึงได้เอาบันทึกขึ้นมาดูแล้วเก็บไว้ยังที่ชั้นตำรา
" ขอบใจพี่หิงห้อยมาก บันทึกเล่มนี้จะต้องมีข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับเกราะกายสิทธิ์แน่และอาจจะเกี่ยวข้องกับเทพวิษุวัตด้วยก็ได้ ไว้ว่างแล้วน้องจะอ่านนะ" ไม่ทันไร ที่ได้อ่านบันทึกที่อยู่ในมือไปมา เขาก็ทำเหมือนกับว่าคิดอะไรได้บางอย่างจึงเร่งรีบที่จะออกไป
" พระโอรสจะไปไหนพระเจ้าค่ะ"ตุ้บเท่งถามขึ้นมาเมื่อเห็นทีท่าว่าเขาจะไป
" ไม่เกี่ยวกับเจ้า!! "เขาตอบอย่างนั้นแล้วจึงมุ่งหน้าออกไปทันที
.........
ที่สรวงสวรรค์ในตอนนี้นั้น โปรยปรายไปด้วยกลีบบุปผานานาพันธุ์ ราวกับมีงานอันเป็นมงคล ซึ่งจริงๆแล้วก็นับว่าเป็นงานมงคลอย่างหนึ่งเพราะพระเทวราชากำลังจะเสด็จไปเฝ้าพระเทวาตีรมูรติ และบำเพ็ญเพียรในรอบสองพันปีเป็นเวลาสิบห้าวันสวรรค์โลก
" เทพวิษุวัต ระหว่างที่เราไม่อยู่นี้เราขอให้ท่านช่วยดูแลสวรรคโลกและมนุษยโลกแทนเรา อย่าให้บังเกิดความผิดพลาดเลย" พระองค์ทรงความไว้วางพระทัยเทพวิษุวัตเพราะคิดว่าการที่บำเพ็ญมานับทศวรรษมนุษย์นั้นน่าจะเพียงพอที่จะทำให้จิตใจของเขากลับมาบริสุทธิ์ดังเดิมแล้ว
" รับด้วยเกล้าพระพุทธเจ้าค่ะ" เมื่อเขาตอบรับแล้วพระอินทร์จึงเสด็จไปตามที่กำหนด โดยมีขบวนไปส่งเสด็จพระองค์ หลังจากที่ขบวนผ่านไปได้ไม่นานจึงเริ่มทำการต่อทันที
"ปัจจาธานินทร์ พวกเจ้าจงไปรวบรวมบุคคลสำหรับการต่อสู้ในวันพรุ่งนี้และวางแผนกันให้ดีอย่าให้ผิดพลาด" สิ้นคำสั่งแล้วนั้น เหตุทั้งสองจึงลงไปรวบรวมทันที ว่าเป็นก้าวแรกที่ไม่ผิดพลาดเสียทีเดียวของเทพท่านเท่าใดนักที่คิดจะทำการใหญ่ต่อไป
.....
บัวแย้มที่สามารถพักผ่อนได้เต็มที่แล้วนั้นได้ ขึ้นมาแบ่งอาหารให้กับจั๊กแหล่นเพื่อเป็นการตอบแทนที่มาช่วยตน เมื่อทั้งสองทานอาหารได้ไม่นาน พระนัดดาของเมืองก็เสด็จมาโดยทันที
"บัว!" เขาเรียกชื่อทันทีที่พบหน้าว่าแต่ว่ามีเรื่องอะไรกันนะ
" พระโอรสเสด็จมาที่นี่มีเรื่องอะไรหรือเพคะ" บัวแย้มถามขึ้นมาด้วยสงสัยมีธุระอะไรกันนะถึงมาที่นี่
"เรามาพบปัทมาสน์ นางลักของเราไป" เขาพูดอย่างนั้นก็อดทำให้อีกคนสงสัยไม่ได้ คนอย่างนางน่ะหรือจะสามารถไปขโมยของคนอื่นแบบนั้นได้
" ของสิ่งใดกันเพคะ พระธิดาทรงไม่ได้เป็นคนแบบนั้น" เธอนั้นอยากจะรู้นักเชียวของสิ่งใดที่มันมีค่าพอที่จะให้คนลักขโมยได้ถึงขนาดนั้น
" เราบอกไม่ได้ บอกเรามาดีกว่าว่านางอยู่ที่ไหน" เขาอยากจะสะสางเสียเต็มทนนี่มันก็สิบปีแล้วที่ไม่ได้ของคืน
" หม่อมฉันไม่บอกพระโอรสหรอกเพคะ จนกว่าจะทรงบอกหม่อมฉันว่าพระธิดาทรงลักของสิ่งใดไป" เรื่องอะไรเธอจะยอมบอกถ้าเธอไม่ได้รู้เรื่องนี้ก่อน
"บัว!!" เขาโอนเรียกเสียไม่ได้เวลาอย่างนี้เธอยังจะมาต่อรองกับเขาอีกหรือ
" พระโอรสพระทัยเย็นไว้ก่อนนะพี่คะ พระธิดาเสด็จป่าแล้วเพคะ แต่พระโอรสไม่ต้องไปตามหรอกเพคะ อยู่กับจั๊กกะแหล่นดีกว่า" เธอพูดให้เขาไม่ไปแต่จะห้ามได้เหรอนั่น
" ขอบใจเจ้ามาก เราไปไม่นานหรอกแล้วเราจะกลับมานะบัว" ว่าแล้วเขาก็ไปเลยแล้วเราจะกลับมานี่คงจะได้กลับมาแค่คนเดียวเสียกระมัง น่าจะตีกันตายเสียก่อน
" พี่จั๊กกะแหล่นไม่น่าไปบอกเขาเลย เอาอย่างนี้แล้วกันพี่ดูแลพระธิดาไปก่อน เดี๋ยวบัวจะกลับมา" เธอตามไปเพราะเกลัวว่าเรื่องจะไม่จบง่ายๆ แต่ระยะห่างที่ตามนี่สิไม่แน่ใจเลยว่าไปทางไหน
.....
" พวกเจ้าแน่ใจได้อย่างไรกันว่าวิธีนี้จะทำให้พวกนั้นน่ะพ่ายแพ้ต่อเราจริงๆ" ฤาษีทมิฬ พูดขึ้นหลังจากได้ยินคำเชิญของปัจจา
" พวกนั้นมีคนมากกว่าก็จริงอยู่ แต่หากเราตัดกำลังพวกนั้นได้ แล้วให้สิ่งวิเศษทั้งสี่ปะทะกันแล้วก็ เราว่าอย่างไรเสียไม่ชนะก็น่าจะเสมอกันอย่างแน่นอน อย่าอย่างนั้นเลย ยังไงพรุ่งนี้เราก็ต้องชนะให้ได้ไม่ว่าจะวิธีใดก็ตาม" ธานินทร์กล่าวตอบอย่างนั้นเพื่อให้ฤๅษีได้ตัดสินใจ
" เช่นนั้นแล้วท่านฤาษีคิดอย่างไร จะเข้าร่วมหรือไม่ก็เป็นสิทธิ์ของท่าน หากท่านจะเข้าร่วมแล้วอาทิตย์อัสดงของวันนี้ ให้มารวมตัวกันเพื่อวางแผน หากไม่ท่านก็จงอยู่ ณ อาศรมของท่านเถิด พวกเราขอลาก่อน" พระเจ้าพูดอย่างนั้นทั้งสองจึงได้เดินทางไปยัง ที่อื่นเพื่อรวบรวมบุคคลอื่นต่อไป
....
" เอาของเราคืนมา!! "ทันทีที่พบกันก็พูดเช่นนั้น ช่างขัดจังหวะยักษีที่หาจับสัตว์ป่ากินเสียเหลือเกิน
" ไม่คืนถ้าอยากได้คืนเจ้าก็ต้องเอาชนะเราให้ได้ก่อน ก็อย่าใช้เกราะวิเศษอะไรนั่นของเจ้าเด็ดขาดเลยนะไม่อย่างนั้นน่ะคงจะหน้าไม่อายน่าดู"เธอตอบอีกคนเป็นเชิงท้าทาย เขาจึงรับคำท้าโดยการกระโดดขึ้นไปอยู่บนบ่าของเธอจากนั้นแล้วจึงแปลงกายเป็นหินขนาดใหญ่ ทำให้อีกคนถึงกับเข่าทรุดลงกับพื้น แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ตั้งสติทันแล้วใช้มืออีกข้าง มานำหินนั้นออกไป แต่ถ้าว่าหินนั้นได้กลายเป็นงูขนาดเล็กลอดผ่านมือของเธอไปแล้วกลับกลายเป็นร่างขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นพญานาคสีทองประกายเพชรแทนแล้วมารัดตัวเธอเสียหายใจเกือบไม่ออก
" ยอมแพ้หรือยัง" เขาถามเพื่อให้อีกตนยอมรับแล้วส่งสิ่งของที่ว่ามาเสียดีๆ
" ไม่ยอมแพ้หรอก" ว่าแล้วเธอก็ได้แปลงกายเป็นวิหคขนาดเล็กพอที่จะรอดผ่าน ช่องที่จะรัดให้เธอหายใจไม่ออกได้ แล้วนกนั้นก็กลายเป็นพญาครุฑขนสีชาติประกายแก้ว เข้าจิกที่นาคตนนั้นทันที ฝ่ายนาคนั้นไม่ยอมจึงได้ปล่อยลูกไฟเข้าทำร้ายครุฑตัวนั้น ฝ่ายนั้นนั้นจึงได้ใช้สายฟ้ามาตอบโต้ เกิดไฟลุกลามและสายฟ้าฟาดไปทั่วบริเวณป่าผืนนั้น มันจะก่อความเสียหายมากกว่าผลดีน่ะสิ
...
ที่ทะเลฝั่งตะวันตกนั้นเอง ปัจจาและธานินทร์ได้เข้าพบกับวัศพลนาคราชเพื่อเชิญชวนให้เข้าร่วมด้วยเช่นกัน
" ถ้าเราเข้าร่วมแล้วเราจะได้อะไรจากการเข้าร่วมครั้งนี้ล่ะ สู้เราเอาเวลาไปปกครองเมืองเราไม่ดีกว่าเหรอ"เขาถามไปเพราะไม่แน่ใจเท่าใดนัก
" การปกครองบ้านเมืองก็เป็นคุณธรรมที่สมควรกระทำอยู่ แต่หากท่านเข้าร่วมการต่อสู้นี้นั้น การที่จะทำการใหญ่ต่อไปก็เป็นเรื่องง่ายไม่ใช่หรอกหรือ ที่สำคัญ หากชนะในครั้งนี้ การใหญ่ที่ว่าก็จะส่งผลให้พระองค์ได้เป็นใหญ่ ไม่ต้องแบ่งอำนาจกับพี่น้องอีกทั้งสามคน พระองค์ไม่เห็นถึงเขตประโยชน์นั้นหมดหรือ"ปัจจากล่าวสิ่งที่วัศพลต้องการที่สุดเพื่อโน้มน้าวให้กระทำการนี้ได้
"เป็นอันว่าเราตกลง" คิดไม่นานก็ตอบตกลงในทันทีเพราะเห็นว่าตนได้รับประโยชน์ไม่น้อยเลย
"อาทิตย์อัสดงวันนี้ขอเชิญท่านมาร่วมวางแผนด้วยกันพระเจ้าค่ะ พวกหม่อมฉันทูลลา" ปัจจากล่าวแล้วจากไปกับธานินทร์
.....
"พระโอรส พระธิดา หยุดก่อนเถอะนะเพคะ" บัวแย้มที่ตามมาก็ห้ามนาคครุฑที่ตีกันอยู่นั้นเพราะคงจะเป็นใครไม่ได้นอกจากเขาทั้งสองแน่
"จนกว่านางจะยอมคืนของให้เรา บัวหลบไปก่อน"อังคาสตอบกลับแบบนั้น ต้องหาเข้าทางคนของตนเองเสีย
" พระธิดาเพคะ พระธิดาเคยสัญญากับบัวเแล้วนี่เพคะว่าจะไม่สังหารสิ่งที่ชะตาไม่ถึงฆาตในวันอังคารที่สามนี้" สิ้นคำพูดของเธอ ครุฑจึงได้เปลี่ยนร่างกลับเป็นร่างปกติเท่ามนุษย์ ถึงอีกฝ่ายจะยังสงสัยแต่ว่าก็เปลี่ยนร่างกลับมาตามเดิมเช่นกัน เมื่อมองป่าที่ติดไฟและสายฟ้าจึงใช้พลังดับเสียให้สิ้น ร่างกายทั้งสองได้รอยแผลจากการต่อสู้มาบางส่วนด้วยสิ
" พระธิดาพิโรธสิ่งใดพระโอรสหรือเพคะ ของที่ว่าพระธิดาได้เอาไปหรือเปล่าเพคะ"สิ้นการกระทำบังแย้มก็ถามทันที
"ใช่ เราเอาไปเอง" รับกันตรงๆนี้ล่ะไม่มีเหตุผลต้องบ่ายเบี่ยงเลยนี่
"ดีนี่ที่ยอมรับ แต่จะดีซะกว่านะถ้าคืนให้เรา" อังคาสกล่าวต่อเลย อีกฝ่ายไม่อยากฟังได้หันหน้าไปทางอื่นไม่พูดจา แต่เมื่อหันไปก็พบกับบดิศรที่ลอบดูอยู่หลังต้นไม้นั่น
" อย่าพระทัยร้อนสิเพคะ.. พระธิดาคืนให้พระโอรสเถอะเพคะจะได้จบปัญหา" บัวก็พยายามทำให้สถานการณ์ดีขึ้นแต่ว่ายักษ์ที่หันหน้าไปนั้นก็เดินจากไปอย่างเร่งรีบ บัวแย้มที่กำลังจะตามไปก็ถูกคว้ามือให้หยุดทันที
"จะไปไหนทำแผลให้เราก่อน พระธิดาของเจ้าไม่รับเจ้าก็ต้องรับผิดชอบแทน" เธอที่เห็นว่าตามไม่ทันแล้วจึงยอมตามอีกคนไปทำแผลให้แต่โดยดี หวังจะช่วยคลี่คลายปัญหานี้ได้บ้าง
"มาที่นี่ทำไม หายดีแล้วเหรอ" เธอถามทันทีที่ถึงตัวสหาย
"เราดีขึ้นมากแล้ว เรามาเตือน" บดิศรเข้าเรื่องทันทีเพราะมีเวลาไม่มากนัก
" เตือนแล้วจะช่วยอะไรเราได้ล่ะ "ปัทมาสน์พูดไปแต่ใจก็อยากรู้
"ไม่ใช่ว่าช่วยได้ไม่ได้... พรุ่งนี้พวกเราจะต้องสู้กัน ระวังตัวให้ดีนะ มันอาจจะอันตรายมาก"พร้อมจะสู้แล้วล่ะสินี่ถึงได้หาเรื่องมาสู้อีก
"กับสหายวันเดียวนี่ถึงกับต้องมาเตือนถึงที่นี่เลยเหรอ เราว่าไม่จำเป็นขนาดนั้นนะ" แปลกอยู่เหมือนกันสถานะศัตรูค้ำอยู่ไม่ใช่หรอกหรือ ออกมาเตือนก็ดูจะมากไปเสียหน่อย
" สำหรับเจ้าแล้ว หนึ่งวันก็เกินพอ"พูดอย่างนั้นแต่สีหน้าเปลี่ยนหลังจากนั้นก็รู้สึกถึงว่าเวลาหมด
" ขอบใจมาก รีบกลับเถอะ" พอเท่านี้ก่อน นานกว่านี้คงไม่ดีต่อทั้งสองฝ่าย
" สัญญาที่พวกเจ้ามีให้กันมันคืออะไร ทำไมต้องอังคารที่สาม" อยู่ๆก็ถามขึ้นมาอย่างนี้บัวก็ลำบากใจนะ
" พระโอรสอยากจะทราบหม่อมฉันจะทูลถวายเพคะ แต่ว่าพระองค์จะต้องบอกก่อนว่าของที่พระธิดาลักเอาไปคืออะไร สำคัญถึงขนาดจะเอาชีวิตกันเลยหรือเพคะ" ไม่รู้ล่ะ อีกคนต้องบอกก่อนไม่งั้นจะไม่เล่าเรื่องนี้เด็ดขาด อังคาสที่เหมือนจะไม่ยอมในตอนแรกแต่มันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่จะต้องปิดบังเธอนี่นะ
" ศิลาสามสีที่เสด็จแม่ประทานให้กับเเพื่อรับเราเป็นลูกอีกคน นางเอาไปตอนที่กำลังเดินทางจากรัตนบุรีไปยังเมืองทิศพลตอนนี้ก็สิบปีแล้วนางยังไม่คืนให้เราเลย ซ้ำนางยังท้าให้สู้ ถือว่าไม่แพ้จะไม่คืนให้ เราก็ต้องเอาชนะให้ได้" ประโยคท้ายที่เธอฟังก็เผลอลงแรงรักษาแผลเสียหนักมือจนอีกคนหันมอง
" ขออภัยให้บัวเพคะ บัวไม่ได้ตั้งใจ"เธอรู้ตัวจึงได้ขอโทษเสียไม่อยากให้หมางใจ
" ไม่เป็นไรหรอก" ดูท่าจะไม่โมโหเท่าที่เคยเห็นเลยนะ แต่อย่างนี้ก็ดีเหมือนกันจะได้คุยด้วยกันอย่างสบายใจ
" ส่วนเรื่องสัญญาเกิดจากที่พระธิดาเป็นยักษ์นี่ล่ะเพคะ มันเหมือนกับเป็นคำสาปให้ทุกอังคารที่สามของเดือนพระธิดาจะเสวยผักผลไม้ไม่ได้หรือแม้แต่พระกระยาหารที่ปรุงสุกเลยเพคะ แต่เสวยเนื้อสิ่งมีชีวิตใดก็ตามที่สังหารหรือถึงฆาตได้เท่านั้น ยังดีที่ได้เรียนวิชาเรียกสัตว์ถึงฆาตมาเสวยได้ พระธิดาจึงให้สัญญากับบัวว่าจะไม่สังหารสิ่งมีชีวิตใดก็ตามที่ไม่ถึงฆาตในวันนี้เพคะ" เธอตัดสินใจเล่าไป หวังว่านี่จะทำให้เข้าใจกันบ้าง ไม่ต้องคิดทำร้ายกันจนถึงแก่ชีวิตอีก
" บัว อยู่ที่นี่เอง"ปัทมาสน์เข้ามาหลังจากที่เล่าเรื่องกันจบได้ไม่นานนักแต่มันก็พอที่จะไม่ให้เธอที่เพิ่งมารู้
" เอาคืนไปเถอะหินนี่น่ะ แต่ว่าเราไม่ได้ยอมแพ้นะ ทำแผลเสร็จแล้วเราพาบัวไปเลยแล้วกัน" มาถึงไม่ทันไรก็ตัดสินใจคืนของให้ง่ายดายแล้วพาตัวคนของตนไปในทันทีโดยไม่คิดจะพูดอะไรอีก แปลกไปนะบางที
"พระธิดาเป็นอย่างไรบ้างเพคะ ดูไม่สบายพระทัยเลย" หลังจากพามาจนถึงสระน้ำของเมืองพระธิดาเธอจึงได้ปล่อยมือ แต่สีหน้าดูไม่ดีเลย
" ไม่หรอก.. เรามีของจะให้บัวด้วย กะว่าพบกันเมื่อไหร่เราจะมอบให้" สีหน้าจริงจังก็กลายเป็นรอยยิ้มเมื่อพูดถึงสิ่งที่จะให้
"พระธิดาจะทรงมอบสิ่งใดให้บัวเพคะ" เธอได้ถามถึงสิ่งนั้นเป็นการตอบสนองที่อีกตนต้องการฟัง
"นี่ล่ะ เรากับจินร่วมกันสร้างมาให้" เธอจับมือซ้ายอีกคนขึ้นมาแล้วสวมกำไลที่ต้องแสงแล้วจะเห็นเป็นลายดอกบัวที่วิจิตรงดงามราวกับใช้ช่างชำนาญทำ
"จริงสิ นี่ไม่ใช่กำไลธรรมดาหรอกนะ"เธอเว้นช่วงให้มีสวนร่วมในการสนทนา
"กำไลนี่วิเศษยังไงหรือเพคะ" เธอฉงนนัก หรือว่ากำไลนี้จะมีพลังวิเศษเหมือนแหวนที่อัญญานีสวมใส่กันนะ
"กำไลนี่ก็นี่ท่องมนต์ให้เป็นดอกบัวขนาดใหญ่ได้น่ะสิ แล้วดอกบัวนั้นน่ะจะสามารถป้องกันคนที่อยู่ในนั้นจากการโจมตี ยากที่ใครจะเข้าได้หากเจ้าของมิได้ยินยอมด้วย จำสองบทนี้ให้ดี หากต้องการให้กำไลกลายเป็นดอกบัวให้ท่อง โอมปทุมามหาบุปผาวาวลัย หากต้องการให้ดอกบัวกลายเป็นกำไลดังเดิมให้ท่อง โอมปทุมาจุลบุปผาวาวลัย นอกจากจะจำให้ขึ้นใจแล้วขณะที่ท่องต้องตั้งใจ เอาล่ะลองดูสิบัว"เธอกล่าวเสร็จจึงให้อีกคนท่องมนต์ที่ตนสอนให้ ถึงจะเป็นมนต์ง่ายๆแต่ใช่ว่าจะใช้ได้กับทุกคนเสมอไป จึงจะให้ลองดูก่อน
" เพคะ.. โอมปทุมมามหาบุปผาวาวลัย" กำลังที่ข้อมือตอนนี้กลายเป็นพลังมุ่งสู่สระน้ำแปรเปลี่ยนเป็นดอกบัวขนาดใหญ่
" เข้าไปชมด้านในสิบัว" ว่าแล้วจึงพากันขึ้นสู่บัวดอกนั้น ในนั้นนุ่มราวกับปุยฝ้ายก็มิปานอีกทั้งเย็นสงบรมรื่นมากเสียด้วย
"ดอกบัวนี้เป็นของบัวแล้ว บัวจะใช้งานอย่างไรย่อมได้ แต่เราขออย่างเดียว ต่อจากนี้อย่าไว้ใจให้ใครมาอยู่ในนี้กับบัวตามลำพัง ไม่อย่างนั้นจะเป็นอันตรายได้ " เธอเตือนด้วยหวังดีเพราะไม่แน่เธออาจจะไม่สามารถปกป้องบัวได้อีกต่อไป
"เพคะ พระธิดา" เธอยิ้มตอบรับ ชีวิตของเธอรู้สึกอุ่นใจเสมอที่ได้อยู่กับบุคคลที่เปรียบเสมือนพี่น้องขนาดนี้
" แต่เราจะขอให้บัวช่วยเราอีกเรื่องหนึ่งในวันนี้" เสียงที่สดใสนั้นดูจะจริงจังขึ้นบ้าง เธอมองอีกแล้วเริ่มบอกสิ่งที่จะขอทันที
......
"ไปไหนมา" อัคนินที่รู้ว่าอีกคนไปยังด้านนอกมาได้เข้ามาถามในทันที่ที่เขาได้มาถึง
"จะไปไหมก็ไม่เกี่ยวกับเจ้า" บดิศรเบื่อหน่ายกับคนที่ชอบชวนตีกับเขา ไม่อยากจะข้องแวะด้วยหรอกถ้าาไม่ใช่งาน
"พรุ่งนี้เราก็จะสู้อยู่แล้ว ยังคิดจะเอาใจไปสนเรื่องอื่นอีก ระวังเถอะจะไม่รอดเอา" คำพูดนี่ดูหวังดีเสียเหลือเกินนะ
"เราว่าเอาเพลาที่ว่าเราไปพัฒนาฝีมือของเจ้าซะยังจะดีกว่า เสียเพลากับเจ้ามาก็มาก เราขอตัว" ว่าแล้วก็จากไปไม่รีรอให้อีกคนได้พูดโต้ตอบตน
.....
ธนูที่ยิงมาเกือบถูกบุคคลทั้งสองที่สวมใส่สิ่งวิเศษ ธนูทั้งสองดอกนั้นมีสาส์นท้าต่อสู้ ณ ศาศวัตบุรีในวันพรุ่งเพื่อจบทุกสิ่งอย่างเสียที แต่มันจะจบจริงน่ะเหรอหากมีใครชนะสักฝ่ายเข้าจริงๆ
" จั๊กแหล่น ไปบอกกับพวกเขาว่าพรุ่งนี้เดินทางตั้งแต่รุ่งสาง ส่วนเจ้าเราขอให้อยู่ที่นี่เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันทัน" ปัทมาสน์ที่อ่านเสร็จจึงได้วานให้เสือตนนี้ไปบอกกล่าวให้ฟัง
"ได้ ระวังให้ดีแล้วกัน พวกนั้นน่าจะเล่นไม่ซื่อ" อังคาสที่ได้ฟังจึงกล่าวตอบไป ชะตาพรุ่งนี้จะเข้าข้างพวกเขาแค่ไหนนะ
...
" ทางนั้นมีกันสิบสี่คน ถ้ารวมบริวารน่าจะได้สิบแปดคน ฝั่งพวกเรามีเพียงเก้าคน ดังนั้นแล้วควรจะทำให้พวกนั้นหมดกำลังให้มากที่สุดก่อนการปะทะของศาสตราวุธทั้งสี่ อย่างนี้เราถึงจะได้เปรียบ ไม่ว่า่จะเป็นวิธีใดก็ตามที่สามารถตัดกำลังได้เห็นสมควรโปรดเสนอให้รับรู้ทั่วกัน"ปัจจากล่าวขึ้นมาในการประชุมชุมนุมคนเพื่อวางแผนในการต่อสู้เพราะฝั่งของตนนั้นจัดได้ว่ามีคนน้อยกว่าต่อครึ่งกันเลยทีเดียว งานนี้จะพลาดไม่ได่เพราะสุริยุปราคานั้นไม่อาจจะเกิดไม่บ่อยเสมอไป
.....
วันต่อมาในยามรุ่งสางคณะเดินทางได้ออกเดินทางทันทีเพื่อที่จะได้เตรียมตัวในการต่อสู้ เพราะนี่เป็นถิ่นฐานศัตรู โอกาสเพลี้ยงพล้ำนั้นก็สูงมากเช่นกัน
ขณะที่เร่งเดินทางกันอยู่นั้นแสงตะวันพลันสาดส่องลงมาทำให้บุคคลทั้งสองแปรเปลี่ยนเป็นอีกคนไป
"เป็นไปได้ไหม ที่บางทีคนพวกนั้นอาจจะหาคนมาเพิ่มในการสู้ครั้งนี้ เพราะต่างฝ่ายต่างรวมๆแล้วน่าจะมีคนเท่ากัน การเพิ่มกำลังพลน่าจะเป็นผลดีสำหรับพวกเขา" หลังจากที่อ่านบันทึกและสาส์นนั้น พุทธรัตน์จึงได้ถามกับสหาย ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่พวกนั้นจะเรียกไปสู้กันธรรมดาๆเพื่อจะจบเรื่องนี้ได้
" น่าจะเป็นไปได้ แต่บางทีอาจจะมีการแบ่งคนไปยังเมืองทิศพลด้วย เพราะอัญญานีเป็นพระคู่หมั้นของเทพวิษุวัต เพราะอย่างนี้จึงให้จั๊กแหล่นช่วยดูแล" เพชรราหูตอบและกล่าถึงสิ่งที่ไม่ไว้วางใจในส่วนของพวกเขาด้วยเช่นกัน
"ตอนแรกด้านพวกเราจะให้สุดหล่ออยู่เหมือนกัน แต่ว่าเขาไม่ยอมพี่ตาหวานเลยต้องอยู่แทน"นั่นก็เพราะห่วงใยในพระอัยกาพระอัยกีตลอดจนชาวเมืองทิศพลด้วยเช่นกัน แต่เจ้าสิงโตน่ะดื้อด้านอยากจะตามเพราะหวงห่วงในสิ่งวิเศษทั้งสองเสียเหลือเกิน
"โถโธ่โธ่ พระธิดาล่ะก็ สุดหล่อนน่ะหวงห่วงใยใน... พระธิดามากเลยนะ สุดหล่อถึงได้อาสามา ถ้ามีอะไรผิดพลาดสุดหล่อผู้นี้จะช่วยเหลือ"
ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่อาการที่แสดงก็เด่นชัดอยู่มิใช่หรือ
"ระวัง!! "พุทธรัตน์กันทุกคนไว้ไม่ให้ไปต่อเพราะสิ่งข้างหน้านั้นผิดปกติ
"มีอะไรหรือป่าว" เพชรราหูถาม ในเวลาสำคัญอย่างนี้คงไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องหยุดนอกจากจะเกิดอันตราย
"เราสังเกตเห็นใบไม้ที่กำลังร่วงอยู่ขาดไปกลางอากาศเหมือนถูกฉีกขาด บางทีนี่อาจจะเป็นไสยเวทที่จะทำร้ายพวกเราให้บาดเจ็บก่อนจะไปถึงก็ได้นะ" มันก็จริง น้อยหรือแทบจะไม่มีเลยที่ใบไม้จะสามารถฉีกขาดได้ปานนั้นถ้ามันไม่มีอะไรจริงๆ
"น้ำอัญชันนี้น่าจะช่วยให้เราพอที่จะมองเห็นช่องทางที่จะไปโดยไม่บาดเจ็บ เพราะทางนี้เป็นทางแคบผ่านได้ทางเดียว"ว่าแล้วเขาจึงใช้น้ำอัญชันที่พกมานั้นสาดใส่ ด้วยเพราะสีของอัญชันนั้นได้ทำให้พบกับเส้นใยที่พันไว้ทั่วเพื่อที่จะให้ได้ลิ้มรสโลหิตของผู้ผ่านทาง ด้วยสัมผัสดูเพียงนิดจึงได้พบว่าเส้นใยนี้คมอย่างที่ไม่ควรจะเป็น
" โอ๊ย!! "ตุ้บเท่งไม่ทันระวังตัวถูกเส้นใยนี้เข้าอย่างจัง เลือดที่ออกมาแม้จะน้อยนิดแต่นั่นก็พอที่จะเรียกประกายสายฟ้าที่ไม่มากแต่รุนแรงลงมายังตัวเขาได้ โชคยังดีที่พระโอรสวันพุธพาตัวออกมาได้ทันไม่เช่นนั้นป่านนี้ร่างกายเจ้าสิงโตคงจะเป็นอันตรายสาหัสแน่
"ถ้าเป็นประกายสายฟ้าอย่างนี้ อาวุธเหล็กใดก็ไม่สามารถจะทำลายได้ แล้วพวกเราจะทำอย่างไรต่อไปดีีพระเจ้าค่ะพระธิดา" หิ่งห้อยยักษ์ถามขึ้นมาด้วยเพราะเป็นเหล็กนี่ล่ะ ถึงมันจะไม่ใช่ตัวล่อฟ้าจริงๆแต่ว่าก็อาจจะทำให้ร้อนจนเกิดอันตรายได้เช่นกัน
"เช่นนั้นเราจะพาหายตัวไปยังอีกฟากนึงเองนะ"ทั้งสามจับมือกันและสัมผัสปีกของอีกคนเมื่อหายตัวไปยังอีกฟากกลับพบว่าตนอยู่ที่ด้านเดิมทั้งๆที่ข้ามไปแล้ว ถึงจะลองอีกสักกี่ครั้งผลลัพธ์ยังคงเดิม
"เราว่าให้เป็นหน้าที่ของเราจะดีกว่า" เธอว่าแล้วจึงใช้พลังจากเกราะกายสิทธิ์เรียกธนูทิชากรที่ทำจากไม้ลานแกะสลักที่คันธนูอย่างปราณีตแม้ไม่มากแต่พอดีออกมาแล้วแผลงศรเพื่อทำลายเส้นใยสายฟ้าเหล่านั้น ศรนั้นเคลื่อนไหวราวกับวิหคเหินเวหาเมื่อต้องใยนั้นแล้วแสงสีมรกตพลันสว่างเจิดจ้าเส้นใยนั้นถูกทำลายสิ้นแล้ว ทั้งหมดจึงได้เร่งเดินทางพร้อมกับระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิมเพราะไม่อาจจะรู้ได้ว่าจะเจอสิ่งใดอีกต่อไป
-
ขอเลื่อนวันอัพนิยายเป็นวันเสาร์ที่4 กรกฎาคมนะคะ ด้วยเพราะช่วงนี้จะต้องเตรียมตัวและเตรียมความพร้อมเข้ามหาวิทยาลัยค่ะ ต้องขออภัยด้วยนะคะ
-
ในขณะเดียวกันนั่นเองที่ทิศพลนคร อัญญานีได้ฟื้นขึ้นจากนิทราที่มีมาตลอดสองวันสองคืน บัวแย้มที่เห็นดังนั้นจึงได้นำน้ำดื่มและอาหารมาถวายให้
" บัว นี่เราหลับไปกี่วันกี่คืนแล้ว" พอที่จะทรงตัวเองลุกมาได้ก็เกิดคำถามมาในทันทีเพราะตัวเธอนั้นพอจะรู้ว่าตนเองไม่ได้หลับเพียงครู่เดียวแน่ๆ
"สองวันสองคืนเพคะ... พระธิดาปัทมาสน์ทรงประทานสร้อยเส้นนี้ให้หม่อมฉันนำมาถวายพระธิดาเพคะ" ว่าแล้วเธอจึงส่งสร้อยให้สร้อยนี้จี้ดูคล้ายตลับขนาดใกล้เคียงกับแหวน
"นางไม่น่าให้เราเลย เราควรจะตอบแทนเสียด้วยซ้ำที่ได้รับความช่วยเหลือ" เธอรับสร้อยมามามองดูพลางกล่าวไปเช่นนั้นเพราะในใจนางไม่ได้อยากรบกวนใครเลย
" พระธิดาอย่ากังวลพระทัยเลยเพคะ สร้อยเส้นนี้นับเป็นมิตรภาพที่พระธิดาปัทมาสน์มอบให้นะเพคะ พระธิดาอย่าได้คิดเช่นนั้นจะกลายเป็นการขุ่นข้องหมองใจ" บัวแย้มพูดหวังจะปลอบใจให้คลายกังวลพร้อมกับอธิบายสร้อยนี้ต่อ
"ถ้าเป็นเช่นนั้น เราจะสวมสร้อยนี้ไว้กับกายเราตลอด วันนี้เป็นวันพุธใช่ไหม เรามีเรื่องจะคุยกับเพชรราหู" จริงสินะวันนี่ก็ล่วงเลยมาวันพุธแล้ว เรื่องตอนอยู่เมืองคีรีมาศที่ถูกใส่ร้ายนั้นหาใครยืนยันที่อยู่ไม่ได้เลย เพราะตนเลยทีเดียวจึงได้วุ่นวายเช่นนี้ ทางที่ดีตนน่าจะไปคุยเรื่องนี้เสียดีกว่า
" วันนี้.. วันนี้พระโอรสเพชรราหูกับพระธิดาพุทธรัตน์เสด็จออกนอกเมืองเพคะ" บัวไม่ยอมลงละเอียดไปมากกว่านี้เพราะถ้าอีกคนรู้จะไม่ดีต่อสุขภาพด้วยที่เพิ่งฟื้นได้มินาน
"จริงสิ เพชรราหูเขาหายตัวได้ดั่งใจ วันนี้ไปสักพักก็คงจะกลับมา" คิดได้เช่นนั้นก็วางใจ ไว้ยามเย็นคงได้คุยกันอีกที คนที่ฟังอยู่ก็คงได้แต่ภาวนาไม่ใครเป็นอันตรายจากการต่อสู้ครั้งนี้เลย
.....
"ฉันทนา เจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าเส้นใยนั่นจะได้ผล" อัคนินถามสหายใหม่ของตนเพราะชักจะไม่แน่ใจขึ้นมา
" แน่ใจอยู่แล้ว เราเป็นศิษย์ของฤๅษีทมิฬนะ เส้นใยนั้นต่อให้หายตัวไปก็ข้ามไปไม่ได้ อาวุธเหล็กใดโดนก็จะร้อนมอดไหม้ พวกนั้นแก้สถานการณ์ไม่ได้ ถ้าอยากจะมาก็ต้องฝ่ามา อย่างน้อยๆก็พอลดกำลังได้บ้าง" สายตาที่ตอบกลับดูภูมิใจอย่างมาก
"งั้นก็ดี อีไม่นานพวกนั้นคงมาถึง เราไปก่อน"เขาพูดเสร็จก็ไปในทันที
ไม่นานตามคาดคณะเดินทางได้มาถึงตัวเมืองแล้ว ดูเหมือนว่าเมืองนี้ผู้คนจะหายไป แต่ก็คงเป็นเพราะต้องใช้ในการต่อสู้จะให้ชาวเมืองมาได้รับความเดือดร้อนก็กระไรอยู่
"หายดีแล้วใช่ไหมสุดหล่อ" พุทธรัตน์ถามด้วยเป็นห่วง ดีที่ออกมาทันไม่เช่นนั้นก็คงจะบาดเจ็บไม่น้อย
"ไม่เป็นไรหรอกพระเจ้าค่ะ สุดหล่อน่ะไม่ตายง่ายๆ ตราบใดที่สิ่งวิ..พระธิดายังอยู่" จริงรึเปล่าที่พูดดูแล้วไม่น่าวางใจได้เต็มที่
"คิดจะทำอะไรอีกหรือเปล่า ยังไม่เห็นวี่แววของพวกนั้นเลย" หิ่งห้อยยักษ์กล่าวกับตนเอง เมื่อครู่นั้นก็ถูกลอบกระทำแล้วคราวนี้จะมีอะไรอีก ไม่เห็นใครเลย
" เขาคงจะรอเพลาอะไรหรือป่าว ไม่อย่างนั้นจะถ่วงเพลาเราไว้ทั้งๆที่ไม่จำเป็นทำไม" เพชรราหูออกความเห็น มันน่าจะมีสาเหตุในการกระทำของพวกเขานี่
อากาศเริ่มเย็นลงแลเห็นท้องฟ้าเปลี่ยนสี ความืดเข้าครอบงำดวงอาทิตย์และแล้วคนในร่างทั้งหมดจึงได้แยกออกมา
"นี่มันอะไรกัน ทำไมวันนี้ถึงได้เกิดสุริยะคราสเร็วนัก"ประกายพฤกษ์พูดเป็นคนแรกหลังจากออกมากับครบ
"วันนี้พวกเรามาตามคำท้าเพื่อจะยุติเรื่องทั้งหมด ไม่นึกว่าจะมีเรื่องนี้ขึ้น" เพชรราหูพูดขึ้นเพื่อคนที่ยังไม่รู้จะได้รู้เรื่องนี้
"ตามการคำนวณแล้ว วันนี้ไม่น่าจะเกิดสุริยะคราสได้" ภูมินทร์กล่าว นี่มันจะเร็วกว่ากำหนดฟ้าไปรึเปล่าหนา
"แสดงว่าต้องมีใครเล่นตุกติกแน่"ศุภลักษณ์ออกความเห็น ไม่ทันไรลูกไฟก็เข้าจู่โจมพวกเขาทันที ไฟลุกยังบริเวณที่ตกใส่ ดีที่ไหวตัวทันจึงไม่มีใครเป็นอะไร
" แน่จริงก็ออกมา อย่าขยันแต่ลอบกัด!! "ศนิวารรู้สึกว่านี่มันจะมากไปแล้ว นัดมาเพื่อทำการต่อสู้ซึ่งหน้า ไม่ใช่ลอบทำร้ายกันอย่างนี้
" อย่าอารมณ์ร้อนไปสิ เดี๋ยวจะคิดหาวิธีสู้ไม่ทันนะ" ดาบสเฒ่าออกมาประจันหน้าพร้อมกับศิษย์หญิงและค้างคาวผี
"เมฆา!!.. นภาพร นี่มันอะไรกันแน่ทำไมถึงเป็นพวกเจ้า" ฉันทนาเมื่อมองศัตรูครั้งแรกก็ต้องพบกับความประหลาดใจเมื่อเห็นคนคุ้นเคย
"เราไม่มีเรื่องต้องมาอธิบายเจ้าหรอก เจ้าควรจะเข้าใจด้วยตัวเองได้แล้ว" ปัทมาสน์ตอบกลับ ไม่จำเป็นต้องอธิบายก็น่าจะรู้ดี
"ที่เหลือไปไหนกันหมด กะจะตัดกำลังพวกเราอย่างนั้นเหรอ"เมธาวีถามกลับ จริงๆคนที่ควรจะสู้ด้วยก็ต้องเป็นคนสวมใส่สิ่งวิเศษเหมือนพวกตนสิ
"ก็ใช่น่ะสิ.. อ๊ะอ้าวเจอกันอีกแล้วนะเจ้าหิ่งห้อย" ค้างคาวผีตอบกลับพลางเห็นสัตว์คู่ใจของคู่กรณีเก่าก็กล่าวทักทายไปอย่างนั้น
" พูดไปก็มากความ จัดการพวกมัน!! "ฤๅษีทมิฬออกคำสั่งแต่ตนกลับไม่สู้เพราะมีคนสู้ให้อยู่แล้ว
มีมือคน ไม่ใช่สิ ผีดิบกำลังจับขาของทุกคนไว้จากได้พื้นดินยึดไว้กับที่ แล้วอย่างนี้คงเสียเปรียบเป็นแน่
"อยากสู้ก็สู้อย่าทำแบบนี้" จันทราภาใช้พลังจากเกราะส่งผ่านดัชนีชี้ลงยังใต้ปฐพีเปล่งแสงทำลายมาตามรอยแตกของพื้นดินแล้วเข้าต่อสู้ แต่ถูกเส้นใยของศัตรูจนโลหิตออกจากกายแต่ยังมองไม่เห็น
"จันทราภาระวังสายฟ้า!!" พุทธรัตน์ร้องเตือน แต่ดูถ้าเหมือนจะไม่ทัน
"จันทลักษณ์!! " เรียกเสียงที่ตกใจและเป็นห่วงของแสงสุรีย์ที่เห็นจันทลักษณ์เข้าคว้าตัวจันทราภาออกจากสายฟ้าได้ทันแต่ตนก็ถูกกระทำแทน
"เราไม่เป็นอะไร" เขาตอบถึงจะติดขัดไปบ้างแต่ไม่ได้เป็นอะไรมาก
" มากไปแล้วจริงๆ" อังคาสเรียกพระขรรค์มุ่งฟาดฟันไปยังฉันทนาโดยทันที เธอที่มัวแต่หนีไปหลบชักใยในที่ลับก็คิดว่าไม่มีใครเห็นจริงว่าตนอยู่ตรงไหนที่ไหนได้ สายฟ้าได้ฟาดโดนเธอเสียจนบาดเจ็บ
"ฉันทนา!!" อัคนินเห็นแบบนี้ก็จะออกไปช่วยแต่บดิศรรั้งไว้
"ยังสร้างภาพมายาไม่เสร็จ ออกไม่ได้นะ" เขาห้ามปรามมันยังไม่ถึงเวลา จะมารีบร้อนไม่ได้
"ใครสน คนกำลังเจ็บหนัก ศิษย์ร่วมสำนักเจ้ายังไม่สนใจอีก ข้าจะไปอย่ามาห้าม!!" เขาวู่วามออกไปในทันที
ผีดิบออกมาเรื่อยๆเหมือนจะไม่มีทางหยุดเลย นี่กะจะตัดกำลังให้อ่อนลงแบบนี้จริงๆน่ะหรือ
" ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปข้าต้องบ้าตายก่อนแน่เลย เหนื่อยจะตายแล้ว" ตุ้บเท่งสู้ไปก็บ่นเหนื่อยไป หยุดไม่ได้ หยุดก็แย่
" เหนื่อยมากก็มาเล่นกับข้าซะเจ้าสิงโตฮ่าๆ" ค้างคาวผีเข้าถีบสุดหล่อจากด้านหลังอย่างแรก สร้างโกธเป็นอย่างมากจึงเข้าต่อสู้กัน
"ตุ้บเท่งระวังนะ เจ้านี่ก็เจ้าเล่ห์ไม่ต่างจากเจ้าเลย"หิ่งห้อยยักษ์ร้องเตือนขณะที่กำลังใช้แสง9ากตนโจมตีกองทัพผีดิบอยู่
"ฉันทนา ไปพักก่อนเถอะเจ้าเจ็บหนักมาก"ว่าแล้วอัคนินก็อุ้มร่างของของเธอ
"นางเจ็บมากมั้ย" สุริยะที่ปลีกตัวเข้ามาดูอาการได้ถาม
"เจ็บก็เพราะน้องเจ้านั่นล่ะ ยังคิดจะมาขวางทางอีกนะคนไร้คุณธรรม" ว่าแล้วก็ชนให้หลีกทางพาเธอไปยังที่ปลอดภัย ไม่ทันไรผีดิบก็เข้าเล่นงานสุริยะอีก
" หุ่นพยนต์จัดการ!! "ศุภลักษณ์ตัดสินใจเรียกหุ่นพยนต์มาสู้กับเหล่าผีดิบเพราะดำลังทุกคนจะอ่อนแรงเอาได้ พวกนั้นได้คู่ต่อสู้แล้วก็พอจะเบากำลังได้บ้าง
" อังคาส เจ้ากล้าดียังไงมาทำร้ายสตรี!! " อัคนินถามอย่างเกรี้ยวกราดอย่างที่ไม่น่าจะเคยมีเท่านี้
"ใครจะรู้ว่าที่ตรงนั้นจะเป็นผู้หญิงล่ะ อีกอย่างนางก็เป็นคนทำร้ายจันทราภา เราก็มีสิทธิ์ที่ปกป้องคนในครอบครัวเราสิ" เขาเถียงกลับ ใครที่ไหนก็ไม่รู้มาหาเรื่อง ตอนนี้คนที่เขาอยากมีเรื่องก็แค่คนเดียวเท่านั้นล่ะ
"ในการต่อสู้อย่ามาแบ่งหญิงชายหน่อยเลย เจ้าก็ช่างกล้าเหมือนกันล่ะอัคนินที่ว่าคนอื่นเขา"ปัทมาสน์น่ะได้เจอกับคนที่ขุ่นข้องหมองใจแล้ว คราวนี้จะสะสางให้เสร็จ
" เจ้าเป็นยักษ์ก็พูดได้นี่ ข้าจะสู้กับคนที่ชื่ออังคาสเท่านั้นอย่ามายุ่ง!! จบประโยคไม่นานด้านหลังทุกคนก็ปรากฏพญานาคราชสามเศียรขนาดใหญ่ปรากฏเรียกความสนใจไม่น้อย
"วัศพลนาคราชา ท่านมาที่นี่ทำไมกัน"แสงสุรีย์ถามขึ้นด้วยเพราะจำได้นั่นเอง
" เจ้าเป็นใครเราไม่รู้จัก" ไม่ต้องเวิ่นเว้อให้มากความองค์นาคาบันดาลลมพายุหมุนวนลูกใหญ่ซัดทุกคนให้ทุกลมหมุนไปเป็นวงกลมรอบ
"อย่างนี้ไปกันใหญ่ ทำไมพญาท่านถึงถึงได้.. ได้ดระทำเช่นนี้" จินดาพูดขณะถูกลมพายุพัดตนกับผู้ร่วมชะตาเป็นวงกลมเสียขนาดนี้แถมลูกพายุก็ดูจะทวีคูณขนาดเรื่อยๆ
อังคาสแปลงกายเป็นพญานาคถึงแม้จะออกจากพายุมิได้ แต่ก็สามารถตวัดหางรัดหางของท้าววัศพลดึงเข้าร่วมพายุนี้ด้วย
" ดูสิว่าจะทนได้กี่น้ำ" ไม่ทันไรท้าวเธอก็ทนมิไหวได้ยุติพายุนี้ลงเสีย อังคาสได้กลับยังร่างเดิม เสร็จแล้วสิภาพมายาที่ทำทีนี้ก็พบได้แล้ว ยังไม่ทันตั้งตัวทั้งหมดก็ถูกสิ่งที่คล้ายฟองอากาศลอยเข้ายังดวงตาแล้วพบว่าตรงหน้าเป็นตัวเองอีกคน
"อันตรายมาก พวกนี้เหมือนเรามากจริงๆ เป็นนเพียงภาพมายาหรือเปล่านะ"พุทธรัตน์กล่าวขึ้นมาด้วยสับสน
"ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงรีบกำจัดพวกนั้นดีกว่า" ประกายพฤกษ์เปิดการต่อสู้ก่อนใครด้วยการถีบใส่ท้องอีกคนที่หน้าเหมือนตนแต่หารู้ไม่ว่าคนที่ตนเพิ่งทำร้ายไปนั่นคือศุภลักษณ์ ภาพมายานี้มีมาเพื่อให้อีกคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นศัตรูที่เป็นเหมือนตนเอง แต่เปล่าเลยนั่นคือคนที่เกิดวันเกิดกันฝั่งเดียวกัน เพื่อจับคู่ให้ทำลายกันเองจนถึงที่สุดแล้วค่อยปิดฉากอย่างง่ายดาย โดยที่มองหาคนอื่นก็จะแยกไม่ออกไปด้วย
"กล้าดีนักนะ" ศุภลักษณ์ไม่ยอมจึงโต้ตอบกลับทันที
ทั้งหมดเข้าสู้กันโดยจำเป็นหรือวู่วามก็มีอยู่
"สาธุสาธุ เราต่างคนต่างอยู่ไม่อยากทำร้ายกันแต่วันนี้มาทำตามหน้าที่ อโหสิกรรมให้เราด้วย" ว่าแล้วภูมินทร์ได้ระยะเตะ จึงยกเท้าขวาเตะกราดไปยังบริเวณชายโครงของอีกฝ่าย จินดาที่กำลังสังเกตว่าอีดคนท่าทีดูแปลกๆจึงได้ตั้งรับโดยผลักตัวไปทางซ้าย พร้อมกับก้าวเท้าซ้ายฉากไปข้างหลัง ใช้แขนขวางอศอกขึ้นรับเท้าของอีกฝ่ายที่เตะมา
"ผิดปกติไป นี่เหมือนกับภูมินทร์เลยรึเปล่านะ" เธอคิดไปแต่ก็ต้องหาจังหวะต่อสู้และช่วงพักให้ดีเพื่อพิสูจน์
"หลบไวมาก ดูคล่องแคล่วกว่าเราอีก" พุทธรัตน์กล่าวขณะที่กำลังเตะแต่อีกอคนหลบได้ทุกครั้ง พอหาจังหวะได้เธอจึงได้ชกด้วยหมัดซ้ายไปยังบริเวณใบหน้าของอีกฝ่าย พร้อมกับก้าวเท้าซ้ายไปข้างหน้า แขนขวาคุมบริเวณปลายคาง
"ไม่ธรรมดาแต่แตกต่าง นี่เป็นใครกันแน่" เพชรราหูกำลังวิเคราะห์อยู่ด้วยสงสัย ถึงไม่รู้ว่าเป็นใครแต่ก็ควรรับมือไว้ก่อนว่าแล้วจึงก้าวเท้าขวาไปข้างหน้ากึ่งขวาหลบอยู่นอกหมัดซ้ายของฝ่ายนั้น เอี้ยวตัวไปทางขวา ปัดและกดแขนซ้ายของอีกฝ่ายให้เอนไปทางซ้ายแล้วกดให้ต่ำลง ทันใดนั้นเขาก็รีบใช้หมัดซ้ายต่อยอีกฝ่าย
"ตอนนี้มีชุมนุมจตุนาคราชาด่วนพระเจ้าค่ะ"
ข้ารับใช้จากวังบาดาลมารายงานให้เร่งกลับไม่เช่นนั้นจะต้องเป็นเรื่องแน่
"ไปก็ไป... เราไปก่อนนะ" ท้าววัศพลกล่าว ถ้าไม่ไปคงต้องถูกคาดโทษจากพี่เชษฐาเป็นแน่
"ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ ไว้ทางนี้จะจัดการต่อเอง" ธานินทร์รับคำกล่าว
"พวกนั้นไม่ยอมใช้พลังจากสิ่งวิเศษสู้เลย อย่างนี้จะเรียกว่าตัดกำลังได้ยังไง" บดิศรชักจะร้อนใจบ้างแล้วเหมือนกันที่พวกนี้เอาแต่เตะต่อยไม่ยอมใช้พลัง
"ตอนนี้นี้เป็นโอกาสดีแล้วจะทำใครก็ทำเลย" ปัจจาเสนอที่เหลือจึงเข้าไปร่วมด้วย ดูท่านี่จะเป็นการสนุกอยู่ฝ่ายเดียวเสียกระมัง
อัคนินจงใจซัดพลังไปที่คู่ต่อสู้วันอังคาร ทั้งสองเข้าใจผิดคิดว่าคนตรงข้ามนี่เองเป็นคนใช้พลังตนจึงเรียกของวิเศษออกมาน่าแปลกมากที่อาวุธไม่เหมือนกัน
" ทำไมถึงเป็นกงจักร "เขาสงสัยก็จริงแต่ทว่าต้องเอาคู่ต่อสู้ให้อยู่จึงให้พระขรรค์ฟาดฟันกับกงจักรเอง อาวุธทั้งสองที่ได้รับพลังจากสิ่งวิเศษที่สวมใส่อยู่นั้นเข้าโรมรันและฟาดฟันกันอย่างหนักจนสูงขึ้นฟ้าระเบิดลูกไฟที่เกิดจากการสู้ของอาวุธลงพื้นมากขึ้นๆจนลุกเป็นไฟด้านล่างไปทั่วบริเวณที่สู้กัน
"พระขรรค์นี่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนรึปล่าวนะ" ยังไม่ทันคิดอะไรมากอีกฝ่ายก็ชกด้วยหมัดซ้ายตรง พร้อมกับสืบเท้าซ้ายไปข้างหน้า ใช้หมัดขวาคุมอยู่บริเวณคางของตน ต้องโต้ตอบก่อนถึงจะคิดหาสาเหตุ เธอก้าวเท้าซ้ายสืบไปตรงหน้าฝ่ายตรงข้ามอย่างรวดเร็ว พร้อมกับยกแขนขวาสอดปัดแขนซ้ายของอีกคน แล้วโดดเข้าเหวี่ยงคอศัตรูโน้มลงมาโดยแรง แล้วตีด้วยเข่าบริเวณใบหน้า
"อย่าอยู่เลย!!" อัคนินไปร่วมวงนี้ซ้ำเติมคนที่ทำให้คนที่เขาสนใจอยู่นั้นบาดเจ็บ จังมาถีบก็ถีบเข้าศัตรูตั้งแต่เยาว์ของตนอีก
"อย่ามัวรีรอเลยดีกว่า เท่านี้คงไม่เจ็บเจียนตายหรอก" ศนิวารท้าทายอีกคนแล้วชกด้วยหมัดซ้ายตรง พร้อมกับก้าวเท้าซ้ายไปข้างหน้า
"คำพูดแบบนี้นี่มัน.. "กำลังใช้ความคิดไปก็ต้องใช้กำลังเข้ารับด้วยแล้วจึงรีบก้าวเท้าซ้ายสืบไปข้างหน้าของฝ่ายรุก ทางกึ่งขวาของวงหมัดภายในของอีกฝ่ายที่ชกมา
ในขณะที่สู้กันอยู่ก็รู้สึปเหมือนมีใครมีถูกที่หลังแต่ไม่ยักจะมองทันว่าใครทำ
บดิศรมุ่งหน้าเข้าหาคู่ต่อสู้วันอาทิตย์หลังจากการกระทำของแม่มดเกลียวทอง
"ไม่ได้ ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปก็ต้องแย่แน่ๆ" เขาตัดสินใจใช้พลังต่อต้านอีกฝ่ายเพราะตนไม่ได้จะมีเวลามาสู้กับอีกคนขนาดนั้นนะ
"ไม่ใช่..นี่มัน"แสงสุรีย์ชูสังวาลย์ตั้งรับพลังอีกฝ่ายกำลังจะพูดให้อีกฝ่ายรับรู้แต่ถูกขัดจังหวะเสียก่อน
"นี่เจ้าน่ะ มาสู้กับข้าดีกว่านะสุริยะ" เขาจงใจปล่อยพลังใส่เขาทีเผลอเอาให้คนนั้นเสียหลัก
"สุริยะ!!" เธอหลุดพ้นแล้วภาพมายาถ้าจิตใจเห็นจริงก็มิน่าจะหลอกได้นานนักหรอก
" แสงสุรีย์... นี่พวกเราต่างสู้กันเองเหรอ" เขาได้ยินเสียงเรียกแล้วหันมองรอบมีแต่คนของพวกเราสู้กันเอง
" รู้ตอนนี้ก็สายไปซะแล้วล่ะ"บดิศรเข้าทำร้ายทั้งสองทันที
"หยุดนะหยุดตีกันเดี๋ยวนี้ ของขึ้นรอยร้าวไปกันใหญ่แล้ว!! หิ่งห้อยทำอะไรอยู่ทำไมไม่เตือนห๊ะ!!" เจ้าสิงโตที่สู้กับค้างคาวได้หันมาเจอคนสู้กันเองทั้งกำลังจนกระทั่งเริ่มมีการใช้พลังกันใหญ่โตจนตอนนี้สิ่งวิเศษทั้งสองก็เกิดรอยร้าวฝังลึกนัก เจ้าหิ่งห้อยอยากจะร้องห้ามอยู่หรอกแต่ธานินทร์ใช้วิชาเถาวัลย์มารัดตัวกับปากของเขาเสียแล้ว
......
ใครเขาจะตีกันเท่าใดก็ช่างเถอะ ตนได้ทำหน้าที่แล้ว แล้วหน้าที่ต่อไปคือพาตัวอัญญาณีกับบัวแย้มไป
ทั้งดาบสและแม่มดแยกกันทำความวุ่นวายให้บ้านเมืองทันที
"ตายแล้วๆ ผี ผีดิบมากันใหญ่เลย!!" นางกำนัลวิ่งหนีกันให้วุ่นวายเพราะไม่ได้มาแค่ตัวสองตัวแต่มาชนิดที่เรียกว่ากองทัพได้
"รีบไปที่ๆปลอดภัยเร็วเข้า" ทหารเกณฑ์คนไปพร้อมแบ่งคนไปคุ้มกันพระกษัตริย์ด้วย
" เกิดอะไรขึ้นกันแน่เพคะ ทำไมถึงได้เป็นเช่นนี้" สไบทองถามหลังจากมาสมทบที่พระราชฐานใต้ปฐพี
" พวกผีดิบมาจากไหนไม่รู้เหมือนกันลูก นี่ก็รอเพียงฝั่งพระธิดาอัญญานีกับบริวารมาจะได้ลั่นดาลให้แน่นหนา"ท้าวทิศพลพูดพร้อมทำทีให้ใจเย็นลงอย่าแตกตื่น
"โธ่... แล้วลูกแม่จะเป็นอย่างไรบ้างนะ"มันอดห่วงลูกที่ไปต่างเมืองไม่ได้ ตนยังพบเจอกับปัญหาขนาดนี้ลูกจะเป็นอย่างไรก็ยังมิรู้เลย
" จั๊กแหล่นไปดูพระธิดากับบัวแย้มก่อนนะ เดี๋ยวทางนี้พี่ตาหวานจะจัดการต่อเอง" เขาวานให้ไปทันทีเพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของทั้งสองมาก เสือสาวรับคำแล้วเร่งไปดูกลับพบประตูที่เต็มไปด้วนเถาวัลย์พันปิดตายไว้
"พระธิดา หนูบัว!!" เคาะเรียกเท่าใดคนข้างในก็ไม่ได้ยิน ข้างนอกก็ไม่ได้ยินเสียงข้างในเลย
" อยู่กันพร้อมหน้าดีนี่ อัญญานี บัวแย้ม" เกลียวทองกล่าวทักทายราวกับผู้กำชัยชนะไว้ในมือ
"เกลียวทอง!! อย่าเข้ามานะ ถ้าเข้ามาเจ้าไม่ตายดีแน่" อัญญานีก็ตกใจอยู่แต่ต้องคุมสติให้พร้อมสู้ตลอดเวลา
"คิดว่ากลัวนักสิ เอาสิอยากทำอะไรก็ทำเลย" นางเข้าใจว่าตลอดเวลาที่เลี้ยงดูนางได้ปิดกั้นทุกทางไม่ให้นางไปยุ่งกับการต่อสู้ นางจะสู้อะไรตนได้
"ได้.. ก็ลองดู" เธอกำลังจะใช้แหวนมาจัดการพร้อมให้บัวแย้มหาทางหนีที่ไล่ให้ด้วย นางแม่มดรู้สัญญาณจึงใช้พลังจับตัวบัวมารัดคอแล้วยกขึ้นสูงเหนือพื้นดิน
อัญญานีใช้แหวนเท่าใดๆก็ไม่เป็นผล คนถูกทำร้ายใกล้จะหมดลมเต็มทน
"ไอ้แหวนนี่น่ะแน่เหรอจะมาจัดการเรา เอามานี่" ว่าแล้วนางก็ใช้พลังสับเปลี่ยนยึดแหวนมากับตน แล้วขู่เสียไม่ให้คิดสู้
"จะยอมไปเฝ้าพระเทวาวิษุวัตดีๆหรืออยากให้นางบัวแย้มตาย" ไม่พูดเปล่านางกลับยิ่งใส่พลังเข้าไปรัดคอให้แน่นยิ่งกว่าเดิม
"ได้... เรายอม ยอมทุกอย่าง ปล่อยบัวเถอะ" สิ้นสุดคำพูดแล้วเกลียวทองก็ได้ปล่อยตัวบัวแย้มไป
"เชื่อฟังได้ได้อย่างนี้ก็ดี... ท่านฤๅษีรบกวนท่านต่อแล้ว" ว่าแล้วก็คว้าอัญญานีหายตัวไปในทันที ฤๅษีใช้ผอบนำร่างบัวแย้มที่สลบเข้าไปอยู่ด้านในเพื่อจะนำไปให้ศิษย์รักของตน แล้วจึงใช้ว่านแปลงเป็นบัวแย้มส่วนตัวก็แปลงกายเป็นอัญญานี
เถาวัลย์หายไปประตูได้เปิดออก จั๊กแหล่นเปิดได้จึงเข้าหาด้วยเป็นห่วง
" แย่แล้วจั๊กแหล่น บัวถูกทำร้าย ดีที่เมื่อกี้เราใช้แหวนช่วยไว้ แต่ตอนนี้คงจะต้านไม่ไหว พวกเราไปหลบที่ปลอดภัยกันก่อนดีไหม" เขาแสร้งพูดเพราะตัวเองจะได้รู้ที่ซ่อนตัวของเมืองนี้ นางก็เชื่อเลยพากันไปที่ชั้นใต้ดิน
.......
"ภูมินทร์จริงๆด้วย" จินดาหยุดเมื่ออีกฝ่ายหยุดก่อนก็พอรู้ว่าใช่จริงๆเพราะอย่างเขาน่ะ ไม่อยากทำร้ายคนไปมากกว่านี้แล้วต้องหยุดก่อนแน่ใช้สันติเข้าสู้
" ไม่ได้การแล้ว ต้องใช้ผงทลายมายา" ภูมินทร์กำลังจะใช้ผงขาวทำลายมายาให้ทุกคนแต่ต้องถูกขัดโดยปัจจากับธานินทร์ พวกเขาเข้ามาแย่งยื้อต่อสู้เอาถุงใส่ผงนั่นจนวุ่นวาย จินดาที่รับถุงมาได้ก็โยนไปคู่ของคนวันศุกร์ทันที ควันผงพวยพุ่งทำให้ทั้งสองคลายภาพมายาลงไป
"เป็นเจ้า!! " ทั้งสองตกใจไม่นานก็ต้องรีบใช้ผงไปให้คนอื่นหายจากภาพมายา หลายคนก็ออกจากมายาได้แล้ว แต่อัคนินมิทันรู้ตัวเพราะมัวแต่ปั่นหัวคนอื่น ศุภลักษณ์สบโอกาสใช้มีดสั้นกรีดใบหน้าด้านขวาของอัคนินจนเป็นแผลลึก คราวนี้ทุกคนได้สติคืนมาแล้วจะไม่ยอมอีกต่อไป
" ทั้งหมดรวมพลัง!!" สุริยะและแสงสุรีย์ได้กล่าวพร้อมกันให้ทั้งหมดนั้นได้รวมพลังต่อสู้แล้วทั้งสองฝั่งก็ได้ประลองพลังทันที
"พวกเจ้าไม่มีทางชนะข้าได้หรอก" อัคนินแค้นทั้งแค้นที่ถูกกระทำจึงส่งพลังไปอย่างเต็มที่
"ได้ไม่ได้ก็ตองลองดู" จันลักษณ์กล่าวตอบแล้วใส่พลังเข้าไปอีก
" อย่าดื้อรั้นอีกเลยยังไงพวกเจ้าก็ต้องแพ้" บดิศรเสริมพร้อมๆกับเพิ่มพลังเข้าไป
"แพ้เพราะพวกเจ้าโกง คงจะภูมิใจนักล่ะสิ"ศนิวารตอบกลับ
ตอนนี้พลังที่ปะทะอยู่ตรงกลางนั้นไม่เคลื่อนที่ไปไหนแต่กลับทำให้พื้นดินลุกเป็นไฟไปทั่ว รวมกับร่องรอยจากการสู้กันเองแล้วนั้น ทะเลเพลิงก็คงจะเหมาะกับสภาพบริเวณในที่แห่งนี้
"ไม่ดีแน่ มันเป็นบริเวณกว้าง พวกสัตว์ป่าสิ่งมีชีวิตอื่นจะต้องเดือดร้อน พวกเราพอก่อนดีไหม" ภูมินทร์ทักท้วงเพราะนี่ไฟที่เกิดจากการปะทะพลังอยู่ตรงกลางก็ลุกขึ้นสูงจวนจะเสียดฟ้าแล้ว
"ถ้าพวกนั้นไม่หยุด พวกเรานี่ล่ะจะเดือดร้อน" เพชรราหูตอบ ไม่ใช่ไม่อยากหยุดแต่หยุดไม่ได้
" อย่ามาหาข้ออ้างเลย กลัวก็บอกเถอะฮ่าๆ"อัคนินกล่าวยิ่งใส่พลังเสียสุดฤทธิ์
" ใครว่ากลัว สงบปากไว้บ้างก็ดีนะ" เมธาวีโกรธยิ่งกว่าไฟเธอจึงเพิ่มพลังไป
"เอาให้มันรู้ไปเลยว่าใครจะอยู่จะไป" พุทธรัตน์กล่าวร่วมด้วย
ไฟมันลามมากเกินควบคุมแล้ว ขืนเป็นอย่างนี้วุ่นวายไม่จบสิ้นแน่
" พอกันก่อนทั้งพวกเราและพวกเจ้า มันเกินไปแล้วรึเปล่า" สุริยะเห็นท่าไม่ดีจึงได้เตือน
" ไม่!!" เสียงตอบของคนไม่เห็นด้วยดังขึ้น แล้วเหมือนยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุก็ใส่พลังไม่ยั้งเลย คนที่เห็นด้วยจะถอนตัวแต่ว่าเหมือนพลังได้ดึงดูดพวกเขาให้ส่งพลังต่อราวกับแม่เหล็ก แบบนี้พลังน่ะเกินขีดกำจัดในการควบคุมเข้าให้แล้ว ร้อนถึงพระแม่ธรณีต้องมาดับความเดือดร้อนครั้งนี้เสียแล้ว
พระแม่ธรณีตัดสินพระทัยบีบมวยพระเกศาให้มวลมหานทีไหลท่วมจรดเพื่อดับไฟ และแล้วน้ำน้ก็ได้ไหลหลากอย่างเร็วและรุนแรงซัดไปคนละทิศทาง ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เกราะกายสิทธิ์และสังวาลย์มณีได้แตกพังเสีย ด้วยมวลน้ำที่มากและเร็วทำให้ผู้คนเทวา แลสิ่งมีวิตอื่นที่เข้าการต่อสู้ไปกันไกลมากพอที่จะไม่ได้เจอกันง่ายๆ ผ่านไปจนอาทิตย์อัสดงแสงสุรีย์ได้ฟื้นขึ้นมาหลังจากเหตุการณ์นี้ ถึงจะยังอาการมิสู้ดีแต่ว่าสหายนี่สิจะเป็นอย่างไร ทำไมมิเห็นจะฟื้นเลย
เธอเข้าไปดูแล้วพบว่าร่างอันพิการเข็ญใจของเขานั้นไร้ซึ่งวิญญาณเสียแล้ว เธอพยายามเขย่าร่างอีกคนจนสุดแรงก็มิเป็นผล ใบสรรพชีวีที่มีก็หมดไปเสียแล้วจะทำอย่างไรต่อไปดี
......
ทั้งสี่ได้มาถึงที่ซ่อนโดยคนด้านในไม่รู้เลยว่านี่ไม่ใช่มิตรแต่หากเป็นศัตรูแฝงตัวมา
"อยู่ที่นี่กันสินะ ฮ่าๆ" อัญญานีอดหัวเราะชอบใจเสียมิได้ คนก็สงสัยนักว่าเกิดอะไรขึ้น
"อัญญานีเป็นอะไร ทำไมท่านถึงได้กระทำกริยาเช่นนั้น" มเหสีอมรินทร์ถามด้วยสงสัยท่าที
"ก็น่ายินดี.. ที่จะได้พวกเจ้าเป็นข้าทาสบริวารน่ะสิ" ว่าแล้วเขาก็กลับร่างตนแล้วใช้ทีเผลอนั้นใช้มนตราทำเชือกรัดไว้แล้ว
"ปล่อยพวกเรานะ ท่านก็บำเพ็ญตนเป็นผู้ทรงศีลกระทำการเช่นนี้นับว่าสมควรหรือ"ท้าวทิศพลท้วง คนมีศีลไม่ควรกระทำการเช่นนี้
"สมควรสิ เอาเถอะลูกเจ้าจะได้ไม่ต้องเหงาใจ เพราะทั้งหมดนี้ต้องเป็นข้าทาสในรัตนบุรีเท่านั้นฮ่าๆ ออกเดินทางพรุ่งนี้ ใครฝ่าฝืนมีโทษทางเดียวคือตาย" ว่าแล้วจึงออกไปยังด้านนอกแล้วปิดปากทางเข้าจากด้านนอกอีกชั้นเพื่อความปลอดภัย
.....
"บัวจะเป็นอะไรรึเปล่านะ มันเกินอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมแหวนถึงใช้งานไม่ได้อีกแล้ว คราวนี้ก็ถูกเอาไป" อัญญานีสงสัยมากจริงๆ
" ถ้าถึงขนาดที่พวกนั้นหายไปนานขนาดนี้ แสดงว่าต้องมีเรื่องแน่ พวกนี้ไว้ใจไม่ได้จริงๆ" ตอนนี้ต้องเอาใจโอนอ่อนผ่อนตามไปก่อน เพราะยังไม่รู้ว่าเรื่องอะไรเป็นยังไงกันแน่ ระหว่างนี้ต้องรอจังหวะที่จะหนีไปอีกรอบ แต่เมื่อกำลังสรวจหน้าต่างนั้นกลับพบว่าด้านล่างเป็นพื้นแก้ว จะว่าไปแล้วห้องนนี้มันไม่ใช่ห้องเดียวกลับเมื่อคราวที่แล้ว ต้องระวังตัวให้มากขึ้น และรอบคอบมากขึ้นเสียแล้ว
.....
ช่วยอะไรไม่ได้ก็คงต้องปล่อยไปตามเวรตามกรรมจริงๆ เชิงตะกอนที่ทำด้วยน้ำพักน้ำแรงจนค่ำของแสงสุรีย์นับเป็นสิ่งสุดท้ายที่สหายคนหนึ่งจะทำให้ได้ ถึงจะเสียใจราวกับฟูมฟายแต่มิใคร่จะได้ยินเสียงจากเธอเลย เธอพาร่างสุริยะขึ้นยังเชิงตะกอน แสงจันทร์สะท้อนใบหน้าด้านซ้ายของเธอเป็นแผลเป็นที่เกิดจากการถูกกรีดลงลึกเสียน่าตกใจ เธอทำใจอยู่นานแต่ก็มิอาจจะใช้ไฟมาเผาร่างนี้ไปได้ อยู่ๆท้องฟ้าก็ปรากฏแสงสว่างทั่วราวกับแสงจากดวงอาทิตย์ในยามกลางวัน ส่งผลให้ความสนใจของเธอนั้นมุ่งไป นั่นคือแสงอะไรกันแน่ทำไมถึงได้มุ่งมายังที่แห่งนี้ได้ หรือนี่จะเป็นเป็นแสงความโชคดีที่มีมาให้กับสุริยะกันนะ
-
ขอเลื่อนเป็น18.50นะคะeditคำผิดค่ะ
***ขอโทษอย่างสูงขอเป็น1ทุ่มนะคะปั่นเช็คแล้วยังเหลือน่ะค่ะ
-
"ที่นี่ไม่คุ้นเท่าไหร่เลย เราถูกซัดมาไกลเท่าไหร่กันนะ....อัคนิน เป็นยังไงบ้าง" หญิงสาวเมื่อฟื้นขึ้นมาก็พบว่าถูกกระแสน้ำซัดมาไกลมาก ซ้ำสหายร่วมสู้ก็ดูท่าอาการไม่ดีเท่าไหร่เลย บาดแผลที่เกิดจากการต่อสู้นั้นก็ลึกมากจนอดห่วงไม่ได้
"ไม่เป็นไรหรอก ฉันทนาร่างกายของเจ้าน่าห่วงกว่าอีก"ทั้งที่ตัวก็เจ็บไม่น่าบอกแบบนั้เลยนี่นา
" ดีแล้วที่ไม่เจ็บมาก จะได้ออกเดิืนทางต่อ"
"เจ้าจะไปตามหาเมฆาขอของเจ้าใช่ไหมล่ะ เราจะบอกอะไรให้นะ คนแบบศุภลักษณ์น่ะไว้ใจไม่ได้ หลอกคนไปทั่ว" เขาพูดประชดประชันด้วยน้อยใจ มีอย่างที่ไหนคนไม่ห่วงตัวเอง ต้องสนใจด้วยหรืออย่างไร
"อย่าว่าเขานะ เราว่าเขาต้องมีเหตุผล" ถึงจะพูดอย่าngนั้นก็อดคิดตามไม่ได้
"เราอยากให้เจ้าสนใจมองคนอื่นบ้าง ช่างเถอะหาอาหารและหาที่พักดีๆก่อน พรุ่งนี้จะได้กลับ"ไม่อยากถกเถียงต่อไป คนมาทีหลังก็ต้องทำใจให้เข้มแข็งแล้วลองใหม่อีกที
....
"ที่นี่ไม่ใช่รัตนบุรีแน่ๆ แต่น่าจะเป็นเมืองไม่ไกลจากศาศวัตบุรีเท่าไหร่นักนะ" บดิศรที่ถูกกระแสน้ำซัดมาคนเดียวฟื้นขึ้นมาได้ก็สำรวรอบๆ ก็พอจะรู้ว่าไม่ใช่บ้านเกิดเมืองเก่าของตน
" ต้อngเร่งเดินทางกลับให้เร็วที่สุด" เขาไม่แม้แต่คิดจะหยุดพักเพราะตอนนี้สิ่งที่คิดถึงถึงที่สุดคือคนที่อยู่รัตนบุรี
..........
" เจ้าหิ่งห้อยฟื้นขึ้นมาเร็วเข้า ฟื้นเร็วสิ!" เจ้าสิงโตร้องเรียกอีกฝ่ายพลางแก้เถาวัลย์ให้
"นี่พวกเราสลบไปนานเท่าไหร่นะ...แย่แล้วพระโอรสกับพระธิดาล่ะ" เมื่อฟื้นขึ้นมาได้ไม่นานก็ได้สตินึกห่วงทันที สุดหล่อได้ยินก็ฟูมฟายใหญ่โต
"มันหมายความว่ายังไงกันแน่เจ้าตุ๊บเท่" อย่าเอาแต่ร้องไห้จะได้มั้ย" อีกฝ่ายต้องรู้อะไรแน่ ไม่เช่นนั้นจะแสดงอาการขนาดนี้เลยหรือ
"ก่อนถูกน้ำซัดมาข้าเห็นเกราะกายสิทธิ์กับสังวาลย์มณีถูกทำลายไปแล้วน่ะสิ ไม่เหลือะไรเลยฮือๆ/ เล่าไปก็ฟูมฟายไปราวกับจะจบชีวิตลง
"แย่แล้ว อย่างนี้พระโอรสกัิบพระธิดาจะต้องอยู่ในอันตราย ไม่ได้การแล้วต้องรีิิบไป บินไปไม่ทันไรปีกนั้นก็เกิดเสียงคล้ายจะหักแหล่ไม่หักแหล่
" พักก่อนเถอะ ฝืนไปก็เปล่าประโยชน์ ไม่เหลืออะไรแล้ว"ไม่น่าจะตามหา เท่านี้ก็ไม่เหลืออะไรแล้วจะไปทำไมให้เสียเวลา
" เจ้าไม่เคยเข้าใจอะไรเlย เจ้าก็เอาแต่ห่วงสิ่งวิเศษ เจ้าไม่เคยแม้แต่จะมีความเป็นสิ่งมีชีวิตจิตใจหรือแม้แต่คิดถึงความสัมพันธ์ที่มีต่อกันเลย ถ้าไม่อยากช่วยก็ไปตามทางของเจ้าซะเถอะ" เขาว่าอย่างนั้น อยู่ด้วยกันมาไม่เคยมีความผูกพันกันแม้แต่น้อยเลยเหรอ
"เอาเถอะๆ ถึงข้าจะไม่เข้าใจในความสัมพันธ์อะไรนั่นของเจ้าก็เถอะนะ เอาเป็นว่าข้าจะช่วยแต่เจ้าต้องรักษาตัวก่อน แทนที่จะช่วยได้ก็เป็นภาระเอา" ถึงจะไม่เข้าใจแต่ก็ยังพอมีน้ำใจอยู่บ้างล่ะนะ
" ก็ได้ เราจะพักรักษาตัว แต่ขอเพียงคืนเดียวก็พอ" เป็นห่วงครั้นจะเลิกห่วงก็ไม่ได้ แต่ต้องเอาตัวให้รอดก่อนจะดีที่สุด
......
" นี่คือศรุตเทพจุติมามิใc่หรอกหรือ เหตุใดจึngถึngแก่ความตายเร็วนัก" วิหคเพลิงสองเศียรผู้เป็นแสงสว่างราวกับแสงดวงอาทิตย์ได้เข้ามายังเชิงตะกอนเพื่อมองดูแล้วจึงได้ถาม สตรีที่มีใบหน้าที่เป็นแผลเป็น เธอเลี่ยงการตอบโดยวาจาแล้วจะลงมือเขียนพื้นดินตอบ นกไฟจึงได้ยั้งไว้
" ไม่เป็นไร เราสื่อสารผ่านทางใจได้ เล่าามาเถอะ" เมื่อได้ยินดังนั้นเธอจึngเล่าให้ฟังเรื่อngราวที่ประสบพบเจอมา
"ศรุตเทพ..สุริยะในชาตินี้ต้องรับวิบากกรรมโดยมิทันแก้ต่างความผิดก็ต้องสังเวยชีวิตไปรอเอาชาติหน้าเชียวหรือ เมื่อครั้งยังไม่จุติเขาเป็นสหายเพียงผู้เดียวที่อยู่เคียงข้างเราเมื่อได้รับโทษที่เรามิได้กระทำ เราเชื่อว่าสิ่งที่เขากระทำต่อเทพวิษุวัตต้องมีเหตุผล เราอัจจิมามิสามารถยินยอมให้เขาจากไปเพื่อรอแก้ต่างควาผิดในชาติต่อไปได้"จบประโยคศีรษะทั้งสองของตนจึงได้หลั่งน้ำตาลงบนกลางหน้าผากอันเหือดแห้งของผู้สิ้นชีพ ร่างกายกลับมาดูชุ่มชื่นอีกครั้ง แสงรอบกายราวกัิบหิ่งห้อยนับร้อยค่อยๆจุดดวงไฟแห่nงชีวิตขึ้นมาจนเจ้าตัวได้ลืมดวงตาขึ้นเป็นสัญญาณดีว่าเขาได้ฟื้นคืนจากความตาย
" เรายัง..ไม่ตายเหรอ.." เขาน่าจะตายไปแล้วนี่ ทำไมเขายังฟื้นขึ้นมาได้ล่ะ
"จริงๆเจ้าก็สิ้นไปแล้ว แต่เราได้นำพาเจ้ากลับมา ได้ชีวิตกลับมาต้องรักษาให้ดี เราเชื่อว่าต้องมีวิธีทำให้เจ้ามาเป็นปกติ เราออกมานานพอแล้วเราต้องกลับก่อน หากมีวาสนาคงจะได้เจอกันใหม่" ว่าแล้วเขาก็เตรียมตัวจะจากไป
"พระองค์คือเทพวิหคอัจจิมาดังในตำนาน หม่อมฉันขอขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ" เขาที่นึกออกได้ก็รีบขอบคุณทันที
" เราเต็มใจ..เจ้าจงรักษาความดีและะทำหน้าที่ให้ถึงพร้อมเถิด" อีกเศียรกล่าวด้วยเสียงสตรีซึ่งต่างกับอีกเศียรที่พูดมาใตอนแรกทั้งหมด ว่าแล้วจึงได้บินจากไป จากแสงสว่างทั่วท้องฟ้าเหลือเพียงแสงจากคบเพลิงเท่านั้น
" แสngสุรีย์ ท่านได้รับบาดเจ็บมากรึเปล่า เหตุใดถึงได้มีบาดแผลลึกเช่นนี้" เรื่องของตนเองผ่านไปด้วยดีถึงแม้จะยังพิการเข็ญใจอยู่ แต่ยังอดห่วงสหายไม่ได้ เธอไม่ใช้วาจาตอบแต่กลับใช้นิ้วมือเขียนลงบนพื้นดิน
เราเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เกิดแล้ว รวมถึืืงการพูดไม่ได้ของเราด้วย เราก็เหมือนกับท่านหากได้สวมใส่สิ่งวิเศษก็จะเป็นดั่งคนปกติ" เรื่องนี้สร้างความประหลาดใจให้กับเขามาก ตั้งแต่รู้จักกันมาก็มิเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย เขาก็คิดว่าเธอนั้นเป็นปกติทั่วไปเสียอีก แต่ก็ยังดีที่ช่วยเหlือตนเองได้คล่องแคล่วกว่า
" พวกเราจะทำอย่างไรกันต่อไปดี สิ่งวิเศษก็ได้แตกจากกันและะสูญหายไปแล้ว" ทีนี้จะทำเช่นไรกัน พวกเขาราวกับคนธรรมดาค่อนข้างด้อยกว่าในความรู้สึก เสียเปรียบเหลือเกิน
"พวกเราต่างก็เรียนวิชาอยู่บ้าง ใช่ว่าจะไร้หนทางเสมอไป วันนี้พักผ่อนกันก่อน พรุ่งนี้เราจึงใช้วิชารวบรวม"จริnงสิพวกเราต่างก็เรียนวิชามานับสิบปี ควรหาประโยชน์จากการใช้งานเสียบ้าง เมื่อตกลงกันได้แล้วจึงได้พักผ่อนกัน
........
"ปัจจาตื่นขึ้นมาเร็ว พวกเราปลอดภัยแล้ว" ธานินทร์ร้องเรียกสหายร่วมงานหลังจากที่ผ่านกระแสน้ำมาแล้วได้สลบไปจนตื่นหนึ่ง
" ปลอดภัย.."เขาลุกขึ้นด้วยอาการมึนงงเล็กน้อย
"ใช่ ตอนนี้พวกเราอยู่กันที่หอชิดดารา" เขาดูยินดีที่ได้กลับมามากเสียจริง
"นั่นก็นับว่าน่ายินดีที่พวกเราไม่สูญสลายหายไป แต่ว่าหน้าที่ยังไม่หมดไป พวกเราต้องไปดูให้แน่ใจว่าพวกนั้นจะไม่สามารถย้อนกลับมาทำร้านพวกเราได้อีก" ก็จริงอย่างที่ว่า ปล่อยไว้ไม่เป็นผลดีต่อฝ่ายตนนักหรอก
" วางใจเถอะ เราเห็นมากับตาว่าทั้งสองฝ่ายสิ่งนั้นแตกพังลอยไปตามน้ำแล้ว ที่สำคัญพวกนั้นอาการไม่สู้ดี คงคิดทำอะไรไม่ได้ทันหรอก อย่าคิดมากเลย" เขาช่างเป็นเทพที่ปล่อยวางง่ายเสียจริง
" เพราะประมาทนั้นล่ะมันถึงได้วุ่นวาย" เขาเริ่มไม่พอใจแล้วนะ
"พักผ่อนเสียก่อน ไว้มีแรงพรุ่งนี้จะตามหาก็ไม่สาย/ เขาออกความเห็น รีบร้อนไปก็ใช่เรื่องมันจะะได้ดั่งใจเสมอนี่ อีกคนฟังก็ยอมตามใจเพราะเห็นสหายอ่อนล้าจึงไม่อยากดื้อดึง
........
เช้าวันใหม่ได้เริ่มต้นอย่างไม่สดใสเลยของชาววัืงเมืองทิศพลเพราะต้องถูกนำตัวไปเป็นข้าทาสบริวารยังต่างเมือง เสือสาวดูเหนื่อยหน่ยเต็มจึงได้ร้องเรียกดาบส
"ท่านตาปล่อยจั๊กไปเถอะนะเจ้าคะ จั๊กจะพาไปพบท่านตามฤคินทร์" คำพูดนั้นทำเอาผู้นำขบวนขนคนถึงกับให้ความสนใจเลยทีเดียว
"เชื่อใจเจ้าได้แค่ไหน" ถึงจะสนใจแต่ต้องระวังตัวไว้ก่อน
"ได้มากกว่าคนพวกนี้ทั้งหมดเลยเจ้าค่ะ" เขาจึงแก้มนต์ที่รัดเธอออกให้
"คุมตัวคนพวกนี้ไปถึงรัตนบุรีก่อน แล้ววจึงไปพบตาของเจ้า" เขาอยากพบสหายคนนี้เพราะต้องมีเรื่องที่ควรจะสะสางให้สิ้น
"เดินทางอีกตั้งไกล จั๊กน่ะปวดขาจะแย่ ท่านตาก็มีอิทธฤทธิ์ ทำไมไม่รีบพาไปเสียเร็วๆกันล่ะเจ้าคะ" เธอแกล้งโวยวายเพื่อที่จะไม่ให้ทุกคนต้องเหนื่อยแรงเดินทาง
" ถ้าไม่ใช่เพราะตาของเจ้า อย่าหวังจะได้ไปอย่างสบายเลย"
มินานมากนั้นด้วยมนตราที่ท่องเพียงครู่ ทั้งหมดก็ได้มาถึงที่ต่างเมืองอย่างรวดเร็ว
" ไว้เราไปทูลพระมเหสีก่อน อย่าคิดตุกติกอะไรโดยเด็ดขาด" เขาสั่งอย่างนั้นแล้วก็จากไป
"มเหสี ..หรือว่าจะเป็นสไบแก้วกันนะ" สไบทองคิดถึงไม่กี่คนหรอกที่คิดทำร้ายตนไม่ปล่อยเช่นนี้
" เราห่วงว่าหลานของเราจะได้รับอันตรายเสียแล้วสิอมรินทร์ ป่านนี้แล้วมิเห็นวี่แววเลย" ท้านวดลกกล่วกับมเหสีอย่างอ่อนใจ
" ทั้งฝ่าพระบาทและธิดาอย่าเป็นกังวลเสียจนเกินเหตุ ตอนนี้พวกเราควรคิดหาวิธีเอาตัวรอดเสียก่อน" พระนางสนอเพราะเห็นอาการที่ไม่สู้ดีของทั้งสองจึงได้กล่าวไปเพราะเชื่อว่าต้องมีวิธีที่รอดออกไปแน่
.....
" เราจะทำอย่างไรดี.."อัญญานีพึมพำกับตนเองที่ไม่สามารถจะออกไปจากที่นี่ได้เลย
" รอคอยความสุขก็น่าจะเพียงพอนะอินทรานี"เทพวิษุษัตเข้ามาเยี่ยมยือน เมื่อเห็นใบหนาก็รู้สึกได้ชัดว่านี่คืออดีตพระชายาแต่ก่อนจะไปเกิดใหม่เป็นอีกคน
"ความสุขอะไร แล้วท่านเป็นใคร" คิดอยู่คนเดียวก็วุ่นวายในหัวพอแล้ว ทำไมต้องมีใครมาขัดสมาธิด้วยนะ
"เราวิษุวัต..จริงอยู่ที่เจ้าจะจำเราไม่ได้ แต่รอคอยไม่นานดอกปาริชาติบานสะพรั่งคราใด เจ้าก็จะสามารถระลึกกถึงได้ด้วยตนเอง"พระเทวากล่าวเช่นนั้นมีหรือที่เธอจะพอใจได้
"พระองค์จะใช้อดีตมาทำให้หม่อมฉันคล้อยตามหรือเพคะ หม่อมฉันมิยินยอมเข้าพิธีอภิเษกสมรสโดยเด็ดขาด และะหม่อมฉันเชื่อว่าสหายของหม่อมฉัจะต้องมาถึงที่นี่ในเร็ววัน" เธอกล่าวเพราะรู้สึกเหมือนโดนบังคับและยังมีความหวังอยู่ว่าสหายต้องมาช่วยอย่างแน่นอน
"สหายเจ้าไม่รู้ทางมาเสียด้วยซ้ำ เราจะบอกอะไรให้อีกอย่าง พวกนั้นน่ะลอยหายไปกับสายน้ำแล้ว อีกทั้ืงของวิเศษก็ถูกทำลายไปแล้ว จะไม่เชื่ออก็ตามใจ ไว้เสร็จงานใหญ่เมื่อใด เราสัญญาว่าเจ้าจะเป็นสตรีีโชคดีที่สุด" ทิ้งประโยคสุดท้ายแล้วจึงจากไปทิ้งให้เธอได้อยู่คนเดียวอีกครั้ง เธอถอดสร้อยมาดูเพื่อหวังให้เกิดปาฏิหาริย์จากอภินิหารของของขวัญที่สหายมอบให้บ้างก็ยังดี มันคงเป็นไปไม่ได้หรอก แต่แล้วเธอก็พลาดทำตก จี้ตลับนั้นเปิดออกปราฏธำมรงค์แก้วศุภรอยู่ด้านใน เจ้าตัวเห็นก็ได้รีิิบเก็บไว้อย่างดี รอโอกาสที่จะออกไป
"หรือว่านางจะรู้เรื่องนี้มาก่อนแล้วนะ"
.....
"แต่เราจะขอให้บัวช่วยเราอีกเรื่องหนึ่งในวันนี้" ภาพวามทรงจำจากครานั้นมาเยือนเมื่อนึกถึง
"เรื่องอะไรหรือเพคะพระธิดา" บัวนั้นสงสัยท่าทีตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว
"เจ้าจงนำแหวนปลอมนี่ไปสลับกับของจริง แล้วนำของจริงใส่ไว้ในจี้ตลับนี้" น่าสงสัย ทำไมต้องทำเช่นนี้ด้วย
" เหตุผลอันใดถึงต้องทำเช่นนี้ด้วยหรือเพคะ"คนถูกวานต้องสงสัยกันเป็นธรรมดา
"พรุ่งนี้จะมีการต่อสู้ คนพวกนั้นจะต้องแบ่งคนมานำตัวอัญญานีไป พวกนั้นน่าจะรู้จักแหวนนั่นดีแล้ว ถึงจะมาชิงเอาตรงๆไม่ได้ แต่เล่ห์กลพวกนั้นต้องช่วงชิงได้แน่ นี่เป็นการปกป้องอีกขั้น ถึงแม้จะเป็นการทำร้ายนางทางอ้อมแต่อย่าให้นางรู้จะดีที่สุด" เธอฟังดังนั้นจึงได้ตกปากรับคำไป
" เราทำถูกต้องไหมนะ"เธอรู้สึกเป็นห่วงพวกเขาขึ้นมาเสียแล้ว
" ในการตัดสินใจหาทางหนีก็ไม่นับว่าผิดอะไรนะบัว"บดิศรได้เข้ามาพบหน้าหลังจากการเฝ้าพระบิดามารดาได้ไม่นาน
" พระโอรส!! " สีหน้าเธอยิ่งเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด หากบดิศรกลับมาได้แบบนี้ก็น่าจะร้ว่าอีกฝ่ายน่ะเป็นอย่างไร
" บัวเป็นอะไรรึเปล่า" เขาเป็นห่วงมากจนอดคิดกังวลเสียมิได้
" เหล่าพระโอรสพระธิดาคงจะเจ็บหนัก เหตุใดพระองค์จึงได้กระทำการเช่นนี้เพคะ" บัวทวงถามทันทีเพราะนี่ไม่ใช่เรื่องเล็กแล้ว
"หนึ่งเราอยากกำจัดคนที่ทำให้เราอยู่นอกสายพระเนตรเสด็จพ่อ สองมันเป็นหน้าที่" เขาไม่ทำไม่ได้หรอกนะ
" ทุกคนไม่ว่าจะเป็นใครก็อยู่ในสายพระเนตรของพระบิดานะเพคะ ที่ทรงทำตามหน้าที่หรือว่าเป็นความต้องการของพระองค์เองเพคะ" เธอไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมถึงเป็นแบบนี้นะ
"ไม่..แต่เรามาไกลเกินจะแก้แล้ว บัวไม่ได้เสียพระโอรสธิดาอย่างเดียวหรอก เราก็สูญเสียสหายเราเหมือนกัน" ดวงตาหลบลงพื้นเล็กน้อยปัดความอ่อนแอลง
" เรากลับไปแก้ไขไม่ได้..ตอนนี้แม้แต่จะเริ่มต้นใหม่ยังไม่เห็นทาง บัวคงจะเสียใจมาก เราไม่กวนเจ้าแล้วกัน" เขาพูดเสร็จก็แยกไปอยู่คนเดียวเสียน่าจะดีกว่า
....
"น่ายินดีที่ลูกมีชัยมา เอาล่ะลูกต้องการอะไรดี" ผกากรองในร่างราชามารับบุตรด้วยตนเอง
"งานอภิเษกหรือบัลลังก์ดีพระเจ้าค่ะ"พูดมาได้ต่อหน้าขุนนางทั้งหลาย โดยมิสนใจภาพลักษณ์เลย
" พวกเจ้าออกไปกันให้หมด!! "ออกคำสั่งครู่หนึ่งคนทั้งหมดก็ออกไปในทันทีเพราะยังรักชีวิตอยู่
" เมื่อเช้านี้เทพทั้งสองคนนั้นงอกว่าสังวาลย์พวกนั้นถูกทำลายแล้ว แสดงว่าไม่นานต้องได้ข่าวการตายของพวกนั้นแน่"เขากล่าวอย่างพอใจ
"ดูท่าสตรีนางนั้นไม่ดูดีใจเลยนะ" เมื่อเห็นฉันทนามีท่าทีดังนั้นจึงกล่าวถาม
"ไม่เอาน่า อีกหน่อยเจ้าจะมีสุขกว่าตอนอยู่กัิิบมันแน่นอน เราสัญญา"อดห่วงไม่ได้เลยสตรีนางนี้
" เราขอไปพักคนเดียวนะ" ว่าแล้วก็ไปในทันที
" ลูกควไม่ได้จะแต่งนางเป็นชายาหรอกนะใช่มั้ย" เธอรู้สึกไม่พอใจสตรีนางนี้ท่าไหร่นัก
"ลูกต้องการ ท่านแม่ก็ห้ามไม่ได้" คำพูดนั้นทำให้ผู้เป็นแม่อดส่ายหัวไม่ได้
" แต่ว่าแผลเจ้าไม่น่าจะหายได้ แม่ช่วยได้แค่เอามนต์มาปิดบังให้ได้เท่านั้นล่ะ"มันลึกเกินไปรักษาไม่ได้หรอก
" ไม่ต้องก็ได้ มั่นอึดอัดเกินไป ลูกกหนื่อยแล้วไปก่อนนะพระจ้าค่ะ" ว่าแล้วจึงจากไปทันที
.......
" รวบรวมเสร็จแล้วล่ะ เราว่าเป็นไว้ให้ดีแล้วหาทางมาใหม่" แสงสุรีย์เขียนแสดงความคิดเห็นบนผืนทราย
" ไม่รู้จะสำเร็จไหมแต่เราจะต้องลองดู"จึงใช้มนตราเก็ิิบสิ่งสำคัญไว้ แล้วเริ่มใช้คาถาตรวจดูว่านี้คือทะเลแถบทางทิศใด
" อยู่ที่นี่กันนี่เอง" ธานิทร์กล่าวเมื่อพบทั้งสอง
" ตามมาถูกขนาดนี้เลยเหรอ"สุริยะกล่าว ปกติถึงจะมาถูกก็ใช่จะมาตรงจุดขนาดนี้นี่นา พวกเขาพยายามจะใช้วิชาเข้าสู้ แต่พลังดันมีน้อยไปเพราะเพิ่งฟื้นตัวซ้ำยังใช้ไปทำอย่างอื่นก่อนหน้านี้จึงพากันหนี
"ยอมแพ้ดีๆหรือจะตาย เลือกเอา"ปัจจาเข้าดักทาง เทวดาอีกตนก็สร้างเถาวัลย์ดักไปอีกตรงหนึ่ง
ด้านหนึ่งธานินทร์ ด้านหนึ่งปัจจา ด้านหนึ่ืืงเถาวััลย์
และอีกด้านคือทะเล จะไปทางใดก็อันตราย
"เราไปทำอะไรให้พวกท่าน ถึงได้ตามราวีไม่เลิกรา ถ้าเราตายแล้วทุกอย่างจะจบใช่ไหม"สุริยะพูดอย่างทุลักทุเลปนเสียงเหนื่อยหอบ
"พวกเราน่ะไม่ใช่ แต่กับพระเทวาวิษุวัตเจ้ากระทำผิดไว้มาก อภัยไม่ได้" ปัจจากล่าวตอบ
"จ้าตายก็ดีแล้วนี่ จะตายกี่ครั้งก็ไม่สาสมหรอก" ธานินทร์พูดเสริม
แสงสุรีย์ได้ทีเผลอดึงข้อมือสหายกระโดดเข้าสู่ห้งทะเลทันที ธานินทร์ห็นดังนั้นจะตามไปแต่ถูกห้าม
"เจ้าห้ามทำไมกันน่ะ!! "เขาหัวเสีย ทั้งๆที่ตัวเองอยากล่าคนแรกทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้เป็นฝ่ายหยุดเสียเอง
" เราต้องการให้สอngคนนั้นตายอย่างทรมาณที่สุด"
พูดเข้าทีดีนี่ ไม่รู้ว่าด้านล่างจะเป็นอย่างไร แต่ทั้งสองด้านบนนั้นเชื่อว่าด้านล่างไม่รอดเพราะไม่ขึ้นจากน้ำนานแล้วอย่างแน่นอน
-
อาทิตย์นี้จักรกรดได้แป้นพิมพ์เชื่อมต่อโทรศัพท์อันใหม่มาค่ะ กะว่าจะใช้พิมพ์ได้เร็วกว่าพิมพ์ในมือถือ แต่กลับพลาดพิมพ์ผิดหลายตำแหน่งและบางอักษรไม่มีใครแป้นเลยแทนอังกฤษ ต้องมาตามอีดิทใหม่ ยังไงจะเร่งพัฒนาการใช้ให้ได้ไวๆและพิมพ์ให้ได้เนื้อเรื่องที่ยาวกว่าเดิมในแต่ละสัปดาห์นะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ ขอโทษที่ผิดเวลาด้วยค่ะ
w15 w8 w15 w12
-
"เป็นยังไงบ้างล่ะ... ดูท่าน่าจะมีความทุกข์ไม่น้อยเลยนะ" พิมาลามาเยือนถึงที่คุมขัง ทำเอาทุกคนอดสงสัยไม่ได้ว่าสตรีผู้นี้เป็นใครกัน แล้วมีความแค้นอะไรกันแน่ถึงได้มาร่วมกระทำการอันมิชอบกับชาวเมืองทิศพล
"เราไม่เคยรู้จักท่านมาก่อน ทำไมต้องทำเช่นนี้ด้วย"สไบทองกล่าวถามผู้ที่มาเยือนด้วยไม่เข้าใจในเหตุผล
"ไม่รู้จักก็ดี... เราไม่จำเป็นต้องบอกเหตุผลให้เจ้ารู้หรอก เพราะเรื่องแค่นี้ใช่ว่าจะคิดเองไม่ได้นี่"คิดดีๆก็มีไม่กี่คนจริงๆนั่นล่ะ
"คงเป็นเจ้าสินะสไบแก้ว..ถึงเจ้าจะหน้าตาเปลี่ยนไปเช่นใด จิตใจที่ไม่สำนึกคุณของเจ้าก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย" ท้าวนวดลในสถานะเชลยได้พูดขึ้นเพราะคนมีลักษณะเช่นนี้เป็นคนเดียวกันเพียงแต่หน้าไม่เหมือนเดิม
"สามหาว!!" ได้ยินคำกล่าวว่าถึงกับเลือดขึ้นหน้า ยอมให้ว่ามิได้เด็ดขาด
"เจ้านั่นล่ะที่สามหาว!! องค์เหนือหัวนวดลเป็นถึงเจ้าเมือง เจ้าถือตำแหน่งว่าเป็นมเหสีเมืองนี้มาข่มขู่ทั้งๆที่พระองค์เคยรับเจ้ามาเป็็นธิดาบุญธรรม ก็น่าสมควรให้ถูกกล่าวว่าอยู่หรอก" มเหสีอมรินทร์ตอบกลับไปด้วยไม่พอใจในกิริยาหญิงคนนี้
"หึ... เจ้าเมืองหรือ ตอนนี้ก็ไม่ต่างจากพวกข้าทาสนักหรอก อีกอย่างบุญคุณอะไรนั่นเราก็ไม่ได้ร้องขอ มันเป็นความต้องการของพวกเจ้าทั้งนั้นไม่เกี่ยวกับเรา...ในเมื่อปากดีกันขนาดนี้ก็ไปทำงานทาสแบกหามหาฟืนก็แล้วกัน พาตัวไปยกเว้นสไบทอง ให้นางไปประจำห้องเครื่อง ใครไม่ใช้งานคนพวกนีถือว่ามีความผิด ประหารสถานเดียว" พูดเสร็จก็จาไปในทันทีไมรีรอให้ใครได้ตอบโต้อีก
...........
"เป็นรื่องจริงเหรอ "อัคนินฟังคำเล่าอีกฝ่ายก็ถามทวนอีกครั้งราวกับว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าเชื่อ
"จริงแท้แน่นอน พวกเราเห็นกับตาว่าสองคนนั้นน่ะกระโดดลงน้ำทะเลไป"ธานินทร์กล่าว ไม่รู้จะโกหกไปทำไมกัน เรื่องที่น่ายินดีอย่างนี้
"ดีเหลือเกินนะคนนึงเป็นง่อยอีกคนก็ใบ้ กล้าที่จะกระโดดลงไปแบบนั้น คงจะมีใครมาช่วยอยู่หรอก เท่านี้ก็หมดหน้าที่ไม่ต้องทำอะไรแล้วสินะ" เขาพอใจกับคำยืนยันพลางยิ้มอย่างชอบใจ
" ใครบอกกัน พวกเรายังไม่หมดหน้าที่ นี่เพิ่งจะเสร็จขั้นแรกไปเอง" เขาพูดเช่นนี้มีเหรอคนอยากพักจะไม่พอใจ
" งานอะไรอีกล่ะ นี่ยังไม่หมดอีกเหรอค่ะ เรื่องมากจริงๆ" เขาชักจะโมโหใหญ่แล้วงานก็ทำแล้วจะอะไรกันอีก
" อย่าเสียงดังไป กำแพงมีหูประตูมีช่อง.. " เขาเตือนก่อนจะเล่าเรื่องงานที่ว่าไว้อย่างลับๆ
" พักผ่อนก่อนไม่ได้เหรอ "เขาลาะเหนื่อยหน่ายกับพวกลัทธินี้เสียจริง แต่ก็ต้องยอมทำตามเพราะตกลงไว้แล้วเลิกไม่ได้ ขออย่างเดียวขอพักร่างกายสักหน่อย
"ก็ย่อมได้... อยากจะทำสิ่งใดก็รีบทำนะ เพราะหมดเพลาเมื่อใด เจ้าก็คงจะวุ่นวายพอตัว เราไปล่ะ" ว่าแล้วเขาก็จากไปเพราะตัวเขาก็อยากจะพักเช่นกัน
......
"ทำไมถึงดูหนักใจ เรานึกว่าเจ้าจะยินดีเสียอีก" ปัจจาถามอีกคนที่ฟังเรื่องที่ศัตรูหนีไปแต่สีหน้ากลับไม่ยินดีได้เต็มที่
" ยินดีก็ใช่อยู่... การที่ทั้งสองคนนั้นตายไปอีกสิบสองคนที่เหลือจะจากไปพร้อมกันรึเปล่านี่สิปัญหา" บดิศรได้ยินคำถามก็กล่าวตอบไป
"ไม่ต้องห่วงไปหรอก.. คนพวกนั้นก็จากไปพร้อมๆกับทั้งสองคน แต่ถ้าพวกนั้นรอดไปได้จริงๆคงจะทรมาณมาก นอกจากจะได้รับความลำบากแล้ว เราจะติดตามทำให้คนพวกนั้นไร้ซึ่งความสุข" มันเหมือนเป็นหน้าที่่ที่สลัดไม่หลุดจะต้องให้อีกฝ่ายสิ้นไป ตัวเองจะได้ไม่ต้องทำงานอีก
"ตอนนี้เจ้าคงล้ามามาก พักผ่อนก่อนเถอะ ไว้ถึงเพลาจะเรียกมาช่วยงานอีกแรง" เขาจากไปแล้วให้อีกคนได้พักผ่อนหย่อนใจไปก่อน
....
ภายใต้ท้องทะเลทางทิศทักษิณนั้นเหล่ามัจฉาน้อยใหญ่ต่างแหวกว่ายไปมาไม่สิ้นสุด แต่แปลกนักที่มนุษย์อยู่ต่างถิ่นมาเหตุใดจึงได้เดินเหินราวกับว่าพวกตนอยู่บนบกอย่างนั้น เดินทางกันได้สักพักก็มาถึงวังบาดาล ทำไมถึงมาที่นี่ได้ล่ะ
"แสงสุรีย์ ทำไมถึงได้กลับมาเป็นแบบเดิมล่ะ แล้วชายหนุ่มคนนี้คือใคร.. นำกระดานเขียนคำมาให้หลานเราเร็ว นำลูกแก้วชีวาชลาศัยมาให้ชายผู้นี้ด้วย" นางกำนัลใต้ทะเลก็รีบทำตามรับสั่งจัดหากระดานสำหรับเขียนคำและมาให้อย่างรวดเร็ว
"กลืนลูกแล้วนี้เถิดบุรุษ แล้วเจ้าจะอยู่ใต้ท้องทะเลได้โดยไม่ต้องยืมหัตถ์ผู้ใดมาจับต้อง" พระนางยื่นลูกแก้วขนาดเล็กกว่ายาลูกกลอนที่มีแสงสีขาวสบายสบายดวงตาไม่เจิดจ้าราวกับแสงตะวันให้กับคนแปลกหน้าแต่นับว่าเป็นสหายของคนรู้จัก
"ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ หม่อมฉันชื่อสุริยะพระเจ้าค่ะ"เขารับลูกแก้วนั้นมาแล้วกล่าวขอบคุณ เขาพอจะเดาได้ไม่ยากมาก นี่คงจะเป็นหนึ่งในพระวงศาของพญานาคราชแห่งทิศใต้นี้
"ทูลพระมเหสีภาสุระ เหตุแห่งการนี้เกิดจากการต่อสู้ที่เมืองศาศวัตบุรีเพคะ..." เธอเขียนเล่าทุกเรื่องราวลงไปที่กระดานคำ ทำให้รู้ได้ถึงสาเหตุที่พระนาคีต้องการคำตอบ
"เช่นนี้เราเห็นสมควรจะต้องทูลพระวิชชุนาคราชให้ทรงทราบ ไม่นานพระองค์คงจะกลับมาพร้อมกับโอรสธิดาของเรา พักผ่อนเสียก่อนเถิดไว้เสด็จเมื่อใดเราจะให้คนไปตาม" พระนางกล่าวจบจึงได้ให้คนพาไปยังที่รับรอง ก่อนจะแยกย้ายความสงสัยของแสงสุรีย์ที่มีอยู่นั้นก็มิอาจปิดได้
" ทำไมท่านถึงได้รู้จักเหล่าเชื้อพระวงศ์นาคาได้"เขาถามเช่นนั้นก็ต้องตอบ มิจำเป็นจำต้องปิดบังสิ่งใดเลย
" ก่อนที่เราจะได้รับสังวาลย์มณีมา สิ่งวิเศษนี้ได้อยู่กับองค์วิชชุนาคราชมาก่อน.." แสงสุรีย์นั้นเติบโตมาจนถึงแปดชันษาถึงแม้ว่าจะร่ำเรียนศิลปะวิทยาใดก็ตามแต่ เหล่าราษฎรต่างรู้สึกไม่วางใจในสิ่งที่เธอนั้นเป็น ทั้งเป็นคนใบ้ไร้เสียงพูดและยังมีมีแผลเป็นกรีดยาวดูไม่งามตาในส่วนใหญ่ของค่านิยมผู้คนที่ใบหน้าอย่างชัดเจน ต่อให้เป็นลูกกษัตริย์อย่างไรก็มิอาจพ้นคำครหาได้เลย แม้แต่ความสามารถก็ยังถูกเคลือบแคลง ตนจึงขอลาพระบิดาเดินทาง แรกเริ่มเดิมทีใจพ่อคงไม่ยอมให้ลูกอายุเท่านี้เดินทาง แต่เมื่อเป็นประสงค์และโชคชะตาพอจะเป็นใจจึงปล่อยให้เดินทาง
"ถ้าทายปริศนาได้จะขอสิ่งใดจากองค์นาคราชก็ย่อมได้" ประกาศจากนกแขกเต้าที่นำมาให้ ผู้ติดตามได้อ่านแล้วก็รู้สึกตกใจแต่ก็ทูลต่อพระธิดาทันที
"เป็นโชคชะตาที่ดีเลยนะเพคะ อย่างนี้ถ้าพระธิดาตอบได้ถูกต้อง พระธิดาก็จะได้ครอบครองสิ่งที่พระธิดาต้องการเลยนะเพคะ... แต่ว่าลูกแก้วมีอันเดียว จะลงไปวังบาดาลได้อย่างไรล่ะเพคะ" คนที่ตามก็พูดเสียเยอะเพราะอีกคนพูดไม่ได้สินะ
"ขอเราอ่านเนื้อหาได้ไหมพุดจีบ" เธอเขียนลงบนพื้นดินเพื่อขอให้อีกคนส่งประกาศมาให้
" จับมือกันไว้ก็ไปได้ แต่ต้องจับตลอดเพลา ปล่อยมือไปก็ไม่สามารถรอดชีวิตได้นานถ้าไม่ถึงน่านน้ำ" เมื่ออ่านประกาศและคำอธิบายการใช้ลูกแก้วอย่างละเอียดแล้วจึงบอกนางกำนัลที่ตามมาด้วยการเขียน
" อย่างนี้หม่อมฉันก็แย่น่ะสิเพคะ ครั้นจะให้พระธิดาไปลำพังก็ดูจะไม่ดีเท่าไหร่"เธอทำท่าเป็นเสียดายเหลือ แต่ก็ยังมีมุมที่ดูกี่ทีก็ไม่น่าจะรับมือกับกระแสคลื่นได้ไหวนัก
"ไม่เป็นไรรอเราบนบกนี่ล่ะ เราจะไปคนเดียว" ตัดสินใจก็จะไปเสียให้ได้
"พระธิดามีพระชันษาน้อย แล้วถ้าลงไปเกิดอันตรายขึ้นมาจะทำยังไงล่ะเพคะ" อดห่วงไม่ได้นะยังตัวเท่านี้อยู่เลย อีกคนไม่ตอบโต้แต่เลือกที่จะเดินลัดเลาะจนถึงชายหายได้อย่างรวดเร็ว แล้วทำท่าเหมือนจะเขียนอักษรให้นางกำนัลดูอีก ดูจงใจเขียนให้อ่านยากเสียด้วย
"ร.. รอ.. รอตรงนี้ เราไป.. ไปก่อน รอตรงนี้เราไปก่อน"อ่านเสร็จถึงกับเงยหน้ามองพระธิดาก็ใช้ลูกแก้ววิเศษลงไปยังเมืองบาดาลเสียแล้ว ไม่ต้องแหวกว่ายก็เดินทางในน้ำได้เหมือนกับบก มาถึงแล้วควรจะทำตัวอย่างไร
"มีเด็กมาด้วยงั้นรึ เหตุใดจึงไม่พูดจา" นายทหารบาดาลถามยังไงอีกคนไม่พูด แต่คิดจะเขียนอยู่
" ไม่ต้องเข้ามาก็ได้นะ ถ้าจะทายปริศนาก็จะต้องพูด เขียนแบบนี้รบกวนฝ่าบาทเสียปล่าวๆ"
"รบกวนอะไรกัน พวกเจ้าเอาแต่ว่าผู้อื่นมิถามเหตุผลสักคำ.. เจ้ามาตามคำเชิญหรือ ที่ไม่พูดเพราะเหตุใดกัน อย่ากังวลเรามิคาดโทษเจ้าหรอก" สตรีท่าทางมีอำนาจเข้ามาและนั่งทักทายกับเด็กที่ยืนอยู่ พอเขียนตอบไปก็ทำให้รู้ว่าเป็นใบ้ไร้เสียง จะตอบโดยวาจามิได้
" ถึงแม้จะพูดไม่ได้ เราก็ต้องลองดูว่าจะแก้ปริศนาอย่างไรได้ดีกว่า องค์เหนือหัวทรงโปรดปรานผู้มีปัญญามากกว่าผู้ใช้วาจามาทำลายผู้อื่น" ว่าแล้วจึงจูงมือพาเข้าไปในเขตท้องพระโรง
"มเหสีภาสุระพาธิดาน้อยผู้นี้มาแต่ใด เราหาได้รับรู้ไม่ โปรดแจ้งแก่เราเถิด" วิชชุนาคราชผู้รอคอยเหล่าคนทายปริศนาได้ถามถึงบุคคลที่มาเยือนนั้นดูยังด้อยประสบการณ์มิน่าจะใช่ที่ชะตาส่งมา
" เด็กคนนี้มาตามประกาศเพคะ ดูท่าจะเป็นเด็กที่มุ่งมั่นมิน้อย ถึงแม้จะพูดไม่ได้ จะไม่มีประสบการณ์เท่าผู้ใหญ่มากนัก" เพราะไปเห็นแววตาก็เหมือนกับเห็นหัวใจเลยค่อนข้างจะมั่นใจนัก เมื่อรู้ว่าอยู่กับราชวงศ์สูงศักดิ์ของเหล่านาคแล้ว จึงได้ทำการคำนับนอบน้อมทันที
"เอาเถิด ในเมื่อมาในที่แห่งนี้แล้วควรที่จะได้ทายปริศนา ปริศนาของเราก็คือ เหตุใดฝุ่นละอองไม่เรียกธุลี จริงอยู่ว่าเป็นคำถามที่ไม่ยากเท่าใด แต่เราอยากจะได้คำตอบที่มีนัยยะธรรมจากผู้มาเยือน" คำถามนี้ไม่ยากอย่างว่าแต่ต้องคิดให้ดีก่อนจะตอบ เหมือนกับว่าผู้ถามจะต้องการคนสนใจธรรมร่วมกับปัญญาแบบเดียวกันเสียมากกว่า คำนี้ช่างเป็นคำที่น่าฉงนในทีเพราะความหมายจริงๆนั้นก็คือละอองฝุ่นที่เล็กกว่าฝุ่นทั่วไปมิใช่หรือ เหตุใดต้องตั้งปริศนาที่คนตอบไม่ถูกพระทัยเสียที ผู้ทายปริศนาลงมือเขียนอธิบายปัญหาที่ไม่ยากนี้ลงบนกระดานคำที่พระมเหสีทรงหยิบยืมมาจากพระโอรสที่ใช้ในการศึกษา เมื่อเสร็จแล้วพระโอรสพญานาคจึงลงไปรับคำตอบช่วยอ่านให้แทน
-
"ทูลองค์นาคราช คำว่าธุลีในความหมายทั่วไปใครต่างก็รู้ดีว่ามีความหมายเช่นเดียวกับฝุ่นละอองถ้าจะให้อธิบายความแตกต่างคงกล่าวถึงขนาดที่เล็กลงไป จะกล่าวได้ว่าคำตอบนั้นไม่ผิดไปเสียทีเดียวแต่กลับยังไม่สมบูรณ์ หม่อมฉันจะแจ้งตามหลักธรรมตามที่ทรงปรารถนา อันว่าแท้จริงตามธรรมคำสอนพุทธองค์กล่าวเกี่ยวกับธุลีนั้นคือกิเลสของคนซึ่งมีสามประการเป็นพุทธวาจาของพระศาสดา.."เขาส่งกระดานให้เขียนต่อไปอีก
"ประการที่๑ ราคะชื่อว่าธุลี, แต่ละอองท่านหาเรียกธุลีไม่, คำว่าธุลีเป็นชื่อของราคะ ภิกษุเหล่านั้นละธุลีนั่นได้ขาดแล้ว อยู่ในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากธุลี
ประการที่๒ โทสะชื่อว่าธุลี, แต่ละอองท่านหาเรียกธุลีไม่, คำว่าธุลีเป็นชื่อของโทสะ ภิกษุเหล่านั้นละธุลีนั่นได้ขาดแล้ว อยู่ในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากธุลี
ประการที่๓ โมหะชื่อว่าธุลี, แต่ละอองท่านหาเรียกธุลีไม่, คำว่าธุลีเป็นชื่อของโมหะ ภิกษุเหล่านั้นละธุลีนั่นได้ขาดแล้ว อยู่ในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากธุลี" ยังจะเขียนต่ออีกหรือ พระโอรสติณณกฤตแห่งท้าวเจ้านาคาทิศทักษิณรู้สึกล้าแล้วหนา
" ตอบเท่านี้น่าจะพอนะ"เขาทักท้วงเล็กน้อยกับคนวัยเดียวกัน
" ให้เขาชี้แจงอีกเพียงครั้งเถิด ลูกพ่อต้องรู้จักอดทน พวกเราต่างต้องดูแลข้าราชบริพารอีกมาก ถือว่าฝึกใจให้ร่มเย็นมีสมาธิ" เขาพูดให้เข้าใจ เวลานี้ปริศนาจะกระจ่างจะมิยอมอันใดเลยรึ
"พระเจ้าค่ะ ลูกจะใจเย็น" ว่าแล้วเขาก็รับกระดานที่เขียนเสร็จขึ้นมาอ่านเป็นคราสุดท้าย
" กิเลสเหล่านี้ล้วนเป็นธุลีที่สามารถซึมซับเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับจิตใจนั้นโดยง่าย นับเป็นสิ่งบ่อนทำลายศีลธรรมอันดี ดังนั้นนั้นเราควรระวังตัวตั้งมั่นอยู่ในการทำความดีอย่าให้กิเลสนั้นเข้าครอบงำจิตใจไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม" เสร็จสิ้นคำอ่านพระวิชชุท่านก็แย้มพระโอษฐ์อย่างพอพระทัย
" เห็นชัดว่าท่านมีปัญญาอันเกิดจากการศึกษาพระธรรม... เรามีสิ่งวิเศษมอบให้เป็นถาวรคือแก้วชีวาวชลาศัย พร้อมกับสิทธิ์ที่ท่านจะขอความช่วยเหลือในทุกกาล สิ่งที่เราจะให้เลือกคือรัชตวิมาน ตรีมารุต สังวาลย์มณี ท่านปรารถนาสิ่งใดโปรดเลือกมาเถิด" ถึงจะมีความยินดีแต่ก็ยังมีคนคอยภาวนาไม่ให้นำของวิเศษที่ตัวเองอยากได้ทั้งชีวิตไปเลย คนที่มีสิทธิ์ในการเลือกก็ไม่รู้จะเลือกสิ่งใด ไม่ใช่เพราะความโลภอยากได้ทุกอย่างหากแต่ว่าที่มาที่นี่ก็เพื่ิอจะทายปัญหาอย่างเดียวนี่สิ
" เลือกเถิด อย่าเกรงกังวลใจ" วิชชุนาคราชกล่าวเมื่อเห็นท่าทีของผู้ทายปริศนา แสงสุรีย์ในวัยเยาว์หยิบจับสิ่งของพลางคิดไปว่าชะตาน่าจะเลือกสิ่งที่เหมาะสมให้ตนเอง เธอจับดูวิมานขนาดเล็กเท่าของเล่นนั้นที่สามารถขยายใหญ่ตามใจชอบก็รู้สึกว่าไม่ใช่ ครั้นหยิบตรีได้ครู่สายตาแสนหวงแหนก็มุ่งตรงมาจนน่าอึดอัดใจ
้เมื่อมาถึงชิ้นที่สามปรากฏแสงสว่างวาบครู่หนึ่งเมื่อสัมผัสจนรู้สึกถูกชะตายิ่งนัก
"หรือว่านี่..." มเหสีนาคาเห็นแล้วจึงพูดไปแต่ก็ยั้งไว้คอยดูที
"หม่อมฉันประสงค์สังวาลย์เส้นนี้เพคะ" เธอเขียนลงกระดานคำเพื่อทูลต่อนาคราชา
"สวมใส่ดูเถิด ของสิ่งนี้ก็เลือกเจ้าของ หากไม่ใช่อย่าฝืนเลย" เขาแนะให้ทำเช่นนั้น อีกคนจึงได้ทำตามสวมใส่แล้วเกิดแสงสีแดงขึ้นมารู้สึดราวกับว่าร่างกายมีใครเพิ่มมาอีกหลายๆคน ร่างกายเปลี่ยนแปลงไปใบหน้าก็หายขาดจากแผลลึกอย่างไม่น่าเชื่อ
"แผลเราหายแล้วเหรอ...เสียงก็พูดได้.. . ขอบพระทัยเพคะ"นอกจากจะทำให้ร่างกายหายจากบาดแผลแล้วน้ำเสียงก็กลับมา ตอนนี้ร่างกายเป็นคนปกติทั่วไปแล้วแต่ยังไงก็ไม่ลืมที่จะขอบคุณเลย
"เป็นสิ่งที่ท่านควรได้รับ ต่อไปภายภาคหน้าท่านจะต้องได้ใช้อาวุธนี้รักษาความเป็นธรรมไว้ เรารู้จักกับฤๅษีมฤคินทร์จะฝากฝังให้เป็นศิษย์ร่วมกับโอรสเรา.. อย่าได้ปฏิเสธเลย" นับตั้งแต่วันนั้นก็ร่ำเรียนวิชาร่วมกันมานั่นเอง
"ผู้ติดตามที่ชื่อพุดจีบเขาออกเรือนไปแล้ว ส่วนติณณกฤตเราไม่ได้เจอเขามาสี่ปีได้" จบการเล่าเรื่องก็มีเหล่านางกำนัลมาเชิญไปทานอาหารมื้อเย็นเสียหน่อย
.....
" เดินทางมาตั้งหลักนี่ก็ดีไปอย่าง แต่ว่านะทำไมในวังไร้วี่แววผู้คนอย่างนี้!! " เจ้าสิงโตหาทั่ววังทิศพลไม่เจอชาววังเสียสักคนมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
" มันเป็นแบบนี้เพราะคนพวกนั้นแน่ แสดงว่าตอนนี้เหล่าพระวงศ์และข้าหลวงคงจะถูกบีบบังคับให้เดินทางไปยังเมืองรัตนบุรีเป็นแน่"หิ่งห้อยยักษ์กล่าว ดูจากรูปการณ์แล้วไม่มีทางจะคิดเป็นอื่นได้หรอก
"แล้วจะไปช่วยทางไหนก่อนดีล่ะ....เอาเป็นฝั่งที่คดที่อยู่ได้ก่อนดีไหม" เขาออกคววมคิดเห็น เพราะมันน่าจะตามหาง่ายกว่า
"เราก็เห็นควรเช่นกันเพราะอย่างน้อยก็น่าจะช่วยได้ก่อนจะออกตามหา แต่ยังห่วงว่าพระโอรสจะเป็นอย่างไร พวกเราก็ยังไม่รู้เลยว่ากระแสน้ำนำพระโอรสไปยังที่ใดแล้วได้อยู่กับพระธิดาแสงสุรีย์รึเปล่านี่สิ" เขายังหนักใจนักกับเรื่องที่เกิดขึ้น หานายของเขาอยู่ตามลำพังจะปลอดภัยหรือไม่
"ยังไงคราวนี้ก็ไปช่วยพวกเสด็จแม่กันก่อน ส่วนพระโอรสของเจ้า ข้าเชื่อว่าต้องไม่เป็นอะไรไปง่ายๆหรอก"
เมื่อตัดสินใจเช่นนี้แล้วทั้งสองก็เดินทางมุ่งสู่รัตนบุรีโดยทันที
.....
"ทำไมถึงไม่ให้เราเข้าไปยังป่าจินตภพแต่กลับให้มาพบที่ป่านี่แทน" ดาบสไม่เข้าใจอีกฝ่ายว่าเหตุใดถึงได้กีดกันไม่ให้ตนเข้าไปในเขตที่พำนักของสหายเก่าแก่ด้วย
"ท่านตาทมิฬล่ะก็ ใจเย็นสิเจ้าค่ะ ท่านตาของจั๊กน่ะต้องการแบบนี้ ใครก็ห้ามไม่ได้หรอกนะเจ้าคะ" ถ่วงเวลานานแล้วช่างน่ากังวลเหลือเกินที่จะถูกจับได้ ต่อจากนั้นควรจะทำอย่างไรดี เพราะตนนั้นไม่ได้นัดแนะกับฤๅษีมฤคินทร์ไว้เลย
"ยังใจร้อนมิเปลี่ยนเลยนะ ดูสิจั๊กแหล่นหน้าถอดสีหมดแล้ว" ดาบสใบหน้าที่เป็นราชสีห์นั้นไม่มีดังแต่ก่อนกลับเป็นมนุษย์ที่มาพบกันในวันนี้ ทั้งที่หลานสาวก็มิได้นัดหมายไว้จริงๆ
"ท่านตา ท่านตาจริงๆเหรอจ๊ะ " ถึงจะไม่ข้าใจในรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปอยู่บ้าง แต่ก็ดีใจที่ได้เจอไม่อย่างนั้นคงไม่รอดเป็นแน่
"ตาเองน่ะสิ...ทมิฬ ศิษย์ของเราก็ไม่อยู่แล้ว จะตามหาเราทำไมอีกล่ะ เห็นชัดว่าศิษย์เจ้าน่ะเหนือศิษย์ของเราและอนุชิตนัก" เขาก็พูดตามที่รู้ ตนไม่เหลือศิษย์ที่เป็นศัตรูอีกฝ่ายแล้วจะมาเอาอะไรกับตนอีก
"เรามาก็ใช่เพราะศิษย์ตัวดีของเจ้าไม่ เรามาทวงน้ำเต้าอมฤตของเราคืน คนพวกนั้นไม่มีน้ำเต้า มันต้องอยู่กับคนเจ้าเล่ห์อย่างเจ้าแน่" นึกว่าเรื่่องอะไรที่แทก็แค่น้ำเต้า
"น้ำเต้าอมฤตนี้พวกเราทั้งสามก็ร่วมกันสร้างขึ้นมาไม่ใช่หรอกรึ เจ้าอ้างสิทธิ์ครอบครองแต่เพียงผู้เดียวไม่ได้ ตราบใดที่ยังอยู่กับพวกเราหนึ่งในสามก็ไม่เท่ากับสูญหายหรอก" ก็น่าให้ว่าอยู่หรอกของก็ร่วมสร้างพร้อมกันแท้ๆยังจะถือว่าเป็นของตัวเองคนเดียวอีก
"เจ้านี่มันยังไง ข้าก็ครอบครองอยู่ดีๆแต่ถูกแย่งเอาไป ข้ามาทวงดีไม่ได้เลยรึอย่างไร" เขาชักจะโมโหเสียแล้ว ใจร้อนเท่าคนรุ่นหนุ่มสาวก็มิปาน
"คิดทบทวนให้ดีก่อนจะพูดออกมา ใครทำใครก่อนก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจ อีกอย่างหนึ่งเจ้าก็เป็นผู้ทรงศีล สำรวมกิริยาบ้างเสียก็ดี" ว่าก็ว่าเถิด ใครทำใครก่อนกันถ้าไม่ใช่คนที่บูชาเทพวิษุวัตเสียเป็นบ้าเป็นหลัง
"ส่งมาให้เราเสียสิ จะได้เลิกแล้วต่อกัน" กล่าวง่ายดีนี่ คิดจริงๆหรือว่าจะหยุดแค่นี้ ได้คืบคงหวังศอกเสียกระมัง
"ส่งให้ไมได้ อยากได้ก็ไปหาอนุชิต แต่เขาคงอยากจะให้เจ้าอยู่หรอก" เป็นหนึ่งในส่วนร่วมของการทำลายชีวิตคนขนาดนี้ ผู้ทรงศีลที่ไหนจะยอมกัน
"พูดมากไปแล้ว ข้าจะจัดการเจ้าก่อน ส่วนน้ำเต้าอมฤตจะทวงจากอนุชิตเอง" เขาใช้ไม้เท้าปล่อยพลังเข้าทำร้ายอีกฝ่าย ทางนั้นก็ไม่ยอมตอบโต้กลับโดยทันที
ค่ำก็ได้ความมืดเข้าช่วย ทมิฬดาบสกะจะใช้พลังลอบโจมตีแต่ช้ากว่าอีกฝ่ายไปก้าวเดียว ทางนั้นก็บาดเจ็บต้องกลับไปตั้งหลักก่อนจึงจะมาพบกันใหม่
"ท่านตา ท่านตาไม่เป็นอะไรใช่ไหมเจ้าคะ"จั๊กแหล่นเข้ามาดูอาการด้วยความเป็นห่วง
'"ไม่เป็นอะไรหรอก ตาก็แค่อ่อนเพลียไปตามสังขารที่เหลืออยู่...ใจจริงตาก็อยากช่วยให้ถึงที่สุด แต่ว่านี่ก็เหมันตฤดูแล้ว ใกล้จะถึงวันบำเพ็ญเพียร ดังนั้นก่อนที่ตาจะไม่อยู่ เจ้าจงจำสิ่งที่ตาบอกให้ดี..." ผู้ทรงศีลกล่าวให้รับรู้ทุกสื่งโดยไม่ขาดตก เพื่อหวังว่าจะให้ความช่วยเหลือและแจงแนวทางให้รับมือกันต่อไป
......
"พระแม่เจ้าเสวยพระกระยาหารเสียหน่อยเถอะเพคะ ไม่เช่นนั้นพวกหม่อมฉันจะต้องโทษนะเพคะ"เหล่านางฟ้าข้าบาทต่างหนักใจในการกระทำของอัญญานี หาเหตุผลนานาก็มิยอม ต้องกล่าวตามจริงหวังให้ใจอ่อนลง
"ไม่ เราไม่ชอบอาหารที่พวกเจ้าเอามาให้ จะเปลี่ยนกี่ครั้งก็ไม่ถูกใจเรา พวกเจ้าจะถูกลงโทษเพราะเรื่องนี้ก็คิดดูว่านายตัวเองสมควรจะเป็นเจ้านายได้อีกเหรอ" แกล้งโดวยวายใหญ่โต กะจะไล่ให้ออกไป
"หากพระแม่เจ้ามิทรงโปรดก็อย่าฝืนพระทัยเลย...ราตรีนี้ให้หม่อมฉันอยู่ปรนนิบัตินะเพคะ" สันต์สินีเข้ามาได้ครู่พวกที่เหลือก็พร้อมใจกันออกไปในทันที ออกมได้ไม่นานก็สนทนาถีงคนด้านใน
"พระแม่เจ้าในตอนนี้เอาแต่พระทัยนัก เราสงสัยว่านางจะเป็นแค่คนหน้าเหมือนรึเปล่า"
"แต่ว่ามั่นใจกันขนาดนี้คงจะใช่ ปล่อยให้สันต์สินีดูแลเถอะ เป็นคนสนิทที่สุดแล้วนี่" ว่าแล้วก็ไปทำหน้าที่อื่นต่อ
ทางด้านอัญญานีก็เริ่มคิดไม่ตกเสียแล้ว ตอนแรกวางแผนไว้ว่าจะหนีตอนไม่มีใครอยู่ จะหายตัวไปต่อหน้าต่อตาก็ต้องมีใครไปรายงานเทพท่านแน่
"พระแม่เจ้า...ไม่สบายพระทัยหรือเพคะ หม่อมฉันก็พอจะทราบ ตั้งแต่ครานั้นที่พระนางจากไป พระเทวาก็ติดตามหาพระแม่เจ้าในชาติภพนี้ ความรู้สึกของพระแม่เจ้าไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปาริชาติจะทำให้ความรู้สึกกลับมาอีกครั้งได้หรือไม่ แต่หม่อมฉันจะทูลความจริงข้อหนึ่งให้ทรงทราบ"
"ความจริงอะไรกัน"" ทีแรกก็ร้อนใจจะไปอยู่หรอกแต่พอได้ฟังดังนั้นก็เกิดความสงสัยใคร่รู้ขึ้นมา
"ที่ศรุตเทพทำกับพระนางนับว่าไม่น่าให้อภัยยิ่งนัก ความทรมาณอันเกิดจากอาการประชวรของพระนางนั้นกัดกินพระวรกายไปทีละส่วนในขณะที่รอเขาไปนำเกราะกายสิทธิ์มา แต่สุดท้ายแล้วความโลภของศรุตเทพก็มาบดบังหน้าที่อันควรกระทำ เขาไม่กลับมา พระเทวาต้องส่งเหล่าเทวดาไปตามหาเขา แต่ว่าเขาเอาสิ่งนี้ไปซ่อนไว้ที่ใดไม่มีใครรู้ นั่นก็ไม่ทัน พระนางได้สิ้นพระชนม์ เขาก็คือคนเดียวกับสุริยะที่ท่านไว้พระทัยเป็นสหาย ถึงแม้เขาจะตายเป็นหมื่นครั้งก็มิอาจทดแทนได้" ฟังเช่นนี้ก็พอจะรู้เหตุผลบ้างแต่ยังไม่มากพอจะทำให้เธอเปลี่ยนใจมามองเทพพระองค์ดีขึ้นได้
"คงอยู่่หรือดับไปก็เป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นวัฏจักรสงสารของสิ่งต่างๆ พวกท่านกระทำดีมาเท่าใดกว่าจะมาเป็นเทพบุตรเทพธิดา มันไม่ถูกต้องจะอ้างสิทธิ์มาทำร้ายใครนี่ อีกอย่างฟังแต่ข้างท่านพูด เราไม่เข้าใจว่าทำไมกัน สุริยะเขาจำชาติภพที่แล้วไม่ได้ด้วยซ้ำจะแก้ต่างให้ตัวเองยังไม่ได้้เลย" ส่วนตัวอยากจะฟังทั้งสองข้างแต่อีกฝั่งไม่ความทรงจำนั้นจะพูดอะไรได้กัน
"ไม่ว่าอย่างไร พระนางมีพระประสงค์ที่จะออกตามหาสุริยะใช่หรือไม่เพคะ"
"ใช่...แสงสุรีย์ก็ด้วย"
"ธานินทร์เล่าให้หม่อมฉันฟังว่าพวกเขาสิ้นใจใต้ท้องทะเลแล้ว...เริ่มต้นใหม่อีกครั้งเถอะเพคะ"เธอพูดเช่นนั้น จะให้เชื่อทันทีมันก็ไม่ได้หรอก
"อย่าคิดจะหลอกลวงเราเลย" เธอไม่เข้าใจทำไมต้องหลอกกันด้วย
"ไม่มีเหตุผลที่หม่อมฉันจะต้องกล่าวเท็จ เพราะต่อให้พระนางออกไปได้ พวกเขาก็ไม่อยู่พบพระนางอยู่ดี"
คำพูดที่จริงจังนี้ทำให้หวั่นใจไม่น้อยเลย
"ออกไป เราอยากอยู่คนเดียว"ตนก็จริงจังกับประโยคนี้ ขออยู่คนเดียวเถอะ อารมณ์นี้พร้อมระเบิดตลอดเวลา อีกฝ่ายก็ตามใจจึงยอมถอยให้แล้วจากไป
........
"มาอีกแล้วเหรอ ไม่ได้เจอกันนาน คราวนี้คงลำบากน่าดูถึงได้มามารบกวนคนอื่น ยังพาเพื่อนมาอีก"พระธิดานาคีเปิดวาทะทักทายไม่เป็นมิตรทันทีที่มาถึง
"ทำไมทำตัวไร้อารยะขนาดนี้ ลีลาวดีอย่ากระทำารเสื่อมเสีย"พระโอรสที่ตามมาก็พูดตักเตือนน้องสาวเป็นการใหญ่
"ก็มันจริงนี่.."รู้สึกว่าเธอนั้ไม่ถูกกับสตรีไร้เสียงผู้นี้เอาเสียเลย
"แม่ไม่เคยสอนให้เจ้าเป็นแบบนี้ หรือเพราะแม่ไปไว้ใจฝากผู้อื่นดูแลถึงได้มีกิริยาไม่น่าเคารพ" คำท้วงติงของพระมารดาทำให้เธอระงับอารมณ์ไว้บ้าง
"เรารับรู้เรื่องของเจ้าแล้วแสงสุรีย์ ตอนนี้เสด็จพ่อกำลังว่าราชการเพิ่มเติม มีอะไรที่เราช่วยเจ้ากับสหายได้บอกเราได้เลย" เขาเป็นห่วงสหายคนนี้อย่างมากต่างกับคนเมื่อกครู่อย่างสิ้นเชิง
""เราคงไม่รบกวนมากหรอก"เธอเขียนกระดานตอบไปไม่อยากให้ห่วงมาก
".. คงจะเป็นสุริยะสินะ... เราติณณกฤต"เขาไม่อยากที่จะไม่ช่่วยจึงหาทางไปเข้าทางสหายอีกคนแทน
"เราสุริยะเอง..ยินดีที่ได้พบท่าน" เขาส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร นอกจากคนในครอบครัวแล้ว เขาก็ไม่มีเพื่อนชายสักคน
"อย่าได้เกรงใจ มีอะไรบอกเราได้...ทำไมท่านถึงได้อักษรสาปได้"เขาจับมือเพื่อแสดงความยินดีที่ได้เป็นมิตรกัน แต่้ด้วยทักษะความสามารถพิเศษที่ฝึกฝนมาของเขาที่สัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติ จึงสงสัยในสิ่งที่พบ
"อักษรสาป.. เราไม่รู้มาก่อนเลยว่าเราจะมีได้"สุริยะฉงนนักไปทำอะไรมาถึงมีอักษรสาปเกิดขีฃึ้นกับตัว
"ต้องดูให้ดีอีกที่ อักษรนี่อยู่ที่หลัง เร่งตรวจสอบก่อนดีกว่า เราไม่แน่ใจว่าที่รู้สึกว่ามันจริงรึเปล่า"ถึงจะสงสัยแต่ก็ยังไม่อยากจะเชื่อตัวเองขนาดนั้น จึงได้พาไปดูอักษร โดยแสงสุรีย์ไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกันจึงไปที่ห้องส่องกระจกดู พอเสร็จแล้วจึงมารวมตัวกันดังเดิม
" มีจริงๆด้วย ทั้งสองคนมีอักษรสาปเป็นตัว {ว} แต่ว่าไม่รู้ว่าใครสาป แล้วสาปเพื่อจุดประสงค์อะไรด้วย" เขาพูดอย่างนั้นทั้งสองก็ต้องทบทวนอยู่สักพัก
"ตอนที่พวกเรากำลังต่อสู้เหมือนมีคนมีแตะต้องเราจากด้านหลังเป็นคนฝั่งนั้นแน่แต่เราไม่แน่ใจ" เธอเขียนบอกเท่าที่จะนึกออกได้
" ลักษณะแบบนั้นน่าจะเป็นแม่มดเกลียวทอง... เป็นไปได้ไหมว่าตัว{ว}จะย่อมาจากคำว่า{วิชา}" เขาอ่านแล้วก็คิดตาม เห็นท่าจะจริง แล้วน่าจะมีเหตุการณ์ที่เกี่ยวช้องด้วย
" ทำไมถึงคิดว่าเป็นคำว่าวิชาล่ะ"นาคาหนุ่มสงสัย ทำไมถึงด่วนคิดนัก
"ตอนก่อนที่พวกเราจะถูกไล่ล่า พวกเราใช้วิชาดูว่าที่นี่คือที่ไหน ทั้งที่ไม่น่าจะมาตรงสถานที่ได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้" เขาพูดมีเหตุผล ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะไม่สงสัยเรื่องนี้ ก็เห็นๆกันอยู่ สหายหญิงก็พยักหน้าว่าที่บอกนั้นจริงแล้วน่าจะเป็นไปได้มากด้วย
"อย่างนั้นก็ลองดูสิ อย่าได้ปล่อยความสงสัยไว้เลย"ติณณกฤตคว้ามือสหายทั้งสองไปยังชายหาดทันที เมื่อมาถึงเขาก็ให้คิดท่องคาถาในใจที่เป็บแบบการเอาตัวรอดง่ายๆอย่างการแปลงเป็นนกฮูก ไม่นานนักแสงสว่างก็มาทำให้ทั้งสามไหวตัวหลบทัน นาคาในร่างมนุษย์ใช่มนตราแทนที่นกที่สหายแปลงกายเมื่อครู่แล้ว
" มันอาจจะมีการเข้าใจก็ได้นะปัจจา เราดูนกสองตัวนี้ก็ไม่ใช่พวกนนั้น พวกนั้นไม่รอดแล้ว" ธานินทร์ที่หายตัวมาตามอักษรสาปพร้อมกับผู้ร่วมงานก็ตามหาคนที่ล่าไม่เจอ ไม่แน่มันอาจเป็นแค่เรื่องผิดพลาดเท่านั้น ปัจจาไม่พูดอะไรแต่สีหน้าก็รู้ว่าสงสัยเต็มทน
"กลับกันเถอะ"สุดท้ายเขาก็ยอมกลับ เพราะดูนานแล้วก็ไม่เห็นร่องรอยเลย เมื่อพวกนั้นไปพวกเขาจึงปรึกษากัน
"เห็นชัดว่าเป็นความจริง คงจะต้องอดทนไม่ใช้วิชาไปสักพักใหญ่เลย เพราะใช้ทีไรคนทางนั้นก็รู้ที่อยู่ตลอด"เขาแนะต่อเพื่อนทั้งสอง
"พวกเราจะสามารถแก้อักษรสาปได้อย่างไรกันล่ะ""ชายง่อยพูดไปก็เหนื่อยแรงแต่ยังจะมีหวังในการแก้คำสาปเสียหน่อย แม้จะไม่สารมารถใช้วิชาได้เลยก็เถอะ
"มีวิธีเดียว ต้องสังหารคนที่สาปเท่านั้น เลี่ยงไม่ได้เพราะต้องนำโลหิตตอนสิ้นมาทำการชำระล้าง" เขาใช้คำนี้เพราะรู้ว่าสหายคงไม่อยากทำ
"ทำได้ก็ทำ เสียหนึ่งย่อมดีกว่าเสียสูญสิ้น" เธอเขียนบนผืนทรายตอบ เธอไม่อยากทำหรอกมากสุดก็แค่ทำให้เจ็บไม่เคยถึงตาย เช่นเดียวกันเขาก็ไม่ต่าง แต่ถ้าจำเป็น อะไรก็เลี่ยงไม่ได้
" น่าจะได้เพลาแล้ว พวกเราไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อกันดีกว่า" ฟังเช่นนั้นก็วางใจเพราะกลัวว่าสหายจะใจอ่อนเสีย เสร็จแล้วจึงได้ชักชวนกันกลับไป พอกลับไปยัง"
ท้องพระโรงก็เข้าเรื่องทันที
" ที่เราทราบพวกท่านคงมิได้มาขอความช่วยเหลือเรื่องที่พักใดๆหรือขออาวุธใหม่เป็นแน่....พวกท่านทั้งหลายออกไปก่อนเถิด เรื่องนี้เราขอสงวนให้รับรู้เพียงราชวงศ์"สิ้นคำกล่าวของพระวิชชุนาคราช เหล่าบริวารแลขุนนางทั้งหลายได้ไปนอกท้องพระโรงทั้งหมด
"มีวิธีที่จะรู้ได้ว่าจะทำอย่างไรให้สิ่งวิเศษทั้งสองนี้กลับมาดังเดิม.... นั่นคือจะต้องออกเดินทางไปสอบถามศิลาพยากรณ์ในเขตแนวอสุราที่๒ เพราะเขารู้ทุกอย่างในสามโลกนี้และสามารถตอบคำถามได้โดยไม่แบ่งแยกฝ่ายใด โดยจะต้องเดินทางจากที่แห่งนี้ลงไปทิศทักษิณจนถึงมหาสมุทรสีชาดแล้วเข้าไปในมหาสมุทรนั้นจะพบกับเขตแนวอสุรา" ท้าวนาคาแดนใต้แนะนำเพราะรู้ว่าทั้งสองคงต้องการจะใช้อาวุธเดิมเป็นแน่ ไม่ใช่เพียงเพื่อนำพลังมาต่อสู้แต่ยังนำเหล่าครอบครัวกลับมาด้วยเช่นกัน เขตแนวอสุรานี้พระอินทร์พระองค์ก่อนนั้นได้สร้างมาเพื่อเป็นแดนคั่นระหว่างมนุษย์กับเหล่าอสูรไว้ไม่ให้ทำร้ายกันเพราะเมื่อก่อนกาลมักเกิดสงครามดินแดนกดขี่กันระหว่างมนุษย์และอสูรบ่อยครั้ง ครบ๗,๐๐๐ปีคราใดจะให้กลับมาอยู่ร่วมกันดังเดิมโดยที่จะไม่มีเหตุการณ์นองเลือดเกิดขึ้นอีก
" ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ" สุริยะนอบน้อมทำความเคารพในเมตตาแนะนำ
"ขอบพระทัยเพคะ" แสงสุรีย์ก็มิต่างกัน
"เมื่อถึงที่นั่นอักรสาปจะไม่เกิดผลวางใจได้ แต่ระหว่างการเดินทางอันตรายมาก อาจไปอย่างไม่สะดวกเท่าใดเพราะใช้วิชาไม่ได้ พวกเขาจะล่วงรู้ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ ดังนั้นเราจะให้ธิดาของเราดูแลท่านทั้งสอง" ท้าวเธอมองมายังพระธิดาลีลาวดีที่ดูท่าจะไม่พอใจเสียแล้ว แต่คนเป็นพี่ออกตัวก่อนใคร
" น้องไม่สบายใจจะไป ให้ลูกไปเถอะพระเจ้าค่ะ"เขาขอร้องพระบิดา
" ไม่ได้ ลูกลืมแล้วหรือว่ามีเรื่องที่จะช่วยพ่อจัดการให้เรียบร้อย.. ลีลาวดีอย่าได้ลำบากใจ การช่วยเหลือคนนับเป็นเรื่องดี อย่าปฏิเสธเพราะเรื่องนี้เลย" พูดเสียขนาดนี้ก็คงต้องยอมไปตามระเบียบ
"เริ่มออกเดินทางพรุ่งนี้เลยแล้วกัน ช้ากว่านี้เราไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ส่วนวันนี้พักผ่อนกันก่อนเถิด" เมื่อสิ้นคำก็ต่างแยกย้ายไปเตรียมตัวแล้วพักผ่อนให้เพียงพอรอวันที่จะได้กลับมาใช้สิ่งวิเศษนี้ดังเดิม
-
สัปดาห์นี้ของดอัพก่อนนะคะ มีปัญหาสุขภาพค่ะ จะรักษาตัวให้ดีขึ้นอีกสักหน่อยค่ะ สัปดาห์หน้าจะอัพตอนต่อไปนะคะ ขออภัยด้วยค่ะ w12 w12
-
เนื่องจากสัปดาห์ที่แล้วจักรกรดไม่ได้แจ้งการปรับเปลี่ยนวันเวลาในการอัพเรื่องนี้ จึงได้มาแจ้งในวันนี้นะคะ นับตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไป จักรกรดขอเปลี่ยนวันจากอัพวันเสาร์เป็น
ทุกๆวันอาทิตย์เวลา20.00น.ค่ะ ขออภัยที่แจ้งช้านะคะและขออภัยที่ยังไม่ได้อัพเดตในวันนี้ด้วยค่ะ
-
กลางดึกของคืนนั้นเองผีโครงกระนั้นได้แอบลักลอบไปตามหาบัวแย้มตามที่ได้ยินคำเล่าคำลือของคนในวังว่าฤๅษีทมิฬนำสตรีนางหนึ่งมามอบให้พระโอรสบดิศรซึ่งเท่าที่ได้ยินมาลักษณะก็มิต่างบัวแย้มเลย บางทีคนพวกนี้อาจนำนางมาที่นี่ด้วยหาใช่ให้ติดตามอัญญานีอย่างที่เข้าใจ เมื่อเข้าใกล้ตำหนักที่คาดไว้ก็ต้องดูทีท่าทหาร มีช่วงเวลาที่ผลัดเวรยามพอดีนับเป็นช่องว่างของเวลาที่ระหว่างเปลี่ยนนี้ ทหารเหล่านั้นก็พูดจาปราศัยกันมิได้สนใจเรื่องเฝ้ายามเสียเท่าใดเพราะมั่นใจว่าผู้คนเยอะเช่นนี้คงไม่มีใครล่วงล้ำเข้าไปได้
"พี่ตาหวาน พี่ตาหวานหรือเปล่าจ๊ะ" บัวแย้มที่ยังทำใจไม่ได้ก็มิยอมหลับยอมนอน เปิดหน้าต่างออกมาเพื่อจะรับลมก็เจอพวกเดียวกันที่หลบตรงพุ่มไม้พออุ่นใจได้บ้าง
"บัวแย้มพี่ตาหวานเอง" เขาลอยมายังหน้าต่างอีกด้านที่เหมือนจะเป็นมุมอับสำหรับทหารยามนัก
"ทั้งสามพระองค์ปลอดภัยหรือไม่ พี่กับคนอื่นๆเป็นเช่นไร" เธอถามด้วยความเป็นห่วงเพราะสถานการณ์ตอนนี้มันก็ไม่ส่งผลดีเท่าใดนัก
"ถือว่าทรงปลอดภัยที่ไม่เกิดอันตรายใดๆ แต่ก็ทรงได้รับหน้าที่อันไม่สมควรต้องประสบความยากเข็ญต่อไปแน่ พี่ว่าพวกเราต้องพากันหนีเสียแล้ว พอได้ยินคนวังนี้เขาพูดว่ามีคนเหมือนหนูบัวอยู่ที่นี่ จึงมาตามหาเผื่อว่าจะแจ้งไว้ให้เตรียมตัวไว้" เขาเล่าให้ฟังเช่นนี้ คงจะอาลัยหาผู้สิ้นชีพได้อีกต่อไปไม่ ต้องห่วงคนที่ยังอยู่ก่อนเสียดีกว่า
" เช่นนี้แล้วพวกเราจะพากันหลบหนีไปยังที่แห่งใด แล้วจะไปวันไหนกันจ๊ะ" ระหว่างคุยก็ต้องระวังเผื่อนางกำนัลแวะเวียนมาดูความเรียบร้อยตามคำสั่งจะไม่ดีต่อคนที่เหลือ
" พวกเรายังมีถ้ำที่อยู่ของเจ้าหิ่งห้อยอยู่พวกญาติหิ่งห้อยที่นั่นน่ะตัวไม่ได้ใหญ่เหมือนพี่หิ่งห้อยของเจ้าหรอกนะ แล้วคืนที่จะไปคือคืนเดือนดับต้นยามสาม มุ่งหน้าเข้าสู่ทิศหรดีนับจากท้องพระโรง พี่ต้องไปก่อนหากใครมาพบเข้าที่เตรียมการมาต้องสูญเปล่า" ว่าแล้วเขาก็ไปในทันที ต้องรอโอกาสที่จะหนีไว้
...
วันต่อมานั้นเองอัญญานีจนถึงตอนนี้นี้นั้นยังคงไม่หลบหนีไปด้วยเพราะได้ทบทวนเรื่องราวรวมถึงคำพูดต่างๆตลอดที่อยู่ที่แห่งนี้ ตนก็เกิดความกังวลเกี่ยวกับงานใหญ่ที่ว่าขึ้นมา อย่างน้อยก่อนจะหาทางหนีและต่อกรกลับสู่ฝ่ายตรงข้ามก็ควรที่จะหาข้อมูลที่มีประโยชน์ด้วยจึงจะสมบูรณ์ ถึงจะขัดใจตนไปเสียหน่อยแต่ต้องรักษาความสัมพันธ์ เธอออกมาจากห้องแล้วจึงวานนางกำนัลให้พาตนไปเข้าเฝ้าพระเทวาเพื่อแสดงความนอบน้อมและแสร้งว่ารังเกียจสุริยะที่เป็นศรุตเทพมาเกิดยิ่งนัก
"อินทราณี เรารอเพลานี้ที่เจ้าจะหาเราด้วยใจของเจ้า ต้องการสิ่งใดกล่าวเถิด" เขาพอใจ พร้อมที่จะมอบทุกสิ่งทุกอย่างตามปรารถนาสตรีอันเป็นที่รัก
"พระองค์... หม่อมฉันมิได้ต้องการสิ่งใดเลยเพคะ ขอเพียงได้อยู่เคียงข้างพระองค์หม่อมฉันก็ยินดี ถึงแม้ว่าเพลานี้หม่อมฉันจะจำเรื่องราวที่ผ่านมาไม่ได้ แต่เท่าที่หม่อมฉันได้ทราบคำเล่าของสันต์สินีแล้วทบทวนก็พบว่าอย่างศรุตเทพไม่สมควรได้รับการอภัย และผู้ที่หม่อมฉันควรเชื่อใจนั้นนคือพระองค์เพคะ ที่ผ่านมาหม่อมฉันทำผิดไปขออภัยโทษให้หม่อมฉันด้วยเถอะนะเพคะ"เธอคุกเข่าดวงตาปริ่มน้ำ ต้องทำเช่นนี้ถึงจะพระทัยอ่อนไม่กังขา
" ลุกขึ้นเถิด เราไม่เคยถือโทษโกรธเจ้าเลยสักครั้ง เพียงแต่เรากังวลว่าเจ้าจะไม่ยอมรับเราเท่านั้น"นั่นคือสิ่งที่กล่าวมา เพราะเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นเธอไม่เคยจะเปิดใจให้สักครั้ง
"ขอบพระทัยเพคะ.....แต่ว่าเหตุใดกันพระพักตร์ของพระองค์ถึงได้เศร้าหมองยิ่งนัก หม่อมฉันกระทำการใดเป็นที่ให้ไม่สบยพระทัยอีกหรือไม่เพคะ" ปกติก็ต้องดีใจแล้วสิ หรือว่าจะมีเรื่องอื่นให้กังวลอีกกันนะ
"ไม่หรอก หากแต่เป็นพระพี่นางของเรา...พวกเจ้าออไปก่อน เราจะอยู่กับอินทราณีตามลำพัง"คำสั่งมาข้าเหล่าบริพารก็ต้องไป เมื่อเหลือกันเพียงสองก็สะดวกใจ น้ำพระเนตรไหลอาบพระพักตร์เพราะไม่อยากให้เห็นความอ่อนแอจึงได้ให้คนออกไปอยู่แต่เพียงคนที่จะรับฟังในสิ่งที่ตนจะกล่าวได้อย่างมิกลัวที่จะเสียหายในภาพลักษณ์ผู้นำ
"เราทำผิดต่อพระพี่นาง ครานั้นเรามีโทสะมากเกินไปจนเป็นเหตุแห่งการพลั้งพลาดประทุษร้าย พระพี่นางจึงเสด็จยังที่ที่ไม่มีใครหาเจอแม้แต่พระอินทร์ที่เป็นพระสวามี็ก็ตาม พระพี่นางของเรามิต้องการให้เราทำในสิ่งที่เราเห็นสมควรกระทำแต่เราผิดเองที่ไม่ได้ใส่ใจ แต่ที่เรากังขาคือทั้งๆที่เป็นพระเทวีแห่งเทวราชาแต่หาได้มีใครใส่ใจตามหาไม่ เป็นเรื่องที่เราอยากทูลถามแต่ไม่เคยมีโอกาสในการถามเลยสักครั้้ง" เขาดูสลดหดหู่ก็จริงอยู่ แต่รู้สึกว่าเรื่องที่เล่านั้นยังไม่ละเอียดเท่าไหร่นัก
"หม่อมฉันได้ทราบมาว่าวันนี้เป็นวันที่ดวงดาราประกายแสงไสวทั่วนภา ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้เข้าเฝ้าะเพคะ หากพระองค์ไม่สบายพระทัยที่จะทูลถาม หม่อมฉันขออาสาทูลให้นะเพคะ " เธอจะได้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พระนางต้องทรงทราบเรื่องงานใหญ่ของเทพวิษุวัตแน่
"ไม่ได้หรอกอินทรานี เจ้ายังไม่ได้สมรสกับเราไปเข้าเฝ้าพร้อมกันมิได้ อีกอย่างหนึ่งเจ้ายังไม่รู้ว่า พระองค์เสด็จเข้าเฝ้าพระเทวตรีมูรติและบำเพ็ญเพียรเป็นเพลา๑๕วันสวรรคโลกโดยใหเราช่วยดูแลแทนพระองค์ไปก่อน" อธิบายตามจริง ไม่มีโอกาสดังว่า แต่ทำไมไม่ลองหาโอกาสก่อนนี้เลยล่ะ
"๑๕วันสวรรคโลกก็เท่ากับว่าเป็นเพลา๑๐๕วันของมนุษยโลก การที่เสด็จนานเช่นนี้ พระองค์จะไม่เป็นที่กังขาของเหล่าเทพเทวาต่อการรักษาหน้าที่หรือเพคะ" ทำไมถึงไว้ใจผู้ที่เคยจะสังหารคนมาดูแลได้ น่าฉงนนัก
"เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงไป เราเป็นโอรสของพระอินทร์พระองค์ก่อน พระองค์เข้าสู่แดนไร้สงสารแล้วจึงได้สละ ตามจริงตัวเรานับว่ามีสิทธิชอบธรรมในการดำรงเป็นเทวราชา แต่ว่าพระอภิรักษ์เพชราบำเพ็ญเพียรได้มากกว่าเราจึงได้เป็นผู้สืบต่อหน้าที่ เพลานี้พระองค์คงเห็นถึงความสำคัญในการเคารพของเหล่าเทพเทพีที่มีต่อเรา จึงได้วางพระทัยให้เราช่วยดูแลโดยไม่มีผู้ใดคัดค้าน" เพราะเหตุนี้ทำให้ได้อำนาจมาอยู่ในมือ แสดงว่างานใหญ่ที่ว่าก็คือตำแหน่งนี้น่ะสิ แค่คิดก็น่าจะได้ แต่นั่นก็จะได้รับโทษทัณฑ์จากพระมหาเทพทั้งสามด้วยนี่สิ เขาวางแผนจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรกันแน่
"ไม่ว่าใครจะคิดเช่นไรก็ไม่ได้ใส่ใจ ตอนนี้เรามีเจ้าอยู่ด้วย และจะดีมากถ้ามีพระพี่นางอีกพระองค์ เราจะเยือนยังอุดรบาดาล คงไม่ได้กลับมาหลายวัน จะกลับมาอีกทีก็น่าจะเป็นวันหลังคืนเดือนดับซึ่งจะได้ชมดอกปาริชาติ ครานั้นเจ้าก็จะจำเรื่องของพวกเราได้ดี ดูแลตัวเองให้ดี เราไปก่อน" ว่าแล้วเทพท่านก็เดินทางเพื่อที่จะไปคุยเรื่องสำคัญ
"เราต้องอดทนไว้ก่อน ถึงเพลานั้นจะได้ออกไปจากที่นี่ เราจะไม่ยอมให้อดีตมาเปลี่ยนแปลงปัจจุบัน แต่เราต้องรู้อดีตเพื่อรับมือกับอนาคต" เธอลอบคิดในใจถึงวันนั้นแล้วเธอจะไม่ยอมอยู่ที่นี่ต่อไปแน่นอน"
........
เดินทางเลยเมืองร้างโกสุมพิสัยได้สักระยะ เจ้าสิงโตก็เข้าชี้ต้นผลไม้ที่รูปร่างราวกับว่าเป็นผลส้มแต่กลับมีสีเข้มราวกับมังคุดที่สุกมากแล้ว มันน่าฉงนกว่าก็ตอนที่ปลอกเปลือกออกมามีเนื้อนุ่มไม่ต่างกับผลกล้วย
"ข้าน่ะนะกินมันกี่ครั้งก็หลับยาวถึงต้นยามสองเลย นี่อาจเป็นผลดีในการวางยาให้คนพวกนั้นสลบไปจะได้หลบหนีง่ายขึ้น"เขาออกความเห็นเพราะตนได้ลองมาแล้ว
"เจ้าแน่ใจนะว่าได้ผลจริง ไม่ใช่ว่าเจ้าแพ้มันหรอกรึ" หิ่งห้อยก็ไม่อยากปักใจเชื่อนักเพราะถ้าผิดพลาดไปก็จะสูญเสียสิ่งที่ตั้งใจได้น่ะสิ
"แพ้อะไรล่ะ ผลไม้ประหลาดนี่กินไปก็เสี่ยงตายด้วยซ้ำ ไม่ใช่ว่า๑๐ปีก่อนข้าเกิดหิวจนกินไปล่ะก็ก็ไม่รู้โทษประโยชน์มันหรอก" สิบปีนั้นเขาต้องช่วยเด็กๆที่เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ในการตามหาช่วยเหลือมารดา เหนื่อยหิวมากก็ต้องจำกินสิ่งที่ทำให้อิ่มถึงแม้ว่าอาจจะทำอันตรายร่างกายก็เถอะ
"อ๋อ ที่เจ้ามาช้าในตอนนั้นนั่นเอง แล้วได้กินอีกครั้งให้แน่ใจแล้วเหรอ "ตอนไปช่วยพุทรัตน์นั่นมาช้าเพราะเหตุนี้เอง แต่จะให้แน่ใจได้ก็ต้องลองอีกครั้งหรือมากกว่านั้นสิ
" ลองแล้วๆแน่ใจมาก"มั่นใจมากแล้วได้ลงมือเก็บ"
"พวกเราเดินทางไปยังถ้ำหิ่งห้อยกันก่อน เพราะต้องขนคนหลายคน ให้รวมตัวเป็นสำเภามาพาไปจะได้ไวขึ้น" เขาก็ว่าถูกลำพังตัวเดียวไม่ขนคนไม่ทันอยู่แล้ว"
"แล้วจะได้พาหนีเมื่อไหร่" เขาไมรู้จะหาโอกาสไหนมาหนีได้
"คืนเดือนดับ แต่การที่่จะพาหนีไปกับพวกเราก็เสี่ยงที่จะถูกจับได้ ดังนั้นต้องเร่งเดินทางให้ถึงก่อนหน้านั้นแล้วให้ทุกคนไปรอยังที่คุมขังใต้ดินทางทิศหรดีของวัง" เขาพูดเช่นนั้นก็เบาใจเรื่องรับมือเสียหน่อย
........
"อย่าชักช้านัก คนแบกฟืืนขนน้ำคิดจะอ้างสังขารมาทำงานไม่ได้ เร็วเข้า!! " คนคุมงานเร่งให้เชลยจากเมืองทิศพลทำงานอย่างแข็งขัน แต่ว่าแรงอันน้อยนิดของหญิงชราก็ทำพลาดภาชนะที่ใช้ขนน้ำนั้นตกลงบนพื้นกระจายเปียกทั่ว
"เสียเที่ยว!! อย่าเอาแต่นิ่งสิ ไปตักมาใหม่" คนทำพลาดก็จะไปทำใหม่อยู่หรอกแต่ขาที่ล้มพลิกไปนั่นก็เจ็บจนลุกไม่ไหว
"ช้าก่อนเถิด เราเจ็บที่ขาเรานักขอเรารักษาตัวสักหน่อยได้หรือไม่ หากยังเจ็บเช่นนี้เราคงคงทำงานไม่เต็มที่" อดีตผู้เป็นมเหสีต่อรอง ขืนฝืนทำไปก็ต้องแย่แน่
"แค่นี้ทำเป็นต่อรองนักนะ ไปเอาหวายมาข้าจะฟาดหลังเสียให้ลาย"ผู้คุมคนนี้ไม่ปราณีต่อคำขอแล้วยังจะทารุณกันอีกด้วย
"หยุดก่อน เจ้าทำเกินไปรึเปล่าถึงพวกเราจะเป็นเชลยแต่ใช่ว่าจะต้องกดขี่รังแกกันขนาดนี้นี่"อดีตท้าวเจ้าเมืองเข้ามาปรามการกระทำเพราะไม่อาจทนเห็นพฤติกรรมที่ไม่น่ายอมรับเช่นนี้ได้
"เพราะเป็นเชลยเลยต้องกดขี่กันตามพระรับสั่ง ถึงจะว่าข้าร้ายกาจปานใดก็ช่าง หน้าที่ของข้าคือมอบความทรมานให้กับพวกเจ้า และพวกเจ้าไม่ต้องเรียกร้อง"เขาลงมือจะตีอมรินทร์แต่นวดลเอาตัวกันไว้ก่อน พวกคนในวังเห็นก็ทนไม่ได้พากันมารับหวายแทน
"เป็นมนุษย์ เขาให้รู้จักคิดยังจะว่ารังแกไม่รู้ถูกผิดอีก "เจ้าผีโครงกระดูกที่จำยอมไปรับใช้ฤๅษีทมิฬได้กลับมาพบก็เอาไม้มาฟาดจนล้ม
"ไอ้ผีบ้า ตอนแรกข้าก็กลัวอยู่หรอกแต่ข้ามีของดี คิดว่าจะทำอะไรข้าได้เหรอ" ผู้คุมที่เสียหลักไปทีหนึ่งลุกขึ้นมาจะเอาสายสิญจน์มาขู่เจ้าผีนี่เสียหน่อย
"นึกว่ากลัวนักสิ เส้นด้ายนี่ได้มาแต่ใดกันล่ะ ถูกหลอกแล้วนี่ไม่ใช่สายสิญจน์จริงๆ เจ้าเชื่อไปได้" เขารู้เพราะสัมผัสได้ แล้วไม่มีปฏิกิริยาร้อนรนเลยแม้แต่น้อย ยังส่งหินในย่ามให้พวกเชลยอีกตะหาก
"เอาสักหน่อยซินี่ เอาคืนมันให้หนักๆเลย" พูดอย่างนั้นก็รู้งานพากันปาก้อนหินกันใหญ่ ตอนนี้วุ่นวายหลายพวกมากเหมาะจังหวะละสายตาจริงๆ
" คืนเดือนดับต้นยามสามทิศหรดีพวกเราจะหนีไปด้วนกันพระเจ้าค่ะ" เขาบอกอย่างนนั้นได้ไม่นานพวกอำมาตย์ที่ได้รับมอบงานก็มาดูความเรียบร้อยแต่ก็เจอความวุ่นวายแทน
" หยุด หยุดเดี๋ยวนี้!!" ตอนแรกที่ร้องเรียกก็ไม่มีทีท่าจะหยุดเลยได้ชักดาบออกมาขู่จึงได้เงียบลง
"พอเลยงานวันนี้พอ เอาตัวไปขังให้หมดเลย ผู้คุมไม่ได้ความจะเก็บไว้ทำไมเอาตัวมันออกไป" เขาสั่งเสียงเข้มท่าทางอารมณ์ท่าจะแปรปรวนไม่น้อยเลย เขาเรียกหัวโจกที่ก่อเรื่องไปคุยส่วนตัว
"อำมาตย์เรืองรองท่านจะไปกับพวกเราไหม" เขาถามทันทีหลังจากลับตาคน
"ไม่ได้ ข้าจะต้องคุมคนอยู่ที่นี่จะได้หนีได้ไว ข้าได้อำนาจมาเพราะแสร้งเป็นพวกนะ ถ้าด่วนหนีไปองค์เหนือหัวจะเป็นอย่างไร ใครจะคอยช่วย พระโอรสก็เคยบอกว่าพระองค์เสด็จไหนไม่ได้ก็ยิ่งน่าห่วง" จริงอย่างที่ว่าเพราะถูกเวทย์มนตร์ตรึงไว้ถ้าไปไหนก็เท่ากับสิ้นชีพแน่ต้องคิดเรื่องนี้ให้มาก
" ข้าขอบน้ำใจเจ้ามาก ถึงพระโอรสจะกลับมาเมื่อใดเราก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ข้าไปก่อน"ว่าแล้วก็แยกย้ายกัน
....
"ลูกแม่ แม่จะดูแลพระอัยกาและพระอัยกีให้ดี ตัวแม่ก็จะช่วยเหลือตนเองด้วย เพื่อจะได้ออกจากที่แห่งนี้ หาที่ที่จะรอลูกกลับมาไม่ว่านานแค่ไหนแม่จะรอลูกกลับมา ลูกต้องปลอดภัยแม่เชื่ออย่างนั้น" เธอคิดในใจขณะขูดมะพร้าวมอยู่
" มัวแต่ใจลอยไปถึงไหน ตั้งใจทำงาน ไฟดับแล้วไปก่อไฟเพิ่มไป" นางในครัวขัดความคิดให้ปัดตกไปทำหน้าที่เสียก่อน ไม่เช่นนั้นปัญหาเกิดแน่
" วันนี้คิดจะทำอะไรส่งไปให้อดีตสวามีเสวยกันล่ะ"จาบจ้วงเสียจริง
" ก็นะพวกข้างบนน่ะจะรู้อะไรล่ะกับพวกเราล่ะ ทำงานหงกๆเอากระยาหารไปถวายไม่ใช่น้อยๆเลยในแต่ละมื้อพวกคนข้างบนไม่รู้หรอกเอาแต่คิดถึงตนเอง เราเป็นทาสเข็ญใจ เจ้าพอตกจากที่สูงน่ะคงเจ็บกว่าพวกเราน่ะสิท่าถึงได้ทำหน้าเศร้าเคล้าน้ำตาถึงสามี"ออกปากว่ากันขนาดนี้คงหาที่ลงอยู่กระมัง
" เราไม่ได้คร่ำครวญถึงพระสวามี เรายอมรับว่าเราก็ปวดใจเรื่องเขา แต่ที่เรื่องเป็นทุกข์ที่สุดคือลูกของเราที่ถูกทำร้ายหรอกหนา เขาจะเป็นเช่นไรก็ไม่รู้เลยผิดกับพวกเราที่รู้ตัวเองอยู่ตลอดเพลา"ก็จริงที่ว่าคนเป็นแม่น่ะผูกพันมากกว่ากว่าการเป็นภรรยานัก
"เอาเถอะ จะร้องไห้จนน้ำท่วมแผ่นดินก็ไม่ช่วยอะไรหรอก คิดดีกว่าว่าวันนี้จะถูกหมายหัวลงโทษไม่พอใจเรื่องอาหารจะดีกว่าอีก"ได้ยินอย่างนั้นก็พอเห็นใจแต่ไม่รู้จะปลอบยังไงใจพวกตัวเองที่เป็นทาสมานานถูกกดขี่มานานก็ยังปลอบใจตัวเองไม่ได้เลย
"ทำพระกระยาหารเสร็จแล้วใช่ไหม ตรวจดูสิว่าวันนี้มีอะไร"ขุนท้าวมารับสำรับพระกระยาหารด้วยตนเองแล้วต้องตรวจตราทุกครั้งเผื่อมีใครใส่อะไรลงไปในนี้
" วันนี้มีพะแนง มัสมั่น แกงระแวงเนื้อ ยำทวาย บัวลอยมะพร้าวอ่อน ครองแครง และขนมเปียกปูนเจ้าค่ะขุนท้าว" นางกำนัลตรวจดูก็รายงานให้ทราบ
" เอาล่ะนำสำรับไปถวายได้"ว่าแล้วจึงพากันยกสำรับไปถวาย หวังว่าเขาจะจำความสัมพันธ์แต่ก่อนเก่าได้บ้างก็ยังดี
....
เมื่อได้รับสำรับมาก็เสวยอย่างพอใจแต่พอมาถึงสิ่งสุดท้ายทำไมกันหนาน้ำตากษัตริย์ถึงได้ร่วงไหลทั้งๆที่ยังนิ่งได้ขนาดนั้น
"องค์เหนือหัวเป็นอย่างไรเพคะ ทำไมถึงได้... "พิมาลาเป็นห่วงก็ถามไปตามความอยากรู้
"เรา... เราปวดตา เหมือนว่าเราจะใช้งานหนักไปเสียหน่อย" เป็นอันว่าโล่งใจ ไม่ได้ห่วงว่าจะมีอันตรายอะไรหรอก แต่ห่วงว่าจะเกิดการตอบสนองความรู้สึกต่อคนในครัวหลวงเสียงมากกว่า
"พักผ่อนเถอะนะเพคะ ไว้หม่อมฉันจะกลับมา ขอหม่อมฉันไปหาลูกสักนิดนะเพคะ เขาพยักหน้าตอบรับแล้วจึงไปหาลูกได้ตามปกติ ฝ่ายเจ้าตัวก็ดูเหมือนว่าจะคิดถึงเมื่อคราวที่พบกันครั้งแรกกับสไบทองนั้น ตนได้มอบดอกอัญชันไว้แทนใจ ครั้นคืนวิวาห์ก็ให้สัญญาว่าหากมีโอกาสทำอาหารถวายจะทำอาหารที่มีอัญชันเป็นส่วนประกอบด้วยเช่นกัน เขาเริ่มสับสนว่าตัวเองรู้สึกยังไงทั้งๆที่อาลัยไม่พรากจากพิมาลาแต่ทำไมถึงผูกพันกับอีกนางไม่เลิกราแม้จะรู้สึกชิงชังนักเล่า
....
"เป็นเพลาสมควรแล้วที่จะได้ออกเดินทางกันเสียที เราขอให้เกิดโชคดี สิ่งใดหาอย่าทำให้เกิดอันตรายต่อพวกท่านได้ ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ให้ระลึกถึงเราไว้เสมอ ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง" วิชชุนาคราชกล่าวอวยพรผู้เดินทางทั้งสามก่อนที่จะเดินทางเข้าสู่เขตแนวอสุราในวันนี้
" ขอบพระทัยเพคะ/พระเจ้าค่ะ"ทั้งหมดขอบคุณพร้อมกันทั้งเอ่ยทางวาจาและการเขียน
" จำไว้นะ หากเกิดอะไรให้อะไรให้เรียกเราผ่านสร้อยนี้นะทั้งสองคน"เขาสร้อยที่เป็นจี้แก้วผลึกให้กับสหายทั้งสองเพราะเกรงว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น
"ขอบใจมากนะติณณกฤต" สุริยะขอบใจสหายที่อุตส่าห์หาช่องทางที่จะช่วยเหลือแม้จะไม่ว่างก็ตาม
"เราเต็มใจ... ลีลาวดีเจ้าอย่าได้ถือโทษโกรธเคืองพวกเขาเลย เขาไม่ได้ตั้งใจจะรบกวน เราต้องช่วยคนให้ถึงพร้อมถึงจะถูกต้อง แล้วควรเลือกช่วยให้ถูกด้วย อย่าให้อคติบังตา" เขาเตือนน้องสาวเท่าที่เตือนได้เพราะผู้นี้ใจร้อนมิเบาหรอกเพราะรู้สึกเป็นส่วนเกินทุกครั้งไปที่คนคนนี้มา แต่ตัวก็เลี่ยงไม่ได้นี่
" รู้แล้วเรารู้แล้ว เราไปก่อนนะท่านพี่ ท่านก็ทำหน้าที่ให้เต็มที่เถอะอย่าห่วงนักเลย" ว่าแล้วก็เร่งการเดินทางเมื่อเวลาเดินทางมันก็มีเหนื่อยมีพักบ้างเป็นบางเวลาแต่โชคดีอย่างหนึ่งที่ว่าเป็นทะเลใต้จึงไม่ไกลเกิดจากมหาสมุทรสีชาดมากนักใช้เวลาเพียงหนึ่งวันก็ถึงพื้นที่ระหว่างสีน้ำต่างกันคนละวรรณะเมื่อสังเหตุเกตุไปยังพื้นน้ำที่มีสีแห่งความร้อนแรงจะพบว่าสถานที่ในนั้นกลับด้าน ล่างเป็นบน บนเป็นล่างเรียกว่ากลับหัวไปเลยว่าได้
"เราเคยเข้าถึงแค่สะพานน่ะ เราเกิดไม่สบายตัวเลยไม่ได้เข้าไป ได้กลับมาอีกครั้งก็น่าจะมีอะไรสนุกๆให้ทำ ไปกันเถอะ" นาคีมีประสบการณ์กล่าวแล้วก็พากันเข้าไป พื้นที่นั้นไม่จำเป็นต้องกลับตัวเองตามเพราะเมื่อเข้าไปลึกแล้วที่แห่งนั้นก็จะหมุนมาตรงตามตัวเราเอง
"ที่นี่ผีเสื้อเยอะมาก ตรงกันข้ามกับแสงที่มีอยู่ สลัวเกินไป"แสงสุรีย์เขียนตามที่ตนเห็นคุยกับสหายเป็นระยะๆ
" จริงด้วย ดอกไม้ที่มีก็ดูล้อมรอบไปด้วยแสงขาวกลมรอบๆไม่รู้ว่าแสงอะไรแต่ไม่ใช่หิ่งห้อยแน่" เขาพูดตอบกลับที่นี่มองเผินๆก็ดูเป็นความงามของแสงบางตาในยามค่ำคืน จริงๆมันก็ยังกลางวันอยู่แต่ปากทางเข้ามันมืดเท่านั้นเอง
"ไปสะพานนี่มืดมาก อย่าตกลงไปแล้วกัน" ว่าแล้วก็เดินแทรกกลางนำหน้าไปเบียดชนอีกคนจนตกสะพานแต่ยังดีที่ยังราวสะพานไว้ แต่ไม่นานสะพานนั้นก็ละลายคล้ายว่าทำจะน้ำแข็งแล้วถูกความร้อนเสียอย่างนั้น ความมืดนั้นก็ทำคนข้างบนมองไม่เห็นคนด้านล่างเพราะคนด้านล่างพูดไม่ได้จึงเป็นเรื่องยากที่จะหาตำแหน่ง ก่อนจะหล่นลงตนก็ทุบที่สะพาน คว้ามือคนด้านบนได้เสียที ด้านบนทำท่าจะดึงแต่ก็นิ่งแล้วหย่อนมือลงไปต่่ำ
"ได้มือนางแล้วใช่ได้ลีลาวดี" สุริยะที่มองไม่เห็นก็ถามเพราะคว้าไม่ได้เลย
"ได้" ตอบสั้นๆเท่านั้น แต่กำลังตัดสินใจอะไรอยู่นี่สิ
"ให้เราช่วย อยู่ตรงไหนกัน" ตอนนี้แต่ละคนตอนนี้ก็ราวกับตาบอดเพราะความมืดที่มากไปแล้วยังไม่ได้มีเสียงสื่อสารมากนักด้วย ถ้าไม่มีนางสักคนครอบครัวเราคงไม่ต้องมาสนใจนางให้มากความ เรื่องนี้เอาจริงๆตัวเองก็ไม่ได้อยากทำสักนิด ทำไม่ต้องมาช่วยคนไม่สมบูรณ์ทั้งสองด้วย พอกันที เธอตัดสินใจปล่อยมืออีกคนให้ล่วงหล่นสู่ด้านล่างที่ฟังเสียงดูก็น่าจะลึกพอตัว
"เจ้าปล่อยมือนางเหรอ หรือว่าถ่วงไว้ไม่ทัน" เขาเริ่มไม่แน่ใจว่าสหายที่ตกลงไปยังด้านล่างเกิดจากความตั้งใจของผู้ที่ดึงไว้หรือไม่
"ใช่ เราก็ไม่ได้อยากช่วยนักหรอก เรื่องของเราก็ไม่ใช่ อยากจะได้ของสิ่งวิเศษนั่นคืนจะมารบกวนเราทำไมล่ะ" เริ่มต่อว่าอีกคนก่อนเขาจะต่อว่าเพราะตัวก็ระอานัก
" เราไม่ได้อยากรบกวน ถ้าไม่อยากไปต่อก็กลับไปตามทางของเจ้าเถอะ ไม่เห็นต้องทำร้ายนางเลย" เขาไม่เข้าใจใครสั่งสอนฝให้เป็นคนแบบนี้ ไม่ช่วยไม่ว่าแต่ทำไมต้องทำร้ายกันด้วย
" ก็นางเอาทุกสิ่งที่เราจะได้ไปน่ะสิ.. "ก่อนจะพูดอะไรไปมากกว่านี้สะพานก็ละลายพังลงทั้งคู่ก็ตกลงสู่ด้านล่างตามคนแรกไป คลื่นน้ำด้านล่างแรงมากซัดไปตามทางจนน้ำไหลกลับที่เดิมทั้งสองก็มาอยู่ในห้องสีแดงสลัวสีส้ม เห็นชัดกว่าความมืดหน่อย มันก็สวยอยู่หรอกผลึกแก้วสีนี้แต่ว่ามันแหลมคมมากถูกเข้าก็แย่แน่ ครั้นจะกลับทางเดิมห้องก็ปิดแน่นราวกับนี่เป็นหินเสียอย่างนั้น
"แสงสุรีย์เป็นอะไรไหม" เขาหันไปรอบๆก็เจอกับแสงสุรีย์ที่มาก่อนหน้านี้
"ถือว่าดีที่ไม่เป็นอะไร" เธอเขียนกระดานที่โชคยังดีที่ไม่ลอยไปตามน้ำเสียก่อน
"ดีเหลือเกินนะ ประตูก็ปิดตายจะไปยังไงต่อล่ะคราวนี้" เธอเริ่มจะโวยวาย
"อีกด้านหนึ่งมีแสงสีม่วงปรากฏอยู่ บางที่นี่อาจจะเป็นหนึ่งในทางไปก็ได้" สุริยะกล่าว
"อย่างนั้นจะรออะไรล่ะรีบไปสิ" ไม่อยากติดอยู่ที่นี่นานนักหรอกนะ ถ้าทางออกได้จะไปไม่แลใครเลยเชียว
"หลับตาฟังเสียงดีๆ"เธอเขียนกระดานบอกคนใจร้อนให้สัมผัสเสียงด้วยตนเอง
"อะไรอยู่ที่ด้านนั้นน่ะ"ออกจะเกิดความกลัวขึ้นมาเสียแล้ว สัตว์ชนิดใดรอที่เสียงสว่างนั่น
"เสียงน้ำตก ด้านนั้นมีน้ำตกด้านมิใช่เหรอ" สุริยะก็ได้ยินเสียงอื่นร่วมด้วย
"แสดงว่าถ้าผ่านแมงมุมยักษ์นั่นได้เราจะสามารถเข้าสู่เขตแนวอสุราที่สองได้ทันที" เธอรู้ได้ด้วยหรือว่านั่นคือแมงมุม
"นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ว่าพวกเราจะจัดการมันยังไง ลำพังพลังเราผู่เดียวก็ไม่ไหวหรอกนะ" เธอท้วงเสียหน่อยเพราะกลัวการถูกเอาเปรียบจากพวกที่เอาแต่ขอความช่วยเหลืออย่างเดียว
"จริงสิเราอยู่เขตแนวอสุราแล้วจะใช้มนตราคาถาใดพวกนั้นก็ตามหาเราไม่ได้" เขาคิดได้ดังนั้นจึงกล่าวอย่างพึงพอใจ
" แต่ต้องไม่ประมาท ขึ้นชื่อว่าเขตแนวอสุราก็มีมีเพื่อกันการล่วงล้ำอยู่เป็นทุนเดิม หากใครรุกล้ำก็ต้องมีการป้องกันถึงที่สุดได้" เธอกล่าวถูกนี่มันอันตรายมากน้ำในความมืดที่ซัดร่างราวกับจะกลืนกินตัวเมื่อครู่ก็น่าผวาแล้ว ไม่แน่ว่าเข้าแมงมุมด้านนั้นจะเป็นเช่นไร ใยที่ถักไว้รอผู้มาเยือนมีเยอะเท่าไร หากไม่ระวังวางแผนดีๆคงต้องมีอันตรายต่อตัวแน่ แต่จะทำได้ยังไงนั้นก็ต้องรวบรวมความคิดก่อนจะเดินทางต่อไปผจญกับมัน
-
"นี่เราเป็นอะไรไป..." ท้าวธริษตรีเธอรู้สึกตัวได้เสียที เป็นเวลานานแล้วที่เขาไม่ได้ออกมาเลย
"ท่านแม่.. ท่านแม่ ลูกว่ามันได้เพลาเหมาะที่จะจัดงานอภิเษกแล้วนะ" อัคนินเข้ามาเพื่อพูดเรื่องนี้ซ้ำๆเหมือนอย่างเดิม ทั้งๆที่ฝ่ายหญิงนั้นมิได้ล่วงรู้เต็มใจด้วยเลย
" งานอภิเษก.. นี่กำลังจะจัดงานกับใครกัน ทำไมเราจำอะไรไม่ได้เลย แล้วมารดาเจ้าก็ไม่ได้อยู่ที่แห่งนี้กับเราหรอกนะ" เขากุมขมับพยายามนึกแต่นึกไม่ออกในเหตุการณ์
นี่มันอะไรกัน ปกติแล้วแม่ของเขาจะต้องอยู่ร่างนี้เสมอแต่ทำไมคราวนี้ถึงได้กลับกลายว่าเจ้าของร่างออกมาได้เล่า
" หม่อมฉัน.. หม่อมฉันนึกถึงเสด็จแม่จึงพลั้งเพ้อไป ที่จริงแล้วเสด็จแม่สิ้นพระชนม์พระเจ้าค่ะ.. " เขาเริ่มเล่นละครไปก่อนไม่เช่นนั้นจะเกิดเรื่อง
"อะไรนะ เป็นไปได้ยังไงกัน" เขาก็สงสัยนักว่าทำไมถึงได้เป็นเช่นนั้น ทำไมเขาจำอะไรไม่ได้เลย ความทรงจำครั้งสุดท้ายคือตนกำลังนึกถึงมเหสีที่สิ้นไปในวันคล้ายวันนั้นที่เขาต้องสูญเสีย
" เรื่องเป็นเช่นนี้พระเจ้าค่ะ..." เขาเล่าเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมาด้วยการป้ายสีฝ่ายตรงข้าม เขาทำมันอย่างชำนาญเพราะเขาก็โกหกคนมาได้พักใหญ่แล้ว
"ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้เสด็จพ่อสะเทือนพระทัย ในทุกๆเช้าของทุกๆวัน เสด็จพ่อจะทรงจำสิ่งใดไม่ได้เลยพระเจ้าค่ะ" น่าจะเป็นสิ่งที่หลอกลวงได้ดีที่สุด สะเทือนใจจนจำสิ่งใดไม่ได้นั้น เหตุการณ์นี้ก็เคยเกิดกับกษัตริย์พระองค์หนึ่งก่อนหน้านี้ ดูจะสมจริงเข้าไปอีก
"น่าเสียดายนักที่เราจำความคราที่สอบสวนมิได้ เราเสียใจจริงๆ เป็นความผิดของเราเองที่ไม่อบรมสัั่งสอนลูกเราให้ดี เป็นเหตุแห่งการสูญเสียมารดาของเจ้า" เขาดูเหมือนว่าจะเชื่อคำพูดของอัคนินเสียทุกคำ ยากที่จะยอมรับก็จริง แต่เขาก็ต้องยอมรับอย่างขมขื่นจิตใจคนเป็นพ่อ ถึงจะนึกเสียใจที่บุตรทั้งหมดต้องตายด้วยการกระทำของคนๆเดียว แต่นั่นก็เป็นโทษที่้เขาตัดสินใจยกให้เอง
" พวกเขาได้รับผิดแล้วพระเจ้าค่ะ อย่ากังวลพระทัยไปเลยพระเจ้าค่ะ เรื่องก็ผ่านมาได้นานนับแล้ว" เขาก็ว่าไปเช่นนั้นในใจอยากจะสังหารซ้ำเสียแต่ในเมื่อมีผู้จัดการแล้ว ถึงจะน่าเสียดายแต่ก็ถ้าไม่มีคนพวกนั้นในชีวิตก็ดีมากแล้วไม่ใช่หรอกหรือ
"จริงสิ เรื่องที่เจ้าว่าจะอภิเษก หญิงนางใดกันที่ทำให้เจ้าคลายความทุกข์ลงได้" ไม่คิดจะคุยเรื่องนี้อีกต่อไปเขาควรจะอยู่กับปัจจุบันถึงแม้มันจะยากเพียงใดก็ตาม
"นางมีนามว่าฉันทนาพระเจ้าค่ะ หญิงผู้นี้มีความสามารถไม่แพ้หญิงหรือชายใดเลย แต่ว่า... นางยังลืมคนรักเก่าไม่ได้ แต่นางสัญญากับหม่อมฉันแล้วว่ายังไงก็จะเข้าพิธีกับหม่อมฉันแน่นอนพระเจ้าค่ะ" เขาพูดถูกทุกอย่างยกเว้นประโยคท้าย เจ้าตัวเขาไม่รู้เรื่องด้วยเลย
" เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็น่าจะพานางมาพบเราบ้างสิ ถึงจะเคยพบ เราก็คงจำไม่ได้ ดีไม่ดีเราจะจัดงานให้เสียวันนี้เลย" เขาอยากเจอว่าที่สะใภ้นักว่าเป็นใคร แล้วใจจริงนางได้เต็มใจหรือไม่ จะซักไซ้ไกล่ถามเสียให้รู้เรื่อง
"พระเจ้าค่ะ หม่อมฉันจะไปตามมาพบ" เขายิ้มอย่างสบายใจ คนๆนี้พูดได้ไม่ยากต่างจากอีกคนที่กีดกันไม่เอาเป็นสะใภ้ คุยเรื่องอื่นเฉไฉไปเรื่อยเมื่อพูดเรื่องนี้
.........
"บัว บัวออกมาเดินเล่นด้านนอกบ้างแล้วเหรอ" บดิศรที่เห็นหญิงอันเป็นที่รักยอมออกมาด้านนอกไม่เอาแต่หมกตัวอยู่ในตำหนักรับรอง
" เพคะ บัวอยากออกมาชมอากาศบ้าง บัวคิดดูแล้วว่าไม่ควรที่จะเอาแต่คิดเรื่องที่ผ่านไป ควรจะคิดถึงปัจจุบันนี้ดีกว่า ที่ผ่านมาที่หม่อมฉันต่อว่าพระโอรส หม่อมฉันต้องขอภัยจากพระโอรสเพคะ" หนูขอโทษออกมาเพื่อที่จะได้สบายใจขึ้นบ้าง ตอนที่ได้เห็นสายตาของเขาที่อาลัยสหายไม่ต่างกันก็รู้สึกสงสาร บางทีเขาก็อาจไม่ได้อยากทำจริงๆก็ได้
" เราไม่เคยถือโทษโกรธเคืองบัวเลยสักครั้ง ซ้ำนั่นก็เป็นความผิดของเราจริงๆที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำร้ายสหายเรา.. "เขาพูดพลางมีลมหายใจต่ำและอ่อนแรงตามมา เกือบจะดีอยู่หรอก แต่เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ก็อดใจหายไม่ได้ทุกที
"อย่าโศกเศร้าพระทัยไปเลยนะเพคะ เรื่องก็ผ่านไปแล้ว ต่อจากนี้จะเริ่มต้นใหม่อย่างไรเสียจะดีกว่า"คิดย้ำเรื่องแบบนั้นไม่ส่งผลดีเลยสักนิด
" เราพร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่... แล้วบัวพร้อมจะเริ่มต้นใหม่ไปกับเราไหม" เขาจับมือของสตรีนางนั้นสักครั้งหนึ่งให้พอใจ พร้อมส่งสายตาอ้อนวอนให้ร่วมด้วย
" หม่อมฉัน... "เรื่องนี้มันก็พูดยาก ตนก็ไม่ได้คิดอะไรกับใครเรื่องความรักเลย ครั้นจะรับปากไปก็กลัวจะผิดกับใจตัวเองเมื่อรู้ว่ารักใคร
" หม่อมฉันขอคิดดูก่อนได้ไหมเพคะ เรื่องนี้หม่อมฉันมิเคยพบเจอมาก่อน ยังไม่สามารถตัดสินใจโดยทันทีได้" เธอกล่าวไปตรงๆเช่นั้นแล้วนำมือทั้งสองข้างออกจากมือของฝ่าย
"เราจะรอวันนั้นที่บัวเปิดใจรับเรา เราคงต้องไปก่อนแล้ว หากวันใดมีเพลาว่างเราจะมาพบกับบัวอีก" เขาจากไปทำธุระของเขา ธุระที่ว่าก็ไม่พ้นเรื่องของพระเทวาวิษุวัตนักหรอก
" เราอยากให้ถึงคืนเดือนดับเร็วๆเสียที" บัวแย้มลอบติดในใจแล้วแสร้งทำทีว่าสบายใจต่อการดำเนินชีวิตในรูปแบบนี้ต่อไป
.....
" แมงมุมตัวนี้น่าจะอันตรายมากไม่ใช่เหรอ เจ้าคนนึงก็ใบ้ เจ้าอีกคนก็หนักเลยเชียวเป็นง่อย คิดจะผ่านไปง่ายๆคนปกติที่มีคาถายังไม่น่าทำได้เลย" ลีลาวดีเมื่อคิดไปมาก็เริ่มจะท้วงอีกว่าวิธีที่ปรึกษากันมันดูจะมากไปเสียหน่อย คนธรรมดาก็แทบจะไปไม่รอดนับประสาอะไรกับคนพิกานเล่า
" ถ้าหากว่าใช้ปัญญาคิดเรื่องนี้หาวิธีอื่นได้ก็เสนอมา อย่าได้เอาแต่กล่าวาจาไปเสียเปล่าเลย"สุริยะก็ไม่เข้าใจนาคีตนนี้ว่าจะมีปัญหาอะไรกันนักหนา ทางที่ดีมันก็ควรจะสามัคคีกันไม่ใช่หรอกหรือ
"เราคิดว่าวิธีนี้ดีต่อเราทั้งสาม ไม่ต้องกังวลไป" แสงสุรีย์เขียนกระดานตอบไป
ห้องสีแดงสลัวสีส้มนี้นั้นนั้นตอนแรกก็อากาศปกติดีอยู่หรอกแต่ว่าตอนนี้ความร้อนยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆเหมือนเร่งให้รีบทำการ ไม่เช่นนั้นก็สิ้นชีพเอาเสียด่านนี้
"ร้อนมากเกินไป ไม่มีเพลาอีกแล้ว คราวนี้เราจะเชื่อเจ้าก่อนก็แล้วกัน" เธอก็คิดว่าต้องทำเช่นนั้นจริงๆถ้าหากยังรักชีวิตอยู่ ผลึกแก้วสีนี้แหลมคมมากจะผ่านไปได้อย่างไรกันล่ะ
"เราขอไปก่อนเลยแล้วกัน" หลังจากที่ทั้งสามรวมพลังเบิกทางได้ชั่วคราวราวกับหนามนั้นเป็นสมุทรในตำนานที่เบิกทางให้คนข้ามไปยังอีกฝั่ง หญิงเอาแต่ใจตัวก็ขอข้ามฝากก่อนใคร เมื่อไม่มีใครว่าตนก็ไปในทันที แล้วทั้งสองก็ตามกันมา ด้วยความที่สุริยะเดินได้ลำบาก ระยะเวลาก็จะใช้นานกว่าเมื่อต่อมาคนสุดท้ายที่ตามมาก็เกือบจะถูกผลึกทิ่มแทงเสียแล้ว หากไม่มีผู้ที่ผ่านทางมาก่อนช่วยดึงตัวเธอขึ้นมา
"ขอบใจนะ" เธอตอบด้วยการใช้ลายลักษณ์อักษร ถึงจะอย่างนั้นก็ไม่ถูกใจคนช่วยเท่าไหร่นักหรอก
"ไม่ต้องมาขอบใจเรา ที่ช่วยก็เพราะเห็นว่าต้องผ่านด่านนี้ไปให้ได้ เมื่อพวกเจ้าได้ตามที่ต้องการแล้ว เราจะได้กลับวังบาดาลของเราเสียที" พูดตัดกันเสียดื้อๆแต่ว่าไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนั้นแล้วปัญหามันอยู่ที่ตัวนี้ตะหาก
"คิดจะผ่านไปยังแดนศิลาพยากรณ์ คิดดีแล้วหรือที่จะสละชีวิตเพื่อที่จะทำสิ่งนี้น่ะ"เจ้าแมงมุมยักษ์นั้นออกมายังที่แสงนั่น เขาเห็นทั้งสามกำลังทำลายใยที่เขาสร้างไว้เป็นกับดัก
" ถ้าคิดว่ามีข้าตนเดียว พวกเจ้าก็คิดผิดถนัดแล้ว" สิ้นสุดคำพูดเหล่าแมงมุมตัวเล็กก็ออกมาจากใต้ท้องของแมงมุมนั้นเป็นจำนวนมากมันเกินคาดมากมากไป พวกเขาจะรับมือกับมันได้อย่างไรกัน
-
"ไหนว่ามีแค่แมงมุมยักษ์ตัวเดียว นี่ยังจะมีตัวเล็กตัวอื่นอีกมากขนาดนี้ "นาคีเจ้าถึงกับอารมณ์ขึ้น สิ่งที่เตรียมกันมามันไม่ใช่แบบนี้ กะจะร่วมมือกันจัดการแมงมุมยักษ์เพียงตัวเดียวแท้ๆ แต่กลับพบแมงมุมขนาดเล็กที่มากันเป็นฝูง ทั้งหมดก็ต่างใช้พลังเข้าต่อต้านเจ้าแมงมุมพวกนี้ แต่เมื่อยิ่งสู้ก็ยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นๆและมากขึ้น จัดการน่ะพอจัดการได้แต่กำลังนี่สิจะไปไหวพอต่อสู้ได้อย่างไรกัน
"ข้าว่าพวกเจ้าอย่าฝืนเลยจะดีกว่า ยอมเสียง่ายๆจะได้ผ่านไปด้วยดี" แมงมุมยักษ์กล่าวขึ้นมาเมื่อรู้สึกว่าอีกฝั่งน่าจะเสียเปรียบอยู่มาก
"ใครจะไปยอมได้ล่ะ"ยิ่งสู้ก็ยิ่งแย่ มวลมหาเหล่าแมงมุมนั้นจากเดิมที่เคยเคลื่อนที่ไม่เร็วมากตอนนี้ก็ได้เคลื่อนที่รวดเร็ว
"พวกเจ้านี่ช่างดื้อด้านกันเสียจริง เพราะเช่นนี้ใครก็ตามที่มาผ่านด่านเจ็บปางตายหรือไม่ก็สิ้นชีพอยู่เรื่อยไป" เขามองดูเหล่าสมุนทั้งหมดที่ตอนนี้ใช้ความเร็วเอาตัวมาไต่ขึ้นร่างกายทั้งสามได้สำเร็จ ตอนนี้ราวกับว่าร่างกายของทั้งสามถูกฉาบไปด้วยดินเหนียวที่พร้อมที่จะก่ออิฐปิดตายต่างกันตรงที่ว่าที่กำลังทับร่างก่อตัวอยู่นี่คือแมงมุม มันจะไม่เป็นอย่างนี้เลยถ้าพวกเขาไม่ถูกกัดจนร่างกายชาไปหมดเหลือแต่บริเวณใบหน้าที่ยังไม่ถูกครอบครองเท่านั้นที่ไม่อาการชาในตอนนี้
"นี่เราต้องมาตายเพราะช่วยเหลือพวกเจ้านี่นะ มันมากเกินไปแล้ว ทั้งหมดมันก็เป็นเพราพวกเจ้าที่สองคน"ลีลาวดีในห้วงสุดท้ายก็อดที่จะต่อว่าไม่ได้ อุตส่าห์ใช้ชีวิตอย่างดีมาจนถึงตอนนี้แต่ต้องมาตายเพราะคนอื่นที่ตนก็ไม่ได้อยากจะช่วยตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ แสงสุรีย์ที่ได้ยินก็อยากจะกล่าวบางอย่างที่จะช่วยในสถานการณ์นี้ได้แต่เสียงที่ไม่มีตั้งแต่แรกถึงจะใช้ปากขยับกล่าวคำขนาดไหนก็ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา สุริยะที่มองได้เพียงหางตานั้นก็พอจับใจความได้จากการอ่านปากของอีกคนหนึ่งคร่าวๆและต้องนึกคิดตัดสินใจก่อนจะพูดออกไป
"พวกเราทั้งสามขออโหสิที่ทำร้ายทุกท่านที่ปกป้องหนทางนี้ไว้ พวกเราไม่ได้เจตนาที่จะทำร้ายทุกท่านในที่นี้ ที่ทำไปเพราะจำเป็นจะต้องผ่านทางเพื่อกระทำการอันสมควรแก่การดำรงธรรมและช่วยเหลือสรพชีวิตในอนาคต.." สิ้นสุดคำกล่าวก็ถูกกลืนกินไปทั้งตัว ตอนนี้ทั้งสามได้กลายเป็นรูปปั้นที่มีแมงมุมล้อมรอบตั้งแต่หัวจรดเท้าซ้ำยังแข็งราวกับหินผา เสียงหายใจพลางส่ายหัวของแมงมุมนั้นที่กำลังมองทั้งสามด้วยความเหนื่อยใจ
.......
"ติณกฤตหลานลุง เจ้ามาพอดี แน่ใจแล้วนะว่าพระบิดาเจ้ามิได้รู้เรื่องนี้"ท้าววัศพลกล่าวถามนาคาต่างเมืองเพื่อความแน่ใจ ก็พี่เขาออกจะอยู่เคียงข้างพระเทวรา