ยินดีต้อนรับสู่บ้านอบอุ่นของคนรัก บอย สพล ชนวีร์

:::FICTION ZONE :::นวนิยาย มุมนักเขียน => มุมนักเขียน => ข้อความที่เริ่มโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 26, 2015, 11:38:38 PM

หัวข้อ: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 26, 2015, 11:38:38 PM
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเกราะกายสิทธิ์กับสังวาลย์มณีมาอยู่ในเรื่องเดียวกัน ........
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 27, 2015, 12:14:25 AM
ก่อนอื่นก็ขอฝากเรื่องนี้ด้วยนะคะ  เป็นนักแต่งมือใหม่แฮะๆ  ถ้ามีการใช้ภาษาผิดก็ขออภัยด้วยนะคะ มีอะไรแนะนำติเตียนได้คะ

แนะนำตัวละครหลัก
ฝั่งเกราะกายสิทธิ์= สุริยะ/ จันทราภา/ อังคาส/พุทธรัตน์/ภูมินทร์/ประกายพฤกษ์/ ศนิวาร
ฝั่งสังวาลย์มณี=แสงสุรีย์/จันทลักษณ์/ปัทมาสน์/เพชรราหู/จินดา/ศุภลักษณ์/เมธาวี
ตัวร้าย= เทพวิษุวัติ/ อัคนิน/บดิศร/ฉันทนา/ ลีลาวดี

และที่แน่ๆขาดไม่ได้เลยก็คือ ตุ้บเท่งกับจั๊กกะแหล่น
เนื้อเรื่องจะเป็นเช่นไรนั้นต้องติดตาม!!
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 27, 2015, 11:05:06 AM
ณ เมืองรัตนบุรี พระมเหสีฝ่ายขวาได้ประสูติกาพระโอรสซึ่งใช้เวลานานถึง7วัน7คืน ตลอด7 วัน7คืนนี้ได้เกิดเหตุฝนตกหนักมรสุมโหมกระหน่ำเมืองรัตนบุรี ทำความเสียหายเป็นอย่างมาก แต่ที่น่าตกใจนั่นก็คือพระโอรสที่ออกมานั่นพระหัตถ์หงิกงอพรโอษฐ์บิดเบี้ยวน่าเวทนายิ่ง พระราชาก็ทรงกริ้วเป็นอย่างมากแต่โหราได้ห้ามไว้พร้อมบอกว่าในกาลอันหน้าพระโอรสจะทำคุณยิ่งใหญ่ให้แก่เมืองอย่างแน่แท้จึงไม่ไดัทำโทษอันใด.  จนเวลาผ่านไป 9 ปี  พระโอรสได้เจริญพระชันษาขึ้น ก็ยิ่งน่าเวทนาจะไปไหนมาไหนก็ลำบากซ้ำยังไม่มีพระสหายสักคนเดียว แล้ววันไหนโชคร้ายก็จะมีพระโอรสนามว่า"บดิศร" มากลั่นแกล้งสารพัด วันนี้ก็คงโชคร้ายอีกเช่นกัน
"ไอ้ง่อยอยู่ที่ไหนออกมาเดี๋ยวนี้นะ"
"มีอะไรกับเราอีกบดิศร " พระโอรสพูดด้วยความยากลำบาก
" เจ้ามันเป็นไอ้ง่อยที่น่าแกลังที่สุดในชีวิตข้า ฮะๆฮ่า" พระโอรสบดิสรได้ผลักพระโอรสคนโตจนล้มลงแล้วเอาเท้าเหยียบที่กลางอก
"เจ้าจะทำอะไรลูกเรา" พระมเหสีสไบทองเข้ามา รีบตรงไปที่พระโอรส
" ทำไมเจ้าต้องรังแกลูกของเราด้วย ลูกเราผิดอะไร"ทรงเข้ากอดพระโอรสที่กำลังร้องด้วยความเจ็บปวด
" พระมเหสีไสบทองก็น่าจะรู้ดีนะเพคะว่าพระโอรสทรงเป็นอย่างไร ตั้งแต่ประสูติจนบัดนี้บ้านเมืองแห้งแล้งไปหมดไม่ใช่หรอกหรือเพคะ" พระมเหสีสไบแก้วพระมารดาของพระโอรสบดิสรเดินเข้ามาพูด
"สไบแก้วทำไมเจ้าว่าหลานแบบนี้ได้"
" ก็คือความจริงนี่เพคะ ออกไปกันเถอะบดิศรแม่ว่าอยู่ที่นี่นานๆจะติดอะไรที่ไม่ดีไปก็ได้นะ"
" พระเจ้าค่ะเสด็จแม่" ทั้งสองพระองค์ทรงจากไปพร้อมทิ้งคำเสียดสีไว้ในใจของพระโอรส
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 27, 2015, 11:50:48 AM
พระราชาเกิดระแหงแคลงใจว่าจนป่านนี้แล้วเหตุุใดปัญหาบ้านเมืองแห้งแล้งจึงมีมายาวนานเช่นนี้ จึงได้เรียกโหรมาเข้าเฝ้าเพื่อไต่ถามและทำนายดวงชะตา
" ท่านโหรจนป่านนี้แล้ว บ้านเมืองยังแห้งแล้งอยู่เพราะเหตุใดกัน  ดวงชะตาบ้านเมืองเป็นอย่างไรทำไมถึงโชคร้ายเช่นนี้"
" เหตุนี้เป็นความผิดพลาดของโหรคนก่อนพระเจ้าค่ะ"
" ผิดพลาดอะไร"
"ที่ทำนายว่าพระโอรสจะทำคุณอันยิ่งใหญ่แก่บ้านเมือง แต่จึงๆแล้วดวงชะตาของพระโอรสนี่เองพระเจ้าค่ะที่ทำให้บ้านเมืองเป็นเช่นนี้"
" เป็นความจริงหรือ"
" จริงแท้แน่นอนพะยะค่ะ"
"เจ้าทั้งสองออกไปจากนอกเมือง อย่าได้กลับมาอีก" ทรงมองมายังพระมเหสีสไบทองและพระโอรส
" องค์เหนือหัวเพคะ สุริยะไม่ได้ทำอะไรผิดนะเพคะ ทรงไตร่ตรองอีกทีด้วยเพคะ"
" เราไตร่ตรองดีแล้วไปเถอะ"
"เสด็จพ่อพะยะค่ะ"พระโอรสพูดด้วยความยากลำบากในน้ำเสียงมีปนสะอื้น
" ข้าบอกให้พวกเจ้าไปก็ไปสิ!!!!!!"
"องค์เหนือหัว"
" ทหารเอาสองคนนี้ออกไปอย่าให้ข้าหน้าอีก!!!!"
"พระเจ้าค่ะ" ทหารรับคำสั่งเอาทั้งสองพระองค์ออกจากนอกวังไป
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 27, 2015, 12:55:55 PM
พระมเหสีสไบแก้วได้สั่งให้อำมาตย์ตามไปสังหารทั้งสองพระองค์ในป่า ได้เกิดการไล่ล่ากันจนสุริยะไปต่อไม่ไหวได้ล้มลงไปแล้วอำมาตย์ทั้ง2ก็ตามมาทัน
" พวกท่านอย่าทำอะไรเรากับลูกเลย ปล่อยเรากับลูกไปเถอะนะ"สไบทองอ้อนวอนขอร้องอำมาตย์ทั้งสอง
" ถ้าไม่ทำข้าก็หัวขาดหละสิ " อำมาตยง้างดาบขึ้นจะฟัน  จากนั้นเองก็มีตัวประหลาดมากระโดดถีบอำมาตย์ทั้งสองเข้าอย่างจัง แล้วก็ได้พาทั้งสองพระองค์เข้ามาในถ้ำ
"พวกเจ้าไม่เป็นอะไรแล้วนะ" ตัวประหลาดท่าทางเหมือนเป็นหัวหน้าพูดขึ้น
" พวกท่านเป็นใครกัน" สไบทองถามด้วยความตื่นตระหนกตกใจ
"พวกข้าคือราชสีห์ ข้าอยู่มาหลายปีเพื่อรอพวกเจ้า "
" ราชสีห์หรือ แล้วพวกท่านรอพวกเราทำไมกัน"
" ข้าก็จะให้สิ่งวิเศษสิ่งหนึ่งแก่ลูกเจ้า มันคือกำหนดของฟ้าดิน. " จากนั้นก็ไปนำของวิเศษออกมา
" สิ่งนี้คือเกราะกายสิทธิ์"
" เกราะกายสิทธิ์!!"
" ให้ลูกเจ้าสวมสิ" จากนั้นสไบทองก็ได้นำเกราะมาสวมให้สุริยะก็ได้เกิดอัศจรรย์ สุริยะไม่มีรูปร่างพิการเข็ญใจกลายเป็นเด็กที่มีสง่าราศีน่าเกรงขาม
"เสด็จแม่"
" สุริยะ ลูกแม่ เจ้าไม่เป็นเหมือนก่อนแล้ว" สไบเข้ากอดลูกด้วยด้วยความปลื้มปิติ
" เจ้าจะไม่ได้มีลูกคนเดียวแล้วเจ้าจะมีลูก7คนหมุนเวียนพลัดเปลี่ยนกันไป อ้อพวกเจ้าควรไปที่ที่ดีกว่านี้เถอะ"
" ขอบคุณท่านราชสีห์"
"ขอบคุณท่านลุงราชสีห์"
"พ่อ ข้าขอไปกับเกราะกายสิทธิ์นะ"
"ไม่ได้"
"ทำไมจะไม่ได้เกราะนี่เป็นของเรานะ"
"เจ้าไปก็มีแต่ปัญหา พวกเจ้าไปเถอะนะ"
"ขอลาท่านราชสีห์"
" ขอลาท่านลุงราชสีห์"
"โชคดี'.    ทั้งสองเดินทางในป่าดงพรงไพรกันต่อเพื่อไปพึ่งบารมีท้าวทิศพล. จนถึงเวลารุ่งขึ้นเป็นอีกวันปรากฎเด็กน่าตาน่ารัก
"ลูกมีนามว่าจันทราภาเพคะ"
"นามของเจ้าเพราะจริงๆเลยนะ"สไบทองยิ้มแล้วลูบหัวลูกด้วยความรักและเอ็นดู ในขณะที่เดินทางไปก็เจอสิ่งหนึ่งกระโดดตัดหน้าเข้า


หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 27, 2015, 06:01:58 PM
"จ๊ะเอ๋ แฮ่!!"  ปรากฏร่างอันคุ้นเคยขึ้น
" เจ้ามาได้ยังไงกันพ่อเจ้าไม่ให้มาไม่ใช่เหรอ"
"พ่อข้าไม่ให้มา ข้าก็หนีมาได้ ที่สำคัญเกราะนี่ก็เป็นของข้าด้วย"
"เกราะนี่เป็นของลูกเรา ฟ้าดินก็กำหนดมาให้  เจ้าไม่มีสิทธิ์"
"เจ้านี่ ฮื่อ!!" ง้างมือขึ้น
"อย่าทำอะไรเสด็จแม่นะ!!!"
" คิดว่าเจ้าเก่งนักหรือไงกัน"
"เก่งไม่เก่งเราไม่รู้แต่ทำร้ายเสด็จแม่เราไม่ยอม"
"ฮ่าๆฮะฮ่ะ อะอะไรเนี่ย"  แล้วก็เกิดแผ่นดินก็เกิดสั่นไหว จนภูเขาเริ่มทลายลงมา
"เกิดอะไรขึ้น"
"รีบหนีก่อนเถอะเพคะ"จันทราภาพาสไบทองหนีเหล่าภูเขาที่ถล่มถลายพังลงมา
"ช่วยข้าด้วย!!!" ตุ๊บเท่งขอความช่วยเหลือหลังจากโดนหินและก้อนดินทับร่างไว้  จากนั้นจันทราภาก็ได้เข้าไปช่วยจนออกมาได้ แต่แล้วก็เจอกับหิ่วห้อยยักษ์ตาสีแดงก่ำออกมา
" หนีเร็ว!!!!" ทั้งสามได้วิ่งหนีจนสไบทองล้มลงไปต่อไม่ไหว
" เสด็จแม่"
" จันทราภาหนีไป อย่าห่วงแม่"
" ไม่เพคะ" จนกระทั่งหิ่งห้อยตามมาทัน
"เราจะไม่ยอมให้เจ้าตามล่าเราอีกแล้ว"จันทราภาลุกขึ้นประจันหน้ากับหิ่งห้อยยักษ์ ทันใดนั้นก็เกิดแสงสีบุษราคัมประกายออกมาสาดส่องหิ่งห้อยยักษ์  จนตกลงมานอนกับพื้น จันทราภาเข้ามาดูและลูบที่ตัวหิ่งห้อย
"จันทราภาระวังนะ"
"เพคะ"
"โอย~"  มีเสียงดังขึ้นมาจากหิ่งห้อย
"เป็นอะไรไหม"
" นี่เราเป็นอะไรไปนี่"
"หน๋อยๆ เจ้าอย่ามาทำไขสือหน่อยเลย เจ้าจะฆ่าพวกเราอยู่ทนโธ่"
"เกราะกายสิทธิ์สุดท้ายก็เจอแล้วผู้สวมใส่เกราะกายสิทธิ์"
" มีอะไรเหรอ"
" ขอติดตามพระธิดาด้วยได้ไหมพระเจ้าค่ะ"
" เจ้ารู้ด้วยเหรอว่าลูกเราเป็นใคร"
" รู้พระเจ้าค่ะพระมเหสีสไบทอง"
" ขอเรียกพี่หิ่งห้อยได้ไหมจ๊ะ"
"ได้อยู่แล้วพระเจ้าค่ะ"
" นี่ก็เย็นแล้ว เราไปหาที่พักกันดีกว่า"
"เพคะเสด็จแม่"
" หิ่งห้อยจะพาไปพระเจ้าค่ะ" เมื่อถึงที่พักก็ไต่ถามว่าเหตุใดถึงเป็นหิ่งห้อยร้ายไปได้ หิ่งห้อยก็ได้เล่าให้ฟัง จนถึงยามกลางคืนทุกคนก็หลับกันหมด
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 27, 2015, 10:00:46 PM
ในวันรุ่งขึ้นทั้งสองพระองค์และหิ่งห้อยยักษ์ยังหลับอยู่  ตุ้บเท่งก็ได้ตื่นก่อนแล้ว
"เกราะกายสิทธิ์ถ้าขืนยังอยู่กับมันข้าก็ไม่ได้ครอบครองกันพอดี ตอนนี้หละ" ตุ้บเท่งได้ลอบเข้าจับเกราะกายสิทธิ์กำลังจะดึงออกก็มีมือมาจับที่มือของตุ้บเท่ง แล้วก็จับมือของตุ้บเท่งไปตีหน้าเข้าอย่างจัง
"เจ้า กล้าดียังไงขโมยเกราะกายสิทธิ์!!!!" 
" เกิดอะไรขึ้น"
" ก็ไอ้เจ้าตัวประหลาดนี่/สิพระเจ้าค่ะ จะขโมยเกราะกายสิทธิ์จากลูกพระเจ้าค่ะเสด็จแม่"
" โธ่ๆ ข้าก็แค่ดูความเรียบร้อยให้เฉยๆ"
"เจ้าโกหก!!!"
" ลูกแม่อย่าถือสาเขาเลยนะ มาหาแม่เถอะ"
" พระเจ้าค่ะเสด็จแม่"
" เจ้าชื่ออะไรไหนบอกแม่มาสิ"
"ชื่ออังคาสพระเจ้าค่ะเสด็จแม่"
" ดีจริงๆ"
" เสด็จแม่ไม่ต้องลำบากหรอกพระเจ้าค่ะ เดี๋ยวลูกจะไปเก็บไม้ผลและนำน้ำมาถวายนะพระเจ้าคะ"
" พี่หิ่งห้อยดูแลเสด็จแม่ดีๆนะ"
" พระเจ้าค่ะ พระโอรส"
" อังคาสลูกไปคนเดียวมันอันตรายนะ"
" ไม่เป็นไรพระเจ้าค่ะ ลูกมีเกราะคุ้มกายอยู่ ลูกไปนะพระเจ้าค่ะ"
" ระวังตัวดีๆนะอังคาส"  อังคาสได้ไปหาไม้พืชไม้ผลในป่าเพียงลำพังจนไปที่น้ำเพื่อนำน้ำใส่กระบอกไม้ไผ่ไปให้สไบทองผู้เป็นแม่
" เจ้ามีสิทธิอะไรมาตักน้ำที่นี่!!!". อังคาสหันไปมองตามเสียง
" ก็ที่นี่ใครจะมาใช้ก็ไม่ผิด" อังคาสเดินมาประจันหน้ากับเด็กหญิงที่มีอายุไล่เลี่ยกัน  แล้วก็เห็นหน้าตาเด็กคนนี้ที่คิ้วเป็นหยักไม่เหมือนคนทั่วๆไป แล้วก็ยังสวมใส่สังวาลย์มณีสีชมพูอีกด้วย
" แต่ที่นี่เป็นที่ของข้าถิ่นข้าถ้าไม่ได้รับอนุญาตก็ห้ามตัก!!!"
" เจ้านี่เป็นใครมาแต่ไหน แม่น้ำนี่เจ้าสร้างนี่ไง แหล่งน้ำที่ไหนธรรมชาติก็สร้างทัังนั้น"
" เจ้า!!!" เด็กหญิงชี้หน้าอย่างสุดจะทน จากนั้นก็กระทืบเท้าอย่างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ว
" ข้าเป็นยักษ์  วันนี้ข้าจะกินเจ้าให้ไม่เหลือเลย!!!!!" จากนั้นก็เนรมิตรตัวเองให้ใหญ่ขึ้น จับตัวอังคาสที่ตะลึงงันอยู่ขึ้นมาหมายจะกิน แต่อังศาสก็ใช้พระขรรค์ออกมาจะสู้กับยักษ์เด็กตนนี้  ทันใดนั้นหิ่งห้อยยักษ์ก็บินมารับอังคาส ยักษ์น้อยก็ไล่เอามือคว้าให้วุ่น
" พระธิดาปัทมาสน์หยุดนะเพคะ"
" บัวแย้มเจ้าห้ามเราทำไม"
" อย่าทำร้ายชีวิตผู้อื่นเลยนะเพคะ จะเป็นบาปติดตัวได้นะเพคะ"
" ก็ได้ ข้าจะปล่อยให้เจ้าตักน้ำไปก็ได้" ปัทมาสน์พูดเสร็จก็กลับสู่ร่างเท่าเดิม แล้วมองไปที่อังคาสแล้วสังเกตุเก
ห็น
" เกราะกายสิทธิ์เหรอ อืมไว้คราวหน้าดีกว่า เราไปกันเถอะบัวแย้ม"
" เพคะ"
" ขอบใจมากนะหนูบัว" หิ่งห้อยขอบใจด้วยเสียงอันเป็นไมตรี
" จ๊ะ"  ปัทมาสนน์ก็จูงมือไปทางอื่นจนลับตา อังคาสเห็นบัวแย้มก็สงสัยแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก หิ่งห้อยพาอังคาสกลับไปหาสไบทองทานไม้ผล แล้วเดินทางต่อไป


หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 28, 2015, 11:36:39 AM
ทางฝั่งปัทมาสน์ก็จูงมือบัวแย้มมาส่งที่กระท่อมกลางป่า
" บัวแย้ม เราไปก่อนนะว่างๆแล้วจะมาหาใหม่"
"เพคะ พระธิดา" ปัทมาสน์ก็กลับไปยังเมืองคีรีมาศ เมืองของพระบิดา
" เสด็จพ่อ  ลูกกลับมาแล้วเพคะ" ปัทมาสน์เข้ามาหาชายมนุษย์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นกษัตริย์เมืองคีรีมาศที่กำลังเป่าปี่บรรเลงเพลงที่ฟังแล้วน่าสลดใจยิ่ง ปัทมาสน์เห็นท่าไม่ดีจึงรีบแย่งปี่ออกจากพระบิดา
" อีกแล้วนะเพคะเสด็จพ่อเป่าปี่นี่อีกแล้ว ทรงเศร้าก็อย่าเป่าปี่เลยเพคะ รังแต่จะให้ตรอมใจตายปล่าวๆ"
" เสด็จแม่เจ้าเสีย พ่อจะมีความสุขได้หรือ"
"ได้สิเพคะ ราษฎรยังต้องการพระองค์อยู่นะ เพคะ"
 " นั่นสินะ เราเป็นกษัตริย์นี่ จะทิ้งราษฎรได้อย่างไร"
" งั้นลูกขอเก็บปี่นะเพคะเสด็จพ่อ" ว่าแล้วก็รีบวิ่งนำปี่ไปเก็บในที่ลับตาทันทีไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหนนอกจากปัทมาสน์ตนเดียวเท่านั้น พอจะกลับตำหนักก็ไปชนกับเด็กคนหนึ่งเข้า
" โอ้ย!!! เดินยังไงไม่มองทิศมองทาง มาชนข้า"
" คิดว่าข้าอยากจะชนเจ้านักสิไอ้ลูกนอกไส้"
" ใครกันแน่ลูกนอกไส้ พูดให้มันดีๆนะ!!"
" เจ้าไง เสด็จพ่อเป็นมนุษย์ แม่เจ้าก็เป็นมนุษย์ แต่เจ้าเป็นยักษ์"
"  ข้าเป็นยักษ์แล้วยังไง ยังไงข้าก็เป็นลูกเสด็จพ่อ ไม่เหมือนเจ้าลูกแท้ๆรึปล่าวก็ไม่รู้!!" แล้วปัทมาสน์ก็ผลักให้พระโอรสต่างพระมารดาหลีกทางกลับไปสู่ตำหนัก หวนคิดเรื่องต่างๆในหัวเกี่ยวกับชาติกำเนิดของตนแต่แล้วก็ปลงเพราะคิดได้ว่าล้วนแต่สวรรค์กำหนดว่าใครเป็นใครเมื่อสวมใส่สังวาลย์มากกว่า จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนหลับไปนาน.....
วันรุ่งขึ้นแล้วแสงปรากฎสาดส่องมายังสังวาลย์ที่สวมใส่เปลี่ยนจากสีชมพูเป็นสีเขียวมรกตสดใสพระธิดายักษ์ก็เปลี่ยนไปเป็นพระโอรสท่าทางนิ่งแต่แฝงด้วยความคมเมื่อเห็น   เช่นเดียวกันกับเกราะกายสิทธิ์ที่เปลี่ยนจากพระโอรสเป็นพระธิดาน่าตาจิ้มริ้มพริ้มพราวน่ารักยิ่ง ทั้งสองสิ่งดำเนินชีวิตอย่างคู่ขนานกันไป อีกวันเปลี่ยนคนสลับกันไปมาหมุนเวียนจนครบกลับมาที่จุดเริ่มต้นคนแรกอีกครั้ง บัดนี้สุริยะกับสไบทองได้มาถึงเมืองทิศพลเมืองแห่งพระบิดาของสไบทองทัังคู่ได้ไปเข้าเฝ้าท้าวนวดล
" สไบทองเหตุใดเจ้ากับลูกถึงได้ระเหเร่รอนมาถึงที่นี่ได้"
" เป็นเพราะคำทำนายใส่ร้ายสุริยะจึงถูกขับออกจากเมืองเพคะเสด็จพ่อ"
" พระสวามีเจ้าก็เชื่อหรือ สไบแก้วไม่ช่วยแก้ต่างเจ้าเลยเหรอไง"
"ไม่ได้ช่วยเพคะ"
" หูเบาที่สุด!! เรื่องแค่นี้ก็เชื่อเหรอ ชักจะลองดีกับเราซะแล้ว!!"
" เสด็จพ่อพระทัยเย็นก่อนเพคะ อย่าได้บาดหมางกันเลย ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกันอีกเลยเพคะ"
" ได้  ดีเราจะเลี้ยงหลานเราให้ดีไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับเมืองรัตนบุรีอีก!!". พออยู่ได้สักพักก็มีข่าวคราวของเมืองรัตนบุรีเข้ามาถึงเมืองทิศพล
 
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 28, 2015, 04:26:43 PM
" เกิดเรื่องขึ้นแล้วพระเจ้าค่ะ พระโอรสภูมินทร์"
" เรื่องอะไรหรือจ๊ะพี่หิ่งห้อย"
" ที่เมืองรัตนบุรี องค์เหนือหัวพีรเชษฐ์โดนครอบงำตอนนี้บ้านเมืองระส่ำระส่ายไปหมดเลยพระเจ้าคะ"
"เสด็จพ่อโดนใครครอบงำจ๊ะพี่หิ่งห้อย!!!!"
" ปุโรหิตและพระโอรสบดิศรแห่งรัตนบุรีพระเจ้าค่ะ" เมื่อได้ความว่าเช่นนั้นพระโอรสก็ไม่รอช้า รีบไปหาสไบทอง เล่าเรื่องให้ฟัง และได้ขอไปช่วยท้าวพีรเชษฐ์ด้วย ด้วยความที่สไบทองสองจิตสองใจว่าจะให้พระโอรสไปช่วยดีหรือไม่ก็ได้ไปปรึกษากับพระมเหสีอมรินทร์ผู้เป็นพระมารดา พระมเหสีอมรินทร์ก็ให้คิดตัดสินใจระหว่างรักกับชังสิ่งไหนมีค่ามากกว่าในจิตใจก็เลือกสิ่งนั้น สไบทองเกิดความสับสนขึ้นมาสุดท้ายแล้วก็ใจอ่อนยอมให้พระโอรสไปช่วยเหลือพระบิดา โดยมีตุ้บเท่งกับหิ่งห้อยยักษ์ติดตามไปด้วย แต่เนื่องจากท้าวนวดลไม่ยอมให้ไป จึงต้องหาวิธีหนีออกมาจนสำเร็จให้สไบทองอยู่ที่เมืองทิศพลก่อนเพื่อความปลอดภัย
ทั้งหมดได้เร่งรีบไปเมืองรัตนบุรีไม่ได้พัก2วัน2คืน ก็ได้เดินทางไปถึงเมืองรัตนบุรี ไม่เห็นผู้คนแต่ยังแน่ใจว่ามีคนอยู่  ศนิวารมุ่งหน้าเข้าวังเพื่อไปหาท้าวพีรเชษฐ์ผู้เป็นพระบิดาแต่ก็มีกับดักตกลงมากุมตัวพระโอรสศนิวารเอาไว้  ตุ้บเท่งก็บอกว่าจะช่วยแต่ต้องแลกด้วยเกราะกายสิทธ์ถึงจะช่วย พระโอรสก็ตกลงว่าจะให้เมื่อหมดเรื่องแล้ว ตุ้บเท่งก็ได้ใช้กรงเล็บข่วนตัดบ่วงจนขาด
" ที่นี่มีกับดัก อันตรายจริงๆ ต้องระวังตัวให้มากว่านี้"  เดินเข้าไปก็พบกับชายผู้หนึ่งนั่งอยู่ตั่งท่าทางเลื่อนลอย ศนิวารจึงเข้าไปดูใกล้ๆพร้อมกับหิ่งห้อย โดยให้ตุ้บเท่งรอดูอยู่ข้างนอก

หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 28, 2015, 07:50:35 PM
" องค์เหนือหัวพระเจ้าค่ะ องค์เหนือหัว"
" เสด็จพ่อนี่เสด็จพ่อหรือจ๊ะพี่หิ่งห้อย"
" ใช่แล้วพระเจ้าค่ะ พระโอรส" ศนิวารเข้าไปหาท้าวพีรเชษฐ์ แต่แล้วก็ถูกจับตัวได้ พระโอรสคิดได้ว่ามีเกราะกายสิทธิ์จึงได้ปล่อยพลังออกมาส่องแสงสีม่วงไปทั่ววัง แล้วพาท้าวพีรเชษฐ์หนีออกมาได้  แต่หารู้ไม่ว่าเป็นแผนยึดเมืองรัตนบุรี แต่อะไรจะสำคัญเท่าชีวิตของพระบิดาผู้บังเกิดเกล้า ศนิวารบอกให้หิ่งห้อยเร่งความเร็วเพื่อพาพีรเชษฐ์ไปยังเมืองทิศพลให้ถึงที่โดยเร็วเพื่อความปลอดภัยโดยที่พีรเชษฐ์สติยังเลื่อนลอยไม่รับรู้อะไรเลยสักอย่างเดียว
ในขณะเดียวกันกษัตริย์เมืองคีรีมาศก็เดินทางมาเยี่ยมเยือนเมืองทิศพลตามประสาเมืองที่มีไมตรีต่อกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรโดยมีพระธิดาตามเสด็จมาด้วย การที่มีกษัตริย์มาเยือนท้าวนวดลจึงไม่มีเวลามาหาพระธิดาและพระนัดดาของตนเองเลยไม่รู้ว่าพระนัดดาหนีไปช่วยพีรเชษฐ์ผู้เป็นพระบิดาที่เมืองรัตนบุรี ต่อมาในวันรุ่งขึ้นพระโอรสสุริยะก็กลับมาถึงทันเวลา แต่ต้องซ่อนพีรเชษฐ์ไว้ก่อน ท้าวนวดลมาหาถึงที่ตำหนัก
"สุริยะหลานตา วันนีช่วยพาพระธิดาต่างเมืองชมเมืองต่อทีนะ"
" ได้พระเจ้าคะ"
" ปะ ไปกับตา" หลังจากที่ท้าวนวดลออกไป สไบทองก็ไปหาพีรเชษฐ์มองด้วยความสงสารและรู้สึกเห็นใจพีรเชษฐ์อย่างมากที่สติเลื่อนลอย ยังต้องเสียเมืองไปอีก...


หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 29, 2015, 02:30:07 PM
สุริยะไปกับท้าวนวดลเพื่อพบกับแสงสุรีย์ หลังจากเจอกันก็พาไปชมเมืองให้ทั่วจากนั้นก็พาส่งกลับตำหนักที่รองรับ
" สุริยะ". สุริยะหันมามองตามเสียงของแสงสุรีย์
" มีอะไรหรือปล่าว"
" คราวหน้าชมเมืองกันอีกนะ" แสงสุรีย์ส่งยิ้มอันมีไมตรีจิตให้สุริยะ
" ได้ เราสัญญา" สุริยะก็ยิ้มตอบ จากนั้นก็กลับไปยังตำหนัก ตุ้บเท่งก็กระโดดเข้ามาตัดหน้า
" พระโอรส. ไหนบอกหมดเรื่องหมดราวแล้วจะให้เกราะสิทธิ์แก่ข้าไง ป่านนี้ยังไม่ให้อีก"
" เราไม่ได้สัญญาสักหน่อยนี่ หรือว่าเราสัญญาตอนไหน"
"ก็เมื่อวานนี้ไง พระโอรสศนิวารให้คำสัญญากับข้า"
" แล้วเราชื่ออะไร"
" พระโอรสสุริยะ"
" นั่นหละ ศนิวารตะหากที่ให้สัญญาแก่เจ้า จะมาบอกว่าเราให้สัญญาแก่เจ้าไม่ได้"
" เอ๊ะ!! "
" เราว่ารอถึงวันที่ศนิวารปรากฎตัวก่อนดีกว่าแล้วไปคุยเรื่องนี้กับเขา"
" ก็ได้ๆ ข้ายอมก็ได้ ข้าขอตัวก่อนนะ"
" จะไปไหน? เหรอตุ้บเท่ง"
" เรียกข้าว่าสุดหล่อสิเหมาะกับข้า ออแล้วข้าจะไปไหนมันก็เป็นเรื่องของข้า"
" ก็ได้สุดหล่อก็สุดหล่อ". ทั้งสองแยกย้ายกัน สุริยะเดินเข้าไปในตำหนักแต่ก็หยุดอยู่ที่หน้าประตูมองเห็นพระมารดาสไบทองกำลังป้อนข้าวป้อนน้ำให้พีรเชษฐ์ผู้ที่สติเลื่อนลอย สุริยะมีความรู้สึกเห็นใจทั้งพระมารดาสไบทองและพระบิดาพีรเชษฐ์ที่ต้องเป็นเช่นนี้  สุริยะตัดสินใจเดินเข้าไปหาแล้วนั่งข้างล่าง แล้วเรียกพระบิดา
" เสด็จพ่อพระเจ้าคะ" พีรเชษฐ์มีท่าทางเลื่อนลอยไม่รับรู้เสียงเรียก
" เสด็จพ่อพระเจ้าค่ะ เสด็จพ่อ" แต่ก็ยังไม่มีการตอบสนองใดๆเกิดขึ้นเลย
" สุริยะอย่าได้เรียกเขาเลย เรียกไปก็เท่านั้นเขาไม่รับรู้อะไรอีก" แต่แล้วก็เหมือนจะมีปฏิหารเกิดขึ้น พีรเชษฐ์หันมาทางสุริยะ
" เสด็จพ่อรู้สึกพระองค์แล้วหรือพระเจ้าค่ะ" พระโอรสถามด้วยน้ำเสียงที่ดีใจเหลือล้น
" สุริยะลูกพ่อ"
" ไปหาเสด็จพ่อสิสุริยะ" สุริยะเข้าไปหาพีรเชษฐ์  พีรเชษฐ์ลูบศีรษะของสุริยะ และลูบที่หลังของสุริยะ สุริยะมองตาพระบิดา และพระบิดาก็มองตาสุริยะ ทันใดนั้นเอง!!!
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 29, 2015, 03:50:13 PM
พีรเชษฐ์ก็ได้ดึงเกราะกายสิทธิ์ออกจากตัวสุริยะ สุริยะกลับไปเป็นร่างไม่สมประกอบอีกครั้ง
" ฮ่าๆๆๆ" พระบิดากับพระมารดาหัวเราะลั่น
" เสด็จพ่อ เสด็จแม่พระเจ้าค่ะทำไม.." พระโรสพูดด้วยความยากลำบากก่อนจะถามให้จบคำ
" ก็พวกเราไม่ใช่พ่อแม่ของเจ้าหละสิ ฮ่าๆ" ทั้งสองเปลี่ยนไปจากเดิมกลายเป็นชายหนุ่มที่ค่อนข้างจะไม่เป็นคนดีสักเท่าไหร่นัก
" หน้าโง่จริงๆแค่รู้สึกอะไรนิดหน่อยก็หลงเชื่อไปหมด"
"ใช่หน้าโง่จริงๆ"
" เสด็จพ่อเสด็จแม่เราอยู่ที่ไหน"
" พ่อแม่เจ้าก็น่าจะอยู่ที่ไหนสักแห่งที่หละ ฮ่าๆ"
" เจ้าเอาเสด็จพ่อเสด็จพ่อไว้ที่ไหนแล้วเจ้าเอาเกราะกายสิทธิ์ไปทำไม"
" ก็เกราะกายสิทธิ์นี่เป็นของเทพวิษุวัติน่ะสิ เราก็แค่มาเอาคืนให้เท่านั้นแหละ"
" แล้วทำไมต้องจับเสด็จพ่อเสด็จแม่เราไปด้วย"
" ก็พ่อแม่เจ้าก็มีความผิดด้วยไง ถ้าอยากได้นักก็ไปเอาเองสิ"
" เราทำอะไรผิดนักหนาถึงต้องทำกับเราเช่นนี้ด้วย เกราะก็ได้ไปแล้วคืนเสด็จพ่อเสด็จแม่ให้เราเถอะนะ เราจะไม่ยุ่งกับเกราะนี่อีก"
" ไม่มีทาง!!"
" เราขอร้องหละปล่อยเสด็จพ่อเสด็จแม่มาเถอะนะ"
"ไม่"
"ปล่อยเสด็จพ่อเสด็จแม่เรามาเถอะนะ"
" บอกว่าไม่ก็ไม่ไง" ข้ารับใช้เทพวิษุวัติถีบสุริยะจนล้มลงกองไปกับพื้น จากนั้นก็มีแสงสีแดงวาบเข้ามาจนแสดตาไปหมด
" หนีเร็วพระเจ้าค่ะพระโอรส"
" หนีเร็วเข้า" หิ่งห้อยกับตุ้บเท่งรีบพาสุริยะหนีออกมาจากตำหนักไปหาท้าวนวดลโดยเร็ว ปรากฎเหลือเด็กผู้หญิงอยู่ในตำหนักประจันหน้ากับข้ารับใช้เทพวิษุวัติ
" พวกท่านมีฤทธิ์มีเดชแต่มารังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าคิดว่าทำถูกแล้วงั้นหรือ" เด็กผู้หญิงคนนั้นก็คือแสงสุรีย์นั่นเอง
" พวกเรามีหน้าที่ต้องทำ เจ้าเป็นเด็กมีสิทธิอะไรมายุ่ง!!"
" มีสิมีอยู่แล้ว คุณธรรมค้ำจุนจิตใจคนให้ทำดี พวกท่านเป็นถึงข้ารับใช้ของเทพ มีฤทธ์มีเดชแต่มาทำร้ายคนทำไมข้าจะยุ่งไม่ได้"
" หน๋อยเด็กนี่ช่างกล้านักนะ"
" ใช่เรากล้า คืนเกราะมาดีกว่าถ้าไม่อยากเจ็บตัว"
" ไม่ ถ้าเจ้าอยากได้นักก็เข้ามาเอาเองสิ!!"
"ได้"  ทั้งสองได้ต่อสู้กันโดยมีอีกหนึ่งถือเกราะกายสิทธิ์ไว้อยู่ จนกระทั่งเริ่มจะสู้แสงสุรีย์ไม่ไหวเลยคิดจะหนีนำเกราะไป. แสงสุรีย์ได้ปลดสังวาลย์ออกมาถือส่องแสงประกายใส่ทั้งสอง จนตกลงมาแต่กระนั้นก็ยังคิดจะหนีต่อ แสงสุรีย์จึงใช้สังวาลย์ส่องไปอีกแต่คราวนี้ไม่ใช่แสงแต่เป็นไฟแทน ทั้งสองทรมานเจ็บปวดแสบร้อนไปหมด แสงสุรีย์ได้ทีไปคว้าเอาเกราะกายสิทธิ์ได้ แล้วจึงดับไฟ
" ไปบอกกับเทพที่เป็นนายของท่านด้วยนะว่าอย่าสั่งใครมาล่อลวงและทำร้ายคนไม่มีทางสู้อีก" พูดจบก็มุ่งหน้าไปหาท้าวนวดล ท้าวธีรชัย และสุริยะ นำเกราะไปสวมให้ดังเดิม
" เราขอบใจมากนะแสงสุรีย์"
" ไม่เป็นไรหรอก"
" เสด็จตาหลานขอไปช่วยเสด็จพ่อเสด็จแม่ก่อนนะพระเจ้าค่ะ""
" เจ้าจงช่วยเสด็จแม่เจ้าอย่าช่วยพ่อเจ้า"
" ทำไมหละพระเจ้าค่ะ"
" เจ้าก็รู้ดีเขาไล่เจ้าออกจากเมืองปล่อยให้เจ้ากับแม่ของเจ้าลำบากแค่ไหน"
" เสด็จตา"
" ท้าวนวดลเพคะ หม่อมฉันว่าพ่อนั้นลูกมีพระคุณต่อลูกต่อลูก หากไม่ช่วยเพราะความผูกพันธ์ก็ควรให้ช่วยเพื่อตอบแทนพระคุณเถอะนะเพคะ"
" ก็ได้ๆ"
"ขอบพระทัยพระเจ้าคะเสด็จตา"
" เราไปด้วย"
" ไม่เป็นไรหรอกนะเราไปกับพี่หิ่งห้อยกับสุดหล่อ กันเองก็ได้"
" ใช่มีข้าอยู่ไม่ต้องกลัว"
"ให้เราไปด้วยก็ดีแล้ว มีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน"
" แล้ว.."
" เสด็จพ่อกลับไปเมืองก่อนนะเพคะแล้วลูกจะตามไปนะเพคะ"
" อย่านานักนะแสงสุรีย์"
" เพคะ ทูลลาเสด็จและท้าวนวดลเพคะ"
" ทูลลาเสด็จตาและท้าวธีรชัยพระเจ้าค่ะ" ทั้งคู่มุ่งหน้าเพื่อไปสู่เมืองรัตนบุรีโดยมีอันตรายต่างๆรออยู่อีกมาก..
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 30, 2015, 02:52:37 PM
ทางด้านฝั่งของเทพวิษุวัติ ข้ารับใช้ทั้งสองกลับไปหาร่างกายเต็มไปด้วยรอยไหม้ซ้ำยังมามือปล่าวไม่มีเกราะกายสิทธ์มาด้วย สร้างความไม่พอใจให้แก่เทพวิษุวัติเป็นอย่างมาก
" ไม่ได้เรื่อง!!!!! แค่เด็กตัวนิดเดียวแถมยังเป็นผู้หญิงอีกแค่นี้พวกเจ้าก็จัดการไม่ได้!!!"
"ตอนแรกก็จะสู้ได้แล้วพระเจ้าค่ะ"
" แต่ว่าเด็กคนนั้นมีของวิเศษพระเจ้าค่ะ"
" ของวิเศษอะไร"
" สังวาลย์พระเจ้าค่ะ. สังวาลย์นี่ไม่ได้ธรรมดาเลยนะพระเจ้าค่ะ"
" สังวาลย์งั้นเหรอ "
" พระเจ้าค่ะ สังวาลย์นั่น.."
"ไปได้แล้ว"
" อะไรนะพระเจ้าค่ะ"
" ออกไปได้แล้วเราจะอยู่คนเดียว"
" พระเจ้าค่ะ"
" สังวาลย์ที่เป็นของวิเศษงั้นหรือ". เทพวิษุวัติครุ่นคิดอยู่แล้วก็ได้ยินเสียงในหัวเหมือนคิดขึ้นได้ว่า : นอกจากเกราะวิเศษกายสิทธิ์แล้วยังมีสิ่งวิเศษอีกอย่างนึงก็คือสังวาลย์มณีมีฤทธิ์เดชพอกันแต่ถ้ามาอยู่ด้วยกันจะทรงอนุภาพมากที่สุดเลยก็ว่าได้ แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าสิ่งวิเศษนี้อยู่ที่ไหน:
" สุดท้ายเราก็รู้เสียทีว่าสิ่งนี่อยู่ที่ไหน" เทพวิษุวัติยิ้มเหมือนชนะอะไรสักอย่าง. จากนั้นเทพวิษุวัติก็ไปสังเกตุการณ์สุริยะกับแสงสุรีย์ที่กำลังจะถึงเมืองรัตนบุรี
" ไม่ได้การณ์แล้วสิ" เทพวิษุวัติบรรดาลให้เกิดพายุซัดพวกสุริยะไปทางอื่นจนถึงเมืองเมืองหนึ่งที่เหมือนร้าง
" ที่นี่ที่ไหน"
" นั่นสิที่นี่ที่ไหนกัน"

 
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 30, 2015, 08:46:14 PM
" ที่นี่มันร้างแปลกๆนะข้าว่า"
" ดูนั่นสิมีวังด้วย"
" ไปดูกันดีไหมพระเจ้าคะพระโอรสพระธิดา"
" ดีสิพี่หิ่งห้อย ไปกันเถอะสุริยะ"
" ไปกันเถอะ" ทั้งสามเดินไปทางเข้าวัง
" นี่ไม่คิดจะชวนข้าไปเลยนะ" ตุ้บเท่งวิ่งตามไป
ที่ท้องพระโรงเต็มไปด้วยใยแมงมุมและใบไม้เกลื่อนไปหมด มีเงาปรากฎผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทั้งสี่หันมองกันให้วุ่น
"พี่หิ่งห้อยหายไปไหนแล้วหละ"
" อ๊ะ!!!" สุริยะหันมองตามเสียงไปแต่ไม่พบอะไร
"  ตุ้บเท่งก็หาย"  ขณะที่ทั้งสองหันหาอยู่นั้นควันก็พวยพุ่งออกมาปกคลุมไปทั่วทั้งสองก็สลบไป...
.
.
.
.
.
.
" สุริยะ สุริยะลูกแม่" สุริยะมองไปมาตามเสียงเรียก
" เสด็จแม่พระเจ้าค่ะ" สุริยะวิ่งไปสไบทองหายไป
" เสด็จแม่!!!!". สุริยะตกใจลืมตาขึ้นมา พบว่าตนเองถูกมัดอยู่
" เจ้าคิดถึงเสด็จแม่เจ้างั้นสิ"  มีผู้หญิงหน้าตาสวยงามดูไม่มีอายุเยอะเท่าไหร่นักพูดพร้อมเข้ามา
" พี่สาวท่านเป็นใครแล้วทำไมเราถึงโดนมัด"
" ไม่ต้องรู้หรอกว่าเราเป็นใคร เอาเกราะกายสิทธิ์แลกกับแม่เจ้าดีไหมหละ"
" ถ้าช่วยเสด็จแม่ได้เกราะนี่ก็ไม่สำคัญอะไร แล้วแสงสุรีย์ สุดหล่อ และพี่หิ่งห้อยหละ"
" พวกเขาก็สบายดีอยู่ เราขอแล้วกันนะ" ไม่รอช้ารีบใช้มืจับเกราะกายสิทธิ์ แต่ก็ไหม้มือ
" โอ้ย!! หึย" เขาได้ใช้มือจับอีกครั้งแต่ก็เผาไหม้มือดังเดิม
" หน๋อย แค่นี้ก็ร้อนได้นะทำไมคนอื่นจับไม่เห็นจะร้อนเลย"
" ก็เจ้าเป็นแม่มดไงหละเกลียวทอง" มีเด็กหญิงออกมาพูดจาฉะฉานใส่เกลียวทองอย่างไม่เกรงกลัว
" อัญญานีเจ้ามาทำไม. ทำไมไม่อยู่ในตำหนัก!!"
"ก็นี่เมืองเสด็จพ่อเรา เราจะไปไหนมาไหนเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์มาห้ามเรา"
" ปากดีนักนะ" ฝ่ามือของเกลียวทองตบหน้าของอัญญานีอย่างไม่หนักแรงมากแต่ทำให้อัญญานีกระเด็นไปได้ ในตอนนั้นนั่นเองแสงอาทิตย์ก็สาดส่องมายังเกราะกายสิทธิ์ทำให้สุริยะกลายเป็นจันทราภาทันที


หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: ✡ K.N.K ✡ ที่ มกราคม 03, 2016, 09:50:54 AM
ไอเดียดีนะเนี่ย เจ๊งอ่ะ w8
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มกราคม 28, 2016, 10:02:49 AM
@ต้องขออภัยที่ไม่ได้มาแต่งต่อซะนานเลยนะคะ ช่วงที่ผ่านมาติดธุระเยอะจริงๆคะ. w25 ขอบคุณคุณ K.N.K คะ^^


จันทราภารู้สึกว่าตนเองไม่ได้อยู่เมืองทิศพลของท้าวนวดลผู้เป็นพระอัยกาแต่อย่างใดกลับพบสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือเกลียวทองกับอัญญานีในที่รกร้างแห่งหนึ่งเท่านั้น
"ที่นี่ที่ไหน แล้วท่านจับเรามัดไว้ทำไมกัน"
"เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้หรอก รู้แค่ว่าแม่ของเจ้าตอนนี้ก็โดนจับอยู่เช่นกัน" เกลียวทองพูด สายตาจับจ้องที่จันทราภา
"เสด็จแม่ ท่านเอาเสด็จแม่เราไว้ที่ไหน"
"เราไม่บอกเจ้าหรอก แต่เราจะช่วยให้เจัาเจอกับแม่เจ้าไวๆ ดีไหมหละ"
"ดีสิ แล้วพี่หิ่งห้อยหละ"
"พี่หิ่งห้อยก็เหมือนแม่เจ้านั่นแหละถ้าอยากได้พวกเขาคืนมาก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนกันหน่อย"
"อะไร"
" เอาเกราะกายสิทธิ์มาแลกไงหละ"
-----------------++-
ทางด้านฝั่งของหิ่งห้อย ตุ้บเท่ง และเจ้าของสังวาลย์มณีแน่นอนว่าวันเปลี่ยนก็เปลี่ยนคนได้เช่นกันจากแสงสุรีย์เด็กหญิงกลายเป็น จันทลักษณ์เด็กชายขึ้นมา เขาค่อยๆลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าตนเองอยู่ในห้องขังแห่งหนึ่ง หันมองซ้ายขวาเจอหิ่งห้อยยักษ์ กับสิ่งมีชีวิตที่ประหลาดหลับไหลไม่ได้สติเลย ด้วยความที่รู้วิชาทำนายหยั่งรู้มาบ้างจึงได้นั่งสมาธิถึงเรื่องราวต่างๆมากมาย พอรู้เรื่องราวก็ได้ช่วยให้ทั้งสองฟื้นขึ้นมา
+++++++------+++++------
"เกราะกายสิทธิ์หรือ"
"ใช่เกราะกายสิทธิ์   แต่เจ้าต้องถอดออกมาให้แก่เรา"
"แล้วเราจะถอดได้อย่างไร ในเมื่อถูกจับมัดเช่นนี้" จันทราภาเกิดคิดบางอย่างขึ้นมาในหัว
" เราจะแก้มัดให้" เชือกหลุดออกมาอย่างง่ายดายราวกับไม่ได้มัดไว้
จันทราภาจับที่เกราะทำท่าจะถอดออกมา แม่มดเกลียวทองตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อ ทันใดนั้นเองเกราะก็ได้ส่องแสงสีเหลืองส่องประกายออกมาเข้าตาเกลียวทองอย่างจัง จันทราภาไม่รอช้ารีบพาอัญญานีที่บาดเจ็บหนีออกมาแล้วก็เจอกับ.........
"พี่หิ่งห้อย ตุ้บเท่งพวกท่านไม่เป็นอะไรนะ"
"ไม่เป็นไรพระเจ้าค่ะ พระธิดาหละพระเจ้าค่ะ"
"เราไม่เป็นไร แล้วนี่..."
"เราจันทลักษณ์  เราว่าอย่าช้านักเลยเดี๋ยวจะไม่ทันการ"
"ดีเราไปกันเถอะ"
"รอข้าด้วยสิ!!!"  ตุ้บเท่งวิ่งตามมา
หลังจากออกนอกบริเวณเมืองได้แล้วทั้งหมดจึงพักที่ป่าเสียก่อน แล้วช่วยกันรักษาอัญญานี
"เจ้าเป็นอะไรกับแม่มดนั่น!!!"ตุ้บเท่งถาม
"ลูกเลี้ยง เมืองนั่นก็เมืองของเสด็จพ่อเรา"
"เหตุุใดเมืองจึงร้างเช่นนั้น เจ้าช่วยเล่าให้เราฟังหน่อยได้หรือไม่"
"ได้เราจะเล่าให้ฟัง" อัญญานีเล่าให้ฟังถึงความหลังแต่ก่อนเก่าของเมืองร้างแห่งนั้น



หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กุมภาพันธ์ 14, 2016, 09:43:19 AM
*แต่งต่อตอนปิดเทอมคะ. ขอบคุณคะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มีนาคม 24, 2016, 07:51:12 PM
"แต่เดิมเมืองนี้คือเมืองโกสุมพิสัยเป็นเมืองของเท้าทรงพลบดีซึ่งเป็นเสด็จพ่อของเรา  หลายปีที่เมืองนี้อยู่อย่างสงบสุขแล้ววันหนึ่งเสด็จพ่อก็ได้รับเกลียวทองมาเป็นพระสนม ต่อมาไม่นานนักเสด็จแม่ก็ทรงประชวร พระอาการก็หนักขึ้นเรื่อยๆจน...จนเสด็จแม่สิ้นพระชนม์..จากนั้นเกลียวทองก็เลื่อนจากตำแหน่งพระสนมขึ้นเป็นพระมเหสีแทนเสด็จแม่
หลังจากนั้นซักประมาณ1ปี ราษฎรก็เป็นโรคล้มตายกันเป็นจำนวนมากแม้แต่คนในวังก็เป็นลามไปจนถึงเสด็จพ่อก็ประชวรด้วยโรคนั้นเช่นนั้น ที่น่าแปลกคือราษฎรที่ล้มตายไปนั้น ศพของพวกเขาก็หายไปจนน่าตกใจ สุดท้ายแล้วเสด็จพ่อก็สิ้นพระชนม์แต่ก่อนสิ้นพระชนม์ก็ทรงมีรับสั่งให้เกลียวทองดูแลเรา ซึ่งนางก็ทำตาม นางก็ออกจะร้ายกับเราอยู่แล้วเราก็ไม่คิดอะไร ช่วงเวลาสั้นๆเพียงไม่กี่เดือนก็พรากชีวิตคนทั้งเมืองไปหมดเหลือเพียงเรากับเกลียวทองเท่านั้น. จนกระทั่งวันหนึ่งเราก็พบศพคนจำนวนมากที่ตำหนักของนาง ซึ่งตอนนั้นนางกำลังเอาเลือดของศพพวกนั้นเอามารดให้แก่ต้นไม้เป็นเสมือนอาหาร นางก็เห็นเราแต่นางไม่ฆ่าเรา มีหลายครั้งที่เราพยายามหนีแต่ก็หนีไม่พ้นเสียทีจนมาเจอพวกเจ้านี่หละ" อัญญานีเล่าให้ฟังจนหมดแล้วก็หันมองไปที่จันทราภาและจันทลักษณ์
"เราน่าสงสารเ2รึสียจริงอัญญานี เราเสียใจด้วยนะ"จันทราภาพูดพร้อมจับมืออัญญานี
"เราขอบใจเจ้ามาก"
"แล้วพวกเราจะทำยังไงต่อไปดีหละ จะให้อัญญานีไปด้วยก็คงไม่ปลอดภัยเท่าไหร่นักนะ"
"ควรให้อัญญานีไปที่เมืองของเสด็จตาก่อน พี่หิ่งห้อยจ๊ะ.!!"
"พระเจ้าค่ะ พระธิดา"
"พี่ช่วยพาอัญญานีไปอยู่กับเสด็จตาก่อนนะจ๊ะ เราจะมุ่งหน้าไปรัตนบุรีกันก่อน"
"ได้พระเจ้าค่ะ พระธิดาแล้วพี่หิ่งห้อยจะรีบตามไปพระเจ้าค่ะ"
"พระธิดา แล้วข้าหละ ข้าสุดหล่อหละ"
"จันทราภาให้สุดหล่อไปกับพวกเราเถอะ ถ้าเกิดพรุ่งนี้เรากลัวว่าปัทมาสน์จะอาละวาดจนเสียเรื่อง มีคนห้ามบ้างก็ดี"
"เราก็ว่าดีเหมือนกันเพราะพรุ่งนี้เป็นอังคาสเจ้าอารมณ์เสียด้วย ให้สุดหล่ออยู่ก็ดีเหมือนกัน"
"อัญญานีเราไปก่อนนะ แล้วเจอกันอีก"
"ลาก่อนจันทราภา ลาก่อนจันทลักษณ์"
"เราไปกันเถอะพระเจ้าค่ะพระธิดาอัญญานี"
"เจอกันที่รัตนบุรีนะจ๊ะ พี่หิ่งห้อย"
"พระเจ้าค่ะพระธิดา". หิ่งห้อยยักษ์ก็บินพาอัญญานีไป
"พวกเราไปกันเถอะ"
"ไปกัน" จากนั้นทั้งสามก็มุ่งหน้าไปยังรัตนบุรี

"
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กันยายน 18, 2016, 07:12:32 PM
จักรกรดต้องอภัยที่หายหน้าไปเสียนานนะคะ ไม่ค่อยว่างจริงๆในชีวิตตอนม.3นี่ กำลังจัดเรื่องให้เข้าลู่เข้าทางอยู่ค่ะ
สอบเสร็จแล้วจะมาเขียนต่อแน่นอนค่ะ จักรกรดยังรักในงานเขียนและละครพื้นบ้านหรือละครจักรๆวงศ์ๆเสมอค่ะ
ขอบคุณทุกท่านที่มาอ่านเรื่องนี้มากๆนะคะ  แล้วเจอกันแน่นอนค่ะ ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Pridezero ที่ สิงหาคม 11, 2017, 02:54:32 PM
อ่านได้ความรู้เยอะเลย
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 10, 2017, 07:53:45 PM
ขอบคุณ คุณ Pridezero ที่มาแสดงความคิดเห็นนะคะ จักรกรดไม่ได้มานานนับปีแล้ว ยอมรับเลยค่ะว่ามีเทจริงๆเพราะงานกับไม่มีเวลาเลยคิดไปว่าคงจะไม่มาแล้ว แต่ก็เข้ามาเพราะคิดถึง อ่านแล้วอยากแต่งต่อ จักรกรดจะพยายามแต่งให้จบไม่ทอดทิ้งแล้ว ณ จุดๆนี้คิดถึงมากจริงๆ ต่อจากเม้นนี้ก็จะแต่งต่อแล้วค่ะ w15 w15 w15
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 10, 2017, 10:27:29 PM
ในวันต่อมาทั้งสองได้เปลี่ยนเป็นอังคาสกับ ปัทมาสน์ โดยมีตุ้บเท่งนั่งดูอยู่
" ต่างเป็นเจ้าอารมณ์กันทั้งคู่ ดีล่ะข้าจะทำให้แตกคอกัน จากนี้จะไม่มีใครมาคุ้มกันเกราะกายสิทธิ์แล้ว " ตุ้บเท่งคิดอยู่ในใจแล้วยิ้มกรุ่มกริ่ม
" ที่นี่ที่ไหน เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน " ปัทมาสน์ลืมตาตื่นขึ้นมาพบตนเองไม่ได้อยู่ในตำหนักจึงพึมพำกับตัวเอง
" ที่นี่ก็คือป่ายังไงล่ะพระธิดา " ตุ้บเท่งตอบเมื่อได้ยินเสียง
" ข้ารู้แล้วว่าที่นี่เป็นป่า ข้าอยากรู้ว่าข้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง !!!! " ปัทมาสน์ลุกขึ้นท้าวเอวถามตัวประหลาดที่พอเจอ
" ถามสุดหล่อ สุดหล่อจะรู้ได้ไง นู่น ถามพระโอรสอังคาส นู่น " ตุ้บเท่งพูดพร้อมหันหน้าไปทางอังคาสที่กำลังหลับอยู่ใต้ต้นไม้อีกต้น
" นี่มันเจ้าคนที่มันบุกรุกที่ของข้านี่....ตื่นขึ้นมาคุยกับข้าเดี๋ยวนี้นะ!!! " ยักษ์น้อยพูดขึ้นพร้อมกับกระทืบเท้าลงแผ่นธรณี สนั่นไหวไปทั่วทุกทิศ
 " โอ้ย!!! นี่เจ้า!! ครั้งที่แล้วเจ้าก็จะฆ่าเรา ยังตามมาฆ่าเราอีกเหรอ " อังคาสตื่นขึ้นเพราแรงสะเทือน แล้วพบกับยักษ์ที่จะทำร้ายมื่อก่อนเก่าก็จำได้
" ใช่ๆพระโอรส ยักษ์น้อยตนนี่กำลังจะจับพระโอรสกิน " ตุ้บเท่งได้จังเติมไฟไป
" นี่เจ้าพูดอะไรระวังปากด้วย คนแบบนี้ข้าไม่กินหรอกนะ!!! " 
"สุดหล่อเห็นจริงๆ สุดหล่อเป็นพยายานได้"
" ไม่จริง!! ข้าตื่นมาก็พบตัวประหลาดนี่ก่อนแล้ว ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิด"
" อย่ามาโกหก !!!" อังคาสตอบกลับ
" ตัวประหลาดอะไรกัน เรียกสุดหล่อตะหากล่ะ สุดหล่อดีกว่าเยอะ "
" อเวจีล่ะสิไม่ว่า!!!" อังคาสและปัทมาสน์ตอบเป็นเสียงเดียวกันอย่างพร้อมเพรียง
" ทีอย่างนี้สามัคคีว่าสุดหล่อจริงนะ เมื่อคืนนี้ยังตีกันจะตายอยู่เลย "
" เมื่อคืนอะไรกันเราเพิ่งจะเถียงกันเมื่อไม่นานมานี้เองนะ " อังคาสกล่าว
" ก็เมื่อคืนพระโอรส พระธิดาก็ตีกันแทบตายดีนะที่ห้ามไว้ทันไม่งั้นก็...."  ตุ้บเท่งได้ยุแยงขึ้นอีกครั้ง
" หมายความว่าเมื่อคืนคนของเจ้าก็ทำร้ายคนของข้าล่ะะสิ " ปัทมาสน์กล่าว
" อย่ามาว่าจันทราภานะ คนของเจ้าล่ะสิไม่ว่า!!! " อังคาสกล่าวปกป้องผู้เป็นพี่
" จันทลักษณ์ไม่เคยหาเรื่องใครก่อน ห้ามว่าคนของข้า!!! " ปัทมาสน์ก็ตอบกับเช่นกัน
" จำได้ว่าบาดเจ็บกันด้วยนะ " ตุ้บเท่งเติมประโยคลงไปอีก
" บาดเจ็บเหรอ... ข้ายอมไม่ได้ เจ้าต้องชดใช้แทนคนของข้า!!! " ปัทมาสน์พูดแล้วเนรมิตกายให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม
"เราก็ยอมไม่ได้ เจ้าก็ดีแต่แปลงกายให้ใหญ่ เจ้าอย่าคิดนะว่าเราจะสู้เจ้าไม่ได้เหมือนครั้งก่อน !! " อังคาสเรียกพระขรรค์ออกมา
" แล้วเจ้าจะรู้ว่าข้าไม่ได้เก่งแค่ตัวใหญ่อย่างเดียว !!! " พระธิดายักษ์กล่าวแล้วจึงใช้มือไล่คว้าตัวพระโอรสมนุษย์ให้ทั่ว แต่ไม่ทันจับได้เหมือนครั้งก่อน เหตุเพราะอังคาสมิได้เผลอตัวแล้ว
" ดี ตีกันให้ตายไปเลย " ตุ้บเท่งหลบอยู่หลังต้นไม้แล้วดูเหตุการณ์ไปคิดไป
________

" พระโอรส พระธิดา หยุดเถอะพระเจ้าค่ะ" เสียงห้ามปรามที่ดังมาแต่ไกลทำให้ทั้งสองหยุดการต่อสู้
" พี่หิ่งห้อย ห้ามเราทำไม!?! " อังคาสถามหิ่งห้อยยักษ์ที่เขามาห้าม
" เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาห้ามข้า!!!! " ปัทมาสน์มองไปยังหิ่งห้อย
" ทั้งสองพระองค์จะทรงสู้กันมิได้พระเจ้าค่ะ เพราะทั้งสองพระองค์เป็นมิตรกัน " หิ่งห้อยกล่าวตอบ
" เอ๊ะ!! ข้าเป็นมิตรกับเจ้านี่ตอนไหนกัน" ปัทมาสน์กล่าวถามแล้วลดตนเป็นขนาดปกติ
" ตั้งแต่พระธิดาแสงสุรีย์กับพระโอรสสุริยะพระเจ้าค่ะ " หิ่งห้อยยักษ์ตอบคำถามอีกครั้ง
" นี่มันเรื่องอะไรกันแน่? "
" เรื่องเป็นอย่างนี้พระเจ้าค่ะ ........." หิ่งห้อยยักษ์ได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้กับสองบุตรกษัตริย์ฟัง

" แล้วข้าจะแน่ใจได้ยังไงว่าแสงสุรีย์กับจันทลักษณ์เต็มใจ แล้วข้าจะต้องช่วยต่อ? " ปัทมาสน์ถามอย่างเคลือบแคลงใจ
" หม่อมฉันไม่มีหลักฐาน มีแต่คำที่พระธิดาแสงสุรีย์ทรงตรัสไว้ว่า หากพระธิดาปัทมาสน์ช่วยเหลือคนก็ควรช่วยให้ทั่วถึงด้วย พระเจ้าค่ะ "

ปัทมาสน์ได้ยินดังนั้นจึงครุ่นคิดสักพักหนึ่งจึงนึกได้ว่ามีแต่พวกสังวาลย์กับพระบิดาเท่านั้นที่รู้คำกล่าวนี้ของแสงสุรีย์ จึงไว้ใจ
" ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะช่วยพวกเจ้าเอง" พระธิดากล่าว
"คำก็ข้าสองคำก็ข้า พูดดีๆไม่เป็นหรอกหรือยังไง?" อังคาสกล่าวขึ้นหลังจบคำพูดของปัทมาสน์
" ก็ได้ ข้า...เราพูดดีก็ได้ เราจะพูดข้ากับคนที่เราไม่พอใจเท่านั้นล่ะ " ปัทมาสน์ตอบเสร็จก็หันหน้ามองตุ้บเท่ง
ตุ้งเท่งจึงหลบหน้าหันมองอังคาส
" พระโอรสคงไม่ว่าสุดหล่อใช่ไหม " ตุ้บเท่งยิ้มเฟื่อนๆ
" ไม่หรอก " อังคาสตอบ
ตุ้บเท่งยิ้มอย่างดีใจ
" แต่เราจะทำให้เจ้าพูดไม่ได้อีกตลอดชีวิต " อังคาสพูดเสร็จเตรียมจะลงโทษตุ้บเท่ง
" พอๆ พวกเราไปกันได้แล้ว ชักช้าจะไม่ทันกาล เจ้าตัวประหลาดไว้ทีหลัง" ปัทมาสน์ปรามไว้แล้วชวนให้เดินทางต่อ
" ได้ " อังคาสตอบแล้วทั้งหมดจึงเดินทางไปยังเมืองรัตนบุรีต่อไปโดยไม่รู้ว่าจะมีอันตรายใดๆรออยู่
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 12, 2017, 04:36:53 PM
ณ เมืองรัตนบุรี
สไบทองได้ลืมตาขึ้นมาในห้องบรรทมของตนเมื่อครั้งยังเป็มเหสีฝ่ายขวาอยู่
" ท...ทำไมเราถึงมาอยู่ที่นี่ " สไบทองลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปรอบๆห้อง พลางนึกทบทวน
" เราจำได้ว่าตอนนั้นเราไปหาเสด็จพี่พีเชษฐ์นี่" สไบทองนึกได้เพียงเท่านี้มิอาจจะคิดต่อไปได้เพราะหลังจากนั้นก็มีแต่ความมืด

เสียงประตูเปิดเข้ามาในห้องนี้ทำให้สไบทองหันตามเสียงไปแล้วพบกับสตรีนางหนึ่ง
" สไบแก้ว!! " อดีตมเหสีรู้สึกตกพระทัยเป็นอย่างยิ่งเมื่อพบว่าสตรีนางนั้นคือพระมเหสีฝ่ายซ้ายของอดีตพระสวามี
" ใช่ เราเอง " สไบแก้วตอบรับเสียงที่เรียกชื่อของตน
" ทำไมเราถึงมาอยู่ที่นี่ แล้วท้าวพีรเชษฐ์ล่ะ" สไบทองถามขึ้นเพราะจำได้ว่าเมืองนั้นน่าจะถูกยึดครองแล้ว
"เสด็จพี่ทรงบรรทมอยู่ที่ห้องของเรา" สไบแก้วตอบคำถามของสไบทอง
" แสดงว่าเขายังอยู่ดีกินดีใช่ไหม" สไบทองถามขึ้นเพื่อความแน่ใจ
" ใช่เสด็จพี่ยังอยู่ดี" สไบแก้วตอบอีกครั้งพร้อมกับยิ้มอย่างพอใจ
" เหตุใดเจ้าถึงจับเรามา เราไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขาอีกแล้ว" สไบทองถามในสิ่งที่ตนไม่เข้าใจ
" ไม่มีก็แค่นั้น ที่เราจับเจ้ามาเพราะเกี่ยวข้องกับลูกของเจ้า"
" เจ้าจะทำอะไรทำไมต้องมายุ่งกับลูกของเราอีก"
"เราจับเจ้ามาเพื่อให้ลูกของเจ้านำเกราะกายสิทธิ์มาให้กับพ่อของเรา" สไบแก้วแก้ความกังขาให้กับสไบทอง
" เจ้ารู้เรื่องเกราะกายสิทธิ์ได้ยังไง!!"
" เรื่องนี้ออกจะแพร่หลายไปทั่วทุกแห่งหนใยเล่าเราจะไม่รู้ "
" สไบแก้วเราไม่คิดเลยว่าเจ้าเป็นคนเช่นนี้ เรารักเจ้าเหมือนน้องแท้ๆ  เจ้าไม่รักเราบ้างเลยเหรอ"
" รัก? เราจะรักเจ้าทำไมในเมื่อเจ้าไม่ใช่พี่ของเรา"
"  ใช่สิ เสด็จพ่อรับเจ้าเป็นลูกคนหนึ่ง เราก็ต้องเป็นพี่ของเจ้า "
" อย่าพูดดีเลย ตลอดชีวิตนี้เราเคยได้อะไรเท่าเจ้าที่เป็นลูกแท้ๆบ้าง ดีที่เรายังมีท่านพ่ออยู่ ไม่อย่างนั้นเราคงเสียเปรียบไปตลอดแน่"
" เราให้เจ้าตลอดยังเสียเปรียบอยู่อีกเหรอ"
" เจ้าไม่รับรู้ความเจ็บปวดของเราหรอก ฉะนั้นแล้วเจ้าจะต้องเจ็บปวดเสียบ้าง จะได้รู้ว่าความทรมานเป็นยังไง !! "
สไบแก้วพูดจบจึงรีบเดินออกจากห้องไปด้วยความโมโห สไบทองพยายามวิ่งออกตามแต่ไม่ทันประตูที่ปิดลง
" ลูกแม่..เจ้าอย่ามาช่วยแม่นะเจ้าจะเป็นอันตราย " สไบทองร่ำไห้ไม่อยากให้ลูกมาช่วยตนแล้วจึงกลับไปนั่งที่บรรทมดังเดิม
__________________
" ท่านพ่อเราจะทำยังไงต่อไปจ๊ะ " สไบแก้วถามปุโรหิตซึ่งเป็นพ่อแท้ๆของตน
" เราจะต้องรอให้เด็กนั่นมาถึงแล้วเราจะได้ชิงเอาเกราะกายสิทธิ์" ผู้เป็นพ่อตอบคำถามของลูกสาว
"  ถ้าเรารออยู่อย่างนี้แล้วเมื่อไหร่จะถึงล่ะจ๊ะ ข่าวคราวเรื่องเกราะนี่ก็รู้กันไปทั่วแล้ว "
" มันต้องมาถึงเร็วนี้แน่ๆ องค์วิษุวัติบอกเราขนาดนี้แล้ว ระหว่างนี้เจ้าจะทำอะไรกับพระมเหสีสไบทองก็ได้ทั้งนั้น"
" จะ ท่านพ่อ "
" เจ้ารีบไปเถอะ พระสวามีของลูกคงตื่นพระบรรทมแล้ว"
"จะ ท่านพ่อ แล้วลูกจะมาหาท่านพ่ออีก "
กล่าวจบแล้วไสบแก้วก็กลับไปยังพระตำหนักของตน
______

" บดิศรแม่ของเจ้าหายไปไหน" ท้าวพีรเชษฐ์ถามพระโอรสเมื่อตื่นบรรทมแล้วไม่เห็นพระชายาของตน
" เสด็จแม่เสด็จไปเยี่ยมท่านตาพระเจ้าค่ะ " บดิศรตอบคำถามพระบิดา
" แล้วจะกลับเมื่อไหร่ล่ะ? "
" หม่อมฉันกลับมาแล้วเพคะ " สไบแก้วกลับเข้ามาในพระตำหนักแล้วได้ยินเสียงถามถึงตนจึงตอบ
" ทำไมเจ้าไปนานนักล่ะสไบแก้ว" พีรเชษฐ์ถามด้วยความสงสัย
" ไม่นานหรอกเพคะ หม่อมฉันเพียงไปปรึกษาหารือเรื่องหนึ่งก็เท่านั้น "
" เรื่องอะไรกัน" พีรเชษฐ์ขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างกังขา
" เรื่องของวิเศษ เกราะกายสิทธิ์เพคะ " สไบแก้วคลายความกังขาลง
"ของวิเศษ !!" เหล่านางกำนัลพูดกันอย่างสนใจ
" พวกเจ้าออกไปก่อน นี่ไม่ใช่ธุระของพวกเจ้า " สไบแก้วให้เหล่านางกำนัลออกไปเพื่อจะไม่ให้ใครรู้เรื่องเกราะกายสิทธิ์มากนัก
" เสด็จแม่เรื่องนี้ท่านตาไม่ให้บอกใครนะพระเจ้าค่ะ " บดิศรแย้งขึ้นมาหลังจากเหล่านางกำนัลออกไปหมดแล้ว
" ไม่เป็นไรหรอก ทรงเป็นสด็จพ่อของลูก ยังไงรู้ไว้ก็ดีแล้วนี่ " สไบแก้วตอบกลับผู้เป็นลูก
" แล้วเกราะกายสิทธิ์นี่คืออะไรกันสไบแก้ว " พระสวามีถามขึ้นมา
"เป็นเกราะที่มีอานุภาพมากเพคะ หากใครได้สวมใส่ก็จะมีอิทธิฤทธิ์เป็นอย่างมาก"
สไบแก้วกล่าวตอบ
" แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหนล่ะ "
" อยู่ที่พระโอรสสุริยะเพคะ "
" เด็กกาลีบ้านเมืองนั่นไม่ใช่ลูกของเราอย่าพูดแบบนี้อีก!!" พีรเชษฐ์รู้สึกอารมณ์ไม่ดีเมื่อได้ยินชื่อของอดีตพระโอรส
"ขอพระราชทานอภัยเพคะ หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจ" สไบรีบกล่าวขออภัยที่ทำให้พระสวามีอารมณ์เสีย
" ไม่เป็นไร แล้ว เราจะทำยังไงให้ได้มันมาล่ะ " พีรเชษฐ์ถาม
" ต้องรอให้สุริยะมาถึงแล้วเสด็จพ่อก็ทรงดึงเกราะกายสิทธิ์ออกตอนมันเผลอสิพระเจ้าค่ะ" บดิศรตอบคำบิดาแทนมารดาของตน
" แล้วจะมาหาเราได้ยังไงกัน ? "
" ได้สิเพคะ สุริยะต้องมาแน่ " สไบแก้วตอบไปยิ้มไป
...
" องค์เหนือหัวพระเจ้าค่ะ ท่านเสนาอำมาตย์มีเรื่องจะกราบทูลพระเจ้าค่ะ "
เสียงทหารเข้ามารอหน้าประตูกราบทูลให้พีเชษฐ์ไปยังท้องพระโรง
" วันนี้เราไม่ว่าง ให้ท่านปุโรหิตออกว่าราชการแทนเรา " พีเชษฐ์ตอบทหารของตน
" แต่ว่า..."
"ไม่มีแต่!!!! ไปได้แล้ว !! " กษัตริย์ออกปากไล่ทหารให้กลับไปโดยไม่สนใจอะไรเลย
-------
" ท่านอำมาตย์ขอรับ องค์เหนือหัวทรงให้ท่านปุโรหิตออกว่าราชการแทนอีกแล้วขอรับ " ทหารคนเดิมได้บอกกับอำมาตย์เรืองรองเจ้านายของตน
" แปลกจริงๆ นี่ก็ตั้งนานแล้วทำไมองค์เหนือหัวยังไม่ทรงออกว่าราชการเองอีก "
อำมาตย์เรืองรองกล่าวขึ้นเมื่อได้ทราบเรื่องที่ปฏิเสธเช่นเดิม
" ให้ปุโรหิตเฒ่านั่นออกว่าราชการแทนจนจะขึ้นเป็นเจ้าเมืองได้อยู่แล้ว " อำมาตย์พิชัยกล่าวขึ้น
" นี่เมืองใครกันแน่นะ เห้อ..." อำมาตย์เรืองรองทอดถอนหายใจ
.............






หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 13, 2017, 08:15:30 PM
ทางฝั่งของอังคาสกับปัทมาสน์  ทั้งหมดเดินทางไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งในยามที่ใกล้จะมีแสงอาทิตย์ ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากเขตเมืองรัตนบุรีเท่าไร
" สุดหล่อไม่ไหวแล้วพระโอรส เดินทางมาทั้งวันทั้งคืนไม่พักเลย " ตัวประหลาดที่เรียกตนเองว่าสุดหล่อพูดด้วยความเหนื่อยที่ประสบมาตลอดจนจะครบวัน
" อะไรกัน ถ้าเราไม่เร่งเดินทางจะมาถึงขนาดนี้เรอะเจ้าตุ้บเท่ง " หิ่งห้อยยักษ์กล่าวตอบคำแทนผู้เป็นนาย
" นี่ก็ใกล้เช้าแล้วเราพักกันสักหน่อยก็คงไม่เป็นอะไรหรอก " พระธิดายักษ์กล่าวขึ้นมาเพราะไม่อยากให้อ่อนล้าเกินไป
" แล้วเสด็จแม่เราล่ะ เรามาถึงขนาดนี้ ไปอีกหน่อยเราก็จะถึงรัตนบุรีแล้ว " พระโอรสมนุษย์กล่าวตอบด้วยเพราะเป็นห่วงพระมารดา
" เถอะน่านี่ก็จะเปลี่ยนวันแล้ว เจ้าไม่นึกถึงตัวเจ้าเจ้าก็น่าจะนึกถึงคนที่เปลี่ยนต่อจากเจ้าบ้างสิ " ปัทมาสน์พูดตอบอย่างรู้ดี
" เจ้าก็รู้เรื่องนี้หรือด้วย? " อังคาสถามขึ้นเพราะไม่เคยสงสัยมาก่อน
" ตอนเถียงกันนึกว่าจะรู้ซะอีก เรารู้อยู่แล้วว่าคนสวมใส่เกราะกายสิทธิ์ต้องเปลี่ยนตัวกันตลอดเจ็ดวัน แต่ไม่ใช่แค่พวกเจ้า พวกเราก็เป็นเหมือนกัน " ปัทมาสน์คลายความสงสัยให้
" เจ้ารู้ได้ยังไง แล้วนี่ทำไมเจ้าเหมือนกับเรา " อังคาสยังคงกังขาอยู่
" เราเคยได้ยินมาแต่เราจำไม่ได้หรอกว่าที่ไหน ออที่เราเหมือนเจ้าเพราะเรามีสังวาลย์มณี " ปัทมาสน์คลายกังขาให้อังคาสอีกครั้ง
" สังวาลย์มณี พี่หิ่งห้อยไม่เคยได้ยินเลยนะพระเจ้าค่ะเห็นแต่พระธิดาเปลี่ยนวันกันจริงๆ " หิ่งห้อยช่วยเสริมเล็กน้อยว่าเห็นจริง
" แล้วมันมีฤทธิ์เหมือนกับเกราะกายสิทธิ์ไหมพระธิดา " สุดหล่อถามอย่างตาวาวเพราะตนไม่ได้สังเกตว่าสังวาลย์จะวิเศษ นึกเพียงว่าเป็นเครื่องประดับอย่างเดียว
" ไม่มีสำหรับตัวประหลาดอย่างเจ้า!!" พระธิดายักษ์เริ่มเคืองเมื่อมีคนถามถึงความวิเศษ
" เราว่าเจ้าไปพักเถอะ เราจะเดินทางไปก่อน " อังคาสออกความเห็นเพราะตนไม่อยากให้เสียเวลา
" ก็ได้แล้วเราจะตามไป " ปัทมาสน์ตอบ

ทั้งสองจึงแยกทางกันไปโดยแสงอาทิตย์ได้ลงมาสาดส่องลงสู่ด้านล่าง เป็นสัญญาณบอกว่าวันใหม่ได้เข้ามาแล้ว

" เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง.....หรือว่าปัทมาสน์มาเที่ยวเล่นอีกแล้ว จริงๆเลยเชียว" ร่างที่เปลี่ยนจากเด็กผู้หญิงกลายเป็นเด็กผู้ชายโดยเด็กชายคิดว่าคนก่อนหน้านี้มาเที่ยวเล่นไกลๆเหมือนเคย เพชรราหูได้มองดูไปรอบๆก็เห็นต้นไม้ต้นหนึ่งสลักอักษรไว้จึงได้อ่านดู
" เพชรราหูตอนนี้มีเรื่องที่เจ้าต้องทำต่อจากเราคือติดตามพวกเกราะกายสิทธิ์ที่มีผู้ติดตามเป็นตัวประหลาดหนึ่งและหิ่งห้อยยักษ์อีกหนึ่ง ไปยังเมืองรัตนบุรี เพื่อช่วยเหลือผู้คน "  พระโอรสน้อยอ่านดูก็รู้ว่าเป็นเรื่องจริงจังหาใช่เรื่องเล่นของพระธิดายักษ์ไม่ ได้ความดังนั้นเพชรราหูจึงรีบเดินทางตามไปโดยทันที
อีกทางหนึ่งพระโอรสอังคาสก็เปลี่ยนเป็นพระธิดาพุทธรัตน์ซึ่งหิ่งห้อยยักษ์ได้เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง
" พี่หิ่งห้อยจ๊ะแล้วคนที่ใส่สังวาลย์เขาจะตามมาเมื่อไหร่ล่ะจ๊ะ " พระธิดาน้อยถามขึ้น
" คงไม่นานหรอกพระเจ้าค่ะ หากพระธิดาเหนื่อยก็ทรงพักผ่อนก่อนได้นะพระเจ้าค่ะ " หิ่งห้อยยักษ์กล่าวด้วยความห่วงใยเพราะร่างกายนี้เมื่อวานก็ไม่ได้ำพักเลย
" ไม่เป็นไรหรอกจะพี่หิ่งห้อย เราไปต่อเถอะ น้องเป็นห่วงเสด็จแม่ " พุทธรัตน์กล่าวตอบแล้วเร่งเดินทางต่อจนถึงเขตเมืองรัตนบุรี
" พระธิดาถึงแล้วๆ นี่ใช่เมืองรัตนบุรีใช่ไหมเจ้าหิ่งห้อย " สุดหล่อได้ถามหิ่งห้อยเมื่อเดินทางมาพบเมืองที่มีกำแพงขาวตั้งตระง่านอยู่
" ใช่แล้วล่ะ " หิ่งห้อยยักษ์ตอบ
" แต่แปลกนะพระเจ้าค่ะพระธิดา ครั้งที่แล้วพี่หิ่งห้อยกับพระโอรสศนิวารมาที่นี่ไม่เห็นมีผู้คนแต่ตอนนี้กลับเห็นผู้คนยังอยู่กันดี " หิ่งห้อยเล่าให้ฟังด้วยความสงสัย
" อาจจะเป็นครั้งที่แล้วที่มาช่วยไปเป็นตัวปลอม เมืองนั่นอาจเนรมิตขึ้นมา แต่เมืองนี้ก็ไม่ควรประมาทเหมือนกันจะ " พุทธรัตน์กล่าวตอบหิ่งห้อยแล้วจึงเดินไปยังหน้าประตูที่ทหารเฝ้ายามอยู่ โดยหิ่งห้อยยักษ์และตุ้บเท่งยังหลบอยู่
" เสด็จแม่เราอยู่ที่ไหนกัน " พระธิดาถามหาพระมารดากับทหาร
" เสด็จแม่อะไรกันล่ะหนู ข้าไม่รู้จัก " ทหารยามถามขึ้นเพราในวังนี้ไม่เคยมีพระธิดาเลยสักคน
" เสด็จแม่สไบทอง " พุทธรัตน์ตอบคำถามพร้อมกับมองหน้าทหาร
" อะไรกันพระมเหสีสไบทองมีแต่พระโอรสหนำซ้ำยังโดนเนรเทศไปแล้ว อย่าเหลวไหลหน่อยเลย " ทหารบอกเด็กผู้หญิงที่เรียกอดีตมเหสีฝ่ายขวาว่าแม่ได้อย่างเต็มปาก
" เราไม่เชื่อ เสด็จแม่ต้องอยู่ในนี้แน่ ให้เราเข้าไปนะ " พุทธรัตน์พูดแล้วจึงพยาพยามจะวิ่งเข้าไปแต่ทหารดักไว้พร้อมชักดาบออกมา
"  อย่าทำร้ายพระธิดานะ " หิ่งห้อยยักษ์รีบบินออกจากที่ซ่อนแล้วมาห้ามเหล่าทหาร
" น..นี่มันหิ่งห้อยยักษ์นี่ พวกเจ้ารีบไปตามท่านอำมาตย์มาเร็ว!! " ทหารที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าเวรยามสั่งให้ทหารคนอื่นไปตามอำมาตย์มา
" เราไม่ได้จะทำอะไรพวกเจ้า เราแค่ต้องการจะพบเสด็จแม่ของเราเพียงเท่านั้น เราไม่ได้อยากทำร้ายพวกเจ้า" พุทธรัตน์พูดแสดงเจตจำนงของตนต่อเหล่าทหาร
"ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอกดูสิเจ้ามีหิ่งห้อยยักษ์ตัวนี้อยู่ พวกเราไม่เชื่อว่าจะปลอดภัย " หัวหน้าทหารยามพูดขึ้นด้วยความไม่ไว้ใจที่เด็กน้อยคนนี้มีสัตว์ข้างกายที่แสนใหญ่โต
" มีเรื่องอะไรกัน !!" เสียงอำมาตย์วัยกลางคนดังขึ้นมาหลังจากที่หัวหน้าทหารพูดได้ไม่นาน
" ท่านอำมาตย์เด็กหญิงคนนี้มาพร้อมกับหิ่งห้อยยักษ์อ้างว่าเป็นลูกของพระมเหสีสไบทองขอรับ " หัวหน้าทหารได้บอกเรื่องที่ตนพบเจอ
" พระมเหสีสไบทองออกจากเมืองนานแล้ว ที่สำคัญพระองค์มีพระโอรสพระองค์เดียว กลับไปเสียเถิด " อำมาตย์เรืองรองกล่าวด้วยความอ่อนโยนเมื่อพบเห็นพุทธรัตน์
" เราเป็นลูกอีกคนของเสด็จแม่ให้เล่าคงยาว ท่านอำมาตย์ให้เราเข้าไปเถอะ " พุทธรัตน์อ้อนวอนด้วยเหตุตนต้องการจะพระมารดาเป็นที่สุด
" กลับไปเถอะ " อำมาตย์พูดเสียงแพ่ว ไม่รู้จะหาคำใดมาพูดให้เด็กน้อยใจอ่อน
" ในเมื่อให้เข้าไปง่ายๆไม่ได้ เราคงต้องใช้วิธีแล้ว......พี่หิ่งห้อย" พุทธรัตน์รู้ดีว่ายังไงคงจะยอมไม่ได้จึงเรียกหิ่งห้อยยักษ์สหายร่วมทางคู่ใจของตนแล้วขึ้นขี่บนหลัง
" พวกเราต้องบินไปแล้วล่ะจะพี่หิ่งห้อย" พระธิดาน้อยกล่าวบอกกับหิ่งห้อย ซึ่งหิ่งห้อยก็รับรู้ในคำนี้ดี จากนั้นหิ่งห้อยยักษ์จึงบินพาข้ากำแพงไปยังด้านใน
" มันเข้าไปแล้ว !!! " ทหารต่างตกใจที่ทั้งคู่ตัดสินใจบินข้ามกำแพงวังไป
" อ้าวพระธิดาไปไม่ชวนสุดหล่อบ้างเลย" ตุ้บเท่งที่คอยมองอยู่ตรงที่ซ่อนนึกเสียดายที่ตนไม่ได้เข้าไปข้างในกับทั้งสอง
" รออะไรอยู่ล่ะ ไปกราบทูลองค์เหนือหัวเร็วเข้า " อำมาตย์เรืองรองรีบสั่งทหารให้กราบทูลเจ้าเมืองเพื่อจะได้ทราบว่ามีผู้บุกรุก
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: NingM ที่ มกราคม 10, 2018, 01:36:31 AM
สนุกมากเลยค่ะ อยากให้บัวกับอังคาส เจอกันบ่อยๆจัง รออ่านทุกวันนะค่ะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มิถุนายน 21, 2018, 09:48:08 AM
ขอขอบคุณคุณ  NingM ที่ติดตามนะคะ จักรกรดไม่ได้มาเป็นเดือนๆเลย w15  ขออภัยด้วยนะคะ ช่วงนี้ตารางชีวิตเริ่มคลายความยุ่งอีกครั้งแล้ว จักกรดมีแพลนจะแต่งต่อค่ะ ส่วนของพระโอรสอังคาสกับบัวแย้มจะได้พบเจอบ่อยเมื่อเติบใหญ่แน่นอนค่ะ คิดว่ากลับมารอบนี้จะแต่งตอนเด็กให้จบ แล้วจะเริ่มตอนโตอย่างเป็นทางการค่ะ w8 w8
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มิถุนายน 21, 2018, 10:46:27 AM
ที่ตำหนักพระมเหสีสไบแก้ว

"องค์เหนือหัวพระเจ้าค่า องค์เหนือหัว" เสียงของทหารคนหนึ่งดังมาแต่ไกล ไม่นานเจ้าของเสียงก็มาถึงอย่างเหนื่อยหอบเพราะด่วนวิ่งมากเกินไป
" มีอะไร ทำไมถึงด่วนมาบอก เกิดอะไรขึ้น? " ท้าวพีรเชษฐ์ถามขึ้นเมื่อเห็นคนส่งข่าวมาถึงอย่างร้อนรน
" คือ..ม.ม....มี..มีผู้..ผู้บุกรุกพระเจ้าค่ะ  " นายทหารรีบกราบทูลเจ้าเมืองเสียงปนหอบยังไม่หายเหนื่อยดี
" มีผู้บุกรุก? แล้วทำไมไม่จัดการเสียหละ มาบอกเราทำไม " องค์เหนือหัวถามขึ้นอีกครั้งด้วยความสงสัย
" ผู้บุกรุกนี้ไม่ใช่คนธรรมดา เป็นเด็กวิเศษขี่หิ่งห้อยยักษ์บินเข้ามาพระเจ้าค่ะ " ทหารตอบอย่างไว
" เด็ก...เด็กนี่ใส่เกราะรึเปล่า " พระมเหสีกล่าวขึ้นอย่างสนใจ พลางนึกถึงพระราชบุตรของอดีตพระมเหสีจะมาช่วยพระมารดา
" ใส่พระเจ้าค่ะ "
"ดี..องค์เหนือหัวเพคะ หม่อมฉันขอเชิญพระองค์เสด็จยังท้องพระโรงเพคะ " เมื่อแน่ใจสไบแก้วจึงทูลพระสวามีอย่างมีเลศนัย
" ทำไมล่ะ " ท้าวพีรเชษฐ์ไม่อยากไปถึงได้ถามขึ้น
" เด็กคนนั้นมีเกราะกายสิทธิ์เพคะ หากพระองค์ทรงรับเป็นพระบิดาแล้วเราจะได้ชิงเกราะได้เพคะ " สไบแก้วกระซิบทูล
" ดี เช่นนั้นเราไปกันเถอะ "
" เสด็จก่อนเถิดเพคะ แล้วหม่อมฉันจะตามไป " สไบแก้วกล่าว เพราะตนต้องทำเรื่องหนึ่งก่อน
" อย่าช้านะ เราไปหละ "  เจ้าเมืองกล่าวเสร็จจึงเสด็จไปยังท้องพระโรง
--------------------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มิถุนายน 21, 2018, 11:44:27 AM
ฝ่ายพระธิดาพุทธรัตน์เมื่อเข้ามาด้านในได้แล้วก็ตามหาพระมารดา แต่หาสักเท่าใดก็ไม่พบเวลาก็จวบจะย่ำค่ำเต็มทน
" เสด็จแม่เพคะ เสด็จแม่ประทับอยู่ที่ไหนเพคะ " พระธิดาส่งเสียงเรียกพระมารดาหวังให้มีเสียงตอบกลับมาบ้างในบริเวณตำหนักริมสระอันแสนเงียบงัน
อดีตพระมเหสีสไบทองได้ยินเสียงก็จำได้ว่าเป็นพระลูกยาจึงจะเปล่งเสียงตอบรับ แต่ยังไม่ได้จะได้พูดก็มีมือคู่หนึ่งมาปิดพระโอษฐ์แน่นทำให้สลบแล้วเจ้าของมือคู่นั้นจึงนำร่างคนสลบไปอีกที่อย่างรวดเร็ว

" พระธิดาพระเจ้าค่ะ " หิ่งห้อยยักษ์กล่าวขึ้นเมื่อตนสังเกตเห็นบางอย่าง
" มีอะไรหรือจ๊ะพี่หิ่งห้อย "
" ตรงข้างซ้ายของตำหนักมีแสงเป็นวงอยู่พระเจ้าค่ะ "
พระธิดาวันพุธรู้เช่นนั้นจึงรีบไปดู เมื่อพินิจแล้วจึงตัดสินใจบอกกับหิ่งห้อยยักษ์
" พี่หิ่งห้อยจ๊ะ น้องว่าสิ่งนี้จะต้องเป็นมิติเชื่อมไปที่ใดที่หนึ่งแน่จะ เราลองเข้าไปดูก่อนดีไหมจ๊ะ "
"ดีพระเจ้าค่ะ " หิ่งห้อยกล่าวเสร็จแล้วทั้งสองจึงเข้าไปในมิตินั้น เมื่อเข้ามาจึงพบว่าเป็นตำหนักว่างเปล่าธรรมดาๆเพียงเท่านั้น
" หรือว่าเสด็จแม่จะไม่อยู่ที่นี่กันจ๊ะ" พระธิดากล่าวพลางถอดถอนใจที่ไม่ได้เจอผู้เป็นมารดาของตนเสียแล้ว หิ่งห้อยยักษ์ไม่รู้เช่นกันแต่ไม่ได้กล่าวอะไรในใจก็นึกสงสารพระธิดาน้อยองค์นี้จับใจ

ไม่นานประตูตำหนักก็เปิดออกหาใช่มีลมหรือมหัศจรรย์ใดแต่เป็นการเปิดของนางกำนัลคนหนึ่ง ทำให้ทั้งคู่ตกใจเป็นอย่างมาก ยังไม่ทันสิ้นความตกใจนางกำนัลก็ได้กล่าวขึ้นมา
" หม่อมฉันทูลเชิญพระธิดาเสด็จยังท้องพระโรงเพคะ"
" แต่เราบุกรุกมานะ ไม่เป็นความผิดหรือจ๊ะ" พุทธรัตน์กล่าวถามอย่างกลัวความผิด
" ไม่หรอกเพคะ องค์เหนือหัวทรงปรารถนาที่จะเห็นพระพักต์พระธิดามากเพคะ"
"เสด็จพ่ออยากพบเรางั้นเหรอ หรือว่าทรงให้อภัยเสด็จแม่กับเราแล้ว ไปกันเถอะจะพี่หิ่งห้อย " พระธิดาได้ยินเช่นนั้นก็ดีพระทัยอย่างมากที่จะได้พบหน้าพระบิดาจึงรีบตามนางกำนัลไปยังท้องพระโรงในทันที
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มิถุนายน 23, 2018, 09:16:16 AM
ครั้นเมื่อถึงท้องพระโรงแล้ว ท้าวพีรเชษฐ์ทรงทอดพระเนตรเห็นเกราะที่มีแสงสีมรกตแล้วเกิดความปรารถนาที่จะได้สัมผัสสักครั้งก็ยังดี มองได้ไม่นานก็ต้องทำตัวปกติเพื่อกันไม่ให้เจ้าของเกราะวิเศษสงสัย ทรงให้เหล่าข้าราชบริพารอออกไปแล้วกล่าวปราศรัยกับพระธิดา
" ลูกพ่อทำไมมาถึงที่นี่ได้แล้วสุริยะหละ " เจ้าเมืองแกล้งคุยอย่างสนิทสนมเหมือนพ่อลูก ด้วยรับรู้ว่าเด็กหญิงคิดว่าตนเป็นบิดา
" ลูกมาตามหาเสด็จแม่เพคะ สุริยะจะปรากฏในวันอาทิตย์เพคะ "
" ยังไงกัน " ท้าวเธอรู้สึกฉงนกับคำพูดของพุทธรัคน์
" เพราะว่าการสวมเกราะกายสิทธิ์จะมีลูกมีทั้งหมดเจ็ดคน จะผลัดเปลี่ยนกันมาในแต่ละวันเพคะ "พระธิดาแก้ข้อกังขาแห่งพระบิดา
"ออ...แล้วที่บอกว่าตามหาเสด็จแม่ ทำไมถึงมาที่นี่หละ "
" ลูกคิดว่าเสด็จแม่อยู่ที่นี่เพคะแต่ไม่พบ ดังนั้นลูกจะออกไปตามหาเสด็จแม่ที่เมืองอื่นเพคะ "
"( แปลกจริง สไบทองก็จากเราไปแล้วจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน) " พระราชาครุ่นคิดอยู่ในใจแต่ไม่ได้ตรัสอันใด
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มิถุนายน 23, 2018, 01:10:50 PM
" จะไปเลยเหรอ นี่ก็เริ่มมืดแล้ว น้าว่าพักที่นี่ก่อนดีกว่า " สไบแก้วกล่าวขึ้นกันไม่ให้เกราะกายสิทธิ์นั้นหายไปไกลจากตน
" คงจะไม่ได้เพคะ หม่อมฉันจะต้องพบเสด็จแม่ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะมีอันตรายหรือไม่ "
" ไม่หรอกน่า พักก่อนนะ " นางกล่าวอย่างรู้ดี จะไม่ให้รู้ดีได้อย่างไรในเมื่อนางเป็นคนจับขังสไบทองไว้เอง
" เอาเถอะ พักที่นี่สักคืน ถือว่าพ่อขอเถอะนะ" พระบิดากล่าว
" ไม่ได้เพคะ " พระธิดายืนยันคำเดิมอย่างหนักแน่น
" เช่นนั้นก็ได้ แต่ก่อนไปพ่อขอกอดลูกสักครั้งนึงเถอะ " ท้าวพีรเชษฐ์กล่าวเช่นเพื่อให้ลูกตนมาใกล้เพื่อจะได้สัมผัสเกราะแล้วช่วงชิงมา
"เพคะ " พระธิดารับคำขอของพระบิดาแล้วเข้าไปสู่อ้อมกอด
เมื่่อพระราชากอดพระลูกยาเกิดรู้สึกรักใคร่ผูกพันแสนท่วมท้น แต่ทว่ากอดไม่นานท้าวเธอก็ผลักออกทันทีด้วยตกใจระคนกับสับสนในความรู้สึกของตนเอง ทั้งที่ในตอนแรกตนนั้นอยากได้เกราะวิเศษแต่เหตุใดกลับรู้สึกอาลัยไม่สนใจเกราะกายสิทธิ์แทน พุทธรัตน์รู้สึกตกใจและฉงนในการกระทำของบิดาแต่ไม่ได้กล่าวอันใดจึงไดตัดสินใจลา
"ทูลลาเพคะเสด็จพ่อ " กล่าวเสร็จจึงเดินกลับไปพร้อมกับหิ่งห้อยยักษ์ สไบแก้วเห็นดังนั้นจึงทูลให้พระสวามีทัดทานแต่ไม่เป็นผล

" พระธิดาจะเสด็จไหนพระเจ้าค่ะ!!!"เสียงอันดังของคนที่เพิ่งเข้ามาทำให้พุทธรัตน์หันกลับไปมอง แล้วจึงเห็นพระมารดาตนอยู่กับคนผู้นั้น
" เสด็จแม่!!!!"
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มิถุนายน 23, 2018, 04:24:53 PM
" พุทธรัตน์หนีไปลูก ไม่ต้องห่วงแม่ "  สไบทองพูดให้ดวงใจหนีไปด้วยกลัวว่าจะเป็นอันตราย
" นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมสไบทองถึงมาอยู่ที่นี่ได้ " ท้าวพีรเชษฐ์กังขากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
" คือว่า..." สไบแก้วไม่อาจจะสรรหาคำพูดใดมาตอบองค์ภัสดา
"กระหม่อมจับมาเองพระเจ้าค่ะ " ชายชราที่จับตัวสไบทองทูลต่อเจ้าแผ่นดิน
" ไม่เห็นจะต้องทำขนาดนี้ เราขอให้ท่านปล่อยสไบทองเถอะ อย่าได้ทำร้ายนางเลยนะท่านปุโรหิต "  ท้าวเธอยังรู้สึกห่วงอดีตพระมเหสีอยู่บ้างจึงได้ออกคำสั่งกับคนที่จับพระนางไว้
"ไม่พระเจ้าค่ะ กว่าเกราะนี่จะมาไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะพระเจ้าค่ะ " ปุโรหิตยืนกราน
" ท่านปุโรหิต ปล่อยเสด็จแม่เราเถอะนะ ท่านอยากได้อะไรเราจะให้ท่านทุกอย่าง พุทธรัตน์อ้อนวอนต่อบิดาของสไบแก้ว
" ได้พระเจ้าค่ะ แต่พระธิดาจะต้องยกเกราะกายสิทธิ์ให้กับกระหม่อม" ผู้เฒ่าเสนอข้อต่อรอง
" เรายอมแล้ว ขอเพียงปล่อยเสด็จแม่ของเราก็พอ"
" อย่านะลูก!! " พระมารดาได้ค้านความคิดของพระบุตรี
หิ่งห้อยยักษ์เห็นท่าไม่ดีจึงคิดเข้าไปช่วยแต่มิอาจทำได้ด้วยเหตุเพราะมีมนต์ดำคุ้มกันไว้ไม่ให้เข้าไปใกล้
" ทหารมาเร็วเข้า ทหาร!! " เจ้าเมืองเรียกทหารอย่างร้อนรน ในขณะที่เจ้าเมืองเรียกอยู่นั้นพระธิดาได้ถอดเกราะกายสิทธิ์ออกปรากฏร่างอันพิการน่าสงสารของพระโอรสสุริยะมาแทนที่
" ปล่อยเสด็จแม่เราเถอะนะ แล้วเราจะให้เกราะกายสิทธิ์แก่ท่าน " พระโอรสพูดอย่างทุลักทุเล
"ไม่ได้พระเจ้าค่ะ พระโอรสต้องส่งเกราะมาให้กระหม่อมก่อนแล้วกระหม่อมจะปล่อย"
ท้าวพีรเชษฐ์ร้อนใจนัก เรียกหาทหารสักเท่าใดไม่เห็นใครมา ใครเล่าจะมา ในเมื่อมีคนของปุโรหิตขัดขวางอยู่ ท้าวเธอจึงตัดสินใจลงมาห้ามภอีกครั้ง
"หยุดนะ !!จะทำอะไรไม่สนเราเลยเหรอ ท่านไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้ ปุโรหิต "
" สนพระเจ้าค่ะแต่เกราะนี้ก็สำคัญไม่แพ้กัน " ชายชรากล่าวตอบพลางจับสไบทองไว้แน่นกว่าเดิม
" รับเกราะของเราไปเถอะ " พระโอรสส่งเกราะกายสิทธิ์ให้กับเฒ่าเจ้าเล่ห์ผู้นั้นอย่างมีหวังให้ปล่อยพระมารดา  แต่ทว่าเมื่อปุโรหิตได้เกราะวิเศษมาก็มิได้ปล่อยสไบทองแต่อย่างใดกลับมีจิตคิดสังหารเจ้าของเกราะด้วยซ้ำไป
"ฮ่าๆ เจ้ามันหน้าโง่ไม่เปลี่ยนแปลง วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าให้ตายซะ" พูดจบทันใดเฒ่าปุโรหิตก็ใช้เกราะกายสิทธิ์ทำร้ายพระโอรสในทันที พระบิดามิอาจทนเห็นพระโอรสวายชนม์จึงนำตนเองมากำบังทำให้สิ้นพระชนม์อย่างรวดเร็ว




หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มิถุนายน 23, 2018, 05:28:43 PM
"เสด็จพ่อ !! / เสด็จพี!! " พระโอรสสุริยะและพระมเหสีสไบทองร้องเรียกท้าวพีรเชษฐ์อย่างตกใจระคนกับเสียใจเป็นอย่างมาก 
สไบแก้วรีบวิ่งเข้ามาโอบกอดร่างอันไร้วิญญาณของพระสวามีอย่างใจแทบแหลกสลายน้ำตาไหลนองหน้า
" พวกเจ้าทำให้พระสวามีเราต้องตาย...ท่านพ่ออย่าได้ไว้ชีวิตพวกมัน " สไบแก้วบอกพ่อของตนเสียงสั่นสะท้าน
ปุโรหิตได้ยินดังนั้นจึงใช้เกราะกายสิทธิ์ทำการสังหารพระโอรสอีกครั้งเพราะคิดว่าไม่มีผู้ใดจะสามารถขัดขวางได้อีก
แต่ผิดคาด  ในขณะที่ใช้เกราะวิเศษอยู่นั้นมีแสงสีโกเมนสาดส่องมาต้านพลังของเกราะกายสิทธิ์ให้หายไป ซึ่งแสงนั้นมาจากสังวาลย์ของพระโอรสเพชรราหูแห่งท้าวธีรชัย ช่วงที่แสงสาดส่องสร้างความเจ็บแสบในดวงตาของผู้คนในท้องพระโรงอยู่นั้น เพชรราหูได้ชิงเกราะกายสิทธิ์จากปุโรหิตและนำพรรคพวกของตนออกมายังป่าบริเวณรอบเมืองรัตนบุรีในเพลาใกล้รุ่ง
" พวกเรารอดปลอดภัยแล้ว ต่อไปก็กลับกันเถอะ " พระโอรสแห่งเมืองคีรีมาศพูดพลางส่งเกราะกายสิทธิ์ให้พระโอรสสุริยะสวม แต่พระโอรสสุริยะไม่สวมเกราะกลับกอดไว้กันแสงพร้อมกับพระมารดา
" อะไรกัน จะร้องไห้ไปทำไมนัก..เอ่อ..พระเจ้าค่ะ ปลอดภัยก็ดีแล้วจะได้เกราะคืน ..เอ๊ย!!...กลับเมือง" ตุ๊บเท่งถามขึ้นอย่างสงสัยในกริยาของสองเชื่อกษัตริย์
" เสด็จพี่ปกป้องเรากับลูกให้พ้นอันตรายจนถึงแก่ชีวิต เราจะดีใจได้ยังไงกัน " สไบทองอาลัยองค์ภัสดาเป็นอย่างมาก
" เราไม่ดีเองที่เกิดมาพิการเป็นง่อย รังแต่จะทำให้เสด็จแม่กับเสด็จพ่อต้องลำบากพระวรกายและพระทัย มีเกราะกายสิทธิ์แล้วยังไง เราก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี "  สุริยะกล่าวโทษเป็นความผิดของตนอย่างเจ็บปวด
" อย่าพูดอย่างนี้เลยลูกแม่ ลูกไม่ผิดอะไร " สไบทองกอดลูกสะอื้นไห้ไม่หยุดหย่อน  สุดหล่อทนฟังเสียงร้องไห้ต่อไปไม่ไหวจึงเดินหนีไปไกลๆ หิ่งห้อยนิ่งเงียบไม่รู้จะปลอบอย่างไร เพชรราหูเห็นเช่นนั้นก็สังเวชทำได้ถอดถอนใจที่ไม่อาจช่วยคลายความเศร้าใจได้ ผ่านไปสักเพลาหนึ่ง แสงจากดวงอาทิตย์ได้สาดส่องลงมากระทบสังวาลย์มณีทำให้พระโอรสเปลี่ยนเป็นพระธิดาในอีกวัน...
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: NingM ที่ มิถุนายน 28, 2018, 03:31:15 AM
สู้ๆนะค่ะเอาใจช่วยอยู่เสมอ  w26
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กรกฎาคม 05, 2018, 09:11:35 AM
ขอบคุณคุณ NingM มากค่ะ เว้นมาเป็นอาทิตย์แล้วยังไม่ได้แต่งต่อเลยวันนี้พอมีเวลาว่างจะแต่งต่อค่ะ  w8 w8
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กรกฎาคม 05, 2018, 09:46:05 AM
" เกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกท่านถึงได้ร้องไห้กันขนาดนี้ " พระธิดาจินดาผู้ใส่สังวาลย์สีบุษราคัมถามขึ้นเมื่อพบกับคนสองคนกันแสงไม่หยุดหย่อน
ทางฝั่งพระมเหสีสไบทองและพระโอรสสุริยะได้ยินเสียงถามไถ่ก็มิอาจทำใจตอบได้ยังคงกันแสงต่อไป หิ่งห้อยยักษ์จึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้จินดาฟัง เมื่อจินดาฟังดังนั้นจึงนึกได้แล้วกล่าวกับสองแม่ลูก
" ได้โปรดหยุดกันแสงเถอะเพคะพระมเหสี พระโอรส กันแสงไปก็ไม่สามารถจะทำให้พระพีรเชษฐ์ฟื้นคืนมาได้หรอกนะเพคะ "
" เจ้าจะเข้าใจอะไรพวกเรา เจ้าไม่เคยสูญเสียเหมือนกับพวกเราทั้งสอง" สไบทองกล่าวตอบเสียงปนสะอื้นแล้วกอดลูกร้องไห้ต่อ
พระธิดาจินดามีหรือจะไม่เข้าใจความสูญเสียในเมื่อตนนั้นสูญเสียพระมารดาตั้งแต่ยังไม่รู้ความ ถึงจะไม่ใช่การสูญเสียที่รับรู้ในคราวแรกแต่เป็นการสูญเสียระยะยาวเสมอมาตลอดชีวิต
" หม่อมฉันอาจจะไม่เข้าใจแต่ว่า..หม่อมฉันยังพอมีวิธีที่จะทำให้พระพีรเชษฐ์ฟื้นคืนชีพมาได้เพคะ " จินดากล่าวขึ้นมาทำให้สไบทองหยุดร้องไห้หันมาด้วยความฉงนระคนกับดีใจ
" จะทำได้จริงเหรอ....แต่ว่าองค์เหนือหัวสิ้นไปแล้วจะกลับมาได้ยังไง "
" ทำได้เพคะ หม่อมฉันได้ดูดวงพระชะตาของพระองค์ยังไม่ถึงฆาต ตราบใดที่พระวรกายและพระวิญญาณยังอยู่ก็สามารถทำพิธีเรียกพระวิญญาณคืนสู่พระวรกายได้เพคะ "
"จริงเหรอช่วยเสด็จพ่อได้จริงๆใช่ไหม " สุริยะได้ยินสิ่งที่จินดาพูดจึงถามอีกครั้งให้แน่ใจ
" จริงสิ เราไม่โกหกหรอก สวมเกราะก่อนดีกว่าจะได้ช่วยพระองค์ต่อไป " พระธิดากล่าวพร้อมกับส่งเกราะกายสิทธิ์ให้พระโอรสสวม พระโอรสสุริยะรับเกราะมาสวมเปลี่ยนร่างจากพิการสู่ร่างที่สมบูรณ์ของพระโอรสอีกพระองค์คือพระโอรสภูมินทร์ผู้มีรัศมีแห่งความเมตตา   
 จากนั้นทั้งหมดยกเว้นตุ้บเท่งจึงได้ร่วมกันคิดวางแผนที่จะนำพระวรกายแห่งท้าวพีรเชษฐ์มายังป่านี้ต่อไป

หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กรกฎาคม 05, 2018, 10:52:04 AM
 ด้านฝั่งในวังเมืองรัตนบุรี เหล่าขุนนางและข้าราชบริพารทั้งน้อยใหญ่ได้ทราบข่าวการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์ผู้ครองเมืองสร้างความเสียใจและความแปลกใจแก่ทุกคนเป็นอย่างมาก แต่ถึงกระนั้นเหล่าขุนนางตัดสินใจที่ยังจะไม่บอกกล่าวแก่ประชาชนชาวเมืองที่อยู่นอกวังให้รับรู้การจากไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้
  ปุโรหิตเฒ่าไม่ต้องการให้เสียตำแหน่งจึงรีบกล่าวกับเหล่าขุนนางให้รีบแต่งตั้งพระโอรสบดิศรหลานของตนขึ้นครองราชย์ในทันที แต่ทว่าบดิศรยังไม่ต้องการเพราะยังเสียใจในการจากไปของพระบิดาที่ตนเพิ่งรู้ข่าวเมื่อตอนรุ่งเช้าเท่านั้น   
  ในขณะเดียวกันอำมาตย์เรืองรองนึกเคลือบแคลงสงสัยในตัวปุโรหิตว่าสาเหตุการสิ้นพระชนม์คราวนี้คงต้องเกี่ยวกับปุโรหิตเป็นแน่แท้ แต่มิอาจแสดงออกมาได้ต้องคอยดูท่าทีไปเสียก่อน
................................................
ในพระตำหนักใหญ่ที่มีพระวรกายของท้าวพีรเชษฐ์อยู่นั้น  มีแมลงภู่สองตัวบินมายังที่แห่งนี้เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีผู้ใดอยู่ในตำหนักจึงได้เปลี่ยนจากแมลงภู่กลับคืนสู่ร่างมนุษย์ดังเดิม พระโอรสภูมินทร์เมื่อคืนร่างได้กราบพระบาทของพระบิดาแล้วมองดูพระพักตร์ของพระบิดาตน ขณะเดียวกันกับสองตาหลานได้เดินมาและพูดคุยกันอยู่ด้านหน้าประตู
" ท่านตา ทำไมเสด็จพ่อถึงได้สิ้นพระชนม์ได้ในเมื่อในวังนี่แน่นหนาขนาดนี้ " บดิศรได้ถามขึ้นด้วยเพราะรู้สึกติดข้างอยู่ในใจ
" ก็พระโอรสสุริยะน่ะสิเป็นคนสังหารองค์เหนือหัว " ปุโรหิตตอบคำถามผู้เป็นหลาน
" ไอ้ง่อยน่ะเหรอท่านตา มันง่อยขนาดนั้นหลานก็รังแกมันตลอดมันจะทำอะไรใครได้กัน " หลานนึกฉงน
" ก็พระโอรสง่อยน่ะเป็นภูติผีปีศาจที่ยอมเพราะกลัวบารมีหลานน่ะสิ แต่เพราะแค้นองค์เหนือหัวจึงมาหลอกล่อแล้วฆ่าเสีย " ปุโรหิตนั้นรู้อยู่แก่ใจว่าอะไรเป็นอะไรแต่คิดจะหลอกให้หลานเชื่อใจจึงได้ตอบสิ่งเท็จเช่นนั้น
 ฝั่งพระธิดาจินดาได้ยินเช่นนั้นจึงเตือนพระโอรสภูมินทร์ ทั้งหมดจึงแปลงกายตนและเจ้าเมืองเป็นแมลงภู่พากันบินหนีไปเป็นเวลาเดียวกับที่บดิศรเปิดประตูมาแล้วพบกับความว่างปล่าวบนแท่นบรรทมแลเห็นแต่แมลงภู่ที่บินออกหน้าต่างไปจึงได้กล่าวออกมา
" เสด็จพ่อหายไปไหน ทำไมมีแต่แมลงภู่บินตัวติดกันออกไป"
ปุโรหิตได้ยินดังนั้นก็แจ้งใจในทันทีว่ามีคนแปลงกายมาพาพระวรกายท้าวพีรเชษฐ์ไป จึงได้สั่งเหล่าบริวารให้ตามจับแมลงภู่ แต่มิอาจจับได้เพราะแมลงภู่ได้บินสูงเสียดฟ้าเข้าในม่านเมฆไป แมงภู่ได้แปลงเปลี่ยนเป็นนกแก้วคาบผลองุ่นบินไปยังที่ที่ได้นัดหมายไว้ในป่าแล้วกลับกลายร่างเป็นคนดังเดิม ปุโรหิตเจ็บใจที่ไม่อาจขัดขวางได้แม้แต่แมลงภู่แต่ไม่จนหนทางเพราะรู้ว่าใครเป็นคนทำจึงได้ใช้มนต์ดำตรวจดูว่าอยู่กันที่ใดแล้วจึงตามไปพร้อมกับบดิศร
สไบทองเมื่อเห็นร่างของภัสดามีจึงได้กอดร่างอย่างอาลัย จินดาไม่รอช้ารีบบอกให้พากันไปอยู่ในถ้ำเพื่อให้ปลอดภัย
" แล้วพวกเราจะทำยังไงกันต่อไปล่ะท่าน " พระโอรสได้ถามกับพระธิดา
" เราจะสอนมนต์เรียกพระวิญญาณให้แก่ท่าน แล้วพวกเราก็แยกย้ายกันตามหาพระวิญญาณให้เข้าสู่พระวรกายภายในยามสอง " พระธิดากล่าวตอบ เมื่อสอนมนต์เสร็จจึงได้แยกย้ายกันออกตามหาพระวิญญาณโดยให้พระมเหสีและหิ่งห้อยยักษ์เฝ้าร่างในถ้ำ ก่อนแยกย้ายพระโอรสและพระธิดาได้ใช้มนต์มิติปิดหน้าถ้ำไม่ให้เข้าไปทำอันตรายได้...
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ เมษายน 20, 2020, 12:15:10 PM
ฝ่ายบรดิศรได้เดินทางออกตามหาก็พบกับถ้ำที่คาดว่าเป็นแหล่งพักพิงและกบดานของมนุษย​์ได้เป็นอย่างดี​ เขาไปที่ปากถ้ำแต่พบว่ามีมนตรากำบังปิดเอาไว้ด้วยความที่รีบร้อนจึงใช้มนตราและกำลังที่ตนได้ฝึกฝนกับผู้ให้กำเนิดมารดาเข้าทำลาย​มนต์​มิตินั้น​ แทนที่จะถูกทำลายกลับทำให้บดิศรต้องไปติดอยู่ในมิตินั้นแทน​
"นี่มันอะไรกัน!! ทำไมข้าถึงติดอยู่ที่นี่​ ปล่อยเราเดี๋ยวนี้นะ!!" เขาใช้มือทุบตีมิติที่แข็งราวกระจกกั้นแต่ไม่แตกง่ายดายเช่นนั้น​ ออกแรงไปได้สักพักต้องหยุดเสียเพราะอ่อนแรง
ด้านฝั่งของพระโอรสภูมินทร์ที่ตามหาวิญญาของพระบิดาได้มายังบริเวณกลางป่าที่อยู่ระหว่างทางเข้าเมืองได้เห็นแสงพระจันทร์​สาดส่องสว่างไสวแจ่มชัดเป็นที่สุดพลางคิดในใจว่า"หากเป็นเสด็จพ่อคงจะอยู่แถวนี้เป็นแน่" เพราะความสว่างคือหนทางที่ทุกผู้คนต่างต้องการ​ คิดดังนั้นแล้วจึงได้ตั้งจิตอฐิษฐาน​ให้ได้พบพระบิดาแล้วกล่าวออกมาว่า
"เสด็จพ่อเจ้าค่ะ ได้โปรดมาพบลูกเถิด​ ชะตาพระองค์ไม่ได้ถึงฆาต​ หากทันเวลาเราจะสามารถช่วยประชาราษฎร์​ให้พ้นภัยได้นะพระเจ้าค่ะเสด็จพ่อ" ในขณะที่​กล่าวสายตาของพระโอรสก็ได้มองหาพระบิดา
"ลูก.. ลูกของพ่อ.. เจ้าคือลูกของพ่อใช่หรือไม่"  เสียงของผู้เป็นบิดาดังขึ้นมาพร้อมความใกล้ชิดที่เข้ามาข้างกายผู้เป็นบุตร
" พระเจ้าค่ะเสด็จพ่อ​ " ภูมินทร์​ดีใจเป็นอย่างมากที่ได้พบกับพระบิดาแต่เมื่อรู้สึกตัวได้ว่ามีเวลาไม่มากสำหรับการคืนชีพจึงได้รีบพาวิญญาณ​ไปยังถ้ำที่ไว้ร่างนั้น​ เมื่อมาถึงจึงได้พบกับร่างสะท้อนในมิติที่เป็นของบดิศรนั่งอ่อนแรงอยู่
"เจ้าเป็นใคร​ ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!! "เมื่อทันทีที่ได้้เห็นคนผ่านมาหมายจะเข้าไปด้านในถ้ำจึงคำนวณได้ไม่ยากว่ามิตินี้เป็นฝีมือของใคร​ เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่พยายามทุบมิติเพื่อเรียกร้องการปลดปล่อยตนจากพันธนาการเสีย
"ภูมินทร์.. กับพระองค์​" จินดาพูดพลางมองไปด้านข้างกายอีกคน​สร้างความไม่เข้าใจให้กับผู้ถูกคุมขัง​ เขาเห็นอยู่กันแค่สองคนแล้วพระองค์​นี่หรือคือใครกัน
"ดีแล้วที่หาพบทันแต่เราไม่มีเวลามากนักคงต้องรีบเสียแล้วล่ะ" พูดพลางผ่าช่องมิติเปิดทางให้ได้เข้าไปด้านในกันทั้งสาม
" ไว้เสร็จ​กิจแล้วเราจะมาคุยด้วยนะบดิศร"กล่าวเสร็จก็รีบรุดเข้าไปทันทีสร้างความไม่พอใจเป็นอย่างมากต่อผู้ถูกเรียกทั้งที่ตนไม่รู้ว่าเขาเป็นใครแต่อีกฝ่ายกลับรู้จักตนเสียนี่
" เสด็จ​แม่​ ลูกมากับเสด็จพ่อแล้วพระเจ้าค่ะ"
"ไหนล่ะเสด็จพ่อของลูก แม่ไม่เห็นเลย" ดวงตาของนางมองหาอดีตภัสดาด้วยอาลัย
" ผู้ที่ใช้จิตตามอัญเชิญ​พระวิญญาณ​จะสามารถเห็นได้เพคะ​ เห็นทีต้องรีบทำพิธีแล้ว.. ภูมินทร์ท่านจำบทเรียกพระวิญญาณที่เราสอนให้ขึ้นใจดีแล้วใช่หรือไม่"จินดาตอบพระมารดาของสหายเฉพาะกิจแล้วถามอีกคนเพื่อความแน่ใจ
" เราจำได้ท่านไม่ต้องกังวล"
"ขอเชิญ​องค์เหนือหัวพีรเชษฐ์​ทรงประทับบนพระวรกายของพระองค์​เพคะ​ ตั้งจิตอฐิษฐาน​ตั้งมั่นแน่วแน่​ เริ่มสวดเรียกพระวิญญาณ​สู่ร่างได้"ท้าวเธอทำตามคำเชิญแล้วพนมมือตั้งจิตมั่นพร้อมกับโอรสาที่ท่องบทสวด  ส่วนผู้นำทำพิธีได้นำใบสรรพชีวีมาโรยรอบพระวรกายราวกับดอกไม้ร่วงงามยามสุขสันต์​แล้วทำการเจิมที่กลางหว่างคิ้วของพระราชาส่งผลให้ร่างกายและวิญญาณ​เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอีกครั้ง​ บัดนี้ทรงได้ฟื้นคืนชีวีมาแล้วนั่นเอง​ สไบทองดีใจและพอใจที่คนที่ตนรักยังไม่สิ้นสูญสลายไป​
"สำเร็จแล้วพระเจ้าค่ะพระโอรส" หิ่งห้อยยักษ์​กล่าวด้วยความยินดีต่ออีกผู้เป็นนาย
"สไบทอง..พี่กลับมาแล้ว" ทันทีที่รู้สึกตัวตนได้เข้าโผกอดหญิงอันเป็นที่รักโดยอีกฝ่ายได้รับความรู้สึกนั้นโดยวางความช้ำชอกจิตเมื่อคราก่อนไว้แล้วกล่าวกับสวามี
"เสด็จ​พี่ทรงกลับมาแล้ว​.. ภูมินทร์ได้ช่วยเสด็จพี่ไว้เพคะ" พลางมองมองไปยังพระบุตรตนที่​สรวลด้วยใจปิติ
"ไม่ใช่ลูกหรอกพระเจ้าค่ะ หากแต่เป็นพระธิดาจินดาที่่ได้ช่วยพระชนม์เสด็จพ่อไว้"
"เอาเป็นว่าเราร่วมมือกันจะเหมาะสมกว่าเพคะ" จินดาธิดาน้อยกล่าว
"จริงสิ.. แล้วบ้านเมืองเราล่ะ​ จะทำอย่างไรดี" เมื่อนึกขึ้นได้ท้าวเธอจึงรีบปรึกษาหาหนทางต่อ
"เท่าที่ลูกไปยังเมืองเพื่อนำพระวรกายเสด็จพ่อมา พบว่าบ้านเมืองยังสงบสุขอยู่พระเจ้าค่ะ ท่านปุโรหิตรอแต่ให้บดิศรขึ้นครองราชย์​เท่านั้น​" เมื่อกล่าวตอบพระบิดาพลันให้นึกถึงผู้ที่ถูกกล่าว​ ตัวเขายังอยู่ในมิติอยู่เลย
" จริงด้วย​ บดิศรยังอยู่ในมนต์มิติ​ เสด็จพ่อ​ เสด็จแม่​ ลูกขอไปนำบดิศรออกมาก่อนนะพระเจ้าค่ะ" ไม่ว่าปล่าวตัวก็รีบรุดไปทันที​ โดยมีจินดาและพี่หิ่งห้อยตามออกไป
" บดิศรตามเรามาถึงนี่เลยหรือ" สไบทองพึมพำออกมาด้วยความประหลาดใจ
"พี่ว่าบดิศรคงมาตามหาพี่​ อย่างไรเสียพี่ก็เป็นพ่อเขาคนนึงเช่นกัน"พีรเชษฐ์​กุมมืออีกฝ่ายแล้วตอบอีกฝ่ายเพื่อคลายกังวล
อีกด้านของถ้ำ​ทั้งสามได้มาพบกับบดิศร
"เราเสร็จกิจธุระแล้วบดิศร​" ภูมินทร์ปรากฏตัวต่อหน้าโอรสาผู้เป็นน้อง
"นี่มันอะไรกัน​ เสด็จพ่อข้าอยู่ไหน​ แล้วรู้ชื่อข้าได้ยังไงกัน!! "น้ำเสียงของอีกฝ่ายมีความโกรธาที่ปะทุอยู่รู้สึกได้ชัดเจน
"เราเป็นพระโอรสของเสด็จพ่อ​ เราอยู่ร่างเดียวกันกับสุริยะ​ เราพอจะรู้เกี่ยวกับท่านเพราะท่านเป็นน้องของเรา"
"ร่างเดียวกัน​ อะไรกันเจ้าพล่ามอะไร​ ไอ้ง่อยมันจะมีพี่น้องร่างเดียวกันได้ยังไง​ ที่สำคัญข้าน่ะไม่ใช่น้องไอ้ง่อยและก็เจ้าด้วย!!"
"มันเกิดจากเกราะกายสิทธิ์​ที่สวมใส่​ ช้ามากคงไม่ทันเล่าหรอก​ เอาเป็นว่าเรากับจินดาจะปล่อยท่านไปก่อนพระอาทิตย์​จะขึ้น"
" คนเช่นนี้เราไม่อยากปล่อยเลย​ ดูพูดกับท่านสิไม่ให้ความเคารพกันอีก" พระธิดาต่างเมืองกล่าวขึ้นมาด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย
" เอาเถอะยังไงเขาก็เป็นลูกคนนึงของเสด็จพ่อ​ เราไม่อยากบาดหมางใจด้วย​" อีกฝ่ายส่งสายตาขอความเห็นใจเพราะมนตรานี้จะต้องแก้ด้วยคนสองคนถึงจะหายไปได้​
" ได้เราตกลง" จากนั้นทั้งสองคนได้​บริกรรม​พระคาถาแต่ทว่าแสงจากดวงอาทิตย์​ได้สาดส่องมาทำให้วันนั้นเปลี่ยนไปกายคนก็เปลี่ยนตาม
" พระธิดาประกายพฤกษ์​พระเจ้าค่ะ" หิ่งห้อยยักษ์เรียกอีกคนเมื่อลืมตามองมายังมิติ
"นี่มันอะไรกันจ๊ะพี่หิ่งห้อย​ ทำไมบดิศรถึงได้ติดอยู่ในนั้น​ " พระธิดารัตนบุรีถามขึ้นด้วยความสงสัย
"จินดาขังใครไว้อีกล่ะนี่" เสียงเด็กชายพูดออกมาหลังจากรู้สึกตัว
"พระธิดาจินดากับพระโอรสภูมินทร์ทรงสร้างมนต์​มิติกันไม่ให้ใครล่วงล้ำไปในถ้ำเพื่อหาองค์เหนือหัวกับพระมเหสีพระเจ้าค่ะ" แมลงส่องแสงตัวใหญ่อธิบายให้สองเชื้อไขกษัตริย์​ฟัง​
"จินดา.. แล้วเขาไปไหนล่ะจ๊ะ"
" นางก็พักผ่อนน่ะสิ​ ออแล้วนี่คงเป็นเกราะกายสิทธิ์​ที่ร่ำลือกันล่ะสิ​ พวกเราก็เหมือนกับเจ้านั่นล่ะที่เปลี่ยนกันไปตามวัน" ศุภลักษณ์​ตอบแทน
" เปลี่ยน.. หมายถึงสังวาลย์​นี่น่ะเหรอ" พระธิดานึกสงสัยขึ้นมา
"ใช่.. สงสัยว่าจินดาคงนึกช่วยคนอีกตามเคยน่ะสิ​ ที่ขังไว้นี่ก็คงไม่ใช่คนดีเท่าไหร่มั้ง" เขาพูดพลางมองไปยังมิตินั้น
บดิศรที่ได้เห็นร่างที่เปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตาจึงประจักษ์​เกราะกายสิทธิ์ที่ว่าเมื่อถูกแสงดวงอาทิตย์​ของอีกวันสาดส่องมาจะทำให้เปลี่ยนคนได้อย่างน่าอัศจรรย์​โดยสังวาลย์นั้นก็ไม่ต่างกันเลย
" เมื่อไหร่จะปล่อยข้าไปสักทีล่ะ" บดิศรอดทักท้วงเสียมิได้เพราะตนถูกจองจำมานานแล้ว
"เราไม่รู้มนต์​อะไรนั่นของภูมินทร์หรอกนะ​ ถึงเรารู้เราก็ไม่ปล่อยเจ้าหรอก​ เท่าที่เรารู้เจ้าน่ะชอบรังแกสุริยะตลอด​ จ้างให้เราก็ไม่ทำ​... พี่หิ่งห้อยเราไปกันเถอะจะพี่หิ่งห้อยน้องอยากพบเสด็จพ่อเสด็จแม่​" ว่าแล้วก็เข้าไปพบบิดรมารดาทันที
"เจ้านี่ไม่ธรรมดาเลยนะชอบรังแกคนซะด้วย  ตอนแรกก็อยากจะช่วยนะ​ แต่เราเปลี่ยนใจดีกว่า​" ว่าแล้วก็กำลังจะจากไป​ แต่เสียงห้ามอีกคนก็ดังขึ้น
" หยุดนะ​!! ปล่อยข้าไปเดี๋ยวนี้!! " มือก็ทุบด้านหน้าอย่างแรงอีกครั้งแต่ไม่เป็นผลให้เสียหายได้เลย
" ถ้าเราปล่อย​เราจะได้อะไรล่ะ" อยู่ๆอีกฝ่ายได้หยุดแล้วสนใจขึ้นมา
" เจ้าอยากได้อะไรข้าจะให้ทุกอย่าง"  เขาเพียงบอกไปเช่นนั้นเอง​ หากออกไปได้คนคนนี้จะถูกจัดการเป็นคนแรกอยู่แล้ว
" งั้นเป็นข้ารับใช้ติดตามเราสิ  เราจะหาคนอีกคนมาช่วยแก้มนต์" ศุภลักษณ์​ยื่นข้อเสนอให้กับบดิศรด้วยความคึกคะนอง​ อีกฝ่ายมีทีท่าจะไม่ยอมตนจึงจะไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด
" ได้ได้ได้ข้ายอม​ จะใช้งานข้ายังไงก็เชิญ" เขารับปากเสียดื้อๆให้มันรู้แล้วจะหลอกตลบหลังเสีย
"เจ้านี่นะจริงๆเลย​ เพียงแค่อยากออกจากมิตินี่ถึงกับต้องยอมทุกอย่างเลย​ ข้าจะบอกอะไรให้นะมนต์​นั่นน่ะมีแต่จินดาที่รู้​ ถึงเรารู้เราก็ไม่ช่วยคนใจคดหรอกฮ่าๆ" ว่าแล้วก็จากไปยังลำธารโดยทันทีทิ้งไว้ให้อีกคนร้องตะโกนด้วยความโมโห
"ถ้าข้าออกไปได้นะ​ข้าจะหักคอเจ้า!! "เสียงเกรี้ยวกราดนั่นทำให้ผู้เป็นตามาพบ
" บดิศรหลานตาทำไมถึงโดนขังอย่างนี้"
" ก็พวกไอ้ง่อยน่ะสิท่านตา​ ใช้กลอุบายร่ายมนต์​ปิดปากถ้ำทำให้หลานต้องมาอยู่ในนี้"
" มนต์​นี่คือมนต์​อะไรกันแน่"
"มันคือมนต์​มิติไงล่ะ.." เสียงคนวัยชราผ่านมาทางนี้พอดี​ เมื่อพิศดูจะรู้ได้ว่าเป็นฤๅษี​อย่างแน่แท้
"ถ้าเช่นนั้นได้โปรดช่วยหลานข้าด้วยเถอะท่านฤาษี"
" ได้สิ.. ไม่ว่ายังไงข้าก็ต้องช่วยเราต่างก็เป็นข้ารับใช้พระเทวาเช่นกัน​ เอาล่ะท่องมนต์​ตามข้า" ว่าแล้วก็ได้สวดคาถาแก้ให้บดิศรหลุดจากพันธนาการได้สำเร็จ
"ท่านตาพวกมันเอาเสด็จพ่อไปไว้ในถ้ำ​ เราต้องไปเอาร่างเสด็จพ่อคืนมานะท่านตา" ว่าแล้วก็รีบไปในถ้ำนั้นทันที
"ท่านปุโรหิต​ บดิศร!!! " ท้าวพีรเชษฐ์​เรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความตกพระทัย
" เสด็จพ่อ​ เสด็จพ่อฟื้นแล้วเหรอพระเจ้าค่ะ​" บดิศรดีใจที่บิดาตนฟื้นคืนชีพแต่ต้องหยุดดีใจเมื่อพบอดีตพระมเหสีอริของมารดา

" เสด็จพ่อ​ พวกนี้สังหารเสด็จพ่อนะพระเจ้าค่ะ​ กลับมากับลูกเถอะนะพระเจ้าค่ะ" ตนก็ว่าไปตามที่รู้มาจากคำโป้ปดของผู้เป็นตา
"ไม่ใช่หรอก​ตาของลูกนั่นล่ะที่ผิด​ เขาใช้เกราะกายสิทธิ์ที่ชิงมาจะฆ่าพี่ของลูก  พ่อเลยต้องกำบังเอาไว้เลยถึงแก่ความตาย" ฝ่ายพ่อได้อธิบายแทนเพราะลูกของตนไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์​
"ถึงยังไงมันก็สมควรตายแล้วนี่พระเจ้าค่ะ​ กาลีบ้านกาลีเมืองเก็บไว้ก็รังแต่จะทำให้เดือดร้อน" เขาอ้างเหตุผล​เข้าข้างตาด้วยการทำนาย
" พ่อด่วนตัดสินใจไปเอง​ พ่อมันเห็นแก่ตัวเพราะกลัวลำบาก​จากภัยแล้ง พี่เขาก็ร่างกายไม่สมประกอบยังได้รับความลำบากมากถ้าไม่มีเกราะวิเศษเขาก็คงไม่รอด​ พ่อตัดสินใจผิดพลาดเองมันไม่ใช่ความผิดของสุริยะที่บ้านเมืองแห้งแล้งเลยสักนิด​ ยังไงซะเขาก็เป็นลูกเราทั้งสุริยะและอีกหกคน"
"เสด็จพ่อ​ .. "ประกายพฤกษ์เรียกด้วยประหลาดใจทั้งที่ท้าวนวดลผู้เป็นตาได้ว่ากล่าวเช่นนั้น​ ทำไมต่างกันเช่นนี้
" ไม่ได้​ ลูกเป็นลูกคนเดียวของเสด็จพ่อเท่านั้นพระเจ้าค่ะ..... เจ้า.. ตายซะเถอะ!! ​ " ว่าแล้วก็เข้าต่อสู้กับประกายพฤกษ์ทันที​ ในขณะที่ทั้งคู่ได้ต่อสู้กันฤๅษทมิฬก็ได้นำองค์​เหนือหัวหายตัวหนีไป
"เสด็จพี่!!  เสด็จพี่หายไปแล้ว" เจ้าตัวคว้าสวามีมิทันจึงได้ร้องเรียก​ ปุโรหิตได้ทีจึงจับตัวนาง​ นางพยายามสู้กับอีกคนแต่ไม่ไหวจึงร้องเรียกบุตรี
" ประกายพฤกษ์หนีไปลูก" เสียงนั้นเองทำให้สมาธิของประกายพฤกษา์สั่นคลอนจึงถูกบดิศรทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ​ หิ่งห้อยใช้ทีเผลอของปุโรหิตเข้าโจมตีชิงตัวมารดาผู้เป็นนายมาได้แล้วส่งแสงวาบทำให้มองไม่เห็นตัว​ แล้วจึงพาพระธิดากับพระมารดาหนีมายังลำธารอีกฟากกับศุภลักษณ์​ที่กำลังพักผ่อนอยู่
" นี่มันอะไรกันเหรอ​ พวกท่านยังปลอดภัยดีไหม" ศุภลักษณ์​ส่งเสียงถามคนที่อยู่อีกฝั่งของลำธารเมื่อเห็นทีท่าว่าไม่ดีเสียแล้ว
"พระโอรส.. เอ่อ..​ตอนนี้บดิศรสามารถออกมาจากมิติได้แล้วพระเจ้าค่ะ​ เกิดเรื่องใหญ่อีกด้วยที่องค์​เหนือหัวถูกฤๅษีพาหนีหายไปพระเจ้าค่ะ" หิ่งห้อยทูลต่ออีกฝั่ง
" ประกายพฤกษ์ลูกแม่​ ลูกเจ็บตรงไหนบ้าง" น้ำเสียงคนเป็นแม่สั่นคลอนที่ลูกตนถูกทำร้ายเช่นนี้
"ลูกไม่เป็นไรเพคะเสด็จแม่"ทั้งที่มีอาการบอบช้ำอยู่แต่บุตรีก็เลี่ยงที่จะบอกไปเพราะห่วงมารดาจะวิตก​ คนอีกฝั่งก็ได้ข้ามมาถึงอีกฝั่งพอดี
" บดิศรหลุดออกมาได้ยังไงกัน​หรือฤๅษี​นั่นจะเป็นคนช่วยกันนะ.. เอ่อพระมารดากับพระธิดาเสวยผลจุลภัยเสียก่อนเถอะ​ จะได้บรรเทาการอาการเจ็บปวดได้บ้าง" พระโอรสต่างเมืองไม่พูดปล่าวอีกทั้งยังส่งผลไม้ที่เล็กเท่าเม็ดมะยมแต่ส่องแสงประกายออกมา​
"ขอบใจมากนะ..เอ่อ.. เจ้าชื่ออะไรเหรอ"ประกายพฤกษ์รับผลพืชมาแล้วหวังขอบน้ำใจแต่หารู้ชื่อคนอีกฝ่ายไม่
" เราศุภลักษณ์​... ตกลงแล้วเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ทำไมถึงดูเป็นเรื่องใหญ่ซะขนาดนี้" เจ้าตัวตอบคำถามเสร็จแล้วจึงถามหาเรื่องราว​ เจ้าหิ่งห้อยยักษ์​ได้เล่าเหตุการณ์​ที่ผ่านมาให้ได้เข้าใจถึงเรื่องราว
"จินดาชุบชีวิตคนแบบนี้ยิ่งจะทำให้อายุสั้นลง​ เฮ้อจริงๆเลยเชียว" พระโอรสพูดถึงอีกคนในร่างที่มักจะตัดสินใจช่วยคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ
" อายุสั้นลงงั้นเหรอ​ เช่นนั้นแล้วเราขออภัยแทนพระสวามีของเราด้วยนะ​ เราไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นเลย" เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูด​ ตนก็อดละอายใจไม่ได้จึงได้กล่าวขอโทษไป
" ไม่ต้องหรอกพระเจ้าค่ะ​ ชีวิตเพียงหนึ่งปีที่สูญหายเทียบไม่ได้กับคนทั้งบ้านเมืองหรอกพระเจ้าค่ะ" เขากล่าวตอบพลางคิดในใจว่าไม่ควรพูดออกมาอย่างนั้นเลยแท้ๆ
" พระธิดา​ เสด็จแม่" เสียงตะโกนเรียกหานั้นทำให้รู้สึกไม่วางใจทั้งหมดจึงระวังตัว
"ใครน่ะ" ประกายพฤกษ์ถามอีกฝ่ายที่มองไม่เห็นตัว
" สุดหล่อเองพระเจ้าค่ะ​ น..เหนื่อยจังเล้ย" ไม่ว่าปล่าวยังล้มตัวลงนอนแอ้งแม้งด้วยเพราะเหนื่อยล้า
"นี่เจ้าหายไปไหนมาทำไมเพิ่งจะมาเอาวันนี้"หิ่งห้อยยักษ์​ถามตัวประหลาดขึ้นมา
"ไม่ได้ไปไหนมาหรอกก็ข้าน่ะพักกับพระธิดาปัทมาสน์​  ก่อนนอนพักข้าก็ไปหาผลไม้กิน​ แต่เจ้าผลไม้นี่สิกินไปคำเดียวก็สลบไปตั้งนาน​ เมื่อฟื้นข้าก็ตามมาเพราะ..เพราะเป็นห่วงเสด็จแม่และพระธิดานะพระเจ้าค่ะ" คำพูดสุดท้ายนั่นทำให้รู้สึกแปลกประหลาดในน้ำเสียงขึ้นมาเสียอย่างนั้น
" เจ้าห่วงเกราะกายสิทธิ์น่ะสิไม่ว่า"พระธิดาเธอรู้ดีว่าอเวจีน่ะจะมีสักกี่อย่างที่เขาห่วงกัน
" โถโถโธ่พระธิดา​ มีเรอะสุดหล่อจะไม่ห่วงเกราะกายสิทธิ์​ แต่สุดหล่อน่ะก็ห่วงเสด็จแม่และพระธิดาไม่แพ้กัน" คำพูดที่ออกมามีความจริงปนอยู่บ้างแต่ก็แฝงด้วยความปากหวานก้นเปรี้ยวไม่น้อย
" ฟังแล้วจะอ้วก​ อย่างเจ้าน่ะเหรอจะห่วงใครนอกจากของวิเศษ" หิ่งห้อยทนไม่ได้จึงพูดขัดคอ
" ของวิเศษมีประโยชน์อยู่แล้วใครจะไม่สนล่ะ"พูดถึงของวิเศษเขาก็มองหาสังวาลย์มณีสิ่งวิเศษ
" ไม่ต้องมองหานักหรอกของวิเศษที่เจ้าหมายปองก็อยู่ครบดี" ศุภลักษณ์​พูดขึ้นมาเพราะรู้ถึงความต้องการที่ตัวประหลาดมีชัดเจนดี
" แฮะๆ​ แหมพระโอรสล่ะก็​ สุดหล่อไม่ได้หวังแค่ของวิเศษหรอกพระเจ้าค่า" เขาพูดแสร้งตีหน้าเขินเข้าใส่
"อ.. โอ๊ย​ ปวด.. เราปวดเหลือเกิน" อยู่พระอาการของมเหสีเจ้าก็กำเริบขึ้นมาจุกเสียดที่หน้าอกเข้าอย่างจัง
"เสด็จแม่เพคะ​ เสด็จแม่ทรงเป็นอย่างไรบ้างเพคะ" พระธิดาเข้าประคองพระมารดา
"ประกายพฤกษ์​ แม่.. แม่ปวดอกเหลือเกิน" ความเจ็บปวดเข้าเล่นงานทรวงในจนต้องถึงกับกุมดวงใจไว้แน่นขนัด
" นี่มันอะไรกัน​ พระโอรสทรงให้เสวยผลจุลภัยแล้วนี่พะยะค่ะ" หิ่งห้อยถามขึ้นมาด้วยสงสัยถึงอาการเจ็บปวดนั้น
" หรือว่านี่จะเป็นคำสาปที่เกิดจากแม่มดเกลียวทองกัน" พระโอรสกล่าวขึ้นมาเนื่องจากปะติปะต่อเรื่องราวได้จากเหตุการณ์​ที่ฟังมาประกอบกับที่ผลจุลภัยไม่สามารถจะแก้อาการบาดเจ็บจากคำสาปได้
จึงอนุมานได้เป็นเช่นนั้น
" น่าจะ.. ใช่.. เพราะนางเคยบอกเราว่า.. ว่าต่อให้เราหนีไปไกลแค่ไหนก็.. ต้องกลับไป.. หานาง" เสียงของสไบทองกล่าวระคนความเจ็บปวดอย่างสาหัส
"ไม่ได้การแล้วล่ะ​ อย่างนี้พวกเราต้องกลับไปยังโกสุมพิสัยก่อนแล้วค่อยหาวิธีช่วยเหลือท้าวพีรเชษฐ์​ทีหลัง" พระโอรสต่างเมืองกล่าว
" พวกเเราจะรอช้าไม่ได้แล้ว.. ​ ไปกันเลยเถอะจะพี่หิ่งห้อย"พระธิดาเจ้าเมืองได้พาระมารดาขึ้นบนหลังหิ่งห้อยยักษ์แล้วมุ่งหน้าไปยังเมืองที่แม่มดได้ครอบครอง
" สุดหล่อไปด้วยพระโอรส​"เพราะตัวขึ้นหิ่งห้อยยักษ์​ไม่ทันจึงขอร้องอีกคนแทน
" ได้สิ​ จับขาเราไว้ให้ดีๆล่ะ" กล่าวแล้วก็เร่งรุดใช้เมฆนำพาเหาะตามกันไป​  ทั้งหมดเดินทางกันไปยังเมืองโกสุมพิสัยแล้วถึงในเวลาค่ำ​เพื่อพบกับแม่มดเกลียวทอง
"แม่มดเกลียวทองเจ้าอยู่ไหนออกมาเดี๋ยวนี้นะ"เสียงเรียกของพระธิดาแสดงความไม่พอใจต่อคนที่ตนหาอยู่เป็นอย่างมาก
" เราอยู่นี่​  ครั้งที่แล้วมาทำเราเสียสายตาหมด​ ดีนะที่เราร่ายคำสาปใส่แม่ของเจ้าแล้ว​" เกลียวทองเดินออกมายิ้มชอบใจในความคิดของคำสาปที่ให้ไว้ซึ่งเป็นผลดีกับตนก็คราวนี้
" จันทราภาทำอย่างนั้นก็สมควรแล้วล่ะ​ รีบแก้คำสาปให้เสด็จแม่ของเราเดี๋ยวนี้ก่อนที่จะไม่มีดวงตาไว้ดูโลกอีกเลย" ประกายพฤกษ์บอกไปเพื่อที่จะได้ช่วยแม่ของตนให้พ้นจากความทรมานนี้
" ดูพูดขู่เข็ญเราเข้าสิ​ หึ  นี่เหรอผู้ขอแก้คำสาป​ ทางที่ดีนี่นะรีบนำเกราะกายสิทธิ์​มาให้เราดีกว่า​ ไม่เช่นนั้นเราจะทำให้เป็นยิ่งกว่านี้" แม่มดสาวว่าพลางใช้ฤทธิ์ของตนเข้าทำร้ายวรกายมเหสีหมายมุ่งให้ทรมานร้าวรานไปทั้งกายา
"เสด็จแม่!! แม่มดเกลียวทองเจ้าทำร้ายเสด็จแม่ของเรา​ เราจะทำให้เจ้าแก้คำสาปให้เสด็จแม่" พระธิดาเข้าสู้กับแม่มดร้าย​ นางใช้เล่ห์เพทุบายร่ายมนตราให้เห็นตนมีหลายร่าง​หวังหลอกล่อให้อีกฝ่ายสับสนแล้วโจมตีทวีความทรมานให้กับพระมารดา
"เจ้าน่ะมีปัญญาแต่รังแกเด็กผู้หญิง​ กับคนที่ไม่มีทางสู้งั้นเหรอแม่มดเกลียวทอง" เสียงจะศุภลักษณ์​กังวานขึ้นมาแต่กลับไม่เห็นตัว
"ไม่ใช่แค่นั้นหรอก​ แม้แต่เจ้าก็ด้วย​ เจ้าเป็นเด็กไม่มีทางสู้ล่ะสิถึงได้เอาแต่หลบอยู่อย่างนั้น" ร่างทุกร่างของนางแม่มดได้พูดพร้อมกัน
" อ้าวๆจะว่าอย่างนี้ก็ไม่ถูกสิ​ เราก็สู้คนนะ​ ลองผงนี่หน่อยเป็นไง" กล่าวแล้วเขาก็โยนผงพิษไปยังร่างทั้งหมดของนาง​ ทำให้นางร้อนดวงตามอดไหม้เพราะนั่นเป็นฤทธิ์จากยาพิษที่ตนคิดขึ้นเอง​ จนเหลือแต่ร่างจริงปรากฏอยู่
" เจ้า​ เจ้าเอาผงยามาได้ยังไงกัน​ " นางหันหน้าหาเสียงให้ทั่วแม้ดวงตาจะมองไม่เห็นก็ตาม
" ห้องเจ้าน่ะหายากนักเหรอ​ ขอโทษนะ​ เรามันพวกชอบหาของเล่นพอดี​ เรามียาแก้ด้วยนะจะเอาไหมล่ะ" พระโอรสกล่าวกับอีกฝ่าย
"เอายาแก้มาให้เราถ้าไม่อยากตาย!!!" นางขู่อีกคนหวังให้อีกคนกลัวตนเหมือนที่เคยทำมา
" เอาใหม่สิ.. แก้คำสาปให้พระมเหสีแล้วเราจะให้ยาแก้ผงนี่​ ออ​ ได้ข่าวว่ามีแค่ขวดเดียวนี่นาอีกไม่นานคงบอดสนิท" เขาไม่ลดละยื่นเงื่อนไขใหม่ให้กับอีกฝ่าย
" รีบแก้คำสาปให้กับเสด็จแม่เราเดี๋ยวนี้ถ้าไม่อยากตาบอดสนิท"พระธิดารีบเสริมให้อีกฝ่ายยอมรับ
"คำสาปนั่นนะต้องใช้เลือดเราเท่านั้นล่ะมาแก้​ แต่แก้ได้ยังไงล่ะ​ ก็เรามองไม่เห็นอย่างนี้"  นางก็ยังคงยืนยันคำเดิม
เสียงขวดโหลแก้ว​ตกแตกหลายชิ้นเนื่องจากศุภลักษณ์​จงใจทำมันตกเช่นนั้นเพื่อให้อีกฝ่ายยอมรับข้อเสนอ
" ต่อไปขวดไหนดีล่ะ​ เอาขวดสีมรกตนี่ดีกว่ามั้ยนะ​ จะได้หมดเรื่องไป"
" เจ้าทำลายยาของเราไม่ได้นะ​ ถ้าทำอย่างนั้นเราจะไม่ให้เลือดเราเลย"
"ยอมดีๆก็จบแล้วลีลาอยู่ได้​ เอากริชรีดเลือดออกมาเดี๋ยวนี้เลย" เสียงที่เล่นอยู่ก็ค่อยเปลี่ยนเป็นเสียงจริงจังของพระโอรสที่ส่งสิ่งมีคมให้​พร้อมเอาภาชนะมารองรับ
" เร็วเข้าสิ​ เสด็จแม่เราจะทนไม่ไหวแล้วนะ" ประกายพฤกษ์รีบทวงเมื่อเห็นว่าอีกคนชักช้าไม่ทันใจ








หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ เมษายน 20, 2020, 12:17:13 PM
" รู้แล้ว  เราก็ทำอยู่นี่ไง"เกลียวทองเมื่อกรีดเอาโลหิตตนออกมาแล้วนั้นร่างที่สาวสะพรั่งก็กลับกายเป็นร่างหญิงชรามีอายุมากแต่ยังคงเค้าโครงเดิมของรูปร่างอยู่บ้าง
"แล้วทำยังไงต่อล่ะ" พระธิดาเมื่อได้รับเลือดแม่มดได้ถามขึ้นเพราะไม่รู้วิธีแก้
"เอาเลือดเราไปสัมผัสกับมือนางแค่นี้คำสาปก็หายแล้ว" เมื่อได้ยินดังนั้นพระบุตรีได้ประคองพระมารดานำพระหัตถ์​ลงยังภาชนะรองโลหิตแล้วนั้นคำสาปที่มีอยู่ในวรกายได้หายเป็นปกติ
"เรา.. เราหายปวดแล้ว​ ประกายพฤกษ์แม่หายเจ็บปวดแล้วลูก" เมื่ออาการนั้นได้หายไปเธอก็โอบกอดลูกยาด้วยความดีใจ
" พวกเราไปกันเถอะพระเจ้าค่ะพระมเหสี​ พระธิดา" หิ่งห้อยยักษ์​ได้บอกให้นายตนรีบไปยังที่แห่งอื่นจะได้ไม่เกิดอันตรายถึงตัวอีก
"ไปกันเถอะเพคะเสด็จแม่" ว่าแล้วก็ได้พากันเดินทางออกจากเมืองไปโดยศุภลักษณ์​ยังคงอยู่กับเกลียวทอง
"แล้วยาเราล่ะ​ ไหนล่ะจะให้ยาแก้แก่เรา" แม่มดร่างชราถามหายาแก้พิษ​ร้ายต่อดวงตาที่มองไม่เห็น
"อยู่นี่" พระโอรสยื่นโอสถให้ตรงหน้านางแต่ยังไม่ส่งให้
"เอามาให้เรานะ" มีนาง​ขวักไขว่​ไปทั่วเพื่อจะคว้าเอายา
"รับดีๆนะ" เขาจงใจปล่อยขวดยาสุดท้ายนี้ลงเข้ากับพื้นเสียงแตกกระจายดังพร้อมๆกับไฟที่ลุกโชนมาจากฝั่งห้องยาของนาง
"เจ้า.. เจ้ามันไร้สัจจะ​ ถ้าเรารอดไปได้เราจะไม่ไว้ชีวิตเจ้า!!!" นางว่ากราดไปตัวก็พยายามตะเกียกตะกายหนีความร้อนของอัคคี
"ถึงวันนั้นแล้วค่อยว่ากันนะ​ เราไปล่ะ​ สุดหล่อเราไปกันเถอะ" ว่าพลางเรียกเมฆามาพาเหาะขึ้นฟ้า
"พระเจ้าค่ะ.. ฮ่าๆสมน้ำหน้านักมายุ่งกับของวิเศษข้า​โดนดีเข้าแล้วสิ" อเวจีได้จับที่ข้อพระบาทตามติดไป​ ตามจริงแล้วศุภลักษณ์ได้วางแผนการที่จะตลบหลังแม่มดเกลียวทองโดยตนมุ่งหน้าไปยังพระตำหนักเก่าที่กลายเป็นห้องยาและสมุนไพรเพื่อหายาพิษและยาแก้พิษนั้นแล้วให้ตุ้บเท่งรอสัญญาณเพื่อที่จะได้เผาเมืองไปพร้อมกับนาง
.....
ทางฝั่งเมืองรัตนบุรีบดิศรกับตาได้กลับมายังพระราชวังเมื่อพบกับความผิดคาดที่ฤๅษี​คนนั้นเอาองค์เหนือหัวพีรเชษฐ์​ไป
"ท่านพ่อ​ เป็นอย่างไรบ้าง​จ๊ะ ทำไมถึงกลับมาแบบนี้แล้ว.. แล้วพระวรกายองค์เหนือหัวล่ะจ๊ะ" นางถามหาร่างสวามีด้วยใจห่วงหาแม้เหลือแต่กายาเท่านั้น​ นางเห็นท่าทีดูแล้วรู้สึกว่าพวกนางกำนัลอยู่ด้วยแล้วล้วนขัดหูขัดตานางจึงให้พวกข้ารับใช้ออกไปยังด้านนอก
"เสด็จพ่อทรงฟื้นพระชนม์ชีพแล้วพระเจ้าค่ะเสด็จแม่" บดิศรตอบแทนผู้เป็นตาที่มีอารมณ์​ค่อนข้างเสียและมัวแต่ครุ่นคิดอยู่
"จริงเหรอบดิศร.. แล้วนี่ลูกทำไมถึงรอยช้ำตามตัวแบบนี้" นางได้เข้าไปดูลูกชายของตนใกล้ๆด้วยความเป็นห่วงของแม่
"จริงพระเจ้าค่ะเสด็จแม่​ แถมเสด็จพ่อยังเข้าข้างพวกไอ้ง่อยนั่นอีก​ ทรงรักมันไม่เห็นใจลูก ลูกเลยสู้กับมันแต่มันก็มีแรงไม่น้อยเลยพระเจ้าค่ะ" ไม่ตอบปล่าวยังฟ้องร้องว่าตนนั้นรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอีกด้วย
" องค์เหนือหัวไม่น่าทำกับลูกเช่นนี้เลย​ ตอนนั้นไล่มันไปแล้วแท้ๆอีกทั้งสัญญาว่าจะรักลูกยิ่งกว่าใคร​ ลูกเป็นลูกคนเดียว"
" มันก็น่าโมโหยิ่งกว่าที่ฤๅษี​ตนนั้นทำทีว่าจะมาช่วยพวกเราแต่ลักพาเอาองค์พีรเชษฐ์​ไปจนได้" ปุโรหิตพูดแล้วตนก็รู้สึกเจ็บใจอย่างยิ่งยวด
"ฤๅษี​ตนนั้นทำไมเหรอจ๊ะท่านพ่อ​ ท่านถึงได้วางใจ"
" มันช่วยบดิศรมาจากมนต์มิติและมันก็บอกพ่อว่าพวกเรารับใช้พระเทวาเหมือนกัน​ สงสัยว่าคงหมายถึงเทพวิษุวัติพ่อเลยวางใจ"
" แล้วอย่างนี้เราจะทำยังไงกันต่อไปดีล่ะจ๊ะ" สไบแก้วถามขึ้นมาด้วยความร้อนใจ
"เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน​  มีลางร้ายก็ยังปรากฏลางดี​ นี่ล่ะเป็นโอกาสแล้วที่บดิศรจะขึ้นครองบัลลังก์​"
" แต่ว่าเสด็จพ่อยังทรงไม่สิ้นแล้วหลานจะทำแบบนั้นได้ยังไงล่ะจ๊ะท่านตา​"หลานไม่แน่ใจนักกับความคิดนี้ด้วยเห็นพ่อสำคัญ
" แต่ชาววังเขาก็รู้กันว่าสิ้นแล้วแต่ไม่รู้ว่าฟื้นนี่​ บดิศรเจ้าลองตรองให้ดีสิ​ ระหว่างอำนาจบัลลังก์​กับเสด็จพ่อที่รักพระนางสไบทองและพระโอรสธิดาฝั่งนั้นมากกว่าเจ้า​ เจ้าไม่เห็นประโยชน์จากสิ่งไหนมากกว่ากัน"เขาใช้สองมือจับบนไหล่หลานรักเพื่อเพิ่มส่งต่ออารมณ์​คำพูดนั้น
" ได้จะท่านตา​ หลานจะครองบัลลังก์​นี้เอง"เมื่อคิดดูแล้วตนก็ตัดสินใจทำตามแม้จะขัดแย้งอยู่บ้างก็ตาม
" พรุ่งนี้​เตรียมตัวประกาศกำนดพิธีขึ้นครองราชย์ได้เลย​ ชักช้าไปกว่านี้คงไม่ได้แล้ว​ "ปุโรหิตพูดขึ้นด้วยสีหน้าพอใจต่อคำตอบรับของพระโอรสองค์รองของเมืองรัตนบุรีแล้วตระเตรียมทำธุระต่อไปในวันรุ่งขึ้น
---
ที่พนาไพรไม่ใกล้กับเมืองโกสุมพิสัยแต่ไม่ไกลจากเมืองรัตนบุรีทั้งหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์​แลข้ารับใช้ได้มาพำนักอยู่
" ศุภลักษณ์​ทำไมถึงมาช้านักล่ะ" ประกายพฤกษ์ถามขึ้นมาหลังจากอีกคนเพิ่งจะตามมาถึง
"เราก็เอายาแก้พิษ​ให้แม่มดเกลียวทองนั่นล่ะ​ แล้วระหว่างทางก็เก็บผลไม้กับสุดหล่อมาฝากเจ้ากับเสด็จน้าด้วย" เขาพูดพร้อมกับยกยิ้มอย่างสบายใจ
"นี่พระเจ้าค่ะเสด็จแม่​ พระธิดา" อเวจีว่าแล้วก็นำผลไม้มาถวายให้ทั้งสองแต่กลับไม่ให้หิ่งห้อยยักษ์​กินจึงได้ตีกันเหมือนทุกครั้งไป​ แต่พระธิดาก็แบ่งส่วนของตนเองให้พอที่จะปรามให้หยุดทะเลาะกัน
"ขอบใจมากนะสุดหล่อ​และเราก็ขอบพระทัยพระโอรสด้วยนะที่ช่วยเหลือเรา"สไบทองรับผลไม้มาแล้วกล่าวขอบใจในน้ำใจผู้ที่ช่วยเหลือ
"ไม่เป็นไรหรอกพระเจ้าค่ะ​ หม่อมฉัน​เต็มใจ"
"เอาล่ะเราว่าเรารีบกินแล้วก็นอนเอาแรงหน่อยดีกว่าวันนี้เจอเรื่องมาทั้งวันแล้ว" มเหสีออกความเห็นแล้วทั้งหมดจึงทำตามที่กล่าวพักผ่อนกันจนถึงรุ่งเช้า
แสงสุริยันผันผ่านมาถึงอีกวันหนึ่งแล้วนั้นพระธิดากลายกลับเป็นโอรส​ พระโอรสก็ได้เปลี่ยนเป็นพระธิดาเช่นกัน
" ที่นี่ที่ไหนกัน​ เจ้าตัวแสบพาตัวมาถึงนี่เลยเหรอ"ทันนทีที่ตื่นบรรทมพบว่าตนไม่ได้อยู่ในตำหนักเลยแต่หากเป็นป่าใหญ่เสียแทน
"อื้อ..หลับสบายจังเล้ย..อ๊ะ!! พระธิดา​เหรอ​ ตื่นบรรทมแล้วเหรอพระเจ้าค่ะ" ตัวประหลาดตื่นขึ้นมาก็เข้าทักทายอีกคนที่ตื่นมาก่อนหน้านี้ทันที
" เจ้าเป็นใคร​ แล้วทำไมมีคนอื่นอยู่ด้วยล่ะ รู้ได้ยังไงว่าเราเป็นพระธิดาน่ะ" เธอถามด้วยความสงสัยขึ้นมาจากคำเรียก
"ก็ก็..พระโอรสแห่งคีรีมาศน่ะร่างเดียวกับพระธิดานี่นาทำไมล่ะสุดหล่อจะไม่รู้"ตัวก็ตอบไปตามจริงที่รู้
"ใช่แล้วล่ะพระเจ้าค่ะพระธิดา" หิ่งห้อยยักษ์​ตอบด้วยเสริม
" หิ่งห้อยตัวใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ​ เราเพิ่งเคยเห็นแหะ"เธอมองแมลงตัวนั่นด้วยความสนใจ
"ตัวมันก็ใหญ่อย่างนี้นะพระเจ้าค่ะ​ กินเยอะอีกตะหาก"อเวจีได้ทีก็หยอดลงไป
" กระหม่อมก็ตัวใหญ่เช่นนี้ล่ะพระเจ้าค่ะพระธิดาเพราะต้องคอยดูแลหิ่งห้อยตัวอื่น​ แต่เท่าที่เห็นมาทำไมพระธิดากับพระโอรสไม่เห็นจะดูประหลาดใจกับเจ้าอเวจีเลยนะพระเจ้าค่ะ" หิ่งห้อยก็ทูลถามด้วยสงสัยมานานแล้ว
" สุดหล่อตะหากเล่าเรียกให้ถูกสิโธ่"เขาทักท้วงกับคำเรียกที่แปลกไปจากที่ตนชอบ
" ออราชสีห์นี่น่ะเหรอ​  พวกเราเคยเห็นแล้วล่ะไม่ใช่แค่เคยเห็นหรอกนะแต่พวกเราเป็นศิษย์​ของฤๅษี​ราชสีห์​หน้าตาเช่นนี้ด้วย.. ว่าแต่เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่น่ะ​ ศุภลักษณ์ถึงได้มาอยู่ที่นี่กับพวกเจ้า" เธอตอบแล้วถามถึงสาเหตุที่ผู้ร่วมร่างได้มาอยู่กับคนแปลกหน้าได้
หิ่งห้อยยักษ์​ได้เล่าเรื่องราวให้พระธิดาต่างเมืองฟัง​ ขณะเดียวกันพระโอรสศนิวารและพระมเหสีสไบทองก็ได้ตื่นพระบรรทมแต่ไม่อยากให้ขัดจังหวะพระนางจึงพากันกับพระบุตรไปหาเก็บผลไม้มาให้
" ฮั่นแน่พระโอรสลืมสัญญาของสุดหล่อรึปล่าว" จู่ๆเจ้าตัวประหลาดก็โผล่หน้ามายังพุ่มไม้ที่ศนิวารเก็บอยู่ทำให้เผลอตีหน้าไปด้วยความตกใจ
"โอ๊ยพระโอรสน่ะใจร้ายนัก​ แค่ทวงของแค่นี้ถึงกับตีสุดหล่อเลยเหรอ" เขาออกมาจากพุ่มไม้แล้วถามอีกคน
"เราปล่าวนะ​ เจ้านั่นล่ะผิดอยู่ๆก็ออกมาใครบ้างจะไม่ตกใจ"
"โถโธ่โธ่​ สุดหล่อแค่อยากล้อเล่นบ้างเท่านั้นน่าไม่เห็นต้องลงมือเลย"
"ก็สมควรอยู่หรอกเห็นเราเป็นเพื่อนเล่นอยู่ได้"เด็กน้อยบอกพลางเก็บผลไม้
" ตายๆอย่าเปลี่ยนเรื่องสิน่า​พระโอรสสัญญาแล้วนี่จะจบเรื่องแล้วจะคืนเกราะกายสิทธิ์​ให้น่ะ"เจ้าตัวเริ่มทวงสัญญาทันที
" นี่เรียกว่าหมดเรื่องเหรอ​ เสด็จแม่ก็ทรงลำบาก​ เสด็จพ่อยังถูกลักพาตัวไปอีกนี่นะ​ คุยวันหลังเถอะ" ศนิวารเริ่มอารมณ์​ไม่ดีขึ้นมาเมื่อนึกถึงเรื่องที่แม่ตัวเองเล่าแล้วยังต้องมาฟังคำทวงไร้สาระสำหรับเขาเสียอีก
" ก็ได้ๆ​ เสด็จ​แม่สุดหล่อช่วยถือเถอะนะพระเจ้าค่ะ" ว่าแล้วก็เข้าช่วยอีกคนหวังเอาใจเวลาคืนเกราะวิเศษจะได้ไม่ยุ่งยาก​ แล้วทั้งหมดก็มาถึงได้รวมตัวกันกินผลไม้ที่หามา
"เอานี่ไปกินสิเจ้า.. " โอรสตัวไม่รู้ชื่ออีกฝ่ายเลยเอาวางผลไม้ลงมืออีกคนอย่างเสียดื้อๆแทนที่จะเรียกชื่อ
" เราเมธาวี​ ขอบใจนะ​ ว่าแต่เจ้าชื่อ.. " อีกคนรู้ท่าทีจึงบอกชื่อก่อนแล้วค่อยถามอีกฝ่าย
"เราศนิวาร รีบเถอะจะได้ไปช่วยเสด็จพ่อ" ตัวเองกลัวเสียเวลาจึงไม่อยากพูดให้มากความแต่กลับพูดห้วนเกินไปจึงทำให้อีกคนไม่สบอารมณ์
"เราก็กินเร็วอยู่แล้วไม่ต้องมาสั่งหรอก​ เรามาช่วยนะไม่ได้มารับคำสั่งใคร"เธอตอบแล้วจึงรีบเสวยโดยเร็ว
"เราก็ไม่ได้ขอนี่.." เขาตอบยังไม่ทันเสร็จมารดาก็ไว้เสียก่อน
" ศนิวารไม่เอาสิลูก​ อย่าทำอย่างนี้เราต้องถนอมน้ำใจกัน​"นางพูดพลางลูบศีรษะ​บุตรเป็นเชิงสั่งสอน
"พระเจ้าค่ะเสด็จแม่"
"ฤๅษี​ที่ว่านั่นหม่อมฉันว่าน่าจะเป็นฤๅษี​ทมิฬเพคะ"เมธาวีทูลต่อมเหสีต่างเมือง
"ฤๅษี​ทมิฬ​เขาเป็นใครกันเหรอ" พระนางสนใจขึ้นมาจึงได้ถามขึ้น
"เท่าที่หม่อมฉันทราบนะเพคะ​ ฤๅษี​ทมิฬเป็น​ฤๅษี​ศิษย์​ร่วมสำนักกับพระอาจารย์​ของหม่อมฉันเพคะ​ เขาเป็นคนที่บูชาเทพวิษุวัติมากหวังว่าจะได้รับใช้สักวัน​ แต่หารู้ว่าจะมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร" พระธิดาต่างเมืองก็ได้เล่าเรื่องที่ตนรู้มา
"แล้ว​อาศรม​ของฤๅษี​ทมิฬ​นั่นอยู่ที่ไหนกันล่ะ"ศนิวารถามขึ้นด้วยร้อนใจกลัวภัยจะถึงบิดาสาหัส
" ฤๅษี​ทมิฬ​น่ะชอบเปลี่ยนที่อยู่ตลอดมีก็แต่ท่านตาที่รู้​ เอาเป็นว่าเราไปหาท่านตาที่อาศรมป่าจินตภพกันจะได้ถามให้รู้เรื่อง"
ธิดาเธอแนะถึงวิธีที่ดีที่สุด
"ป่าจินตภพเหรอ​ แล้วมันอยู่ที่ไหนกันล่ะ" โอรสเขาถามต่อด้วยเพิ่งได้รู้จักป่านี้
"มันหาไม่ได้แค่ตาเปล่าหรอก​ ที่ไหนก็ไปถึงได้ถ้าใจสื่อถึงน่ะ" อีกคนอธิบาย
"เจ้าหมายความว่ายังไง" อีกคนฉงนในคำพูด
"เราหมายความว่าต้องตั้งจิตประสานกันไปที่อาศรมท่านตาแล้วก้าวเข้าสู่ทิศบูรพาเจ็ดก้าวก็ถึงที่พักของท่านตาแล้ว" ธิดาเธออธิบายต่อไปจนจบ
"มันมีวิธีเข้าอย่างนี้ด้วยเหรอ" ศนิวารค่อนข้างสับสนกับสิ่งที่ได้ยินว่าเป็นความจริงหรือไม่
"มีสิป่าจินตภพน่ะ​อยู่ทุกหนแห่งแต่ต้องใช้จินตภาพร่วมด้วยในการจะเข้าไป​ จะว่าเข้าง่ายก็ง่ายแต่ถ้าจิตไม่นิ่งพอและไม่รู้วิธีก็อย่าหวังจะได้เข้าเลย​ มิหนำซ้ำอาจจะได้แผลมาไม่น้อยด้วย" พระโอรสได้ฟังดังนั้นจึงทำจิตใจเย็นลงเพื่อจะได้เข้าไปถามข้อมูลเพื่อตามหาพระบิดา
"เอาล่ะเราพร้อมแล้ว" ศนิวารบอกพร้อมกับเตรียมตัวหันไปทางด้านทิศตะวันออก
" ศนิวารระวังตัวนะลูก" สไบทองเตือนลูกด้วยห่วงใย
" พระเจ้าค่ะเสด็จแม่" พระโอรสรับปากพระมารดา
" พนมมือแล้วหลับตานึกถึงพระอาศรมพร้อมกับเรานะ" เมธาวีพูดพร้อมทำดังคำพูด​ และแล้วอาศรม​พระฤๅษี​ได้ปรากฏในสายตาทั้งสองคู่นั้น
"เราไปกันเถอะ" ว่าแล้วทั้งคู่ได้เดินทั้งเจ็ดก้าวจนหายวับไปต่อหน้าต่อตาพระมเหสีและบริวารทั้งสอง
" ลูกเราจะไม่เป็นอันตรายใช่ไหม" เกิดความกังวลใจในหัวอกคนเป็นแม่ขึ้นมา
" มีพระธิดาเมธาวีอยู่ด้วยคงไม่เป็นอันตรายหรอกพระเจ้าค่ะ" หิ่งห้อยทูลตอบเพื่อให้เจ้านายคลายกังวลแต่ตนก็อดห่วงไม่ได้​ เช่นเดียวกันที่อเวจีห่วงของวิเศษจะเป็นรอยเอาได้
..........
ขณะเดียวกันด้านฝั่งเมืองรัตนบุรีก็ได้มีการเตรียมจัดทำพระราชพิธีราชาภิเษก​ให้กับพระโอรสบดิศรที่นับว่าเป็นองค์ทายาทผู้เดียวที่เหลืออยู่แม้จะผ่านวันสิ้นพระชนม์​ของกษัตริย์​องค์ก่อนได้ไม่ทันครบเจ็ดวัน
"ตาให้โหราจารย์​ดูฤกษ์ที่เร็วที่สุดให้​ เขาบอกว่าพรุ่งนี้ดีที่สุดเพราะเป็นวันพระอาทิตย์​ทรงกลด​เหมาะแก่การเฉลิมชัยยิ่ง" ปุโรหิตได้พูดกับหลานตนพลางมองเหล่าข้ารับใช้ในวังเตรียมงานกันขันแข็ง
"วันเฉลิมชัย​ ท่านตาหมายความว่ายังไงกัน​ เราจัดการพวกไอ้ง่อยได้ไม่ราบคาบเลยนะจ๊ะ" บดิศรฉงนกับคำกล่าวของผู้เป็นตา
" นี่ล่ะจะเป็นวันจัดการทุกอย่างให้จบสิ้น​ เทพวิษุวัต​ได้บอกกับตาเมื่อคืนนี้ว่าฤๅษี​ทมิฬคือข้ารับใช้ที่จับตัวองค์เหนือหัวไว้เพราะต่อรองกับพวกมัน​ พอจัดการได้แล้วเมืองนี้ทั้งเมืองจะเป็นของเรา​ เกราะกายสิทธิ์​ก็จะเป็นของเทพวิษุวัติ"
" อย่างนี้ก็เท่ากับว่าเราทรยศเสด็จพ่อน่ะสิท่านตา"
"นี่หลานจะใจอ่อนไม่ได้นะ​ ยังไงซะองค์เหนือหัวกลับมาก็ต้องยกเจ้าพระโอรสนั่นขึ้นเป็นยุพราชแน่​ ทุกอย่างที่ตากับแม่เจ้าทำมาก็จะสูญเปล่า​ เจ้าทนดูได้เหรอ​ แลกกับพ่อที่ไม่รักเจ้าแล้วยังไงก็ต้องคิดให้ดี  ไม่มีใครมาว่าเราได้เมื่อเราขึ้นเป็นเจ้าเหนือหัว​ เข้าใจมั้ย"
" เข้าใจจะท่านตา"เขาตอบรับพลางคิดแล้วก็เจ็บใจที่พ่อนั้นสนใจรักลูกคนอื่นอีกครั้งทั้งยังเพิ่มมาอีกหกคน​ ตนคงไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วจริงๆ
..........
ที่ป่าจินตภพทั้งสองเนื้อหน่อ​กษัตรา​ได้เข้ามายังหน้าอาศรมนี้เมื่อลืมตามองไปรอบๆ​จะพบพืชพรรณ​แปลกตามากมายรวมถึงสัตว์ที่ไม่คุ้นตาเอาเสียเลย พิศได้ครู่ฤๅษี​เจ้าของอาศรมก็ได้ออกมาต้อนรับขับสู้โดยปรากฏหน้าค่าตาหลายเป็นเผ่าเดียวกันกับตุ้บเท่งตามที่เล่าไว้
"ท่านตา​ หลานมีเรื่องให้ช่วยเจ้าค่ะ" ธิดาน้อยพนมมือกล่าวกับอาจารย์​ตน
"ฤๅษี​ทมิฬ​น่ะเหรอเขาน่ะอยู่อีกฟากของรัตนบุรีนั่นล่ะ"
"ท่านรู้.." ศนิวารพูดขึ้น
"รู้สิพระโอรสศนิวาร แล้วเราก็รู้ด้วยว่าจะเกิดศึกอาทิตย์​ทรงกลดขึ้นด้วย" ฤๅษี​เฒ่าตอบพลางยิ้มด้วยรู้ดีถึงเหตุการณ์​ที่กำลังจะเกิดขึ้น
" ศึกอาทิตย์​ทรงกลด... คืออะไรหรือเจ้าคะท่านตา"
" พรุ่งนี้เทพวิษุวัติจะใช้รัตนบุรีเป็นสถานที่​ทำศึกเพื่อนำสิ่งวิเศษที่พวกท่านสวมใส่ไป"
" แล้วเทพวิษุวัต​จะมาเอาเกราะกายสิทธิ์​ไปทำไมล่ะ​ท่านฤๅษี​ ไหนจะสังวาลย์​มณีนี่อีก" ศนิวารอดสงสัยไม่ได้
"เขาก็มีเหตุผลเขานั่นล่ะ​ อยากรู้ก็ถามเขาสิ​ เอาล่ะหมดเวลาแล้วกลับไปได้"
" เดี๋ยวสิท่านตา​ ท่านตา!! "  นักบวชมิฟังได้ร่ายคาถาด้วยไม้เท้าให้ลมพัดมาทั้งสองออกจากจินตภพนั้น​จนเซล้มลงตรงหน้าพระพักตร์​มเหสีผู้เฝ้ารอ
" ศนิวาร​ เมธาวี​ เป็นยังไงบ้าง" ตนเห็นดังนั้นจึงเข้าไปดูทั้งสอง
" ไม่เป็นไรพระเจ้าค่ะ/เพคะ"ทั้งสองคนตอบพร้อมกัน
" ดีนะเนี่ยที่ของไม่เป็นรอย"สุดหล่อพูดขึ้นเมื่อมองสิ่งวิเศษทั้งสอง​ ทำให้เจ้าของมองอย่างไม่พอใจ
"ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะเจ้าอเวจี​ หัดห่วงคนอื่นบ้างไม่ใช่แค่ของวิเศษ"หิ่งหัอยยักษ์​สั่งสอนอีกตนให้รู้จักอะไรเสียบ้าง
" เป็นยังไงบ้างลูกข่าวคราวของเสด็จพ่อ" สไบมองเริ่มถามอีกครั้งเมื่อพบว่าบุตรยังปลอดภัยดี
"เสด็จพ่ออยู่กับฤๅษี​ทมิฬที่ป่าอีกฟากของเมืองพวกเราพระเจ้าค่ะ"
" อย่างนั้นเรารีบไปช่วยเสด็จพ่อกันเถอะศนิวารอย่าช้าเลย" มารดาเร่งรุดให้ไปเสียทันทีก่อนมิทันการแล้วทุกคนก็เดินทางมายังป่าอีกฟากพบกับอาศรมของฤๅษี​ทมิฬ​
"ฤๅษี​ทมิฬ​ ปล่อยเสด็จพ่อเรามาเดี๋ยวนี้นะ" ศนิวารได้พูดออกมาเมื่อมาอยู่หน้าอาศรมฤๅษี​เฒ่า
" ฮ่าๆ​ คิดว่าบอกให้เราปล่อย​ เราจะยอมปล่อยให้ง่ายๆงั้นเหรอ"เสียงชายชรากล่าวตอบมาแต่ไร้ซึ่งร่างปรากฏ​
"จะหลบอยู่ทำไมน่ะ​ ไม่ออกมา​เพราะไม่กล้าอย่างนั้นเหรอ" พระโอรสท้าทายอีกฝ่าย
" ตัวเจ้าก็แค่นี้​ ถ้ากลัว​เราน่ะก็ไม่ใช่ข้าพระเทวาแล้ว"
"มาสู้กับเราสิอย่าเอาแต่หลบ"พระโอรสเข้าไปดูด้านในอาศรมแต่ไม่พบฤๅษี​แต่แล้วลำแสงก็พุ่งมาจากบนต้นไม้ลงมายังอาศรม
"ศนิวารระวังลูก!! " มารดาเห็นเช่นนั้นจึงเตือนภัยแก่ลูกยาทำให้เขารู้ตัวหลบทัน
"อยู่ไหนนะ" เมธาวีพยายามมองหาจากต้นกำเนิดแสงแต่ไม่พบ​แต่กลับมีหุ่นพยนต์​ที่เสกจากฟางข้าวรูปคนนับสิบกระโดดลงมาจากต้นไม้นั้น
"ท่าไม่ดีแล้ว​ พี่หิ่งห้อยพาเสด็จแม่ไปหลบก่อนเถอะ" พระโอรสบอกขณะที่หุ่นพยนต์​ทั้งสิบมาล้อมตนเองกับพระธิดาต่างเมืองไว้เป็นวงกลม
"พระเจ้าค่ะพระโอรส​ พระมเหสีพระเจ้าค่ะไปกันเถอะพระเจ้าค่ะ" หิ่งห้อยยักษ์​มารอรับพระมารดาเพื่อจะนำพาพระนางไปยังที่ปลอดภัย
"ไม่​ เราไม่ไปไหนทั้งนั้น​ ลูกเรายังอยู่นี่ทั้งคนน่ะเราจะไปได้ยังไง" สไบทองคัดค้านความคิดที่จะทิ้งบุตรตนให้เจออันตรายลำพัง
"ไม่ไปก็ไม่ไปสิ​ งั้นมาอยู่ในนี้ก็แล้วกัน​  จงเข้าไปน้ำเต้าอมฤต​!! " โยคีเฒ่าปรากฏ​ตัวพร้อมกับใช้น้ำเต้าดูดกลืนร่างของพระมารดา​ หิ่งห้อยยักษ์​และตัวราชสีห์​หน้าประหลาดนี่ไปด้านในทันที
" เสด็จแม่!!! "  ศนิวารพยามยามเข้าไปช่วยแต่ไม่อาจช่วยได้เพราะหุ่นพยนต์​ไปยอมปล่อยไปง่ายๆ​ จึงต้องเข้าต่อสู้ต่อยตีฟัดเหวี่ยงเสียให้วุ่น
"พระฤๅษี​ท่านไม่เห็นจะต้องทำอย่างนี้เลยนี่ คุยกันดีๆไม่ได้เหรอ" เมธาวีช่วยอีกคนสู้เหล่าบริวารปลุกเสกพร้อมกับถามดาบสผู้นี้ไปพลาง
" เรารับใช้พระเทวาวิษุวัต​ ไม่ว่าอะไรที่เราช่วยได้เราก็จะช่วย​ อย่าคิดมาขวางเราเลย  ของวิเศษนั้นน่ะเจ้าใช้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์​หรอก​  พรุ่งนี้​เทพท่านจะมายังเมืืองรัตนบุรีแล้วจะคืนสู่พระองค์ตามสมควรแล้ว" ชายชราตอบอีกฝั่ง
" เทพวิษุวัตอะไรนั่นน่ะ​ ถ้าจะหาคนมารุมรังแกกันขนาดนี้นะ​ อย่าได้เรียกตัวเองว่าเทพเลยเถอะมันน่าละอายนัก!! " พระโอรสพูดประชดอีกฝ่ายขณะสู้กับหุ่นพยนต์​ที่ไม่ว่าจะล้มกี่ครั้งก็กลับมาสู้ได้อยู่ดี
" เจ้าอย่ามาปากดี​ ชีวิตพ่อแม่เจ้าอยู่ในกำมือเราแล้ว​ ระวังเถอะจะไม่เหลืออะไรเลย" คนมีใจบูชาต่อเทพผู้นี้ไม่สบชะตาเข้าไปอีกเมื่อได้ยินคำพูดประชดส่อเสียดต่อเทพเหนือเกล้าตน
" ศนิวาร​ ขืนยังเสียเวลาสู้กับพวกนี้อยู่พวกเราจะหมดแรงเอาได้นะ" เธอพูดกับสหายร่วมสู้ของตน
" งั้นเราอย่าเสียเวลาเลย​ ไหนๆแล้วสิ่งวิเศษก็อยู่กับเราก็ต้องใช้ประโยชน์​อย่าให้ใครมาว่าเราได้" ว่าแล้วทั้งสองพระอง​ค์จึงใช้สิ่งวิเศษ​คู่กายทั้งสองปลดปล่อยพลังทำลายล้างจนเกิดระเบิดไฟลั่นไปทั้งบริเวณ​ ส่งผลให้หุ่นพยนต์​ทั้งหมดเสียหายไม่อาจสู้ได้อีก​ ทั้งสร้างความเจ็บปวดย้อนกลับไปยังเจ้าของอีกด้วย
" ร้ายนักนะเจ้าเด็กพวกนี้!! "ดาบสเฒ่าใช้พลังจากไม้เท้าเข้าหมายทำร้ายทั้งสองศัตรูแต่ทั้งสองได้ร่วมมือกันใช้พลังจากสิ่งวิเศษสองสิ่งพร้อมกัน​ รวมแล้วได้พลังที่มากกว่าหลายเท่าจนท้ายสุดฤๅษี​ทมิฬ​ก็​เพลี่ยงพล้ำ​ จนร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส​ส่งผลให้หมดเรี่ยวแรงจะต่อกรต่อไปได้
" เสด็จพ่อเสด็จแม่​ พี่หิ่งห้อย​ ตุ้บเท่ง" ศนิวารเมื่อสู้เสร็จได้รีบปรี่ไปเข้าไปเอาน้ำเต้าออกมาจากข้างกายของโยคีที่นอนไร้แรงอยู่​ แล้วได้เปิดฝาน้ำเต้าออก
"จงออกมาทั้งหมด​น้้ำเต้าอมฤต!! " กล่าวจบร่างทั้งสี่ก็หลุดจากที่คุมขังออกมายังภายนอก
"โอ๊ยปวดตัวจริงๆเล้ย"อเวจีออกมาก็ออกปากบ่นทันที
" จะบ่นอะไรนักหนาแทนที่จะขอบพระทัยพระโอรสศนิวารกับพระธิดาเมธาวีน่ะเจ้านี่หนิ" หิ่งห้อยติเตียนอรกตน
"เสด็จพ่อเสด็จแม่พระเจ้าค่ะ" ด้วยความดีใจที่พระบิดาและพระมารดายังคงปลอดภัยดีจึงได้เข้าไปหาแล้วกอดบุพาการีอย่างไม่เขินอาย
" ศนิวารลูกไม่เป็นอะไรใช่มั้ย​ บาดเจ็บตรงไหนรึปล่าว"เมื่อผละจากการกอดได้ผู้เป็นแม่ก็ได้ถามไถ่ลูกด้วยความเป็นห่วง
"ลูกไม่เป็นอะไรเลยพระเจ้าค่ะ" ลูกยาแย้มสรวลส่งไปให้มารดาสบายใจ
"ลูกไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วล่ะ​ แล้วนี่เป็นใครกัน" ผู้เป็นพ่อได้ถามขึ้นเมื่อเห็นคนไม่คุ้นตาคนหนึ่งกับตัวประหลาดอีกหนึ่งเพิ่มมาด้วยเนื่องจากตอนอยู่ในน้ำเต้าตนได้สลบอยู่รู้ตัวอีกทีก็ออกมาอยู่ด้านนอกพร้อมกับชายา
" หม่อมฉันเมธาวีเพคะ​ หม่อมฉันมาช่วยตามประสงค์​ของแสงสุรีย์​เพคะ"เมื่อได้ยินดังนั้นตนก็แนะนำตัวไม่ให้ผู้ใหญ่กว่ารอนาน
"ข้ากระหม่อม​มีชื่อว่า​ สุดหล่อ​ พระเจ้าค่ะ​ "ราชสีห์​หนุ่มไม่รอช้ารีบแนะนำตัวตามมาติดๆ
"เราว่าเราหาพักเอาแรงก่อนดีไหม​ พรุ่งนี้ค่อยกลับวังกัน"พีรเชษฐ์​กล่าวเสนอข้อคิดเห็น











หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ เมษายน 20, 2020, 12:20:18 PM
"เห็นสมควรตามนั้นเพคะ​ เพราะพรุ่งนี้เทพวิษุวัตจะมาที่เมืองรัตนบุรี​ ไม่ใช่เรื่องดีแน่" พระธิดาต่างเมืองทูล
"เทพวิษุวัต​มีอะไรกับพวกเราถึงว่าไม่ดีล่ะ" ท้าวเธอฉงนกับคำกล่าวจากเด็กผู้หญิงคนนี้
"ก็เทพวิษุวัตน่ะสิเพคะ​ เป็นคนที่อยากจะได้เกราะกายสิทธิ์​จึงส่งคนมาหมายจะทำร้ายพระองค์เพื่อจะแลกกับสิ่งนั้น"
" ตอนแรกที่ได้ยินคำทำนายของพระฤๅษี​ที่ป่าจินตภพลูกก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งหรอกพระเจ้าค่ะ" พระโอรสกล่าวเสริมแล้วกล่าวต่อไปว่า"แต่พอมาผเชิญหน้ากับฤๅษี​ทมิฬ​ที่พูดเรื่องการมาในวันพรุ่งของพระวิษุวัต​ ทำให้มีน้ำหนักด้านความเป็นจริงขึ้นมา"
" พระอาจารย์​ของหม่อมฉันมักทำนายทายทักแม่นยำเสมอเพคะ​ พรุ่งนี้จะเป็นวันสำคัญที่พระอาทิตย์​จะทรงกลดด้วยเพคะ"
" วันสำคัญที่พระอาทิตย์​ทรงกลด​ สำคัญยังไงกันน่ะ"สไบทองถามขค้นมาด้วยสงสัยในท่าที
" วันพระอาทิตย์​ทรงกลดจะทำให้ร่างทั้งเจ็ดได้แยกออกจากกันหนึ่งวัน​ พอหมดแสงอาทิตย์​จะกลับสู่ร่างเดียวตามเดิมเพคะ​ หม่อมฉันนึกว่าทรงทราบแล้วเสียอีก"พระธิดาตอบไปก็ประหลาดใจพลางนึกไปว่าพวกเขานั้นไม่ได้รู้เรื่องนี้ด้วยงั้นหรือ
" เราไม่รู้หรอกพระธิดา​ ลูกเราเพิ่งจะได้เกราะกายสิทธิ์​มาใช้เมื่อไม่ถึงเดือนนี่เอง" นางได้ไขกังขาให้เด็กน้อยได้ฟัง
" อ๋อ.. อย่างนี้นี่เอง​ พระอาจารย์​ยังเคยบอกว่าหากเกิดสุริยคราส​ ร่างทั้งเจ็ดจะสามารถแยกออกจากกันได้ถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนเพคะ​ แต่ว่า.. ทางที่จะแยกออกจากกันอย่างถาวรยังเป็นที่กังขาอยู่เพคะ" เมธาวีก็รู้อยู่เพียงเท่านี้เอง
" แสดงว่าพรุ่งพวกเราทั้งเจ็ดคนจะออกมาพร้อมกันงั้นเหรอ"ศนิวารถามย้ำเพื่อให้แน่ใจ
" เรื่องนี้เราก็ไม่แน่ใจเกี่ยวกับเกราะกายสิทธิ์​นั่นเท่าไหร่หรอก​ เรารู้แต่ส่วนของเราน่ะ​ คงต้องดูกันอีกที" เธอตอบด้วยเพราะยังไม่รู้ของอีกฝั่งว่าจะมีปรากฏ​การณ์เช่นเดียวกับสังวาลย์​มณีหรือไม่
" ยังไงพรุ่งนี้ไม่ว่าพวกเราจะสามารถแยกร่างกันได้เหมือนพวกเจ้าหรือไม่​ ยังไงซะพวกเราทั้งหมดก็ต้องร่วมมือกันต้านทานอันตรายจากเทพวิษุวัต​ที่ไม่รู้ว่าจะมาแบบไหนด้วย"  เขาตอบด้วยเชื่อใจในสุริยะ​ หากแม้ว่าจะไม่ได้ออกมาแต่เชื่อว่าจะต้องสู้จนสุดใจเช่นเดียวกับตน
อรุณรุ่งขึ้นเวียนวนครบบรรจบขึ้นมาเป็นวันอาทิตย์​ทั้งสองสิ่งวิเศษเปลี่ยนสี​ เช่นเดียวกันกับที่บุคคลเปลี่ยนไป
" วันนี้คงต้องเสด็จเข้าเมืองรัตนบุรีเร็วเสียหน่อยพระเจ้าค่ะพระโอรส​ พระธิดา" เสียงเจ้าหิ่งห้อยบอกกล่าวให้เตรียมตัวเดินทางเร็วขึ้นกว่าเดิม
" มีอะไรเหรอจ๊ะพี่หิ่งห้อย​ ทำไมถึงต้องเดินทางเร็วด้วยล่ะ  เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ก็ปลอดภัยดีแล้ว" สุริยะถามด้วยตนเห็นว่าบิดรมารดาก็อยู่ดีไม่เห็นต้องรีบร้อนเลย
" แต่ว่ารัตนบุรีอาจจะไม่ปลอดภัยนะพระเจ้าค่ะ​ เพราะองค์เทพวิษุวัต​จะเสด็จมา" หิ่งห้อยกล่าวตอบ
"จะเสด็จ.. แล้วไม่ดีตรงไหนเหรอจ๊ะพี่หิ่งห้อย"
" พระโอรสศนิวารและพระธิดาเมธาวีทรงพบกับพระฤๅษี​ที่ป่าจินตภพ​ ท่านทำนายไว้ว่าจะเกิดศึกอาทิตย์​ทรงกลดในวันนี้พระเจ้าค่ะ​ ซึ่งศึกนี้นำโดยพระวิษุวัตพระเจ้าค่ะ"
" ศึกอาทิตย์​ทรงกลด​ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่นะ​ ทำไมต้องทรงทำเช่นนี้ด้วยล่ะ​ " พระโอรสกล่าวด้วยความวิตกเล็กน้อย
" รู้แต่เพียงว่าทรงต้องการเกราะกายสิทธิ์​เท่านั้นพระเจ้าค่ะ​ ส่วนเหตุผลที่ทรงต้องการนั้นไม่มีใครรู้เลยพระเจ้าค่ะ" แมลงตัวใหญ่ตอบ
" พวกเราออกเดินทางกันเลยดีกว่านะ​ จะได้ให้ชาวเมืองและทหารเตรียมการณ์รับมือได้"พีรเชษฐ์​เสนอเพราะตนไม่อยากเห็นชาวประชาล้มตายโดยไม่รู้เรื่องใดด้วยเลย
" พระเจ้าค่ะเสด็จพ่อ​ " ว่าแล้วทุกคนก็มุ่งเดินทางสู่เมืองรัตนบุรีทันที
.....​
ฝ่ายด้านในวังรัตนบุรีนั้นปุโรหิตได้จัดแจงแต่งกายและเตรียมตัวให้กับหลานชายเพื่อเข้าพิธีขึ้นครองราชย์​ ​์โดยมีองค์วิษุวัติมาร่วมอำนวยอวยชัย
"ท่านตา​หลานไม่สบายใจเลยจะ" บดิศรกล่าวพลางถอนหายใจหนักหน่วงหลังจากที่แต่งกายเสร็จแล้ว
"หลานไม่สบายใจเรื่องอะไรกันล่ะ​ วันนี้เป็นวันที่ดีนะ​ เจ้าจะมีอำนาจเหนือผู้คนทั้งหลาย​ ไม่ต้องกลัวอาญาถึงตาย​ ใครก็หมายรับใช้พวกเรา" ผู้เป็นตาพูดขึ้นเมื่อหลานได้มีท่าทีไม่สบายใจเอาเสียมาก
" เสด็จพ่อจะทรงคิดเช่นไรที่หลานรับบัลลังก์ต่อโดยพละการเช่นนี้​ ทั้งหลานยังกังวลใจเหลือเกินว่าเรื่องปกครองจะทำได้ไม่ดีพอ"พระโอรสองค์รองนึกกังวลขึ้นมาเสียอย่างนั้น
" จะทรงคิดเช่นไรก็ทรงคิดไปสิ​ เมื่อทำพิธีแล้วเจ้าก็เป็นใหญ่เหนือทุกคน​ ถึงเวลานั้นพระองค์ก็ไม่อาจทัดทานอำนาจที่เจ้ามีไปได้หรอกนะหลานตา" ปุโรหิตพูดให้หลานตนนั้นสบายใจ​ แต่นั่นไม่ได้ทำให้สบายใจเท่าใดนักด้วยเพราะบดิศรยังรักและห่วงหาพระบิดาเสมอ​และคิดเกี่ยวกับตนเองว่าไม่พร้อมก็ไม่ควรขึ้นครองบัลลังก์​ เขาฟังคำผู้เป็นตาแล้วได้แต่พยักหน้า​ไม่พูดอะไรต่ออีก​ เพียงแค่รอเวลาที่จะได้เช้าพิธีราชาภิเษกเท่านั้น
..
"เจ้าว่าอะไรนะ​ วันนี้จะมีพิธีราชาภิเษกเรอะ!!" เจ้าตัวประหลาดที่เอาผ้าปิดหน้าตนไปพูดคุยกับชาวบ้านกลับได้รับข่าวที่น่าประหลาดใจ
"ก็ใช่น่ะสิ​ นี่ล่ะนะในวังตีกลองให้รู้กันว่าพระราชาองค์​ก่อนน่ะสิ้นแล้วและมีประกาศแจ้งมาว่าทรงสิ้นนานแล้วแต่เพิ่งประกาศเพื่อความมั่นคง​ วันนี้พระโอรสบดิศรจะทรงเข้าพิธีราชาภิเษกเพื่อเป็นกษัตริย์​องค์ต่อไปของรัตนบุรี" ชาวบ้านก็ตอบตามคำถาม
เจ้าสุดหล่อได้ไปดูลาดเลามาแล้วจึงทูลเล่าเรื่องราวที่ได้ยินมาให้องค์เหนือหัวฟัง
" อะไรนะ​ บดิศรจะขึ้นครองราชย์!! "ท้าวเจ้าเมืองกล่าวด้วยตกพระทัย​ เหตุใดหนาพระโอรสที่เชื่อใจจึงได้ทำ เช่นนี้
" เรายังไม่ตายและก็ยังไม่สละราชสมบัติ​ ทำไมถึงได้ทำกับเราเช่นนี้นะ" เขากล่าวต่อไปด้วยความสับสน
"เสด็จพี่เพคะ​ หม่อมฉันว่าควรเข้าไปเขตพระราช​ฐาน​แล้วถามให้รู้เรื่องกันเสียก่อนดีไหมเพคะ" สไบทองแนะพระสวามี
"ดี​ พวกเราไปกันเถอะ" ท้าวเธอก็ตอบรับ
"เสด็จพ่อเสด็จแม่พระเจ้าค่ะ​ เสด็จไปกับพี่ห้องหิ่งห้อยก่อนเถอะพระเจ้าค่ะ​ ไว้ลูกเตือนชาวเมืองแล้วลูกจะรีบตามไป" สุริยะกล่าว
" เราไปด้วย" แสงสุรีย์พูดหลังจากที่เงียบมาเสียนานเพราะกำลังคิดถึงการเกิดของอาทิตย์ทรงกลดอยู่
"เช่นนั้นแล้วพ่อกับแม่จะไปกับพี่หิ่งห้อยของลูกก่อน​ ระวังตัวด้วยนะลูก​ พระธิดา" สไบทองตอบรับ
" พระเจ้าค่ะ/เพคะ"ทั้งสองก็ตอบรับที่จะระวังตัว​ อย่างน้อยๆก็พกอเวจีไปคงไม่น่าเป็นปัญหาอะไร​ สิ้นการสนทนาลงก็แยกย้ายเป็นสองฝั่ง
"วันนี้เป็นวันดีไม่ใช่เรอะ​ องค์​เทวาจะมาอวยพรด้วยหนิ​ จะให้พวกเราระวังภัยอะไรล่ะพูดจาแปลกๆ" ชาวบ้านถามขึ้นเมื่อได้ยินเสียงประกาศเตือนกลางเมืองนั้น
"เอาเถอะน่า​ พวกข้าบอกให้หลบก็หลบไปก่อน" ตุ้บเท่งเจ้านึกรำคาญขึ้นมาบ้างแล้ว​ ตนทั้งต้องเตือนทั้งที่ผ้าปิดหน้า​อากาศร้อนแล้วยังมาเจอคนที่ไม่เห็นด้วยลำบากสาธยาย
" ถือว่าพวกเราขอเถอะนะทุกท่าน"พระธิดาต่างเมืองช่วยพูดเสริมเพราะไม่อยากเห็นใครต้องมาร่วมเจ็บปวดสูญเสียจากสงคราม
" ไม่รับคำขอหรอกนะ​ พวกเราจะรอชื่นชมพระบารมีตอนเสด็จเลียบพระนคร" ชาวบ้านก็ไม่ยอมเอาเสียเลย
"หนอยนึกว่าสำคัญนักเหรอ​ อุตส่าห์​มาเตือนยังจะเถียงอีกนะ" สุดหล่อเริ่มขึ้นเสียง
" พอเถอะสุดหล่อ​... เอาเป็นว่าหากเกิดเหตุการณ์​ร้ายแรงขึ้นขอทุกท่านรีบหลีกหนีให้เร็วที่สุดนะ" เขาปรามตัวประหลาดปิดหน้าก่อนที่อารมณ์​จะปะทุไปกว่านี้​แล้วจึงกล่าวให้เตรียมพร้อมอันว่าพอก่อน​ ไม่เช่นนั้นจะ
ถูกต่อต้านคำเตือนเอาเสีย
" ถ้าเกิดเรื่องเช่นนั้นจริงพวกเราจะไม่อยู่เฉยหรอก"
ชาวบ้านต่างตอบพลางเออออกันไป
" สุริยะ​ สุดหล่อ​ พวกเราไปกันเถอะ" จบเรื่องเธอก็ชวนสหายมุ่งสู่วังทันทีโดยติดตามเจ้าถิ่นคนเมืองนี้ไป
...
"บดิศรนี่มันเรื่องอะไรกันแน่" หลังจากที่หิ่งห้อยพาบินลับตาคนเข้าวังมาได้ท้าวพีรเชษฐ์​ก็มุ่งหน้าไปยังท้องพระโรงแล้วพบกับพระโอรสจึงได้ถาม
"เสด็จพ่อ​ คือว่า.. "บดิศรยังไม่ทันได้ตอบดี​ เหล่าบริวารขององค์เทพได้พากันมาก่อนเสด็จแล้วขัดจังหวะเสีย
"ดีจริงๆเลยนะ​ อุตส่าห์​หนีจากฤๅษี​ทมิฬมาได้แล้วยังจะมาหากันซึ่งๆหน้าด้วยอีก" บริวารผู้ที่มีแผลเป็นไหม้ที่ใบหน้ากล่าว
"อย่ามาพูดจาเช่นนี้ใส่องค์เหนือหัวนะ" หิ่งห้อยยักษ์​กล่าวอย่างไม่พอใจ
"ทำไมล่ะ​ องค์เหนือหัวเจ้าใหญ่เท่าไหร่ก็ไม่ใหญ่เท่านายพวกเราหรอก​ ฮ่าๆ" บริวารที่มีแผลอีกคนก็เสริมแล้วหัวเราะขบขันอย่างชอบใจ
" นี่อย่ามาว่าเสด็จพ่อเราอย่างนี้นะ" บดิศรเขาไม่ชอบให้ใครมาพูดเกี่ยวกับบิดาเช่นนี้เลย
" กล้าดีนักนะ​ ทหารมาจับสองคนนี้เร็วเข้า!!" เจ้าเหนือหัวสั่งแต่กลับไร้ซึ่งคนกล้าเผชิญเพราะพอรู้ว่าตนไร้แรงเท่ากันเสียทั้งนั้น
" แค่ปัญญาสั่งคนยังไม่มีเลย​ จะทำอะไรได้" พวกเขาต่างพูดอย่างสนุกปาก
" ข้าให้หยุดพูด​ เอาแต่พูดอยู่ได้!! " บดิศรเธอทนไม่ได้จึงเข้าถีบทำร้ายพวกปากดีจนออกนอกท้องพระโรง​ แค่นั้นยังไม่พอ​ ตนยังออกไปกะจะสั่งสอนเพิ่มเสียให้เข็ดหลาบ​
"บดิศร.."พีรเชษฐ์​เรียกลูกยังไม่ทันได้พูดต่อปุโรหิตและพวกก็ได้เข้าจับกุมตัวทั้งสองพระองค์​ หิ่งห้อยจึงปล่อยลำแสงก่อระเบิดวุ่นวายไปทั่ววังหลวง​ แต่ด้วยฝุ่นตลบอบอวลเกินไปทั้งสองพระองค์​จึงหลีกหนีอย่างยากลำบากส่งผลให้ถูกจับได้ไล่ทัน​ ทั้งคนและหิ่งห้อยก็โดนบ่วงรัดตัวจากบริวารคนที่สามของเทพท่านเสียแล้ว
"บดิศร​กล้าดีนักนะ​ นึกว่าตัวเองวิเศษวิโสนักเหรอที่ทำอย่างนี้" บริวารที่ถูกกระทำได้เปิดฉากสาดน้ำลาย
"ข้าไม่วิเศษอะไรทั้งนั้นล่ะ​ แต่ว่ามาว่าเสด็จข้า​ ข้าไม่ยอม" เขาตอบพลางวิ่งไปกะจะกระทืบอีกคนให้มิดพสุธาแต่ทว่าเทวดารับใช้นี้ใช้มือรับเท้าไว้ได้ทัน
"เสด็จพ่อ​ เสด็จแม่​ พี่หิ่งห้อย!! " เสียงเรียกที่ตกใจของสุริยะทำให้บดิศรหันกลับไปมองพลางใช้เท้าเตะคนที่ตนสั่งสอนทีเพลอเสียเข้าเต็มๆ
" พวกนี้อีกแล้วเหรอ​ ระวังเถอะจะเสียใจที่มาที่นี่" พระโอรสองค์รองว่า
"ไว้ก่อนเถอะ​ ตอนนี้ใกล้เพลาองค์ท่านเสด็จแล้ว​  พวกเรามาร่วมมือกันจัดการมัน​ก่อนดีกว่า"บริวารผู้ที่ใช้บ่วงมัดได้ออกความเห็น
"มาเลย" สุริยะท้าทายแล้วเริ่มเข้าต่อสู้โรมรันกับบดิศร​ ซึ่งเหล่าทหารที่ดูเหตุการณ์​ก็เข้ามาร่วมหมายจะตะลุมบอน​ แต่ทายาทเจ้าแห่งสิงสาก็ดักหน้าจัดการ
" ครั้งที่แล้วพวกท่านยังไม่รู้สำนึกอีกเหรอ" แสงสุรีย์​ดักทางเจ้าบริวารทั้งสองที่เป็นอริก่อนเก่าเมื่อคราวเมืองทิศพล
"สำนึกอะไรล่ะ​ เกราะนั่นเป็นของพระวิษุวัต​ เรามาเอาคืนให้ก็ถูกแล้ว" เขาเถียงเด็กหญิงพลางนึกถึงเหตุการณ์​ที่เกิดแล้วนึกแค้นที่โดนเผาอย่างนั้น
"ของใครเราไม่รู้ด้วยหรอก​ เรารู้แต่ว่าถ้าเอาโดยวิธีทำร้ายเช่นนี้ก็ถือว่าผิด" เธอตอบแล้วทั้งสองก็เข้าต่อสู้ด้วยทันที
" ยอมซะเถอะบดิศร​ เราไม่อยากใช้พลังทำร้ายเจ้า"สุริยะพูดขณะที่กำลังฟัดเหวี่ยงพลัดปล้ำกับอีกฝ่าย
"ไม่ต้องพูด​ไอ้ง่อย" เขาไม่พูดปล่าวยังจะใช้มือยื้อดึงเกราะเสียให้ได้​ แต่เจ้าของไม่ยอมง่ายๆจึงสู้ด้วยความลำบาก​
" พระวิษุวัตเจ้าเสด็จแล้ว!! " บริวารกล่าวดังขึ้นเพื่อหยุดการต่อสู้เสีย​ ทั้งสองฝ่ายผละจากกันแล้วมารวมตัวกันไว้
"สุริยะ​ เจ้าจงคืนเกราะกายสิทธิ์​ให้แก่เราเสียเถิด​ แล้วเราจะปล่อยพ่อกับแม่ของเจ้าไป" ลงมาได้ไม่นานพนะเทวาก็กล่าวเอาเงื่อนไขเข้าแลกเสียแล้ว
"ไม่นะลูก​ ไม่ว่าแม่จะเป็นยังไงก็อย่าให้เกราะกายสิทธิ์​เด็ดขาด" พระมารดาบอกพระบุตรเพราะตนไม่อาจทนเห็นลูกในสภาพที่พิการเข็ญใจได้อีกแล้ว
" เจ้าก็คิดดูเถอะว่าอะไรสำคัญ" เทพเธอก็เสริมไปอีก
" ที่พระองค์​บอกว่าคืน​ หมายความว่าอะไรเพคะ" แสงสุรีย์​ถามด้วยสงสัย​ เมฆาบนฟ้าก็คลาเคลื่อนใกล้เวลา
" เกราะกายสิทธิ์​เป็นของเรา​ แต่เจ้าเทพบุตรโกวิท​กลับลักขโมยหยิบเอาของของเราไป" เขาพูดพลางชี้ไปยังเด็กที่ใส่ชุดเกราะวิเศษพลางสังเกตเห็นสังวาลย์​ที่คล้องตัวเด็กที่ถามตน
" แต่นี่คือสุริยะนะเพคะ​ พระองค์​ทรงแน่ใจได้ยังไงว่าเป็นเขาจนมาราวีกัน" แสงสุรีย์​มิลดละที่จะถามหาเหตุผล
" รู้สิก็เราให้เขาลงมาเกิดเอง​ แต่ว่าเจ้าโกวิทไม่บอกแหล่งเก็บเกราะนี่จนมาใช้งานนี่ล่ะ​ เจ้าเถอะไปได้สังวาลย์มณีมาจากที่ไหนล่ะ" เทพท่านได้ถามกลับบ้าง​   สีรุ้งเริ่มปรากฏ​ข้างดวงอาทิตย์​ใกล้เป็นวงเข้าทุกที
" หม่อมฉันได้มายังไงก็ไม่ใช่ของของพระองค์หรอกเพคะ" ตอบเช่นนี้มีหรือเทพท่านจะพอพระทัย
" ยังไงซะ​ สิ่งวิเศษพวกนี้ก็ไม่ใช่ของที่พวกเจ้าจะใช้ประโยชน์ได้หรอก​ เราว่าจะใช้เงื่อนไขแลกเปลี่ยน​แต่ตอนนี้เราเปลี่ยนใจแล้ว" ว่าแล้วเทพวิษุวัต​ก็ใช้พลังประจำพระองค์ลงมาหมายจะเอาสิ่งวิเศษทั้งสองแต่ทว่าเมฆที่บดบังดวงสุริยันได้เคลื่อนคลายไปทำให้แสงอาทิตย์​ทรงกลดสาดส่องยังสิ่งวิเศษทั้งสองบังเกิดแสงประหลาดแสบเนตรนัยน์จนหายไป​ แล้วปรากฏ​เป็นเด็กที่แยกออกมาเป็นร่างทั้งสิบสี่คน​
" นี่มันอะไรกัน" เทพเธอฉงนได้พูดไปแต่แล้วไม่นานตนก็ต้องนคกถึงผลเสียที่จะตามมาจะได้จงใจปล่อยลูกไฟประลัยกัลป์​ลงมาเป็นห่าใหญ่เข้าหมายโจมตีเด็กที่สวมใส่สิ่งวิเศษเสียให้ราบคาบ​  ร่างที่ออกมายังไม่ทันตั้งตัวดีจึงพากันหลบหลีก
"พระฉายส่องสิทธิ์​!!" พระโอรสภูมินทร์ใช้พลังจากเกราะกายสิทธิ์​เข้ากันทุกคนไว้เป็นแนวกระจกสะท้อนลูกไฟกลับไป
"จันทราภา​ พุทธ​รัตน์​ ประกายพฤกษ์​ฝากไปช่วยเสด็จพ่อเสด็จแม่​และพี่หิ่งห้อยทีนะ​ " สุริยะเริ่มบอกแบ่งหน้าที่ทันทีที่มีโอกาส​ พวกบริวารเริ่มเห็นท่าไม่ดีจึงเข้าต่อสู้กับพวกเกราะกายสิทธิ์​และสังวาลย์​มณีทันที
"คิดว่ากระจกสะท้อนแล้วเราจะทำลายไม่ได้เหรอ" เทพวิษุวัตจึงจำขวานเพชรเข้าจามพระฉายส่องสิทธิ์
" แก้วทวาราสันตี!! " จินดาใช้พลังจากสังวาลย์​มณีสร้างประตูแก้วกั้นเพดานฟ้าเมืองไว้
"ปัทมาสน์ช่วยกั้นขวางประตูให้ทีอย่าให้พระวิษุวัตเข้าทำลายได้" แสงสุรีย์บอกกับธิดาอสุรา
"ได้!! " ปัทมาสน์ตอบรับแล้วแปลงกายใหญ่พร้อมนำพลังจากสังวาลย์ขึ้นมาช่วยต้านพลังทำลายของเทพท่าน
"เราไม่มีความแค้นต่อกัน​ ปล่อยเสด็จพ่อกับเสด็จแม่เรานะ" ประกายพฤกษ์ต่อรองกับอีกฝ่ายที่มัดร่างพระบิดามารดาไว้
" ไม่ได้​ เรารับใช้องค์เทพ​ จะไม่ยอมปล่อยคนให้อริเด็ดขาด" แล้วบริวารก็เข้าสู้กันกับทั้งสามพระธิดา​
จันทลักษณ์เข้าแก้บ่วงให้ทั้งสองพระองค์และหิ่งห้อยยักษ์​จนหลุดจากพันธนาการ
" คนเราน้อยกว่า​ อาจต้านไม่ไหวนะธานินทร์" บริวารของพระวิษุวัตพูดกับสหายตัวขณะต่อสู้
" บดิศรตามาช่วยเจ้าแล้ว" ปุโรหิตโร่เข้ามาใช้หุ่นพยนต์​นับร้อยเข้ามาช่วยสู้
"กะจะใช้วิธีนี้มารุมเหรอ​ อย่าคิดว่ามีคนเดียวเลย" ศุภลักษณ์​ก็ใช้วิชาเสกหุ่นพยนต์​มาสู้อีกฝ่ายด้วยเช่นกัน
" อีกนานไหม​ เราจะต้านไม่ไหวแล้วนะ" ปัทมาสน์ท้วงเมื่อแรงโจมตีของขวานเพชรนี้หนักขึ้นหลายเท่าทวีคูณ
" เราก็อยากให้จบเร็วๆอยู่หรอก" อังคาสตอบแล้วเข้าพลัดรับพลัดสู้กับดิศร
" เพชรราหูสร้างพันธนาการเถอะอย่างนี้ไม่ไหวแน่" แสงสุรีย์กล่าว
"เรากำลังเร่งอยู่​ ทนไว้ก่อนนะ" เพชรราหูใช้พลังสร้างกรงขังที่อยู่ใต้พสุธา​แต่ยังไม่ทันเสร็จดีเพราะมีคนเข้าขวาง​ การต่อสู้วุ่นวายหาทางหลบหลีกช่างยากเย็นต่อผู้ที่ต่อกรไม่ได้อย่างเจ้าเมืองและมเหสี​
" เสด็จพ่อ​ เสด็จแม่มาอยู่ในนี้ก่อนนะพระเจ้าค่ะ​ จงนำพระบิดามารดาเราเข้าไปน้ำเต้าอมฤต" ศนิวารใช้น้ำเต้าที่เก็บมาจากโยคีเฒ่ามาใช้เก็บรักษาพระบิดามารดาไว้ก่อน
" พุทธรัตน์​" จันทราภาเรียกอีกคนที่ถูกบ่วงบาศก์เข้ารัดแน่นก่อนจะเข้าช่วยแก้ไข​ แต่ไม่ทันระวังตัวจึงจะถูกหุ่นพยนต์​ทำร้ายแต่เมธาวีมาช่วยได้ทัน​ จากนั้นก็เข้าสู้กันต่อ
" โอมไพรีจงเข้าที่พันธนาการ"เพชรราหูสร้างกรงขังใต้พสุธาเสร็จก็ใช้พลังดึงคนอีกฝ่ายลงสู่ธรณีสูบ​แต่คนเยอะไปจึงยังค้างคาไม่ลงถึงใต้ธรณี​
"เราช่วยนะ" อังคาสเข้าช่วยเพิ่มพลังให้กับพันธนาการจนสามารถสูบคนเข้าพันธนาการได้ แต่ทว่าขณะเดียวกันยักษ์​เฝ้ากันประตูไม่สามารถทนแรงทำลายต่อไปได้​ ทวาราจึงแตกแยกและขณะเดียวกันปัทมาสน์ก็กลับสู่ร่างปกติด้วยอาการบาดเจ็บ
"เราเสียเวลามามากพอแล้ว​  ให้มันจบลงตรงนี้เถะ"ว่าแล้วก็ใช้พลานุภาพส่งต่อพลังสู้ขวานเพชรหมายจะจัดการทุกคนในคราวเดียว
"พวกเรารวมพลัง" สุริยะพูดแล้วเกราะกายสิทธิ์​ทุกคนก็รวมกำลังเข้าเป็นโล่พลังกั้นแล้วโต้ตอบกลับไปโดยพลังยังคงต้านทานกันคนละครึ่งทาง​  ฝ่ายสังวาลย์มณีก็ช่วยเอาพลังเข้าช่วยอีกแรงจนพลังมาก​เกินส่งผลให้เสียการควบคุมจนทั้งสองฝ่ายต้องผละออกจากกัน​  เทพวิษุวัตและอีกฝ่ายก็ต่างเจ็บกับเสียระบม
"พระโอรส​ พระธิดาพระเจ้าค่ะ" หิ่งห้อยยักษ์​ที่เฝ้าดูเหตุการณ์​อยู่ได้ปรี่เข้าไปดูเหล่าเชื้อไขกษัตราทันที​ ทันใดนั้นเองมีแสงสีมรกตประกายแก้วสาดส่องลงมายังพื้นที่เมืองรัตนบุรีท่วนทั่วกัน​ ปรากฏ​พระเทวราชาองค์อินทร์​แห่งแดน​ดาวดึงส์​ประจักษ์​สู่สายตาประชาชาวมนุษย์​และเทพเทวัญ
" วิษุวัต​ เหตุใดเล่าท่านจึงได้กระทำการเช่นนี้" ท้าวมรุตวานท่านถามถึงเทวาในการปกครอง
"ข้าพุทธ​เจ้าได้รับทุกขเวทนาจากการกระทำของเทพบุตรโกวิทย์​ บัดนี้เพียงมาขอสิ่งของของข้าพุทธ​เจ้าคืนเท่านั้น​พระเจ้าค่ะ"เทพวิษุวัตทูลตอบพระเทวราชา
"เรื่องนั้นเราว่าเขาก็ได้รับโทษทัณฑ์​จากท่านแล้ว สิทธิ์​ในเกราะกายสิทธิ์​นั้นเป็นของเทพบุตร​โกวิท​ตามสมควร​ แต่ท่านใช้กำลังทำร้ายผู้เยาว์และต้องการสังวาลย์​มณีด้วยนั้นเราเห็นว่าไม่สมควร​ เช่นนี้แล้วเราขอให้ท่านละจากการดูแลโลกมนุษย์​เป็นเวลาหนึ่ง​ทศวรรษ​เพื่อที่จะได้บำเพ็ญเพียรให้จิตบริสุทธิ์​มากยิ่งขึ้น​ เราให้เวลาท่านจัดการเรื่องที่ดูแลที่ยังไม่แล้วเสร็จภายในเจ็ดวันแล้วเริ่มการบำเพ็ญโดยทันที" พระโกสีย์เธอมอบหมายให้ตามเห็นสมควร
" ข้าพุทธ​เจ้าขอน้อมรับพระบัญชา
เป็นพระมหากรุณาธิคุณ​พระเจ้าค่ะ​" วิษุวัตเทพกล่าวตอบรับกับข้อมอบหมายแห่งองค์เจ้าเทวัญ
" ส่วนพวกท่าน​ เราจะช่วยรักษาอาการทุกข์​ยากแล้วเราจะคืนสู่วิมาน" กล่าวแล้วทรงดลบันดาลให้เกิดพิรุณร่วงลงสู่พื้นปฐพีรัตนบุรีที่แห้งแล้งมีร่วมเก้าปี​ นอกจากจะเป็นน้ำฝนที่ช่วยให้ความแห้งแล้งกลับกลายเป็นความอุดมสมบูรณ์​แล้วนั้น​ ยังรักษาอาการบาดเจ็บจากการต่อสู้แลบูรณะสิ่งก่อสร้างที่เสียหายได้อย่างน่าอัศจรรย์​ใจ
" เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่ง​พระเจ้าค่ะ/เพคะ" เหล่าพระโอรสพระธิดาต่างล้วนซาบซึ้ง​ในองค์อินทร์
"เราขอให้ท่านทั้งหลายประพฤติ​ชอบอยู่ในความดี​ ขจัดทุกข์​ยากให้ผู้คน​ เราไม่สามารถจะช่วยใครได้ทั่วถึง​ ถือว่าคือคำขอของเราเถิด​ ได้เพลาแล้วเราลาก่อน" พูดจบแสงมรกตประกายแก้วหายไปพร้อมกับร่างขององค์อินทร์นั่นเอง
.......
พระโอรสศนิวารได้นำพระปิตุรงค์​และพระมาตุเรศออกมาจากจากน้ำเต้าอมฤตแล้วเหล่าปรัตยาทั้งหมดรวมถึงพระสหายได้เข้าเฝ้าถวายบังคมพระกษัตริย์​ในท้องพระโรง
" บัดนี้บ้านเมืองเราได้กลับคืนสู่ซึ่งความสุขไร้อาเพศ​แล้ว​ ทั้งนี้เป็นเพราะพระมหากรุณาธิคุณ​ของพระองค์อมเรศวร  เราเห็นควรว่าลดการเก็บส่วยแลอากรลดเสียหนึ่งปีตลอดจนบริจาคทานเพื่อเป็นการช่วยสร้างขวัญกำลังใจให้เหล่าประชาทำการต่อไปได้" ท้าวพีรเชษฐ์​ได้พระบัญชาตามเห็นชอบ
" รับด้วยเกล้าพระเจ้าค่ะ"อำมาตย์เรืองรอง​รับพระบัญชาของพระมหากษัตริย์​เพื่อจะได้กระทำการต่อไป
" อีกทั้งเราต้องขอบพระทัยพระโอรส​ พระธิดาของเรารวมถึงพระสหายที่มาช่วยป้องกันรัตนบุรีอย่างสุดกำลัง​ อีกทั้งยังช่วยชีวิตเราและพระมเหสีให้พ้นโพยภัย" ท้าวเธอกล่าวพร้อมแย้มพระโอษฐ์​
" พวกหม่อมฉันยินดีพระเจ้าค่ะ/เพคะ" ผู้ที่ได้รับคำขอบใจต่างตอบด้วยความยินดี​
"วันนี้รบกวนพวกท่านมากพอแล้ว​ พักผ่อนกันก่อนเถอะนะ"กล่าวแล้วก็ถือว่าการประชุมได้สิ้นสุดลง​ เหล่าข้าในวังได้พาเหล่าอาคันตุกะมายังพระตำนักรับรอง










หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ เมษายน 20, 2020, 12:23:02 PM
"วันนี้เหนื่อยจังเลยนะ​ เฮ้​อ" ศุภลักษณ์​พูดพลางนอนลงยังพระแท่นบรรทม
"อย่างนี้เราช่วยสำเร็จแล้วสินะ" เมธาวีกล่าวต่อ
"ใช่แล้วล่ะ​" แสงสุรีย์​ตอบ
"เช่นนี้พวกเราก็กลับบ้านกลับเมืองกันได้แล้วล่ะสิ" ปัทมาสน์กล่าวขึ้น
"ใช่​ แต่เวลานี้ก็ใกล้ค่ำแล้ว​ วันนี้พักที่นี่เสียก่อน​แล้ววันพรุ่งเราจะเดินทางต่อให้" จันทลักษณ์​บอกพลางมองยังแสงสุรีย์​
"เราขอบใจมาก"แสงสุรีย์รับรู้ได้ถึงน้ำใจอีกคน
" แล้วผู้คนที่ถูกจองจำในกรงใต้ดินล่ะจะเป็นอย่างไร" จินดาถามกับเพชราหู
"ผู้คนที่อยู่ในนั้นยังมีชีวิตอยู่อย่าห่วงเลย​ ทางเข้าสู่ด้านล่างก็คือทิศหรดีของวังนั่นล่ะ​ ไว้พรุ่งนี้ก็ทูลให้ทรงทราบด้วยแล้วกันนะจันทลักษณ์" เพชรราหูกล่าวตอบพลางบอกเจ้าของวันพรุ่ง
" ได้​ เราตกลง"
"เสียดายอยู่ด้วยเดี๋ยวเดียวก็ต้องรวมกันกัน​แล้ว​"ศุภลักษณ์พูดเชิงบ่นเล็กน้อย
"เอาน่าอาทิตย์​ทรงกลดเกิดขึ้นได้ไม่ยากหรอก​ ไว้มีอีกเมื่อไหร่คิดอยากทำอะไรก็ทำได้" เมธาวีพูดตอบ
" เฮ้อ" เสียงทอดถอนหายใจประสานคู่ของปัทมาสน์และศุภลักษณ์​ดังขึ้นบอกถึงความเหนื่อยใจอย่างยิ่งยวด
..
ด้านฝั่งเจ้าเมือง​  ชายา​ บุตรธิดา​ของเมืองก็ได้เข้าพูดคุยกันเป็นการส่วนพระองค์
" ลูกของพ่อ​ พ่อขออภัยลูกจริงๆที่พ่อทำการไล่เจ้าไปเพราะคำทำนายเพียงไม่กี่คำ​ ทำให้พวกลูกกับแม่ต้องลำบากอยู่ในพงไพร" พีรเชษฐ์​กล่าวด้วยจิตสำนึก
"ไม่เป็นไรหรอกพระเจ้าค่ะ​ เดินทางไม่นานหม่อมฉันกับเสด็จแม่ก็ถึงเมืองพระอัยกาแล้วพระเจ้า" สุริยะกล่าว​ เขาเข้าใจที่บิดาทำไปนั้นเพียงเพราะเพื่อบ้านเมือง
"แต่ว่าเสด็จตาคงพระราชทานอภัยยากอยู่นะพระเจ้าค่ะ"ศนิวารกล่าวทูลพระบิดา
" จริงสิเพคะ​ เสด็จพ่อทรงทราบแล้วพระพิโรธมาก​ เป็นเช่นนี้คงไม่ดีแน่" สไบทองกล่าวเสริม
" เอาเช่นนี้ไหมเพคะ​ ทรงมีลายพระหัตถ์​เรขาถึงพระอัยกา​ แล้วพวกหม่อมฉันนำไปถวายและจะกราบทูลพระองค์​ให้พระราชทานอภัย"จันทราภาเสนอแนวคิด
" อะไรกัน​ พ่อควรจะเป็นคนขอพระราชทานอภัยด้วยตนเองสิ​ ลูกจะลำบากทำไมกัน"บิดากล่าวเพราะไม่เห็นด้วย
" ตอนนี้เสด็จพ่อเพิ่งจะกลับเข้าสู่พระตำแหน่ง​ ยังถือว่าไม่มั่นคงดีอย่าเสด็จไปเลยพระเจ้าค่ะ"ภูมินทร์กล่าวช่วยแจง
" จริงด้วยเพคะ​ จันทราภากับภูมินทร์​กล่าวตามเห็นสมควรแล้ว"พุทธ​รัตน์​กล่าวเสริม
" พ่อยอมก็ได้​พ่อจะเขียนให้​ "
" แต่ว่าไม่ทันไรก็จะเดินทางอีกแล้วเหรอ​ พวกเราเพิ่งอยู่ด้วยกันไม่นานเองนะ"มเหสีรู้สึกไม่สบายใจ
" เสด็จพ่ออย่าทรงวิตกเลยเพคะ​ เมื่อเสร็จธุระแล้วพวกหม่อมฉันจะรีบกลับมาอย่างปลอดภัยเพคะ"ประกายพฤกษ์กล่าวมิให้มารดาหม่นหมอง
"หากลูกต้องการเช่นนั้น​ แม่ก็คงห้ามไม่ได้"
" แล้วเรื่องพวกปุโรหิตกับบดิศรจะทรงทำเช่นไรหรือพระเจ้าค่ะ"อังคาสถามขึ้น
"พวกเขานั้นก็ควรได้รับโทษที่ก่อไว้​ แต่ความชอบแต่ก่อนเก่าก็มีอยู่​ จะให้โทษถึงประหารไม่ได้​ อย่างไรเสียพรุ่งนี้พ่อจะให้โทษแก่พวกเขาตามสมควร" ท้าวเธอตอบพลางมองดวงอาทิตย์​ที่ลาลับไป​ ร่างทั้งหมดก็เหลือแต่พระโอรสเพียงพระองค์เดียวเพราะหมดซึ่งแสงตะวันแล้วนั่นเอง

" เอามาอีกๆ​ สุดหล่อยังไม่อิ่มเลย  เร็วๆสิ" อีกตำหนักรับรองได้มีเจ้าตัวประหลาดและหิ่งห้อยอาศัยอยู่ก็ได้อิ่มหนำจากอาหารที่มาจากห้องเครื่อง
"นี่เจ้าตุ้บเท่งอย่าใช้คนมากนักสิ  เขาก็กล้าๆกลังอยู่แล้วยังจะไม่เร่งเร้าขู่เข็ญอีก" หิ่งห้อยยักษ์เตือน
"เอ๊ะ​ เจ้านี่หนิ  ข้าพอใจจะสั่งก็สั่งเถอะ​ อีกไม่นานน่ะนะเกราะกายสิทธิ์​ก็จะเป็นของข้าฮ่าๆ​ เป้าหมายต่อไปก็จะเป็นสังวาลย์​มณีที่ข้าจะติดตาม​"
"เจ้านี่คิดแต่จะเอาของคนอื่นอยู่ได้​ ถ้าได้คืบจะเอาศอกอีก​ โตมายังไงกัน"เขาต่อว่าอีกฝ่าย
" โตมาอย่างคนเอ๊ยราชสีห์หล่อนั่นล่ะ​ อย่าว่านักเลยน่าเกิดมาทั้งทีต้องได้ของดีติดตัวกันบ้าง"เขาพูดไปก็กินไปไม่รู้จักหยุดหย่อน
" เอาเถอะ​ ไม่อยากจะยุ่งด้วยแล้ว"หิ่งห้อยระอาที่เจ้าตัวประหลาดเอาแต่ได้สอนไม่ได้เต็มทนจนเลิกต่อว่าไป
ในกลางดึกคืนนั้นเองมีแสงเปล่งประกายแก้วทางประจิมทิศของพระราชวังทำให้คนที่นอนไม่หลับทั้งสองต้องไปดูเสียให้รู้ว่าเป็นสิ่งใด
" สุริยะ​ ท่านก็เห็นแสงประกายแก้วเหมือนกับเราเหรอ" ธิดาต่างเมืองถามเพราะอีกฝ่ายมาคงด้วยเหตุผลเดียวกัน
"ใช่แล้วล่ะ​ แปลกจริงๆเลย​ กลางคืนดึกดื่นแต่มีแสงประกายมากได้น่าพิศวงนัก" โอรสเจ้าเมืองตอบอักฝ่าย
"เช่นนี้แล้วพวกเราไปตามหาต้นกำเนิดแสงกันเถอะ" แสงสุรีย์เชิญชวนแล้วทั้งสองได้ช่วยกันตามหาจนเจอต้นกำเนิดแสง
"นี่คือธำมรงค์​แก้วล่ะ​ แต่เมื่ออยู่ในมือแล้วไม่มีแสงมากจนชัดเมื่อตอนยังไม่พบเลย"สุริยะเจอแหวนแก้วแล้วได้บอกอีกคน
" ตรงนี้.. เป็นที่ที่เราต่อสู้กับพระเทวาวิษุวัต​ก่อนพระเทวราชาจะเสด็จนี่​ ไม่แน่ว่าธำรงค์วงนี้อาจจะเกิดจากปะทะของพลังก็เป็นได้นะ" เธอพูดตามที่เข้าใจ
" เช่นนั้นแล้วเราขอยกธำรงค์นี้ให้ท่าน"เขาพูดพลางยื่นแหวนให้อีกฝ่าย
" อย่าเลย​ เก็บไว้ให้คนที่คู่ควรจะใช้เถิด​ นี่ก็ดึกมากแล้ว​ เราว่าไปพักผ่อนต่อเถอะ​ พรุ่งนี้อีกคนของพวกเราจะได้มีแรง" ว่าแล้วทั้งสองต่างแยกย้ายไปพักต่อไป
..
วันต่อมา​ องค์เหนือหัวรัตนบุรีมีรับสั่งให้นำตัวพระมเหสีฝ่ายซ้ายมายังท้องพระโรง
"องค์เหนือหัวเพคะ​ พระราชทานอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ​ หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ"สไบแก้วทูลขออภัยจากพระสวามีหวังให้เห็นใจตน
" เสด็จแม่"บดิศรเข้าไปหามารดาด้วยใจห่วงหาหลังจากได้รับการปล่อยตัวจากที่คุมขังโดยจันทลักษณ์​เป็นคนพาเหล่่าทหารไปนำตัวเหล่าปุโรหิตและพระโอรสมายังที่แห่งนี้
" กระหม่อมขอพระราชทาน​อภัยพระเจ้าค่ะ​ ทั้งหมดเป็นความผิดของกระหม่อมเพียงคนเดียว" ปุโรหิตเฒ่าทูลบอกให้ความผิดตกแต่ตนเท่านั้น
"เราเห็นควรลงโทษท่านอยู่แล้ว​ แต่จะละเว้นบุตรีของท่านเห็นจะไม่ได้​ ความผิดที่ท่านจะตั้งพระโอรสบดิศรแทนเรา​ เราถือว่าไม่ใช่ความผิดของบดิศร​ แต่เห็นเมื่อครั้งก่อนที่ท่านทำคุณให้เรากับบ้านเมือง​ เราจะให้ท่านปุโรหิตและบุตรีออกจากเมืองของเราไปเสียอย่าได้กลับมาอีก​ ส่วนบดิศรเราจะดูแลเอง"ท้าวพีรเชษฐ์​รับสั่งเพื่อตัดปัญหาที่อาจตามมาถ้าอภัย
" เสด็จพ่ออย่าให้ท่านตากับเสด็จแม่ไปเลยนะพระเจ้าค่ะ​ หากไปแล้วหม่อมฉันจะอยู่ได้อย่างไร"บดิศรค้านพระบัญชา
" ไม่ได้หรอก​ เพียงเราไม่ให้โทษประหารก็ดีพอแล้ว​ ส่วนเจ้าก็อย่าอาลัย​เลย​  บ้านเมืองนั้นสำคัญกว่านักนะ"พระบิดากล่าวตอบข้อค้าน
"เช่นนั้นแล้ว  หม่อมฉันจะขอติดตามท่านตาและเสด็จแม่ไปด้วยพระเจ้าค่ะ"
" บดิศรไม่นะลูก"สไบแก้วกล่าวเพราะไม่อยากให้ลูกต้องทนระกำลำบากไปกับตน
" บดิศร​ เจ้าว่าเช่นนี้​ ไม่เห็นว่าเราเป็นพระบิดาเจ้าแล้วรึถึงได้เลือกอีกฝั่งได้ไม่ลังเล"ท้าวเธอเริ่มกริ้วเสียแล้ว
"ไม่ใช่นะพระเจ้าค่ะ​ หม่อมฉันเลือกติดตามเพื่อที่จะดูแลด้วยรักและแทนคุณ​ตามที่สมควรทำ​ หากไม่ได้กระทำหม่อมฉันคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต" พระโอรสกล่าวแจงเหตุผล
" จริงอย่างที่พระโอรสบดิศรกล่าวนะเพคะ​ คุณธรรมกตัญญู​สำคัญมาก​ ไม่กระทำคงไม่ดีเท่าใดนักนะเพคะ" สไบทองช่วยพูดด้วยสงสาร
" เอาเถอะ​ ถ้าอยากทำตามใจนักเราไม่ห้าม​ แต่ห้ามไม่ให้เจ้ามาพบหน้าเราอีกเลยบดิศร​ ไปได้แล้ว​ ทหารนำตัวไป" เจ้าเมืองออกโอษฐ์ทันทีเสียให้จบเรื่องราว​ เหล่าทหารจึงนำตัวไปในทันที
" พระโอรสจันทลักษณ์​ท่านจะกลับบ้านเสียวันนี้แล้วหรือ​ ไม่พัักที่เมืองเราหลายวันก่อนล่ะ" จบเรื่องก็ตรัสถามพระโอรสเมืองคีรีมาศต่อ
" หามิได้พระเจ้าค่ะ​ หากแต่หม่อมฉันจากเมืองมาหลายวัน​ เห็นสมควรจะต้องเดินทางกลับเสียทีพระเจ้าค่ะ"
"เสียดาย​จริง​ ท่านช่วยเหลือพวกเราเสียมากหากแต่ไม่อาจตอบแทนได้เท่า​ เราขอยกสมบัติที่มีอยู่ให้กับท่านตามเห็นสมควร" ข้าราชบริพาร​นำเพชรนิลจินดาพร้อมเครื่องทองมากมายมาถวายให้
" ขอพระราชทาน​อภัย​ หม่อมฉันมิอาจรับไว้ได้พระเจ้าค่ะ​" จันทลักษณ์​ไม่อยากได้ของมีค่าใดเลยเพียงแค่อยากช่วยเท่านั้น
" เรารู้ว่าท่านลำบากใจ​ ถ้าเช่นนั้นนำสิ่งใดไปสิ่งหนึ่งเถิดหนา​ ถือว่าไม่เสียน้ำใจกัน" พีรเชษฐ์​กล่าวเช่นนั้นอีกฝ่ายคงปฏิเสธไม่ได้แล้วจึงขอเพียงพันธุ์​แวววิเชียรดอกไม้ประจำเมืองที่เก็บไว้รอสิ้นภัยแล้งส่วนหนึ่งไปเพื่อทำการปลูกตามความชอบของตน
"เสด็จพ่อเพคะ​ หม่อมฉันขอร่วมทางไปส่งจันลักษณ์​และไปยังเมืองทิศพลด้วยนะเพคะ"จันทราภาทูลขอ
" เราเพิ่งอยู่ด้วยกันได้ไม่นาน​ จะออกเดินทางอีกแล้วหรือ​ เอาเถอะ​อย่างไรก็ตามพ่อคงห้ามไม่ได้​ ระวังตัวด้วยนะลูก"
"เพคะเสด็จพ่อ​ ลูกจะกลับมาอย่างปลอดภัยเพคะ"
"อย่าไปลำพังเลยนะลูก​ ให้ตุ้บเท่งกับหิ่งห้อยไปเป็นเพื่อนด้วยนะ​ พอกลับจะได้มีเพื่อน" สไบทองใจหายแต่คิดดูคงไม่มีใครมาปองร้ายลูกของตนได้อีกแล้วเพราะอริราชศัตรูต่างก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้อีกจึงปล่อยไปทำตามใจ
ทั้งหมดลาแล้วเดินทางกันต่อไป
" พระธิดาจันทราภาจบเรื่องแล้ว​ ขอเกราะคืนให้สุดหล่อนะนะนะ"สุดหล่อขอร้อง
" เราสัญญากับสุดหล่อด้วยเหรอจ๊ะ"ธิดาฉงน
" ถ้าถอดออกจะให้เดินทางยังไงล่ะ" โอรสต่างเมืองถาม
"ก็พระโอรสศนิวารสัญญาไว้นี่พระเจ้าค่ะ​ ถอดแล้วก็เดินทางเหมือนเช่นเคยๆล่ะพระเจ้าค่ะพระโอรส"
"ศนิวารไม่ใช่เรา​ อยากทวงสุดหล่อก็ไปทวงกับเขาเถอะนะ​ อย่าทวงกับเราเลย"
"อีกแล้วนะพระเจ้าค่ะ​ พูดเหมือนพระโอรสสุริยะเหมือนเดิมไม่ผิดเลย"
แต่แล้วต้องพบกับพญาไกรสรราชสีห์​บิดาของตุ้บเท่ง
" เจ้าตุ้บเท่งเอ๊ย​ ไม่ยอมกลับอยู่บ้าน​ เกราะนั่นมิใช่ของเจ้าหรอกอย่าติดตามอีกเลย​" เขากล่าวกับบุตรชาย
"ไม่นะท่านพ่อ​ เกราะนี่เป็นของพวกเราอยู่กับพวกเรามานานกว่าอีกจะเป็นของมั...พระธิดาได้ยังไงล่ะ" อเวจีมิฟังทัดทานของพ่อ
"ไม่ต้องมาเถียงเลยกลับไปเดี๋ยวนี้!! " เขาดุดันใส่ผู้เป็นลูกเสียจนขวัญเสีย​ เขาต้องกลับไปแม้จะไม่เห็นด้วยก็ตาม
" พระธิดา​ พระโอรส​ เจ้าหิ่งห้อยคงไม่สบายใจแย่เลยที่ลูกข้าคอยเอาแต่ติดสอยห้อยตายเสมอ​ ทั้งยังเอาแต่ทวงของที่ไม่ใช่ของตนเองอีก" เขากล่าว
"ไม่เป็นไรหรอกท่าน​ สุดหล่อก็ช่วยพวกเราไว้มากเหมือนกัน" จันทราภาตอบ
"ข้าถือว่ารบกวนล่ะนะ​ เอาล่ะพวกเราต้องลากันตรงนี้แล้ว​  ข้ากับลูกขอตัวก่อน​ ขอให้พวกท่านโชคดี​" ว่าแล้วจึงแยกทางที่ต่างมีจุดมุ่งหมายต่างกันไป
วันเปลี่ยนไปจนถึงศุกร์จึงถึงทิศพลนคร
" ถวายบังคมเพคะ/พระเจ้าค่ะ" ประกายพฤกษ์​และศุภลักษณ์เข้าเฝ้าเจ้าเมืองนวดลทันทีที่ถึง
"จำเริญๆกันเถิดหนา​ ประกายพฤกษ์​เสด็จแม่ของหลานไม่เห็นมาด้วยเลย  หรือมันเกิดอะไรขึ้น" พระอัยกาไถ่ถามพระนัดดาอย่างใคร่รู้
"เสด็จแม่ประทับที่รัตนบุรีกับเสด็จพ่อเพคะ"
"ว่ายังไงนะ​  คนอย่างพีรเชษฐ์​น่ะถ้าอยู่ด้วยแล้วก็จะประสบเรื่องไม่เป็นเรื่อง​เหมือนอย่างที่แม่กับหลานเจอมาแล้วนี่​ ตาไม่ให้ข้องเกี่ยวกันอีกไม่ใช่หรือ​ หรือว่าลืมคำเราหมดสิ้นกัน"ท้าวเธอได้ฟังเช่นนั้นก็รู้สึกหงุดหงิดอยู่เนืองๆที่เป็นมันไม่เป็นดั่งใจ
" เสด็จพ่อกับเสด็จแม่เข้าพระทัยกันแล้วเพคะ​ หลานยังเห็นว่าพวกเราควรให้อภัยกันนะเพคะ​ เสด็จยังทรงอักษรลงในสานส์มาขอขมาเสด็จตาด้วยนะเพคะ"เธอพูดพลางส่งสานส์ให้กับอัยกาของตน
" ถึงจะมีสิ่งนี้มามอบให้เรา​ แล้วมีเหตุผลอะไรที่จะเชื่อว่าจริงใจไม่ทอดทิ้งพวกเจ้าอีกครั้งล่ะ" เจ้าเมืองไม่ยอมยกโทษให้เสียง่ายๆ
" สุริยะเล่าให้หลานฟังว่าเสด็จพ่อทรงนำพระวรกายของพระองค์​เข้าป้องกันไม่ใช่เขาโดนทำร้ายจนถึงพระชนม์​ชีพ​ ถ้าไม่ได้รับการช่วยจากพระธิดาจินดาแห่งคีรีมาศ​ ป่านนี้พวกเราคงไม่ได้อยู่ร่วมกันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้วเพคะ" นัดดาเธอแจงให้ฟัง
"องค์เหนือหัวเพคะ​ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว​พวกเราควรให้อภัยแก่เขาเถอะนะเพคะ"พระอัยยิกา​ทูลขอกับภัสดา
" เอาเถอะๆ​ ถือว่าครั้งนี้พลาดผิดไป​ หากมีครั้งต่อไปเราจะไม่ให้โอกาสอีกเลย" ท้าวนวดลยอมรับแม้จะยังคัดเคืองอยู่มิน้อย
" ขอบพระทัย​เพคะ​เสด็จ​ตา" ประกายพฤกษ์​ดีใจที่ท่านยอมยกโทษให้
" พระโอรส.. องค์ธริษตรีแห่งเมืองคีรีมาศเสด็จกลับก่อนแล้ว อย่างไรเสียท่านพักที่นี่ก่อนเถิดไว้วันต่อไปจึงเดินทาง" ท้าวเธอกล่าวชวนอาคันตุกะน้อย
" ไม่เป็นไรหรอกพระเจ้าค่ะ​ เดินทางต่อไปไม่หนักกว่าแรง​ หม่อมฉันมิขอรบกวนจะดีกว่าพระเจ้าค่ะ" ศุภลักษณ์​กล่าวตอบ
"ตามใจเถิด​ เรารู้ว่าห้ามไปท่านคงมีเหตุผลมาแย้งอีก"นวดลเธอพูดพร้อมยิ้มอย่างอ่อนโยน
" องค์เหนือหัวพระเจ้าค่ะ​ มีผู้ขอเข้าเฝ้าพระเจ้าค่ะ​ พวกท่านนั้นบอกว่าเป็นพระญาติขององค์หญิงอัญญานีด้วยพระเจ้าค่ะ​ " นายทหารคนหนึ่งเข้าบังคมทูล
" งั้นหรอ​ เช่นนั้นก็เชิญพวกเขาเข้ามา​ ไปเชิญอัญญานีมายังท้องพระโรงด้วย"เจ้าเมืองรับรู้จึงให้เชิญมา
"ถวายบังคมเพคะหม่อมฉันเป็นปิตุจฉาของพระธิดาอัญญานีเพคะ" หญิงสาวและบริวารมาเข้าเฝ้า​ น้ำเสียงนั้นดูคุ้นเคยสำหรับผู้เยาว์ทั้งสองแต่รูปกายกลับมิคุ้นเลย
"ท่านเป็นพระญาติแล้วเหตุ​ใดถึงเพิ่งมาตามหากันเล่า​ ปล่อยให้องค์หญิงต้องเดียวดายเสียเช่นนี้​ ทั้งยังตามหาถูกเมืองเสียด้วย" ท้าวเธอฉงนเสียจริง
" หม่อมฉัน​เพิ่งได้มาเยี่ยมเยือนเสด็จพี่และหลานที่โกสุมพิสัยกลับพบแต่เพียงวังร้างที่ถูกเผาไหม้เหลือให้เห็นแต่โครงสร้างเพียงเท่านั้นเพคะ​ จากนั้นหม่อมฉันได้ขอให้พระสวามีให้ทรงมีรับสั่งให้ตามหา​ ได้ข่าวว่าพระองค์รับดูแลองค์​หญิง​เมื่อสอบถามจึงรู้ว่าเป็นอัญญานีเพคะ" นางชี้แจงแถลงไข
" ออ​ องค์หญิง​อัญญานีมาแล้ว​ นี่ใช่พระญาติของท่านหรือปล่าว"ท้าวท่านถามผู้ในอุปถัมภ์​
" หม่อมฉันไม่เคยเห็นเขามาก่อนนะเพคะ" อัญญานีมองดูอีกคนแต่ไม่คุ้นหน้าเอาเสียเลย
" โถ​ อาจากเมืองไปเสียตั้งนานหลานคงจำไม่ได้​ อาคือทรรศนีย์ ขนิษฐา​ขององค์​ทรงพลบดีแห่งเมืองโกสุมพิสัยไงล่ะหลานอัญญานี " เธอพูดพลางมองผู้ที่ถูกเอ่ยชื่อ​ เจ้าตัวก็ครุ่นคิดในขณะครุ่นคิดเสียงที่ได้ยินจากใจหาใช่กรรณไม่
"อัญญานียอมไปกับเราเสียเถอะ​ เจ้าน่ะเป็นคู่ขององค์เทพวิษุวัต​ เมื่อเติบใหญ่จะได้ไปอยู่ด้วยกับพระองค์​ ทรงให้เรามารับเจ้าไปเลี้ยงดู" เธอสื่อในใจให้องค์หญิงได้ยิน
"ทำไมเราต้องไปด้วยล่ะ  คู่อะไรอีก​ นึกอะไรถึงจะเอาเราเป็นชายายยามโตล่ะ​ ไม่ยอมหรอก" อัญญานตอบในใจกลับไป
" เจ้าอยากให้คนทั้งเมืองต้องมาตายเพราะเจ้าคนเดียวงั้นเหรอ​ อย่าคิดว่ามีพวกที่มีสิ่งวิเศษอยู่ด้วยแล้วจะปากดี​ เจ้าพวกนี้น่ะสู้องค์เทพวิษุวัตยังไม่ชนะเลยจะเอาอะไรมาประกัน​ ตามใจเถอะนะถ้าอยากเห็นบ้านเมืองคนอื่นที่อาศัยต้องพินาศย่อยยับเพราะเจ้า" เธอตอบกลับไปพร้อมกับแสร้งถามเร่งเร้าอีกคนให้ยอมรับ
" ว่ายังไงล่ะ​ จำอาได้หรือไม่"ทรรศนีย์ถาม
" เสด็จอา.. เสด็จอาเองหรือเพคะ​ หม่อมฉันความจำไม่ดีเองเพคะ" อัญญานีตอบในใจก็พลอยบอกอีกฝ่าย
" ยอมก็ได้​ แต่จำไว้เลยว่าเราจะไม่ยอมเป็นชายาของเทพพวกเจ้าแน่"
" เช่นนั้นแล้วนับเป็นเรื่องดีมากเลยล่ะ" ท้าวนวดลกล่าวอย่างพอใจ
" เก่งให้ตลอดเถอะอัญญานี​ เอาล่ะพวกเราต้องรีบไปแล้ว" เธอตอบในใจอีกฝ่ายเช่นกัน
" เช่นนั้นหม่อมฉันขอพาอัญญานีกลับไปอยู่กับเมืองของพระสวามีหม่อมฉันนะเพคะ" ทรรศนีย์กล่าวกับราชา
" จะไปเสียเดี๋ยวนี้เลยรึ​ มิพักก่อนล่ะท่าน​ อัญญานีก็ยังเล็กอยู่​ อยู่ๆจะเดินทางไปมาก็กระไรอยู่นะ"ราชาท่านถามด้วยสงสัย
" ไม่เป็นไรเพคะ​ หม่อมฉันมิอาจรบกวนพระองค์​ต่อไปได้หรอกเพคะองค์เหนือหัว"อัญญานีทูลจะได้จบปัญหา
" เจ้าจะไปแล้ว​ แบบนี้จันทราภาคงเสียใจแย่เลย"ประกายพฤกษ์กล่าว
" เอาเถอะ​ หากเรามีวาสนาต่อกันต้องได้เจอกันอีกแน่"องค์หญิงต่างเมืองกล่าวตอบ
" เช่นนั้นแล้วได้โปรดรับธำมรงค์​แก้วศุภร​ของเราไว้ด้วยเถอะนะ" ว่าแล้วจึงส่งแหวนให้กับสหาย
"ธำมรงค์แก้วศุภรงั้นเหรอ" อัญญานีรับแล้วจึงทวนชื่อ
" จันทราภาตั้งใจจะมอบให้เจ้านะ​ ไม่คิดว่าจะจากกันเสียแล้ว"
" ขอบใจมากนะ"
และแล้วทางด้านพระโอรสและองค์หญิงต่างเมืองก็ทูลลาจากเมืองไป​ ชีวิตทุกคนก็ดำเนินไปตามทางของตนเอง
" บดิศร​ เรามาช่วยแล้ว" บริวารเทพวิษุวัตชื่อธานินทร์​ที่หนีออกมาโดยร่างแปลงจากที่คุมขังเดียวกันตามหากันจนพบ
" ช่วย​ ช่วยยังไง" บดิศรถามอีกคนด้วยสงสัย
" ไม่ต้องทนลำบากทนระกำตามพงไพรหรอกนะ​ ก่อนพระเทวาจะไปบำเพ็ญเพียรไปให้เมืองใหม่กับพวกเจ้า​ ต่อจากนี้นับอีกสิบปีจึงจัดการเรื่องกันต่อไป"
" เมืองใหม่แล้วนี้จะเป็นเมืองของพวกเราแน่หรือ" สไบแก้วถาม
"ใช่​ แต่ว่าพวกเจ้าต้องเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามรวมถึงรูปกายด้วย เพื่อไม่ให้ใครจำได้จะได้ดำรงอยู่ยืนยาว"ธานินทร์​ตอบ
" ไม่ล่ะ​ เราไม่ขอเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนหน้าหรอก​ อีกหน่อยโตแล้วไม่มีใครจำเราได้​ อีกอย่างคนชื่อซ้ำกันถมไปใครจะรู้"บดิศรไม่อยากเปลี่ยนชื่อเพราะชื่อนี้คนที่ตั้งให้เรียกคือบิดาของตน
" ถ้าไม่ทำจะวุ่นวายน่ะสิหลานตา" ปุโรหิตออกความเห็น
" ไม่เป็นไรหรอกจะ​ ยังไงเสียหลานจะระวังตัวอยู่"
" ตามใจหลานเถอะท่านพ่อ​ บดิศรน่ะต้องการเพียงเท่านี้คงไม่มากมายอะไร"สไบแก้วเข้าข้างลูกตน
" ออ​ ที่สำคัญพระคู่หมั้นของพระเทวาจะพำนักอยู่ด้วยยังในส่วนพระตำหนักบุษบากร​  อย่าได้ไปกวนพระทัยให้ทรงขุ่นข้องหมองใจเป็นอันขาด" ธานินทร์​ออกเตือนแล้วพาทั้งหมดไปยังเมืองที่เนรมิตขึ้นใหม่นาม​ ศาศวัตบุรี
วันหนึ่ง​ ณ​ เมืองรัตนบุรี​ พระโอรสสุริยะคิดคำนึงถึงคำแนะนำจากพระอัยกาเรื่องการฝึกฝนวิชาไว้ให้มีความรู้ติดตัวกับฤๅษี​อนุชิตที่ป่าหิมพานต์​ แต่การที่จะเข้าสู่ป่าแห่งนั้นจะต้องตั้งจิตคำนึงพร้อมกลั้นหายใจเดินถอยหลังสามก้าวจึงเข้าไปได้​ คิดมาได้สักพัก​ ทำตามแล้วจึงได้พบกับฤๅษี​อนุชิตที่รอพบอยู่​ ตนจึงทำความเคารพอีกฝากฝั่งป่าจินตภพแสงสุรีย์​ได้เข้าพบฤๅษี​มฤคินทร์อาจารย์ของตนเช่นกัน
"โชคดีที่ท่านได้มีสิ่งวิเศษติดตัวไว้​ หากแต่ว่าจิตใจนั้นยังไม่มั่นคงพอ" อนุชิตโยคีกล่าว
"ฉะนั้นแล้วก็ควรฝึกวิธีให้พลังประสานกับจิต" มฤคินทร์ดาบสก็กล่าวเช่นกัน
"เพื่อจะได้ใช้งานต่อไปในภายภาคหน้าเพื่อผดุงคุณธรรมให้ดำรงต่อไป" ทั้งสองกล่าวพร้อมในปนะโยคเดียวกัน
ทั้งหมดจึงฝึกฝนวิชากับอาจารย์์ของตนอย่างขันแข็งรอวันที่จะเติบใหญ่ไปผดุงธรรมดำรงดั่งที่ได้ฟังคำกล่าวของพระอาจารย์​ไว้




หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ เมษายน 20, 2020, 12:30:14 PM
สวัสดีค่ะท่านผู่อ่านทุกท่านที่เข้ามาอ่านผลงานของจักกรดนะคะ
จักรกรดต้องขออภัยที่ไม่สามารถจัดแจงเวลามาแต่งเรื่องต่อได้จนเป็นเวลานานนับหลายปี
เกิดจากความไม่รับผิดชอบของจักรดจริงๆค่ะ
 w6 w6 w6
จักรกรดได้มีเวลามาแต่งต่อจนจบตอนเด็กแล้วนำมาลงค่ะ​ ส่วนตอนโตจะขอลงทุกๆวันเสาร์ต่อจากนี้นะคะ​ จะไม่สัญญาที่จะไม่หายไปแล้วค่ะ​ แต่ถ้าวันไหนต้องหายไปจะแจ้งทราบนะคะ​ หวังว่าจะแต่งเรื่องนี้จนจบไปได้ด้วยดีค่ะ​ ขออภัยอีกครั้งนะคะ
 w8 w8 w15
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ เมษายน 25, 2020, 09:08:42 AM

          .... ."  อันว่าเข้าทศปีที่ผันผ่าน
                  จะคิดอ่านสิ่งใดสมมาดหมาย
                  สิ่งวิเศษพระเวทย์อยู่ข้างกาย​ 
                  มิห่างหายหากเจ้าเฝ้าคำนึง
                     รวมสัตตะชำนาญการต่อสู้
                  หามิรู้ใครเล่าจะเข้าถึง
                  มีอาเพศเหตุร้ายขอเจ้าจึง
                  ใช้ฤทธิ์​ซึ่ง​เข้าช่วยอำนวยธรรม".....​

  เวลาผันผ่านไปจากเหตุการณ์​ที่เผชิญมาล่วงเข้าสู่วันอาทิตย์​ทรงกลดปีที่สิบเหล่าผู้ถือครองมหาศาสตราวุธทั้งสองได้เติบใหญ่แลสำเร็จวิชาที่ถนัดเหมาะสมเกี่ยวกับพลังจากพระอาจารย์​ของตน​ ทั้งด้านการใช้พลังส่งเสริมเวทย์มนตร์​อาคม​รวมถึงการสร้างศาสตราวุธสุดตามแล้วแต่ใจปรารถนา​เพื่อรอเพลาสามารถใช้ผดุงธรรมสักวัน​ ส่วนวันนี้จะขอทำตามใจสักวัน​คงไม่มีปัญหา​อะไร
"วันนี้พวกเรามาประลองกันดูไหมว่าใครจะเก่งกว่าใคร"
ศุภลักษณ์​กล่าวขึ้นมาขณะที่กำลังพักผ่อนร่วมกับพี่น้อง​ ณ​  พระราชอุทยานในเขตพระราชวังเมืองคีรีมาศ
"เราไม่ประลอง​เห็นจะดีกว่า" จินดาผู้ชอบทำสมาธิมากกว่าใช้พลังฟุ่มเฟือยกล่าวตอบ
"เราก็ไม่ล่ะ​ เราจะไปด้านนอกเสียหน่อยว่าจะมีอะไรเปลี่ยนไปในรอบสิบปีนี้บ้าง"แสงสุรีย์​เตรียมตัวจะไปยังพนาดรรอบๆเมืองเพราะพวกตนได้สัญจรเพียงพระราชวังกับป่าจินตภพตลอดสิบปีนี้
" จริงสิ​ วันนี้เรายังไม่ได้รดน้ำให้แวววิเชียรเลย" จันทลักษณ์​กล่าวขึ้นมาพลางนึกได้
"ไม่ต้องเลยนะจันทลักษณ์​ รดน้ำดอกไม้น่ะให้ข้าในวังทำให้ก็ได้​"ศุภลักษณ์​ท้วง​
"ไม่เอาน่า​ นานๆออกมาวันอื่นทั้งที​ เราไปดูดอกไม้ของเราก่อนดีกว่า" ว่าแล้วเขาก็จากไปไม่รอให้อีกคนท้วงอีก
" เอาล่ะสามคนนี้จะประลองกับเราไหม" ผู้อยากลองวิชาโดนปฏิเสธไปแล้วสามจึงถามกับคนที่เหลือ
" ไม่กลัวเกิดทะเลเพลิงเหรอ​ ท่านตาเคยเตือนแล้วนี่ว่าถ้าเราต่อสู้กันเองจะเกิดทะเลเพลิงแดงฉานไปทั่วบริเวณน่ะ"เพชรราหูพูดเตือน
" ไม่เห็นจำได้เลย" เขาน่ะรู้ดีแต่แค่ดื้อด้านเท่านั้นเอง
" จำไม่ได้​แต่ว่าเพชรราหูก็บอกแล้วนี่ไง​ อยากให้บ้านเมืองวอดวายเพราะอยากลองวิชาน่ะเหรอ​ ไม่เอาด้วยหรอก" เมธาวีช่วยเสริม
" เอาเถอะๆ​ ศุภลักษณ์​วันนี้อย่าลองวิชาที่นี่เลยเถอะ​ ไปเที่ยวเล่นกับเราดีกว่า" ปัทมาสน์กล่าวชวน​เพื่อตัดปัญหา​
"จริงๆเลยนะ​ พร้อมใจกันจริงๆ​ ก็ได้ๆเราไปกับเจ้าก็ได้เผื่อว่าจะดีขึ้นมาบ้างล่ะนะ"เจ้าตัวก็ยอมเสียแต่โดยดีแล้วจึงเดินทางไป
แปลงดอกแวววิเชียรงามสะพรั่งด้วยความเอาใจใส่ของพระโอรสวันจันทร์​ เขามาพิศดูพลางนึกถึงคนเมืองรัตนบุรี​ ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้างหนา
เมืองเจ้าของพันธุ์​ดอกไม้​ ธิดาวันจันทร์ก็ได้ชมแวววิเชียรอ​ยู่เช่นกัน
" จันทราภา​มาชมดอกไม้อยู่นี่เอง​ เราก็นึกว่าไปไหนเสียอีก" พุทธรัตน์​เข้ามาหาพร้อมเก็บดอกไม้ไปพลาง
"ใช่แล้วล่ะพุทธ​รัตน์​ แล้วนี่เข้ามาชมดอกไม้เหมือนกันเหรอ"  เธอก็ถามกลับไป
"ไม่ใช่แค่มาชมดอกไม้หรอก​ เรากะจะเก็บดอกไม้ไปร้อยพวงมาลัยถวายเสด็จแม่" เธอพูดพลางยิ้ม
" งั้นก็ดีเลยสิ​ เราจะทำด้วยคน"ธิดาวันจันทร์กล่าวแล้วจึงหาดอกไม้
" แล้วมาดูกันว่าของใครจะสวยกว่าใคร"ธิดาวันพุทธกล่าวพลางยิ้มสรวลอย่างชอบใจแล้วก็เก็บดอกไม้ต่อ​ เมื่อได้ปริมาณที่พอใจแล้วนั้นทั้งสองจึงพากันไปร้อยมาลัยภายในพระตำหนัก​ อีกฝากฝั่งหนึ่งมีหญิงสาวกับชายหนุ่มรุ่นเดียวกันประลองดาบกันอย่างแข็งขัน
"ศนิวารอย่าออมมือสิ" ประกายพฤกษ์เข้าใช้อาวุธโรมรันอีกฝ่าย
"ถ้าเจ้าเจ็บขึ้นมาใครจะรับผิดชอบล่ะ​" อีกฝ่ายตอบ
"เรารับผิดชอบเอง​ หรือว่าเจ้ากลัว" เธอพูดขึ้นด้วยความท้าทาย
"ไม่กลัว" เขาว่าแล้วจึงต่อสู้สุดกำลัง​ ทั้งสองนั้นฟาดฟันกันดูแรงทั้งที่ไม่ได้ใช้พลังเสียจนเหมือนไม่ใช่การฝึกธรรมดาจนดาบหลุดมือทั้งคู่
"เล่นกันแรงไปหน่อยหรือปล่าว"สุริยะที่ผ่านมาเข้าเก็บดาบให้ขณะที่เหล่าข้าราชบริพารกำลังอกสั่นขวัญแขวนอยู่
"ไม่นะไม่แรงเท่าไหร่" ศนิวารกล่าวตอบ
"เอาเถอะๆ​ อย่าฝึกเล่นมากก็แล้วกัน​ ถ้าเสด็จแม่ผ่านมาเห็นคงมิพอพระทัย" เขาเตือนทั้งสองด้วยความหวังดี​ แล้วเดินจากมาหาภูมินทร์ที่กำลังทบทวนพระเวทย์เหมือนอยู่ในภวังค์​เสียอย่างไรอย่างนั้น
"ขยันซะจริงเลยนะภูมินทร์" เขามาทักทายสักหน่อย
" ขยันอะไรกันล่ะ​ อีกประเดี๋ยวเราก็ไปนั่งสมาธิแล้ว"เขาพูดตอบเสียอีกคนอดยิ้มไม่ได้
" เอ.. เราแยกร่างกันมาสักพักแล้ว​ยังไม่เห็นอังคาสเลยนะ​ เจ้าเห็นบ้างหรือปล่าว" สุริยะเห็นไม่ครบก็ห่วงบ้างเป็นธรรมดา
"อ๋อ.. อังคาสน่ะไปป่าตั้งแต่แสงทรงกลดออกแล้วล่ะ" ภูมินทร์พูดตามที่เห็น
" ขอบใจมากนะ​ เราไม่กวนแล้วล่ะ"เขาพูดเสร็จจึงจากไปเฝ้าพระ​บิดาแลพระมารดร
" สุริยะมีอะไรหรือปล่าวลูก"ท้าวพีรเชษฐ์เธอถามพระโอรส
" เสด็จพ่อ​ เสด็จแม่พระเจ้าค่ะ​ ลูกขอลาเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ไปเฝ้าพระอัยกานะพระเจ้าค่ะ"
" อ้าว.. แล้วลูกบอกกับคนที่เหลือหรือยังล่ะ​ จะไปก็ไปเลยมันไม่ดีต่อหลายฝ่ายหรอกนะลูก" มเหสีสไบทอง​กล่าว
"อาทิตย์​ทรงกลดคราวที่แล้วลูกตกลงกับทุกคนไปแล้วพระเจ้าค่ะว่าลูกจะเริ่มเดินทางไปก่อน​ พอรวมร่างกันแล้วก็จะเดินทางต่อๆกันไป"
" ไม่ได้เจอกับพระอัยกาถึงสิบปี​ไปเฝ้าก็ดีอยู่หรอก​ แต่ว่าแม่กลัวอันตรายจะมาถึงลูกอีก"เธอกลัวเหลือเกินแม้เวลาจะผ่านมานานแล้ว
"ไม่เป็นไรหรอกสไบทอง​ ลูกเราน่ะเรียนวิชามาจากท่านฤๅษี​อนุชิตแล้วนะ​ อีกทั้งยังมีเกราะกายสิทธิ์​อยู่​ ไม่มีใครจะทำอันตรายลูกเราได้อีกแล้วนะ"ท้าวเธอกล่าวให้พระชายาขวัญชื้นฟื้นใจเสีย
" เอาเถอะ​ ขอให้ลูกเดินทางอย่างปลอดภัยนะ​ ระวังตัวด้วยนะลูก" ผู้เป็นแม่นางยอมก็จริงอยู่แต่ใจก็อดห่วงไม่ได้
" ขอให้ลูกโชคดี​ ไร้อันตรายนะ" ผู้เป็นพ่อจึงได้ให้พรอีกคน
" ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ​ ลูกจะรีบกลับมา​ หม่อมฉันทูลลา" ว่าแล้วเขาก็ได้ออกเดินทางไปต่างเมืองพร้อมกับพี่หิ่งห้อยคู่ใจทันที

" เอาเถอะ​ ถ้าอยากทำตามใจนักเราไม่ห้าม​ แต่ห้ามไม่ให้เจ้ามาพบหน้าเราอีกเลยบดิศร​" ประโยคนี้นึกทีไรก็ใจหาย​ ถึงจะอยู่เมืองใหม่สุขสบายแต่ไม่หายคิดถึงเรื่องผ่านมา​ บดิศรพลันนึกถึงเหตุการณ์​คราวนั้นอีกตามเคย​ เขาอยากรู้ว่าพระบิดาจะเป็นอย่างไรบ้าง​ จะเคยนึกถึงลูกอย่างตนบ้างไหม​ หรือว่าไม่เคยเลย เขาถอนหายใจได้ครู่เดียว​มารดาก็เข้ามา
" เป็นอะไรไปลูก​ ถอนหายใจเสียดังเชียว" แม่เขาถามด้วยความเป็นห่วง
"ไม่เป็นอะไรหรอกพระเจ้าค่ะเสด็จแม่​ ลูกแค่คิดอะไรไปเรื่อยๆเท่านั้น" เขาตอบเพราะไม่อยากเอ่ยหาบิดาให้มารดาช้ำใจ
"เช่นนั้นหรอกรึ​ แล้วนี่พวกเราจะไปเยือนเมืองคีรีมาศเมื่อไหร่กันดีล่ะ​ จะได้มีพันธมิตรกัน​ เขาว่ากันว่าเหล่าพระโอรสธิดาของเจ้าเมืองนั้นมีวิชามาก​ ดีไม่ดีเราจะได้มีคนช่วยเราทำงานใหญ่ได้ลุล่วง"
" น่าจะเป็นพรุ่งนี้พระเจ้าค่ะ​ "
" ดี​ แม่เห็นว่าเราต้องเตรียมไว้บ้างเพราะ​ว่าเกราะกายสิทธิ์​น่ะมีฤทธานุภาพมาก​​ ไหนจะพวกที่มีสังวาลย์​จากไหนไม่รู้อีก​ ถ้าเรามีพวกด้วยเยอะๆจะดีไม่น้อย"เธอพูดไปใครจะรู้ล่ะว่าเมืองที่จะผูกพันธมิตรก็คือมิตรก่อนเก่าของศัตรูตนนั่นแล
ที่พระตำหนักบุษากรในศาศวัตบุรีนั่นเอง​ พระธิดาอัญญานีแสร้งเป็นชมดอกไม้ร่วมกับหญิงสาวอีกคนที่ชื่อบัวแย้มเพื่อที่จะหาช่องว่างสู่การหลบหนีเพราะตนพอจะทราบมาว่าอีกไม่นานนี้เทพวิษุวัตจะมารับไปเข้าพิธีวิวาห์​โดยไม่เต็มใจ
"เราอยากอยู่กับบัวแย้มสองคนน่ะ​ ไว้พรุ่งนี้​มาเฝ้าเราแล้วกัน" อัญญานีบอกนางกำนัลทั้งสองที่กำลังถวายงานพัดวีให้อยู่
"แต่ว่าพวกหม่อมฉัน..." นางกำนัลจะกล่าว​ แต่เธอห้ามไว้เสียก่อน
"แต่ว่าอะไรนักล่ะ​ ถ้าเราต้องการอะไรบัวก็ทำให้เราอยู่แล้ว​ ถ้าขัดเราอีก​ล่ะก็จะลงโทษเสียให้เข็ด"เจ้าหญิงทำหน้าขึงขังใส่เสียจนนางกำนัลต้องยอมถอยไปแต่โดยดี​ เธอจัดแจงแต่งผ้าลำลองแล้วจึงจับที่ข้อมืออีกคน
" เราไปกันเถอะบัว" อัญญานีบอกเตรียมที่จะไป
"พระธิดาแน่พระทัยแล้วหรือเพคะที่จะเสด็จโดยธำมรงค์วงนี้"บัวแย้มกล่าวถามด้วยความไม่แน่ใจ
" แน่ใจสิ​ แหวนศุภรน่ะ​เราเพิ่งพบเมื่อคืนว่าสามารถพาเราไปที่ไกลๆได้​ ไม่รู้หรอกว่าที่ไหน​ แต่เราแน่ใจว่าไกลจากที่นี่มาก​ เราไปกันเลยเถอะ"
"เพคะ" ว่าแล้วแหวนก็ได้นำพาทั้งสองมายังป่าที่อยู่ระหว่างอดีตเมืองโกสุมพิสัยและเมืองทิศพล
"มีเสียงลำธารอยู่แถวนี้ด้วยเพคะพระธิดา​ พระธิดารอบัวอยู่ตรงนี้นะเพคะ​ บัวจะไปหาปลากับผลไม้มาถวาย"
" เราไปด้วยไม่ได้เหรอบัว"
" พระธิดาทรงพักผ่อนรอตรงนี้จะดีกว่าเพคะ​ บัวจะรีบหาอาหารและกลับมา"
"ตามใจก็ได้​เราจะรอตรงนี้ล่ะ​ กลับมาไวๆนะ" ว่าแล้วจึงได้นั่งพักอยู่ใต้ร่มไม้และอีกคนจึงเดินทางไปยังลำธารทันที

" เมฆา​ เมฆา"เสียงเรียกของผู้หญิงแต่ไกลทำให้ธิดาอสุราฉงน
" ช่วยด้วยสิ​ ช่วยเราที" พระโอรสวันศุกร์วิ่งขอมาให้ช่วยไม่นานนักเจ้าของเสียงเรียกก็มาถึง
" เมฆาหนีเราทำไมเนี่ย.. อ๊ะ!! .. แล้วนี่ใครน่ะ" หญิงสาวเห็นผู้หญิงที่ควงแขนอยู่กับคนที่เรียกหาก็สงสัยทั้งที่ไม่เห็นหน้า
" อ๋อ... นี่น่ะเหรอ​ นางคือนภาพร  นภาพรหันมาทักทายฉันทนาหน่อยสิ"ว่าแล้วทั้งคู่ก็หันกลับไป
"ย.. ยักษ์!!  นี่มันอะไรกันน่ะเมฆา​ ทำไมถึงมาควงแขนยักษ์แบบนี้ล่ะ"ฉันทนาตกใจแต่ก็สงสัยนัก
" เราต้องถามเจ้ามากกว่า​ว่าเจ้าเป็นใคร​ มายุ่งอะไรกับคนรักของเรากันล่ะ" ยักษีตอบพลางควงรัดแขนอีกคนแน่นกว่าเดิม
" เบาๆหน่อย​เจ็บนะ"คนที่ใช้นามว่าเมฆากระซิบอีกคนเพราะลงแรงมากไปเสียหน่อยกลับกลายเป็นภาพบาดใจอีกคน
" คนรักเหรอ​ เจ้าพูดมาหน้าไม่อาย​ ยักษ์​อย่างเจ้านี่นะ​ เราตะหากล่ะที่เป็นคนรักของเมฆาน่ะ" เธอพูดทำเสียอีกคนแทบปาดเหงื่ิอ
"คนรัก​ โธ่ๆเจ้านี่ไม่รู้อะไรเล้ย​ พวกเราน่ะคู่สร้างคู่สมกัน​ ขนาดชื่อนี่นะยังคล้องจองแถมคู่กันอีก​ เจ้ามีดีอะไรล่ะที่เมฆาจะชอบ" ยักษ์​อ้างชื่อนภาพรกล่าวพลางยิ้มชอบใจที่ได้แกล้งอีกฝ่าย
"หึย.. มีสิ  เราเป็นคน​ สวยก็สวยกว่า​ ผมก็ตรงงาม​ เมฆาก็บอกว่าชอบจนอยากตัดผมเราไปเก็บเสียด้วยซ้ำ" ฉันทนาพูดทำให้นภาพรมองหน้าเมฆาอย่างอดสงสัย​ไม่ได้​ แต่ก็ต้องช่วยเล่นไปก่อน
"เจ้าเจอเมฆาเมื่อไหร่ล่ะ​ เราน่ะดูใจมาสองปีล่ะหนา" เธอพูดกะจะทับถมอีกฝ่าย
"เราอยู่กับเมฆาสามปีแล้ว"อีกคนตอบอย่างมีชัย​ เมฆาไม่พูดอะไรแต่ก็หายใจติดขัด
" งั้นเหรอ​ แสดงว่าเราก็แย่งเจ้างั้นสิ"
"ใช่"
"ว้าย!!.. ตายละ​ เขามีแต่แย่งยัก​ นี่โดนยักษ์แย่ง​ ไปกันเถอะเมฆาอย่าไปสนใจเลย"ว่าแล้วก็รีบพากันควงออกไปปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นอัดอั้นตันใจอยู่​ ไม่นานก็ตัดสินใจตามไปแต่ตามไม่ทันพบแต่อีกาคู่เกาะอยู่บนกิ่งไม้เท่านั้น​ พาลพาให้อารมณ์เสียจนเอาไม้ไล่ตีนกผู้ไม่รู้ประสาจึงหนีไปจนถึงอดีตกระท่อมที่พักของบัวแย้มแล้วกลับสู่ร่างเดิม
" ฮ่าๆ​ ผู้หญิงคนนั้นน่าสนุกดีนี่​ ทำไมล่ะถึงได้หลบหน้าหรือว่าจะเป็นคนรักจริงๆ" ปัทมาสน์จ้องมองอีกคนแบบแกล้งเค้นความจริง
"ไม่ใช่หรอก​ นางน่ะคิดไปเอง​ แค่ชมว่าสวยนิดสวยหน่อยก็หลงเรา​ เราไม่รู้ด้วยนะเออ" ศุภลักษณ์​บ่ายเบี่ยง
"แล้วใช้ชื่อปลอมทำไมล่ะ​ กะจะทิ้งงั้นสิ"
" ไม่ใช่ๆ​ เราแค่ไม่อยากบอกชื่อจริงให้คนแปลกหน้าน่ะ"
" สามปียังจะแปลกหน้าอีกเหรอ"
" ใช่น่ะสิ"
"ปัทมาสน์ศุภลักษณ์​ พวกเจ้าสองคนก็มารำลึกความหลังที่กระท่อมบัวกันเหรอ" แสงสุรีย์เข้ามาด้านหลังทำให้ทั้งคู่ตกใจ​ เมื่อหายแล้วจึงได้ตอบ
" ใช่แล้วล่ะ​ ปัทมาสน์พามา" ศุภลักษณ์​บอก
" นี่เจ้ายังคิดถึงบัวแย้มไม่ลืมเลยล่ะสินะ"ธิดาวันอาทิตย์ถามพลางมองอีกคนอย่างห่วงๆ
" ใครจะไปลืมลง​" นั่นน่ะสิ​ ธิดายักษ์น่ะไม่มีทางลืมหรอกเพราะเธอออกจะรักเหมือนน้องสาวเสียขนาดนั้น
พลางคิดย้อนไปในอดีตที่เจอครั้งสุดท้ายก็สิบปีมาแล้ว
"พระธิดา​ บัวต้องไปแล้วนะเพคะ" เธอตระเตรียมของพร้อมบอกลา
" ไปไหนล่ะบัว" พระธิดาไม่เข้าใจ
"มีคนมารับบัวกับยายไปอยู่ด้วยเพคะ​ บัวต้องตามไปดูแลยาย" เสียงไอทรมานของผู้เป็นยายดังเป็น​ละลอก​
"เฮ้อ​ เราน่ะอยากดูแลมากกว่าอีก​ ถ้าไม่ติดว่ามีอัคนินสักคน​ เสด็จพ่อคงให้เราพาบัวกับยายไปอยู่ด้วยแล้ว"
"ไม่เป็นไรหรอกเพคะ​ ตอนนี้ยายกับบัวก็จะอยู่อย่างที่พระธิดาหวังไว้แล้ว"
" จะดีจริงเหรอ"
" เพคะ​ ยายของบัวไม่เคยอยากให้บัวลำบาก​ ตอนนี้มีคนมาช่วย​ยายด้วย บัวก็สบายใจเพคะ"
" เอาเถอะ​ เราคงห้ามไม่ได้​ ยังไงก็ดูแลตัวเองดีๆนะบัว​เราเชื่อว่าสักวันพวกเราจะได้เจอกันอีก"เธอพูดพลางกุมมืออีกฝ่าย
บัวแย้มดับยายจึงเดินทางไปยังเมืองศาศวัตที่ยายได้ช่วยชีวิตคนคนหนึ่งที่เป็นคนเมืองนั้นไว้
ภาพความทรงจำมีในขณะที่บัวแย้มกำลังหาปลา​ เมื่อพอใจกับปริมาณที่หาแล้วจึงจะไปหาผลไม้ต่อ​ แต่ต้องหยุดเมื่อได้ยินเสียงเหมือนมีคนมาเล่นน้ำ​ ตนจึงลอบมองพบว่าเป็นชายหนุ่มรูปงามสวมเกราะชมพูกำลังใช้มือสาดน้ำไปทั่วๆอย่างสบายใจ​ ตอนนี้เจ้าตัวรู้แล้วล่ะว่ามีคนมาแอบมองอยู่จึงแกล้งพูดออกไป
"ไม่เล่นดีกว่า​ น่าเบื่อจริงๆ" อยู่ดีๆก็ทำท่าเบื่อแล้วเผลอครู่เดียวก็หายตัวไป
"อ้าว​ เมื่อกี้ยังอยู่ตรงนี้อยู่เลยนี่นา" บัวแย้มออกมาดูพลางพูดอย่างสงสัย
"อะไรอยู่ตรงนี้" อังคาสลอบถามจากข้างหลัง
"ก็ผู้ชายที่เล่นน้ำนี่ไง.."เธอพูดพลางหันหน้ามาแบบลืมตัวแล้วพบกับเจ้าตัวเข้าให้
"นี่​มาแอบดู​เราเหรอ" เขาถามพลางขมวดคิ้วมอง
"ป่าวนะ​ เราแค่ผ่านมาเห็นคนมาเล่นน้ำก็แค่มอง​ดูว่าเป็นใคร" เธอพูดให้อีกคนเข้าใจ
"แล้วก็พบว่าเป็นเรา​ ถามหน่อยเถอะเป็นผู้หญิงอยู่ในป่าถ้ามีผู้ชายมาเล่นน้ำจะดูทุกคนเลยไหมล่ะ" เขาถามซะจนผู้ฟังเริ่มไม่สบอารมณ์
"นี่จะบ้าเหรอ​ เราไม่ได้เป็นแบบที่เจ้าถามนะ​ เจ้าน่ะสิอิท่าไหนถึงมาเล่นในป่าดงดูแล้วก็เป็นคนเมืองนี่นา​"
" นั่นมันก็เรื่องของเรา"
" เราผ่านมาเห็นแล้วมองก็เรื่องของเราเหมือนกัน"เธอยอกย้อนอีกฝ่าย
" ย้อนเราเหรอ"อังคาสจับข้อมือบัวแย้มพลางมองอีกฝ่าย
"ย้อนไม่ย้อนก็คิดเอาเองเถอะ​ แต่ปล่อยเราเดี๋ยวนี้นะปล่อย!! "เธอขัดขืนแต่สู้แรงอีกคนไม่ได้
" ไม่ปล่อยจนกว่าจะขอโทษเรา" เขาจับแน่นกว่าเดิมอีก  คนโดนจับเลยคิดที่จะหาทางเลี่ยงความสนใจ
" ย.. ยักษ์!!" เธอร้องพลางมองไปด้านหลังของอีกฝ่ายพลางทำหน้าหวาดกลัวอย่างมาก​อีกคนจึงหันไปดู​ อาศัยทีเผลอสะบัดข้อมือวิ่งหนีไปในทันที
" นี่เจ้า.. เจ้า!!" เขารู้ตัวจึงวิ่งตามไปแต่ไม่รู้ทำไมอีกคนถึงวิ่งเร็วนัก​ แปลกจริงไม่น่าจะวิ่งเร็วขนาดนี้​ แต่ป่าวหรอกเธอแค่หลบไปอีกทางเฉยๆ​ เขาน่ะวิ่งหาไปอีกทาง​ บัวแย้มจึงไปหาผลไม้ต่อไป
อัญญานีรอนานแล้วแต่อีกคนไม่มีทีท่าที่จะกลับมาเลย​ จึงจะตามไปดู​แต่แล้วต้องพบกับอสรพิษร้ายอย่างงูเจ้ากรรมเข้าให้​ เธอไม่อยากทำร้ายมันจึงวิ่งหนีไปเสียดีกว่า​ นั่นทำให้เธอหลงทางเสียจนได้​ สุริยะกับหิ่งห้อยยักษ์​ผ่านทางมาพอดีจึงลงไปดู
"ท่าน​ ทำไมถึงมาเดินป่าคนเดียวล่ะ​ ดูเหมือนท่านจะมีอันตรายเลย" สุริยะถามอีกคน
"เรา​ เราไม่ได้เดินคนเดียวหรอก​ เรามากับภริยาแต่พลัดหลงกัน​ อันตรายน่ะเราไม่มีหรอก​ กลัวแต่หิ่งห้อยยักษ์​ที่มากับท่านเสียมากกว่า" เธอพูดตอบอีกคน​ ถึงจะเคยเห็นหิ่งห้อยยักษ์​มาก่อน​แต่ตัวเองก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นตัวเดียวกันหรือไม่ เขามองเห็นแหวนศุภรพลางมองกับหิ่งห้อยยักษ์​เป็นเชิงว่าอย่าเพิ่งถามจะดีกว่า
"ไม่เป็นไรหรอกจะ​ พี่หิ่งห้อยน่ะไม่ทำร้ายใครแล้ว"หิ่งห้อยยักษ์กล่าวอย่างเป็นมิตร
" เราจะช่วยหาภริยาท่านอีกแรง​ เราสุริยะนะ​ ท่านชื่ออะไรหรือ"เขาแนะนำตัว
" เราอัญ.. อันติมะ" อัญญานีเกือบพลั้งบอกชื่อจริงไปเสียแล้ว
"อันติมะ​ ภริยาท่านชื่ออะไรหรือ​ เราจะช่วยเรียกหาถูก​"เขาถามข้อมูลเพื่อจะช่วยตามหาให้ง่ายขึ้น
"บัวแย้ม​ นางชื่อบัวแย้ม" สิ้นคำตอบไม่ทันไรฝนก็ตกมาเสียอย่างนั้น​ ทั้งหมดจึงต้องหาที่หลบฝนก่อน​ บัวก็ต้องหาที่หลบฝนเหมือนกัน​ แต่ทว่ามาหลบเจอคนที่ทำเจ็บข้อมือเสียซะอย่างนั้น
" นี่เจ้า​ อิท่าไหนล่ะถึงมาหลบฝนที่เดียวกับเรา" อังคาสที่ตอนแรกเหมือนจะขึ้นเสียงแต่ลดเสียงให้คล้ายแกล้งถามไป
"ใครจะไปรู้ล่ะว่าจะมีคนอยู่ในนี้​ เราไปก็ได้" ว่าแล้วเธอจะเดินไปแต่อีกคนก็คว้าข้อมือไว้
"ปล่อยนะ​เราเจ็บ" อีกคนขัดขืนอีก​ แต่นั่นมันจะทำให้เจ็บกว่าเดิมน่ะสิ
" ปล่อยน่ะได้​ แต่ต้องหลบฝนด้วยกันที่นี่นี่ล่ะ​ ส่วนข้อมือนี่เราจะช่วยให้หายเจ็บ​ ฝนตกแรงขนาดนี้​ออกไปจะเปียกไม่น้อยเลย"ว่าแล้วเขาก็คลายมือออก​ อีกคนไม่ได้หนีไปไหนตัวเองเลยเป่ามนต์​ที่เรียนมาให้ข้อมืออีกคนหายเจ็บ
"หายเจ็บแล้ว.. งั้นเหรอ" เธอพึมพำอย่างประหลาดใจ​ อาการหายเหมือนไม่เคยเจ็บเลย
" แทนที่จะขอบใจ​ กลับพึมพำอะไรก็ไม่รู้"
" ไม่ล่ะ​ เราถือว่านี่เป็นสิ่งที่เจ้าต้องทำให้อยู่แล้ว​ เพราะว่าเจ้าทำเราเจ็บตัว"
"พูดอย่างนี้อยากเจ็บตัวอีกล่ะสิ"
"ไม่อยาก​"
"เอ้อนี่​ เจ้าหาปลากับผลไม้ไปกินกับใครน่ะ​ ลักษณะ​อย่างนี้คงไม่กินหรอกคนเดียวหรอก" เขาพูดพลางมองไปที่อาหารที่เก็บมาได้ของอีกคน
"เราหาไปกินกับ.. สามี​ สามีเรา"เธอพูดเพราะคิดได้ว่าอัญญานีกำชับให้แสดงตนเป็นสามีภรรยากันจะได้ไม่มีคนสงสัย
" เจ้ามีสามีแล้ว​ สามีเจ้าไม่ได้เรื่องเลยนะ​ ให้เจ้ามาหาอาหารคนเดียว" เขาพูดพลางบ่นเล็กน้อย
" อย่าว่าสามีเรานะ"
"แตะต้องไม่ได้เลยงั้นสิ"
"ใช่.."สิ้นสุดคำทั้งสองก็ไม่ได้พูดกันอีก​ มีแต่ความเงียบท่ามกลางฝนกระหน่ำ​ เวลาผ่านไปจนค่ำแล้วฝนจึงหยุด​ ตอนนี้ไม่อีกคนซะแล้วสิ​ บัวแย้มก็ได้แต่แปลกใจ​ แต่ไม่ได้การล่ะ​ ตนต้องไปถวายอาหารให้พระธิดานี่​ ป่านนี้คงรอแย่แล้ว​ คิดได้จึงเร่งเดินทาง
" จะทำอย่างไรดีล่ะ​ ค่ำแล้วฝนเพิ่งจะหยุด​ บัวจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้​  "  เธอพร่ำด้วยความเป็นห่วงอีกคน
"อย่างนั้นก็อย่าช้าเลย​ เราไปหากันต่อดีกว่า" ว่าแล้วทั้งหมดจึงไปตามหา
"จะ.. จะไปไหนเหรอน้องสาว" เสียงน่าขนลุกพิลึกดังขึ้นมาหลังบัวแย้ม​ เมื่อหันหลังกลับไปจึงพบกลับผีโครงกระดูก​ มีแต่หัวกับแขน
"ผ.. ผี"เธอตกใจ​แต่พยามยามไม่กลัวมาก​ ต้องตั้งสติเข้าไว้
"ก็ผีน่ะซี​ ช่างเถอะน่า​ตาหวานน่ะไม่ทำอะไรไรเราหรอก​ แค่อยากช่วย​ เหมือนหลงทางเลยนี่"เขาพูดกับอีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร​ ดูท่าจะเป็นผีดีเสียด้วย​ ตนจึงอุ่นใจขึ้นมา
"ไม่ได้หลงทางหรอกจะ​ บัวกำลังจะไปหาสามีของบัว​ แต่ว่าหาไม่พบนี่สิ​" มาที่เดิมแท้ๆแต่ไม่พบน่าฉงนจริง​
" เดี๋ยวพี่ตาหวานจะช่วยหาอีกแรงแล้วกัน"ว่าแล้วทั้งคู่จึงออกตามหาแล้วไปพบกันพอดี
"บัว​ บัวเป็นอะไรรึปล่าว​ เราเห็นว่าบัวไปนานแล้วเราเป็นห่วง​ เราเลยออกตามหา" อัญญานีเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วงพลางจับที่ตัวของบัวดู
" บัวไม่เป็นไรหรอกจะพี่อัน​ พี่ไม่น่าออกตามหาบัวเลย"บัวแย้มเห็นมีคนอื่น​อยู่ด้วยจึงแสร้งเรียกเสมือนภริยา
"ออ.. นี่คือสุริยะกับพี่หิ่งห้อยน่ะ  แล้วนั่นมันผีหนิ  ทำไมถึงอยู่กับผีได้ล่ะ"
" ก็บัวเดินทางมาเจอ​พี่ตาหวาน​ พี่ตาหวานเป็นห่วงเลยมาส่งน่ะจะ"
"นั่นมันเกราะกายสิทธิ์​นี่หว่า​ นี่จะเป็นบุญของเราแล้วกระมัง" ผีตาหวานชี้ไปยังสุริยะ
"คิดจะไรทำอะไรน่ะเจ้าผี" หิ่งห้อยยักษ์​ถามเพราะกลัวจะมาเป็นอีหรอบเดิมเดียวกับเจ้าตัวประหลาดนั่น
" ป่าวๆ​ นี่ท่านน่ะ​ พี่ตาหวานขอติดตามไปด้วยนะ​ มีคนเคยบอกไว้ว่าถ้าตาหวานช่วยทำคุณกับคนที่สวมเกราะกายสิทธิ์​ล่ะก็​ ตาหวานจะไปสู่สุขคติ"
"ได้สิพี่ตาหวาน​ น้องชื่อสุริยะ​ มีอะไรต้องรบกวนด้วยนะ" สุริยะได้ยินยอมพร้อมกับฝากตัวด้วย
"เอาล่ะเรามาหาฟืนก่อไฟกันดีกว่าเถอะ​ มืดมากแล้ว" ผู้อ้างชื่ออันติมะกล่าว​แล้วทุกคนจึงช่วยกันหาก่อไฟกันจนได้คุยกัน
" เราขอถามท่าน​ ธำมรงค์ศุภรที่ท่านสวม​ ท่านไปได้จากไหนมา"สุริยะเปิดประเด็นที่ค้างคาใจมาถาม
" เรา​ เราได้มาจากผู้หญิงคนหนึ่ง" เธอพูดตอบ​ เธอไม่ได้โกหกนี่ก็ได้จากผู้หญิงจริงๆน่ะนะ
" ใครงั้นเหรอ" เขาถามพลางขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความฉงน
"เราจำไม่ได้หรอก​มันนานมาแล้ว​ ว่าแต่เจ้าเถอะรู้จักแหวนวงนี้ได้ยังไง
"เราเคยเจอมาก่อนน่ะ" เขาก็พูดตามจริง
"งั้นเหรอ​ แต่ตอนนี้แหวนี้เป็นของเรา​ ขอเจ้าอย่าถามอีกเลย" เธอตอบ​ ดูท่าแล้วก็ไม่เหมือนผู้ชายเท่าใดเลยนี่  หรือว่าจะเป็นอัญญานีสหายเก่าของจันทราภากันนะ​ เลือกจะไม่เซ้าซี้ดีกว่า​ ไว้พรุ่งนี้ให้เขาคุยกันเอง
"ได้​ เราจะไม่ถามท่านแล้วก็ได้" ทั้งหมดจึงคุยสัพเพเหระเสร็จแล้วจึงนอนหลับพักผ่อนไป
..
" ขยันจริงๆ​เลยนะอัคนิน" แสงสุรีย์เข้ามาทักอีกคนที่ซ้อมดาบจนค่ำแล้วยังไม่หยุด
"เราไม่ได้ขยัน​ มีอะไรรึปล่าว" เขาตอบกลับและถามอย่างห้วนๆ
"เราไม่มีหรอก​ เราแค่อยากมาทักทาย​ เราเห็นเจ้าฝึกซ้อมดาบอย่างนี้เราก็สบายใจ​ ดีแล้วล่ะจะได้เป็นเป็นกำลังพลให้บ้านเมืองต่อไปได้​ อย่าหักโหมนักนะ​ เราไปล่ะ" ว่าแล้วเธอจึงเดินจากไป​ คำพูดที่จะเป็นกำลังพลนั้นมันแทนที่จะให้กำลังใจแต่ว่ากลับเป็นการตอกย้ำในความคิดคนฟังว่าเขาควรเป็นเพียงทหารไม่ใช่คนปกครอง​ ตัวจึงฟาดฟันคู่ซ้อมที่เป็นข้ารับใช้ตนเสียปางตาย
" ดูถูกข้านักเรอะ​ ตายซะเถอะ!! "ว่าแล้วตนก็ใช้ดาบจะฟันอีกคนเสียให้สิ้นถ้าไม่มือมีสตรีมาจับระงับไว้
"อัคนิน  ลูกจะทำอะไรน่ะ​ เจ้าจะฆ่าคนของตัวเองงั้นรึ" ผกากรองมราดาถามลูกที่ทำการอุกอาจเช่นนี้​ เขาถอนหายใจก่อนจะลงมือลง
"อย่าลืมสิ​ พวกเรามีคนแค่หยิบมือ​ ถ้าสังหารพวกข้าใช้สิ้นแล้วใครจะอยู่ข้างพวกเราล่ะ​ เจ้าต้องใจเย็นอดทนรออีกสักนิด" เธอพูดให้บุตรได้คิดตาม
"รอ​ อีกเมื่อไหร่ล่ะท่านแม่​ อีกเมื่อไหร่กัน​ ลูกรอมานานมากแล้วนะ" เขาทำท่าไม่พอใจ
"เชื่อแม่เถอะ​ อีกไม่นานจะเป็นวันของเรา​ แม่เตรียมการใกล้เสร็จสิ้นแล้ว " ลูกที่ได้ฟังก็หุนหันพลันแล่นไม่อยากฟังอีกจึงไปเสียให้พ้นมารดา
..
" อีกไม่นานนี้​เราจะกลับมาอยู่ด้วยกันแล้ว​ อินทรานี"เทพวิษุวัตพูดถึงนางอันเป็นที่รักขณะอยู่ที่หอชิดดาราที่สูงเสียดฟ้าพอที่จะเก็บดาวและความทรงจำเมื่อครั้งก่อนเก่าไว้ได้​ ท่านนึกถึงอดีตครั้งแรกที่พบกันจนถึงวาระสุดท้าย​ นึกแล้วก็พาลให้โกรธเทพบุตรโกวิทหรือนามรองศรุตเทพ​ที่ตนนั้นได้เคยใช้เป็นบริวารที่ไว้ใจมากที่สุด​ แต่ความไว้ใจนั้นกลับถูกทรยศ​เมื่อเขาได้ใช้ให้นำเกราะกายสิทธิ์​มารักษาพระชายา​
กลับนำหนีไปซ่อนไว้จนไม่อาจรักษานางมันจนสิ้นชีพ ถึงจะสาปให้เป็นคนพิการเข็ญใจเท่าใด​ ก็ไม่เท่ากับความแค้นในใจได้​ บัดนี้เขาได้เจอนางจากคำบอกล่าวของฤๅษี​ทมิฬที่รอดมาได้ก็อุ่นใจขึ้นมาบ้าง​ แต่ว่าพระเชษฐภคินีที่สำคัญเท่าชีวิตตนยังหาไม่พบเสียเลย
"พระพี่นางไปอยู่หนแห่งใดกัน​ ป่านฉะนี้แล้วยังไม่พบเลย​" ทำไมกันหนาทั้งทีเป็นพระเทวีเคียงข้างองค์อินทร์ถึงได้หายไปแบบใครก็ตามไม่พบ​ หรือพระนางไม่อยากให้พบกัน​ คงต้องติดตามเสาะหากันต่อไป
..
ที่ถ้ำไม่ไกลจากเมืองรัตนบุรีมากนัก​ เจ้าตัวประหลาดตุ้บเท่งเตรียมตัวจะเดินทางเข้าเมืองในวันพรุ่งซะแล้ว
" ข้ารอมาถึงสิบปี​ ท่านพ่อสิ้นไปแล้ว​ ต่อจากนี้ไม่มีใครจะห้ามข้าได้อีกต่อไป​ เกราะกายสิทธิ์​ต้องเป็นของข้า​ และ​ และสังวาลย์​มณีก็ต้องเป็นของข้าฮ่าๆ" สุดหล่อหัวเราะอย่างชอบใจแล้วจึงจะเดินทางไปในวันพรุ่งเพื่อจะทำสิ่งที่ตนปรารถนาคือครอบครองสิ่งเวษไว้ข้างกาย










หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ เมษายน 26, 2020, 06:13:41 PM
"ขอให้ท่านอยู่และมีเหตุแห่งการสิ้นเฉกเช่นเรา​__ เทพบุตรโกวิทจงไปนำเกราะกายสิทธิ์​มาให้เรา​__ไม่ได้เราจะนำเหตุแห่งสิ้นขององค์ท่านไปให้ไม่ได้​ __ศรุตเทพ​ เสียแรงที่ไว้ใจเจ้า​  เราขอสาปให้เจ้าพิการเป็นง่อย​เข็ญใจจนกว่าจะได้สวมเกราะกายสิทธิ์" ภาพเหตุการณ์​ที่พระอินทร์​ตรัส​-เทพวิษุวัตให้ไปหาเกราะ​- ตนเองอีกคนไม่ยอมนำไปให้-สุดท้ายจึงโดนคำสาป​ ภาพเหล่านี้ตีสลับซ้ำๆไปมาในห้วงฝันของสุริยะ​จนเขาตกใจตื่นในเวลารุ่งสางที่แสงอาทิตย์​ยังไม่ออกชัดดี​ ใบหน้าชุ่มเหงื่อ​ดูท่าไม่ดีเอาเสียเลย  ความฝันนี้เหมือนจริงมากจนน่ากลัว​ กลัวว่าจะเป็นความจริงนี่สิ​ เขามองไปที่เหลือยังไม่เห็นใครจะตื่น​ ตนจึงปลีกวิเวกไปล้างหน้าที่ลำธารคนเดียวก่อนเห็นจะดีกว่า​
"พระโอรสสุริยะ​ มาทำอะไรคนเดียวน่ะพระเจ้าค่ะ" เจ้าผีโครงกระดูกถามอีกคนด้วยความสงสัย
"ก็มาล้างหน้าตามปกติน่ะจะ​ พอดีวันนี้น้องตื่นเช้ากว่าเดิมเลยไม่อยากรบกวน" เขายิ้มให้อีกฝ่าย
"พี่ตาหวานจะรบกวนพระโอรสเสียหน่อน่ะพระเจ้าค่ะ"
"รบกวนอะไรหรือจ๊ะพี่ตาหวาน"
"เวลากลางวันแดดร้อน​ พี่ตาหวานขออยู่ในย่ามให้พระโอรสช่วยให้ได้ไหมพระเจ้าค่ะ"
"ได้สิพี่ตาหวาน"
" ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ​พระโอรส" ผีโครงกระดูกส่งย่ามให้อีกฝ่ายแล้วตนจึงเข้าไปอยู่ในย่ามนั้น​ เสร็จแล้วเขาจึงไปยังที่รวมพล​ พลางคิดก็วิตกไม่หายจึงได้พึมพำไป
" เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่นะ" สิ้นคำไม่นานแสงวันใหม่ได้สาดส่องมายังเกราะกายสิทธิ์​ทำให้คนเปลี่ยนไป
" เรื่องอะไรพระเจ้าค่ะ​ ตรัสเรื่องอะไร" ผีตาหวานถามทั้งๆที่ร่างอยู่ในย่ามนั้น
"เสียงอะไรน่ะ​ แล้วสุริยะสะพายย่ามอะไร" จันทราภาเธอจึงดูในย่ามว่ามีอะไรอยู่ในนั้น
" มีตาหวานพระเจ้าค่ะ​พระธิดา" เขาตอบเมื่อได้ยินเสียงที่เปลี่ยนไปก็พอจะรู้อยู่บ้างว่าไม่ใช่พระโอรสสุริยะแล้วสิ​ เมื่อจันทราภาเห็นก็ตกใจ
"พระธิดาอย่าเพิ่งกลัวเลยนะพระเจ้าค่ะ.." เขาอธิบายเหตุผลให้ฟังเหมือนกับที่บอกกับคนก่อนหน้า​ ทำให้อีกคนสบายใจขึ้นมาเดินมาไม่นานก็ถึงจุดรวมพลเสียที
ซึ่งทุกชีวิตก็ได้ฟื้นคืนตื่นมากันหมดแล้ว​  รอท่าก็แต่อีกคนกับหนึ่งผีเท่านั้นเอง
"อ้าว​ท่าน​ มากินอาหารเช้ากันเร็ว"อันติมะกล่าวเรียกอีกคน​ เพราะตอนนี้มีผลไม้และเหล่าปลาที่ช่วยกันหาของเธอกับภริยากำมะลอระหว่างรอ
"ท่านคงคือผู้ที่เป็นสามีชื่ออันติมะสินะ" จันทราภายิ้มให้อีกคนอย่างมีไมตรีจิต​ แต่เมื่อพิศดูแล้วคนคนนี้เป็นหญิงนี่นา
"ใช่แล้วล่ะ"
" เราจันทราภานะ​ อย่าว่าเราอย่างนั้นอย่างนี้เลย​ ท่านเป็นหญิงทำไมถึงแอบอ้างเป็นชายมีคู่รักล่ะ" อีกคนได้ยินก็ถึงกับผงะ​ ไม่รู้ต้องตกใจที่ได้พบกันกับสหายเก่า​ หรือต้องตกใจที่อีกฝ่ายมองตนออกดี
"ท่านรู้.." เธอคิดอะไรไม่ออกเลยถามไป
"ใช่​ เราเป็นผู้หญิงด้วยกันนะ​ ทำไมจะดูไม่ออกล่ะ... ธำมรงค์​แก้วศุภร ท่านได้มาจากที่ไหน"เธอพูดบอก​ไม่นาน​ก็เห็นแหวนวงนี้ที่คุ้นเคยนี้ที่นิ้วอีกของนาง
"เราได้มาจากประกายพฤกษ์​ เราคืออัญญานี" ว่าแล้วเธอได้แก้ผ้าโพกศีรษะออกทำให้เกศาลงยาวมา​ ส่งผลให้เห็นหน้าคล้ายกับอัญญานีเมื่อวัยเยาว์ไม่มีผิดเพี้ยน
" อัญญานี.. เจ้าจริงๆด้วย​ ทำไมถึงมาเดินป่าแบบนี้ล่ะ​ แล้วบัวแย้มเป็นใครกันน่ะ" จันทราภาถามอย่างอดสงสัย​ไม่ได้​ ถึงขนาดต้องปลอมตัวก็ต้องมีเรื่องเข้าให้แล้ว
"เมื่อสิบปีก่อนหน้านี้​ แม่มดเกลียวทองแปลงกายมาหลอกว่าเป็นเสด็จอาของเรา​ นางว่าถ้าไม่ยอมไปเมืองทิศพลจะพังพินาศ​ ขนาดพลังของสิ่งวิเศษที่พวกเจ้าสวมใส่ยังเอาชนะเทพวิษุวัตไม่ได้​ เราไม่มีทางเลือกเพราะเราไม่อยากให้มีปัญหาเกิดกับผู้บริสุทธิ์​จึงติดตามไปเพื่อหาลู่ทางหนีเมื่อเติบใหญ่ต่อไป​ ส่วนบัวแย้มเป็นคนที่เกลียวทองนำมาเลี้ยงเพื่ออยู่กับเรา​ แต่ว่าบัวเป็นคนดีมากนะ" เธอเล่าให้อีกคนฟัง
" แม่มดเกลียวทอง​ นางยังรอดมาทำเรื่องนี้อีกเหรอ​ ประกาย​พฤกษ์​เคยบอกว่านางกลายเป็นคนชราไร้พิษสงแล้วนี่" พระธิดาวันจันทร์นั้นสบสน
" ตอนนั้นนางหนีมาพบกับยายของบัวเข้าเพคะ​ ยายของบัวจึงช่วยชีวิตนางไว้เพราะสงสาร​ ไม่นึกกว่าเรื่องจะกลายเป็นแบบนี้" บัวแย้มพูดให้ฟังแล้วตนก็นึกถึงยายตนที่เสียไปเมื่อไม่นานนี้เอง
" ที่เราหนีมาได้เพราะแหวนวงนี้ล่ะ​ พาพวกเรามาที่นี่​ แต่บางครั้งเรารู้สึกว่าเหมือนเป็นเพียงแหวนธรรมดาเลย" อัญญานีพูดต่อ
" คงเป็นเพราะไม่ได้ลองใช้จริงจังมากเท่าตอนหนีหรือปล่าวนะ" จันทราภาพูดแล้วทุกคนต่างก็คิดไปอยู่อย่างนั้น
...
"เสด็จแม่​ เสด็จแม่จะบอกสุดหล่อ​ว่าพวกพระโอรสพระธิดาเสด็จไปเมืองทิศพลแล้วงั้นรึ"เจ้าตัวประหลาดเดินทางมาเข้าเฝ้าพระมเหสีเมื่อพบจึงได้ถาม​ ความก็ได้ดั่งที่พูด
" ใช่แล้วล่ะสุดหล่อ​ พระอัยกาน่ะไม่ได้พบกันนับสิบปีแล้ว พวกลูกๆของเราจึงไปเยี่ยมเยือนสักหน่อย"
" อ้าว​ แล้วอย่างนี้จะไปกันสักกี่วันล่ะพระเจ้าค่ะเสด็จแม่"
" ก็แล้วแต่ลูกๆของแม่จะพอใจนั่นล่ะสุดหล่อ" พระนางก็มิอาจรู้ได้เช่นกัน
"ไม่ได้ๆ​ สุดหล่อจะต้องตามไปซะหน่อยแล้ว" เขาเตรียมตัวจะไปหา
" เดี๋ยวสิสุดหล่อ​ ทำไมถึงต้องรีบไปตามหาด้วยล่ะ  พักรอที่นี่ก็ได้"
" ก็สุดหล่อห่วงเกราะ...ห่วงพระโอรสพระธิดาจะมีอันตราย​ บางทีอาจจะมีศัตรูคนใหม่ก็ได้พระเจ้าค่ะ"
" อยากตามไปเราก็จะไม่ห้ามแล้ว​ แต่ว่ากินอะไรเอาแรงหน่อยดีไหมล่ะสุดหล่อ​ แม่เห็นเจ้ามาแต่เช้าน่าจะยังไม่ได้กินอะไร"
" ก็.. ก็ดีพระเจ้าค่ะ" เขานึกถึงอาหารอันโอชาของเมืองนี้จึงตอบตกลงก่อนจะเดินทางต่อไป
...
" องค์​เหนือหัวพระเจ้าค่ะ​ พระอาคันตุกะจากศาศวัตบุรีเสด็จถึงแล้วพระเจ้าค่ะ" นายทหารเข้ามาบังคมทูลยังกษัตริย์​แห่งเมืองคีรีมาศที่ออกว่าราชการแต่เช้า
" เชิญพระอาคันตุกะเข้ามาเถิด"ท้าวธริษตรีกล่าวตอบแล้วทหารจึงไปเชิญมา
"ถวายบังคมพระเจ้าค่ะ​ หม่อมฉันบดิศรจากศาศวัตบุรี​" กล่วทูลแล้วจึงให้เหล่่าบริวารที่ตามมาขนสิ่งมีค่ามาถวายให้
"ยินดีต้อนรับท่านราชทูต​จากศาศบุรีวัตสู่เมืองของเรา​ เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ผูกสัมพันธไมตรีกับเมืองของท่าน" ท้าวเธอกล่าวต้อนรับด้วยความยินดี​ บดิศรจึงยิ้มตอบอีกฝ่าย
" เมืองของหม่อมฉันเพิ่งเป็นเมืองเปิดได้ไม่นาน​ ได้ยินเกี่ยวกับพระบารมีของพระองค์​จึงได้ขอเข้ามาผูกสัมพันธ์​ หวังว่าจะช่วยอำนวยความสบายให้กับเมืองของพระองค์ไม่มากก็น้อยนะพระเจ้าค่ะ"
" อย่าว่าเช่นนั้นเลย เมืองเราต้องรบกวนท่่านหลายเรื่องแน่ในภายภาคหน้า​ ท่านเป็นพระนัดดาของเจ้าเมืองใช่หรือไม่"
" ใช่พระเจ้าค่ะ"
" ดีจริงๆเลยนะที่มีหลานคอยช่วยดูแลงาน​ ท่านก็มีรุ่นราวคราวเดียวกับบุตรเรา​ ช่วงที่พักอยู่ที่นี่เราอยากจะให้เป็นสหายกัน​ จะเป็นการขอมากไปหรือไม่"
" ไม่เลยพระเจ้าค่ะ​ หม่อมฉันยินดี" หลังจากที่คุยกันเสร็จแล้วเจ้าเมืองได้มีรับสั่งให้เชิญพระโอรสทั้งสองมาพบกับบดิศร​  บดิศรเห็นสังวาลย์​จึงต้องคอยดูว่าใช่สังวาลย์มณีที่ช่วยศัตรูตนแต่ก่อนเก่าหรือไม่​ ฝ่ายจันทลักษณ์​ก็สงสัยว่าชื่อน่าจะซ้ำกันมากกว่า​ ป่านนี้ผู้ถูกลงโทษคงอาศัยป่ายังชีพอยู่กระมัง
เจ้าเมืองมีพระดำรัสให้พระบุตรพากันประพาสป่าใกล้ๆพลางล่าสัตว์
" ข้าไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเสด็จพ่อให้เรามาพร้อมกับจันทลักษณ์​ด้วย​ ทำไมไม่เลือกให้มาคนใดคนหนึ่งไปเลย" อัคนินบ่นกับข้าติดตาม
"ถ้าเลือกคนใดคนหนึ่ง​ก็คงเลือกพระโอรสจันทลักษณ์​พระเจ้าค่ะ" บริวารพูดตอบนาย
"พูดอะไรฟังไม่เข้าเรื่อง" เขากำลังจะง้างมือตบปากพล่อยๆของลูกน้อง​แต่มีเสียงเรียกของคนที่ปล่าวถึงเสียก่อน
" อัคนิน เราจะพาบดิศรไปทางไหนดีล่ะ"เขาถามอีกคนเพื่อขอความเห็น
"ไปทิศอาคเนย์​ดูสิ  แถวนั้นสัตว์เยอะดีไม่ใช่เหรอ... เอ... เราว่าพวกเราทั้งสามคนนี่ไปตามลำพังแบบลูกผู้ชายกันดีกว่า​ ให้บริวารตามอย่างนี้ก็ออกจะเกะกะสักหน่อย" เขาออกความเห็น​ กะจะหาเรื่องแกล้งเทำร้ายเสีย
" เราเห็นว่าไปกันตามลำพังก็ดีเหมือนกัน​ แต่การว่าคนอื่นเกะกะนี่ไม่มากไปหน่อยเหรอ"บดิศรเห็นด้วยแต่ว่าก็ขัดอยู่บ้าง​
" ไม่มากไปหรอก​ ไปกันดีกว่า"ว่าแล้วจึงพากันมุ่งหน้าสู่ป่าอาคเนย์​ทิศทันที
...
" พระธิดา​ พระธิดาเพคะ" นางกำนัลที่มาถวายงานเคาะประตูเรียกแต่ไร้คนตอบ
" หรือว่าจะยังไม่ตื่นบรรทม"นางกำนัลอีกคนถาม
" บ้าน่า​สายแล้วนะ  อย่างน้อยคนที่บัวก็น่าจะตื่นแล้ว"
"งั้นก็ดันประตูกันเถอะ​ มันผิดสังเกตแล้ว" ว่าแล้วนางกำนัลทั้งสองจึงดันประตูจนปนะตูเปิดออกก็พบแต่คงามว่างเปล่า​
"ตายแล้ว!! พระธิดาหาย!!" ทั้งสองตกใจจึงรีบไปบอกให้นางแม่มดรู้ข่าว
" หายไปไหน!! " เกลียวทองถามคาดคั้น
" พวกหม่อมฉันก็ไม่ทราบเพคะ"
" ไม่ทราบเหรอ​ ถวายงานกันประสาอะไรถึงได้ปล่อยให้หายตัวได้น่ะ"
"ก็.. ก็พระธิดาสั่งให้พวกหม่อมฉันออกมา​ ถ้าขัดจะลงพระอาญาเพคะ"
"เจ้ากลัวงั้นรึ"
" กลัวเพคะ"
"เพราะว่ากลัวนี่ล่ะถึงได้พลาด​ รับโทษไปซะเถอะ" แม่มดเกลียวทองนางใช้พลังเผาผลาญร่างนางกำนัลจนเป็นจุลแล้วคิดหาทางตามหาคนหลบหนีต่อไป
...
" โอ๊ยยย!! "เสียงร้องดังลั่นของผู้หญิงที่ถูกศรจากบดิศรพลาดใส่เข้าให้
" แม่นางท่านเจ็บมากไหม​"จันทลักษณ์​ลงมาจากหลังม้าก็เข้าประคองคนที่ถูกยิงเธอหันหน้ามาปรากฏ​เป็นตัวประหลาดหน้าเสือเหมือนเจ้าสุดหล่อเลย
"ตัวประหลาดนี่" อัคนินกล่าวเมื่อเห็น
"จั๊กเจ็บ​ เจ๊บเจ็บที่ขาเหลือเกินเจ้าค่ะ" จั๊กกะแหล่นกล่าวพร้อมท่าที่เจ็บมากจนคนที่ประคองอดช่วยไม่ได้​
" แม่นางทนเจ็บหน่อยนะ" ว่าแล้วเขาก็ดึงศรออกมาจากขานางแล้วนำสมุนไพรที่พกมาทาสมานแผลให้ อัคนินสบโอกาสจึงเล็งศรยิงเข้าที่จันทลักษณ์​ทันทีแต่บดิศรยิงตัดปัดธนูไปได้ทัน
" ทำอะไรกันน่ะ"จั๊กแหล่นถามเมื่อเห็นการยิงศรทั้งสองเกิดขึ้น​ จันทลักษณ์​ที่รักษาเสร็จแล้วจึงหันมาดู
" อัคนินจะยิงงูตัวนั้นที่จะฉกจันทลักษณ์​แต่น่าจะพลาด​  เราเลยช่วยยิงน่ะ" เขาอธิบาย​ คนเกือบถูกยิงจึงไปดูพบงูถูกศรปักหัวอยู่จึงโล่งใจ
"เราขอบใจมากนะอัคนิน บดิศร"เขาหันมายิ้มให้ทั้งสอง
"เรายินดี" บดิศรกล่าวตอบ
"ไม่ต้องขอบใจหรอก​ อีกไม่นานก็จะเพล​แล้ว​ จะรีบล่าสัตว์​ก็รีบเถอะจะได้กลับ" อัคนินว่าแล้วจึงล่วงหน้าไปก่อน
"เราต้องขออภัยที่ทำท่านบาดเจ็บนะ"
"ไม่เป็นหรอกเจ้าค่ะ​ จั๊กน่ะไม่เป็นอะไรมากอยู่แล้ว​ ดีซะด้วยซ้ำที่จั๊กได้เจอเนื้อคู่" เธอพูดพลางเขินบิดม้วน
"เนื้อคู่" จันทลักษณ์​มองแล้วก็งงใจนัก
" ใช่เจ้าค่ะ​ ก็พี่จันไงเจ้าคะ​ พี่จันน่ะสวมสังวาลย์มณีแสดงว่าพี่จันก็คือศิษย์ของท่านตา​เป็นเนื้อคู่ของจั๊ก"
"นี่ท่านคือหลานของท่านตาที่ชื่อจั๊กแหล่นล่ะสินะ" ทั้งสองพูดกันเช่นนี้ก็พอจะอนุมานได้แล้วว่าเป็นพวกที่ช่วยอริตนวัยเยาว์นั่นเองในความคิดของบดิศร
"งั้นก็ไปกับเราเถอะนะ​ พวกเราก็เป็นหลานท่านตาเหมือนกัน... บดิศรท่านล่วงหน้าไปก่อนได้เลยนะ"ว่าแล้วเขาจึงประคองอีกตนขึ้นม้าไปแล้วตัวจูงเดินเอา
" เช่นนี้แล้วเมื่อไหร่จะถึงล่ะ" บดิศรถาม
"อย่าห่วงเลย​ ล่าสัตว์ให้สนุกเถิด" เขาจึงล่วงหน้าไปยังทิศทางที่อัคนินไป
"ทำไมมันต้องมาขัดขวางข้าด้วยนะ"อัคนินบ่นเสียไม่สบอารมณ์
" ถ้าเราไม่ขัดขวางก็คงเห็นคนลอบกัดกันซะแล้ว​ ดีไม่ดีนี่คงจะโทษเป็นความผิดเราน่ะสิ" บดิศรที่ตามมาได้ยินเข้าจึงตอบ
" เจ้าว่าข้าเป็นพวกลอบกัดหรือไง!! "เขาเริ่มโมโหอีกคน
"ก็ไม่ใช่อย่างนั้นทีเดียวหรอก​ นับว่าเป็นกลยุทธ์​ทีเผลอแต่ออกจะไร้ชั้นเชิงเสียหน่อย... เราน่ะเคยพลาดมาก่อนจึงอยากเตือนไว้" เขาตอบอีกคนอย่างใจเย็น
" ไม่ใช่เพราะว่าเจ้าน่ะอยากเป็นเพื่อนกับเจ้านั่นรึไง"
"เราก็อยากเป็นเพื่อนกับทุกคนนั่นล่ะ​ ดูท่าเจ้าจะไม่ชอบพี่น้องคนนี้เอาเสียเลยนี่  อยากกำจัดขนาดนั้นเชียว"
" ใช่​ ข้าน่ะอยากกำลังจัดพวกมันทุกคน"
" งั้นก็มารับใช้เทพวิษุวัตซะสิ​ ลำพังเราคนเดียวคงกำจัดไม่ไหวหรอก"
" ไหนว่าเจ้าอยากเป็นเพื่อนกับเจ้านั่นด้วยไม่ใช่เหรอ​ รับใช้เทพอะไรนั่นแล้วจะกำจัดพวกนั้นยังไง"
" เดี๋ยวเจ้าก็เข้าใจเองล่ะถ้าเจ้าตกลง" บดิศรยิ้มเล็กน้อยก่อนจะไปหาอะไรติดไม้ติดมือก่อนกลับ
.....​
" ลองทำตามที่เราสอนแล้วเป็นยังไงบ้าง​ ใช้พลังงานจากแหวนได้ไหม" จันทราภาถามสหายที่ตนช่วยลองสอนวิธีที่น่าจะใช้งานได้ เพื่อจะได้ใช้งานอย่างจริงจัง
" เรารู้สึกว่าแหวนจะช่วยตามที่เราต้องการมากขึ้นนะ"อัญญานีตอบกลับ
" ดีแล้วล่ะ​ พระอาจารย์​เคยสอนเราว่าหากต้องการใช้สิ่งวิเศษก็ต้องให้สิ่งวิเศษเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับใจเสียก่อน"เธอยิ้มพลางมองสหายอย่างเชื่อมั่นในความสามารถ​ อัญญานีลองใช้แหวนมุ่งไปยังพุ่มไม้พุ่มหนึ่งแล้วลำแสงก็พุ่งเข้าทำลายพุ่มไม้ทันที
" แบบนี้ก็ดีน่ะสิ​ จะได้ป้องกันตัวได้"อัญญานีพูดอย่างพอใจที่แหวนเป็นไปตามปรารถนา
" พระธิดาทรงพระปรีชายิ่งเพคะ"บัวแย้มให้กำลังใจ
ทั้งหมดพักทานอาหารเสร็จจึงเดินทางกันต่อ
" พอจะรู้ไหมว่าที่ที่เจ้าไปอยู่กับแม่มดเกลียวทองน่ะเป็นที่ไหนกัน" จันทราภาถามขึ้นมาเพราะตอนที่เล่าไม่ได้บอกชื่อเมืองให้รู้
" นางให้เราอยู่แต่ด้านตำหนักบุษบากรตลอดนี่ล่ะเลยไม่รู้ว่านี่เป็นเมืองไหน​ บัวพอจะรู้ไหม​ อย่างน้อยบัวก็ได้ออกไปยังด้านนอกบ้าง" อัญญานีตอบแล้วถามอีกคนเพื่อช่วยตอบเผื่อจะรู้
" บัวเคยออกไปครั้งนึงเพคะ​ คนที่ไม่ใช่ฝ่ายพระตำหนักนี้เรียกเมืองนี้ว่าศาศวัตบุรีเพคะ" บัวแย้มก็ช่วยตอบตามที่รู้
" ดีล่ะ​ เราจะได้ระวังตัวไว้และบอกพระอัยกาด้วย" คนถามเมื่อรู้คำตอบจึงบันทึกไว้เผื่อคนต่อไปมาจะได้รู้เรื่องด้วย
"แต่ว่าเรากลัวพรุ่งนี้มากกว่า" จันทราภานึกขึ้นได้จึงพูดขึ้นมา
" พรุ่งนี้? "อัญญานีทวนคำ
" ใช่​ อังคาสคนพรุ่งนี้น่ะมีอารมณ์​โมโหง่าย​ กลัวว่าถ้าทำอะไรให้ไม่ถูกใจขึ้นมาจะยุ่งน่ะสิ"เธอพูดพลางกังวลใจ
" ไม่เป็นไรหรอกพระเจ้าค่ะ​ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่หิ่งห้อยจะช่วยทูลและดูแลเองพระเจ้าค่ะ"หิ่งห้อยยักษ์กล่าว
"พี่ตาหวานก็จะร่วมด้วยช่วยกันพระเจ้าค่ะพระธิดา" ผีโครงกระดูกในย่ามพูดเสริมอีก
" ขอบใจพี่ทั้งสองมากนะจ๊ะ.. แต่ถึงอย่างนั้นพวกเจ้าก็ต้องระวังด้วยนะ​ อัญญานี  บัว" เธอขอบใจแล้วเตือนคนที่เหลือ
" ได้ๆ​ ถ้าไม่มากไปเขาก็น่าจะเป็นคนมีเหตุผลล่ะน่า" อัญญานีพูดให้สบายใจ
"เพคะพระธิดา​ บัวจะระวัง"บัวตอบรับพร้อมยิ้มให้โดยไม่รู้เลยว่าคนคนนั้นน่ะเป็นคนเดียวกับที่เจ้าอารมณ์​ใส่เธอ​ ทั้งหมดจึงมั่งหน้าสู่เมืองทิศพลต่อไปโดยไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
...
"รับใช้เทพวิษุวัตงั้นเหรอ"ผกากรองพูดทวนคำที่ลูกกล่าวบอกเธอ
"ใช่จะ​ ลูกไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่นักแต่มันก็อดคิดไม่ได้" อัคนินพูดตามที่ได้ยินมา
"รับใช้เพื่อจะกำจัดพวกนั้นแสดงว่าต้องเกี่ยวข้องกับสังวาลย์​เปลี่ยนคนที่มันใส่แน่​ ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นเทวดาหรือปีศาจแม่ก็เห็นว่าเป็นโอกาสเหมาะแล้วที่จะร่วมมือกันกำจัดพวกมันให้พ้นทาง"
" แต่ว่าลูกน่ะไม่ชอบเจ้าบดิศรอะไรนั่นเลย​ มันน่ะขัดลูก" เขาพูดเป็นเชิงฟ้อง
"ก็ให้มันขัดเจ้าไปก่อน​ ไว้กำจัดพวกมันสำเร็จแล้วจะจัดการมันต่อแม่ก็ไม่ห้าม"
" งั้นก็ตกลงตามนั้นก็ได้ท่านแม่"  ว่าแล้วเขาก็ไปหาคนที่กล่าวถึงเพื่อรับข้อเสนอและฟังเงื่อนไขร่วมกัน
..
ตกกลางคืนของวันนี้ไม่เห็นรู้มาก่อนเลยว่าที่นี่จะมีค้างคาวผีเสียด้วย มันกำลังจ้องมองเหยื่อที่เดินทางทางมาจะหาที่พักพิง
" เราว่าน่าจะพักที่นี่ก็น่าจะดีนะ" จันทราภาออกความเห็น
" เราก็เห็นด้วย" อัญญานีกล่าวตอบ
"เดี๋ยวหม่อมฉันจะหาฟืนมาก่อไฟนะเพคะ" บัวแย้มอาสา
"พี่ตาหวานไปด้วยสิ​ ช่วยๆกันจะได้เสร็จงานไวๆ" ผีโครงกระดูกตามไปช่วยด้วยเพราะตอนนี้ตนเป็นอิสระจากแสงอาทิตย์แล้ว
"เราไปช่วยด้วยสิ"อัญญานีกล่าว
" ไม่ต้องหรอกพระเจ้าค่ะ​ มีตาหวานอยู่ด้วยสบายใจหายห่วง"  จากนั้นทั้งสองจึงเดินทางออกไป
"ปลีกไปแล้วล่ะสิ​ ไปกับผีที่มีแค่โครงกระดูกนี่นะจะทำอะไรได้​ ฮ่าๆ​ คืนนี้ล่ะเจ้าจะเป็นอาหารอันโอชะของข้า"ค้างคาวผีว่าแล้วจึงบินโฉบมาหมายจะเข้ากัดหญิงสาวแต่เธอไหวตัวทัน
"ค้างคาวผี!! "บัวแย้มพูดเสียงดังพลางหยิบไม้ไว้ป้องกันตัวฟาดเจ้าตัวดูดเลือดแต่ดันคว้าทัน
"เอ๊ยเจ้าผีดิบนี่คิดจะทำร้ายหนูบัวข้าเรอะ​ นี่แน่ะ"ผีตาหวานโยนกองไม้ใส่เจ้าผีค้างคาวแต่มันไม่สะทกสะท้านเลยนี่
"ของแค่นี้จะทำอะไรเราได้เรอะ​ ไอ้เจ้ากระดูกกิ๊กก๊อก" ว่าแล้วมันจึงโยนกองไม้ขนาดหนักกว่าทับกระดูกเคลื่อนที่ไม่ได้​ บัวเห็นท่าไม่ดีรู้ตัวว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ควรจะใช้ของวิเศษมากำราบดีกว่าจึงวิ่งไปขอความช่วยเหลือ​
" พระธิดา​เพคะ​ พี่หิ่งห้อยช่วยบัวด้วย"นางวิ่งไปส่งเสียงไปเผื่อไม่ทัน​ ไม่ทันไรเจ้าผีดูดเลือดก็ขวางหน้าเธอไว้
"จะหนีไปไหนล่ะ​ วันนี้มาเป็นอาหารของข้าซะดีๆ" เจ้าค้างคาวผีเข้าใกล้จะจับกินแต่ก็มีเสียงห้ามซะก่อน
"หยุดนะเจ้าผีร้าย!!" อัญญานีและพวกตามมาดูเพราะได้ยินเสียงบัวขอให้ช่วย​ ได้ทีบัวจึงรีบวิ่งไปดูเจ้าผีที่โดนไม้ทับอยู่
"เจ้ามายุ่งอะไรด้วยห๊ะ!! แห่กันมาขนาดนี้​คืนนี้ข้าจะกินไม่ให้เหลือเลย"ว่าแล้วก็ตรงไปจะเข้าทำร้าย​ อัญญานีจึงใช้พลังจากธำรงค์แก้วศุภรสร้างไฟล้อมรอบเจ้าผีดูดเลือดนั่น​ เห็นว่าอีกฝ่ายมีฤทธิ์ท่าไม่ดีแล้วจึงบินหนีขึ้นฟ้าไป
"เราตามไปกันเถอะจะพี่หิ่งห้อย" จันทราภาจึงขึ้นหลังเจ้าหิ่งห้อยยักษ์​บินตามไป
" พี่ตาหวานไม่เป็นอะไรนะจ๊ะ"บัวนำไม้ที่ทับออกมาทำให้ผีโครงกระดูกหลุดมาได้
"ไม่เป็นอะไรหรอกหนูบัว"
"บัวเป็นอะไรมั้ย" อัญญานีตามมาดูด้วยความเป็นห่วง
"ไม่เป็นไรเพคะพระธิดา​  แล้ว.." บัวมองหาที่เหลือ
" พวกนั้นตามเจ้าค้างคาวผีไป​ เราว่าหาที่ปลอดภัยหลบก่อนเถอะ" ว่าแล้วทุกคนจึงไปหาที่ปลอดภัยพักรอ
ฝ่ายค้างคาวผีที่คิดว่ารอดแล้วผ่านไปเจอนายพรานพอดีตัวเองจะลงไปหาของกิน​ จันทราภาก็ตามมาทันทีที่ผีดูดเลือดจะทำอันตรายนายพราน
" เจ้าจะมาหากินแบบนี้้ไม่ได้นะ" จันทราภาค้านเจ้าค้างคาว
" โอ๊ย​ ข้าไม่กินพวกเจ้ายังตามมารังควานอีก​ พูดไม่รู้เรื่องใช่ไหม" เขาโมโหจึงซัดพลังเข้าใส่หารู้ไม่ว่าอีกฝ่ายก็มีฤทธิ์มิด้อยกว่าคนเมื่อครู่เลย​ จันทราภาใช้พลังจากเกราะกายสิทธิ์​ต้านพลังศัตรูเปล่งแสงประกายเหลืองสว่างสไวไปทั่ว​ เจ้าค้างคาวทนไม่ได้กับแสงจ้าที่เหมือนจะแผดเผาตนให้มอดไหม้จึงยอมแพ้​ และสัญญาว่าจะไม่ทำอีก​ จบเรื่องแล้วจันทราภากับหิ่งห้อยจึงกลับไปรวมกับพวกที่เหลือแล้วจึงพักผ่อนต่อ
"ป่านี้มีอันตรายมากขึ้นจากสิบปีที่แล้วนะ​ สงสัยว่าคงต้องจัดเวรยาม" จันทราภาเสนอ
"พี่ตาหวานจะช่วยดูให้พระเจ้าค่ะ​ พี่ตาหวานเป็นผี​ ผีก็ต้องอยู่กลางคืนได้อยู่แล้ว" เขาอาสา
"พี่หิ่งห้อยก็จะอยู่ยามเป็นเพื่อน​ตาหวานเองพระเจ้าค่ะ​ บรรทมให้สบายเถิด" เขาก็ช่วยอาสาอีกแรง
" อย่างนี้ไม่รบกวนแย่เหรอจ๊ะ​ ผลัดกับบัวก็ได้นะจ๊ะ"บัวพูดเพราะกลัวการเฝ้ายามจะเปลืองแรงทั้งสอง
" ไม่เป็นไรหรอกจะหนูบัว​ หนูบัวคอยหาอาหารหาฝืนมาตลอดแล้วนี่นา​ ไม่ต้องลำบากแล้วนะหลับให้สบายเถอะ" หิ่งห้อยกล่าว
" เอาอย่างนี้เราพักกันก่อนก็ได้​ ไว้พอมีแรงปัจฉิมยามค่อยมาผลัดเวรนะ"อัญญานีเสนอ
" ตกลงตามนี้ล่ะ"จันทราภาว่าแล้วทุกคนก็หลับเอาแรงกันก่อนที่เวลาจะเปลี่ยนเวรมาถึง​ และรอคอยวันใหม่ถัดไป











หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ พฤษภาคม 02, 2020, 12:00:42 PM
 วันที่รอก็มาถึงแต่แสงอาทิตย์​ยังไม่สาดส่องมา​ คนที่ผลัดเวรมาก็ตกลงไปหาอาหารจะได้เดินทางได้เร็วยิ่งขึ้นเมื่อเก็บเสร็จแล้ว​อัญญานีจึงไปอาบน้ำเป็นคนแรกเพราะตนชอบอาบน้ำคนเดียว​ผิดกับอีกสองคนที่ชอบอาบน้ำไปเล่นไป​ จันทราภาจึงชวนบัวแย้มอาบน้ำพร้อมกัน​ หลังจากที่อัญญานีเธอสรงน้ำเสร็จจึงผลัดให้ทั้งสองไปยังน้ำตก
"บัวลงไปก่อนนะเดี๋ยวเราหาที่วางบันทึกก่อน" จันทราภากล่าวกับอีกคนพร้อมนำ
"เพคะพระธิดา" บัวลงไปเป็นคนแรก​ น้ำเย็นมากจริงๆใครที่ลงไปได้เลยก็สบาย​ คนไม่ชินก็ต้องปรับตัวเสียหน่อย
"พระธิดา​น้ำเย็นมากเลยนะเพคะ​ ลงมาสรงเถอะเพคะ" บัวที่กำลังเพลินไปกับน้ำที่เล่นอยู่กล่าวชวนอีกคนที่ยังไม่ยอมลงมาเสียที
" รอก่อนนะบัว​ น้ำเย็นมากเราขอเพลาสักหน่อย" เธอนำมือไปสัมผัสน้ำเพื่อจะปรับให้ชินได้ที่แล้วก็จะลงไป​ แต่ไม่ทันไรเลยแสงอาทิตย์​ได้สาดส่องลงมากระทบเกราะที่ใส่จนเปลี่ยนเป็นอีกคนเป็นที่เรียบร้อย
"พระธิดาทำไมยังไม่เสด็จล่ะเพคะ" นี่ก็นานแล้วหนาทำไมอีกคนไม่ลงมาสักที​ ตนเองจึงหันไปดู
" เจ้า!! " ทั้งสองเจอกันแล้วจึงพูดขึ้นมาพร้อมกันด้วยความตกใจ
"หรือว่าจะเป็นพระโอรสอังคาส" เธอนึกขึ้นมาเขาอยู่ตำแหน่งเดียวกันกับคนเมื่อครู่​ อีกทั้งแสงอาทิตย์​มาแล้วก็น่าจะเดาไม่ยาก
" รู้ชื่อเราได้ยังไง" เขาฉงนนัก​ เจอครั้งที่แล้วยังไม่รู้จักเลย​แต่ครั้งนี้กลับรู้เสียอย่างนั้น
" พระโอรสหันหลังไปก่อนเพคะ​ บัวจะขึ้นแล้ว" เธอตัดสินใจบอกเขา​ จะให้พูดคุยทั้งอย่างนี้ก็ยังไงอยู่
"ก็ได้​ รีบๆหน่อยก็แล้วกัน" เขาหันหลังให้เธอจึงเจอบันทึกรวมของพวกเขาที่จะได้รู้ความเป็นไปของคนก่อนๆ​วางอยู่ใต้ต้นไม้ตนจึงเดินไปเก็บมาไว้กับตัว
"เจ้าเป็นขโมยรึไงกันน่ะ"เขาถามขณะที่กำลังเปิดบันทึกดู
" ไม่ใช่นะเพคะ​ บัวไม่ได้เป็นขโมย" เธอตอบหลังจากแต่งตัวเสร็จจึงเข้ามาดู
" แล้วบันทึกของเรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงล่ะ" เขาถามอีกครั้ง​ เจอแต่บันทึกว่าให้ระวังเมืองศาศวัตอย่างเดียว
"ก็พระธิดาจันทราภาทรงวางไว้น่ะสิเพคะ"
" ของสำคัญอย่างนี้จันทราภาไม่มีทางจะวางไปทั่วแบบนี้หรอก"
" อ้าวก็จะสรงน้ำ​ เอาบันทึกไปด้วยก็เปียกน่ะสิเพคะ"
"ไม่ต้องมาพูดเลย"เอาอีกแล้วเขาจับข้อมือเธอไปจากน้ำตกแล้วร้องหาเจ้าหิ่งห้อยยักษ์​
"ปล่อยนะเพคะ​ ปล่อยบัว" เธอขัดขืนการกระทำอีกฝ่าย
" พระโอรสพระเจ้าค่ะ​ ปล่อยหนูบัวแย้มเถอะพระเจ้าค่ะ"เจ้าหิ่งห้อยที่ได้ยินเสียงเรียกจึงออกตามหามาพบพอดี
" บัวแย้ม.. คนคนนี้ชื่อบัวแย้มงั้นเหรอ​ แล้วมันยังไงกันกันแน่ล่ะ" เขายอมปล่อยน่ะได้แต่ต้องรู้เรื่องด้วย​ หิ่งห้อยเล่าให้ฟังพลางพาไปที่พัก
"งั้นเรื่องสามีเจ้าก็โกหกน่ะสิ"อังคาสฟังเสร็จแล้วสรุปได้จึงถามเจ้าตัว
"ใช่เพคะ​หม่อมฉันโกหก​ แต่คนเราต้องรู้จักเอาตัวรอดมันก็ช่วยไม่ได้" บัวแย้มตอบคำถาม
" เป็นคำขอเราเอง​ อย่าว่านางเลย" อัญญานีช่วยพูดให้เพราะดูเหมือนว่าจะตีกันไม่หยุด
"อ้อเราจำได้แล้ว​ชื่อบัวแย้มนี่น่ะ​ เจ้าเป็นพวกเดียวกันกับยักษ์​นั่นน่ะสิ​ มิน่าล่ะถึงได้นิสัยเสียเหมือนกัน" เขาพูดต่อไป
" อย่าว่าพระธิดาของหม่อมฉันนะเพคะ​ ว่าแต่พระโอรสเถอะไปทำอะไรให้พระธิดาไม่พอพระทัยได้  คงไม่ได้เป็นเรื่องดีเท่าไหร่หรอกสินะเพคะ" เธอปกป้องยักษ์​ที่ถูกกล่าวถึง​แม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้วแต่ความผูกพันธ์ฝังลึก​ การจะมาว่ากันมันไม่มากไปหน่อยหรือ
" นางพาลเองตะหากล่ะ​ นี่นะถ้าตอนนั้นเจ้าไม่มาขวางล่ะก็​ คงเขี้ยวหักไปแล้ว"เขาพูดความจริงที่เข้าใจ​ ทำให้เธอเข้าใจรู้แล้วว่าเขาก็คือเด็กคนนั้นนั่นเอง
" ถ้าบัวรู้ว่าจะต้องเจอพระโอรสแบบนี้ล่ะก็​ ตอนนั้นจะไม่ห้ามเลย"
"พอเถอะๆ​ ทะเลาะกันไปก็ไม่ได้อะไรดีขึ้นมาหรอก​ "อัญญานีต้องปรามอีกครั้งเมื่อทั้งสองเริ่มต่อล้อต่อเถียงกัน​ ทั้งคู่ยอมหยุดให้​ จึงชวนทานอาหารเอาแรงกันเสียหน่อยจึงคิดเดินทางต่อไป
....
"พี่อังคารเจ้าขา​ จั๊กมาหาแล้วเจ้าค่ะ" จั๊กแหล่นหายเจ็บขาเพราะยาขนานดีในคืนเดียว​ เธอรู้ว่าต้องเปลี่ยนวันน่าจะเปลี่ยนคนเธอจึงอดไม่ได้ที่จะมาชมโฉมหน้าเทพบุตรในร่างมนุษย์​คนต่อไป
"นี่น่ะเหรอหลานท่านตา" ปัทมาสน์หันมามองเมื่อมีคนมาหาตนที่ตำหนัก​
"ย.. ยักษ์!!" เธอตกใจอีกตนสะดุ้งโหยงแล้ว
" ใช่​เราเป็นยักษ์​  แล้วมันยังไงล่ะ"
"นี่เจ้า.. เจ้ากินพระโอรสวันอังคารไปแล้วเหรอ​ เจ้าใจร้ายที่สุดกินเขาแล้วยังเอาสังวาลย์​มาใส่อีก" จั๊กแหล่นฟูมฟายเหลือประดา​พาอีกตนรำคาญ
"เรานี่ล่ะคนวันอังคาร  พระโอรสต้องพรุ่งนี้กับวันศุกร์นู่น​ เห็นเราเป็นยักษ์​ใช่จะกินตามใจได้นักสิ  สังวาลย์​นี่ก็เป็นของเรา​ " 
" ว่าไงนะ​ ท่านตาไม่เคยบอกเลยนะว่ามีลูกศิษย์​เป็นยักษ์​ด้วย"
" ทีตาเจ้าเป็นสิงโตยังมาเป็นฤาษี​ได้เลย​ ว่าแต่เจ้าเป็นเสือนี่เป็นตาหลานกันได้ยังไง"
" ก็... ก็ท่านยายจั๊กเป็นเสือไง​"
" รวมกันไม่ได้เป็นพยัคฆ์​ไกรสรเหรอ"
"ก็ออกมาอย่างนี้แล้วนี่นา.. ต้องรอพบพระโอรสพรุ่งนี้อีก"ท่าทีเหี่ยวเฉาออกนอกหน้าเห็นได้ชัด
"รอไปเถอะไม่ตายหรอก​ ไปหาอะไรกินดีกว่าฟังเจ้าพูด"ได้ทีตนก็ไปเสียดีกว่า​ ไม่ชอบดูใครคร่ำครวญ
....
"​นี่ท่านว่าพระคู่หมั้นหายไปงั้นรึ"ธานินทร์​บริวารองค์เทพทวนคำที่ได้ยินจากแม่มดเกลียวทอง
"ใช่​ มั.. พระนางหนีไป​ เราตามหาแล้วแต่ยังไม่พบจึงมาแจ้งข่าวให้ท่านช่วย"เกลียวทองเธอพูดอย่างจริงจังเกือบหลุดคำไม่เหมาะสมเสียแล้ว
"หนีไปได้ยังไงกัน​ อยู่มาสิบปีไม่เคยหนีได้​  ทำไมครางนี้ถึงปล่อยให้หนีไปได้​ ท่านดูแลยังไงกัน" เขาเริ่มจะต่อว่าเธอ
"เราไม่รู้​ คนก็หายไปแล้วจะทำยังได้ล่ะ​ ถ้าท่านไม่ช่วย​ พวกเราทุกคนจะถูกลงโทษกันหมด​ ถ้าพระเทวาเสด็จจากบำเพ็ญเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นล่ะ" นางพูดตัดบทดื้อๆ​ เถียงกันไปไม่ได้ออกตามหากันพอดี
" ช่างเถอะตอนนี้ต้องหาตัวพระนางก่อน​ ท่านก็หาที่ป่าทางด้านประจิมทิศของเมือง​ ส่วนบูรพาทิศเรากับธาราจะไปหาเอง"  เมื่อตกลงกันเสร็จ​แล้วจึงได้ออกตามหา
...
" ปัทมาสน์ไปไหนมาเหรอ​ นี่คือบดิศรฑูตจากเมืองศาศวัตล่ะ" อัคนินมากับบดิศรพร้อมพูดจาดีกับอีกตนอย่างไม่เคยมาก่อน
"คำพูดแปลกไปนะ​ หาความจริงใจเท่าแต่ก่อนไม่ได้เลย"เธอตอบ
" เจ้า!!... เราพูดแบบนี้มันไม่ดีรึไง" เขาโกรธน่ะดูออกแต่ก็พยายามพูดดี
"พูดดีก็ดี​ แต่ไม่จริงใจอย่าพูดเลย" พูดอย่างนี้อยากจะเข้าไปปะทะเสียแล้วให้รู้กันไปแต่อีกคนห้ามไว้จึงไม่ได้ทำ
"พระโอรสอัคนิน  พระสนมมีรับสั่งให้หาพระเจ้าค่ะ"มหาดเล็กเข้ามาทูลพอดี​ เขาจึงต้องจากไปให้ทั้งสองอยู่ด้วยกันตามลำพัง
"เขาอารมณ์​ร้อนเช่นนี้อย่าได้ถือสาเลยนะท่าน"บดิศรได้ช่องจึงพูดคุย
" พูดดีจังนะเพื่อนที่คบกันได้วันเดียวนี่น่ะ​ แต่ก็นะถ้าไม่มีประโยชน์​จะใจเย็นคุยกันได้จนป่านนี้หรอก"เธอพูดพลางมองหน้าอีกฝ่าย
"ประโยชน์​อะไรกัน​ เราไม่เข้าใจ"
"ประโยชน์​ต่อพระเทวาของพวกเจ้าน่ะสิ​ อย่าคิดนะว่าเหตุผลชื่อซ้ำกันแล้วจะดูไม่ออก เจ็ดวันก่อนบำเพ็ญทำอะไรได้ตั้งเยอะ"
"เราไม่.." เขารู้สึกประหลาดใจ​ เธอไปเอาอะไรมามั่นใจนักหนาถึงได้ตัดสินฉับไวขนาดนั้น
" พอเถอะไม่ต้องแก้ตัวหรอก​ เราไม่คิดมากเรื่องคบสหาย​ พวกเราเป็นเพื่อนกันได้นะแต่ฝ่ายใครฝ่ายมัน"เธอพูดอย่างนี้ก็แย่น่ะสิ​ มีอย่างที่ไหนคนละฝ่ายกันจะคบเป็นเพื่อนได้
" ว่ายังไงนะ​ ถ้ารู้แล้ว​ทำไมถึงยังจะเป็นเพื่อนกับเราอีกล่ะ" เพราะสงสัยจึงไม่อยากจะปิดอีกต่อไป
" ดูท่าแล้วเจ้าก็ไม่ได้ร้ายกาจมากกว่าอัคนินหรอก​ หน้าที่ก็คือหน้าที่​ อยากจะทำหน้าที่เจ้าก็ทำไปสิ​ เราอยากคบเพราะอยากเป็นเพื่อนจริงๆ​ พวกเรามีเพื่อนที่จริงใจกันสักครั้งคงไม่ตายหรอกมั้ง" พูดมาแบบนี้อีกคนจะทำตัวถูกไหมล่ะ​
......
"นั่นไง" ธาราชี้คนที่ตามหาให้ธานินทร์​ขณะอยู่บนเมฆ​ ด้วยเพราะเป็นเทวดาด้วยล่ะมั้งที่ทำให้พวกเขาเดินทางเร็วกว่าคนเป็นปกติ
" อย่ารอช้าเลย​ รีบไปจัดการกันดีกว่า"ธานินทร์​กล่าว
" เดี๋ยวก่อน​ ไม่เห็นรึยังไงว่ามากับใคร" เขาทัดทานอีกคนเมื่อมองไปที่คณะเดินทางครบทุกคน
" คนสวมเกราะกายสิทธิ์อีกแล้ว"
"การที่เราจะไปพาพระนางมาน่ะ​ จะพามาตรงๆเห็นจะไม่ได้​ เจ้าก็รู้แล้วนี่ว่าพลังมันเยอะขนาดไหน"
" อย่างนั้นก็ต้องลงทุนกันหน่อย​"  ทั้งสองรู้กันดีจึงสร้างทางวงกตขึ้นมาในระหวางทางที่เดินอยู่รู้ตัวอีกทีป่านี้ก็ซับซ้อนขึ้นมา  ตอนนี้ก็เกิดการพลัดกันเป็นสองกลุ่ม​ โดยอัญญานีอยู่กับเจ้าหิ่งห้อยยักษ์​
"อะไรกันน่ะ​ ทำไมอยู่ดีๆถึงกลายเป็นป่าวงกตไปได้"อัญญานีกล่าวพลางมองสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น
" พระธิดาอย่ากังวลเลยพระเจ้าค่ะ​ เดี๋ยวพี่หิ่งห้อยจะบินขึ้นไปดูด้านบนให้นะพระเจ้าค่ะ" เจ้าหิ่งห้อยยักษ์​บินขึ้นไปหมายจะสำรวจแต่กลับมีเพดานสายฟ้ากั้น​ เจ้าตัวบินไปถูกเข้าอย่างจังทำไมร่างอันใหญ่โตได้รับบาดเจ็บแปรสภาพขนาดตัวเล็กเท่าหิ่งห้อยทั่วไปตกลงมายังพื้น​
" พี่หิ่งห้อย!! " อังคาสที่เห็นเหตุการณ์​เมื่อครู่ร้องออกมาด้วยความตกใจ
" พวกเราต้องรีบหาทางไปแล้วล่ะเพคะ​ พระโอรสไปด้านซ้าย​ แล้วบัวจะไปด้านขวา" บัวแย้มยังพอคุมความตกใจตัดสินใจบอกอีกคนจะได้ช่วยกันแก้ไข
"อย่าไปเลย​ ถ้าหลงกันจะวุ่นกว่าเดิม​ ไปด้วยกันหมดนี่ล่ะ"เขาจูงมืออีกคนเดินไปแต่คราวนี้ไม่รุนแรงออกจะนุ่มนวลเสียมาก
"พี่ตาหวานก็เห็นอย่างนั้นพระเจ้าค่ะ​ รวมตัวกันไว้ดีกว่า"ผีในย่ามเห็นด้วย
" พี่หิ่งห้อย" อัญญานีเข้าดูเจ้าหิ่งห้อยเหลือตัวน้อยนิดบาดเจ็บแล้วนำมาไว้ในฝ่ามือตน​
" พระธิดา​ พี่หิ่งห้อยเป็นอย่างไรบ้างเพคะ" บัวแย้มเข้ามาช่วยดู
"เมื่อครู่นี้พี่หิ่งห้อยบินขึ้นไปถูกสายฟ้าฟาด​ อาการไม่ดีเลยบัว" เธอเริ่มใจไม่ดีเสียแล้ว
" บัว​ เมื่อครู่​พูดรึปล่าว" อังคาสได้ยินเสียงเลยสงสัย
"ไม่นะเพคะ​ บัวยังไม่ได้พูด"
"เราได้ยินเสียงเหมือนเจ้าพูด"
" หรือว่าจะเป็นบริวารของเทพวิษุวัตมากันเพคะ" บัวได้ยินดังนั้นคงประมวลผลไม่ยาก​ ทั้งป่าวงกตทั้งเสียงที่เหมือนตน
" ไม่ได้การแล้ว" อังคาสใช้พลังจากเกราะกายสิทธิ์​เรียกพระขรรค์์วิเชียรชัยชาญด้ามประดับตามภาภรณ์ แล้วใช้ผ่าพุ่มไม้เวทย์มลายสิ้นปรากฏ​ให้เห็นพวกที่เหลือทันที
"บัวแย้มอยู่นั่นแล้วเจ้าเป็นใคร" เห็นดังนั้นเธอจึงรู้ทันทีว่าข้างกายตนไม่ใช่คนสนิท​ อีกคนเมื่อรู้ว่าหลอกไม่ได้แล้วจึงเข้าจับตัวเธอเสีย
"ปล่อยตัวนางเดี๋ยวนี้นะ" อังคาสที่เห็นเหตุการณ์​ร้องห้ามการกระทำของอีกฝ่าย
"ไม่มีหน้าที่อะไรที่ต้องปล่อยหนิ  เรามีหน้าที่ตามกลับไป" ธานินทร์​ที่เปลี่ยนร่างกลับมาตามปกติได้ตอบโต้อีกฝั่ง
"เช่นนั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องเจรจาหรอกนะ" พระโอรสวันอังคารใช้พระขรรค์​ฟาดฟันพลังไปในแนวเส้นตรงสู่บริวารเทพนั้น​ โชคยังดีสำหรับเขาที่หลบได้ไม่ถึงแก่ความตายแต่โชคร้ายขาซ้ายดันขาดสะบั้น​ จนเขาล้มลงไปพร้อมกับว่าที่พระแม่เจ้า​ เธอกำลังจะหนีออกมาทันแล้วเชียวถ้าเกิดเจ้าเทพบาดเจ็บนั่นไม่ใช้พระเวทย์​บ่วงบาศมารัดกายเสียแน่น  ไม่นานนักเหล่ารากไม้ใต้ดินก็ดึงร่างของอริที่ขัดขวางนายตนลงจมสู่ใต้พื้นปฐพี
"ปล่อยเรานะ!!" ดิ้นเท่าใดอัญญานีก็ไม่หลุดพ้นบ่วงนั่นกลับรัดแน่นเข้าไปอีก
"แข็งใจไว้นะธานินทร์​  พาพระนางหนีไปก่อน​ เราจะจัดการต่อเอง" ธาราเข้าคลายความบาดเจ็บให้พร้อมเรียกเมฆเหินฟ้ามารับทั้งสอง​ ธานินทร์​ไม่รอช้ารีบพาไปทันที​ ธาราเข้าจับบัวแย้มที่พยายามหนีจากการจับของรากไม้​ พอดีกับที่รากไม้และแผ่นดินแตกแยกจากพลังของเกราะกายสิทธิ์​จนอังคาสสามารถขึ้นมาได้ต้องพบกับบัวที่กลายเป็นตัวประกันเสียแล้ว​ คราวนี้ตัวเขาไม่ได้อยู่ข้างๆลำตัวเหมือนตัวประกันคนก่อนแต่หากยืนด้านหลังไว้เพื่อเป็นดั่งเกราะกำบังการโจมตีของอีกฝ่าย
"เอาสิ​ อยากใช้พลังนักก็ใช้เลย​" ธารากล่าวท้าทายอีกฝ่ายอย่างได้เปรียบ
"พระโอรสใช้พลังเลยเพคะ​" บัวแย้มกล้ารับเพราะไม่คิดว่าจะมีอะไรต้องเสียแล้ว
"เรารู้หรอกว่าเจ้าไม่กล้า" บริวารนั่นกระหยิ่มยิ้มชอบใจ
"ใครว่าเราไม่กล้า..บัวระวังตัวด้วย" เขาใช้พระขรรค์​ที่เกิดจากพลังซัดเข้าไปยังทั้งสอง​ แต่เจ้านั่นก็พาหลบได้
"มีดีเท่านี้เองรึ" ถามจบประโยคไม่ทันไร​พระขรรค์​เข้ากรรมก็ได้ย้อนมาแทงด้านหลังธารา​ แรงของเขาสิ้นบัวจึงรอดพ้นแล้ววิ่งไปหาพระโอรส
"ไม่เป็นอะไรนะบัว" เขาถามด้วยความเป็นห่วง
" บัวไม่เป็นไรเพคะ" เธอตอบ​ เมื่อสบายใจแล้วเขาจึงเรียกเก็บพระขรรค์​เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเกราะวิเศษเหมือนเดิม
"บอกเรามาว่านำอัญญานี​ไปไว้ที่ไหน" เขาถามผู้บาดเจ็บ
"ต่อให้เราตาย​ เราก็ไม่บอกเจ้าหรอก" เจ็บแล้วยังปากแข็ง​ได้อีก  เขาไม่บอกหรอก​ จงรักภักดีขนาดนั้น
" เจ้า!!" อังคาสเริ่มโมโหเข้าจับตัวอีกฝ่าย
"พวกเจ้าไม่มีวันขัดขวางเรื่องที่จะเกิดต่อจากนี้.. ได้หรอก" สิ้นคำกล่าวเขาสิ้นใจลงในทันทีร่างกายได้สูญสลายไปแล้ว
"พี่หิ่งห้อยเป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ"บัวเห็นหิ่งห้อยอยู่กับพื้นจึงเข้าไปดู​ ช่างน่าเป็นห่วงและน่าสงสารเสียที่สุด​ เสียงสะอื้นเกิดขึ้นมาแบบมิรู้ตัว
"เจ้าหิ่งห้อยอย่าเป็นอะไรนะ​"ผีในย่ามพูดขึ้นมา
" พี่หิ่งห้อยบาดเจ็บแต่ยังไม่ถึงตาย​ เราจะช่วยเอง" ว่าแล้วพระโอรสได้ใช้พระเวทย์เข้ารักษา​ เจ้าหิ่งห้อยพอจะฟื้นคืนชีพได้แล้วนั้นจึงขอบพระทัยเสียใหญ่​ แต่ทว่าร่างกายนี่สิยังไม่สามารถกลับมามโหฬารได้เท่าก่อนเก่า
"แล้วพระธิดาอัญญานีจะทำกันอย่างไรต่อไปดีเพคะ"
" เอาเป็นว่าเราจะช่วยตามหา​ แต่ก่อนหน้านั่นเราต้องเร่งเดินทางพาบัวกับพี่หิ่งห้อยไปอยู่กับพระอัยกาก่อน​ ไม่อย่างนั้นจะเป็นอันตรายกันหมด" เมื่อพูดดังนั้นแล้วทั้งหมดจึงเร่งเดินทางต่อโดยทันที
....
"ปัทมาสน์​ เรากลับเมืองก่อนนะ" หลังจากที่ตกลงเป็นเพื่อนใช้เวลาร่วมกัน​ มันก็คงถึงเวลาแล้วที่ต้องจากกัน
" อะไรกัน​เพิ่งจะผ่านไปเดี๋ยวเดียวเอง​ คิดจะกลับเสียแล้ว" เธอทำเป็นท้วง
"ไม่เป็นไรหรอก​ อย่างไรแล้วเราจะมาอีก" บดิศรกล่าวพลางยิ้มอย่างเป็นมิตร
"มาพร้อมกับเทพวิษุวัต​น่ะเหรอ​ ไม่ต้องมาหรอก" เธอแกล้งพูด​เพราะเหตุการณ์​ไม่น่าจะเดายาก
"ไม่หรอก"
"ก็ได้​ เราเชื่อใจเจ้า​ กลับดีๆล่ะ" ว่าแล้วเธอจึงกลับตำนักของตน​ ความเชื่อใจที่พูดน่ะเป็นจริงก็ดีน่ะสิ​เพราะบดิศรไม่เคยเชื่อใจใครและไม่ได้รับความเชื่อใจเท่าใดนัก​ คงต้องดูยาวๆไปว่ามิตรภาพน่ะสำคัญกว่าฝั่งฝ่ายหรือไม่​ เขาจึงเข้าเฝ้าทูลลากษัตริย์​คีรีมาศกลับบ้านเมืองตนต่อไป
....
"​ท่านธานินทร์​ ทำไมถึงได้บาดเจ็บเช่นนี้ล่ะ" บริวารหญิงเข้าดูแลทันทีที่พากันมาถึง
"ช่างเถอะ​ พาพระนางไปยังห้องพระบรรทมก่อน" ว่าแล้วพวกนางจึงรีบพาร่างอัญญานีที่ถูกบ่วงรัดไปทันทีเมื่อเสร็จแล้วจึงใส่กุญแจ​ไว้กันไม่ให้คนข้างในออกมาเมื่อยังไม่ถึงเวลา
"จัดการแล้วนะธานินทร์​  ทีนี้เจ้าก็คลายบ่วงได้แล้ว​ พระนางคงเจ็บพระวรกายมาก"
"เราคลายให้แล้วล่ะสันต์สินี​ ไม่เจ็บเท่าไหร่หรอกแค่ความรู้สึกมายาเท่านั้น"
"พวกเราทำแบบนี้จะดีเหรอ​ พรุ่งนี้พระเทวาวิษุวัติจะบำเพ็ญครบสิบปีมนุษย์​แล้ว​ ให้พระนางมาอยู่ที่นี่เลย​ จะไม่เป็นการรบกวนพระองค์​หรอกหรือ"
" ช่างเถอะ​ ไว้พรุ่งนี้​เราจะทูลเอง"
" ก็ได้​ งั้นเราจะช่วยพยุงแล้วกัน"
..
" ทำไมแหวนนี่ใช้งานไม่ได้แล้วล่ะ​"อัญญานีวุ่นกับการใช้ธำมรงค์แก้วศุภรเมื่อนึกขึ้นได้​ อย่่างไรเสียนางก็ไม่อยากอยู่ที่นี่เลยแม้แต่ครู่เดียว​ แต่แหวนเจ้ากรรมไม่ตอบสนองความต้องการเอาเสียเลย
" หรือว่าจิตใจเราไม่นิ่งพอนะ" เธอพึมพำกับตัวเองพลางเดินไปมองด้านนอกที่หน้าต่าง​ ปรากฏว่าด้านล่างเป็นมหาสมุทรเสียรอบๆ​ เข้าทุติยยามมองรอบๆห้องนี้ไม่มีแสงสว่างจางหายเลย​ ดูสว่างเหมือนมีแสงอาทิตย์สาดส่องผิดกับด้านนอก​ เธอมิประสงค์​จะอยู่ที่แห่งนี้อีกต่อไป​ ไม่มีทางเลือกแล้ว​ ในเมื่อแหวนใช้การยังไม่ได้​  คนใจเด็ดตัดสินใจกระโดดจากหน้าต่างลงสู่ห้วงมหาสมุทรทันที​ ขณะเดียวกันเสียงมัจฉาวาฬแหวกว่่ายดังเช่นทุกวันเกิดขึ้นกับอีกฝากอย่างเสียงดัง​ นับเป็นความโชคดีอย่างยิ่ง​ เธอว่ายน้ำข้ามสมุทรมาถึงปลายตติยยามได้เห็นเกาะที่เธอจะได้พักสักครู่จึงว่ายต่อไป​ แต่ทว่าอยู่ดีๆน้ำนั้นกลับหมุนวนเป็นวงกลม​ เธอพยายามที่จะว่ายหนีแต่กระแสน้ำแรงเป็นเกลียวอย่างรวดเร็วจนทำให้อัญญานีเข้าสู่กระแสน้ำวน

"ไม่ว่าพระเทวีจะอยู่ที่แห่งใด​ หม่อมฉันจะคอยอภิบาลพระองค์​เสมอไปเพคะ_เร่งไปช่วยอัญญานีให้พ้นภัย​ ตื่นเสียเถิดอย่ามัวหลับใหล​ จะไม่มีเราอีกต่อไป เร็วเข้า" ภาพปัทมาสน์กล่าวต่อหญิงสาวชาวสวรรค์​ที่มีแทนกันว่าพระเทวีสลับกับเทวีนั้นเข้ามาบอกให้ตนช่วยเหลือสลับไปมาจนตกใจตื่น​
"อะไรกันน่ะ" ทันทีที่ตื่นมาเธอต้องปวดเศียรเวียนเกล้าที่พยามนึกเรื่องราว​ แต่ไม่ทันไรเลยแสงสว่างวาบพาเธอไปยังเกาะที่ใกล้สถานการณ์​น้ำสมุทรวนนั้น​ ผู้หญิงคนนั้นกำลังจะไม่รอดแล้ว​ ขืนมัวแต่สงสัยอยู่ได้สิ้นชีพกันพอดี​ จึงแปลงกายให้ใหญ่ยักษ์​คว้าจับคนขึ้นมาบนเกาะได้​
" เรา... เราขอบใจท่านมาก" อัญญานีที่รอดมาอย่างหวุดหวิดกล่าวอย่างทุลักทุเลแต่ยังฟังได้ศัพท์​อยู่
"ไม่เป็นไรหรอก​ แต่ว่านะ..." ยังไม่ทันจบประโยคเลยมีมารมาผจญเสียแล้ว
"เจ้าบังอาจนัก!! ​ พวกข้าจะเอาสตรีนางนี้มาอยู่ด้วย​ คิดทำการขัดขวางเช่นนี้​ เจ้าจะไม่ได้ตายดี​" มวลน้ำวนเมื่อครู่รวมตัวกันเป็นรูปร่างมนุษย์​ราวกับประติมากรรมใสขนาดใหญ่กล่าวว่ายักษีที่มาขัดขวางตน
"เจ้าดีนักเหรอ​ เป็นภูตดูแลสมุทรแท้ๆกลับทำตัวระรานผลาญเอาชีวิต" เธอพอจะรู้อยู่บ้างเพราะคุ้นเคยแหล่งน้ำต่างมาไม่น้อย
" เป็นสิทธิ์ของเรา​ จงรับโทษทัณฑ์!! "น้ำในมหาสมุรซัดวนแรงปานไหลหลากกระชากตัว​นางได้ก็จริงแต่เพียงเซครู่เดียวจึงมั่นคงตามเดิม
"เจ้าน่ะสิรับโทษทัณฑ์!! "ว่าแล้วหญิงชาติอสุราเข้าโรมรันอีกฝ่าย​ เจ้าภูตเหล่านั้นไม่ยอมจึงนำมือเข้าประสานมืออีกฝ่ายเพื่อฉุดยื้อไว้​ เธอใช้แรงผลักออกไปจนสำเร็จแล้วนั้นจึงชกด้วยหมัดซ้ายตรงพร้อมกับก้าวเท้าซ้ายไปข้างหน้าเพื่อที่ถีบยันรูปร่างเนรมิตนั่น​  ​ เซซังยังไม่ทันไรเธอตามด้วยการดึงอวัยวะแขนศัตรูกลับมาชกหมัดซ้ายไปยังบริเวณใบหน้าของอีกฝ่าย
แต่เจ้าพวกนั้นเล่นไม่ซื่อ​ มวลน้ำที่เหลือในบริเวณนั่นเข้าจับรัดกุมคล้องแขนและขาของนางยักษ์​ราวกับโซ่ตรวน
"ไม่นะ" อัญญานีที่ดูเหตุการณ์​โดยที่ร่างกายยังไม่สู้ดีรู้สึกเป็นห่วงผู้ช่วยชีวิตเหลือเกิน
"เราให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้งเดียวจะยอมหยุดดีๆไหม" ร่างยักษ์​ใหญ่กล่าวทั้งๆที่ตนอยู่ในพันธนาการ
"เจ้านะสิที่ต้องหยุดฮ่าๆ" เหล่าภูตพวกนี้เยาะเย้ยจนอีกฝ่ายมิยอมทนแล้ว
"กงจักรพิราลัย​สูญ!! " ปัทมาสน์เรียกอาวุธจากพลังในสังวาลย์เพทายขึ้นมาเข้าตัดกระแสน้ำที่รัดกุมเธอไว้อย่างมิน่าเชื่อแต่ได้เกิดขึ้นแล้ว  เมื่อหลุดพ้นนางจึงชี้นิ้วสั่งการจักรของตนให้เข้าทำลายเหล่าภูตที่รวมอยู่กับมวลน้ำที่เป็นรูปตัวคนเสียทันทีมิฟังเสียงร้องขอแต่อย่างใด​ เสร็จแล้วนางจึงคลายกายตนให้มีขนาดปกติดังเดิม
"ท่านไม่เป็นอะไร" คนที่เกือบสิ้นเพราะน้ำวนดีใจที่ยักษ์​ตนนี้รอดมาได้
"ใช่... เจ้าคืออัญญานีใช่ไหม" หมดเรื่องต้องถามสักหน่อย
"ใช่​ ว่าแต่ท่านรู้ได้ยังไง​ เราไม่เคยพบท่านมาก่อน" พูดถึงเรื่องนี้ก็แปลกใจจริงทั้งชีวิตไม่เคยเจอ
"พระเทวีอะไรไม่รู้​บอกให้เราช่วย​ เจ้ารู้จักกับพวกเทพเทพีรึป่าว"
"ไม่​ เราไม่รู้จัก" เธอตอบไปพลันตัวก็รู้สึกหนาวสั่นขึ้นมา  คงเป็นเพราะช่วงเกิดมหาสมุทรวนนั้นเจ้าภูตพวกนั้นเพิ่มความหนาวเย็นให้นางขาดใจเร็วขึ้น
" ช่างเถอะ​... ตอนเรามาแสงสว่างวาบนั่นพามา​ ตอนกลับไม่มีแสงนั่นจะกลับถูกยังไงนะ​ อยู่ตรงไหนก็ไม่รู้"เธอเห็นออาการหนาวสั่นอีกคนจึงปัดเป่าน้ำที่ยังเปียกผ้าสวมให้แห้ง​แต่ว่าอีกคนหนาวจนถึงภายในแล้วนี่สิ​ ตอนนี้เป็นเวลาปัจฉิมยามแล้ว​ ถ้าไม่รีบกลับอีกคนคงได้ลำบากกว่านี้แน่




หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ พฤษภาคม 02, 2020, 12:03:50 PM
"จิตของท่าน..น่าจะ..มั่นคง​ ใช้แหวนนี้​พา.. กลับไป"​ อัญญานียื่นแหวนให้
"ธำมรงค์แก้วศุภร นี่มันอะ..." ไม่ทันไรผู้ให้แหวนนั้นก็สลบลง
"ไม่ใช่เวลาถามแล้ว​.. ธำมรงค์​แก้วศุภร​ หากเจ้าของยังมีวาสนาพอที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ​ ช่วยนำพวกเราไปยังเมืองคีรีมาศของเราด้วย" ปัทมาสน์อธิษฐานจิตในใจแล้วแสงสว่างวาบเพียงครู่ทั้งคู่ได้กลับมาในห้องบรรทมของพระบุตรแห่งคีรีมาศแล้ว​ เธอรีบวางร่างของอัญญานีลงที่แท่นบรรทมแล้วหายาสมุนไพรสำหรับรักษาที่จันทลักษณ์​เก็บรักษาไว้นำมาป้อนให้​ อาการจึงทุเลาลง
" เกือบตายแล้วไหมล่ะ​" สมุนไพรเหล่านี้รักษาได้ชั่วคราว​อาการจะย้อนกลับมาอีก​ ถ้าได้สมุนไพรเป็นยาดีจากป่าหิมพานต์​ก็เห็นจะช่วยได้  คงต้องพึ่งเพชรราหูที่หายตัวได้ดั่งใจมาช่วยในวันถัดไปเสีย​ ตอนนี้จึงได้เฝ้าอาการไปพลางๆก่อน
.....
วันต่อมาที่ฟ้ากำลังสาดแสง​  ขณะที่คณะเดินทางร่วมเกราะกายสิทธิ์​ได้เร่งเดินทางอยู่นั้นมีสิ่งผิดปกติตามมายังด้านหลังแต่เมื่อหันกลับไปกลับมองไม่เห็น​ พอหันกลับมาทางเดินก็เจอกับตัวประหลาดปรากฏ​ตัวออกมาจากการดำดิน
"สุดหล่อมาได้ยังไงกัน!! " พุทธรัตน์​ผู้สวมเกราะวันพุธถามขึ้นมาหลังจากที่เจ้าตุ้บเท่งมาจากใต้พื้นดินได้ไม่นาน
"ดำดินมาน่ะสิพระเจ้าค่ะ.. พระธิดาพุทธ​รัตน์​หรือนี่​ สวยขึ้นเยอะเลยนะ​ เกราะก็สวยขึ้นด้วย" เขาพอจะเดาบุคคลได้ไม่ยากจากการแต่งกายและสีของเกราะวิเศษที่เขารักหวงหนักหนา
"ใครมาอีกล่ะนั่น​ จากน้ำเสียงพูดประจบประแจงเก่งจริง" ตาหวานที่อยู่ในย่ามกล่าวเมื่อได้ยินประโยคที่ดูไม่จริงใจเอาเสียเลย
" ใคร​ ใครพูดจาว่าร้ายข้า " เขามองหาต้นเสียงก็ไม่พบ
" ไม่ได้ว่าร้ายนะ​ แต่มันรู้สึกจริงๆ" เจ้าผีในย่ามสั่นตอบอีกฝ่ายจึงรู้ว่ามีสิ่งที่พูดได้อยู่ในนั้น
" อะไรในนั้นเหรอพระธิดา" ตุ้บเท่งถามพลางใช้สายตามองไปยังสิ่งที่ขยับเมื่อครู่
"อ๋อนี่พี่ตาหวานน่ะ" ว่าแล้วเธอจึงส่งให้ดู
" สุดหล่อช่วยถือให้นะพระเจ้าค่ะ" เธอตามใจให้ช่วยแต่ไม่รู้เลยว่าเจ้าตัวประหลาดนี่คิดจะทำอะไร
"อ้อ.. นี่คือบัวแย้มนะ​เป็นสหายเราเอง​ ส่วนนี่คือสุดหล่อนะเขาเป็นผู้คุ้มครองน่ะ" เธอแนะนำให้ทั้งสองนั้นรู้จักกัน​
"เอ.. ไม่เห็นเจ้าหิ่งห้อยยักษ์​เลยนะพระเจ้าค่ะ​ หรือจะจะ.. จะตายไปแล้ว!! "ถึงจะพูดแบบตกใจก็เถอะแต่ตัวน่ะดีใจออกจะตายที่จะไม่มีใครขัดคอ​ แต่กับตาหวานก็ไม่แน่​
" พี่หิ่งห้อยได้รับบาดเจ็บน่ะ.. "และเ
พุทธ​รัตน์​ได้เล่าเหตุการณ์​ที่รู้มาให้เจ้าตัวประหลาดฟัง​ เรื่องก็เป็นเช่นนี้แล
เมื่อเดินทางสักพักได้ผ่านมายังสระบัวจึงหยุดพักผ่อนเสียก่อน
" พวกเราพักตรงนี้กันก่อนดีกว่า" ว่าแล้วทั้งหมดจึงพากันหุงหาอาหาร​ เจ้าตุ้บเท่งได้ทีก็โยนย่ามลงสระไปแกล้งว่าทำตกเสียอย่างนั้น
" อ้าวๆ​ ข้าขอโทษนะตาหวาน​ ไม่ได้ตั้งใจ๊ไม่ได้ตั้งใจ" เขาทำทีเป็นขอโทษแต่ก็นั่นล่ะดูจะพอใจผลงานมิน้อยเลย
"เหวยๆ​ เล่นทำข้าตกมาอย่างนี้ก็ถูกแดดส่องเกลี้ยงสิ​เอ็งนี่" เขาผุดมาใต้ใบบัวนั้นแล้วพบว่ามันสามารถกับร่างโครงกระดูกได้จึงเก็บใช้ใบบัวทำเป็นร่มเงากำบัง
เมื่อเมื่อรวบรวมปรุงอาหารเสร็จแล้วจึงได้รับประทาน
ไม่นานนักอาการเจ้าหิ่งห้อยเริ่มไม่ดีเกิดการไอเป็นโลหิตขึ้นมา
" อย่างนี้ไม่ดีแน่เลยเพคะพระธิดา​ จะทำอย่างไรดีเพคะ"บังแย้มกล่าวเมื่อเห็นอาการมิสู้ดีของแมลงตัวนี้
"จริงสิ​ เรามัวแต่เดินทาง​จนลืมไปว่าอาการน่ะแค่ทุเลาแต่ไม่หายขาดดี.. พี่หิ่งห้อยพอทนไหวไหมจ๊ะ" เธอถามด้วยความเป็นห่วง​
"หม่อมฉัน​ไม่เป็นอะไรมากหรอกพระเจ้าค่ะ​ เท่านี้พอทนได้"แมลงน้อยน่าสงสารตอบไปให้สบายใจแต่อาการก็ดูแย่นัก
"เอาอย่างนี้นะ​ เดี๋ยวน้องจะไปนำสมุนไพรจากป่าหิมพานต์​มาช่วยรักษาพี่หิ่งห้อยนะจ๊ะ"
" ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะพระธิดา"
" พวกท่าน​ เราต้องรบกวนแล้ว  รออยู่ที่นี่กับพี่หิ่งห้อยนะ​ ระวังภัยด้วย"
" อ้าวแล้วพระธิดาจะเสด็จอย่างไรรึพระเจ้าค่ะ" ผีโครงกระดูกถือใบบัวถาม
"ไปในแบบของน้องนี่ล่ะ​ ไม่นานเกินรอหรอกจะ​ เราไปนะ​ บัวก็ระวังตัวดีๆ"
" เพคะพระธิดา"  เมื่อจบการสนทนาพุทธรัตน์​จึงกลั้นใจนึกถึงป่าหิมพานต์​แล้วถอยหลังสามก้าวหายไปต่อหน้าทุกคนราวกับหายตัวได้อย่างนั้น
........
" พระโอรสวันพุธ​เจ้าขา" จั๊กแหล่นมาเยี่ยมเยือนที่ตำหนักตั้งแต่รู้สึกได้ว่าเปลี่ยนวันแล้ว แต่แล้วต้องตกใจที่เห็นพระโอรสรูปงามกำลังดูแลสตรีแปลกหน้าที่นอนอยู่บนพระแท่นบรรทมจึงเกือบที่ได้โวยวายแล้วถ้าไม่มีพระหัตถ์​ของพระโอรสมาปิดปากไว้เสียก่อน
"จั๊กกะแหล่น​ชอบเราไหม"อยู่ดีๆถูกถามอย่างนี้ตนจึงผงะบ้างแต่ก็พยักหน้ารับ
"ดีเลย​ ถ้าชอบเราจริงห้ามโวยวายนะ​ ไม่ว่าเราจะบอกอะไรต้องเชื่อและทำตามที่เราบอก" เขาจงใจใช้วิธีพูดดีมาให้เรื่องไม่บานปลาย​ เมื่อเธอตกลงจึงได้ปล่อย
"หูย พระโอรสรู้จักจั๊กด้วยเหรอเพคะ​ จั๊กยังไม่รู้จักชื่อพระโอรสเลยนะเพคะ" เธอเขินตัวบิดหมดแล้ว​ รีบบอกดีกว่าจะได้ตัดปัญหาให้หมดไป
" เราเพชรราหู.. ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สตรีนางนี้​ นางชื่ออัญญานี​ นางได้รับการช่วยเหลือจากปัทมาสน์แต่อาการไม่ดีขึ้นเลย​ จั๊กแหล่นมาได้เพลาพอดี​ เราจะขอให้ดูแลนางระหว่างเราไปนำสมุนไพรจากป่าหิมพานต์​ อย่าเพิ่งให้ใครเข้ามาในตำหนักของเรา​"
"จั๊กก็.. ก็เต็มใจอยู่นะเจ้าคะ​.. แต่ว่าจะไปยังไงล่ะ​ ป่ามันไม่ใช่ใกล้ๆนี่"ถึงจะบอกอย่างนั้นแต่ตัวเองอยากอยู่กับบุรุษ​เนื้อคู่ฟ้าประทานมากกว่าอีก
" ไม่ยากหรอก​ ดูแลนางกับตัวเองดีๆนะจั๊กแหล่น​ เราไปล่ะ"ว่าแล้วตนจึงหายตัวไปยังป่าหิมพานต์​ทันที

เมื่อมาถึงแล้วเพชรราหูจึงเข้าเก็บเทียนสัตตบุษย์ทันที​ พอดีกับที่พุทธรัตน์​มาถึงได้ตักน้ำในสระน้ำอโนดาตไปใช้ในการต้มและสมานแผล​ด้วย​ เมื่อตักน้ำเสร็จตนจึงเข้าเก็บสังกรณีที่อยู่ริมสร​ะ​ แต่ทว่าดึงเท่าใดก็ยังมิออกเสียทีจึงออกแรงขั้นสุดจึงพลาดหงายไปเกือบถึงผืนน้สระนั้น​ ถ้าไม่มีคนที่หมายตักน้ำในสระมาช่วยดึงขึ้นมาจนเผลอสบตาเข้าอย่างจัง​ ฝ่ายชายเผลอยิ้มเอ็นดูอย่างลืมตัว​ ฝ่ายหญิงเธอรู้สึกประทับใจที่ช่วยอยู่แต่ถ้านานกว่านี้คงไม่ดีแน่จึงผละออกจากกัน
"เราขอบใจท่านมาก" พุทธรัตน์​กล่าวต่อคนที่ช่วยเหลือ
"ไม่เป็นไร​ เราเต็มใจช่วย" เพชรราหูตอบรับแต่ใบหน้าระเรื่อสีแดงขึ้นมาเล็กน้อย​ เมื่อพิศดูอีกฝ่ายซึ่งกันดีๆแล้วจึงจำสิ่งวิเศษที่อีกฝ่ายสวมใส่ได้
"เกราะกายสิทธิ์"
"สังวาลย์​มณี"
"หรือว่าท่านคือ..!!" ทั้งสองพูดพร้อมกันแล้วจึงหยุดให้อีกฝ่ายกล่าวก่อน
"ท่านคือเพชรราหูนี่เอง"เธอจำสหายที่ร่วมเดินทางกับเธอครั้งสุดท้ายได้แล้ว
"ท่านก็คือพุทธรัตน์​.. ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอท่านที่นี่"
"นั่นสิ​ ท่านสบายดีหรือ"
"เราสบายดี​ แล้วท่านล่ะ"
" เราก็สบายเช่นกัน​ แต่ตอนนี้ลำบากใจ​ เราต้องรีบไปช่วยพี่หิ่งห้อยของเราที่บาดเจ็บ"เธอเริ่มพูดเมื่อนึกได้​ จะมัวแต่ดีใจเรื่องพบสหายเก่าก็กระไรอยู่
"พี่หิ่งห้อยบาดเจ็บเหรอ​ เราขอให้หายไวๆ​ ทางเราก็มีคนเจ็บไข้เหมือนกัน"เขาได้ฟังดังนั้นจึงพลันนึกถึงคนที่นอนสลบอยู่ในห้องตน
" เช่นนั้นแล้วจะต้องขอลาก่อน​ ไว้มีโอกาสพวกเราน่าจะได้เจอกันอีกนะ" พุทธรัตน์ยิ้มให้อีกคน
"ถ้ามีวาสนาจะได้เจอกันอีก​แน่​ ลาก่อน" เพชรราหูยิ้มตอบอีกฝ่าย​ แล้วทั้งสองจึงแยกย้ายไปยังที่ของตน
.......
ที่หอชิดดารา​ องค์เทพวิษุวัตที่ได้บำเพ็ญตนครบสิบปีตามพระบัญชาของพระอินทร์​ จึงได้ออกจากที่พำนักมายังด้านนอกแล้ว​ปัจจาจึงขอเข้าเฝ้าทันที
"ปัจจา​ เมื่อปลายตติยยามที่ผ่านมาเรารับรู้ถึงการมีอยู่ของพระเชษฐ​ภคินี​ เจ้าได้พบพระเทวีหรือไม่" พระเทวาถามบริวารที่มาเฝ้า
"ขอพระราชทานอภัยพระเจ้าค่ะ​ หม่อมฉันเดินทางไปตามหาแล้วแต่มิพบเลยพระเจ้าค่ะ" เขาทูลไปก็กลัวจะโดนอาญา
"ช่างเถอะ​ นี่เป็นเวลานานเกือบยี่สิบปีมนุษย์​แล้วที่เจ้าเฝ้าตามหาพระเทวี​ การที่เรารับรู้ได้ถึงการมีอยู่นับว่าเป็นสัญญาณอันดี​ เราจะเปลี่ยนให้ผู้อื่นไปแทน​ แล้วเจ้ามาช่วยงานเราดีกว่า"
" เป็นพระมหากรุณาธิคุณ​พระเจ้าค่ะ.... ก่อนหน้านี้หม่อมฉันได้ไปพบธานินทร์​กับธารามาพระเจ้าค่ะ​ แต่ว่าพบแต่ธานินทร์​ได้รับบาดเจ็บอยู่แต่เพียงผู้เดียวพระเจ้าค่ะ"  เมื่อได้ยินดังนั้นด้วยความเป็นห่วงจึงเดินทางไปยังที่พักของบริวารทันที
" ธานินทร์​เกิดอะไรขึ้น" องค์​เทพถามขึ้นหลังจากที่เดินทางมาถึง
" ถวายบังคมพระเจ้าค่ะ​ คือว่าหม่อมฉัน.... "และผู้ที่ถูกถามได้เล่าเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด
" เราจะช่วยรักษาให้เจ้าเอง"ว่าแล้วพระเทวาจึงใช้มนตราสร้างขาด้านซ้ายของธานินทร์​กลับมาปกติดังเดิม
"ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ"
" ถือว่าเป็นการตอบแทนที่เจ้าช่วยพาอินทรานีกลับมา​ เราว่าได้เพลาสมควรที่จะไปพบกับบดิศร​ ปัจจาไปกับเรา​ ธานินทร์​ดูแลพระแม่เจ้าดีๆแล้วเราจะกลับมา"
" พระเจ้าค่ะ"ทั้งสองรับคำแล้วจึงต่างทำหน้าที่ของตน
......
หลังจากที่กลับมาได้แล้วนั้น​ พุทธรัตน์ก็เข้าใช้สมุนไพรรักษา​เจ้าหิ่งห้อยจนอาการดีขึ้น​ เมื่ออาการดีขึ้นมากแล้วร่างกายได้กลับมาใหญ่ดังเดิม​ สร้างความปิติอย่างยิ่ง​ แล้วทั้งหมดจึงเดินทางกันต่อไป
" พี่หิ่งห้อยรู้ไหมจ๊ะ​ว่่าตอนที่น้องไปป่าหิมพานต์​ได้พบกับใคร" เธอพูดขึ้นมาแล้วยิ้มอย่างพอใจ
"ใครหรือพระเจ้าค่ะ​พระธิดา"
"เพชรราหูแห่งสังวาลย์มณีจะ"
"พระโอรส!!" บัวแย้มที่ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามจึงร้องเรียกออกมาอย่างอดเสียไม่ได้
"มีอะไรเหรอบัว​ บัวรู้จักเขาด้วยเหรอ" อีกคนสงสัยจึงถามไป
" รู้จักเพคะ​ ก่อนหน้านี้ที่บัวจะไปอยู่ศาศวัตบุรี​ บัวอาศัยอยู่ในป่ากับยายเพคะ​ ตอนนั้นมีวาสนาได้พบกับพระธิดาแสงสุรีย์​  และพระโอรสพระธิดาให้ความเมตตาบัวกับยายมาตลอดเพคะ"
"อ๋ออย่างนี้นี่เองน่ะ​ รู้อย่างนี้ก่อนล่ะก็​ เราจะบอกเขาให้รู้เลย​ ไว้พวกเราเดินทางถึงเมืองทิศพลแล้วพักผ่แนให้ดี  พวกเราจะพาไปหานะบัว" เธอจับมืออีกคนยิ้มให้กันและกันแล้วจึงเดินทางต่อไป
...
เมื่อเพชรราหูกลับมาใช้สมุนไพรรักษาแล้วนั้น​ อัญญานีได้ฟื้นตื่นขึ้นมา
"ท่านแล้วนาง..นางไปไหนล่ะ"เธอถามถึงผู้ที่ช่วยชีวิตไว้เมื่อไม่พบ
"นางพักแล้วล่ะ​ วันนี้เป็นวันของเราเอง" เขาตอบคำถาม
"ก็พระโอรสน่ะสลับสับเปลี่ยนกับพระธิดาไปในแต่ล่ะวันตามสังวาลย์​มณีไงจ๊ะ" จั๊กแหล่นช่วยเสริม
"เราขอบใจท่านมากนะ... ท่านเป็นสหายของพวกเกราะกายสิทธิ์​หรือป่าว"
" จะเรียกว่าสหายก็จะดูไม่สนิทถึงขนาดนั้นนะ​ ท่านรู้จักได้อย่างไร​ แล้วเรื่องเป็นยังไงกันแน่" เขาตอบแล้วถามอย่างสงสัย
" เราเป็นเพื่อนกับจันทราภา.... "เธอจึงเริ่มเล่าเรื่องให้ฟัง
"เช่นนั้นแล้วถ้าอาการท่านหายเป็นปกติ​ เราจะพาท่านไปพบกับพวกเขาที่เมืองทิศพลนะ  นี่ธำมรงค์แก้วศุภร"
ว่าแล้วจึงยื่นแหวนให้
" เราขอบใจท่านอีกครั้ง"
" เราเต็มใจ​ ได้เพลาเข้าเฝ้าเสด็จพ่อแล้ว​ เราขอตัวก่อนนะ"ว่าแล้วจึงจากไปยังท้องพระโรง
"อ้าวอัคนินไปไหนเสียล่ะ" เขาถามกับมหาดเล็กคู่ใจที่รอเข้าเฝ้าแทน
" พระโอรสอัคนินประชวรพระเจ้าค่ะ​"
" แปลกจริง​ เราไม่เคยเห็นอัคนินป่วยเลย.." เขาได้แต่สงสัยแล้วเจ้าเมืองเสด็จยังท้องพระโรงจึงทำการเข้าเฝ้าต่อไป
.....
" ถวายบังคมพระเจ้าค่ะ" ทั้งบดิศรและอัคนินที่แอบติดตามมาได้เข้าเฝ้าพระเทวาวิษุวัต
"ตามสบายเถอะบดิศร.. คนผู้คือ.." พระองค์​มองหน้าคนที่ไม่ได้อยู่ในความดูแลของตนมาก่อน
" หม่อมฉันอัคนินพระเจ้าค่ะ"
"เขาจะมาช่วยหม่อมฉันกำจัดอริของพระองค์​พระเจ้าค่ะ​ เขาเป็นผู้ร่วมวงศากับผู้ครองสังวาลย์​มณีพระเจ้าค่ะ"
"เช่นนั้นก็ดี​ เอาล่ะเราจะมอบหมายให้พวกเจ้าทำลายเกราะกายสิทธิ์​และสังวาลย์​มณีเสีย​ ไม่ต้องกังวลไป​ เรามีเกราะเหล็กและสังวาลย์​ศิลาที่สามารถต่อกรกับของพวกนั้นได้​ ถ้าหากทำลายได้ไม่ว่าสิ่งใดที่พวกเจ้าปรารถนาเราจะให้ทุกอย่าง" ว่าแล้วปัจจาจึงนำสิ่งวิเศษใหม่ยกให้ทั้งสอง
" ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ"เมื่อรับแล้วเทวดาทั้งสองจึงหายตัวไป​ ทั้งสองจึงทำข้อตกลงในการทำลายศัตรูตนต่อไป















หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ พฤษภาคม 09, 2020, 06:33:13 PM
 ในปฐมยามที่สองวันนั้นเองที่เมืองทิศพล​ เหล่าคณะเดินทางได้มาถึงเป็นที่เรียบร้อย​ เจ้าเมืองจึงได้ต้อนรับพระนัดดาและพระสหายยังท้องพระโรง​ เหล่าข้าราชบริพารที่ได้พบกับพระสหายที่ไม่ใช่มนุษย์​ที่คุ้นเคยอย่างเจ้าตุ้บเท่งกับหิ่งห้อยยักษ์​นั้นพอจะทำใจให้ชินได้บ้าง​ แต่เจ้าผีโครงกระดูกที่มีแต่ศีรษะ​กับแขนนี่สิน่าขนลุกขนพองเพลาที่อยู่ในท้องพระโรงนัก
"ถวายบังคม​เพคะ/พระเจ้าค่ะ" เหล่าคณะเดินทางได้เข้าถวายบังคมกษัตริย์​นวดลและมเหสีอัมรินทร์
"ขอให้จำเริญๆ​เถิด​  หลานตาโตขึ้นมากเลยนะ​ ​พวกหลานสำเร็จวิชาจากฤๅษี​อนุชิตแล้วหรือ​ ถึงได้มาเยือนเมืองของตาได้น่ะ" ท้าวเธอถามขึ้นมาเพราะสาเหตุที่ไม่พบกันเพราะติดร่ำเรียนวิชานานมาสิบปี​ไม่มีทางที่ดาบสจะให้กลับมาได้แน่ถ้ามิจบการศึกษาวิชา​ นี่ถ้าไม่มีเกราะกายสิทธิ์​อยู่กับตัวคงจะจำหลานมิได้
"สำเร็จวิชาแล้วเพคะเสด็จตา​ พวกหลานจึงเดินทางมาเข้าเฝ้าเพคะ​ ระหว่างทางพวกหม่อมฉันได้พบกับพวกเขา... "เธอตอบพลางผายมือไปทางผู้แปลกหน้าทั้งสองแล้วเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พระอัยกาฟัง​ เมื่อฟังได้ความดังนั้นแล้วจึงคิดต่อว่าตนเองที่เป็นเหตุที่ทำให้อัญญานีต้องไปอยู่กับแม่มดใจร้ายที่แปลงกายมาหลอกล่อ
" อย่าทรงเป็นกังวลเลยนะเพคะ​ ไม่เช่นนั้นพระวรกายไม่แข็งแรงอีกจะประชวรได้" พระมเหสีตรัสให้นึกขึ้นได้
"เสด็จตาเพคะ​ ตลอดสิบปีมานี้เสด็จตาประชวรหนักหรืือเพคะ" พระธิดาวันพุธ​ถามอย่างเป็นห่วง
"ก็ธรรมดาของคนมีอายุนั่นล่ะหลานอย่าไปสนใจเลย​ เสด็จยายเจ้าก็เหมือนกันน่ะห่วงมากเกินไป​ ไม่ห่วงตัวเองบ้างเลย" ท้าวเธอปฏิเสธแต่กลับบอกว่าพระชายาเสียอีก
" โธ่​ หม่อมฉันมิได้เป็นอะไรนี่เพคะ​ อย่าตรัสให้หลานห่วงพวกเราเลยจะดีกว่านะเพคะ"พระนางมิต้องการให้หลานห่วงไปกว่านี้แล้ว​ ยิ่งพูดยิ่งไม่ใช่เรื่องดี
" ถึงจะว่าอย่างนั้น​ อย่างไรเสียหลานก็อดห่วงไม่ได้เพคะ" คนห่วงไปแล้วจะเลิกห่วงก็กระไรอยู่
"ช่างเถอะน่า​ ตอนนี้เดินทางกันมาเหนื่อยๆพักผ่อนกันก่อนดีกว่านะ​ ไว้พรุ่งนี้​มาช่วยกันคิดหาทางช่วยเหลืออัญญานีกันต่อ" ท้าวเธอว่าแล้วจึงพากันแยกย้ายไปตำหนักต่างๆเพื่อพักผ่อน
" บัวทำไมสีหน้าไม่ดีเลยล่ะ" พุทธรัตน์​ที่เข้ามาดูความเรียบร้อยให้เห็นความเศร้าหมองในตัวอีกคน
" บัว..บัวคิดถึงพระธิดาอัญญานีเพคะ​ จริงอยู่ที่จะกลับไปอยู่สุขสบายกาย​แต่เท่าที่หม่อมฉันทราบ​ พระธิดาไม่สบายใจแน่เพคะ" ความกังวลใจชัดขึ้นหลังจากที่ตอบคำถามอีกฝ่าย
"เราเข้าใจนะบัว​ การพลัดพรากน่ะไม่ดีหรอก​ เพียงแต่เราต้องตั้งสติไว้ก่อน​ ทำใจให้สบาย​ ค่อยๆคิดค่อยๆแก้ปัญหา​ บางทีพรุ่งนี้ภูมินทร์​อาจจะช่วยได้มากขึ้นก็ได้" เธอพูดหวังให้ใจอีกฝ่ายสงบบ้าง
" เพคะ​ บัวจะตั้งสติแล้วทำใจให้สบายเพคะ" เธอยิ้มให้อีกคนไม่ใช่เพราะหายกังวลแล้วหากแต่ไม่อยากรบกวนใจอีกฝ่ายไปมากกว่านี้
....
"​ท่านอยู่พักในตำหนักนี้ก่อนนะ​ ไว้พรุ่งนี้พวกเราจะเดินทาง​ ส่วนเราจะไปพักที่อาศรมพระอาจารย์​"เพชรราหูกล่าวบอกหญิงในการช่วยเหลือเมื่อเห็นว่าอาการดีมากแล้ว
" เรารบกวนท่านมากไปหรือป่าว​ ที่ทำให้ท่านต้องไปพักที่อื่น" อัญญานีกล่าว
"ไม่หรอก​เราเต็มใจ​ อีกอย่างที่นี่นอกเหนือจากพวกเรา​มีเสด็จพ่อเท่านั้นที่รู้ว่ามีท่านอยู่​ ถ้าจัดตำหนักรับรองให้​ เรื่องต้องถึงหูอัคนิน"
" อัคนินเกี่ยวอะไรหรือ​ ทำไมถึงได้ต้องปิดบัง"
" เขาเป็นคนของเทพวิษุวัต​ไปแน่แล้ว​ อีกอย่างข้ารับใช้ในวังเป็นหูตาให้อัคนินที่เราไม่รู้อีกตะหาก​ ท่านพักผ่อนเสียดีกว่าพรุ่งนี้จะได้เร่งเดินทาง" กล่าวจบแล้วจึงเข้าสู่ป่าจินตภพทันที
......
" ลูกได้ของดีมาในเพลาเหมาะเช่นนี้​ นับว่าโอกาสของพวกเรามาถึงแล้ว" ผกากรองได้ฟังคำเล่าของบุตรชายหลังจากกลับมาก็กล่าวอย่างยินดียิ่ง
" หมายความว่ายังไงกันท่านแม่"ลูกสงสัยในพาทีของแม่
" วันที่พวกเรารอคอยมาถึงแล้ว​ คืนนี้พระจิตขององค์​เหนือหัวไม่มั่นคงเหมาะแก่การทำการใหญ่"
" การใหญ่อะไรกันท่านแม่"
" แม่จะทำพิธีควบคุมและยึดพระวรกายของพระองค์​มาเป็นของแม่​ แต่แม่ต้องสละสังขารชีพ​ แม่จึงต้องเตือนเจ้าไว้ให้เตรียมใจ"
" แต่อย่างนี้มันอันตรายมากนะท่านแม่​ ถ้าทำไม่สำเร็จท่านก็จะต้อง.. ต้องตาย"
" อย่ากลัวเลย​ อุตส่าห์​รอคอยมานานขนาดนี้มีหรือว่าแม่จะไม่ระวังตัว"  ว่าแล้วเธอจึงเริ่มทำพิธีทันที
......
วันถัดมาดูท่าฝนฟ้าคะนองเสียเหลือเกิน​ แต่ถึงกระนั้นถ้าคิดจะทำการอันใดไว้ก็ต้องทำให้ได้
" แม่ขอให้ลูกโชคดีบดิศร"วิมาลามารดากล่าวอวยพรลูกยาเมื่อเขากำลังจะเดินทางไปกำจัดศัตรู​
" แล้วท่าน.. เสด็จตาอยู่ที่ใดกันพระเจ้าค่ะ​ ลูกมิเห็นเลย" เขาถามหาผู้ที่เป็นเจ้าเมืองนี้ที่ไม่พบหน้าเลยตั้งแต่กลับมา​ ด้วยเพราะต้องเตรียมตัวรับพระบัญชาจึงไม่ได้ถามตั้งแต่แรก
"ตาของลูกน่ะไปเมืองรัตนบุรี​เพื่อทำทีเจริญสัมพันธไมตรี​ จากนั้นแล้วเราจะได้แก้แค้นกัน" เธอพูดพลางยิ้มอย่างมีหวัง
"แต่ว่าทำไมต้องไปหาเสด็จพ่อด้วยพระเจ้าค่ะในเมื่อพวกนั้นก็อยู่ที่เมืองทิศพล" เขาสงสัยนัก​
"ลูกเคยบอกแม่แล้วนี่ว่าเมืองเมืองนี้สักวันนึงมันก็ต้องสลายหายไปไม่ได้ยืนยงเหมือนชื่อของมัน​ ดังนั้นแล้วขณะที่ลูกจัดการกับฝั่งนั้นแล้ว​ เสด็จตาจะจัดการกับที่เหลือจะได้ทำการเสร็จได้ไวๆ"เธอกล่าวอย่างมุ่งมั่น
" แล้วเสด็จพ่อจะเป็นอันตรายหรือไม่พระเจ้าค่ะ" ถึงจะจากกันเช่นนั้นแต่เขาก็ยังห่วงบิดาอยู่ดี
" ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตหรอกนะลูก​ เพียงแต่เสด็จพ่อของลูกจะต้องช่วยเรามันก็เท่านั้นเอง"เธอพูดพลางส่งยิ้มให้ลูกนั้นคลายกังวล
" แล้วเสด็จ​พ่อจะยอมช่วยพวกเราหรือพระเจ้าค่ะ"
" ช่วยแน่นอน​ แม่เชื่อในเสด็จตาของลูก  แม่ว่าพวกเราอย่าเสียเพลาอีกเลยดีกว่า​ เร่งทำการให้เสร็จ​สิ้น​พวกเราจะได้อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขเสียที"  เมื่อนางกล่าวเช่นนั้นแล้วบดิศรจึงลานางมุ่งสู่เมืองทิศพลทันที
...
"ท่านกลับมาแล้วหรือ.. .."อัญญานีถามขึ้นหลังจากการกลับมาของคนที่พอจะเรียกว่าสหายพร้อมส่งสายตาเชิงอยากเรียกแต่ไม่รู้นาม
" เรากลับมาแล้วล่ะอัญญานี​ เราชื่อจินดา"เธอตอบอีกคนพร้อมยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
" อาการของเราดีขึ้นมากแล้วล่ะ​ เราจะขอลาไปตามหาคนของเราเองจะดีกว่า​ " เธอไม่อยากรบกวนอีกจึงได้บอกไป
"ไม่ต้องหรอก​เราจะไปด้วย​ ถือเสียว่าเราจะได้ไปพบสหายของเราด้วยกัน​ อย่าคิดว่าเป็นการรบกวนเลย"เธอกล่าวให้ฟังเพราะไม่อยากให้อีกคนลำบากใจและตามที่พูดก็เป็นความจริงที่จะไปพบสหายด้วย
" ใคร!! "เสียงเคาะประตูห้องบรรทมดังขึ้นมาทำให้พระธิดาวันพฤหัสบ​ดีเกิดคำถามขึ้นเพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่ามีคนอีกคนในนี้​ จะได้ออกไปด้านนอกแทน
" จั๊กเองเจ้าค่ะ​ จั๊กเอง​ เกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ"  ว่าแล้วจึงเปิดประตูที่ไม่ได้ลั่นดานแล้วเข้าไป
"มีอะไรหรือที่ว่าเกิดเรื่อง​ จั๊กแหล่น" อัญญานีถามด้วยความสงสัย
" วันนี้มีข่าวว่าพระสนมผกากรองสิ้นพระชนม์​แล้วเพคะ​  อีกประเดี๋ยวก็จะเรียกเข้าท้องพระโรงตามเวลาแล้ว​ "
" เช่นนั้นจะช้ามิได้แล้ว​ เห็นทีเราจะต้องรีบไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ​  เราไปก่อนนะ" จินดาได้ยินดังนั้นจึงไม่อยู่เฉยเร่งไปยังท้องพระโรงทันทีเพราะใกล้ถึงเพลาเต็มที
เมื่อมาถึงจึงได้พบว่าเรื่องที่ได้ยินมานั้นจริงสุดจะบรรยาย​ ภาพตรงหน้าน้ำตานองอัคนินเสียเหลือเกิน
" นางสิ้นโดยไม่ใช่วิถีธรรมชาติ​ นี่ต้องเป็นการสังหารจากบาดแผลที่เกิดจากการแทง​ อัคนินเจ้าอย่าเสียใจให้มา เราขอถามว่าเมื่อคืนนี้เจ้าได้ไปที่ตำหนักพระสนมหรือไม่" ท้าวธริษตรีเธอถามเพื่อสาวความหาข้อเท็จจริง
"ไม่ได้ไปพระเจ้าค่ะ​ เมื่อคืนนี้หม่อมฉันเป็นไข้จึงอยู่แต่ในตำหนักตนเองตลอดทั้งวันทั้งคืน" เขาตอบเสียงปนสะอื้นไห้แต่หามีความจริงไม่
" ถ้าเป็นเช่นนั้น​ มารดาเจ้ามิได้ไปเยี่ยมเยือนเจ้าบ้างเลยหรือ"
" ไม่ได้มาพระเจ้าค่ะ​ แต่ส่งนางกำนัลมาดูอาการแทนเพราะเสด็จแม่ประชวรด้วยเช่นกันพระเจ้าค่ะ​  เสด็จพ่อจะต้องให้ความเป็นธรรมให้กับหม่อมฉันนะพระเจ้าค่ะ"
" เรื่องความเป็นธรรมเราต้องให้อยู่แล้ว​ นางมีปัญหากับใครหรือป่าว"
" ไม่มีพระเจ้าค่ะ​ จะมีก็แต่คนอื่นที่มามีปัญหา"เขาทูลพลางส่งสายตาไปยังพระธิดาจินดา
" ได้​ เช่นนั้นเราจะเร่งหาตัวคนร้ายให้เร็วที่สุด​ ตลอดการพิจารณา​คดีนี้ห้ามมิให้ผู้ใดเดินทางออกจากเมืองของเราเป็นอันขาด​ แม้แต่เจ้าจินดา​ อัคคนิน  เอาล่ะวันนี้พอแค่นี้ก่อน​ เราต้องจัดพิธีให้กับผกากรอง"
" น้อมรับพระบัญชาพระเจ้าค่ะ/เพคะ" และแล้วทั้งหมดจึงได้แยกย้ายกันไป
....
"​พระองค์​เสด็จมาจากศาศวัตบุรีด้วยตนเอง​ เรายินดียิ่งที่จะต้อนรับกัลยาณมิตร​ใหม่ของเมืองเรา" ท้าวพีรเชษฐ์​กล่าวกับเจ้าเมืองที่มาเจริญ​สัมพันธไมตรี
" ด้วยเห็นพระบารมีที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์​ เราเห็นว่าการมาครั้งนี้มิเสียแรงเลยจริงๆ" นรราชเจ้าเมือง​ อดีตปุโรหิตที่ใช้นามหน้าใหม่กล่าวกับอีกฝ่าย​ เขาน่ะที่เคยเป็นพ่อตามาก่อนย่อมรู้ว่าชอบอะไรไม่ชอบอะไร​ ความสนิทชิดเชื้อที่ท้าวพีรเชษฐ์​ได้มารู้สึกเหมือนเจอมิตรแท้ในช่วงเวลาเดียวนั้นเอง​ เพราะท้าวเธอน่ะเชื่อคนง่ายแถามสบายใจไม่มีอะไรต้องกลัวแล้วจึงไม่ระวังเอาเสียเลย
"องค์​เหนือหัวเพคะ​ หม่อมฉันรู้สึกว่าเจ้าเมืองคนนี้มิน่าไว้ใจเลย" สไบทองสังเกตการ​ณ์ตลอดวันจึงได้กล่าวเมื่อกษัตริย์​ต่างเมืองไปยังพระตำหนักรับรองแล้ว
"อย่ากังกลไปเลย​ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น​ เขาก็เป็นคนดีอีกด้วยนะ" คนไม่ระวังตัวกล่าวตอบอีกคนให้สบายใจ
"แต่ถึงอย่างไร​หม่อมฉันก็ไม่ไว้ใจที่เจ้าเมืองคนนี้ทำทีรู้เสียทุกเรื่องไป​ อย่างนี้แล้วจะไม่ดีต่อพระองค์​เองนะเพคะ" เธอเตือนพระสวามีด้วยความหวังดี
"ไม่หรอกน่า​ นี่ล่ะมิตรแท้ที่ฟ้าประทานมาให้แก่เรา"คนดื้อจะทำอย่างไรก็มิฟังหรอก​ เธอได้แต่ถอดถอนหายใจมิพูดอันใดอีกแต่จะคอยพึงระวังไว้​ พระราชาคนนี้ที่พบกันวันเดียวข้อมูลที่จะมีมาคุยกันได้ขนาดนี้เป็นไปไม่ได้เลย
.....
"เพิ่งมาได้คืนกับอีกวันเ​ดียวจะจากตาไปอีกแล้วรึ" ท้าวนวดลถามเมื่อผู้เป็นพระนัดดาทูลลาไปตามหาคน
" พระเจ้าค่ะเสด็จตา​ หลานจะต้องช่วยเหลืออัญญานีกับบัวแย้มให้ได้พบกันพระเจ้าค่ะ" ภูมินทร์กล่าวตอบพระอัยกีด้วยความเป็นมนุษยธรรม
"เมื่อพบกันแล้วจะไปยังที่ใดกันล่ะ​ จะกลับเมืองเก่าก็ไม่มีแล้ว"พระอัยกีอัมรินทร์กล่าวด้วยความห่วงใย
" ก็คงจะต้องหาที่อยู่ทำกระท่อมในป่าเพคะ"บัวแย้มทูล
" แล้วอีกฝั่งเขาจะยอมหรือ​ พวกเขาจะต้องตามหาพวกเจ้าจนพบแล้วถูกนำตัวไปอีกล่ะจะทำยังไง" พระมเหสีกล่าวต่อไป
" เอาอย่างนี้เถอะ​ เราจะช่วยอุปถัมภ์​พวกเจ้าเอง​ มาอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวเสียที่นี่ล่ะ​ เพลามีเรื่องขึ้นมาจะได้ช่วยเหลือกัน​ ห้ามปฏิเสธเชียว" ท้าวนวดลเธอเสนอให้
" ช่างเป็นความคิดที่ดีจริงๆ​ แต่ท่านคิดหรือว่าบ้านเมืองนี้จะไม่พังทลายไปเสียก่อน" เสียงพูดดังขึ้นมาพร้อมกับการปรบมือทำให้ความสนใจมุ่งสู่คนพูดทันที
" ท่านเป็นใคร​ มาจากไหนกัน"ภูมินทร์​ถามอย่างสัย บุรุษ​นี้เป็นใคร​กัน​ แล้วเข้ามาได้ยังไง
"เราเป็นใครมาจากไหนไม่สำคัญ  แต่วันนี้เราจะมาทำลายพวกเจ้าให้สิ้นซาก"คนใส่เกราะเหล็กกล่าวอย่างอวดดี
" พระโอรสบดิศร" บัวแย้มที่เคยพบหน้ามาก่อนจึงรู้ได้ทันทีแบบไม่ต้องนึก
" บดิศร​ เราจบเรื่องนี้กันไปแล้วอย่าได้จองเวรจองกรรมกันอีกเลย" เมื่อเขาได้ยินดังนั้นจึงได้เจรจาอย่างสันติ
" ไม่มีวันที่จะจบ จนกว่าพวกเจ้าทั้งเจ็ดคนจะถูกทำลาย!! " ว่าแล้วเขาจึงใช้พลังจากเกราะเหล็กพุ่งทำร้ายอีกคนโดยไม่ทันตั้งตัว
"ทุกคนหนีก่อน​ พี่หิ่งห้อยพาเสด็จตากับเสด็จยายหนีไปก่อนเถอะ​จะ ทางนี้น้องจัดการต่อเอง"คนที่ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีที่หลบได้แบบฉิวเฉียดรีบบอกให้คนอื่นหนีไปแล้วตนจะได้สู้กันแค่สองคนพอ
" พระเจ้าค่ะพระโอรส​ องค์​เหนือ​หัว​พระมเหสี​พระเจ้าค่ะไปกันเถอะพระเจ้าค่ะ" ว่าแล้วทั้งสองจึงขึ้นเจ้าแมลงยักษ์​ไปที่ปลอดภัยก่อน​
" สู้เขานะพระโอรส"เจ้าตุ้บเท่งที่ไม่ยอมไปไหนได้เฝ้ารอดูพลังสิ่งวิเศษชิ้นใหม่พร้อมให้กำลังใจ
"หนูบัวยังไม่ไปอีกเหรอ" ตาหวานถามเมื่อจะพาไปหลบก่อนส่วนตนจะกลับมาช่วย
" ไม่จะ​ บัวไม่ไป​ ถ้าพระโอรสภูมินทร์​เป็นอะไรขึ้นมา​จะทำยังไง" เธอจะคอยช่วยดูสถานการณ์​ ถ้าไม่ดีจริงๆเธอก็พอจะช่วยต่อรองกับบดิศรได้บ้าง
บดิศรพุ่งหมัดซ้ายตรงไปยังใบหน้าของอีกฝ่ายพร้อมกับก้าวเท้าซ้ายสืบไปข้างหน้า​ ภูมินทร์​ที่เป็นฝ่ายรับรีบก้าวเท้าซ้ายสืบเท้าเข้าหาตัวฝ่ายรุกตรงหน้า แขนขวาปัดแขนซ้ายบดิศรให้พ้นจากตัวแล้วใช้ช่องว่างยกเท้าขวาเตะกราดบริเวณชายโครงของอีกฝ่าย​ บดิศรไหวตัวรีบผลักตัวถอยเท้าซ้ายไปข้างหลัง ราวกึ่งซ้ายย่อตัวใช้ศอกขวาถองที่ขาขวาท่อนบนของฝ่ายรุกตน​ ดีที่ภูมินทร์​มีความไหวตัวพอกันจึงหลบหลีกได้ทัน​ ตอนนั้นนั่นเองบดิศรจึงใช้พลังจากเกราะเหล็กเข้าโจมตี​ภูมินทร์​ แล้วเขาจึงตอบกลับโดยการใช้พลังจากเกราะกายสิทธิ์​เช่นเดียวกัน​ ตอนนี้พลังทั้งสองปะทะกันอยู่ตรงกลางในระยะทางที่เท่ากัน
"เราว่าพวกเราคุยกันดีๆได้นะบดิศร" พระโอรสวันพฤหัสบ​ดี​คิดจะเจรจาอีกครั้งในการต่อสู้
"ไม่ต้องพูดแล้ว" เขาเพิ่มพลังมากขึ้นจนพลังของเขาสามารถ​ดันไปยังฝ่ายตรงข้ามได้มากกว่าพลังของอีกฝ่าย​ อีกฝ่ายเห็นท่าไม่ดีจึงได้เพิ่มพลังไป​ ตอนนี้พลังทั้งคู่ผลัดกันดันพลังของอีกฝ่ายไปมาแต่ไม่มีทีท่าว่าจะถึงตัวอีกฝ่ายสักที
"อย่าออมมือ!! "  บดิศรเขาใช้พลังเกินขีดจำกัดที่ร่างกายจะรับไหวเข้าจู่โจมภูมินทร์​ อีกคนไม่มีทางเลือกจึงต้องใช้พลังขั้นสุดกับเขาด้วยความจำเป็นที่ต้องปกป้องร่างกายไว้  เมื่อพลังปะทะกันรุนแรงอาคารสถานท้องพระโรงจึงพังทลายลงมา​ พวกที่ดูอยู่จึงพาบัวแย้มออกมาจากที่นั่นก่อนจะถูกถล่มทับ​ สองคนที่สู้กันนั้นแม้จะมีสิ่งก่อสร้างถล่มลงมาก็ทำอันตรายไม่ได้เพราะพลังที่มหาศาลนั้น​ ไม่นานนักทั้งสองก็ต้องผละออกจากกันเพราะถึงจะไม่ถูกพลังทำลายตรงๆแต่เมื่อใช้พลังปะทะกันนานเข้ามีแต่จะทำให้ช้ำใน​ เมื่อผละออกจากกันได้แล้วทั้งคู่อาการมิสู้ดีเลย
"พระโอรสพระเจ้าค่ะ​ เจ้าตุ้บเท่งมาพยุงพระโอรสสิเร็วเข้า" ตาหวานเข้าดูภูมินทร์ทันทีพร้อมกับสั่งให้เจ้าตัวประหลาดช่วยพยุงตัวคนที่เขาติดตาม
"พระโอรสภูมินทร์ทรงเป็นอย่างไรบ้างเพคะ​" บัวเข้าไปดูอาการด้วยคน
"เราไม่เป็นอะไรมาก​ แต่บดิศรล่ะ" เจ้าตัวตอบขณะที่เลือดก็ทะลักมาจากปาก​ ถึงตัวจะเจ็บแต่ยังห่วงน้องต่างแม่อยู่ดี  บัวจึงเข้าไปดูและประคองให้
" พระโอรสบดิศรเพคะ​ ทรงเป็นอย่างไรบ้างเพคะ" เธอถามอาการ​ เขานึกว่าจะไม่มีใครใครสนใจเสียแล้ว
" บัว.. เรา.." ไม่ทันจบประโยคปัจจาได้รีบเข้ามาแย่งนำร่างของบดิศรหายตัวไปในทันที
"ไปแล้ว!!" บัวแย้มตกใจจึงได้พูดขึ้น
"เกราะกายสิทธิ์​มีรอยร้าว​ ฮือดูดูมันทำสิ!!" เสียงตกใจอีกคนดังกว่าทันทีที่เจ้าสุดหล่อเห็นรอยขีดร้าวบนเกราะขีดเดียวก็เหมือนใจจะแตกสลาย
"บัวว่าอย่าช้าเลยดีกว่าจะ​ รีบพาพระโอรสไปยังห้องพระโอสถก่อน​ เผื่อจะช่วยได้บ้าง​ ปล่อยไว้อย่างนี้ไม่ดีแน่​ ส่วนเกราะกายสิทธิ์​ค่อยหาทางแก้เถอะนะสุดหล่อ"เธอออกความเห็น​ ชีวิตคนก็สำคัญเจ้าตุ้บเท่งมิได้ใจไม้ไส้ระกำขนาดนั้นจึงตัดสินใจแบกพระโอรสวันพฤหัสบ​ดีไปหาทางรักษาต่อไป
...
" ที่ท่านแม่ต้องตายเปล่าก็เป็นเพราะพวกเจ้า​ อย่างนี้แล้วข้าจะฆ่าพวกเจ้าเสียบัดนี้" อัคนินที่คิดอยู่นานตัดสินใจหยิบสังวาลย์​ศิลาหมายจะสังหารผู้เป็นเหตุให้มารดาต้องถึงแก่ความตาย
"องค์เหนือหัวเสด็จพระเจ้าค่ะ" มหาดเล็กเข้ามาทูลบอก​ ไม่ทันจะทำอะไรเข้ามาเสียแล้วเจ้าหนึ่งในตัวสาเหตุนี่
" พวกเจ้าออกไปก่อน" ทันทีที่พระราชาเข้ามาได้จึงให้เหล่าบริวารทั้งหมดออกไปเสียจะได้ไม่รบกวนเรื่องส่วนตัว
"อัคนินลูกยังเสียใจอยู่อีกเหรอ​ แล้วสังวาลย์​หินนี่จะไปทำอะไรน่ะ" เขาถามด้วยความเป็นห่วงและประหลาดใจที่อยู่ๆก็ได้เห็นอัคนินคว้าสังวาลยังกะจะไปฆ่าใครได้
"ปล่าวหรอกพระเจ้าค่ะ​ ลูกก็แค่ดูของต่างหน้าเสด็จแม่"
"ของพระเทวาน่ะสิ"  เขาหน้าถอดสีเมื่อได้ยินคำคนที่ชื่อว่าพระบิดาที่รู้เท่าทัน
" อัคนิน  นี่แม่เองลูก"เขาเปลี่ยนจากท่าทีจริงจังมายิ้มอย่างสบายใจ
"ท่านแม่​ ลูกตกใจหมดเลย" เขาขวัญเสียไปทีแล้วหนา
"แม่ขอโทษที่ไม่ได้บอกลูกตั้งแต่แรก​ แม่อยากรู้ว่าจะสามารถเล่นเป็นองค์เหนือหัวได้ดีจนไม่มีใครผิดสังเกตหรือป่าว"
"แล้วพระวิญญาณ​ขององค์​เหนือหัวล่ะท่านแม่"
" ก็บรรทมน่ะสิ​ เรากำลังจะได้ทุกสิ่งอย่างแล้ว​ แม่ขอเจ้าวันนี้วันเดียว แล้วพรุ่งนี้แม่จะให้เจ้าใช้สังวาลย์​กำจัดมันโดยไม่ผิดใจคนอื่น" เธอยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
" ทำไมหรือจ๊ะ​ ลูกอยากจะฆ่าพวกมันจะแย่" เขาร้อนใจยิ่งนัก
"เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ได้ฆ่า​ การที่จะได้คนมาทั้งหมดมากกว่าจากหยิบมือมันต้องซื้อใจให้เจ้า ให้พวกนั้นเข้าข้างเจ้า​ ถึงเวลานั้นเจ้าสับมันให้เป็นชิ้นๆ​ พวกนั้นก็จะเห็นดีเห็นงามด้วย" ว่าแล้วถึงจึงเล่าแผนที่เตรียมมาต่อไป
...
" เรารอได้​ เรื่องใหญ่เช่นนี้องค์เหนือหัวคงไม่อาจละเว้นได้"อัญญานีกล่าว​
" เราขอบใจที่เข้าใจ​ เราเห็นท่านพยายามใช้ธำมรงค์​แก้วศุภรมาสักพักแล้ว​ มีปัญหา​อันใดกัน"จินดาที่มองดูพฤติกรรม​มาก่อนหน้าจึงถามเพื่อจะได้ช่วยแก้ไข
"แต่ก่อนแหวนวงนี้น่ะพาเราหนีได้​ ใช้พลังได้​แต่ตอนถูกจับใช้ไม่ได้เลย​ จันทราภาเคยบอกว่าหากจิตไม่มั่นคงพอจะไม่สามารถใช้พลังจากวัตถุที่สวมใส่ได้​ แต่เราลองทำใจให้มั่นคงแล้วก็ยังใช้ไม่ได้อยู่ดี"เธอกล่าวให้ฟังหวังจะได้รับการแนะนำจากผู้สวมใส่สิ่งวิเศษ
"เราว่าลึกๆแล้วท่านยังคิดมากอยู่​ คนเราต้องจะระเบียบความคิดกันตลอดเวลา​ เราว่าการทำสมาธิจะช่วยท่านได้" เธอพูดจากประสบการณ์
" ให้เรานั่งสมาธิอย่างเดียวมันจะดีเหรอ"
" ทำสมาธิไม่จำเป็นต้องนั่งทำอย่างเดียว  อริยาบถใดก็ได้เพื่อที่จะฝึก​ให้ใจมีความมั่นคง​ แบบใดถนัดท่านก็สามารถทำได้" เธอแนะนำ​ อีกคนจึงทำตามพร้อมหาวิธีทำสมาธิในแบบของตนเองพร้อมกับฝึกใช้แหวนเรื่อยๆเพื่อที่จะทำตามความปรารถนาของตนดังเดิม
....
"​พระมเหสีทอดพระเนตรเห็น​ท้าวพีรเชษฐ์​หรือไม่"นรราชเดินเข้ามาถามในสวนพฤกษศาสตร์​เป็นการส่วนพระองค์​ ขณะที่พระนางอยู่ตามลำพังเพราะให้นางบริวารแยกย้ายกันหาเก็บดอกไม้ไปร้อยพวงมาลัย
" พระองค์คงจะอยู่ที่ลานฝึกอาวุธของพวกทหารกระมังเพคะ" นางจำตอบอีกฝ่ายแม้จะไม่เต็มใจ
"เราขอบพระทัยท่าน​ เพื่อเห็นแก่ไมตรีของเรา​ โปรดรับบุปผานี้เถิด" เขายกดอกไม้ให้​ ท่าทีมันออกชัดว่าเขานั้นออกจะชอบพออยู่
"ขอบพระทัยเพคะ" นางกะจะรับดอกไม้เสียให้จบๆไปจะได้ไปที่อื่น​ แต่ว่ามืออีกคนก็ก้าวก่ายเป็นปลาหมึกเลยนี่สิ
" ทำอะไรกันอยู่น่ะ" ท้าวพีรเชษฐ์​เสด็จพอดีได้เห็นภาพคนสองคนจับไม้จับมือกันก็สงสัย
" พอดีเราให้ดอกไม้กับพระนางแต่ว่าดอกไม้จะตกเลยรับไว้ก็เลยกลายเป็นการผิดพลาดจับมือกันเสีย" โกหกน่าไม่อายตัวเองจงใจแท้ๆ
"ไม่หรอกเพคะ​ พระองค์​คงจะหลงลืมทอดพระเนตรเห็นมือของหม่อมฉันเป็นดอกไม้เสียมากกว่า" เธอพูดเสียเป็นเชิงว่าอีกคงน่ะจงใจ
"พอเถอะสไบทอง" เขากล่าวกับชายาแล้วจึงจะคุยธุระกับสหายต่างเมืองต่อ
" หม่อมฉันทูลลาเพคะ"ว่าแล้วตนก็ไปในทันที
ทั้งสองเดินทางคุยกันอยู่มินานก็เกือบจะถึงตำหนักที่ดูจะไม่มีคนอยู่แล้ว
" นี่ตำหนักใครกัน​หรือ​ ทำไมเหมือนไม่มีใครอยู่เลย"
"ตำหนักพระโอรสบดิศรของเราน่ะ​ แต่ตอนนี้เขาไม่อยู่แล้ว"
"อย่าว่าเรารบกวนท่านเลยนะ​ ช่วยพาเราไปชมจะได้ไหม"
" ได้สิ"  เมื่อทั้งสองที่เดินทางเข้าตำหนักกันตามลำพัง​ อดีตปุโรหิตเฒ่าที่กลายเป็นชายวัยกลางคนได้ใช้ไฟจุดกำยานให้อีกคนสลบ​ไปและเร่งทำพิธีควบคุมอีกฝ่ายให้เป็นพวกของตนในทันที
...
" พระโอรสดีขึ้นหรือยังเพคะ" บัวถามอาการหลังจากที่ให้ยาภูมินทร์ทานแล้ว
" เราดีขึ้นแล้ว  ท่านอย่าห่วงเลย" เขาตอบอีกฝ่าย
"พระโอรสพระเจ้าค่ะ​ พระโอรสบาดเจ็บหรือพระเจ้าค่ะ"
เจ้าหิ่งห้อยยักษ์​บินมาดูสถานการณ์​หลังจากที่นำพระอัยกาและพระอัยกีไปยังที่ปลอดภัย
"น้องไม่เป็นอะไรแล้วจะพี่หิ่งห้อย​ อย่าห่วงเลย" พระโอรสตอบถึงแม้จะยังมีอาการเจ็บอยู่ก็ตาม
"จริงสิพระเจ้าค่ะ​พระโอรส​ พวกเรายังเหลือพืชสังกรณีกับน้ำจากสระอโนดาตอยู่​ น่าจะช่วยพระอาการของพระโอรสให้ดีขึ้นกว่านี้ก็ได้นะพระเจ้าค่ะ" เขากล่าว
"เดี๋ยวพี่ตาหวานจะไปนำมาให้​ แต่เราจะไปเจอกันที่ไหนล่ะ​ ควรจะพาพระโอรสไปพักเสียก่อนนะ" ตาหวานอาสาจะไปนำมาให้​ แต่ก็ต้องการให้พระโอรสอยู่ในที่ที่ปลอดภัย
" ไปเจอกันที่ทิศพายัพของท้องพระโรงนะ​ ที่นั่นน่ะมีพระราชฐานใต้ดิน​อยู่" เมื่อตกลงจึงพากันแยกย้ายและลงยังชั้นใต้ดินทีี่สร้างมาเพื่อรองรับสถานการณ์​ที่จะเกิดขึ้น​และได้ใช้จริงๆก็คือวันนี้
...
"บดิศรเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง" เทพวิษุวัต​กล่าวถามเมื่อปัจจาได้พาตัวมารักษา
" หม่อมฉันรู้สึกเหมือนถูกฉีกร่างตอนที่พลังใช้ถึงขีดสุดพระเจ้าค่ะ​ แต่ว่าฝั่งนั้นก็ยังได้รับบาดเจ็บเหมือนกันพระเจ้าค่ะ​ ตอนที่หม่อมฉันสู้เหมือนการที่มีคนเจ็ดคนมาสู้ด้วยกันเลยพระเจ้าค่ะ​ " เขาตอบพลางให้ข้อมูลแด่พระเทวา
"เราพอจะเข้าใจแล้ว​ เราให้เจ้าพักรักษาตัว​ให้ดีเสียก่อน​ เราจะไปตกลงกับสุริยเทพ​ เมื่อถึงวันที่เกิดสุริยะคราสแล้วนั้น​ จะได้จัดการพวกนั้นได้​ ส่วนเจ้าธานินทร์​นำข่าวไปแจ้งต่ออัคนินว่าอย่าเพิ่งลงมือ​ "เมื่อจบพระบัญชาต่างก็ทำตามกันต่อไป​ ตอนนี้คงต้องให้เจ้าพวกนั้นพักไปก่อนแต่ไม่นานเกินรอจะได้กำจัดพวกนั้นให้สิ้นเสียที

หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ พฤษภาคม 09, 2020, 06:45:00 PM
จักรกรดขออภัยนะคะที่วันนี้อัพเย็นเลยเพราะว่าติดงานพิเศษค่ะ​ เลยจะเปลี่ยนเวลาอัพเป็น
ทุกวันเสาร์​เวลา18.30 น.​ตั้งแต่อาทิตย์​หน้านะคะ​  ขอบคุณผู้อ่านที่เข้ามาสนับสนุนการอ่านเรื่องนี้ของจักรกรดค่ะ

ขอร่วมโปรโมทกลุ่มไลน์​ คนรักละครพื้นบ้าน​ค่ะ​ กลุ่มนี้สามารถเข้าไปคุยเรื่องต่างๆเกี่ยวกับละครพื้นบ้านนะคะ​ ส่วนใหญ่จักรกรดจะอ่านมากกว่าค่ะฮ่าๆ​ สนุกมากค่ะกลุ่มนี้ดีจริงๆ
แล้วเจอกันอาทิตย์​หน้านะคะ​ สวัสดีค่ะ

https://line.me/ti/g2/NOf6IDqiJE_O1oYAkZVHmA?utm_source=invitation&utm_medium=link_copy&utm_campaign=default
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ พฤษภาคม 16, 2020, 06:30:17 PM

"อย่าเพิ่งลงมือ​.. นี่เราเตรียมการมาแล้วจะให้ล้มเลิกได้ยังไงกัน" อัคนินถามขึ้นหลังจากได้ยินคำของธานินทร์​พร้อมกับอาการที่ไม่สบอารมณ์​เสียเท่าใดนัก
"เอาเถอะน่า​ บดิศรตอนนี้ก็บาดเจ็บจากการปะทะกับเจ้าพวกนั้น​ พ​อเกิดสุริยะคราสมาพวกนั้นจะได้แยกกันสู้ไง" เขาหาเหตุผลมาบอกอีกคน
" แยกกันสู้​ หึ!! รวมพลังกันสู้ล่ะสิไม่ว่า"เขาไม่เชื่อเหตุผลนั้นหรอก
"ถ้าพวกเราเก็บข้อมูลอีกสักหน่อยแล้ววางแผนดีๆ​ โอกาสที่พวกนั้นจะแยกกันสู้ก็ไม่ยากหรอกน่า"เขาต้องเกลี้ยกล่อมเสียเพราะไม่อยากให้เสียงาน
" ก็ได้ๆ​ เราจะไม่สู้ตอนนี้​ "เขารับปากแบบปัดๆไป​เพื่อให้อีกคนพอใจในคำตอบ
" งั้นเรากลับก่อน​ ใกล้เพลาแล้วเราจะมาตาม" ว่่าแล้วเขาก็ขึ้นเมฆเหินฟ้ากลับหอชิดดาราทันที
" ใครจะไปเชื่อล่ะ​ คอยดูฝีมือข้าเถอะเหนือชั้นกว่าบดิศรเป็นไหนๆ" เขาจะทำอยู่ดีนั่นล่ะ​ ไม่มีใครห้ามได้แล้ว
.....
" น่าแปลก​ ปกติแล้วพวกอธรรมจะไม่ยอมรามือ​ ทำไมถึงไม่เห็นวี่แววพวกนั้นเลยนะ"ตาหวานพึมพำเมื่อขึ้นไปสำรวจบนพื้นดินแต่กลับไม่พบพวกศัตรูได้แต่ครุ่นคิดตลอดเวลาที่ลงมายังใต้พสุธานี่
"พวกเขาคงจะคิดวางแผนให้รอบคอบกว่านี้น่ะจะพี่ตาหวาน" ภูมินทร์​ที่อาการดีขึ้นกล่าวเมื่อได้ยินเสียงนั้น
" วางแผน​ แผนอะไรหรือพระเจ้าค่ะพระโอรส"หิ่งห้อย​ยักษ์​ถามด้วยสงสัย
"คงจะแผนที่ทำลายเกราะกายสิทธิ์​ด้วยวิธีอื่นน่ะจะพี่หิ่งห้อย​ วิธีนี้น้องมองว่าเสี่ยงชีวิตมากพอสมควร​ ไม่รู้ว่าตอนนี้บดิศรจะเป็นอย่างไรบ้าง"ไม่วายจะห่วงคนที่ขึ้นชื่อตนว่าศัตรูเลยหนา
"ช่างเขาเสียสิ จะไปห่วงทำไม​ เจ้านั้นน่ะทำร้ายพวกหลานนะ​ ฝั่งนั้นน่ะคงไม่คิดถึงว่าเจ้าจะเป็นอย่างไรหรอกหลานตา"ท้าวนวดลกล่าวเชิงเตือนด้วยอารมณ์​ที่ไม่พอใจเล็กน้อยเพราะไม่อยากให้หลานเอาใจไปห่วงคนแบบนั้น
" โธ่​องค์​เหนือ​หัว​ หลานพวกเราเป็นคนมีจิตใจดีนึกถึงผู้อื่นก็ดีแล้วเพคะ" มเหสีอมรินทร์​กล่าวกันแทนหลาน
" ก็เพราะนึกถึงผู้อื่นนั่นล่ะ​เรื่องถึงได้เป็นอย่างนี้​ ถ้าวันนั้นไม่ใจอ่อนปล่อยไปง่ายๆ​ พวกนั้นก็ไม่มีโอกาสกลับมาให้หลานพวกเราบาดเจ็บหรอก" ท้าวเธอพูดตามคิดเห็นจริง​ ถ้าจัดการเสียให้สิ้นจะกลับมาได้อย่างไร
แต่ถึงอย่างนั้นศัตรู​ที่จะกลับมาทำลายน่ะจะกลับเป็นพระเทวาวิษุวัตเสียมากกว่า
เสียงสะอื้นไห้มาเป็นระลอกฟังพลางๆก็ไม่น่ายั่วอารมณ์​หรอกแต่นานเข้าก็ออกจะน่ารำคาญอยู่
" สุดหล่อเป็นอะไร​ ทำไมถึงเอาแต่ร้องไห้ล่ะ​ พระโอรสพระอาการดีขึ้นแล้วนะ" บัวแย้มเข้าไปถามไถ่เจ้าตัวประหลาดนั่นที่กำลังฟูมฟาย
"ก็เกราะ​กายสิทธิ์​น่ะสิ​มีรอยร้าวขีดข่วนน่ะ​สิ​ จะให้ทำหน้าดีใจออกหน้างั้นเหรอ" สิงโตตัวนี้หนิไม่ได้ห่วงคนหรอก​ ห่วงของวิเศษมากกว่า
" ก็เรื่องแค่นี้เองน่า​ คิดมากไปได้"บัวบอกเชิงปลอบใจ
" กลัวจะไม่ใช่แค่นี้น่ะสิ" ภูมินทร์​กล่าวพลางคิดเรื่องนี้ต่อไปเพราะมันไม่ใช่เรื่องดีเลยที่ถูกโจมตีจนเกิดร่องรอยได้
...
วันต่อมาที่เมืองคีรีมาศ​ ข่าวการสืบสวนการสิ้นของพระสนมคลี่คลายหาตัวคนร้ายได้แล้วนั้นเกิดขึ้นมาก่อนการเข้าประชุมที่ท้องพระโรง​ นั่นพอจะให้คนสบายใจได้บ้าง​ ถึงเวลาควรจะออกเดินทางได้เสียที
" หาตัวคนร้ายได้ก็ดีน่ะสิ​ พวกเราจะได้เดินทางไปยังเมืองทิศพล" ศุภลักษณ์​กล่าวขึ้นมาเมื่อรู้ข่าวจากจั๊กแหล่น
"พระโอรสเจ้าขา​ จะเดินทางไปลำพังกับนางไม่ได้นะเจ้าคะ​ ให้จั๊กไปด้วยนะเจ้าคะ​ นะนะ" จั๊กแหลานได้ยินดังนั้นใจก็คิดจะติดตามไปทุกหนแห่ง
"ได้สิ​ น้องจั๊กเรียกพี่ศุก็ได้​จะ ไม่เห็นจะต้องพิธีรีตองเลย"ดูท่าคนนี้น่าจะถูกใจแม่เสือสาวไม่น้อย​ พูดจาเสียงหวานขนาดนี้​
"แล้วองค์เหนือหัวจะพระราชทาน​อนุญาต​หรือ"อัญญานีถามด้วยสงสัย
" ทำไมจะไม่อนุญาตอีกล่ะ​ คนร้ายก็หาได้แล้วนะ​ เตรียมตัวเถอะ​ เราเข้าเฝ้าเสร็จแล้วพวกเราจะรีบไปทันที" เขาพูดแล้วจึงเดินทางไปยังท้องพระโรง
เมื่อท้องพระโรงมีคนมาครบแล้วสีพระพักตร์​ของท้าวธริษตรีเปลี่ยนจากนิ่งเฉยเป็นแข็งกร้าวยิ่งนัก
" เรารู้ว่าใครคือผู้สังหารพระสนมผกากรอง​ จงออกมายอมรับเสียดีๆ​ เราจะลดโทษประหารให้​ ถ้าไม่ยอมรับเราจะสั่งทรมานแล้วประหารเสียอย่าให้รกแผ่นดิน" คำพูดครานี้ดูรุนแรงด้วยอารมณ์​เสียมาก  ทรมานคนเหรอ​ ประหารเหรอ​ กษัตริย์​ผู้นี้เคยทำที่ไหนกัน​ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารต่างต้องขวัญเสียเมื่อคำสั่งนี้ดูจริงจังเสียเหลือเกิน​ แต่ไร้วี่แววที่ใครจะยอมรับเลย
" ศุภลักษณ์!! เจ้ารู้หรือไม่ว่าในบรรดาพี่น้องพวกเจ้าน่ะมีคนกระทำความผิดแล้วปกปิดเอาไว้" เขาเปรยมาเช่นนี้สายตาทั้งหมดจึงจับจ้องไปที่พระโอรสทันที
"ไม่นะพระเจ้าค่ะ​ ไม่มีใครที่ไหนจะปองร้ายใครอีกคนด้วยวิธีสกปรกเช่นนี้ได้​" เขามองไปยังพระโอรสอีกคนหนึ่ง​ นี่มันไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว
" งั้นรึ  แล้วสร้อยที่เราจะประทานให้พวกเจ้าทำไมถึงมาอยู่ที่ห้องบรรทมพระสนมได้ล่ะ" เขาสุดแสนจะชิงชังลูกคนนี้เสียจริง
"สร้อยนั่นหายไปตอนจันทลักษณ์​ไปประพาสป่ากับพระราชทูต​แห่งศาศวัตบุรีนะพระเจ้าค่ะ​ อีกอย่างแค่สร้อยเส้นเดียวจะไปตัดสินอะไรได้กัน​ ถ้าหากเป็นของอัคนินเขาก็น่าสงสัยด้วย" เขาก็พูดถูกเกี่ยวกับสร้อยนั่น​ เพียงตกที่เกิดเหตุใครก็เป็นฆาตรกรได้แล้วหรือ
"ไม่ต้องมาอ้าง​ ในยามวิกาลเพชรราหูที่เป็นชายเข้าตำหนักสตรีได้เช่นนั้นรึ​ พวกเจ้าเป็นพี่น้องร่างเดียวกันก็ต้องรับผิดร่วมกัน​ เรามอบอำนาจการลงทัณฑ์​ให้กับอัคนินจัดการทรมานและประหารเจ้าซะ"  คำพูดนั้นพอจะทำให้อีกคนตกใจอยู่บ้าง​ แต่ก่อนจะคิดอะไรมากไปกว่านี้ตอนนี้หาทางหนีจะเหมาะกว่า​ เขาจึงชูสังวาลย์​มณีส่องแสงแสบตาทั้งท้องพระโรงแล้วเร่งรีบไปพาตัวอัญญานีหนีทันที
" รีบไปเร็วเข้า!! "เขาคว้าข้อมือเธอรีบพาหนีไปพร้อมกับจั๊กแหล่น​ ก่อนแสงอันจ้านั้นจะหมดไป
"เกิดอะไรขึ้น" คนที่ถูกจูงมือวิ่ง​ เมื่อถึงชายป่าแล้วจึงถามอีกคนที่เร่งรีบเช่นนี้
"พวกเราถูกใส่ความเรื่องสังหารพระสนมน่ะสิ" เขามีเสียงหอบเหนื่อยปะปนเล็กน้อย​
"จั๊กว่าหาที่ซ่อนก่อนดีกว่านะเจ้าคะ​ ถ้าเจ้้านั่นตามมาจะไม่ทันการ" จั๊กแหล่นออกความเห็น​ แต่นั่นกลับไม่ทันเสียแล้ว
"กล้าดียังไงหนีการลงทัณฑ์​ เจ้าทำให้มารดาของข้าต้องมาตาย​ เจ้าก็อย่าอยู่ดีเลย​ ตายซะเถอะ!! "อัคนินที่ตามมาทันว่าแล้วจึงใช้พลังจากสังวาลย์​ศิลาพุ่งโจมตีศุภลักษณ์​ แต่โชคร้ายที่อีกฝ่ายหลบทัน
" แม่เจ้าทำตัวเองล่ะสิ​ ยอมลงทุนฆ่าตัวตายถวายลูก​ ให้ได้ทำเรื่องงี่เง่าแบบนี้"เขาเข้าใจแบบนั้นก็พูดไปแต่มันก็ตรงความจริงอยู่นา
" อย่าพูดมาก​ รับไปซะ!! "แล้วจึงชูสังวาลย์​ปล่อยพลังใส่ศุภลักษณ์​แต่ทว่าเขาก็ไหวตัวใช้พลังสังวาลย์​ของตนตั้งรับได้ทัน
"ข้าจะไม่ทำให้เจ้าตายตอนนี้หรอกไอ้ลูกนอกไส้​ เจ้าจะต้องเจ็บทรมานก่อนถึงจะสาสม"เขาเพิ่มพลังที่ใช้มากขึ้นเรื่อยๆแสงพลังเริ่มเข้าใกล้คู่ต่อสู้​
" มีแรงเท่าไหร่ก็ใส่มาให้เต็มที่เลยสิ​ อยากจะรู้นักว่าคนอย่างเจ้าจะเก่งอย่างที่ปากพูดรึปล่าว" เขาเพิ่มพลังเข้าไปอีกมันก็พอจะสูสีกันอยู่ตรงกลาง
" เก็บปากไว้ขอร้องข้าเถอะ!! "โดนยั่วโมโหขนาดนี้มีหรือจะยอมได้​ เขาใช้พลังเกินขีดจำกัดตัว​เอง​จนเกือบชนะอยู่แล้วถ้าอีกฝั่งไม่ใช้พลังขั้นสุดเสียก่อน​ เวลาผ่านไปประวัติซ้ำรอยทั้งคู่ช้ำในมากจึงต้องผละจากกัน​ คนที่เฝ้ามองเหตุการณ์​อยู่จึงเข้าไปดูอาการของศุภลักษณ์​ทันที​ ปรากฏ​เลือดกบปากเสียมากท่าไม่ดีเอาเสียเลย
"แน่นักสิ เหอะก็แค่.." อัคนินตั้งใจจะเย้ยสักหน่อยแต่ดันกระอักเลือดเสียนี่แน่นักล่ะสินะ
"เหอะก็ไม่ต่างกันล่ะว้า" ศุภลักษณ์​ตอบกลับเสียอีกคนอารมณ์​ขึ้น
"อยากลองดีนักใช่มั้ย" เขาตะเกียกตะกายขึ้นมาแต่ธานินทร์​เข้ามาพาหายไปเสียก่อน
"แล้วจะทำ​ ทำยังไงดีเจ้าคะ​ พี่ศุระบมแย่เลย"จั๊กแหล่นที่เป็นห่วงก็เริ่มฟูมฟาย
"เอาอย่างนี้​ เราไปเมืองทิศพลกันจะได้มีที่หลบที่ปลอดภัย"อัญญานีว่าแล้วจึงใช้ธำมรงค์แก้วศุภรไปยังเมืองทิศพลในทันทีดั่งใจปรารถนา
..
(จะอัพเพิ่มตอนดึกๆนะคะ​ พอดีวันนี้ทำโอทีค่ะ)​

หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ พฤษภาคม 16, 2020, 11:57:27 PM
.....​
"บดิศรต้องได้เกราะเหล็กนั่นมาจากเทพวิษุวัตแน่"ประกายพฤกษ์กล่าวขึ้นเมื่อได้ยินคำบอกเล่าของหิ่งห้อยในเหตุการณ์เมื่อวานนี้ก็ตัดสินใจรู้ได้ทันที
" น่าจะเป็นอย่างนั้นเพคะ"บัวแย้มที่ฟังความมาก็สรุปแบบเดียวกัน
"น่าแปลกที่ป่านนี้แล้วพวกนั้นยังไม่มีทีท่าว่าจะมาเลยสักนิด​คงจะคิดแผนอะไรไว้้​  แต่ก็ต้องไปดูอีกสักรอบ​ เมื่อแน่ใจแล้วจะได้เชิญเสด็จประทับดังเดิม" ว่าแล้วเจ้าตัวก็ขึ้นจากชั้นใต้ดินมาสำรวจด้านบนพร้อมๆบัวกับบริวารสนิทที่เหลืิอ
"ดูท่าเจ้าพวกนั้นคงทิ้งระยะห่างของวันไว้ก่อนน่ะสิ​ ดีล่ะจะได้เชิญเสด็จพระอัยกาและพระอัยกีประทับตามปกติสุขดังเดิม​ ส่วนท้องพระโรงใช้ที่อื่นไปก่อน"เธอสำรวจไม่พบวี่แววของศัตรูก็น่าจะเบาใจได้ไม่น้อยเลย  จู่ๆเสียงคนร้องเรียกหาดังมาจากท้องพระโรงที่ถูกทำลายไป
"พระธิดาเพคะ​ มีคนมา ดูท่าว่าจะมาขอความช่วยเหลือนะเพคะ"บัวแย้มกล่าวเมื่อได้ยินเสียงนั้น
" พระธิดาพระเจ้าค่ะ​ พี่หิ่งห้อยว่าพวกเราควรไปดูกันเถอะพระเจ้าค่ะ" เจ้าแมลงยักษ์เสนอมา
"พี่ตาหวานว่านะ​ ทุกๆคนถึงอยากจะช่วยเหลือใครต้องนะวังตัวไว้ก่อน​ บางทีอาจจะเป็นกลลวงของฝ่ายตรงข้ามก็ได้"ผีโครงกระดูกถือใบบัวเตือนไป​ ทั้งหมดจึงไปยังต้นกำเนิดเสียงนั้นพบ​คนเจ็บที่หนุนตักหญิงหน้าประหลาดเหมือนเจ้าสุดหล่อ​ กับหญิงสาวอีกคนที่พยายามหาผู้คนในวังราวกับว่าต่างทิ้งวังร้างเสียแล้ว
" พระธิดาอัญญานี... เกิดอะไรขึ้นเพคะ"บัวเรียกอีกคนทันทีที่เห็นหน้า​ ใจน่ะอยากจะทักทายแต่ต้องห่วงคนบาดเจ็บด้วยสิ
"ดูท่าอาการไม่ดีเลย​ รีบพาไปรักษาก่อนดีกว่า" ประกายพฤกษ์ออกความเห็นแล้วเจ้าตุ้บเท่งก็พาคนเจ็บขึ้นขี่หลังไปทำการ​รักษา​ ซึ่งก็ได้ใช้วิธีเดียวกันกับภูมินทร์​ แล้วนี่จะเป็นยาชุดสุดท้ายที่นำมาแล้วด้วย​ ดีที่ยังเหลือไม่งั้นคงต้องลำบากไปหามาใหม่​ อาการจึงดีขึ้นตามลำดับ
"แสดงว่าพี่น้องของเจ้าก็เข้าพวกกับเทพวิษุวัตสินะ" ประกายพฤกษ์ฟังคำเล่าก็กล่าวออกมา
"เราก็ว่าอย่างนั้นล่ะ​" ศุภลักษณ์​พูดตามที่รู้ที่เก็บข้อมูลมา
"แล้วองค์​เหนือ​หัว​พระพิโรธได้ถึงเพียงนี้เลยหรือเพคะ" บัวแย้มที่ฟังเหตุการณ์​ก็นึกสงสัยขึ้นมา
"เสด็จพ่อน่ะไม่เหมือนเดิม​ เหมือนเป็นคนละคนในร่างเดิม​ เราว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่แต่เรายังสรุปไม่ได้ว่าอะไร"เขาตอบก็พลางเสียงดูเหนื่อยอ่ออนเล็กน้อย
"ควรให้พักผ่อนก่อนดีกว่า​ ไว้ถึงยามจะมาอีกที"อัญญานีเสนอแนวคิดแล้วทั้งหมดจึงออกไปปล่อยให้เขาพักตามลำพัง
" ไม่เข้าใจเล้ยไม่เข้าใจจริ๊งๆ​ ของรักของข้าทั้งสองต้องมีรอยร้าวของเจ้าพวกนั้นด้วยนะ​ น่าโมโหนัก" เจ้าตัวประหลาดที่เคยฟูมฟายก็เปลี่ยนแปรเป็นโมโหที่พวกนั้นทำ​ จะมากไปแล้วนะ
" ของรักอะไร๊  ของวิเศษนี่อีกล่ะสิ​ นิสัยเดิมแก้ไม่หาย" จั๊กแหล่นมาทักทายเสมือนรู้จักกันมานานแล้ว
" นางจั๊ก!! ของวิเศษข้าก็ต้องรักและถนอมน่ะสิ​ ก็เหมือนกับเจ้าล่ะว้าที่รักพวกชายชาตรีถึงได้แจ้นมากับพระโอรสศุภลักษณ์​ได้น่ะห๊ะ​ ข้าบอกให้น่าเขาไม่สนใจเจ้าหรอก" ไม่ยอมแพ้หรอกนะ​ โอรสองค์นี้ดีกับตนมากซะด้วย​ เสือสาวจะหยิบฉวยเข้าของตนไม่ได้เด็ดขาด
"อ.. ไอ้ตุ้บเท่งไม่ได้เจอกันนานชักเอาใหญ่แล้วนะเอ็ง"ว่าแล้วจั๊กแหล่นก็เข้าตีกับสุดหล่อทันที​ ก่อนที่จะทะเลาะกันมากกว่านี้เจ้าผีตาหวานกับหิ่งห้อยก็ช่วยกันใช้น้ำสาดแยกมวยคู่นี้เสีย
"พวกเอ็งนี่เหมือนลูกแมวตกน้ำเลยว่ะ​ ทะเลาะอีกจะสาดน้ำให้เป็นฝนเลยนะึอยดู" ตาหวานพูดแบบนั้นก็ต้องหยุดไว้ตีรอบนอกเถอะจะเอาให้สาสม
...
"ทำไมเตือนแล้วไม่จำล่ะ​ ดูสิเจ็บตัวลำบากพามาไหมล่ะห๊ะ" ธานินทร์​พาอัคนินมารักษาด้วยความไม่สบอารมณ์
"โอ๊ย​ ก็ข้าวางแผนมาเป็นคืนๆเลยนะจะยุติได้ยังไง"เถียงมิตกฟากเลยนะตั้งแต่กลับมาจากเหตุการณ์​เสี่ยงตายนี่น่ะ
" ก็นิสัยดื้อด้านเจ้านั่นล่ะทำเดือดร้อน​ ตัวอย่างมีให้ดูไม่ดู" เขาตอบกลับอีกคน
" พอเถอะ​ ตอนนี้ก็รู้แล้วนะว่าการใช้พลังเกินตัวน่ะเป็นยังไงทั้งสองคน" ปัจจาได้ยินก็เข้ามาพูด
" มันพลาดก็พลาดไป​ แต่คราวนี้ต้องวางแผนให้ดี ต้องเก็บข้อมูลให้มากๆแล้วล่ะ​ จะได้สู้กับพวกนั้นได้"บดิศรออกความเห็น
" เริ่มจากพวกเจ้านั่นล่ะ​ เรื่องราวพื้นฐานเราจำเป็นต้องรู้​ ระหว่างที่พวกเจ้าพักอยู่เรากับธานินทร์​จะหาข้อมูลทักษะการสู้อย่างน้อยก็ก่อนสุริยะคราสในพุธที่จะถึงนี้"ปัจจากล่าวแล้วจึงออกไปธานินทร์​ยังสงสัยใน​หน้าที่จึงตามไปสอบถาม​ ทิ้งคนเจ็บทั้งสองให้อยู่กันตามลำพัง
" ไงล่ะเก่งนักหนามานอนทำไมที่นี่"อัคนินเปิดฉากอยากแหนบแนมอีกฝ่าย
" เราไม่เคยบอกว่าเก่งไม่เก่ง​ แต่เจ้าน่ะก็ไม่ต่างกันนัก​ อย่ามาชวนตี​มันไม่ใช่เพลา​ พักไป"ว่าแล้วบดิศรก็นอนหันหลังให้อีกคนเพื่อพักผ่อนเอาแรงจะได้คิดหาวิธีต่อสู้ต่อไป
....
"น้ำชันโรงที่เก็บไว้พระอัยกีให้เรานำมามอบให้เจ้า จะได้อาการดีมากยิ่งขึ้น" ประกายพฤกษ์ส่งน้ำหวานจากแมลงนี้ให้กับมือ
" เรา.. ขอบใจมากนะประกายพฤกษ์​ ไม่ได้เจอกันนานเจออีกทีก็เจ็บอย่างนี้อีก" ศุภลักษณ์​รับน้ำหวานมาแต่สายตาดูอ้อนเหมือนลูกแมวไหนจะมือที่บอนมาจับมืออีกคนอีกล่ะ
" เจ็บยังขนาดนี้นะ​ ไม่เจ็บจะขนาดไหน"เธอปัดมือส่งไปเพราะเข้าใจในท่าทีอีกคนอยู่
"โอ๊ย​ เจ็บนะเจ็บ" ลูกไม้นี้อยากใช้ก็ใช้แต่นั่นล่ะพอจะเรียกความสนใจอีกคนได้บ้าง
" เจ็บมากเลยเหรอศุภลักษณ์" น้ำเสียงเปลี่ยนไปนุ่มนวลเสียคนที่แกล้งเผลอเคลิ้มไป
"เจ็บมากนักเราจะสงเคราะห์​ให้​ จะได้ไม่ต้องมาแกล้งสำออยอีก" หวาแต่ท่าทีเปลี่ยนกลับมาเร็ว​ ถึงจะเจ็บก็เถอะนะแต่ว่ามาทำแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนกันสำหรับคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกในรอบสิบปี
" พระโอรสตื่นจากพระบรรทมหรือยังเพคะ" เสียงเคาะประตูดังขึ้นมาก็พอจะรู้ว่าเป็นใคร
"บัว​เข้ามาสิ​ พี่ตื่นอยู่"จงใจเน้นหนักว่าพี่คล้ายจะลองใจอีกคนที่อยู่ด้วยกัน
"พระโอรสอย่าแทนพระองค์ว่าพี่เลยนะเพคะ​ บางคนฟังแล้วแล้วจะไม่งามได้" ไม่งามอย่างแรกก็คือไม่ใช่ราชวงศ์​จะนับญาติได้อย่างไร​ ไม่งามสองคือดูสองความหมายไป​ เพราะคำว่าพี่ในผู้ชายยังเสมือนแทนสรรพนาม​คนรักอีกด้วย
" ได้ๆ​ พี่.. เราทำได้ทุกอย่างเพื่อบัวเลยนะ" เขาก็ไม่วายทำตัวคล้ายเจ้าชู้อย่างนั้น​ ไม่ชอบเท่าใดปลีกตัวดีกว่า
" เรากลับตำหนักก่อนดีกว่า​ พวกเจ้าไม่ได้เจอกันนานก็คุยกันตามสบายนะ​ เราไปล่ะ" ไม่รอให้ใครรั้งรีบไปทันที​ ในใจศุภลักษณ์​ยอมรับว่าน่ารักพอๆหรืออาจจะมากว่ากับสตรีที่เคยพบจึงเย้าเล่นมิคิดว่าจะต่างจากผู้หญิงที่เขาเคยหยอกขนาดนี้​ ไม่ใช่ความสัมพันธ์​แบบพี่น้องเสียด้วยสิ​ น่าสนใจไม่น้อยเลย
" ทรงเล่นแบบนี้แล้วหรือเพคะ"บัวแย้มมองออกจึงได้ถาม
"ก็เล่นล่ะ​ไม่นานคงเอาจริง​.. บัวรู้ไหมว่าพวกเราคิดถึงบัวมากเลยนะ​ ถ้าไม่ติดต้องเรียนวิชาล่ะก็จะตามหาให้พบ​ แต่นั่นล่ะต้องยอมรับอัคนินให้ได้ถึงจะมีพี่น้องอีก​ แย่เลย.. " เขาเจื้อยแจ้วดี​ ชวนคุยสัพเพเหระกับคนที่รักเหมือนน้องสาวได้ไม่มีตกหล่น​  หวังว่านี่คงจะเป็นสัญญาณดีที่จะเริ่มต้นใหม่หลังการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมได้ต่อไป
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ พฤษภาคม 23, 2020, 06:31:24 PM
ขณะเดียวกันนั้นเอง​ รัตนบุรีจะต้องเจอเรื่องไม่เป็นเรื่องจากพระราชาที่ถูกควบคุมเสียแล้ว
"องค์​เหนือหัวจะยกหม่อมฉันให้เป็นชายากษัตริย์​นรราชหรือเพคะ!!" สไบทองร้องทวนคำตรัสของพระสวามีด้วยความตกใจท่ามกลางผู้คนในท้องพระโรง
"ใช่​ เพื่อนรักของเราปองเจ้าด้วยใจจริง​ ในฐานะสหายกันเราจะต้องช่วยส่งเสริมสหายให้ถึงที่สุด" ท้าวเธอช่างกล้าพูดแบบนี้ได้​ ช่างเป็นเรื่องน่าอายเสียหายสำหรับพระมเหสีนัก
" ทุกคนออกไปให้หมด​ ฝ่าบาทประชวร​ มิพร้อมประชุมชุมนุมคนอีกต่อไป" เธอตัดสินใจให้คนออกไปเสีย​ ถ้าขืนราชายังพูดจาน่าอายแบบนี้ต่อไป​ คนในเมืองจะคิดยังไง​
"เสด็จพี่ตรัสเช่นนี้ออกไปในท้องพระโรงได้อย่างไรเพคะ​ ทรงทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อราชวงศ์​มิได้คิดถึงเลยหรือ​ หรือแม้แต่เกียรติ​ของหม่อมฉัน​ก็ไม่สำคัญแล้วเหรอเพคะ​ แล้วลูกของเราจะเป็นยังไงมิคิดบ้างเลยหรือเพคะ ​ " เธอถามด้วยความโกรธอันเกิดจากความอาย
"อะไรจะสำคัญไปว่านรราชเพื่อนเราอีกล่ะ​ ดีเสียอีกเมื่อเจ้าไปอยู่กับเขาแล้วเจ้าจะสุขสบายหลายเท่า​ ส่วนลูกจะว่าอะไรได้ดีแค่ไหนที่จะมีพ่อคนที่สองน่ะ"ท่าทีวาจาพาโมโห​ มเหสีจึงพลั้งมือตบหน้าไป​อีกคนไป​ ตัวเองก็สืบเชื้อขัตติยา​ แม้อีกฝ่ายจะเป็นราชาแต่ตรัสเช่นนี้คนก็มีน้ำโห ยังดีที่ให้คนออกไปหมดแล้วเรื่องนี้จึงรู้แค่สองคน
" เจ้ากล้ามากนะสไบทองที่ทำร้ายเรา​ โทษของเจ้าจะต้องถูกประหาร​ แต่ว่าเจ้าคือคู่หมายของเพื่อนเรา​ ดีเมื่อเจ้าไม่ยอมก็ต้องขืน​ ไม่ต้องพิธีรีตอง​ คืนนี้เราจะให้เจ้าเป็นชายานรราชทันที​ ทหาร​ นางกำนัล!! พาอดีตพระมเหสีไปประทับที่ตำหนักเก่าของบดิศร​ ห้ามให้ออกมาจนกว่าตะวันของวันพรุ่งจะขึ้น​ ไป!! "  นี่มันอะไรกันแน่นะ​ ทำไมถึงจงใจต้องให้ไปตำหนักนั้นด้วยล่ะ แล้วคืนนี้จะรอดไหมนี่
...
"ประกายพฤกษ์​  เรามีเรื่องจะปรึกษาหน่อยน่ะ"พระโอรสต่างเมืองออกมาจากที่ตำหนักรับรองดูแล้วอาการดีขึ้นมาก
" ปรึกษา​อะไร"ความรู้สึกที่ไม่ไว้ใจอีกคนเดี๋ยวหาเรื่องมาทำชีกอใส่อีกหรอก
"เจ้าว่ามันแปลกมั้ย​ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เทพวิษุวัตน่ะอยากจะครอบครองสิ่งวิเศษที่พวกเราสวมใส่​ แต่ทำไมตอนนี้ถึงได้ส่งคนมาทำลายล่ะ" สีหน้าจริงจังกว่าเดิมมากดูเป็นการเป็นงานให้สบายใจได้
"ก็คงจะเหมือนกับว่าเราไม่ได้ใครก็ต้องไม่ได้ล่ะมั้ง​  แต่จะว่าอย่างนั้นก็ไม่น่าถูกไปซะหมด​ ทำไมถึงใช้สองคนนั้นทั้งๆอาวุธ​ที่ใช้ใครก็น่าสวมใส่ได้" เธอก็เริ่มครุ่นคิดตาม
" คงเป็นเพราะพวกเขามีความแค้นต่อพวกเราถึงได้ใช้งาน​ ไม่ว่าจะไปที่ไหนพวกนั้นก็คงจะตามไปสุดหล้าฟ้าเขียว​ " เขาคิดเช่นนั้นก็พูดไป
" มีความแค้นต่อพวกเรา!! "ทั้งคู่นึกขึ้นได้จึงพูดออกมาพร้อมกัน
" เราก็พอจะรู้ว่าเทพวิษุวัตน่ะพิโรธต่อสุริยะในชาติก่อนที่เอาของพระองค์​มา​ แต่ว่าจะโกรธแค้นพวกเจ้าได้ยังไง" ประกายพฤกษ์​นั้นสงสัยไม่พ้นไปจากนี้นัก
" อดีตชาติคงทำไม่ดีไว้มั้ง แล้วยังช่วยพวกเจ้าด้วย​ แต่เราไม่ได้ว่าอย่างนั้นนะ​" ไม่ได้ตั้งใจพูดเหมือนว่าพวกสหายในเกราะกายสิทธิ์​เป็นต้นเหตุความวุ่นวาย
" เราเข้าใจ​ แต่ยังไงของวิเศษนี่น่ะจะต้องสำคัญมากแน่ๆไม่อย่างนั้นคงไม่คิดจะครอบครองหรือทำลายหรอก" เธอคิดอย่างนั้นมันต้องมีอะไรมากกว่านี้สิน่าไม่ใช่แค่เรื่องฤทธิ์​เดชสิ่งวิเศษอย่างเดียวแล้ว
" เราก็เห็นตามนั้น​ เอาอย่างนี้ตอนนี้น่ะคนที่เกี่ยวข้องกับเทพองค์นี้คงหนีไม่พ้นอัญญานี​ ลองไต่ถามดูก่อน​ รู้เท่าไหนเอาข้อมูลมาค่อยเก็บสะสมไปก่อนแล้วจะได้สืบเสาะหาต่อไป" เมื่อคิดได้แบบนั้นทั้งสองจึงพากันไปพบอัญญานี​ทันที
.....
ตกดึกตติยยามคืนนั้นพระมารดาของเหล่าผู้ใช้เกราะกายสิทธิ์​ต้องพบกับเหตุการณ์​คราเคราะห์​เสียแล้ว​ เสียงขอเข้าเฝ้าดังขึ้นมาเพื่อจะช่วยจัดแจงแต่งพระวรกายให้สง่าสมกับรอเข้าหอ
" ขุนท้าว​มาได้ยังไงกันน่ะ​ องค์เหนือหัวพระราชทานอนุญาต​ให้เข้ามาได้งั้นหรือ" พระนางมองคนสนิทอย่าไม่น่าเชื่อที่พระสวามียังคิดส่งคนมาหาได้
"เพคะ​ องค์​เหนือหัวทรงให้หม่อมฉันมาจัดแจงแต่งพระวรกายเพคะ" ว่าแล้วจึงรีบแต่งกายให้ก่อนเวลาจะหมด​ พร้อมกับส่งสิ่งของให้อย่างลับๆ​ หมดเวลาแล้วทั้งหมดจึงออกไป​ คนใหม่ก็เข้ามา​นั่นคือปุโรหิตในนามนรราชร่างวัยกลางคนนั่นเอง​ ขณะนั้นสไบทองกำลังหันหน้าเข้าหากระจกเพื่อมองคนที่เข้ามาจากด้านหลัง​ แต่ต้องประหลาดใจที่เห็นเป็นหน้าค่าตาปุโรหิตสิระบิดาของสไบแก้วแทนที่จะเป็นใบหน้าของนรราช​ ตกใจก็จริงอยู่แต่ต้องทำเหมือนไม่รู้อะไร​ แล้วดูเหมือนว่าเจ้าสิระเฒ่าก็มิรู้ตัวว่ามีคนเห็นเขาผ่านกระจกแล้ว​ เขาลืมคำเตือนธานินทร์​ว่า​ ถึงหน้าจะเปลี่ยนไปอย่างไร​ก็ต้องระวังการส่องกระจกให้มากเพราะกระจกมันสามารถสะท้อนตัวตนได้​
"สไบทองหันมาทางเราสิ" นรราชเรียกชื่อด้วยสำเนียงเสียงเสน่หา​ นางจึงหันกลับไปพลางใช้มีดในมือจ่อที่คอตนเพื่อต่อรองกับอีกฝ่าย
"นรราชปล่อยเราไปซะ​ ไม่อย่างนั้นเราจะฆ่าตัวตาย" เสียงขู่ก้องทำอีกคนไขว้เขว​ แต่คนอย่างนางจะกล้าทำจริงเหรอ
"เจ้าไม่กล้าทำหรอก​" เขาวางท่าพูดเหมือนรู้ดี
" ใครว่าไม่กล้า" นางใช้มีดกรีดไปที่ข้างสันกรามจนเกิดแผลสร้างความกังวลในความกล้าของนางต่ออีกคนอย่างมาก
"ยอม.. เรายอมแล้ว"เขาทำทีเป็นยอมเพราะกะจะรวบตัวเมื่อเผลอ
"ดี​ เจ้าหันหลังไป" เธอสั่งตาขึงแข็งอีกคนก็ยอมให้อย่างใจเย็น​ เมื่อได้การแล้วพระนางจึงใช้พระฉายที่ตั้งอยู่ฟาดด้านส่องใส่ศีรษะ​ของเขา​ ไม่ทันทีเขาจะหันกลับมาสไบทองก็ใช้มีดปักที่หลังอีกคนพร้อมกับปีนหน้าต่างหนีไปตามที่นัดหมายกับขุนท้าวทันที
....
เสียงพระฉายแตกในห้วงความฝันได้ทำลายการบรรทมในยามแสงอาทิตย์​สาดส่องมาในอีกวันสักพักหนึ่งแล้ว
"เสด็จแม่!!" ศนิวารตื่นจากการหลับไหลในความฝันที่เห็นพระมารดาที่อยู่ในกระจกนั้นแตกไปพร้อมกับกระจก​เนื่องจากแมงป่องยักษ์​ใช้ก้ามของมันทุบเข้าอย่างแรง เหงื่อของเขาไหลพรากไม่อยากจะเชื่อในฝันร้ายนี้เลย
"พระโอรสทรงเป็นอะไรหรือพระเจ้าค่ะ" เจ้าหิ่งห้อยที่ได้ยินเสียงร้องเรียกที่เกิดจากความตกใจเข้ามาหาด้วยความเป็นห่วง
"น้องฝันร้าย.." เขาว่าแล้วจึงเล่าเหตุการณ์​ให้ฟัง
"อย่าทรงเป็นกังวลเลยพระเจ้าค่ะ​ เขาว่าฝันร้ายมักจะกลายเป็นดี... " แมลงยักษ์​พูดปลอบขวัญอีกคนหวังให้ใจสงบลง​ แล้วเล่าเหตุการณ์​ที่ผ่านมาให้ฟัง
" น้องว่าเราไปเข้าเฝ้าพระอัยกากับพระอัยกีกันดีกว่าจะ" ว่าแล้วทั้งคู่จึงเดินทางไปยังตำหนักที่ตั้งมาแทนท้องพระโรงที่เสียไปเป็นการชั่วคราวในทันที
" เท่าที่ฟังตากลัวว่าจะเป็นลางน่ะสิ" ท้าวนวดลที่เป็นห่วงพระธิดาเริ่มจะไม่สบายใจเข้าให้แล้ว
"พระทัยเย็นก่อนนะเพคะ​ บางทีลูกของเราอาจจะไม่เป็นอันตรายถึงขั้นนั้นก็ได้เพคะ" พระมเหสีอมรินทร์​กล่าวปลอบขวัญอีกคนถึงตนจะหวั่นไม่แพ้กัน
"ถ้าอย่างนั้นก็ลองกลับไปยังรัตบุรีก่อนดีไหม จะได้รู้ว่าที่นั่นเกิดอะไรขึ้นกันแน่" เมธาวีเสนอความเห็น​ ไปดูเสียให้รู้จะได้ไม่ต้องกังวล​ หรือจะกังวลกว่าเดิมกันนะ
" เราก็อยากไปอยู่หรอก​ แล้วถ้าทางนี้พวกนั้นย้อนกลับมาอีกล่ะจะทำยังไง​ จะให้ปล่อยทิ้งไว้เหมือนบ้านเมืองเจ้าน่ะเหรอ​" น่าปวดหัวแล้วสิจะไปเมืองนั้นก็ห่วงเมืองนี้
" นี่เจ้า​ เราไม่ได้ทิ้งให้เป็นอันตรายนะ​ อย่างอัคนินน่ะไม่ยอมให้บ้านเมืองที่แย่งสิทธิ์​คนอื่นมาพังทลายง่ายๆหรอก"เขาพูดอย่างนั้นเธอก็เริ่มหงุดหงิด​ คนอุตส่าห์​หวังดีเสนอแนวคิดให้แท้ๆ
" เอาล่ะๆ​ พวกเจ้าไปเถอะ​ ทางนี้เราจะช่วยดูแลให้" อัญญานีที่เห็นท่าไม่ดีจึงได้บอกไป
" ดูแลยังไง" เขาที่อารมณ์​เริ่มจะไม่ดีถามขึ้นมา
" พระธิดาอัญญานีมีธำมรงค์​แก้วศุภรเพคะ"บัวแย้มช่วยพูดอีกแรง
"ใช่​ จินดาสอนเราทำสมาธิตอนนี้สามารถใช้แหวนได้ดั่งใจ​ หากมีอันตราย​เราจะใช้แหวนวงนี้ช่วยทุกคนเอง"เธอก็พูดตามนั้นเพราะน่าจะทำได้ดังใจจริงๆล่ะนะ
"อย่างนั้นก็น่าจะอันตรายพอตัวเหมือนกันถ้าจะช่วยคนครั้งละมากๆนะ"เมธาวีกล่าวเหมือนจะค้าน
" ไปดูเถอะหลานแล้วกลับมาหาตาใหม่ก็ได้​ ระหว่างนี้ก็อยู่ใต้ดินไปก่อน​ ยังไงชีวิตแม่เจ้าก็สำคัญที่สุดแล้ว​ ให้พระธิดาเมธาวีไปเป็นเพื่อนมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน" ท้าวนวดลตัดปัญหาเสียจะได้เดินทาง
"เราจะใช้แหวนนี้ไปส่งนะ​  ถึงเพลาแล้วจะไปรับ"เธอจับมือเมธาวีแล้วเมธาวีก็จับมือศนิวารอฐิษฐาน​ไปส่งยังตำหนักพระบุตรธิดาที่เมืองรัตนบุรีทันที​ อัญญานีจึงลากลับ​ ทั้งสองจึงแยกย้ายกันดูสถานการณ์​เพราะในวังตอนนี้ดูแปลกไปจากเดิม
......
"นั่นพระมเหสีสไบทอง​ รีบไปจับเร็วเข้า"ทหารที่ท้าวพีรเชษฐ์​ใช้ให้มานำตัวสไบทองกลับได้เจอคณะเดินทางหนีเข้าให้แล้ว​ เมื่อพากันหนีเหล่าทหารที่กันก็ดักไว้ก่อนพอจะยื้อเวลาให้พระนางหนีไปได้ไกลแต่ทว่าก็มีทหารนายหนึ่งหลุดมาได้​ ทุกคนจึงหาที่ซ่อน
"พระมเหสีเพคะ​ ทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์​กับหม่อมฉันเถอะเพคะ"นางกำนัลขอเปลี่ยนเสื้อจนอีกคนสงสัยทำไมต้องมาเปลี่ยนตอนคับขันอย่างนี้ด้วย
"จะให้เปลี่ยนตอนนี้เลยเหรอ​ เจ้าคิดจะทำอะไรกัน" เธอทั้งถามทั้งยังต้องระวังทหารที่กำลังตามหาที่ซ่อน
"หม่อมฉันจะล่อทหารคนนั้นไปอีกทางเพคะ​ ไม่อย่างนั้นจะไม่ทันการ​แน่เพคะ"ว่าแล้วจึงรีบเปลี่ยนชุดของกันและกันจึงแยกย้ายไป
"เราขอบใจเจ้ามากระวังตัวด้วย" สไบทองกล่าวก่อนจะไป
" เพคะ​ ขอแค่พระองค์ทรงรอดปลอดภัยหม่อมฉันก็สบายใจแล้วเพคะ" ว่าแล้วจึงแยกออกจากกันในทันที​ ทหารที่ตามมาพบก็วิ่งตามนางกำนัลตัวหลอกล่อทันทีแต่ดันวิ่งพลาดตกเข้ากับกับดักนายพรานจนถึงแก่ความตายใบหน้าที่เกิดบาดแผลก็ดูมิรู้ว่าเป็นใคร​ ทหารจึงอนุมานว่าสไบทองได้สิ้นพระชนม์​เป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงได้พาร่างไร้วิญญาณกลับเมืองเป็นหลักฐาน
...
"ศนิวารกลับมาทำไมไม่บอกพ่อ​" ท้าวพีรเชษฐ์​ที่ออกมาจากด้านหลังได้ถามเขาด้วยสีหน้าจริงจังแต่สังเกตดูแววตาก็ว่างเปล่า
"เสด็จพ่อแล้วเสด็จแม่ล่ะพระเจ้าค่ะ" ถึงจะรู้สึกผิดปกติแต่ก็ยังอยากจะถามอยู่​ พระบิดาตบเข้าที่ใบหน้าลูกยาอย่างจังเมื่อได้ยินคำถามที่ไม่เป็นที่พอใจเท่าใดนัก
"ช่างกล้าพูดถึงนางเพศยานั่นนะ​ เมื่อคืนนี้นางทำร้ายนรราชพระสหายเราแล้วหนีหายไป​ ตอนนี้เรากำลังรอให้นางกลับมาขอขมาอยู่" เขาพูดคำนี้ได้อย่างไม่รู้สึกรู้สา​ นี่มันบ้าอะไรกัน​ ถึงจะสงสัยแต่ก็ไปดีกว่าจะได้ตามหาพระมารดาแต่ทว่ามือของพีรเชษฐ์​มาจับมือซ้ายศนิวารไว้สะบัดเท่าใดก็ไม่หลุดพ้นเมื่อหันกลับไปก็พบว่าร่างกายที่จับตนกลายเป็นหินหนักไม่ว่าจะเอาตัวออกอย่างไรก็ไม่เป็นผล
" ทำไมห้องนี้ถึงมีเศษกระจกแตกไปทั่วอย่างนี้นะ" เมธาวีที่แอบเข้ามาตำหนักของบดิศรที่เปิดไว้ด้วยความสะเพร่าของผู้ดูแลที่มัวแต่สนใจด้านนอกจนลืมปิดประตู​ เป็นช่องโหว่ในการเข้ามาของคนนอก
"เลือดนี่.. แสดงว่าเมื่อคืนเกิดเรื่องไม่ดีแน่ๆ​ ต้องไปบอกศนิวารแล้ว" ว่าแล้วจึงแอบออกมาพบพวกนางกำนัลพูดกันเรื่องเหตุการณ์​เมื่อคืนได้ความจึงรีบไปหาศนิวาร  แต่ก็ได้เจอว่ามีคนท่าทางบาดเจ็บกำลังเดินทางไปยังท้องพระโรง​
"มันมาได้ยังไง​ บดิศรยังไม่จัดการมันอีกเหรอ" เขาพึมพำพลางรีบเร่งเดินทางโดยไม่สนใจร่างกายที่บาดเจ็บของตน​ ไม่รู้เลยว่ามีคนเฝ้าอ่านคำจากปากอยู่​ เมื่อเมธาวีรู้ดังนั้นจึงรีบตามไปทันที
" คฑาวุธศิศีระ" ศนิวารเรียกคฑามาตีหุ่นหินจนหินนั้นกลายเป็นน้ำแข็งเย็นเขาจึงตีอีกครั้งน้ำแข็งนั่นก็แตกไปพร้อมร่างหิน​ พอดีกับที่นรราชได้เดินทางมาถึง
"เจ้ารอดมาได้ยังไง!!" เสียงตวาดกร้าวจากชายวัยกลางคนที่ไม่คุ้นหน้ามาก่อนเลย
"เจ้าเป็นใครเกี่ยวข้องอะไรกับบดิศร"เขาถามจากคำเกรี้ยวของฝ่ายตรงข้ามที่เหมือนกับรู้เรื่องการต่อสู้กับบดิศร
"ไม่สำคั​ญ​ สำคัญว่าวันนี้เจ้าต้องตาย" ว่าแล้วเขาก็ใช้ลูกศิษย์​มาใช้มนต์ทำโซ่ล่ามขาศนิวารไว้​ เมธาวีก็เข้าถีบลูกศิษย์​เจ้าปุโรหิตจากด้านหลังแล้วทำการต่อสู้กันกับศิษย์​ทั้งสามคนนั้นทันที​ นรราชคนใจโฉดเข้ามาเงื้อมือที่ถือดาบจะฟันศนิวารที่กำลังสนใจเหตุการณ์​ที่ผู้หญิงมาช่วยทั้งที่ตนช่วยเหลือตนเองได้แท้ๆแต่อีกคนน่ะไหวตัวทันจึงใช้คฑาวุธ​ตีตอกกลับจนร่างของเขากลายเป็นน้ำแข็ง​ ฝ่ายลูกศิษย์​เห็นท่าไม่ดีจึงใช้มนต์ดึงขาของศนิวารให้ตัวห้อยหัวไม่สามารถตีคนที่ตัวแข็งเป็นน้ำแข็ง​ได้ในรอบที่สอง​ เมธาวีจึงปล่อยลำแสงประกายม่วงจากสังวาลย์ทำให้ดวงตาของศิษย์ทั้งสามของปุโรหิตในร่างราชาบอดแสบทรมานแล้วโซ่ที่ตรึงขาของศนิวารก็หลุดได้จากการที่เขาใช้กำลังยกตัวขึ้นมาตีโซ่ให้แตกจากนั้นจึงมุ่งเข้าตีน้ำแข็งร่างนรราชแตกกระจายทันที
"แม่เจ้ากำลังตกอยู่ในอันตราย..." เมธาวีเข้ามาเล่าเหตุการณ์​คืนวานให้ฟัง​ ทั้งสองไม่รอช้ารีบไปยังป่าที่คาดว่าสไบทองจะเดินทางโดยทันที
...
"ขุนท้าว​ ขุนท้าวเป็นอะไร" สไบทองเข้าดูอาการหญิงชราอีกคนที่ล้มเป็นลมแต่ว่าดูท่าเหมือนจะขาดใจ
"หม่อมฉัน​ไม่ไหวแล้วเพคะพระมเหสี"อาการมิสู้ดีแล้ว
" ไม่ได้นะขุนท้าว​ ตอนนี้เราเหลือขุนท้าวคนเดียวแล้ว​ อย่าจากเราไปเลยนะ" เธอน้ำตาร่วงรินด้วยความผูกพัน​ที่มีต่อหญิงคนสนิท
" คนเรามีเกิดแก่เจ็บตายเพคะ​ แต่หม่อมฉันยังมีห่วง​พระมเหสีต้องทรงสัญญากับหม่อมฉันว่าจะอยู่รอดต่อไป​ เถอะนะเพคะ"อาการหนักขึ้นเรื่อยเปลือกตากำลังจะปิดลง
"ได้ได้  เราสัญญาอย่าได้ห่วงเราเลยนะขุนท้าว"สิ้นคำกล่าวขุนท้าวก็สิ้นด้วยความล้าที่วิ่งหนีมาทั้งคืนทั้งวัน​ สไบทองจัดการฝังศพให้อย่างเรียบร้อยแต่ใจอาลัยนักจึงยังสะอื้นไห้อยู่จนไม่รู้ว่ามีคนกำลังมาจ้องมองอยู่
...
" นี่มันเรื่องอะไรกัน!!" แม่มดเกลียวทองที่เพิ่งมาถึงเมืองได้ถามขึ้นมาเมื่อพบแต่ศิษย์​ทั้งสามของนรราชแต่ไม่พบตัวเขา
"ช่วยพวกข้าด้วยเถอะ​ อาจารย์​ข้าน่าจะตายแล้ว​ โอย" ศิษย์​คนนึงก็ตอบขึ้นมา
"ตาย​ ตายได้ยังไง" ว่าแล้วตนจึงจับศิษย์​คนนั้นมา
"คนที่ใส่เกราะกับสังวาลย์​มันมาที่นี่" เขาพูดแค่นั้นความโมโหของนางแม่มดก็ทะลุจุดเดือดจุดเผาศิษย์​ทั้งสามของสิระอดีตปุโรหิตให้ตายทั้งเป็น​ แล้วจึงถามกับคนในวัง​ ถ้าไม่ตอบตามที่รู้จะมีจุดจบไม่ต่างกัน​ ทั้งหมดจึงพากันเล่าตั้งแต่กษัตริย์​นรราชมาว่ามีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง
" ตายเพราะตัณาก็สมควรแล้ว​ ดีล่ะเราจะใช้งานเจ้าพีรเชษฐ์​เพื่อให้ได้เมืองนี้มาครองอย่างถาวร" หลังจากที่ฟังคำเล่าคนในวังก็เข้ามาหาพระราชาตามลำพังเมื่อคิดได้จึงใช้มนตราของตนเข้าควบคุมทันทีโดยที่เจ้าตัวยังไม่ทันได้รู้สึกตัว​ ครานี้แววตาดูเป็นธรรมชาติกว่าที่เจ้านรราชควบคุมไว้เสียอีก ทหารที่ได้รับคำสั่งให้ตามล่าสไบทองกลับมาพร้อมร่างอันไร้วิญญาณที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นพระมเหสีเข้าเฝ้าพระราชาเล่าเหตุการณ์​ เกลียวทองที่แอบฟังอยู่ก็รับรู้ว่าฝั่งนั้นก็สูญเสีย​ จึงหายตัวไปยังหอชิดดาราเพื่อแจ้งข่าวให้บดิศรรับรู้
...
" ใคร​ ใครน่ะ.. "สไบทองเมื่อรู้ตัวว่ามาคนแอบมองจึงได้ถามพลางถือมีดเตรียมป้องกันตัว
"เสด็จแม่​ ลูกเองพระเจ้าค่ะ" ศนิวารปรากฏ​ตัวพร้อมกับเมธาวีมาหาทำให้ดวงใจแม่ชื้นขึ้นมาบ้าง
"ศนิวารลูก​ แม่คิดว่าจะไม่ได้มีโอกาสเจอลูกอีกแล้ว" น้ำตาพรั่งพรูออกมาด้วยเศร้าที่ต้องกลายเป็นแบบนี้ระคนดีใจที่ได้พบลูกอีก
"แล้วนี่​ เมธาวีเองหรือ" เธอถามเพราะจำสังวาลย์​เส้นนี้ได้
" เพคะ​หม่อมฉันเอง" เธอไหว้มารดาสหายเพื่อทำความนอบน้อม
"อยู่ที่นี่กันนี่เอง​.. นี่คือพระมารดาหรือเพคะ​ อัญญานีขอนอบน้อมเพคะ" อัญญานีที่มารับตามเวลาโดยตามมาจากของใช้ของเมธาวีไหว้ด้วยคน
"ลูกว่าเรากลับเมืองทิศพลกันก่อนเถอะพระเจ้าค่ะ"  ว่าแล้วทุกคนจึงเดินทางกันกลับบ้านเมือง
" สไบทอง​ เป็นอย่างไรบ้างลูก​ เจ้าเจ็บมากหรือเปล่า​ ดูท่าไม่ดีเลย"พระมเหสีอมรินทร์​เข้ามากอดถามทันทีที่กลับ​ ดวงใจหนึ่งเดียวตอนนี้ดูโทรมมากกว่าตอนที่เดินป่ามาคราวที่โดนไล่เสียอีก
" หม่อมฉันไม่เป็นอะไรเพคะ​ แต่เสด็จพี่เปลี่ยนไปเหลือเกินเพคะ..." แล้วตนก็เล่าเหตุการณ์​ให้ฟังตั้งแต่ที่นรราชเข้ามาความสัมพันธ์​ก็เริ่มจะแปรเปลี่ยนอย่างน่าตกใจ
"พีรเชษฐ์​ เราอุตส่าห์​ให้โอกาสกลับมาดูแลลูกเรา​ แต่กลับกลอกแบบนี้เห็นทีจะต้องตัดขาดถึงที่สุดแล้ว​ เจ้าอย่าได้ไปยุ่งกับรัตนบุรีอีกเลยนะลูก"ท้าวนวดลฟังความก็ไม่พอใจอย่างแรง
"แต่หลานว่ามันแปลกไปพระเจ้าค่ะ​ ลูกรู้สึกเหมือนเสด็จพ่อจะถูกควบคุม" ศนิวารทำท่าจะค้านด้วยเหตุการณ์​ที่ตนเจอแต่ถูกดักไว้ก่อน
" ไม่ต้องแก้ต่างให้พ่อ.. ให้เจ้าราชาคนนั้นอีก​ เขาไม่ให้เกียรติ​แก่แม่หลาน​ แม้แต่ตัวหลานเอง​ วันนี้พอแค่นี้พาสไบทองไปพักก่อน" ว่าแล้วมเหสีอมรินทร์​จึงขออาสาพาไปดูแลปลอบขวัญตามประสาแม่ลูก  ให้หลานพักผ่อนร่างกายก่อนจึงค่อยมาเยี่ยม
" พระธิดาได้รับบาดเจ็บหรือเพคะ" บัวแย้มสังเกตเห็นแผลอันเกิดจากการลอบกัดที่มือของเมธาวี​ แล้วจับมือมาดูด้วยเป็นห่วง
" แค่นี้เองน่าอย่าใส่ใจเลย" เมธาวีกล่าวเพราะไม่อยากให้บัวกลุ้มใจ
"มานี่​ เป็นแผลลึกแล้วยังบอกแค่นี้อีก" ศนิวารแย่งมือมาจากบัวแล้วพานั่งใช้สมุนไพรที่เก็บไว้ในน้ำเต้าออกทำแผลให้​
"ขอบใจมากนะ​ ยังพกน้ำเต้านี่อยู่อีกเหรอ"  เธอมองเห็นน้ำเต้าอมฤตยังอยู่แต่ไม่เห็นนำมาใช้เลยถามไป
"ยังอยู่​ เอาไว้ใช้เก็บสมุนไพรไปพลางๆก่อนไว้เกิดเรื่องเกินจะเยียวยาค่อยใช้น้ำเต้า" เขาพูดไปก็ทำแผลไป
"เข้าใจแล้ว​ เจ้าก็ทำแผลเก่งดีนะ.. ทำอะไรน่ะ" กำลังชมดีๆก็ต้องชักมือออกด้วยตกใจเล็กน้อยเพราะอีกคนทำแผลเสร็จก็เป่าที่แผล
" ก็เป่าให้หายเร็วๆน่ะสิ​"เขาตอบให้เธอแล้วส่ายหัว อัญญานีที่มองอยู่ก็อดยิ้มไม่ได้​ นั่นเหมือนจำมาจากแม่ที่เป่าแผลลูกเบาๆเพื่อให้รู้สึกว่าหายอย่างนั้นล่ะดูน่ารักดีเหมือนกัน​ บัวแย้มที่มองก็ยิ้มด้วยเหตุผล​เดียวกัน
"พวกเจ้ายิ้มอะไรกันน่ะ" เมธาวีที่ยังงงจากการกระทำเมื่อครู่ทั้งๆที่ไม่ได้เป่ามนต์​แท้ๆจะหายได้ไง​หันมาเห็นคนสองคนยิ้มก็อดถามไม่ได้
"ก็คิดว่าเราน่าจะทำอะไรให้สงบใจดีไง​ มาเล่นหมากรุกกันดีกว่า​ จะได้ช่วยกันคิดวางแผน" อัญญานีเบี่ยงประเด็นถึงแม้จะเก็บอาการไม่อยู่ก็เถอะ​ แต่แปลกที่สองคนที่ทำแผลนี้ไม่รู้ก็ตกลงเอออลงเล่นหมากรุกด้วยกัน​ แล้วก็ชวนบัวมาร่วมด้วยจะได้สอนเล่น
....
"เสด็จตาสิ้นเพราะมันงั้นเหรอ​ หลานจะไปฆ่ามัน" บดิศรฟังคำเล่าของนางแม่มดก็จะลุกพรวดพราด​ไปแต่แม่มดเกลียวทองก็ห้ามไว้
"อย่าเพิ่งไปเลย​ เจ้ายังไม่หายดี ฝั่งนั้นก็คงเสียใจไม่ต่างกันเพราะแม่พวกมันน่ะตายแล้ว" แม่มดก็เล่าเท่าที่รู้แต่คาดไม่ถึงน่ะสิ
"แล้วที่ว่าพวกสังวาลย์​มณีก็มาด้วยงั้นเหรอ"อัคนินได้จังหวะก็ถาม
"ใช่​ พวกนั้นมีคนว่ามันก็บาดเจ็บอยู่ไม่ต้องกังวลไป" เธอพูดอย่างนั้นอัคนินก็พอใจ
" บดิศร​ อาจะไปรับแม่ของหลานกลับรัตนบุรีก่อนนะ​ ไว้แล้วพวกเราค่อยมาร่วมมือกำจัดพวกนั้นวันสุริยะคราสนี้กัน" ว่าแล้วนางแม่มดก็ไปยังศาศวัตบุรีทันที
" เจ้าจะยังไม่บอกเรื่องคฑาวุธ​ให้สองคนนั้นรู้เหรอ"ธานินทร์​ถามขึ้นมาขณะแอบมองอยู่กับปัจจา
"ไว้วันหลังเถอะ​ ถ้า​บอกวันนี้บดิศรได้ทวงชีวิตตาของเขาที่พวกเราไม่ได้ช่วยจนวุ่นวายอีกหรอก" ว่าแล้วก็จากไป​ จริงๆ​สองคนนี้ก็เฝ้าดูเหตุการณ์​การต่อสู้เพื่อเก็บข้อมูลมาวางแผนการสู้ในวันที่ทั้งหมดจะแยกร่างจากกันโดยไม่คิดจะช่วยชีวิตเฒ่าหัวงูให้เหนื่อยป่าว
...
" ไม่ค่อยจะมีสมาธิเลยนะ​ ยังกังวลใจเรื่องท้าวพีรเชษฐ์​อยู่เหรอ" เมธาวีถามเมื่อเห็นว่าอีกคนไม่ค่อยสบายใจและจะสนใจเท่าไหร่นักกับการเล่นหมากรุกนี่
" ใช่​  เท่าที่ฟังมาบางทีอาจจะไม่ใช่เสด็จพ่อเองก็ได้ที่ทำแบบนี้่​  ถ้าทำจริงก็น่าจะถูกควบคุมไว้" ศนิวารว่าตามที่รู้และคิดเองด้วยส่วนหนึ่ง
" เราได้ยินคนนินทาว่า​ในวันส่งตัวเข้าหอเมื่อคืนนี้น่ะ​ มีเสียงการต่อสู้กันของพระมเหสีสไบทองกับนรราช​ เขาว่าเป็นตำหนักของบดิศร​ เราเข้าไปในนั้นก็เจอกระจกแตกทั่วห้องบรรทมนั้น​ บางทีิอาจจะมีบางอย่างที่พระมารดาของเจ้ายังไม่ได้เล่า​ให้ครบก็เป็นได้นะ" เธอกล่าวข้อมูลที่หามาได้แล้วก็ลองคิดดู
"ทำไมถึงเสด็จแม่เราจะเล่าเรื่องได้ไม่ครบล่ะ​" แม่เขาก็เล่าเหตุการณ์​ว่าสู้แล้วหนีมาด้วยหนิไม่เห็นจะมีอะไรตกหล่นเลย
"บางทีอาจเป็นเพราะพระนางยังพระขวัญเสียอยู่จึงเล่ามิครบก็เป็นได้​" อัญญานีกล่าวเพราะรู้สึกว่าน่าจะมีอะไรมากกว่านี้
"เราจะไปถามเสด็จแม่" ศนิวารลุกขึ้นจะไปแต่ก็ถูกห้ามไว้
" บัวว่ารอก่อนเถอะนะเพคะ​ ตอนนี้พระทัยของพระมเหสียังไม่ค่อยสู้ดีนัก​ ถ้าไปถามจะเป็นการตอกย้ำมากกว่า"  บัวแย้มที่เห็นก็ปรามไว้ก่อน
" พรุ่งนี้​ไว้ให้สุริยะถามให้ก็ยังได้​ แต่ว่าเรื่องนี้อย่าเพิ่งให้ถึงพระเนตร​พระกรรณ​ขององค์​เหนือหัวนวดลจะดีกว่า​ ไม่เช่นนั้นจะสร้างความไม่พอพระทัยให้ได้" เมธาวีเสนอมา  เขาจึงยอมรับข้อนี้แล้วจึงปลีกตัวไปทำจิตใจให้สงบก่อนดีกว่า
......
"ท.. ท่านพ่อสิ้นแล้วหรือจ๊ะน้องเกลียวทอง"วิมาลานามใหม่มารดาของบดิศรถามขึ้นมาด้วยสีหน้าที่แสนจะตกใจที่ได้ยินข่าวความตายของบิดา
" ใช่​ น้องก็จนปัญญา​ที่จะช่วยเพราะไม่เหลือแม้แต่สังขารเลยจะ" แม่มดทำสลดไปอย่างนั้นแต่ในใจก็หมดภาระไปหนึ่ง
"ท่านพ่อ.. มิน่าเลย" เธอเริ่มจะทำท่าสะอื้นไห้​ ใจของเกลียวทองก็ไม่ชอบคนร้องไห้จึงได้พูดต่อ
"อย่าให้เสียที่ท่านพ่อพี่วิมาลาทำเลยนะ​ ไปกับน้องไปอยู่ที่รัตนบุรีกันดีกว่า"ถือโอกาสนี้ชวนทันทีจะได้ไม่เสียเวลา
" พวกเราสามารถ​ยึดเมืองนี้ได้แล้วเหรอจ๊ะ" ถึงจะยังเสียใจที่พ่อสิ้นแต่ได้ยินข่าวนี้ก็อุ่นใจที่จะได้ที่อยู่อันถาวรนี้ก่อนที่อายุเมืองศาศวัตจะสิ้นไป
" ใช่จะ​ เกลียวทองว่าพวกเราไปกันเลยดีกว่า"ว่าแล้วก็ไม่รอช้าเธอจึงคว้ามือของวิมาลาไปยังรัตนบุรีทันที




หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ พฤษภาคม 30, 2020, 06:31:48 PM

ในวัันต่อมาที่เมืองทิศพล​ สุริยะที่รู้เรื่องจากบันทึกของศนิวารจึงขอเข้าเฝ้าพระมารดาเพื่อหาบางอย่างที่อาจจะตกหล่นไป​ถึงแต่ใจจะไม่อยากทำร้ายทางอ้อมโดยการรื้อฟื้นถึงเหตุการณ์​ไม่น่าจดจำเช่นนี้
"เมื่อวานแม่ตกหล่นไปจริงๆเรื่องนั้น" สไบทองที่สามารถทำจิตใจให้เข้มแข็งขึ้นได้แล้วนั้น​ เมื่อได้ฟังคำถามถึงเรื่องราวเมื่อคืนนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าตนไม่ได้บอกส่วนสำคัญที่สุดไปเพราะความโศกเศร้า
"แล้วส่วนนั้นคืออะไรกันหรือพระเจ้าค่ะ" สุริยะได้ถามต่อในขณะที่แม่นั้นกำลังคิดว่านี่น่าจะเป็นความจริง
" ราชานรราชคืออดีตปุโรหิตสิระ​ แม่เห็นเงาสะท้อนในกระจกตอนที่เป็นคืนส่งตัว" เธอเล่าให้ลูกฟังทีแรกก็ไม่แน่ใจ​ แต่คิดดูดีๆมันก็ใช่จริงๆเธอจึงได้พูดออกมาอย่างมั่นใจ
" แสดงว่าพวกเขาคงจะมีแผนเกี่ยวกับเมืองรัตนบุรีแน่เลยพระเจ้าค่ะ" เขาตอบผู้เป็นแม่หลังจากที่ได้ยินเพราะทางนี้ก็ถูกบดิศรตามจัดการเหมือนกัน
" นี่ล่ะคงจะจองล้างจองผลาญกันไม่เลิ​ก​ ยังไงลูกก็ต้องระวังตัวให้มากที่สุดนะ​ ถึงแม่จะอยากให้สู้ตอบโต้กับพวกเขาขนาดไหน​ แม่ก็ไม่อยากให้ลูกไปฆ่าใครจนเป็นบาปติดตัว" การที่ลูกและตนถูกทำร้ายนั้นก็อยากจะให้สู้กลับบ้างเพราะเก้าปีที่เคยผ่านตอนนั้นยิ่งไม่ตอบโต้ยิ่งถูกร้ายรุนแรงขึ้นทุกวันโดยส่วนใหญ่นี่จะเป็นทางใจ​ ใครไม่โดนก็มิรู้หรอก​ แต่ก็ตามที่พูดคนเป็นแม่ก็ไม่อยากให้ลูกเฆ่นฆ่าใครถึงแก่ชีวิตเช่นกัน
" พระเจ้าค่ะ.. เรื่องเสด็จพ่อเท่าที่ลูกทราบมาจากบันทึกของศนิวารนั้น​ ลูกจะไปตามสืบเรื่องที่ทรงถูกควบคุมเองพระเจ้าค่ะ" สุริยะรับปากเรื่องนั้นก็จริงแต่ศนิวารก็สังหารนรราชไปก่อนเสียแล้วไม่ทูลให้ทราบเห็นจะดีกว่า​ แล้วเมื่อนึกถึงพระบิดาก็จึงได้ทูลไป
"การที่มีปุโรหิตสิระในนั้นก็พอจะยืนยันได้ว่าเขาใช้​ไสยเวท​ควบคุมพระบิดาของลูก เมื่อลูกจะไปแม่ก็ไม่ห้ามแต่ว่าลูกต้องระวังตัวให้มาก​ ส่วนพระอัยกาของลูกแม่จะไปทูลเรื่องนี้เองเพราะพระองค์​จะไม่ยินยอมง่ายๆ" สไบทองกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับพระบิดาของตนที่โกรธและชิงชังในราชบุตรเขยผู้นี้จนไม่อยากฟังอะไรเกี่ยวกับเขาเท่าใดนัก​ สุริยะจึงทูลลาเพื่อจะไปยังรัตนบุรีต่อไป
.....​
" เราขอแต่งตั้งให้วิมาลาขึ้นเป็นพระมเหสีของเราแต่เพียงผู้เดียว​และขอแต่งตั้งให้เสาวภาเป็นที่ปรึกษาส่วนพระองค์​ ส่วนอดีตโอรสธิดาของอดีตพระมเหสีสไบทองคาดโทษไว้​ หากมีใครพบเจอลักลอบมายังรัตนบุรีให้สังหารในทันที​ หากมีใครคัดค้านคำกล่าวข้างต้นและร่วมมือเป็นสมัครพรรคพวกกับพวกนั้น​ ไม่ใช่แค่ตัวเจ้าที่จะศีรษะ​ขาดแต่รวมคนในตระกูลถึงเจ็ดชั่วโคตร​ด้วย" เสียงประกาศก้องในท้องพระโรงของท้าวพีรเชษฐ์​ที่ถูกควบคุมอีกครั้ง​ เมื่อไม่นานมานี้ก็ทำเรื่องมากพออยู่แล้ว​ ครานี้จะสั่งตัดหัวคนไม่ทำตามกันอีกมันก็น่าฉงนและค้านสายตาอยู่​ แต่คนในท้องพระโรงก็ต้องยอมรับคำประกาศจากองค์เหนือหัว​ ไม่เช่นนั้นชีวิตจะหาไม่​ สร้างความพอใจให้เกลียวทองที่ตอนนี้เปลี่ยนหน้าเปลี่ยนชื่อเป็นเสาวภาที่คอยควบคุมอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล​ โชคชะต​าคราวนี้ดูจะเข้าข้างทำอะไรก็ง่ายไปเสียหมด
.....​
ั"ถ้าข้าไม่ทำแบบนี้ลูกก็จะไม่มีความสุขสินะ" ผกากรองในร่างของธริษตรีราชาพึมพำกับตัวเองขณะที่เดินสำรวจตำหนักของตน​ นางใช้มือผลักเชิงเทียนลงเผยให้เห็นห้องลับซ่อนอยู่​ แล้วจึงได้ตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องนั้นพบว่าเป็นร่างของนางนั่นเอง
"จะให้ทำใจมันก็อยากอยู่หรอก​ แต่แม่จะรอความสำเร็จของเจ้านะอัคนิน" เธอเข้าไปลูบใบหน้าของสังขารที่เธอสละมาอย่างนึกเสียดายแต่ก็ต้องอดทนเพื่อลูก​  ร่างกายนี้เดิมทีเข้าใจว่าได้ทำพิธีเผาไปแล้ว​ แต่เปล่าเลยร่างนี้ยังอยู่ที่นี่​ ถึงแม้จะกลับเข้าร่างเดิมไม่ได้อีกแล้วแต่ตนก็อยากจะเก็บไว้เพราะเพศสภาพที่อยู่ไม่ใช่สตรีจึงได้อาลัยร่างเก่า​ ส่วนร่างที่ทำพิธีศพนั่นน่ะหรือ​ ก็แค่หาฆ่าคนมาสับเปลี่ยนก็เท่านั้นเอง
......
"พระโอรสสุริยะเพคะ!!" จั๊กแหล่นมากระโดดดักหน้าสุริยะที่กำลังจะไปหาพวกสหายเพื่อแจ้งว่าตนจะออกเดินทาง
"ใครกันน่ะ" ให้ตายเถอะศนิวารไม่ได้บันทึกจั๊กแหล่นให้รู้จักเพราะตนไปช่วยพระมารดาไม่มีเวลาให้อีกฝ่ายเกี้ยวนี่นา
" จั๊กแหล่นเพคะ​ ได้รู้มาว่าวันนี้เป็นพระโอรสเลยจะขอมาชมโฉม​ ถูกใจจั๊กจริงๆ​เพคะ" พูดไปตนก็บิดม้วนขวยเขินนัก​
" เป็นหญิงก็อย่าแสดงท่าทางให้มากเกินงามเลยน่าจั๊กแหล่น" กลุ่มสหายได้เดินทางเข้ามาหาพอดี​ เสียงร้องห้ามเป็นเชิงหยอกมาจากผู้หญิงที่ใส่สังวาลย์​
"จั๊กก็แค่มาทำความรู้จักกับพระโอรสเท่านั้นเองเพคะ" แก้ตัวได้อย่างนั้นมันก็ชัดแจ้งเห็นๆอยู่ไม่ใช่เหรอท่าทีนั้นน่ะ
"รู้จักหรือกะจะเก็บไว้สะสมกันล่ะนางจั๊กแหล่น"สุดหล่อที่ตามมาดูสิ่งวิเศษประจำวันให้สบายใจเห็นท่าทีเสือสาวก็อดว่าไม่ได้
"หนอยไอ้ตุ้บเท่ง" กำลังจะทะเลาะกันอยู่แล้วเชียวถ้าไม่มีเสียงเรียกชื่อเสียก่อน
"ท่านคงจะเป็นอัญญานีที่เราได้ยินจริงๆ.. แสงสุรีย์​ไม่ได้เจอกันนานสบายดีใช่ไหม" สุริยะทักทายทั้งสองคนพลางยิ้มด้วยความยินดีที่ได้พบเจอ
"เราเอง​ เราต้องขอบใจท่านมากที่ช่วยเราในป่า" อัญญาณียิ้มตอบรับ​ เธอไม่เคยลืมคนมีน้ำใจคนนี้​ วันนี้ก็เวียนมาพบกันอีกแล้วนะ
"ก็ไม่เชิงว่าสบายดีนักหรอก​ แต่การได้พบกับสหายมากมายเช่นนี้ก็ดีต่อใจเรานะ" แสงสุรีย์​ตอบ​ จะว่าดีก็ไม่ใช่ซะทีเดียวหรอก​ ถูกหมายหัวจากพระบิดาซะขนาดนั้น
" เราขอความช่วยเหลือจากท่านใช้ธำรงค์​แก้วศุภรนำพาเราไปยังรัตนบุรีได้หรือไม่" เขาไม่รอช้าเปิดประเด็นต่อทันทีเพราะอยากไปดูพระอาการของพระบิดาเต็มทน
" คราวนี้คงจะไปช่วยท้าวพีรเชษฐ์​สินะ​ ได้​ เราจะช่วยท่านเอง" เธอพูดอย่างรู้ด้วย​สถานการณ์​ที่ผ่านมาก็จูงใจอยู่มิน้อย
" เราขอช่วยด้วยคน​ เผื่อมีอะไรไม่ชอบมาพากลล่ะก็จะได้ช่วยกันระวัง"ผู้สวมสังวาลย์​วิเศษก็เสนอเข้าช่วยด้วยเช่นกัน
"อะไรน่ะ​ เมื่อวานก็พากันไปวันนี้ก็ไปอีกแล้ว​ นี่กะจะไม่พักสิ่งวิเศษพวกนี้บ้างหรือยังไงกันน่ะห๊ะ" เจ้าสิงโตถึงกับไม่สบอารมณ์​เมื่อรู้ว่าของวิเศษจะไปพบอันตรายอีก 
" เจ้ามันก็ชอบขัดชอบขวางอยู่ได้นะไอ้ตุ้บเท่ง"จั๊กแหล่นได้ทีก็ว่าบ้าง​ ช่างน่าหมั่นไส้อะไรถึงปานนี้
" สุดหล่อตะหาก"เขาเถียงเรื่องชื่อเสียงเรียงนามอยู่​ ทีเผลอแบบนี้ทั้งสามก็ไปยังรัตนบุรีในทันที
.....​
"หนูบัวไม่เห็นจะต้องมาช่วยพวกฉันเก็บดอกไม้ไปถวายพระมเหสีกับพระธิดาเลยนี่  น่าจะอยู่สบายเฉยๆดีกว่านะ"นางกำนัลที่กำลังเก็บดอกไม้ไปถวายพระนางทั้งสองเพื่อร้อยพวงมาลัย​บอกกับบัวที่ช่วยคัดช่วยเก็บดอกไม้อย่างขยันขันแข็ง
"บัวไม่อยากอยู่เฉยๆจะ​ แล้วงานเลือกดอกไม้แค่นี้เองไม่เห็นจะลำบากอะไรเลยนี่จ๊ะ" บัวแย้มก็ช่วยต่อไปด้วยความเต็มใจ
" เก็บเสร็จหรือยังดอกไม้น่ะ​ รีบไปถวายพระมเหสีอมรินทร์​กับพระธิดาสไบทองได้แล้ว" ขุนท้าวที่มีอายุมากพอสมควรมาตามเหล่านางกำนัลด้วยท่าทีที่ดุดันที่เก็บไม่ทันใจ​ นางกำนัลจึงขอแยกทางไปก่อน
" วันนี้เลือกดอกไม้ได้ดีกว่าครั้งก่อนๆมากนะ​ ยังดูสดใสเหมือนไม่ได้เด็ดออกจากต้นเลย" มเหสีอมรินทร์​กล่าวชมอย่างพึงพอใจ
" วันนี้มีหญิงติดตามพระธิดาอัญญานีแห่งโกสุมพิสัยที่ชื่อบัวแย้มมาช่วยพวกนางเลือกเก็บเพคะ" ขุนท้าวคนนี้ถึงจะดูมาดครึมไปบ้างแต่สายตาก็มองเห็นความสามารถคนมิปล่อยโอกาสที่จะทูลให้ทรงทราบ
" เช่นนั้นฝีมือการร้อยพวงมาลัยคงจะดีและระเอียดไม่แพ้การเลือกเก็บเท่าใดเช่นกัน"สไบทองพูดอย่างเอ็นดูเพราะพอจะรู้เรื่องบัวมาบ้าง
" ขุนท้าวไปพาบัวแย้มมาร้อยมาลัยกับพวกเราเถอะ​ ดูท่าแล้วนางคงจะว่างจากการดูแลอยู่ก็เป็นได้" พระมเหสีรู้ใจของธิดาตนจึงออกโอษฐ์​ให้พามาร่วมร้อยพวงมาลัยอีกคน
.....​
ขณะนี้ทั้งสามคนได้มาถึงรัตนบุรีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว​ แต่ดูท่าทีคนในวังจะกังวลกันเป็นพิเศษ​ บังเอิญอะไรกันหนาที่อำมาตย์เรืองรองกำลังเดินทางกลับเรือนผ่านมาตรงนี้พอดี​ เขารู้สึกถึงความผิดปกติที่มีคนแอบมองอยู่จึงได้ให้คนของตนล่วงหน้าไปก่อนส่วนตนจะจัดการเอง​ เขาคว้าดาบมาจะป้องกันตัวโดยการฟาดฟันแต่ถูกยั้งไว้ก่อน
"ท่านอำมาตย์​เราเอง" สุริยะกล่าวพร้อมพามายังที่ลับตาคน
"พระโอรสกลับมาทำไมพระเจ้าค่ะ​ ตอนนี้สถานการณ์​ไม่ดีทรงกลับมาเช่นนี้จะเป็นอันตรายนะพระเจ้าค่ะ"
อำมาตย์​แทนที่จะดีใจที่ได้พบกลับหนักใจมากเป็นพิเศษ
"ทำไมถึงถามเราเช่นนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่" เขาสงสัยในทีอีกคนจึงได้รีบถามก่อนจะนานไปกว่านี้
"องค์​เหนือ​หัวมีพระบัญชาให้สังหารพระโอรสพระธิดาที่มายังรัตนบุรีทันทีที่มีคนพบ​ หากไม่ทำตามจะถูกประหารเจ็ดชั่วโคตรพระเจ้าค่ะ" เขาทูลตามที่ทราบประกาศจากพระโอษฐ์​โดยตรงนั่นทำให้สุริยะสับสนเป็นอย่างมาก
" แล้วนอกจากนี้ยังมีพระบัญชาอะไรอีกรึเปล่า" อัญญานีถามต่อเพราะอีกคนดูท่าจะสับสนเกินจะถามต่อได้
" ไม่มีพระเจ้าค่ะพระสหาย​ เพียงแต่ว่าวันนี้มีการแต่งตั้งพระมเหสีพระองค์​ใหม่ชื่อวิมาลากับเสาวภาเป็นที่ปรึกษาหญิง" เขาดูท่าทีของเธอก็ไม่น่าใช่ข้ารับใช้ก็ต้องเป็นเพื่อนกับพระโอรสนั่นล่ะ
" ทำไมเร็วนักล่ะ​ จนถึงเมื่อวานนี้ก็เกิดแต่เรื่องวุ่นวายไม่ใช่เหรอ" แสงสุรีย์ตกใจที่ได้ยินเช่นนี้เมื่อวานนี้เมธาวีมายังสู้กับนรราชอยู่เลยทำไมวันนี้เข้าสู่ปกติเร็วนักล่ะ
" เพราะว่าพระมเหสีสไบทองสิ้นพระชนม์​แล้วพระเจ้าค่ะ" อำมาตย์กลั้นใจตอบเพราะกลัวว่าพระโอรสจะฟูมฟายไป
" เราเชื่อใจท่านได้แค่ไหน"สุริยะถามดังนั้นอำมาตย์จึงตอบรับ​ เขาจึงให้อำมาตย์เรืองรองกลับไปก่อนหากมีเรื่องให้ช่วยจะบอกเอง
...
"หายดีแล้วหรือถึงมาเดินเล่นตามระเบียงแบบนี้น่ะ"บดิศรกำลังถามอัคนินที่ดูว่าอาการไม่น่าจะดีไปกว่าตนจะมีแรงมีรับลมที่ระเบียงได้
"มี​ มีพอจะจัดการกับเจ้านั่นล่ะ" ดูท่าเขาจะไม่สบอารมณ์​เท่าใดนัก
"ใจเย็นสิ​ ถามแค่นี้ถึงกับโกรธกันอย่างกับฟืนไฟ" บดิศรพยายามใจเย็นคุยด้วย
" นี่เจ้าคิดว่าพวกนั้นหายไปจากโลกนี้จะดีกว่าไหม" อัคนินถามอย่างนี้กะจะฆ่าให้ตายเลยล่ะสิศัตรูน่ะ
"ก็ดี​และก็ไม่" อยู่ดีๆทำไมพูดอย่างนี้ล่ะตัวเองก็จะฆ่าเขามิใช่หรอกหรือ
"ยังไง" เขาฉงนทำไมถึงบอกว่าไม่
"มันก็หมดคนมาทำให้ฝีมือพัฒนาให้เพิ่มขึ้นน่ะสิ" มันก็จริงอย่างที่ว่า
"ไม่เห็นจะต้องพัฒนาเลย​ อย่างไรซะถ้ากำจัดพวกนั้นได้ก็เท่ากับว่าฝีมือน่ะไม่มีใครเทียบได้" เขาก็พูดจริงอีกนั่นล่ะ
"แสดงว่าเจ้าไม่ชอบพัฒนา​ตัวเองน่ะสิ" บดิศรเหน็บไปทีแต่นั่นกลับทำให้อัคนินไม่พอใจอย่างมากเข้าเสียแล้ว
......
" เสด็จพ่อพระเจ้าค่ะ" สุริยะที่ซุ่มมองรอให้องค์เหนือหัวอยู่ตามลำพังได้ปรากฏตัว​ต่อพระพักตร์​ทันที
" เจ้ากล้าดียังไงถึงลอบมายังตำหนักของข้า​ ดีเลยวันนี้จะเป็นวันตายของเจ้า" เขาไม่รอช้าคว้าดาบไล่ฟันทันที
"ช้าก่อนพระเจ้าค่ะ​ เหตุใดเสด็จพ่อถึงได้แต่งตั้งคนที่วิมาลาเป็นพระมเหสีล่ะพระเจ้าค่ะ" ถึงจะถามอยู่แต่ก็ต้องคอยหลบหลีกอาวุธให้พ้นกาย
"นางไม่ได้เพศยาเหมือนแม่เจ้า"เขาฟันไม่ยั้งมือเลย​ โอรสจึงใช้กระจกกันไว้ปรากฏ​ว่านี่คือร่างจริงๆของพระบิดาแต่ว่าคนไล่ฟันได้ผ่าลงกระจกไปก็แตก​ชุลมุนน่าดู
วิมาลากลับมาประทินน้ำอบเพิ่มเสน่ห์​ในตัวขึ้นแต่กลับพบพระฉายตั้งอยู่ทั้งๆที่สั่งให้นำออกไปแล้ว
"ใครนำมาตั้งอีกล่ะ" เดินผ่านชั่วครู่ก็เห็นหน้าแท้ในกระจกแล้วก็หงุดหงิดใจจึงปากระจกทิ้งเสีย​ เท่านี้ก็พอจะรู้แล้วว่าเป็นสไบแก้วนั่นเอง
ด้านเสาวภาก็กำลังมีความสุขกับการเลี้ยงดูต้นไม้พิษพวกนั้นคนที่ลอบมองก็ไม่ต้องลำบากส่งกระจกอะไรหรอกนี่ล่ะแม่มดเกลียวทองตัวจริง​ เมื่อได้ความแล้วจึงได้กลับมารวมตัวกันที่เดิมขาดก็แต่สุริยะนั่นล่ะ
"ไม่ผิดตัวแน่นี่ล่ะแม่มดเกลียวทองจะต้องควบคุมท้าวพีรเชษฐ์​แน่" อัญญานีก็เล่าให้ฟัง
"ทางนี้ก็พบว่าวิมาลานางก็คือสไบแก้วที่เราเคยได้ยินมาเหมือนกัน" แสงสุรีย์​ก็ตอบ
"ทำไมสุริยะถึงได้นานขนาดนี้นะ" อัญญานีก็พูดด้วยความเป็นห่วง
ฝ่ายนั้นก็พลาดท่าโดนฟันและแทงจุดสำคัญแต่กลับพบว่านี่คือผลไม้ที่มาแทนสุริยะ​ เขากำลังจะมาคว้าพระบิดากลับไปด้วยแต่ว่าแม่มดนั่นรู้ตัวแล้วจึงนำตัวมาไว้กับตนได้ทัน
" กล้านักนะที่มาหาที่ตาย" ว่าแล้วจึงใช้พลังใส่อีกแต่คราวนี้ก็เป็นเพียงแค่ท่อนไม้​ ใช่แล้วนางโดนหลอก​ จึงรีบออกตามหาทันที
"กว่าจะมา​ รีบไปกันเถอะ" และแล้วทั้งสามก็กลับมายังเมืองทิศพล
"เสด็จพ่อเป็นพระองค์​จริงแต่ว่าการจะช่วยน่ะไม่ง่ายแล้วล่ะ" สุริยะกล่าวให้สหายทั้งสองฟัง
" ทำไมถึงไม่ง่ายล่ะสุริยะ" อัญญานี​ถามด้วยสงสัย
"เพราะมนตราที่ทรงถูกกระทำนั้นตรึงพระองค์​ไว้กับเมือง​ ขึ้นพาออกมาก็ถึงแก่พระชนม์ชีพ​ เราจึงได้ปล่อยไปก่อน" เขาเล่าให้ฟังแบบนั้น​ เธอก็เริ่มสงสัยว่าจะเหมือนเมื่อคราวพระบิดาทรงถูกกระทำหรือไม่
"เราว่านางไม่ทำให้ท้าวพีรเชษฐ์​สิ้นได้หรอกเพราะเขาก็เป็นพระบิดาของคนทางนั้นเหมือนกัน​ อีกอย่างถ้ายังดูแลดีก็มิน่าเป็นห่วง"แสงสุรีย์​ก็เห็นตามนั้น
" แล้วทางท่านมิเป็นอันตรายบ้างหรือ" เขานึกได้ว่าสหายก็เพิ่งออกมาจากเมืองด้วยเหตุที่พระบิดาเปลี่ยนไป
"ถ้าอันตรายคงทำร้ายถึงสิ้นพระชนม์​ไปนานแล้ว  อัคนินน่ะก็ต้องการพ่อเป็นของตนเองไม่เหตุผลอะไรต้องสังหาร​ " ถึงจะเสียดายที่ไม่ได้ไปดูบ้านเมืองตนเองแต่ก็ไม่อยากรบกวนอัญญานีอีก
" แหวนวงนี้ก็ใช้ไปยังที่ต่างๆแค่ครั้งเดียวต่อวันแล้วด้วยสิ​ เราขออภัยจริงๆนะแสงสุรีย์" เธอก็ขอโทษเสียอย่างกับว่าเป็นความผิดของนางขนาดนั้น
" ไว้พรุ่งนี้ไปดูความเรียบร้อยของเมืองคีรีมาศกันดีกว่า​ ส่วนเรื่องแก้มนต์​ไว้ให้ภูมินทร์​ช่วยจัดการจะดีกว่า" เขาเห็นเหมาะสมอย่างนั้นจึงได้บอกอีกคน
" มิเห็นต้องลำบากเลย" เธอก็ปัดไปเพื่อจะได้ไม่รบกวน
" เอาเถอะน่า​ อย่างน้อยๆจะได้ช่วยกันหาวิธีแก้เหมือนของสุริยะยังไงล่ะนะนะ" อัญญานีเซ้าซี้จนสุดท้ายแสงสุรีย์​ก็ใจอ่อนแล้วทั้งสามจึงแยกย้ายกันไปที่พักตน


หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มิถุนายน 06, 2020, 06:46:30 PM
"พระโอรสจันทลักษณ์​เพคะ จั๊กมาแล้ว" แม่เสือสาวมาพบเขาตั้งแต่เช้าเลยดูท่าจะมีอะไรพิเศษเสียด้วยสิ
" อ้าวจั๊กแหล่น​ แต่งตัวดูดีเชียว​ วันนี้เป็นวันอะไรหรือป่าว" เขาวางบันทึกลงแล้วถามจั๊กแหล่นดู
"แหมก็  ก็วันนี้เป็นวันที่พระโอรสมายังไงล่ะเพคะ​ นานๆจะเจอกันที" เธอพูดพลางใช้นิ้วจ่อกันแบบท่าทีที่เขินอาย
"เราก็นึกว่าวันพิเศษอะไรเสียอีก จริงสิได้เพลานัดแล้ว​ เราไปก่อนนะ" จันทลักษณ์พูดด้วยมินานก็จะจากไปอีกแล้ว​
" ประเดี๋ยวก่อนสิเพคะ​ อะไรกันน่ะไหนว่ากันว่าวันนี้จะไม่ไปรัตนบุรีแล้ว​ แล้วจะเสด็จไหนอีกล่ะเพคะ" จั๊กแหล่นยื้อไว้เพราะนี่ก็พากันไปไหนมาไหนตั้งสองวันแล้ว
" เราจะไปดูว่าเสด็จพ่อทรงเป็นอย่างไรบ้างและจะดูความเรียบร้อยของเมืองคีรีมาศด้วย​ ไม่ต้องห่วงหรอกนะ​ เราจะกลับมาแน่" เขาไม่ขอพูดพร่ำทำเพลงอีกจึงได้้ไปยังจุดนัดหมายตามที่บันทึกไว้
......
" ตอนนี้เท่าที่พวกเรารวบรวมมาได้นั้น​ เรารู้ว่าทางนั้นสามารถเรียกอาวุธจากสิ่งที่สวมใส่ได้​ แต่ว่าตอนนี้ที่รวบรวมมาได้เห็นจะมีแต่พระขรรค์​ของอังคาสกับคฑาวุธของศนิวารเท่านั้น​ ส่วนพวกที่เหลือพวกเรายังไม่รู้" ปัจจาได้เล่าให้ผู้รับภารกิจทั้งสองฟังเพื่อเป็นข้อมูลในการต่อสู้ที่จะถึง
" เรารู้อีกคน​ จันทลักษณ์​ใช้หอกเป็นอาวุธจากสังวาลย์​นั่น" อัคนินที่ดูท่าจะเป็นการเป็นงานบ้างเพราะจะต้องจัดการ​ด้วยกัน​ ไม่เช่นนั้นคงได้รับโทษที่คาดไว้เมื่อคราวที่ดื้อดึงไปสู้กับเขา
" วันนี้เราเห็นว่าพวกเจ้าก็อาการดีขึ้นมากแล้วควรจะฝึกฝนตนให้พร้อมกับวันสุริยะคราสที่จะเกิดขึ้นด้วย​ ส่วนเรากับปัจจาจะไปหาข้อมูลเพิ่ม" ธานินทร์​ได้พูดแล้วทั้งหมดจึงแยกย้ายกันทำหน้าที่ตน
...
"เรามาตามนัดแล้ว.. จันทลักษณ์"​พระนัดดาของเมืองนี้มาถึงเป็นคนที่สองเห็นชายยืนหันหลังรออยู่ก็รู้ว่าเป็นสหายเก่านี่เอง
" จันทราภา.. ไม่ได้.. ไม่ได้เจอกันเสียนานเลยนะ​ สบายดีใช่มั้ย"เขาหันกลับมาแต่เมื่อเห็นโฉมนางก็พูดตะกุกตะกักขึ้นมา​หน้าก็แดงระเรื่อ​ ตั้งใจจะทำให้แปลกใจเสียหน่อยทำไมถึงประหม่าได้ล่ะ
"เราสบายดี​ แต่ดูท่าเจ้าไม่ค่อยสบายเท่าไหร่นะ" ถึงจะแปลกใจจริงๆนั่นล่ะแต่ก็อดยิ้มไม่ได้ท่าทีแบบนั้นก็มีด้วยเหรอไม่คุ้นเลย
" เราสบายดี  แต่ว่าเพิ่งจะได้เจอเจ้าก็เลยทำตัวไม่ถูกน่ะ​ นี่แวววิเชียรที่รอขอพันธุ์​ไปคราวนั้น​ เราให้" ทำตัวปกติได้ก็นำดอกไม้มาส่งให้ด้วยความพอใจในผลงานตน
" ขอบใจมาก​ ประเดี๋ยว​นะนี่เก็บดอกไม้ได้นานขนาดนี้เลยเหรอมันก็เจ็ดวันแล้ว" เธอพอใจในความสวยน่ารักก็จริงอยู่แต่น่าฉงนดอกไม้ที่เด็ดจากต้นจะคงสภาพดีขนาดนี้เลยเหรอ
" ดอกไม้นี้เป็นดอกไม้แรกที่เราปลูกแล้วเติบโตมาเป็นดอก​ เราเลยเก็บไว้เพื่อจะมอบให้น่ะ​ เราใช้พลังนิดหน่อยแล้วก็หมั่นพรมน้ำกับน้ำอบไว้ทุกๆเจ็ดวัน" เขาพูดไปก็อดยิ้มไม่ได้​ เขาใส่ใจดอกไม้เพื่อจะนำมาให้อีกคนดูแลต่อไปถึงขนาดนี้ได้ยังไงกันนะเขาก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน​ รู้แค่ว่าเธอคือคนสำคัญคนหนึ่งในชีวิตเท่านั้นเอง
" ดีจริงๆเลยนะ​ เราจะช่วยดูแลต่อให้เอง"เธอยิ้มอย่างพอใจที่ได้ยินคนตรงหน้าเล่าถึงสิ่งที่กระทำเกี่ยวกับดอกไม้นี้
"เราว่าได้เพลาแล้วนะไปกันดีกว่ามั้ย" อัญญานีที่มาเวลาไล่เลี่ยได้เฝ้ามองพฤติกรรมทั้งสองได้สักพักก็พูดขึ้นอย่างได้จังหวะเสียเหลือเกิน
"อัญญานีมาตั้งแต่เมื่อไหร่​ เราตกใจหมดเลย" เธอมองคนที่เพิ่งมาพร้อมกับถามไป คงไม่ได้ยินที่สนทนาเมื่อครู่หรอกนะ
"มาเมื่อไหร่ก็ได้​ แล้วแต่จะคิดนะ​" เธอแกล้งพูดเสียนี่สายตาก็มองเห็นแวววิเชียรอย่างชัดๆก็อดยิ้มไม่ได้
"เจ้าก็นะ​ ตอนนี้เล่นภาษาดอกไม้ด้วย​ ความหมายก็ไม่เบาเลย" ไม่วายจะแหย่สหายอีกคน​
" ใครๆก็เล่นนะ​ เอาเป็นว่าพวกเราไปคีรีมาศกันดีกว่า​ เราอยากจะรู้ความเป็นไปในบ้านเมืองเราแล้วล่ะ"เขาพูดอย่างจริงจังเสียอีกคนคิดเลิกเล่นเสียก่อนเพราะตอนนี้มันสำคัญกว่า​ ไม่นานนักทั้งสามก็ได้มาถึงคีรีมาศด้วยเวลาอันรวดเร็วด้วยฤทธิ์ของแหวนวิเศษของพระธิดาแห่งโกสุมพิสัยที่สวมใส่อยู่
" ตำหนักของพระสนมที่ว่าคือตำหนักไหนเหรอ​ เราจะได้ช่วยดูให้​ ที่เรารู้มาก็ผิดปกเกินไป"จันทราภาที่พอจะรู้เรื่องก็จะอาสาไปดูให้เพราะเข้าใจดีกว่าลูกนั้นต้องการที่จะพบพ่อและเวลาก็ไม่คอยท่าที่จะให้ทำอะไรหลายอย่าง​ เขาบอกทางให้แล้วแยกกันเป็นสองทางโดยที่หญิงสาวนั้นไปด้วยกัน​ เมื่อมาถึงที่เขาก็ได้พบพระบิดาที่ตำหนัก​ แต่ทว่ารัศมีดูหม่นหมองไม่กระจ่างใสเหมือนแต่ก่อน​ เขายังไม่อยากจะเชื่อว่าบิดาตนนั้นเปลี่ยนไปเลยแต่ก็อดลังเลใจไม่ได้เพราะศุภลักษณ์​บาดเจ็บเพียงนั้นเพราะคำอนุญาต​ของใครกัน
"จันทลักษณ์​ อยู่ดีไม่ว่าดีก็รนหาที่​ ดีล่ะข้าจะได้แก้แค้นให้ลูก" ผกากรองคิดอยู่ในใจเมื่อรู้ถึงความไม่ชอบมาพากลในตำหนักก็พอจะเดาไม่ไม่ยากเย็นด้วยพระโอรสวันจันทร์​นั้นใจอ่อนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว​ ไม่แปลกที่จะกล้ามาหาองค์เหนือหัวเพราะถ้าเป็นคนอื่นคงแข็งใจไม่มาเสียดีกว่า
"วันนี้ก็เป็นวันจันทร์​แล้ว​ ไม่รู้ว่าจันทลักษณ์​จะเป็นอย่างไร​ ศุภลักษณ์​ก็ดื้อด้านไม่ฟังคำพ่อ​ ป่านนี้คงทำให้ลูกคนอื่นๆเข้าใจพ่อผิดกันหมด" เธอในร่างราชาแสร้งว่าตนนั้นเศร้าเสียใจเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นตรงกับที่พระโอรสวันศุกร์ได้บันทึกเตือนไว้​ คนใจอ่อนก็เข้ามาตามที่คิด
" เกิดอะไรขึ้นกันแน่หรือพระเจ้าค่ะเสด็จพ่อ"เขาไม่รั้งรอที่จะเข้ามาเมื่อได้ยิน​
" ลูกพ่อ​ ศุภลักษณ์เขาไม่ฟังคำตัดสิน​เลย​ เพชรราหูเป็นคนสังหารพระสนม​ เขาก็เข้าข้างมิได้ฟังเหตุและผลที่ควรจะเป็น" เธอไม่พูดต่อเพราะจำมิได้เท่าใดนักว่าจะเท็จอย่างไรไม่ให้คลาดเคลื่อนไปกว่านี้" ลูกเลี้ยงคนนี้นอกจากจะใจอ่อนดูท่าจะหัวอ่อนเชื่ออีกตะหาก​
มารยาหญิงยิงเรือผู้นี้นั่นไม่นานก็พอจะทำคนเชื่อได้​ มันช่างเข้าทางของนางเหลือเกิน
"แปลกจริง​ ที่นี่ไม่มีหลักฐาน​อะไรหลงเหลือบ้างเลยนะ"อัญญานีกล่าวเมื่อเห็นแต่ตำหนักที่ว่างเปล่า
" น่าจะมีแต่เราน่าจะยังหาไม่พบนะ" จันทราภากล่าวตอบ​ เชิงเทียนที่ตั้งอยู่แลแล้วมีความปราณีต​ อัญญานีเข้าชมใกล้ๆแต่มือเจ้ากรรมดันไปถูกกับเชิงเทียนจนเอนลง​ ปรากฏ​ว่ามีประตูห้องลับเปิดอยู่
" นี่ล่ะ​ หลักฐานชั้นดีต้องอยู่ในห้องนี้แน่" เมื่อเห็นดังนั้นจึงได้มุ่งหน้าจะเข้าไปมิทันไรลูกธนูที่เป็นกับดักก็ยิงเข้ามาในระยะประชิดดีที่หลบได้ทัน​ 
"นี่มันจะอันตรายเกินไปแล้วนะ" เธอที่เห็นจันทราภาจะถูกกับดักก็พูดออกมา​ ดีที่ว่าเธอไหวตัวทันจึงได้รอด
"ถึงจะเข้าใกล้ไม่ได้ก็ใช่ว่าจะไม่เห็นอะไรซะทีเดียว" จันทราภาได้พูดขึ้นมาเมื่อเห็นร่างไร้วิญญาณ​ในห้องนั้น
"หรือว่าจะเป็นพระศพสนมองค์นั้น​ แต่ทำพิธีแล้วก็ไม่น่าจะเป็นไปได้นี่"อัญญานีที่ตามมาดูก็ได้เห็นเช่นกันแต่ยังประหลาดใจอยู่
"เรามีเพลาไม่มาก" จันทราภาไม่รอช้าเร่งวาดภาพของสนมนั้นลงบันทึกเพื่อให้ได้ลักษณะที่จะมาเล่าสู่ให้จันทลักษณ์​ฟังโดยทันที​ อัญญานีก็ได้คอยเก็บธนูที่ปล่อยออกมาไปซ่อนเสียจะได้ไม่มีใครผิดสังเกต​
" เช่นนั้นแล้วเมื่อถึงวันอาทิตย์​ทรงกลดลูกจะบอกให้ศุภลักษณ์​เข้าใจพระเจ้าค่ะ​ แต่ว่าเพชรราหูเป็นน้องของลูกลูกทำใจลงโทษไม่ได้พระเจ้าค่ะ" จันทลักษณ์​พูดหลังจากถูกโน้มน้าวให้กระทำโทษพี่น้องกันเองจากคนที่อาศัยร่างพระบิดาอยู่
"ทำไมจะไม่ได้!!" ถึงจะควบคุมอาการเกลียดชังไว้ก็จริงอยู่แต่ไม่ได้ดั่งใจเช่นนี้อารมณ์​ก็ขึ้นเป็นธรรมดา
" ลูกทำไม่ได้จริงๆ​ เป็นไปได้ลูกขอรับผิดแทนเพชรราหูพระเจ้าค่ะ"เขาพูดพลางคุกเข่าลงขอโทษทัณฑ์​แทนอนุชา​ สร้างความพอใจอย่างมาก​ ดีล่ะเธอจะได้ทำตามที่หวังเสียที​ มือของเธอยื่นไปจับที่ไหล่ของคนที่กำลังคุกเข่า​ จังหวะนั้นเองจันทลักษณ์​ก็ใช้โอกาสนี้จับชันนุเข้าให้ข้อพับพับลงจนเสียการทรงตัวล้มไปกับพื้น​ จึงได้ใช้กระจกส่องเหมือนพวกคนวันอาทิตย์​ทำแต่ทว่านี่คือพระวรกายที่แท้จริงของพระบิดาแต่วิญญาณที่อยู่ในร่างนี่เป็นของใครกันแน่ล่ะ​ นางไม่รอช้าตัดสินใจใช้มนต์​ดำใส่ศัตรูแต่เขาก็ไหวตัวหลบทัน​ นางจึงใช้วิธีสกปรกมาขู่เอาเสียแทน
"เจ้าอยากเห็นองค์เหนือหัวเป็นอะไรไหมล่ะ​" นางไม่ทำจริงหรอกแต่นางต้องทำเพราะไม่รู้ว่าสังวาลย์​นี้จะทำให้นางได้รับบาดเจ็บขนาดไหน
"อย่าทำอะไรเด็ดขาดนะ" เขาอยากจะสู้แต่ว่าเขาก็มิอาจทำได้เพราะเป็นห่วงพระบิดา
"อยู่เฉยๆ" ว่าแล้วเขาก็ยอมทำตามโดยง่าย​ คนเล่นคุณไสยใช้มนต์​ดำทำเชือกมัดเขาไว้แต่ก่อนที่จะเสร็จดีเข้าก็ใช้วิชาเชื่อมความรู้สึกเหมือนกัน​ ยิ่งเขาเจ็บมากนางก็จะรู้สึกเจ็บปวดไม่ต่างกัน
" เจ้าทำอะไรข้า​ห๊ะ!!" เสียงตวาดลั่นไปทั่วจนคนอีกฝั่งได้ยิน​ ท่าไม่ดีแล้วควรจะไปช่วยดีกว่าปล่อยไว้
"ก็ทำที่ควรทำนั่นล่ะ" เขาไม่ยอมเจ็บคนเดียวหรอกแต่ยังมีห่วงบิดาไม่น้อย​ นางโกรธแค้นมากจึงร่ายมนต์​เพิ่มความเจ็บปวดแต่ตนก็เจ็บไม่ต่างกัน​ เขาทนเห็นร่างกายพระบิดาทนทุกข์​ทรมานไม่ได้แล้วจึงใช้พลังของสังวาลย์​มณีทำลายมนต์​เสีย​ ประกอบกับที่พวกผู้หญิงจะมาตามเสียงพอดี​ ไม่ทันจะได้ช่วยอะไรต่อ​ ผีดิบที่ผกากรองเลี้ยงไว้ก็ได้มาตามเล่นงานพวกเขาทั้งสาม​ ทั้งหมดจึงต้องร่วมมือกันสู้แต่ทำอย่างไรก็ไม่เป็นผลเลยนี่สิ​ ​ จันทราภา​ อัญญานีและจันทลักษณ์​จึงใช้ของวิเศษประจำกายปล่อยพลังมาทำลายพวกผีดิบ​จนสิ้น​ ผกากรองที่ซ่อนตัวอยู่จึงใช้คุณไสยทำครอบเมืองไม่ให้ทั้งสามไปไหนได้​  พวกเขาจึงรวมพลังกันต้านอีกครั้ง​จนสำเร็จ​ แต่ไร้ซึ่งร่องรอยของท้าวธริษตรีที่มีวิญญาณอื่นอาศัยอยู่เลย​ อัญญานี​รู้สึกอ่อนแรงคงจะใช้พลังได้เพียงแค่ครั้งเดียว​คงต้องกลับไปตั้งหลักก่อน​ เขาจึงได้เสนอให้กลับกันก่อนส่วนพระบิดาไม่น่าจะเป็นอันตรายเท่าใดนักเพราะอย่างไรก็เป็นที่อาศัยของใครเหมือนกัน​ เมื่อกลับว่าได้แล้วผู้ใช้แหวนก็หมดสติไปพร้อมกับร่างกายที่ร้อนดั่งไฟลน​ จันทลักษณ์​จึงพาอุ้มไปส่งยังที่พัก​ โดยมีจันทราภาคอยดูแลอาการไม่ห่าง
"พระธิดาทรงเป็นอะไรเพคะ" บัวแย้มถามด้วยวิตกที่พบภาพตรงหน้า
"คงเป็นเพราะใช้พลังของแหวนติดต่อกันหลายครั้งน่ะ​พวกเราควรจะรักษานาง" จันทราภาออกความเห็น
"เรามีว่านลดเตโช​ ที่พอจะทำให้ธาตุไฟในร่างสมดุลขึ้นได้​" ว้่่าแล้วจันทราภาก็เร่งเอาน้ำจากสระอโนดาตที่เหลืออยู่พอใช้แค่ครั้งนี้มาป้อนพร้อมกับว่านยา
"อาการน่าจะดีขึ้นในวันมะรืนนี้​ ช่วงนี้ก็งดให้นางใช้พลังเสียก่อน"จันทลักษณ์​กล่าว​ แล้วจึงขอตัวแต่ก่อนจะไปจันทราภาได้นำภาพวาดที่นางทำมาได้ให้แล้วเล่าให้ฟัง​ เขาไม่อยากรบกวนจึงได้ขอแยกตัวไปวิเคราะห์​เสียเองเพื่อที่จะให้คนต่อไปสานงานต่อ
......
"ปล่อยพลังแค่นี้จะไปสู้กับพวกมันยังไงกันล่ะ​"อัคนินต่อว่าบดิศรที่ใช้พลังไม่เต็มที่
"ออมพลังไว้ใช้วันจริงน่ะสิ" เขาก็ตอบโต้บ้าง
"เจ้ามันขี้ขลาดกลัวจะแพ้เหมือนเดิมที่สู้กับพวกนั้นล่ะสิ" เขาก็จะเย้ยต่อไป
"เจ้ากำลังว่าตัวเองให้คนอื่นฟังอยู่งั้นเหรอ" ว่าคืนเข้าให้​ อัคนินไม่พอใจมากจึงใช้พลังพุ่งตรงเข้าทำร้ายบดิศรแต่เจ้าตัวอีกฝั่งก็มิยอม​ จึงได้ใช้พลังใส่กันไปมาต่างฝ่ายต่างก็ใส่พลังเพิ่มกันสุดฤทธิ์​เมื่อใส่ถึงขั้นสุดรอยแยกในสิ่งประทานจากวิษุวัต​เทพก็ปรากฏเพิ่มที่สำคัญความเจ็บก็เริ่มทำร้ายพวกเขาจนบาดเจ็บมากกว่าครั้งก่อน​ สองเทพที่กลับมาได้จับทั้งสองแยกจึงได้พอ
" นี่พวกเจ้าจะตีกันเองไปถึงเมื่อไหร่" ปัจจาเข้าต่อว่าในทันที
"ก็มันเริ่มก่อนแท้ๆ" อัคนินก็โมโหไม่หาย
"พอที​ พวกเราต่างก็มีหน้าที่เพื่อพระเทวาทั้งนั้น​ ขืนยังตีกันไม่เลิกแบบนี้จะทำการสิ่งใดก็ไม่สำเร็จหรอก" เขาดูอารมณ์​รุนแรงกว่าทุกครั้งที่ปรามน่าจะได้รับแรงกดดันจากนายมากโข
" เอาเถอะน่าเรื่องมากผ่านไปแล้ว" ธานินทร์​ไม่อยากให้บานปลายจึงได้ยั้งไว้
"แต่มันก็ไม่รู้อะไรบางอย่าง​ว่าการที่สู้กันเองจะให้เกิดความเสียหายมากกว่าเดิม​ บางทีพวกนั้นก็อาจจะเป็นเหมือนเรา"  รอยร้าวที่ลึกและยาวกว่าของเก่าจนแทบจะผ่าซีกนั้นทำให้บดิศรได้รู้ข้อมูลเพิ่ม​ไปพร้อมๆกับผู้อื่น​ ข้อมูลนี้จะสามารถใช้แค่ไหนนั้นเมื่อถึงคราใช้ก็จะได้รู้เอง



หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มิถุนายน 06, 2020, 06:48:06 PM
ขออภัยด้วยนะคะ​ วันนี้ฟ้าร้องหนักมากเลยลงช้าไปค่ะ​ ขอโทษจริงๆค่ะ w15 w15
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มิถุนายน 13, 2020, 06:25:17 PM
วันนี้ขอเลื่อนเวลาอัพเป็น20.15น.นะคะ​ พอดีว่าไฟล์ที่แต่งไว้ขาดหายไปไม่ต่อเนื่องกันค่ะ w15 w15
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มิถุนายน 13, 2020, 08:19:02 PM
ผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งวันคืนจนถึงอีกวันหนึ่งแล้วนั้น​  ไม่มีทีท่าว่าอัญญานีจะฟื้นคืนจากนิทราเลย​ จริงอยู่ที่ว่าอาการวรกายร้อนดังอัคคีนั้นหายไปแต่คนที่ดูแลจะสบายใจได้อย่างไรกันในเมื่อเธอไม่ได้ฟื้นขึ้นมาเลย
" เหตุใดกันที่พระธิดายังไม่ฟื้นจากพระบรรทมอีก" บัวแย้มที่ดูอาการได้พูดขึ้นมา​ ร่างกายของตนนั้นอ่อนเพลียแต่ยังพอทนได้จะห่วงก็แต่ผู้ที่หลับใหลเท่านั้น
" จันทลักษณ์ไม่ได้บอกกับเจ้าหรอกเหรอว่านนี้มีผลข้างเคียงทำให้หลับไปถึงสองวันสองคืน แต่ก็ช่างเถอะยังไงเสียพรุ่งนี้น่ะนางก็จะหายดีแล้ว" ปัทมาสน์เดินเข้ามาพร้อมกับพูดหลังจากได้ยินที่บัวแย้มกล่าวออกมา
" พระธิดา" เธอเข้าไปหาอีกคนด้วยความยินดีที่ได้พบหน้ากับผู้ที่เข้ามาอีกครั้งในรอบสิบปี
" เรานึกว่าเจ้าได้พระธิดาองค์ใหม่แล้วจะลืมเราแล้วซะอีก" เธอแกล้งพูดไปอย่างนั้นเพราะใจจริงแล้วเธอก็รู้ดีกว่าใคร ในความผูกพันนี้ไม่อาจขาดจากกันได้
" พระธิดาเพคะ​ บัวไม่ได้ลืมพระธิดาเลยแม้แต่ครั้งเดียว.." เธอพยายามอธิบายแต่อีกตนรู้ดีอยู่แล้วจึงได้กล่าวตอบต่อไป
" เรารู้ เราแค่ถามไปอย่างนั้นเอง"เธอเปลี่ยนสีหน้าที่แกล้งทำจริงจังใส่เมื่อครู่เป็นรอยยิ้มที่อบอุ่นแทน​ เธอได้พาอีกคนไปนั่งพักแล้วสนทนาต่อไป
" บัวดูแลอัญญานีมาทั้งวันแล้ว เราว่าพักผ่อนก่อนเถอะเราจะให้จั๊กกะแหล่นมาดูแลแทนเจ้าเสียก่อน ไว้พักผ่อนเพียงพอแล้วเจ้าค่อยดูแลต่อก็ได้... เข้ามาสิ" เธอพูดด้วยความเป็นห่วงเพราะรู้ดีว่าความเป็นห่วงของบัวแย้มนั้นที่มีต่อพระธิดาที่อยู่ด้วยกันมานับสินปี ส่งผลให้เธอไม่สามารถพักผ่อนได้โดยที่ยังไม่เห็นอาการที่ดีขึ้นของอีกคนอย่างชัดเจน​ เพราะเหตุนี้จึงต้องหาใครสักคนมาช่วยแบ่งเบาความเหนื่อยล้าลง
" ไม่ต้องลำบากพี่จั๊กแหล่นหรอกเพคะพระธิดา​ บัวยังไหว" ไหวน่ะไหวในความคิดเธอแต่กับคนอื่นน่ะไม่ใช่อย่างนั้นน่ะสิ
"ไม่ลำบากเลยจะหนูบัว​ พี่จั๊กน่ะเต็มใจ๊เต็มใจ" เสือสาวเธอบอกอย่างนั้นก็สร้างความพอพระทัยให้พระธิดาอสุราเป็นอย่างมาก
"เห็นไหม​ เจ้าตัวเขายังออกปากว่าไม่ลำบาก​เลย​ เช่นนั้นแล้วบัวก็พักผ่อนเสียเถอะ​ เราไปป่าสักพักหนึ่งแล้วเราจะกลับมา" พูดอย่างนั้นก็คงต้องทำตามแต่โดยดี​ แต่อีกคนอดนึกถึงเหตุผลที่ต้องเข้าป่าเสีย​ไม่ได้​มันก็น่าหนักใจอยู่หรอก​ จะห้ามก็ห้ามมิได้เสียด้วย
.....
" กลับมากันแล้วเหรอนึกว่าจะไปแล้วไปลับไม่กลับมาซะอีก" เจ้าสิงโตกล่าวทักทายตาหวานและหิ่งห้อยยักษ์ที่กลับมาจากธุระ​ที่ทำมาร่วมสองวันแล้ว
" เหวยเหวย​ ข้าก็ต้องกลับมาสิ ขืนปล่อยไว้กับเองอย่างเดียวน่ะยุ่งแน่" ผีโครงกระดูกที่มีชิ้นส่วนซี่โครงเพิ่มมานั้นตอบกลับคำทักทาย
"  ยุ่งยังไง พวกเจ้ากลับมาสิไม่ว่า ข้าอยู่ของข้าดีๆยังไม่ได้ทำอะไรให้พระโอรสพระธิดาเล้ย​ ดีไม่ดีนี่นะการที่พวกเจ้ากลับมาอาจจทำความวุ่นวายเกิดขึ้นก็ได้" พูดจายั่วโทสะเสียจริง แต่กระนั้นเลยดูท่าแล้วทั้งสองคงจะอยากไปเข้าเฝ้าพระโอรสวันอังคารเสียมากแล้ว คงไม่ว่างที่จะมาต่อล้อต่อเถียงอีกต่อไปหรอก
" ความวุ่นวายที่เกิดจากเจ้าล่ะสิไม่ว่า ไปกันดีกว่าเถอะพี่ตาหวาน อย่าไปต่อล้อต่อเถียงกับสิงโตนิสัยแบบนี้เลย"หิ่งห้อยยักษ์​กล่าวตอบไปแล้วตัดจบบทสนทนาเสียเพราะตนมีเรื่องสำคัญกว่าต้องทำ
" กลับมาแล้วเหรอพี่หิ่งห้อยพี่ตาหวาน" อังคาสที่กำลังอ่านบันทึกอยู่นั้นได้รับรู้ถึงการกลับมาจึงได้ถาม
" พระเจ้าค่ะ พี่ตาหวานได้ชิ้นส่วนมาเพิ่มพระเจ้าค่ะ" ไม่พูดเปล่าคันอยากแสดงให้เห็นจริงๆว่าเขานั้นมีชิ้นส่วนมาเพิ่มนอกจากศีรษะและแขนสองข้างของเขา
" พระโอรสพระเจ้าค่ะ หม่อมฉันมีสิ่งสำคัญ จะทูลต่อพระโอรสพระเจ้าค่ะ" เจ้าหิ่งห้อย มาพร้อมกับบันทึกที่อยู่ด้านหลังของเขา สิ่งนี้คงจะเป็นข้อมูลสำคัญโดยแท้
" อะไรกันหรือพี่หิ่งห้อย" เขาสนใจเรื่องที่จะกล่าวต่อไปนี้เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ
" บันทึกเล่มนี้เป็นของศรุตที่บรรพบุรุษของหม่อมชั้นเคยใช้มาพระเจ้าค่ะ" อีกคนเห็นดังนั้นจึงได้เอาบันทึกขึ้นมาดูแล้วเก็บไว้ยังที่ชั้นตำรา
" ขอบใจพี่หิงห้อยมาก​ บันทึกเล่มนี้จะต้องมีข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับเกราะกายสิทธิ์แน่และอาจจะเกี่ยวข้องกับเทพวิษุวัตด้วยก็ได้  ไว้ว่างแล้วน้องจะอ่านนะ" ไม่ทันไร​ ที่ได้อ่านบันทึกที่อยู่ในมือไปมา เขาก็ทำเหมือนกับว่าคิดอะไรได้บางอย่างจึงเร่งรีบที่จะออกไป
" พระโอรสจะไปไหนพระเจ้าค่ะ"ตุ้บเท่งถามขึ้นมาเมื่อเห็นทีท่าว่าเขาจะไป
"  ไม่เกี่ยวกับเจ้า!! "เขาตอบอย่างนั้นแล้วจึงมุ่งหน้าออกไปทันที
.........
ที่สรวงสวรรค์ในตอนนี้นั้น โปรยปรายไปด้วยกลีบบุปผานานาพันธุ์ ราวกับมีงานอันเป็นมงคล ซึ่งจริงๆแล้วก็นับว่าเป็นงานมงคลอย่างหนึ่งเพราะพระเทวราชากำลังจะเสด็จไปเฝ้าพระเทวาตีรมูรติ และบำเพ็ญเพียรในรอบสองพันปีเป็นเวลาสิบห้าวันสวรรค์โลก
" เทพวิษุวัต ระหว่างที่เราไม่อยู่นี้เราขอให้ท่านช่วยดูแลสวรรคโลกและมนุษยโลกแทนเรา​ อย่าให้บังเกิดความผิดพลาดเลย"  พระองค์ทรงความไว้วางพระทัยเทพวิษุวัตเพราะคิดว่าการที่บำเพ็ญมานับทศวรรษ​มนุษย์นั้นน่าจะเพียงพอที่จะทำให้จิตใจของเขากลับมาบริสุทธิ์ดังเดิมแล้ว
" รับด้วยเกล้าพระพุทธเจ้าค่ะ" เมื่อเขาตอบรับแล้วพระอินทร์จึงเสด็จไปตามที่กำหนด โดยมีขบวนไปส่งเสด็จพระองค์​ หลังจากที่ขบวนผ่านไปได้ไม่นานจึงเริ่มทำการต่อทันที
"ปัจจา​ธานินทร์​ พวกเจ้าจงไปรวบรวมบุคคลสำหรับการต่อสู้ในวันพรุ่งนี้และวางแผนกันให้ดีอย่าให้ผิดพลาด" สิ้นคำสั่งแล้วนั้น เหตุทั้งสองจึงลงไปรวบรวมทันที​ ว่าเป็นก้าวแรกที่ไม่ผิดพลาดเสียทีเดียวของเทพท่านเท่าใดนักที่คิดจะทำการใหญ่ต่อไป
.....​
บัวแย้มที่สามารถพักผ่อนได้เต็มที่แล้วนั้นได้ ขึ้นมาแบ่งอาหารให้กับจั๊กแหล่นเพื่อเป็นการตอบแทนที่มาช่วยตน เมื่อทั้งสองทานอาหารได้ไม่นาน พระนัดดาของเมืองก็เสด็จมาโดยทันที
"บัว!" เขาเรียกชื่อทันทีที่พบหน้าว่าแต่ว่ามีเรื่องอะไรกันนะ
" พระโอรสเสด็จมาที่นี่มีเรื่องอะไรหรือเพคะ" บัวแย้มถามขึ้นมาด้วยสงสัยมีธุระอะไรกันนะถึงมาที่นี่
"เรามาพบปัทมาสน์​ นางลักของเราไป" เขาพูดอย่างนั้นก็อดทำให้อีกคนสงสัยไม่ได้​ คนอย่างนางน่ะหรือจะสามารถไปขโมยของคนอื่นแบบนั้นได้
" ของสิ่งใดกันเพคะ​ พระธิดาทรงไม่ได้เป็นคนแบบนั้น" เธอนั้นอยากจะรู้นักเชียวของสิ่งใดที่มันมีค่าพอที่จะให้คนลักขโมยได้ถึงขนาดนั้น
" เราบอกไม่ได้ บอกเรามาดีกว่าว่านางอยู่ที่ไหน" เขาอยากจะสะสางเสียเต็มทนนี่มันก็สิบปีแล้วที่ไม่ได้ของคืน
" หม่อมฉันไม่บอกพระโอรสหรอกเพคะ​ จนกว่าจะทรงบอกหม่อมฉันว่าพระธิดาทรงลักของสิ่งใดไป" เรื่องอะไรเธอจะยอมบอกถ้าเธอไม่ได้รู้เรื่องนี้ก่อน
"บัว!!" เขาโอนเรียกเสียไม่ได้เวลาอย่างนี้เธอยังจะมาต่อรองกับเขาอีกหรือ
" พระโอรสพระทัยเย็นไว้ก่อนนะพี่คะ​ พระธิดาเสด็จป่าแล้วเพคะ​ แต่พระโอรสไม่ต้องไปตามหรอกเพคะ อยู่กับจั๊กกะแหล่นดีกว่า" เธอพูดให้เขาไม่ไปแต่จะห้ามได้เหรอนั่น
" ขอบใจเจ้ามาก เราไปไม่นานหรอกแล้วเราจะกลับมานะบัว" ว่าแล้วเขาก็ไปเลยแล้วเราจะกลับมานี่คงจะได้กลับมาแค่คนเดียวเสียกระมัง น่าจะตีกันตายเสียก่อน
" พี่จั๊กกะแหล่นไม่น่าไปบอกเขาเลย เอาอย่างนี้แล้วกันพี่ดูแลพระธิดาไปก่อน เดี๋ยวบัวจะกลับมา" เธอตามไปเพราะเกลัวว่าเรื่องจะไม่จบง่ายๆ​ แต่ระยะห่างที่ตามนี่สิไม่แน่ใจเลยว่าไปทางไหน
.....​
" พวกเจ้าแน่ใจได้อย่างไรกันว่าวิธีนี้จะทำให้พวกนั้นน่ะพ่ายแพ้ต่อเราจริงๆ" ฤาษีทมิฬ พูดขึ้นหลังจากได้ยินคำเชิญของปัจจา
" พวกนั้นมีคนมากกว่าก็จริงอยู่ แต่หากเราตัดกำลังพวกนั้นได้ แล้วให้สิ่งวิเศษทั้งสี่ปะทะกันแล้วก็ เราว่าอย่างไรเสียไม่ชนะก็น่าจะเสมอกันอย่างแน่นอน อย่าอย่างนั้นเลย ยังไงพรุ่งนี้เราก็ต้องชนะให้ได้ไม่ว่าจะวิธีใดก็ตาม" ธานินทร์​กล่าวตอบอย่างนั้นเพื่อให้ฤๅษี​ได้ตัดสินใจ
" เช่นนั้นแล้วท่านฤาษีคิดอย่างไร จะเข้าร่วมหรือไม่ก็เป็นสิทธิ์ของท่าน หากท่านจะเข้าร่วมแล้วอาทิตย์อัสดงของวันนี้ ให้มารวมตัวกันเพื่อวางแผน หากไม่ท่านก็จงอยู่ ณ อาศรมของท่านเถิด  พวกเราขอลาก่อน" พระเจ้าพูดอย่างนั้นทั้งสองจึงได้เดินทางไปยัง ที่อื่นเพื่อรวบรวมบุคคลอื่นต่อไป
....
"​ เอาของเราคืนมา!! "ทันทีที่พบกันก็พูดเช่นนั้น​ ช่างขัดจังหวะยักษีที่หาจับสัตว์​ป่ากินเสียเหลือเกิน
" ไม่คืนถ้าอยากได้คืนเจ้าก็ต้องเอาชนะเราให้ได้ก่อน​ ก็อย่าใช้เกราะวิเศษอะไรนั่นของเจ้าเด็ดขาดเลยนะไม่อย่างนั้นน่ะคงจะหน้าไม่อายน่าดู"เธอตอบอีกคนเป็นเชิงท้าทาย​ เขาจึงรับคำท้าโดยการกระโดดขึ้นไปอยู่บนบ่าของเธอจากนั้นแล้วจึงแปลงกายเป็นหินขนาดใหญ่ ทำให้อีกคนถึงกับเข่าทรุดลงกับพื้น แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ตั้งสติทันแล้วใช้มืออีกข้าง มานำหินนั้นออกไป แต่ถ้าว่าหินนั้นได้กลายเป็นงูขนาดเล็กลอดผ่านมือของเธอไปแล้วกลับกลายเป็นร่างขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นพญานาคสีทองประกายเพชรแทนแล้วมารัดตัวเธอเสียหายใจเกือบไม่ออก
" ยอมแพ้หรือยัง" เขาถามเพื่อให้อีกตนยอมรับแล้วส่งสิ่งของที่ว่ามาเสียดีๆ
" ไม่ยอมแพ้หรอก" ว่าแล้วเธอก็ได้แปลงกายเป็นวิหคขนาดเล็กพอที่จะรอดผ่าน ช่องที่จะรัดให้เธอหายใจไม่ออกได้ แล้วนกนั้นก็กลายเป็นพญาครุฑขนสีชาติประกายแก้ว เข้าจิกที่นาคตนนั้นทันที​ ฝ่ายนาคนั้นไม่ยอมจึงได้ปล่อยลูกไฟเข้าทำร้ายครุฑตัวนั้น ฝ่ายนั้นนั้นจึงได้ใช้สายฟ้ามาตอบโต้ เกิดไฟลุกลามและสายฟ้าฟาดไปทั่วบริเวณป่าผืนนั้น มันจะก่อความเสียหายมากกว่าผลดีน่ะสิ
...
ที่ทะเลฝั่งตะวันตกนั้นเอง ปัจจาและธานินทร์ได้เข้าพบกับวัศพลนาคราชเพื่อเชิญชวนให้เข้าร่วมด้วยเช่นกัน
" ถ้าเราเข้าร่วมแล้วเราจะได้อะไรจากการเข้าร่วมครั้งนี้ล่ะ สู้เราเอาเวลาไปปกครองเมืองเราไม่ดีกว่าเหรอ"เขาถามไปเพราะไม่แน่ใจเท่าใดนัก
" การปกครองบ้านเมืองก็เป็นคุณธรรมที่สมควรกระทำอยู่ แต่หากท่านเข้าร่วมการต่อสู้นี้นั้น การที่จะทำการใหญ่ต่อไปก็เป็นเรื่องง่ายไม่ใช่หรอกหรือ ที่สำคัญ หากชนะในครั้งนี้​ การใหญ่ที่ว่าก็จะส่งผลให้พระองค์​ได้เป็นใหญ่ ไม่ต้องแบ่งอำนาจกับพี่น้องอีกทั้งสามคน พระองค์ไม่เห็นถึงเขตประโยชน์นั้นหมดหรือ"ปัจจากล่าวสิ่งที่วัศพลต้องการที่สุดเพื่อโน้มน้าวให้กระทำการนี้ได้
"เป็นอันว่าเราตกลง" คิดไม่นานก็ตอบตกลงในทันทีเพราะเห็นว่าตนได้รับประโยชน์ไม่น้อยเลย
"อาทิตย์​อัสดงวันนี้ขอเชิญท่านมาร่วมวางแผนด้วยกันพระเจ้าค่ะ​ พวกหม่อมฉันทูลลา" ปัจจากล่าวแล้วจากไปกับธานินทร์
.....
"พระโอรส​ พระธิดา​ หยุดก่อนเถอะนะเพคะ" บัวแย้มที่ตามมาก็ห้ามนาคครุฑที่ตีกันอยู่นั้นเพราะคงจะเป็นใครไม่ได้นอกจากเขาทั้งสองแน่
"จนกว่านางจะยอมคืนของให้เรา​ บัวหลบไปก่อน"อังคาสตอบกลับแบบนั้น​ ต้องหาเข้าทางคนของตนเองเสีย
" พระธิดาเพคะ​ พระธิดาเคยสัญญากับบัวเแล้วนี่เพคะว่าจะไม่สังหารสิ่งที่ชะตาไม่ถึงฆาตในวันอังคารที่สามนี้" สิ้นคำพูดของเธอ​ ครุฑจึงได้เปลี่ยนร่างกลับเป็นร่างปกติเท่ามนุษย์​ ถึงอีกฝ่ายจะยังสงสัยแต่ว่าก็เปลี่ยนร่างกลับมาตามเดิมเช่นกัน​ เมื่อมองป่าที่ติดไฟและสายฟ้าจึงใช้พลังดับเสียให้สิ้น​ ร่างกายทั้งสองได้รอยแผลจากการต่อสู้มาบางส่วนด้วยสิ
" พระธิดาพิโรธสิ่งใดพระโอรสหรือเพคะ​ ของที่ว่าพระธิดาได้เอาไปหรือเปล่าเพคะ"สิ้นการกระทำบังแย้มก็ถามทันที
"ใช่​ เราเอาไปเอง" รับกันตรงๆนี้ล่ะไม่มีเหตุผลต้องบ่ายเบี่ยงเลยนี่
"ดีนี่ที่ยอมรับ​ แต่จะดีซะกว่านะถ้าคืนให้เรา" อังคาสกล่าวต่อเลย​ อีกฝ่ายไม่อยากฟังได้หันหน้าไปทางอื่นไม่พูดจา​  แต่เมื่อหันไปก็พบกับบดิศรที่ลอบดูอยู่หลังต้นไม้นั่น
" อย่าพระทัยร้อนสิเพคะ.. พระธิดาคืนให้พระโอรสเถอะเพคะจะได้จบปัญหา" บัวก็พยายามทำให้สถานการณ์​ดีขึ้นแต่ว่ายักษ์​ที่หันหน้าไปนั้นก็เดินจากไปอย่างเร่งรีบ​ บัวแย้มที่กำลังจะตามไปก็ถูกคว้ามือให้หยุดทันที
"จะไปไหนทำแผลให้เราก่อน​ พระธิดาของเจ้าไม่รับเจ้าก็ต้องรับผิดชอบแทน" เธอที่เห็นว่าตามไม่ทันแล้วจึงยอมตามอีกคนไปทำแผลให้แต่โดยดี​ หวังจะช่วยคลี่คลายปัญหานี้ได้บ้าง
"มาที่นี่ทำไม​ หายดีแล้วเหรอ" เธอถามทันทีที่ถึงตัวสหาย​
"เราดีขึ้นมากแล้ว​ เรามาเตือน" บดิศรเข้าเรื่องทันทีเพราะมีเวลาไม่มากนัก
" เตือน​แล้วจะช่วยอะไรเราได้ล่ะ​ "ปัทมาสน์​พูดไปแต่ใจก็อยากรู้
"ไม่ใช่ว่าช่วยได้ไม่ได้​... พรุ่งนี้พวกเราจะต้องสู้กัน​ ระวังตัวให้ดีนะ​ มันอาจจะอันตรายมาก"พร้อมจะสู้แล้วล่ะสินี่ถึงได้หาเรื่องมาสู้อีก
"กับสหายวันเดียวนี่ถึงกับต้องมาเตือนถึงที่นี่เลยเหรอ​ เราว่าไม่จำเป็นขนาดนั้นนะ" แปลกอยู่เหมือนกันสถานะศัตรูค้ำอยู่ไม่ใช่หรอกหรือ​ ออกมาเตือนก็ดูจะมากไปเสียหน่อย
" สำหรับเจ้าแล้ว​ หนึ่งวันก็เกินพอ"พูดอย่างนั้น​แต่สีหน้าเปลี่ยนหลังจากนั้นก็รู้สึกถึงว่าเวลาหมด​
" ขอบใจมาก​ รีบกลับเถอะ" พอเท่านี้ก่อน​ นานกว่านี้คงไม่ดีต่อทั้งสองฝ่าย
" สัญญาที่พวกเจ้ามีให้กันมันคืออะไร​ ทำไมต้องอังคารที่สาม" อยู่ๆก็ถามขึ้นมาอย่างนี้บัวก็ลำบากใจนะ
" พระโอรสอยากจะทราบ​หม่อมฉันจะทูลถวายเพคะ​ แต่ว่าพระองค์​จะต้องบอกก่อนว่าของที่พระธิดาลักเอาไปคืออะไร​ สำคัญถึงขนาดจะเอาชีวิตกันเลยหรือเพคะ" ไม่รู้ล่ะ​ อีกคนต้องบอกก่อนไม่งั้นจะไม่เล่าเรื่องนี้เด็ดขาด​ อังคาสที่เหมือนจะไม่ยอมในตอนแรกแต่มันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่จะต้องปิดบังเธอนี่นะ
" ศิลาสามสีที่เสด็จแม่ประทานให้กับเเพื่อรับเรา​เป็นลูกอีกคน นางเอาไปตอนที่กำลังเดินทางจากรัตนบุรีไปยังเมืองทิศพลตอนนี้ก็สิบปีแล้วนางยังไม่คืนให้เราเลย  ซ้ำนางยังท้าให้สู้​ ถือว่าไม่แพ้จะไม่คืนให้​ เราก็ต้องเอาชนะให้ได้" ประโยคท้ายที่เธอฟังก็เผลอลงแรงรักษา​แผลเสียหนักมือ​จนอีกคนหันมอง
" ขออภัยให้บัวเพคะ​ บัวไม่ได้ตั้งใจ​"เธอรู้ตัวจึงได้ขอโทษเสียไม่อยากให้หมางใจ
" ไม่เป็นไรหรอก" ดูท่าจะไม่โมโหเท่าที่เคยเห็นเลยนะ​ แต่อย่างนี้ก็ดีเหมือนกันจะได้คุยด้วยกันอย่างสบายใจ
" ส่วนเรื่องสัญญาเกิดจากที่พระธิดาเป็นยักษ์นี่ล่ะเพคะ​ มันเหมือนกับเป็นคำสาปให้ทุกอังคารที่สามของเดือน​พระธิดาจะเสวยผักผลไม้ไม่ได้​หรือแม้แต่พระกระยาหาร​ที่ปรุงสุกเลยเพคะ​ แต่เสวยเนื้อสิ่งมีชีวิตใดก็ตามที่สังหารหรือถึงฆาตได้เท่านั้น​ ยังดีที่ได้เรียนวิชาเรียกสัตว์​ถึงฆาตมาเสวยได้  พระธิดาจึงให้สัญญากับบัวว่าจะไม่สังหารสิ่งมีชีวิตใดก็ตามที่ไม่ถึงฆาตในวันนี้เพคะ"  เธอตัดสินใจเล่าไป​ หวังว่านี่จะทำให้เข้าใจกันบ้าง​ ไม่ต้องคิดทำร้ายกันจนถึงแก่ชีวิตอีก
" บัว​ อยู่ที่นี่เอง"ปัทมาสน์เข้ามาหลังจากที่เล่าเรื่องกันจบได้ไม่นานนักแต่มันก็พอที่จะไม่ให้เธอที่เพิ่งมารู้
" เอาคืนไปเถอะ​หินนี่น่ะ​ แต่ว่าเราไม่ได้ยอมแพ้นะ​ ทำแผลเสร็จแล้วเราพาบัวไปเลยแล้วกัน" มาถึงไม่ทันไรก็ตัดสินใจคืนของให้ง่ายดายแล้วพาตัวคนของตนไปในทันทีโดยไม่คิดจะพูดอะไรอีก​ แปลกไปนะบางที
"พระธิดาเป็นอย่างไรบ้างเพคะ​ ดูไม่สบายพระทัยเลย" หลังจากพามาจนถึงสระน้ำของเมืองพระธิดาเธอจึงได้ปล่อยมือ​ แต่สีหน้าดูไม่ดีเลย
" ไม่หรอก​.. เรามีของจะให้บัวด้วย​ กะว่าพบกันเมื่อไหร่เราจะมอบให้" สีหน้าจริงจังก็กลายเป็นรอยยิ้มเมื่อพูดถึงสิ่งที่จะให้
"พระธิดาจะทรงมอบสิ่งใดให้บัวเพคะ" เธอได้ถามถึงสิ่งนั้นเป็นการตอบสนองที่อีกตนต้องการฟัง
"นี่ล่ะ​ เรากับจินร่วมกันสร้างมาให้" เธอจับมือซ้ายอีกคนขึ้นมาแล้วสวมกำไลที่ต้องแสงแล้วจะเห็นเป็นลายดอกบัวที่วิจิตรงดงามราวกับใช้ช่างชำนาญทำ​
"จริงสิ​ นี่ไม่ใช่กำไลธรรมดาหรอกนะ"เธอเว้นช่วงให้มีสวนร่วมในการสนทนา
"กำไลนี่วิเศษยังไงหรือเพคะ" เธอฉงนนัก​ หรือว่ากำไลนี้จะมีพลังวิเศษเหมือนแหวนที่อัญญานีสวมใส่กันนะ
"กำไลนี่ก็นี่ท่องมนต์ให้เป็นดอกบัวขนาดใหญ่ได้น่ะสิ​ แล้วดอกบัวนั้นน่ะจะสามารถป้องกันคนที่อยู่ในนั้นจากการโจมตี ยากที่ใครจะเข้าได้หากเจ้าของมิได้ยินยอมด้วย  จำสองบทนี้ให้ดี หากต้องการให้กำไลกลายเป็นดอกบัวให้ท่อง​ โอมปทุมามหาบุปผาวาวลัย​ หากต้องการให้ดอกบัวกลายเป็นกำไลดังเดิม​ให้ท่อง​ โอมปทุมาจุลบุปผาวาวลัย​ นอกจากจะจำให้ขึ้นใจแล้วขณะที่ท่องต้องตั้งใจ​ เอาล่ะลองดูสิบัว"เธอกล่าวเสร็จจึงให้อีกคนท่องมนต์​ที่ตนสอนให้​ ถึงจะเป็นมนต์ง่ายๆแต่ใช่ว่าจะใช้ได้กับทุกคนเสมอไป​  จึงจะให้ลองดูก่อน
" เพคะ.. โอมปทุมมามหาบุปผาวาวลัย" กำลังที่ข้อมือตอนนี้กลายเป็นพลังมุ่งสู่สระน้ำแปรเปลี่ยนเป็นดอกบัวขนาดใหญ่​
" เข้าไปชมด้านในสิบัว​" ว่าแล้วจึงพากันขึ้นสู่บัวดอกนั้น​ ในนั้นนุ่มราวกับปุยฝ้ายก็มิปานอีกทั้งเย็นสงบรมรื่นมากเสียด้วย
"ดอกบัวนี้เป็นของบัวแล้ว​ บัวจะใช้งานอย่างไรย่อมได้  แต่เราขออย่างเดียว​ ต่อจากนี้อย่าไว้ใจให้ใครมาอยู่ในนี้กับบัวตามลำพัง​ ไม่อย่างนั้นจะเป็นอันตรายได้​ " เธอเตือนด้วยหวังดีเพราะไม่แน่เธออาจจะไม่สามารถปกป้องบัวได้อีกต่อไป
"เพคะ​ พระธิดา" เธอยิ้มตอบรับ​ ชี​วิตของเธอรู้สึกอุ่นใจเสมอที่ได้อยู่กับบุคคลที่เปรียบเสมือนพี่น้องขนาดนี้
" แต่เราจะขอให้บัวช่วยเราอีกเรื่องหนึ่งในวันนี้" เสียงที่สดใสนั้นดูจะจริงจังขึ้นบ้าง​ เธอมองอีกแล้วเริ่มบอกสิ่งที่จะขอทันที
......
"ไปไหนมา" อัคนินที่รู้ว่าอีกคนไปยังด้านนอกมาได้เข้ามาถามในทันที่ที่เขาได้มาถึง
"จะไปไหมก็ไม่เกี่ยวกับเจ้า" บดิศรเบื่อหน่ายกับคนที่ชอบชวนตีกับเขา​ ไม่อยากจะข้องแวะด้วยหรอกถ้าาไม่ใช่งาน
"พรุ่งนี้เราก็จะสู้อยู่แล้ว​ ยังคิดจะเอาใจไปสนเรื่องอื่นอีก​ ระวังเถอะจะไม่รอดเอา" คำพูดนี่ดูหวังดีเสียเหลือเกินนะ
"เราว่าเอาเพลาที่ว่าเราไปพัฒนา​ฝีมือของเจ้าซะยังจะดีกว่า​ เสียเพลากับเจ้ามาก็มาก​ เราขอตัว" ว่าแล้วก็จากไปไม่รีรอให้อีกคนได้พูดโต้ตอบตน
.....​
ธนูที่ยิงมาเกือบถูกบุคคลทั้งสองที่สวมใส่สิ่งวิเศษ​ ธนูทั้งสองดอกนั้นมีสาส์นท้าต่อสู้​ ณ​ ศาศวัตบุรีในวันพรุ่ง​เพื่อจบทุกสิ่งอย่างเสียที​ แต่มันจะจบจริงน่ะเหรอหากมีใครชนะสักฝ่ายเข้าจริงๆ​ 
" จั๊กแหล่น​ ไปบอกกับพวกเขาว่าพรุ่งนี้เดินทางตั้งแต่รุ่งสาง​ ส่วนเจ้าเราขอให้อยู่ที่นี่เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันทัน" ปัทมาสน์ที่อ่านเสร็จจึงได้วานให้เสือตนนี้ไปบอกกล่าวให้ฟัง
"ได้​ ระวังให้ดีแล้วกัน​ พวกนั้นน่าจะเล่นไม่ซื่อ" อังคาสที่ได้ฟังจึงกล่าวตอบไป​ ชะตาพรุ่งนี้จะเข้าข้างพวกเขาแค่ไหนนะ
...
" ทางนั้นมีกันสิบสี่คน​ ถ้ารวมบริวารน่าจะได้สิบแปดคน​ ฝั่งพวกเรามีเพียงเก้าคน​ ดังนั้นแล้วควรจะทำให้พวกนั้นหมดกำลังให้มากที่สุดก่อนการปะทะของศาสตราวุธทั้งสี่​ อย่างนี้เราถึงจะได้เปรียบ​ ไม่ว่า่จะเป็นวิธีใดก็ตามที่สามารถตัดกำลังได้เห็นสมควรโปรดเสนอให้รับรู้ทั่วกัน"ปัจจากล่าวขึ้นมาในการประชุมชุมนุมคนเพื่อวางแผนในการต่อสู้เพราะฝั่งของตนนั้นจัดได้ว่ามีคนน้อยกว่าต่อครึ่งกันเลยทีเดียว​ งานนี้จะพลาดไม่ได่เพราะสุริยุปราคา​นั้นไม่อาจจะเกิดไม่บ่อยเสมอไป
.....​
วันต่อมาในยามรุ่งสางคณะเดินทางได้ออกเดินทางทันทีเพื่อที่จะได้เตรียมตัวในการต่อสู้​ เพราะนี่เป็นถิ่นฐานศัตรู​ โอกาสเพลี้ยงพล้ำนั้นก็สูงมากเช่นกัน
ขณะที่เร่งเดินทางกันอยู่นั้นแสงตะวันพลันสาดส่องลงมาทำให้บุคคลทั้งสองแปรเปลี่ยนเป็นอีกคนไป
"เป็นไปได้ไหม​ ที่บางทีคนพวกนั้นอาจจะหาคนมาเพิ่มในการสู้ครั้งนี้​ เพราะต่างฝ่ายต่างรวมๆแล้วน่าจะมีคนเท่ากัน​ การเพิ่มกำลังพลน่าจะเป็นผลดีสำหรับพวกเขา" หลังจากที่อ่านบันทึกและสาส์นนั้น​ พุทธรัตน์จึงได้ถามกับสหาย​ ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่พวกนั้นจะเรียกไปสู้กันธรรมดาๆเพื่อจะจบเรื่องนี้ได้
" น่าจะเป็นไปได้​ แต่บางทีอาจจะมีการแบ่งคนไปยังเมืองทิศพลด้วย​ เพราะอัญญานีเป็นพระคู่หมั้นของเทพวิษุวัต​ เพราะอย่างนี้จึงให้จั๊กแหล่นช่วยดูแล" เพชรราหูตอบและกล่าถึงสิ่งที่ไม่ไว้วางใจในส่วนของพวกเขาด้วยเช่นกัน
"ตอนแรกด้านพวกเราจะให้สุดหล่ออยู่เหมือนกัน​ แต่ว่าเขาไม่ยอมพี่ตาหวานเลยต้องอยู่แทน"นั่นก็เพราะห่วงใยในพระอัยกาพระอัย​กี​ตลอดจนชาวเมืองทิศพลด้วยเช่นกัน​ แต่เจ้าสิงโตน่ะดื้อด้านอยากจะตามเพราะหวงห่วงในสิ่งวิเศษทั้งสองเสียเหลือเกิน
"โถโธ่โธ่​ พระธิดาล่ะก็​ สุดหล่อนน่ะหวงห่วงใยใน... พระธิดามากเลยนะ​ สุดหล่อถึงได้อาสามา​ ถ้ามีอะไรผิดพลาดสุดหล่อผู้นี้จะช่วยเหลือ"
ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่อาการที่แสดงก็เด่นชัดอยู่มิใช่หรือ
"ระวัง!! "พุทธรัตน์​กันทุกคนไว้ไม่ให้ไปต่อเพราะสิ่งข้างหน้านั้นผิดปกติ
"มีอะไรหรือป่าว" เพชรราหูถาม​ ในเวลาสำคัญอย่างนี้คงไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องหยุดนอกจากจะเกิดอันตราย
"เราสังเกตเห็นใบไม้ที่กำลังร่วงอยู่ขาดไปกลางอากาศ​เหมือนถูกฉีกขาด บางทีนี่อาจจะเป็นไสยเวท​ที่จะทำร้ายพวกเราให้บาดเจ็บก่อนจะไปถึงก็ได้นะ" มันก็จริง​ น้อยหรือแทบจะไม่มีเลยที่ใบไม้จะสามารถฉีกขาดได้ปานนั้นถ้ามันไม่มีอะไรจริงๆ
"น้ำอัญชันนี้น่าจะช่วยให้เราพอที่จะมองเห็นช่องทางที่จะไปโดยไม่บาดเจ็บ​ เพราะทางนี้เป็นทางแคบผ่านได้ทางเดียว"ว่าแล้วเขาจึงใช้น้ำอัญชัน​ที่พกมานั้นสาดใส่​ ด้วยเพราะสีของอัญชัน​นั้นได้ทำให้พบกับเส้นใยที่พันไว้ทั่วเพื่อที่จะให้ได้ลิ้มรสโลหิตของผู้ผ่านทาง​ ด้วยสัมผัสดูเพียงนิดจึงได้พบว่าเส้นใยนี้คมอย่างที่ไม่ควรจะเป็น​
" โอ๊ย!! "ตุ้บเท่งไม่ทันระวังตัวถูกเส้นใยนี้เข้าอย่างจัง​ เลือดที่ออกมาแม้จะน้อยนิดแต่นั่นก็พอที่จะเรียกประกายสายฟ้าที่ไม่มากแต่รุนแรงลงมายังตัวเขาได้​ โชคยังดีที่พระโอรสวันพุธ​พาตัวออกมาได้ทันไม่เช่นนั้นป่านนี้ร่างกายเจ้าสิงโตคงจะเป็นอันตรายสาหัสแน่
"ถ้าเป็นประกายสายฟ้าอย่างนี้​ อาวุธเหล็กใดก็ไม่สามารถจะทำลายได้  แล้วพวกเราจะทำอย่างไรต่อไปดีีพระเจ้าค่ะพระธิดา" หิ่งห้อยยักษ์​ถามขึ้นมาด้วยเพราะเป็นเหล็กนี่ล่ะ​ ถึงมันจะไม่ใช่ตัวล่อฟ้าจริงๆแต่ว่าก็อาจจะทำให้ร้อนจนเกิดอันตรายได้เช่นกัน
"เช่นนั้นเราจะพาหายตัวไปยังอีกฟากนึงเองนะ"ทั้งสามจับมือกันและสัมผัสปีกของอีกคนเมื่อหายตัวไปยังอีกฟากกลับพบว่าตนอยู่ที่ด้านเดิมทั้งๆที่ข้ามไปแล้ว​ ถึงจะลองอีกสักกี่ครั้งผลลัพธ์​ยังคงเดิม
"เราว่าให้เป็นหน้าที่ของเราจะดีกว่า" เธอว่าแล้วจึงใช้พลังจากเกราะ​กายสิทธิ์​เรียกธนูทิชากร​ที่ทำจากไม้ลานแกะสลักที่คันธนูอย่างปราณีตแม้ไม่มากแต่พอดี​ออกมาแล้วแผลงศรเพื่อทำลายเส้นใยสายฟ้าเหล่านั้น​ ศรนั้นเคลื่อนไหวราวกับวิหคเหินเวหาเมื่อต้องใยนั้นแล้วแสงสีมรกตพลันสว่างเจิดจ้าเส้นใยนั้นถูกทำลายสิ้นแล้ว  ทั้งหมดจึงได้เร่งเดินทางพร้อมกับระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิมเพราะไม่อาจจะรู้ได้ว่าจะเจอสิ่งใดอีกต่อไป
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มิถุนายน 20, 2020, 06:33:10 PM
ขอเลื่อนวันอัพนิยายเป็นวันเสาร์ที่4 กรกฎาคม​นะคะ​ ด้วยเพราะช่วงนี้จะต้องเตรียมตัวและเตรียมความพร้อมเข้ามหาวิทยาลัยค่ะ​ ต้องขออภัย​ด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กรกฎาคม 04, 2020, 06:30:47 PM
ในขณะเดียวกันนั่นเองที่ทิศพลนคร​ อัญญานีได้ฟื้นขึ้นจากนิทราที่มีมาตลอดสองวันสองคืน​ บัวแย้มที่เห็นดังนั้นจึงได้นำน้ำดื่มและอาหารมาถวายให้
" บัว นี่เราหลับไปกี่วันกี่คืนแล้ว" พอที่จะทรงตัวเองลุกมาได้ก็เกิดคำถามมาในทันทีเพราะตัวเธอนั้นพอจะรู้ว่าตนเองไม่ได้หลับเพียงครู่เดียวแน่ๆ
"สองวันสองคืนเพคะ...  พระธิดาปัทมาสน์ทรงประทานสร้อยเส้นนี้ให้หม่อมฉันนำมาถวายพระธิดาเพคะ" ว่าแล้วเธอจึงส่งสร้อยให้สร้อยนี้จี้ดูคล้ายตลับขนาดใกล้เคียงกับแหวน
"นางไม่น่าให้เราเลย เราควรจะตอบแทนเสียด้วยซ้ำที่ได้รับความช่วยเหลือ​" เธอรับสร้อยมามามองดูพลางกล่าวไปเช่นนั้นเพราะในใจนางไม่ได้อยากรบกวนใครเลย
" พระธิดาอย่ากังวลพระทัยเลยเพคะ​ สร้อยเส้นนี้นับเป็นมิตร​ภาพที่พระธิดาปัทมาสน์มอบให้นะเพคะ​ พระธิดาอย่าได้คิดเช่นนั้นจะกลายเป็นการขุ่นข้องหมองใจ" บัวแย้มพูดหวังจะปลอบใจให้คลายกังวลพร้อมกับอธิบายสร้อยนี้ต่อ
"ถ้าเป็นเช่นนั้น​ เราจะสวมสร้อยนี้ไว้กับกายเราตลอด​ วันนี้เป็นวันพุธใช่ไหม​ เรามีเรื่องจะคุยกับเพชรราหู" จริงสินะวันนี่ก็ล่วงเลยมาวันพุธ​แล้ว​ เรื่องตอนอยู่เมืองคีรีมาศที่ถูกใส่ร้ายนั้นหาใครยืนยันที่อยู่ไม่ได้เลย​ เพราะตนเลยทีเดียวจึงได้วุ่นวายเช่นนี้​ ทางที่ดีตนน่าจะไปคุยเรื่องนี้เสียดีกว่า
" วันนี้.. วันนี้พระโอรสเพชรราหูกับพระธิดาพุทธรัตน์​เสด็จออกนอกเมืองเพคะ" บัวไม่ยอมลงละเอียดไปมากกว่า​นี้เพราะถ้าอีกคนรู้จะไม่ดีต่อสุขภาพ​ด้วยที่เพิ่งฟื้นได้มินาน
"จริงสิ​ เพชรราหูเขาหายตัวได้ดั่งใจ​ วันนี้ไปสักพักก็คงจะกลับมา" คิดได้เช่นนั้นก็วางใจ​ ไว้ยามเย็นคงได้คุยกันอีกที​ คนที่ฟังอยู่ก็คงได้แต่ภาวนาไม่ใครเป็นอันตรายจากการต่อสู้ครั้งนี้เลย
.....​
"ฉันทนา  เจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าเส้นใยนั่นจะได้ผล" อัคนินถามสหายใหม่ของตนเพราะชักจะไม่แน่ใจขึ้นมา
" แน่ใจอยู่แล้ว​ เราเป็นศิษย์​ของฤๅษี​ทมิฬ​นะ​ เส้นใยนั้นต่อให้หายตัวไปก็ข้ามไปไม่ได้​ อาวุธเหล็กใดโดนก็จะร้อนมอดไหม้​ พวกนั้นแก้สถานการณ์​ไม่ได้​ ถ้าอยากจะมาก็ต้องฝ่ามา​ อย่างน้อยๆก็พอลดกำลังได้บ้าง" สายตาที่ตอบกลับดูภูมิใจอย่างมาก
"งั้นก็ดี​ อีไม่นานพวกนั้นคงมาถึง​ เราไปก่อน"เขาพูดเสร็จก็ไปในทันที

ไม่นานตามคาดคณะเดินทางได้มาถึงตัวเมืองแล้ว​ ดูเหมือนว่าเมืองนี้ผู้คนจะหายไป​ แต่ก็คงเป็นเพราะต้องใช้ในการต่อสู้จะให้ชาวเมืองมาได้รับความเดือดร้อนก็กระไรอยู่​
"หายดีแล้วใช่ไหมสุดหล่อ" พุทธ​รัตน์​ถามด้วยเป็นห่วง​ ดีที่ออกมาทันไม่เช่นนั้นก็คงจะบาดเจ็บไม่น้อย
"ไม่เป็นไรหรอกพระเจ้าค่ะ​ สุดหล่อน่ะไม่ตายง่ายๆ​ ตราบใดที่สิ่งวิ..พระธิดายังอยู่" จริงรึเปล่า​ที่พูดดูแล้วไม่น่าวางใจได้เต็มที่​
"คิดจะทำอะไรอีกหรือเปล่า​ ยังไม่เห็นวี่แววของพวกนั้นเลย" หิ่งห้อยยักษ์​กล่าวกับตนเอง​ เมื่อครู่นั้นก็ถูกลอบกระทำแล้วคราวนี้จะมีอะไรอีก​ ไม่เห็นใครเลย
" เขาคงจะรอเพลาอะไรหรือป่าว​ ไม่อย่างนั้นจะถ่วงเพลาเราไว้ทั้งๆที่ไม่จำเป็นทำไม" เพชรราหูออกความเห็น​ มันน่าจะมีสาเหตุในการกระทำของพวกเขานี่
อากาศเริ่มเย็นลงแลเห็นท้องฟ้าเปลี่ยนสี​ ความืดเข้าครอบงำดวงอาทิตย์​และแล้วคนในร่างทั้งหมดจึงได้แยกออกมา
"นี่มันอะไรกัน​ ทำไมวันนี้ถึงได้เกิดสุริยะคราสเร็วนัก"ประกายพฤกษ์​พูดเป็นคนแรกหลังจากออกมากับครบ
"วันนี้พวกเรามาตามคำท้าเพื่อจะยุติเรื่องทั้งหมด​ ไม่นึกว่าจะมีเรื่องนี้ขึ้น" เพชรราหูพูดขึ้นเพื่อคนที่ยังไม่รู้จะได้รู้เรื่องนี้
"ตามการคำนวณแล้ว​ วันนี้ไม่น่าจะเกิดสุริยะคราสได้" ภูมินทร์​กล่าว​ นี่มันจะเร็วกว่ากำหนดฟ้าไปรึเปล่าหนา
"แสดงว่าต้องมีใครเล่นตุกติก​แน่​"ศุภลักษณ์​ออกความเห็น​ ไม่ทันไรลูกไฟก็เข้าจู่โจมพวกเขาทันที​  ไฟลุกยังบริเวณที่ตกใส่​ ดีที่ไหวตัวทันจึงไม่มีใครเป็นอะไร
" แน่จริงก็ออกมา​ อย่าขยันแต่ลอบกัด!! "ศนิวารรู้สึกว่านี่มันจะมากไปแล้ว​ นัดมาเพื่อทำการต่อสู้ซึ่งหน้า​ ไม่ใช่ลอบทำร้ายกันอย่างนี้
" อย่าอารมณ์​ร้อนไปสิ​ เดี๋ยวจะคิดหาวิธีสู้ไม่ทันนะ" ดาบสเฒ่าออกมาประจันหน้าพร้อมกับศิษย์หญิงและค้างคาวผี
"เมฆา!!.. นภาพร  นี่มันอะไรกันแน่ทำไมถึงเป็นพวกเจ้า" ฉันทนาเมื่อมองศัตรูครั้งแรกก็ต้องพบกับความประหลาดใจ​เมื่อเห็นคนคุ้นเคย
"เราไม่มีเรื่องต้องมาอธิบายเจ้าหรอก​ เจ้าควรจะเข้าใจด้วยตัวเองได้แล้ว" ปัทมาสน์ตอบกลับ​ ไม่จำเป็นต้องอธิบายก็น่าจะรู้ดี
"ที่เหลือไปไหนกันหมด​ กะจะตัดกำลังพวกเราอย่างนั้นเหรอ"เมธาวีถามกลับ​ จริงๆ​คนที่ควรจะสู้ด้วยก็ต้องเป็นคนสวมใส่สิ่งวิเศษเหมือนพวกตนสิ
"ก็ใช่น่ะสิ.. อ๊ะอ้าวเจอกันอีกแล้วนะเจ้าหิ่งห้อย" ค้างคาวผีตอบกลับพลางเห็นสัตว์คู่ใจของคู่กรณี​เก่าก็กล่าวทักทายไปอย่างนั้น
" พูดไปก็มากความ​ จัดการพวกมัน!! "ฤๅษี​ทมิฬ​ออกคำสั่งแต่ตนกลับไม่สู้เพราะมีคนสู้ให้อยู่แล้ว
มีมือคน​ ไม่ใช่สิ​ ผีดิบกำลังจับขาของทุกคนไว้จากได้พื้นดินยึดไว้กับที่​ แล้วอย่างนี้คงเสียเปรียบเป็นแน่
"อยากสู้ก็สู้อย่าทำแบบนี้" จันทราภาใช้พลังจากเกราะส่งผ่านดัชนีชี้ลงยังใต้ปฐพีเปล่งแสงทำลายมาตามรอยแตกของพื้นดินแล้วเข้าต่อสู้​ แต่ถูกเส้นใยของศัตรูจนโลหิตออกจากกายแต่ยังมองไม่เห็น
"จันทราภาระวังสายฟ้า!!" พุทธรัตน์ร้องเตือน​ แต่ดูถ้าเหมือนจะไม่ทัน
"จันทลักษณ์!! " เรียกเสียงที่ตกใจและเป็นห่วงของแสงสุรีย์​ที่เห็นจันทลักษณ์​เข้าคว้าตัวจันทราภาออกจากสายฟ้าได้ทันแต่ตนก็ถูกกระทำแทน
"เราไม่เป็นอะไร" เขาตอบถึงจะติดขัดไปบ้างแต่ไม่ได้เป็นอะไรมาก
" มากไปแล้วจริงๆ" อังคาสเรียกพระขรรค์​มุ่งฟาดฟันไปยังฉันทนาโดยทันที​ เธอที่มัวแต่หนีไปหลบชักใยในที่ลับก็คิดว่าไม่มีใครเห็นจริงว่าตนอยู่ตรงไหนที่ไหนได้​ สายฟ้าได้ฟาดโดนเธอเสียจนบาดเจ็บ
"ฉันทนา!!" อัคนินเห็นแบบนี้ก็จะออกไปช่วยแต่บดิศรรั้งไว้
"ยังสร้างภาพมายาไม่เสร็จ​ ออกไม่ได้นะ" เขาห้ามปรามมันยังไม่ถึงเวลา​ จะมารีบร้อนไม่ได้
"ใครสน คนกำลังเจ็บหนัก​ ศิษย์ร่วมสำนักเจ้ายังไม่สนใจอีก​ ข้าจะไปอย่ามาห้าม!!" เขาวู่วามออกไปในทันที
ผีดิบออกมาเรื่อยๆเหมือนจะไม่มีทางหยุดเลย​ นี่กะจะตัดกำลังให้อ่อนลงแบบนี้จริงๆน่ะหรือ​
" ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปข้าต้องบ้าตายก่อนแน่เลย​ เหนื่อยจะตายแล้ว" ตุ้บเท่งสู้ไปก็บ่นเหนื่อยไป​ หยุดไม่ได้​ หยุดก็แย่
" เหนื่อยมากก็มาเล่นกับข้าซะเจ้าสิงโตฮ่าๆ" ค้างคาวผีเข้าถีบสุดหล่อจากด้านหลังอย่างแรก​ สร้างโกธเป็นอย่างมากจึงเข้าต่อสู้กัน​
"ตุ้บเท่งระวังนะ​ เจ้านี่ก็เจ้าเล่ห์ไม่ต่างจากเจ้าเลย"หิ่งห้อยยักษ์​ร้องเตือนขณะที่กำลังใช้แสง9ากตนโจมตีกองทัพผีดิบอยู่
"ฉันทนา​ ไปพักก่อนเถอะเจ้าเจ็บหนักมาก"ว่าแล้วอัคนินก็อุ้มร่างของของเธอ
"นางเจ็บมากมั้ย" สุริยะที่ปลีกตัวเข้ามาดูอาการได้ถาม
"เจ็บก็เพราะน้องเจ้านั่นล่ะ​ ยังคิดจะมาขวางทางอีกนะคนไร้คุณธรรม" ว่าแล้วก็ชนให้หลีกทางพาเธอไปยังที่ปลอดภัย​ ไม่ทันไรผีดิบก็เข้าเล่นงานสุริยะอีก
" หุ่นพยนต์​จัดการ!! "ศุภลักษณ์​ตัดสินใจเรียกหุ่นพยนต์​มาสู้กับเหล่าผีดิบเพราะดำลังทุกคนจะอ่อนแรงเอาได้​ พวกนั้นได้คู่ต่อสู้แล้วก็พอจะเบากำลังได้บ้าง
" อังคาส​ เจ้ากล้าดียังไงมาทำร้ายสตรี!! " อัคนินถามอย่างเกรี้ยวกราดอย่างที่ไม่น่าจะเคยมีเท่านี้
"ใครจะรู้ว่าที่ตรงนั้นจะเป็นผู้หญิงล่ะ​ อีกอย่างนางก็เป็นคนทำร้ายจันทราภา​ เราก็มีสิทธิ์​ที่ปกป้องคนในครอบครัวเราสิ" เขาเถียงกลับ​ ใครที่ไหนก็ไม่รู้มาหาเรื่อง​ ตอนนี้คนที่เขาอยากมีเรื่องก็แค่คนเดียวเท่านั้นล่ะ
"ในการต่อสู้อย่ามาแบ่งหญิงชายหน่อยเลย​  เจ้าก็ช่างกล้าเหมือนกันล่ะอัคนินที่ว่าคนอื่นเขา"ปัทมาสน์น่ะได้เจอกับคนที่ขุ่นข้องหมองใจแล้ว​ คราวนี้จะสะสางให้เสร็จ
" เจ้าเป็นยักษ์​ก็พูดได้นี่​ ข้าจะสู้กับคนที่ชื่ออังคาสเท่านั้นอย่ามายุ่ง!! จบประโยคไม่นานด้านหลังทุกคนก็ปรากฏ​พญานาคราชสามเศียรขนาดใหญ่ปรากฏ​เรียกความสนใจไม่น้อย
"วัศพล​นาคราชา ท่านมาที่นี่ทำไมกัน"แสงสุรีย์ถามขึ้นด้วยเพราะจำได้นั่นเอง
" เจ้าเป็นใครเราไม่รู้จัก"  ไม่ต้องเวิ่นเว้อให้มากความองค์นาคาบันดาลลมพายุหมุนวนลูกใหญ่ซัดทุกคนให้ทุกลมหมุนไปเป็นวงกลมรอบ
"อย่างนี้ไปกันใหญ่​ ทำไมพญาท่านถึงถึงได้.. ได้ดระทำเช่นนี้" จินดาพูดขณะถูกลมพายุพัดตนกับผู้ร่วมชะตาเป็นวงกลมเสียขนาดนี้แถมลูกพายุก็ดูจะทวีคูณขนาดเรื่อยๆ​
อังคาสแปลงกายเป็นพญานาคถึงแม้จะออกจากพายุมิได้​ แต่ก็สามารถ​ตวัดหางรัดหางของท้าววัศพลดึงเข้าร่วมพายุนี้ด้วย
" ดูสิว่าจะทนได้กี่น้ำ"  ไม่ทันไรท้าวเธอก็ทนมิไหวได้ยุติพายุนี้ลงเสีย​ อังคาสได้กลับยังร่างเดิม เสร็จแล้วสิภาพมายาที่ทำทีนี้ก็พบได้แล้ว​ ยังไม่ทันตั้งตัวทั้งหมดก็ถูกสิ่งที่คล้ายฟองอากาศลอยเข้ายังดวงตาแล้วพบว่าตรงหน้าเป็นตัวเองอีกคน
"อันตรายมาก​ พวกนี้เหมือนเรามากจริงๆ​ เป็นนเพียงภาพมายาหรือเปล่านะ"พุทธรัตน์กล่าวขึ้นมาด้วยสับสน
"ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงรีบกำจัดพวกนั้นดีกว่า" ประกายพฤกษ์​เปิดการต่อสู้ก่อนใครด้วยการถีบใส่ท้องอีกคนที่หน้าเหมือนตนแต่หารู้ไม่ว่าคนที่ตนเพิ่งทำร้ายไปนั่นคือศุภลักษณ์​   ภาพมายานี้มีมาเพื่อให้อีกคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นศัตรูที่เป็นเหมือนตนเอง​ แต่เปล่าเลยนั่นคือคนที่เกิดวันเกิดกันฝั่งเดียวกัน​ เพื่อจับคู่ให้ทำลายกันเองจนถึงที่สุดแล้วค่อยปิดฉากอย่างง่ายดาย​ โดยที่มองหาคนอื่นก็จะแยกไม่ออกไปด้วย
"กล้าดีนักนะ" ศุภลักษณ์​ไม่ยอมจึงโต้ตอบกลับทันที
ทั้งหมดเข้าสู้กันโดยจำเป็นหรือวู่วามก็มีอยู่
"สาธุสาธุ​ เราต่างคนต่างอยู่ไม่อยากทำร้ายกันแต่วันนี้มาทำตามหน้าที่​ อโหสิกรรมให้เราด้วย" ว่าแล้วภูมินทร์ได้ระยะเตะ จึงยกเท้าขวาเตะกราดไปยังบริเวณชายโครงของอีกฝ่าย​ จินดาที่กำลังสังเกตว่าอีดคนท่าทีดูแปลกๆจึงได้ตั้งรับโดยผลักตัวไปทางซ้าย พร้อมกับก้าวเท้าซ้ายฉากไปข้างหลัง ใช้แขนขวางอศอกขึ้นรับเท้าของอีกฝ่ายที่เตะมา
"ผิดปกติไป​ นี่เหมือนกับภูมินทร์​เลยรึเปล่านะ" เธอคิดไปแต่ก็ต้องหาจังหวะต่อสู้และช่วงพักให้ดีเพื่อพิสูจน์
"หลบไวมาก​ ดูคล่องแคล่วกว่าเราอีก" พุทธรัตน์​กล่าวขณะที่กำลังเตะแต่อีกอคนหลบได้ทุกครั้ง​ พอหาจังหวะได้เธอจึงได้ชกด้วยหมัดซ้ายไปยังบริเวณใบหน้าของอีกฝ่าย พร้อมกับก้าวเท้าซ้ายไปข้างหน้า แขนขวาคุมบริเวณปลายคาง
"ไม่ธรรมดาแต่แตกต่าง​ นี่เป็นใครกันแน่" เพชรราหูกำลังวิเคราะห์​อยู่ด้วยสงสัย​ ถึงไม่รู้ว่าเป็นใครแต่ก็ควรรับมือไว้ก่อนว่าแล้วจึงก้าวเท้าขวาไปข้างหน้ากึ่งขวาหลบอยู่นอกหมัดซ้ายของฝ่ายนั้น เอี้ยวตัวไปทางขวา ปัดและกดแขนซ้ายของอีกฝ่ายให้เอนไปทางซ้ายแล้วกดให้ต่ำลง ทันใดนั้นเขาก็รีบใช้หมัดซ้ายต่อยอีกฝ่าย

"ตอนนี้มีชุมนุมจตุนาคราชาด่วน​พระเจ้าค่ะ"
ข้ารับใช้จากวังบาดาลมารายงานให้เร่งกลับไม่เช่นนั้นจะต้องเป็นเรื่องแน่
"ไปก็ไป... เราไปก่อนนะ" ท้าววัศพลกล่าว​ ถ้าไม่ไปคงต้องถูกคาดโทษจากพี่เชษฐา​เป็นแน่
"ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ​ ไว้ทางนี้จะจัดการต่อเอง" ธานินทร์รับคำกล่าว

"พวกนั้นไม่ยอมใช้พลังจากสิ่งวิเศษสู้เลย​ อย่างนี้จะเรียกว่าตัดกำลังได้ยังไง" บดิศรชักจะร้อนใจบ้างแล้วเหมือนกันที่พวกนี้เอาแต่เตะต่อยไม่ยอมใช้พลัง
"ตอนนี้นี้เป็นโอกาสดีแล้วจะทำใครก็ทำเลย" ปัจจาเสนอที่เหลือจึงเข้าไปร่วมด้วย ดูท่านี่จะเป็นการสนุกอยู่ฝ่ายเดียวเสียกระมัง

​ อัคนินจงใจซัดพลังไปที่คู่ต่อสู้วันอังคาร​ ทั้งสองเข้าใจผิดคิดว่าคนตรงข้ามนี่เองเป็นคนใช้พลังตนจึงเรียกของวิเศษออกมาน่าแปลกมากที่อาวุธไม่เหมือนกัน
" ทำไมถึงเป็นกงจักร​ "เ​ขาสงสัยก็จริงแต่ทว่าต้องเอาคู่ต่อสู้ให้อยู่จึงให้พระขรรค์​ฟาดฟันกับกงจักรเอง​ อาวุธทั้งสองที่ได้รับพลังจากสิ่งวิเศษที่สวมใส่อยู่นั้นเข้าโรมรันและฟาดฟันกันอย่างหนักจนสูงขึ้นฟ้าระเบิดลูกไฟที่เกิดจากการสู้ของอาวุธลงพื้นมากขึ้นๆจนลุกเป็นไฟด้านล่างไปทั่วบริเวณที่สู้กัน
"พระขรรค์​นี่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนรึปล่าวนะ" ยังไม่ทันคิดอะไรมากอีกฝ่ายก็ชกด้วยหมัดซ้ายตรง พร้อมกับสืบเท้าซ้ายไปข้างหน้า ใช้หมัดขวาคุมอยู่บริเวณคางของตน​ ต้องโต้ตอบก่อนถึงจะคิดหาสาเหตุ​ เธอก้าวเท้าซ้ายสืบไปตรงหน้าฝ่ายตรงข้ามอย่างรวดเร็ว พร้อมกับยกแขนขวาสอดปัดแขนซ้ายของอีกคน  แล้วโดดเข้าเหวี่ยงคอศัตรูโน้มลงมาโดยแรง แล้วตีด้วยเข่าบริเวณใบหน้า
"อย่าอยู่เลย!!" อัคนินไปร่วมวงนี้ซ้ำเติมคนที่ทำให้คนที่เขาสนใจอยู่นั้นบาดเจ็บ​ จังมาถีบก็ถีบเข้าศัตรูตั้งแต่เยาว์ของตนอีก
"อย่ามัวรีรอเลยดีกว่า​ เท่านี้คงไม่เจ็บเจียนตายหรอก" ศนิวารท้าทายอีกคนแล้วชกด้วยหมัดซ้ายตรง พร้อมกับก้าวเท้าซ้ายไปข้างหน้า​
"คำพูดแบบนี้นี่มัน.. "กำลังใช้ความคิดไปก็ต้องใช้กำลังเข้ารับด้วยแล้วจึงรีบก้าวเท้าซ้ายสืบไปข้างหน้าของฝ่ายรุก ทางกึ่งขวาของวงหมัดภายในของอีกฝ่ายที่ชกมา
ในขณะที่สู้กันอยู่ก็รู้สึปเหมือนมีใครมีถูกที่หลังแต่ไม่ยักจะมองทันว่าใครทำ
บดิศรมุ่งหน้าเข้าหาคู่ต่อสู้วันอาทิตย์หลังจากการกระทำของแม่มดเกลียวทอง
"ไม่ได้​ ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปก็ต้องแย่แน่ๆ" เขาตัดสินใจใช้พลังต่อต้านอีกฝ่ายเพราะตนไม่ได้จะมีเวลามาสู้กับอีกคนขนาดนั้นนะ
"ไม่ใช่..นี่มัน"แสงสุรีย์ชูสังวาลย์ตั้งรับพลังอีกฝ่ายกำลังจะพูดให้อีกฝ่ายรับรู้แต่ถูกขัดจังหวะเสียก่อน
"นี่เจ้าน่ะ​ มาสู้กับข้าดีกว่านะสุริยะ" เขาจงใจปล่อยพลังใส่เขาทีเผลอเอาให้คนนั้นเสียหลัก
"สุริยะ!!" เธอหลุดพ้นแล้วภาพมายาถ้าจิตใจเห็นจริงก็มิน่าจะหลอกได้นานนักหรอก
" แสงสุรีย์... นี่พวกเราต่างสู้กันเองเหรอ" เขาได้ยินเสียงเรียกแล้วหันมองรอบมีแต่คนของพวกเราสู้กันเอง
" รู้ตอนนี้ก็สายไปซะแล้วล่ะ"บดิศรเข้าทำร้ายทั้งสองทันที

"หยุดนะหยุดตีกันเดี๋ยวนี้​ ของขึ้นรอยร้าวไปกันใหญ่แล้ว!! หิ่งห้อยทำอะไรอยู่ทำไมไม่เตือนห๊ะ!!" เจ้าสิงโตที่สู้กับค้างคาวได้หันมาเจอคนสู้กันเองทั้งกำลังจนกระทั่งเริ่มมีการใช้พลังกันใหญ่โตจนตอนนี้สิ่งวิเศษทั้งสองก็เกิดรอยร้าวฝังลึกนัก​ เจ้าหิ่งห้อยอยากจะร้องห้ามอยู่หรอกแต่ธานินทร์​ใช้วิชาเถาวัลย์​มารัดตัวกับปากของเขาเสียแล้ว
......
ใครเขาจะตีกันเท่าใดก็ช่างเถอะ​ ตนได้ทำหน้าที่แล้ว​ แล้วหน้าที่ต่อไปคือพาตัวอัญญาณีกับบัวแย้มไป
ทั้งดาบสและแม่มดแยกกันทำความวุ่นวายให้บ้านเมืองทันที
"ตายแล้วๆ​ ผี​ ผีดิบมากันใหญ่เลย!!" นางกำนัลวิ่งหนีกันให้วุ่นวายเพราะไม่ได้มาแค่ตัวสองตัวแต่มาชนิดที่เรียกว่ากองทัพได้
"รีบไปที่ๆปลอดภัยเร็วเข้า" ทหารเกณฑ์​คนไปพร้อมแบ่งคนไปคุ้มกันพระกษัตริย์​ด้วย
" เกิดอะไรขึ้นกันแน่เพคะ​ ทำไมถึงได้เป็นเช่นนี้" สไบทองถามหลังจากมาสมทบที่พระราชฐานใต้ปฐพี
" พวกผีดิบมาจากไหนไม่รู้เหมือนกันลูก​ นี่ก็รอเพียงฝั่งพระธิดาอัญญานีกับบริวารมาจะได้ลั่นดาลให้แน่นหนา"ท้าวทิศพลพูดพร้อมทำทีให้ใจเย็นลงอย่าแตกตื่น
"โธ่​... แล้วลูกแม่จะเป็นอย่างไรบ้างนะ"มันอดห่วงลูกที่ไปต่างเมืองไม่ได้​  ตนยังพบเจอกับปัญหาขนาดนี้ลูกจะเป็นอย่างไรก็ยังมิรู้เลย

" จั๊กแหล่นไปดูพระธิดากับบัวแย้มก่อนนะ​ เดี๋ยวทางนี้พี่ตาหวานจะจัดการต่อเอง"  เขาวานให้ไปทันทีเพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของทั้งสองมาก​ เสือสาวรับคำแล้วเร่งไปดูกลับพบประตูที่เต็มไปด้วนเถาวัลย์​พันปิดตายไว้
"พระธิดา​ หนูบัว!!" เคาะเรียกเท่าใดคนข้างในก็ไม่ได้ยิน​ ข้างนอกก็ไม่ได้ยินเสียงข้างในเลย
" อยู่กันพร้อมหน้าดีนี่​ อัญญานี​ บัวแย้ม" เกลียวทองกล่าวทักทายราวกับผู้กำชัยชนะไว้ในมือ
"เกลียวทอง!! อย่าเข้ามานะ​ ถ้าเข้ามาเจ้าไม่ตายดีแน่" อัญญานีก็ตกใจอยู่แต่ต้องคุมสติให้พร้อมสู้ตลอดเวลา
"คิดว่ากลัวนักสิ  เอาสิอยากทำอะไรก็ทำเลย" นางเข้าใจว่าตลอดเวลาที่เลี้ยงดูนางได้ปิดกั้นทุกทางไม่ให้นางไปยุ่งกับการต่อสู้​ นางจะสู้อะไรตนได้
"ได้​.. ก็ลองดู" เธอกำลังจะใช้แหวนมาจัดการพร้อมให้บัวแย้มหาทางหนีที่ไล่ให้ด้วย​ นางแม่มดรู้สัญญาณจึงใช้พลังจับตัวบัวมารัดคอแล้วยกขึ้นสูงเหนือพื้นดิน
อัญญานีใช้แหวนเท่าใดๆก็ไม่เป็นผล​ คนถูกทำร้ายใกล้จะหมดลมเต็มทน
"ไอ้แหวนนี่น่ะแน่เหรอจะมาจัดการเรา​ เอามานี่" ว่าแล้วนางก็ใช้พลังสับเปลี่ยนยึดแหวนมากับตน​ แล้วขู่เสียไม่ให้คิดสู้
"จะยอมไปเฝ้าพระเทวาวิษุวัต​ดีๆหรืออยากให้นางบัวแย้มตาย" ไม่พูดเปล่านางกลับยิ่งใส่พลังเข้าไปรัดคอให้แน่นยิ่งกว่าเดิม
"ได้... เรายอม​ ยอมทุกอย่าง​ ปล่อยบัวเถอะ" สิ้นสุดคำพูดแล้วเกลียวทองก็ได้ปล่อยตัวบัวแย้มไป
"เชื่อฟังได้ได้อย่างนี้ก็ดี​... ท่านฤๅษี​รบกวนท่านต่อแล้ว" ว่าแล้วก็คว้าอัญญานีหายตัวไปในทันที​ ฤๅษี​ใช้ผอบนำร่างบัวแย้มที่สลบเข้าไปอยู่ด้านในเพื่อจะนำไปให้ศิษย์รักของตน​ แล้วจึงใช้ว่านแปลงเป็นบัวแย้มส่วนตัวก็แปลงกายเป็นอัญญานี
เถาวัลย์​หายไปประตูได้เปิดออก​ จั๊กแหล่นเปิดได้จึงเข้าหาด้วยเป็นห่วง
" แย่แล้วจั๊กแหล่น​ บัวถูกทำร้าย​ ดีที่เมื่อกี้เราใช้แหวนช่วยไว้  แต่ตอนนี้คงจะต้านไม่ไหว​ พวกเราไปหลบที่ปลอดภัยกันก่อนดีไหม" เขาแสร้งพูดเพราะตัวเองจะได้รู้ที่ซ่อนตัวของเมืองนี้​ นางก็เชื่อเลยพากันไปที่ชั้นใต้ดิน
.......
"ภูมินทร์​จริงๆ​ด้วย" จินดาหยุดเมื่ออีกฝ่ายหยุดก่อนก็พอรู้ว่าใช่จริงๆเพราะอย่างเขาน่ะ​ ไม่อยากทำร้ายคนไปมากกว่านี้แล้วต้องหยุดก่อนแน่ใช้สันติเข้าสู้
" ไม่ได้การแล้ว​ ต้องใช้ผงทลายมายา" ภูมินทร์​กำลังจะใช้ผงขาวทำลายมายาให้ทุกคนแต่ต้องถูกขัดโดยปัจจากับธานินทร์​ พวกเขาเข้ามาแย่งยื้อต่อสู้เอาถุงใส่ผงนั่นจนวุ่นวาย​ จินดาที่รับถุงมาได้ก็โยนไปคู่ของคนวันศุกร์ทันที​ ควันผงพวยพุ่งทำให้ทั้งสองคลายภาพมายาลงไป
"เป็นเจ้า!! " ทั้งสองตกใจไม่นานก็ต้องรีบใช้ผงไปให้คนอื่นหายจากภาพมายา​ หลายคนก็ออกจากมายาได้แล้ว​ แต่อัคนินมิทันรู้ตัวเพราะมัวแต่ปั่นหัวคนอื่น​  ศุภลักษณ์​สบโอกาสใช้มีดสั้นกรีดใบหน้าด้านขวาของอัคนินจนเป็นแผลลึก​  คราวนี้ทุกคนได้สติคืนมาแล้วจะไม่ยอมอีกต่อไป
" ทั้งหมดรวมพลัง!!" สุริยะและแสงสุรีย์ได้กล่าวพร้อมกันให้ทั้งหมดนั้นได้รวมพลังต่อสู้แล้วทั้งสองฝั่งก็ได้ประลองพลังทันที
"พวกเจ้าไม่มีทางชนะข้าได้หรอก" อัคนินแค้นทั้งแค้นที่ถูกกระทำจึงส่งพลังไปอย่างเต็มที่
"ได้ไม่ได้ก็ตองลองดู" จันลักษณ์​กล่าวตอบแล้วใส่พลังเข้าไปอีก
" อย่าดื้อรั้นอีกเลยยังไงพวกเจ้าก็ต้องแพ้" บดิศรเสริมพร้อมๆกับเพิ่มพลังเข้าไป
"แพ้เพราะพวกเจ้าโกง​ คงจะภูมิใจนักล่ะสิ"ศนิวารตอบกลับ
ตอนนี้พลังที่ปะทะอยู่ตรงกลางนั้นไม่เคลื่อนที่ไปไหนแต่กลับทำให้พื้นดินลุกเป็นไฟไปทั่ว​ รวมกับร่องรอยจากการสู้กันเองแล้วนั้น​ ทะเลเพลิงก็คงจะเหมาะกับสภาพบริเวณในที่แห่งนี้
"ไม่ดีแน่​ มันเป็นบริเวณกว้าง​ พวกสัตว์ป่า​สิ่งมีชีวิตอื่นจะต้องเดือดร้อน​ พวกเราพอก่อนดีไหม" ภูมินทร์​ทักท้วงเพราะนี่ไฟที่เกิดจากการปะทะพลังอยู่ตรงกลางก็ลุกขึ้นสูงจวนจะเสียดฟ้าแล้ว
"ถ้าพวกนั้นไม่หยุด  พวกเรานี่ล่ะจะเดือดร้อน" เพชรราหูตอบ​ ไม่ใช่ไม่อยากหยุดแต่หยุดไม่ได้
" อย่ามาหาข้ออ้างเลย​ กลัวก็บอกเถอะฮ่าๆ"อัคนินกล่าวยิ่งใส่พลังเสียสุดฤทธิ์
" ใครว่ากลัว​ สงบปากไว้บ้างก็ดีนะ" เมธาวีโกรธ​ยิ่งกว่าไฟเธอจึงเพิ่มพลังไป
"เอาให้มันรู้ไปเลยว่าใครจะอยู่จะไป" พุทธ​รัตน์​กล่าวร่วมด้วย
ไฟมันลามมากเกินควบคุมแล้ว​ ขืนเป็นอย่างนี้วุ่นวายไม่จบสิ้นแน่
" พอกันก่อนทั้งพวกเราและพวกเจ้า​ มันเกินไปแล้วรึเปล่า" สุริยะเห็นท่าไม่ดีจึงได้เตือน
" ไม่!!" เสียงตอบของคนไม่เห็นด้วยดังขึ้น​ แล้วเหมือนยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุก็ใส่พลังไม่ยั้งเลย​ คนที่เห็นด้วยจะถอนตัวแต่ว่าเหมือนพลังได้ดึงดูดพวกเขาให้ส่งพลังต่อราวกับแม่เหล็ก​ แบบนี้พลังน่ะเกินขีดกำจัดในการควบคุมเข้าให้แล้ว​ ร้อนถึงพระแม่ธรณี​ต้องมาดับความเดือดร้อนครั้งนี้เสียแล้ว
พระแม่ธรณีตัดสินพระทัยบีบมวยพระเกศาให้มวลมหานทีไหลท่วมจรดเพื่อดับไฟ​ และแล้วน้ำน้ก็ได้ไหลหลากอย่างเร็วและรุนแรงซัดไปคนละทิศทาง​  ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เกราะกายสิทธิ์​และสังวาลย์​มณีได้แตกพังเสีย​ ด้วยมวลน้ำที่มากและเร็วทำให้ผู้คนเทวา​ แลสิ่งมีวิตอื่นที่เข้าการต่อสู้ไปกันไกลมากพอที่จะไม่ได้เจอกันง่ายๆ​ ผ่านไปจนอาทิตย์​อัสดงแสงสุรีย์ได้ฟื้นขึ้นมาหลังจากเหตุการณ์​นี้​ ถึงจะยังอาการมิสู้ดีแต่ว่าสหายนี่สิจะเป็นอย่างไร​ ทำไมมิเห็นจะฟื้นเลย
เธอเข้าไปดูแล้วพบว่าร่างอันพิการเข็ญใจของเขานั้นไร้ซึ่งวิญญาณ​เสียแล้ว​ เธอพยายามเขย่าร่างอีกคนจนสุดแรงก็มิเป็นผล​  ใบสรรพชีวีที่มีก็หมดไปเสียแล้วจะทำอย่างไรต่อไปดี
......
ทั้งสี่ได้มาถึงที่ซ่อนโดยคนด้านในไม่รู้เลยว่า​นี่ไม่ใช่มิตรแต่หากเป็นศัตรูแฝงตัวมา​
"อยู่ที่นี่กันสินะ​ ฮ่าๆ" อัญญานีอดหัวเราะชอบใจเสียมิได้​ คนก็สงสัยนักว่าเกิดอะไรขึ้น
"อัญญานี​เป็นอะไร​ ทำไมท่านถึงได้กระทำกริยาเช่นนั้น" มเหสีอมรินทร์​ถามด้วยสงสัยท่าที​
"ก็น่ายินดี.. ที่จะได้พวกเจ้าเป็นข้าทาสบริวารน่ะสิ" ว่าแล้วเขาก็กลับร่างตนแล้วใช้ทีเผลอนั้นใช้มนตราทำเชือกรัดไว้แล้ว
"ปล่อยพวกเรานะ​ ท่านก็บำเพ็ญตนเป็นผู้ทรงศีลกระทำการเช่นนี้นับว่าสมควร​หรือ"ท้าวทิศพลท้วง​ คนมีศีลไม่ควรกระทำการเช่นนี้
"สมควรสิ​ เอาเถอะลูกเจ้าจะได้ไม่ต้องเหงาใจ​ เพราะทั้งหมดนี้ต้องเป็นข้าทาสในรัตนบุรีเท่านั้นฮ่าๆ​ ออกเดินทางพรุ่งนี้​ ใครฝ่าฝืนมีโทษทางเดียวคือตาย" ว่าแล้วจึงออกไปยังด้านนอกแล้วปิดปากทางเข้าจากด้านนอกอีกชั้นเพื่อความปลอดภัย
.....
"บัวจะเป็นอะไรรึเปล่านะ​ มันเกินอะไรขึ้นกันแน่​ ทำไมแหวนถึงใช้งานไม่ได้อีกแล้ว​ คราวนี้ก็ถูกเอาไป" อัญญานีสงสัยมากจริงๆ
" ถ้าถึงขนาดที่พวกนั้นหายไปนานขนาดนี้​ แสดงว่าต้องมีเรื่องแน่​ พวกนี้ไว้ใจไม่ได้จริงๆ​" ตอนนี้ต้องเอาใจโอนอ่อนผ่อนตามไปก่อน​ เพราะยังไม่รู้ว่าเรื่องอะไรเป็นยังไงกันแน่​ ระหว่างนี้ต้องรอจังหวะที่จะหนีไปอีกรอบ​ แต่เมื่อกำลังสรวจหน้าต่างนั้นกลับพบว่าด้านล่างเป็นพื้นแก้ว จะว่าไปแล้วห้องนนี้มันไม่ใช่ห้องเดียวกลับเมื่อคราวที่แล้ว​ ต้องระวังตัวให้มากขึ้น​ และรอบคอบมากขึ้นเสียแล้ว
.....
ช่วยอะไรไม่ได้ก็คงต้องปล่อยไปตามเวรตามกรรมจริงๆ​  เชิงตะกอนที่ทำด้วยน้ำพักน้ำแรงจนค่ำของแสงสุรีย์​นับเป็นสิ่งสุดท้ายที่สหายคนหนึ่งจะทำให้​ได้​ ถึงจะเสียใจราวกับฟูมฟายแต่มิใคร่จะได้ยินเสียงจากเธอเลย​ เธอพาร่างสุริยะขึ้นยังเชิงตะกอน​ แสงจันทร์​สะท้อนใบหน้าด้านซ้ายของเธอเป็นแผลเป็นที่เกิดจากการถูกกรีดลงลึกเสียน่าตกใจ​ เธอทำใจอยู่นานแต่ก็มิอาจจะใช้ไฟมาเผาร่างนี้ไปได้​ อยู่ๆท้องฟ้าก็ปรากฏ​แสงสว่างทั่วราวกับแสงจากดวงอาทิตย์​ในยามกลางวัน​ ส่งผลให้ความสนใจของเธอนั้นมุ่งไป  นั่นคือแสงอะไรกันแน่ทำไมถึงได้มุ่งมายังที่แห่งนี้ได้​ หรือนี่จะเป็นเป็นแสงความโชคดีที่มีมาให้กับสุริยะกันนะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กรกฎาคม 11, 2020, 06:30:23 PM
ขอเลื่อนเป็น18.50นะคะeditคำผิดค่ะ
***ขอโทษอย่างสูงขอเป็น1ทุ่มนะคะ​ปั่นเช็คแล้วยังเหลือน่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กรกฎาคม 11, 2020, 07:09:32 PM
"ที่นี่ไม่คุ้นเท่าไหร่เลย เราถูกซัดมาไกลเท่าไหร่กันนะ....อัคนิน เป็นยังไงบ้าง" หญิงสาวเมื่อฟื้นขึ้นมาก็พบว่าถูกกระแสน้ำซัดมาไกลมาก ซ้ำสหายร่วมสู้ก็ดูท่าอาการไม่ดีเท่าไหร่เลย บาดแผลที่เกิดจากการต่อสู้นั้นก็ลึกมากจนอดห่วงไม่ได้
"ไม่เป็นไรหรอก ฉันทนาร่างกายของเจ้าน่าห่วงกว่าอีก"ทั้งที่ตัวก็เจ็บไม่น่าบอกแบบนั้เลยนี่นา
" ดีแล้วที่ไม่เจ็บมาก จะได้ออกเดิืนทางต่อ"
"เจ้าจะไปตามหาเมฆาขอของเจ้าใช่ไหมล่ะ เราจะบอกอะไรให้นะ คนแบบศุภลักษณ์น่ะไว้ใจไม่ได้ หลอกคนไปทั่ว" เขาพูดประชดประชันด้วยน้อยใจ  มีอย่างที่ไหนคนไม่ห่วงตัวเอง​ ต้องสนใจด้วยหรืออย่างไร
"อย่าว่าเขานะ  เราว่าเขาต้องมีเหตุผล" ถึงจะพูดอย่าngนั้นก็อดคิดตามไม่ได้
"เราอยากให้เจ้าสนใจมองคนอื่นบ้าง ช่างเถอะหาอาหารและหาที่พักดีๆก่อน พรุ่งนี้จะได้กลับ"ไม่อยากถกเถียงต่อไป คนมาทีหลังก็ต้องทำใจให้เข้มแข็งแล้วลองใหม่อีกที
....
"ที่นี่ไม่ใช่รัตนบุรีแน่ๆ แต่น่าจะเป็นเมืองไม่ไกลจากศาศวัตบุรีเท่าไหร่นักนะ" บดิศรที่ถูกกระแสน้ำซัดมาคนเดียวฟื้นขึ้นมาได้ก็สำรวรอบๆ ก็พอจะรู้ว่าไม่ใช่บ้านเกิดเมืองเก่าของตน
" ต้อngเร่งเดินทางกลับให้เร็วที่สุด" เขาไม่แม้แต่คิดจะหยุดพักเพราะตอนนี้สิ่งที่คิดถึงถึงที่สุดคือคนที่อยู่รัตนบุรี
..........
" เจ้าหิ่งห้อยฟื้นขึ้นมาเร็วเข้า ฟื้นเร็วสิ!" เจ้าสิงโตร้องเรียกอีกฝ่ายพลางแก้เถาวัลย์ให้
"นี่พวกเราสลบไปนานเท่าไหร่นะ...แย่แล้วพระโอรสกับพระธิดาล่ะ" เมื่อฟื้นขึ้นมาได้ไม่นานก็ได้สตินึกห่วงทันที สุดหล่อได้ยินก็ฟูมฟายใหญ่โต
"มันหมายความว่ายังไงกันแน่เจ้าตุ๊บเท่" อย่าเอาแต่ร้องไห้จะได้มั้ย" อีกฝ่ายต้องรู้อะไรแน่ ไม่เช่นนั้นจะแสดงอาการขนาดนี้เลยหรือ
"ก่อนถูกน้ำซัดมาข้าเห็นเกราะกายสิทธิ์กับสังวาลย์มณีถูกทำลายไปแล้วน่ะสิ ไม่เหลือะไรเลยฮือๆ/ เล่าไปก็ฟูมฟายไปราวกับจะจบชีวิตลง
"แย่แล้ว อย่างนี้พระโอรสกัิบพระธิดาจะต้องอยู่ในอันตราย ไม่ได้การแล้วต้องรีิิบไป​ บินไปไม่ทันไรปีกนั้นก็เกิดเสียงคล้ายจะหักแหล่ไม่หักแหล่
" พักก่อนเถอะ ฝืนไปก็เปล่าประโยชน์​ ไม่เหลืออะไรแล้ว"ไม่น่าจะตามหา เท่านี้ก็ไม่เหลืออะไรแล้วจะไปทำไมให้เสียเวลา
" เจ้าไม่เคยเข้าใจอะไรเlย เจ้าก็เอาแต่ห่วงสิ่งวิเศษ เจ้าไม่เคยแม้แต่จะมีความเป็นสิ่งมีชีวิตจิตใจหรือแม้แต่คิดถึงความสัมพันธ์ที่มีต่อกันเลย ถ้าไม่อยากช่วยก็ไปตามทางของเจ้าซะเถอะ" เขาว่าอย่างนั้น อยู่ด้วยกันมาไม่เคยมีความผูกพันกันแม้แต่น้อยเลยเหรอ
"เอาเถอะๆ ถึงข้าจะไม่เข้าใจในความสัมพันธ์อะไรนั่นของเจ้าก็เถอะนะ เอาเป็นว่าข้าจะช่วยแต่เจ้าต้องรักษาตัวก่อน แทนที่จะช่วยได้ก็เป็นภาระเอา" ถึงจะไม่เข้าใจแต่ก็ยังพอมีน้ำใจอยู่บ้างล่ะนะ
" ก็ได้ เราจะพักรักษาตัว แต่ขอเพียงคืนเดียวก็พอ" เป็นห่วงครั้นจะเลิกห่วงก็ไม่ได้ แต่ต้องเอาตัวให้รอดก่อนจะดีที่สุด
......
" นี่คือศรุตเทพจุติมามิใc่หรอกหรือ เหตุใดจึngถึngแก่ความตายเร็วนัก" วิหคเพลิงสองเศียรผู้เป็นแสงสว่างราวกับแสงดวงอาทิตย์ได้เข้ามายังเชิงตะกอนเพื่อมองดูแล้วจึงได้ถาม สตรีที่มีใบหน้าที่เป็นแผลเป็น เธอเลี่ยงการตอบโดยวาจาแล้วจะลงมือเขียนพื้นดินตอบ นกไฟจึงได้ยั้งไว้
" ไม่เป็นไร เราสื่อสารผ่านทางใจได้ เล่าามาเถอะ" เมื่อได้ยินดังนั้นเธอจึngเล่าให้ฟังเรื่อngราวที่ประสบพบเจอมา
"ศรุตเทพ..สุริยะในชาตินี้ต้องรับวิบากกรรมโดยมิทันแก้ต่างความผิดก็ต้องสังเวยชีวิตไปรอเอาชาติหน้าเชียวหรือ เมื่อครั้งยังไม่จุติเขาเป็นสหายเพียงผู้เดียวที่อยู่เคียงข้างเราเมื่อได้รับโทษที่เรามิได้กระทำ เราเชื่อว่าสิ่งที่เขากระทำต่อเทพวิษุวัตต้องมีเหตุผล​ เราอัจจิมามิสามารถยินยอมให้เขาจากไปเพื่อรอแก้ต่างควาผิดในชาติต่อไปได้"จบประโยคศีรษะทั้งสองของตนจึงได้หลั่งน้ำตาลงบนกลางหน้าผากอันเหือดแห้งของผู้สิ้นชีพ ร่างกายกลับมาดูชุ่มชื่นอีกครั้ง แสงรอบกายราวกัิบหิ่งห้อยนับร้อยค่อยๆจุดดวงไฟแห่nงชีวิตขึ้นมาจนเจ้าตัวได้ลืมดวงตาขึ้นเป็นสัญญาณดีว่าเขาได้ฟื้นคืนจากความตาย
" เรายัง..ไม่ตายเหรอ.." เขาน่าจะตายไปแล้วนี่ ทำไมเขายังฟื้นขึ้นมาได้ล่ะ
"จริงๆเจ้าก็สิ้นไปแล้ว แต่เราได้นำพาเจ้ากลับมา ได้ชีวิตกลับมาต้องรักษาให้ดี เราเชื่อว่าต้องมีวิธีทำให้เจ้ามาเป็นปกติ เราออกมานานพอแล้วเราต้องกลับก่อน หากมีวาสนาคงจะได้เจอกันใหม่" ว่าแล้วเขาก็เตรียมตัวจะจากไป
"พระองค์​คือเทพวิหคอัจจิมาดังในตำนาน หม่อมฉันขอขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ" เขาที่นึกออกได้ก็รีบขอบคุณทันที
" เราเต็มใจ..เจ้าจงรักษาความดีและะทำหน้าที่ให้ถึงพร้อมเถิด" อีกเศียรกล่าวด้วยเสียงสตรีซึ่งต่างกับอีกเศียรที่พูดมาใตอนแรกทั้งหมด ว่าแล้วจึงได้บินจากไป จากแสงสว่างทั่วท้องฟ้าเหลือเพียงแสงจากคบเพลิงเท่านั้น
" แสngสุรีย์ ท่านได้รับบาดเจ็บมากรึเปล่า เหตุใดถึงได้มีบาดแผลลึกเช่นนี้" เรื่องของตนเองผ่านไปด้วยดีถึงแม้จะยังพิการเข็ญใจอยู่ แต่ยังอดห่วงสหายไม่ได้ เธอไม่ใช้วาจาตอบแต่กลับใช้นิ้วมือเขียนลงบนพื้นดิน
เราเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เกิดแล้ว​ รวมถึืืงการพูดไม่ได้ของเราด้วย เราก็เหมือนกับท่านหากได้สวมใส่สิ่งวิเศษก็จะเป็นดั่งคนปกติ" เรื่องนี้สร้างความประหลาดใจให้กับเขามาก ตั้งแต่รู้จักกันมาก็มิเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย เขาก็คิดว่าเธอนั้นเป็นปกติทั่วไปเสียอีก แต่ก็ยังดีที่ช่วยเหlือตนเองได้คล่องแคล่ว​กว่า
" พวกเราจะทำอย่างไรกันต่อไปดี สิ่งวิเศษก็ได้แตกจากกันและะสูญหายไปแล้ว" ทีนี้จะทำเช่นไรกัน พวกเขาราวกับคนธรรมดาค่อนข้างด้อยกว่าในความรู้สึก เสียเปรียบเหลือเกิน
"พวกเราต่างก็เรียนวิชาอยู่บ้าง ใช่ว่าจะไร้หนทางเสมอไป วันนี้พักผ่อนกันก่อน พรุ่งนี้เราจึงใช้วิชารวบรวม"จริnงสิพวกเราต่างก็เรียนวิชามานับสิบปี ควรหาประโยชน์จากการใช้งานเสียบ้าง เมื่อตกลงกันได้แล้วจึงได้พักผ่อนกัน
........
"ปัจจาตื่นขึ้นมาเร็ว พวกเราปลอดภัยแล้ว" ธานินทร์ร้องเรียกสหายร่วมงานหลังจากที่ผ่านกระแสน้ำมาแล้วได้สลบไปจนตื่นหนึ่ง
" ปลอดภัย.."เขาลุกขึ้นด้วยอาการมึนงงเล็กน้อย
"ใช่ ตอนนี้พวกเราอยู่กันที่หอชิดดารา" เขาดูยินดีที่ได้กลับมามากเสียจริง
"นั่นก็นับว่าน่ายินดีที่พวกเราไม่สูญสลายหายไป แต่ว่าหน้าที่ยังไม่หมดไป พวกเราต้องไปดูให้แน่ใจว่าพวกนั้นจะไม่สามารถย้อนกลับมาทำร้านพวกเราได้อีก" ก็จริงอย่างที่ว่า ปล่อยไว้ไม่เป็นผลดีต่อฝ่ายตนนักหรอก
" วางใจเถอะ เราเห็นมากับตาว่าทั้งสองฝ่ายสิ่งนั้นแตกพังลอยไปตามน้ำแล้ว ที่สำคัญพวกนั้นอาการไม่สู้ดี คงคิดทำอะไรไม่ได้ทันหรอก อย่าคิดมากเลย" เขาช่างเป็นเทพที่ปล่อยวางง่ายเสียจริง
" เพราะประมาทนั้นล่ะมันถึงได้วุ่นวาย" เขาเริ่มไม่พอใจแล้วนะ
"พักผ่อนเสียก่อน  ไว้มีแรงพรุ่งนี้จะตามหาก็ไม่สาย/ เขาออกความเห็น รีบร้อนไปก็ใช่เรื่องมันจะะได้ดั่งใจเสมอนี่ อีกคนฟังก็ยอมตามใจเพราะเห็นสหายอ่อนล้าจึงไม่อยากดื้อดึง
........
เช้าวันใหม่ได้เริ่มต้นอย่างไม่สดใสเลยของชาววัืงเมืองทิศพลเพราะต้องถูกนำตัวไปเป็นข้าทาสบริวารยังต่างเมือง เสือสาวดูเหนื่อยหน่ยเต็มจึงได้ร้องเรียกดาบส
"ท่านตาปล่อยจั๊กไปเถอะนะเจ้าคะ จั๊กจะพาไปพบท่านตามฤคินทร์" คำพูดนั้นทำเอาผู้นำขบวนขนคนถึงกับให้ความสนใจเลยทีเดียว
"เชื่อใจเจ้าได้แค่ไหน" ถึงจะสนใจแต่ต้องระวังตัวไว้ก่อน
"ได้มากกว่าคนพวกนี้ทั้งหมดเลยเจ้าค่ะ" เขาจึงแก้มนต์ที่รัดเธอออกให้
"คุมตัวคนพวกนี้ไปถึงรัตนบุรีก่อน แล้ววจึงไปพบตาของเจ้า" เขาอยากพบสหายคนนี้เพราะต้องมีเรื่องที่ควรจะสะสางให้สิ้น
"เดินทางอีกตั้งไกล จั๊กน่ะปวดขาจะแย่ ท่านตาก็มีอิทธฤทธิ์ ทำไมไม่รีบพาไปเสียเร็วๆกันล่ะเจ้าคะ"  เธอแกล้งโวยวายเพื่อที่จะไม่ให้ทุกคนต้องเหนื่อยแรงเดินทาง
" ถ้าไม่ใช่เพราะตาของเจ้า อย่าหวังจะได้ไปอย่างสบายเลย"
มินานมากนั้นด้วยมนตราที่ท่องเพียงครู่ ทั้งหมดก็ได้มาถึงที่ต่างเมืองอย่างรวดเร็ว
" ไว้เราไปทูลพระมเหสีก่อน อย่าคิดตุกติกอะไรโดยเด็ดขาด" เขาสั่งอย่างนั้นแล้วก็จากไป
"มเหสี ..หรือว่าจะเป็นสไบแก้วกันนะ" สไบทองคิดถึงไม่กี่คนหรอกที่คิดทำร้ายตนไม่ปล่อยเช่นนี้
" เราห่วงว่าหลานของเราจะได้รับอันตรายเสียแล้วสิอมรินทร์ ป่านนี้แล้วมิเห็นวี่แววเลย" ท้านวดลกกล่วกับมเหสีอย่างอ่อนใจ
" ทั้งฝ่าพระบาทและธิดาอย่าเป็นกังวลเสียจนเกินเหตุ ตอนนี้พวกเราควรคิดหาวิธีเอาตัวรอดเสียก่อน" พระนางสนอเพราะเห็นอาการที่ไม่สู้ดีของทั้งสองจึงได้กล่าวไปเพราะเชื่อว่าต้องมีวิธีที่รอดออกไปแน่
.....
" เราจะทำอย่างไรดี.."อัญญานีพึมพำกับตนเองที่ไม่สามารถจะออกไปจากที่นี่ได้เลย
" รอคอยความสุขก็น่าจะเพียงพอนะอินทรานี"เทพวิษุษัตเข้ามาเยี่ยมยือน เมื่อเห็นใบหนาก็รู้สึกได้ชัดว่านี่คืออดีตพระชายาแต่ก่อนจะไปเกิดใหม่เป็นอีกคน
"ความสุขอะไร แล้วท่านเป็นใคร" คิดอยู่คนเดียวก็วุ่นวายในหัวพอแล้ว ทำไมต้องมีใครมาขัดสมาธิด้วยนะ
"เราวิษุวัต..จริงอยู่ที่เจ้าจะจำเราไม่ได้ แต่รอคอยไม่นานดอกปาริชาติบานสะพรั่งคราใด เจ้าก็จะสามารถระลึกกถึงได้ด้วยตนเอง"พระเทวากล่าวเช่นนั้นมีหรือที่เธอจะพอใจได้
"พระองค์จะใช้อดีตมาทำให้หม่อมฉันคล้อยตามหรือเพคะ หม่อมฉันมิยินยอมเข้าพิธีอภิเษกสมรสโดยเด็ดขาด และะหม่อมฉันเชื่อว่าสหายของหม่อมฉัจะต้องมาถึงที่นี่ในเร็ววัน" เธอกล่าวเพราะรู้สึกเหมือนโดนบังคับและยังมีความหวังอยู่ว่าสหายต้องมาช่วยอย่างแน่นอน
"สหายเจ้าไม่รู้ทางมาเสียด้วยซ้ำ เราจะบอกอะไรให้อีกอย่าง พวกนั้นน่ะลอยหายไปกับสายน้ำแล้ว อีกทั้ืงของวิเศษก็ถูกทำลายไปแล้ว  จะไม่เชื่ออก็ตามใจ ไว้เสร็จงานใหญ่เมื่อใด เราสัญญาว่าเจ้าจะเป็นสตรีีโชคดีที่สุด" ทิ้งประโยคสุดท้ายแล้วจึงจากไปทิ้งให้เธอได้อยู่คนเดียวอีกครั้ง เธอถอดสร้อยมาดูเพื่อหวังให้เกิดปาฏิหาริย์จากอภินิหารของของขวัญที่สหายมอบให้บ้างก็ยังดี​ มันคงเป็นไปไม่ได้หรอก แต่แล้วเธอก็พลาดทำตก จี้ตลับนั้นเปิดออกปราฏธำมรงค์แก้วศุภรอยู่ด้านใน เจ้าตัวเห็นก็ได้รีิิบเก็บไว้อย่างดี รอโอกาสที่จะออกไป
"หรือว่านางจะรู้เรื่องนี้มาก่อนแล้วนะ"
.....
"แต่เราจะขอให้บัวช่วยเราอีกเรื่องหนึ่งในวันนี้" ภาพวามทรงจำจากครานั้นมาเยือนเมื่อนึกถึง
"เรื่องอะไรหรือเพคะพระธิดา" บัวนั้นสงสัยท่าทีตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว
"เจ้าจงนำแหวนปลอมนี่ไปสลับกับของจริง แล้วนำของจริงใส่ไว้ในจี้ตลับนี้" น่าสงสัย ทำไมต้องทำเช่นนี้ด้วย
" เหตุผลอันใดถึงต้องทำเช่นนี้ด้วยหรือเพคะ"คนถูกวานต้องสงสัยกันเป็นธรรมดา
"พรุ่งนี้จะมีการต่อสู้ คนพวกนั้นจะต้องแบ่งคนมานำตัวอัญญานีไป พวกนั้นน่าจะรู้จักแหวนนั่นดีแล้ว ถึงจะมาชิงเอาตรงๆไม่ได้ แต่เล่ห์กลพวกนั้นต้องช่วงชิงได้แน่ นี่เป็นการปกป้องอีกขั้น ถึงแม้จะเป็นการทำร้ายนางทางอ้อมแต่อย่าให้นางรู้จะดีที่สุด" เธอฟังดังนั้นจึงได้ตกปากรับคำไป

" เราทำถูกต้องไหมนะ"เธอรู้สึกเป็นห่วงพวกเขาขึ้นมาเสียแล้ว
" ในการตัดสินใจหาทางหนีก็ไม่นับว่าผิดอะไรนะบัว"บดิศรได้เข้ามาพบหน้าหลังจากการเฝ้าพระบิดามารดาได้ไม่นาน
" พระโอรส!! " สีหน้าเธอยิ่งเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด หากบดิศรกลับมาได้แบบนี้ก็น่าจะร้ว่าอีกฝ่ายน่ะเป็นอย่างไร
" บัวเป็นอะไรรึเปล่า" เขาเป็นห่วงมากจนอดคิดกังวลเสียมิได้
" เหล่าพระโอรสพระธิดาคงจะเจ็บหนัก เหตุใดพระองค์จึงได้กระทำการเช่นนี้เพคะ" บัวทวงถามทันทีเพราะนี่ไม่ใช่เรื่องเล็กแล้ว
"หนึ่งเราอยากกำจัดคนที่ทำให้เราอยู่นอกสายพระเนตรเสด็จพ่อ สองมันเป็นหน้าที่" เขาไม่ทำไม่ได้หรอกนะ
" ทุกคนไม่ว่าจะเป็นใครก็อยู่ในสายพระเนตรของพระบิดานะเพคะ  ที่ทรงทำตามหน้าที่หรือว่าเป็นความต้องการของพระองค์เองเพคะ" เธอไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมถึงเป็นแบบนี้นะ
"ไม่..แต่เรามาไกลเกินจะแก้แล้ว บัวไม่ได้เสียพระโอรสธิดาอย่างเดียวหรอก เราก็สูญเสียสหายเราเหมือนกัน" ดวงตาหลบลงพื้นเล็กน้อยปัดความอ่อนแอลง
" เรากลับไปแก้ไขไม่ได้..ตอนนี้แม้แต่จะเริ่มต้นใหม่ยังไม่เห็นทาง  บัวคงจะเสียใจมาก เราไม่กวนเจ้าแล้วกัน" เขาพูดเสร็จก็แยกไปอยู่คนเดียวเสียน่าจะดีกว่า
....
"​น่ายินดีที่ลูกมีชัยมา เอาล่ะลูกต้องการอะไรดี" ผกากรองในร่างราชามารับบุตรด้วยตนเอง
"งานอภิเษกหรือบัลลังก์​ดีพระเจ้าค่ะ"พูดมาได้ต่อหน้าขุนนางทั้งหลาย​ โดยมิสนใจภาพลักษณ์​เลย
" พวกเจ้าออกไปกันให้หมด!! "ออกคำสั่งครู่หนึ่งคนทั้งหมดก็ออกไปในทันทีเพราะยังรักชีวิตอยู่
" เมื่อเช้านี้เทพทั้งสองคนนั้นงอกว่าสังวาลย์พวกนั้นถูกทำลายแล้ว แสดงว่าไม่นานต้องได้ข่าวการตายของพวกนั้นแน่"เขากล่าวอย่างพอใจ
"ดูท่าสตรีนางนั้นไม่ดูดีใจเลยนะ" เมื่อเห็นฉันทนามีท่าทีดังนั้นจึงกล่าวถาม
"ไม่เอาน่า อีกหน่อยเจ้าจะมีสุขกว่าตอนอยู่กัิิบมันแน่นอน เราสัญญา"อดห่วงไม่ได้เลยสตรีนางนี้
" เราขอไปพักคนเดียวนะ" ว่าแล้วก็ไปในทันที
" ลูกควไม่ได้จะแต่งนางเป็นชายาหรอกนะใช่มั้ย" เธอรู้สึกไม่พอใจสตรีนางนี้ท่าไหร่นัก
"ลูกต้องการ ท่านแม่ก็ห้ามไม่ได้" คำพูดนั้นทำให้ผู้เป็นแม่อดส่ายหัวไม่ได้
" แต่ว่าแผลเจ้าไม่น่าจะหายได้ แม่ช่วยได้แค่เอามนต์มาปิดบังให้ได้เท่านั้นล่ะ"มันลึกเกินไปรักษาไม่ได้หรอก
" ไม่ต้องก็ได้ มั่นอึดอัดเกินไป ลูกกหนื่อยแล้วไปก่อนนะพระจ้าค่ะ" ว่าแล้วจึงจากไปทันที
.......
" รวบรวมเสร็จแล้วล่ะ เราว่าเป็นไว้ให้ดีแล้วหาทางมาใหม่" แสงสุรีย์เขียนแสดงความคิดเห็นบนผืนทราย
" ไม่รู้จะสำเร็จไหมแต่เราจะต้องลองดู"จึงใช้มนตราเก็ิิบสิ่งสำคัญไว้ แล้วเริ่มใช้คาถาตรวจดูว่านี้คือทะเลแถบทางทิศใด
" อยู่ที่นี่กันนี่เอง" ธานิทร์กล่าวเมื่อพบทั้งสอง
" ตามมาถูกขนาดนี้เลยเหรอ"สุริยะกล่าว ปกติถึงจะมาถูกก็ใช่จะมาตรงจุดขนาดนี้นี่นา พวกเขาพยายามจะใช้วิชาเข้าสู้  แต่พลังดันมีน้อยไปเพราะเพิ่งฟื้นตัวซ้ำยังใช้ไปทำอย่างอื่นก่อนหน้านี้จึงพากันหนี
"ยอมแพ้ดีๆหรือจะตาย  เลือกเอา"ปัจจาเข้าดักทาง เทวดาอีกตนก็สร้างเถาวัลย์ดักไปอีกตรงหนึ่ง
ด้านหนึ่งธานินทร์ ด้านหนึ่งปัจจา ด้านหนึ่ืืงเถาวััลย์
และอีกด้านคือทะเล​ จะไปทางใดก็อันตราย
"เราไปทำอะไรให้พวกท่าน ถึงได้ตามราวีไม่เลิกรา ถ้าเราตายแล้วทุกอย่างจะจบใช่ไหม"สุริยะพูดอย่างทุลักทุเลปนเสียงเหนื่อยหอบ
"พวกเราน่ะไม่ใช่​ แต่กับพระเทวาวิษุวัต​เจ้ากระทำผิดไว้มาก อภัยไม่ได้" ปัจจากล่าวตอบ
"จ้าตายก็ดีแล้วนี่ จะตายกี่ครั้งก็ไม่สาสมหรอก" ธานินทร์พูดเสริม
แสงสุรีย์ได้ทีเผลอดึงข้อมือสหายกระโดดเข้าสู่ห้งทะเลทันที ธานินทร์ห็นดังนั้นจะตามไปแต่ถูกห้าม
"เจ้าห้ามทำไมกันน่ะ!! "เขาหัวเสีย ทั้งๆที่ตัวเองอยากล่าคนแรกทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้เป็นฝ่ายหยุดเสียเอง
" เราต้องการให้สอngคนนั้นตายอย่างทรมาณที่สุด"
พูดเข้าทีดีนี่ ไม่รู้ว่าด้านล่างจะเป็นอย่างไร แต่ทั้งสองด้านบนนั้นเชื่อว่าด้านล่างไม่รอดเพราะไม่ขึ้นจากน้ำนานแล้วอย่างแน่นอน
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กรกฎาคม 11, 2020, 07:14:26 PM
อาทิตย์​นี้จักรกรดได้แป้นพิมพ์​เชื่อมต่อโทรศัพท์​อันใหม่มาค่ะ​ กะว่าจะใช้พิมพ์​ได้เร็วกว่าพิมพ์ในมือถือ​ แต่กลับพลาดพิมพ์​ผิดหลายตำแหน่งและบางอักษรไม่มีใครแป้นเลยแทนอังกฤษ​ ต้องมาตามอีดิทใหม่​ ยังไงจะเร่งพัฒนา​การใช้ให้ได้ไวๆและพิมพ์ให้ได้เนื้อเรื่องที่ยาวกว่าเดิมในแต่ละสัปดาห์​นะคะ​ ขอบคุณ​ที่เข้ามาอ่านกันนะคะ​ ขอโทษที่ผิดเวลาด้วยค่ะ​
 w15 w8 w15 w12
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กรกฎาคม 18, 2020, 06:32:46 PM

"เป็นยังไงบ้าง​ล่ะ... ดูท่าน่าจะมีความทุกข์ไม่น้อยเลยนะ" พิมาลามาเยือนถึงที่คุมขัง ทำเอาทุกคนอดสงสัยไม่ได้ว่าสตรีผู้นี้เป็นใครกัน​  แล้ว​มีความแค้น​อะไรกันแน่ถึง​ได้มาร่วมกระทำการอันมิชอบกับชาวเมือง​ทิศพล
"เราไม่เคย​รู้จัก​ท่านมาก่อน​ ทำไมต้อง​ทำเช่นนี้​ด้วย"สไบทอง​กล่าว​ถามผู้ที่มาเยือนด้วยไม่เข้า​ใจในเหตุผล​
"ไม่​รู้จัก​ก็ดี... เราไม่จำเป็นต้องบอกเหตุ​ผลให้เจ้ารู้หรอก เพราะเรื่องแค่นี้ใช่ว่าจะคิดเองไม่ได้นี่"คิดดีๆก็มีไม่กี่คนจริงๆนั่นล่ะ
"คงเป็นเจ้าสินะสไบแก้ว..ถึงเจ้าจะหน้าตาเปลี่ยนไปเช่นใด จิตใจที่ไม่สำนึกคุณของเจ้าก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย" ท้าวนวดลในสถานะเชลยได้พูดขึ้นเพราะคนมีลักษณะเช่นนี้เป็นคนเดียวกันเพียงแต่หน้าไม่เหมือนเดิม
"สามหาว!!" ได้ยินคำกล่าว​ว่าถึงกับเลือดขึ้นหน้า​ ยอมให้ว่ามิได้เด็ดขาด​
"เจ้านั่นล่ะที่สามหาว!! องค์​เหนือหัวนวดลเป็นถึงเจ้าเมือง​ เจ้าถือตำแหน่ง​ว่าเป็นมเหสีเมือง​นี้มาข่มขู่​ทั้ง​ๆที่พระองค์​เคยรับเจ้ามาเป็็นธิดาบุญธรรม​ ก็น่าสมควรให้ถูกกล่าวว่าอยู่หรอก" มเหสีอมรินทร์​ตอบกลับไปด้วยไม่พอใจ​ในกิริยาหญิง​คนนี้
"หึ... เจ้าเมือง​หรือ ตอนนี้ก็ไม่ต่างจากพวกข้าทาสนักหรอก อีกอย่างบุญคุณอะไรนั่นเราก็ไม่ได้ร้องขอ​ มันเป็นความต้องการของพวกเจ้าทั้งนั้นไม่เกี่ยวกับเรา...ในเมื่อปากดีกันขนาดนี้ก็ไปทำงานทาสแบกหามหาฟืนก็แล้วกัน​ พาตัวไปยกเว้นสไบทอง​ ให้นางไปประจำห้อง​เครื่อง​ ใครไม่ใช้งานคนพวกนีถือว่ามีความผิด​ ประหารสถานเดียว" พูดเสร็จก็จาไปในทันทีไมรีรอให้ใครได้ตอบโต้อีก
...........
"เป็นรื่อง​จริงเหรอ "อัคนินฟังคำเล่าอีกฝ่ายก็ถามทวนอีกครั้งราวกับว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าเชื่อ
"จริงแท้แน่นอน พวกเราเห็นกับตาว่าสองคนนั้นน่ะกระโดดลงน้ำทะเล​ไป"ธานินทร์​กล่าว​ ไม่รู้​จะ​โกหกไปทำไมกัน​ เรื่อง​ที่น่ายินดีอย่างนี้
"ดีเหลือเกิน​นะคนนึงเป็นง่อยอีกคนก็ใบ้ กล้าที่จะกระโดดลงไปแบบนั้น​ คงจะมีใครมาช่วยอยู่​หรอก​ เท่านี้ก็หมดหน้าที่ไม่ต้องทำอะไรแล้วสินะ" เขา​พ​อใจ​กับ​คำยืนยันพลางยิ้มอย่าง​ชอบใจ
" ใครบอกกัน​ พวกเรายังไม่หมดหน้าที่​ นี่เพิ่ง​จะเสร็จขั้นแรกไปเอง" เขาพูดเช่นนี้มีเหรอคนอยากพักจะไม่พอใจ
" งานอะไรอีกล่ะ​ นี่ยัง​ไม่หมดอีกเ​หรอ​ค่ะ​ เรื่องมากจริงๆ​" เขา​ชักจะ​โมโหใหญ่แล้ว​งานก็ทำแล้วจะอะไรกันอีก
" อย่าเสียงดัง​ไป​ กำแพง​มีหูประตู​มีช่อง.. " เขา​เตือนก่อนจะเล่าเรื่องงานที่ว่าไว้อย่าง​ลับๆ
" พักผ่อนก่อนไม่ได้เหรอ "เขาลาะเหนื่อยหน่ายกับพวกลัทธินี้เสียจริง​ แต่ก็ต้องยอมทำตามเพราะตกลงไว้แล้วเลิกไม่ได้​ ขออย่างเดียวขอพักร่างกายสักหน่อย
"ก็ย่อมได้... อยากจะทำสิ่งใดก็รีบทำนะ​ เพราะหมดเพลาเมื่อใด​ เจ้าก็คงจะวุ่นวายพอตัว​ เราไปล่ะ" ว่าแล้วเขาก็จากไปเพราะตัวเขาก็อยากจะพักเช่นกัน
......
"ทำไมถึงดูหนักใจ​ เรานึกว่าเจ้าจะยินดีเสียอีก" ปัจจาถามอีกคนที่ฟังเรื่องที่ศัตรูหนีไปแต่สีหน้ากลับไม่ยินดีได้เต็มที่
" ยินดีก็ใช่อยู่​... การที่ทั้งสองคนนั้นตายไปอีกสิบสองคนที่เหลือจะจากไปพร้อมกันรึเปล่านี่สิปัญหา" บดิศรได้ยินคำถามก็กล่าวตอบไป
"ไม่ต้องห่วงไปหรอก.. คนพวกนั้นก็จากไปพร้อมๆกับทั้งสองคน​  แต่ถ้าพวกนั้นรอดไปได้จริงๆคงจะทรมาณมาก​ นอกจากจะได้รับความลำบากแล้ว​ เราจะติดตามทำให้คนพวกนั้นไร้ซึ่งความสุข" มันเหมือนเป็นหน้าที่่ที่สลัดไม่หลุดจะต้องให้อีกฝ่ายสิ้นไป​ ตัวเองจะได้ไม่ต้องทำงานอีก
"ตอนนี้เจ้าคงล้ามามาก​ พักผ่อนก่อนเถอะ​ ไว้ถึงเพลาจะเรียกมาช่วยงานอีกแรง" เขาจากไปแล้วให้อีกคนได้พักผ่อนหย่อนใจไปก่อน
....
ภายใต้ท้องทะเลทางทิศทักษิณ​นั้นเหล่ามัจฉา​น้อยใหญ่ต่างแหวกว่ายไปมาไม่สิ้นสุด​ แต่แปลกนักที่มนุษย์​อยู่ต่างถิ่นมาเหตุใดจึงได้เดินเหินราวกับว่าพวกตนอยู่บนบกอย่างนั้น​ เดินทางกันได้สักพักก็มาถึงวังบาดาล​ ทำไมถึงมาที่นี่ได้ล่ะ
"แสงสุรีย์​ ทำไมถึงได้กลับมาเป็นแบบเดิมล่ะ​ แล้วชายหนุ่มคนนี้คือใคร.. นำกระดานเขียนคำมาให้หลานเราเร็ว​ นำลูกแก้วชีวาชลาศัย​มาให้ชายผู้นี้ด้วย" นางกำนัลใต้ทะเลก็รีบทำตามรับสั่งจัดหากระดานสำหรับเขียนคำและมาให้อย่างรวดเร็ว​
"กลืนลูกแล้วนี้เถิดบุรุษ​ แล้วเจ้าจะอยู่ใต้ท้องทะเลได้โดยไม่ต้องยืมหัตถ์ผู้ใดมาจับต้อง" พระนางยื่นลูกแก้วขนาดเล็กกว่ายาลูกกลอนที่มีแสงสีขาวสบายสบายดวงตาไม่เจิดจ้าราวกับแสงตะวันให้กับคนแปลกหน้าแต่นับว่าเป็นสหายของคนรู้จัก
"ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ​ หม่อมฉันชื่อสุริยะพระเจ้าค่ะ"เขารับลูกแก้วนั้นมาแล้วกล่าวขอบคุณ​ เขาพอจะเดาได้ไม่ยากมาก​ นี่คงจะเป็นหนึ่งในพระวงศาของพญานาคราชแห่งทิศใต้นี้
"ทูลพระมเหสีภาสุระ​ เหตุแห่งการนี้เกิดจากการต่อสู้ที่เมืองศาศวัตบุรีเพคะ..." เธอเขียนเล่าทุกเรื่องราวลงไปที่กระดานคำ​ ทำให้รู้ได้ถึงสาเหตุที่พระนาคีต้องการคำตอบ
"เช่นนี้เราเห็นสมควรจะต้องทูลพระวิชชุ​นาคราช​ให้ทรงทราบ​ ไม่นานพระองค์​คงจะกลับมาพร้อมกับโอรสธิดาของเรา​ พักผ่อนเสียก่อนเถิดไว้เสด็จเมื่อใดเราจะให้คนไปตาม" พระนางกล่าวจบจึงได้ให้คนพาไปยังที่รับรอง​ ก่อนจะแยกย้ายความสงสัยของแสงสุรีย์​ที่มีอยู่นั้นก็มิอาจปิดได้
" ทำไมท่านถึงได้รู้จักเหล่าเชื้อพระวงศ์​นาคาได้​"เขาถามเช่นนั้นก็ต้องตอบ​ มิจำเป็นจำต้องปิดบังสิ่งใดเลย
" ก่อนที่เราจะได้รับสังวาลย์​มณีมา​ สิ่งวิเศษนี้ได้อยู่กับองค์วิชชุนาคราชมาก่อน.." แสงสุรีย์นั้นเติบโตมาจนถึงแปดชันษาถึงแม้ว่าจะร่ำเรียนศิลปะวิทยาใดก็ตามแต่​ เหล่าราษฎรต่างรู้สึกไม่วางใจในสิ่งที่เธอนั้นเป็​น ทั้งเป็นคนใบ้ไร้เสียงพูดและยังมีมีแผลเป็นกรีดยาวดูไม่งามตาในส่วนใหญ่ของค่านิยมผู้คน​ที่ใบหน้าอย่างชัดเจน​ ต่อให้เป็นลูกกษัตริย์​อย่างไรก็มิอาจพ้นคำครหา​ได้เลย​ แม้แต่ความสามารถ​ก็ยังถูกเคลือบแคลง​ ตนจึงขอลาพระบิดาเดินทาง​ แรกเริ่มเดิมทีใจพ่อคงไม่ยอมให้ลูกอายุเท่านี้เดินทาง​ แต่เมื่อเป็นประสงค์​และโชคชะตาพอจะเป็นใจ​จึงปล่อยให้เดินทาง
"ถ้าทายปริศนาได้จะขอสิ่งใดจากองค์นาคราชก็ย่อมได้​" ประกาศจากนกแขกเต้าที่นำมา​ให้​ ผู้ติดตามได้อ่านแล้วก็รู้สึกตกใจแต่ก็ทูลต่อพระธิดาทันที
"เป็นโชคชะตาที่ดีเลยนะเพคะ​ อย่างนี้ถ้าพระธิดาตอบได้ถูกต้อง​ พระธิดาก็จะได้ครอบครองสิ่งที่พระธิดาต้องการเลยนะเพคะ​... แต่ว่าลูกแก้วมีอันเดียว​ จะลงไปวังบาดาลได้อย่างไรล่ะเพคะ" คนที่ตามก็พูดเสียเยอะเพราะอีกคนพูดไม่ได้สินะ
"ขอเราอ่านเนื้อหาได้ไหมพุดจีบ" เธอเขียนลงบนพื้นดินเพื่อขอให้อีกคนส่งประกาศมาให้
" จับมือกันไว้ก็ไปได้​ แต่ต้องจับตลอดเพลา​ ปล่อยมือไปก็ไม่สามารถรอดชีวิตได้นานถ้าไม่ถึงน่านน้ำ​" เมื่ออ่านประกาศและคำอธิบายการใช้ลูกแก้วอย่างละเอียดแล้วจึงบอกนางกำนัลที่ตามมาด้วยการเขียน
" อย่างนี้หม่อมฉันก็แย่น่ะสิเพคะ​ ครั้นจะให้พระธิดาไปลำพังก็ดูจะไม่ดีเท่าไหร่"เธอทำท่าเป็นเสียดายเหลือ​ แต่ก็ยังมีมุมที่ดูกี่ทีก็ไม่น่าจะรับมือกับกระแสคลื่นได้ไหวนัก
"ไม่เป็นไร​รอเราบนบกนี่ล่ะ​ เราจะไปคนเดียว" ตัดสินใจก็จะไปเสียให้ได้
"พระธิดามีพระชันษาน้อย​ แล้วถ้าลงไปเกิดอันตรายขึ้นมาจะทำยังไงล่ะเพคะ" อดห่วงไม่ได้นะยังตัวเท่านี้อยู่เลย  อีกคนไม่ตอบโต้แต่เลือกที่จะเดินลัดเลาะจนถึงชายหายได้อย่างรวดเร็ว​ แล้วทำท่าเหมือนจะเขียนอักษรให้นางกำนัลดูอีก​ ดูจงใจเขียนให้อ่านยากเสียด้วย
"ร.. รอ.. รอตรงนี้​ เราไป.. ไปก่อน​  รอตรงนี้เราไปก่อน"อ่านเสร็จถึงกับเงยหน้ามองพระธิดาก็ใช้ลูกแก้ววิเศษลงไปยังเมืองบาดาลเสียแล้ว​ ไม่ต้องแหวกว่ายก็เดินทางในน้ำได้เหมือนกับบก​ มาถึงแล้วควรจะทำตัวอย่างไร
"มีเด็กมาด้วยงั้นรึ  เหตุใดจึงไม่พูดจา" นายทหารบาดาลถามยังไงอีกคนไม่พูด  แต่คิดจะเขียนอยู่
" ไม่ต้องเข้ามาก็ได้นะ​ ถ้าจะทายปริศนาก็จะต้องพูด​ เขียนแบบนี้รบกวนฝ่าบาทเสียปล่าวๆ"
"รบกวนอะไรกัน​ พวกเจ้าเอาแต่ว่าผู้อื่นมิถามเหตุผล​สักคำ.. เจ้ามาตามคำเชิญหรือ​ ที่ไม่พูดเพราะเหตุใดกัน​ อย่ากังวลเรามิคาดโทษเจ้าหรอก" สตรีท่าทางมีอำนาจเข้ามาและนั่งทักทายกับเด็กที่ยืนอยู่​ พอเขียนตอบไปก็ทำให้รู้ว่าเป็นใบ้ไร้เสียง​ จะตอบโดยวาจามิได้
" ถึงแม้จะพูดไม่ได้​ เราก็ต้องลองดูว่าจะแก้ปริศนาอย่างไรได้ดีกว่า​ องค์​เหนือหัวทรงโปรด​ปรานผู้มีปัญญามากกว่าผู้ใช้วาจามาทำลายผู้อื่น" ว่าแล้วจึงจูงมือพาเข้าไปในเขตท้องพระโรง​
"มเหสีภาสุระ​พาธิดาน้อยผู้นี้มาแต่ใด​ เราหาได้รับรู้ไม่​ โปรดแจ้งแก่เราเถิด" วิชชุนาคราช​ผู้รอคอยเหล่าคนทายปริศนาได้ถามถึงบุคคลที่มาเยือนนั้นดูยังด้อยประสบการณ์​มิน่าจะใช่ที่ชะตาส่งมา
" เด็กคนนี้มาตามประกาศเพคะ​ ดูท่าจะเป็นเด็กที่มุ่งมั่นมิน้อย​ ถึงแม้จะพูดไม่ได้​ จะไม่มีประสบการณ์​เท่าผู้ใหญ่มากนัก" เพราะไปเห็นแววตาก็เหมือนกับเห็นหัวใจเลยค่อนข้างจะมั่นใจนัก  เมื่อรู้ว่าอยู่กับราชวงศ์​สูงศักดิ์​ของเหล่านาคแล้ว​  จึงได้ทำการคำนับนอบน้อมทันที
"เอาเถิด​ ในเมื่อมาในที่แห่งนี้แล้วควรที่จะได้ทายปริศนา​ ปริศนาของเราก็คือ​ เหตุใดฝุ่นละออง​ไม่เรียกธุลี​ จริงอยู่ว่าเป็นคำถามที่ไม่ยากเท่าใด แต่เราอยากจะได้คำตอบที่มีนัยยะธรรมจากผู้มาเยือน" คำถามนี้ไม่ยาก​อย่างว่าแต่ต้องคิดให้ดีก่อนจะตอบ​ เหมือนกับว่าผู้ถามจะต้องการคนสนใจธรรมร่วมกับปัญญาแบบเดียวกันเสียมากกว่า​ คำนี้ช่างเป็นคำที่น่าฉงนในทีเพราะความหมายจริงๆนั้นก็คือละอองฝุ่นที่เล็กกว่าฝุ่นทั่วไปมิใช่หรือ​ เหตุใดต้องตั้งปริศนาที่คนตอบไม่ถูกพระทัยเสียที​ ผู้ทายปริศนาลงมือเขียนอธิบายปัญหาที่ไม่ยากนี้ลงบนกระดานคำที่พระมเหสีทรงหยิบยืมมาจากพระโอรสที่ใช้ในการศึกษา​ เมื่อเสร็จแล้วพระโอรสพญานาคจึงลงไปรับคำตอบช่วยอ่านให้แทน
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กรกฎาคม 18, 2020, 06:35:14 PM

"ทูลองค์นาคราช​ คำว่าธุลีในความหมายทั่วไปใครต่างก็รู้ดีว่ามีความหมายเช่นเดียวกับฝุ่นละอองถ้าจะให้อธิบายความแตกต่างคงกล่าวถึงขนาดที่เล็กลงไป​ จะกล่าวได้ว่าคำตอบนั้นไม่ผิดไปเสียทีเดียว​แต่กลับยังไม่สมบูรณ์​ หม่อมฉันจะแจ้งตามหลักธรรมตามที่ทรงปรารถนา​ อันว่าแท้จริงตามธรรมคำสอนพุทธองค์​กล่าวเกี่ยวกับธุลีนั้นคือกิเลสของคนซึ่งมีสามประการเป็นพุทธวาจาของพระศาสดา.."เขาส่งกระดานให้เขียนต่อไปอีก
"ประการที่๑ ราคะ​ชื่อว่าธุลี, แต่ละอองท่านหาเรียกธุลีไม่, คำว่าธุลีเป็นชื่อของราคะ​ ภิกษุเหล่านั้น​ละธุลีนั่นได้ขาดแล้ว​ อยู่ในศาสนาของพระพุทธเจ้า​ผู้ปราศจาก​ธุลี
ประการที่๒​ โทสะชื่อว่าธุลี, แต่ละอองท่านหาเรียกธุลีไม่, คำว่าธุลีเป็นชื่อของโทสะ​ ภิกษุเหล่านั้น​ละธุลีนั่นได้ขาดแล้ว​ อยู่ในศาสนาของพระพุทธเจ้า​ผู้ปราศจาก​ธุลี
ประการที่๓​ โมหะชื่อว่าธุลี, แต่ละอองท่านหาเรียกธุลีไม่, คำว่าธุลีเป็นชื่อของโมหะ​ ภิกษุเหล่านั้น​ละธุลีนั่นได้ขาดแล้ว​ อยู่ในศาสนาของพระพุทธเจ้า​ผู้ปราศจาก​ธุลี"  ยังจะเขียนต่ออีกหรือ​ พระโอรสติณณกฤตแห่งท้าวเจ้านาคาทิศทักษิณ​รู้สึกล้าแล้วหนา
" ตอบเท่านี้น่าจะพอนะ"เขาทักท้วงเล็กน้อยกับคนวัยเดียวกัน
" ให้เขาชี้แจงอีกเพียงครั้งเถิด​ ลูกพ่อต้องรู้จักอดทน​ พวกเราต่างต้องดูแลข้าราชบริพาร​อีกมาก​ ถือว่าฝึกใจให้ร่มเย็นมีสมาธิ" เขาพูดให้เข้าใจ​ เวลานี้ปริศนาจะกระจ่างจะมิยอมอันใดเลยรึ
"พระเจ้าค่ะ​ ลูกจะใจเย็น" ว่าแล้วเขาก็รับกระดานที่เขียนเสร็จขึ้นมาอ่านเป็นคราสุดท้าย
" กิเลสเหล่านี้ล้วนเป็นธุลีที่สามารถ​ซึมซับเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับจิตใจนั้นโดยง่าย​ นับเป็นสิ่งบ่อนทำลายศีลธรรมอันดี​ ดังนั้นนั้นเราควรระวังตัวตั้งมั่นอยู่ในการทำความดีอย่าให้กิเลสนั้นเข้าครอบงำจิตใจไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม​"  เสร็จสิ้นคำอ่านพระวิชชุท่านก็แย้มพระโอษฐ์อย่างพอพระทัย
" เห็นชัดว่าท่านมีปัญญาอันเกิดจากการศึกษา​พระธรรม... เรามีสิ่งวิเศษมอบให้เป็นถาวรคือแก้วชีวาวชลาศัย​  พร้อมกับสิทธิ์​ที่ท่านจะขอความช่วยเหลือในทุกกาล​ สิ่งที่เราจะให้เลือกคือรัชตวิมาน​ ตรีมารุต​ สังวาลย์​มณี​ ท่านปรารถนาสิ่งใดโปรดเลือกมาเถิด" ถึงจะมีความยินดีแต่ก็ยังมีคนคอยภาวนาไม่ให้นำของวิเศษที่ตัวเองอยากได้ทั้งชีวิตไปเลย​ คนที่มีสิทธิ์​ในการเลือกก็ไม่รู้จะเลือกสิ่งใด​ ไม่ใช่เพราะความโลภอยากได้ทุกอย่างหากแต่ว่าที่มาที่นี่ก็เพื่ิอจะทายปัญหาอย่างเดียวนี่สิ
" เลือกเถิด​ อย่าเกรงกังวลใจ" วิชชุนาคราชกล่าวเมื่อเห็นท่าทีของผู้ทายปริศนา​ แสงสุรีย์​ในวัยเยาว์​หยิบจับสิ่งของพลางคิดไปว่าชะตาน่าจะเลือกสิ่งที่เหมาะสมให้ตนเอง​  เธอจับดูวิมานขนาดเล็กเท่าของเล่นนั้นที่สามารถขยายใหญ่ตามใจชอบก็รู้สึกว่าไม่ใช่​ ครั้นหยิบตรีได้ครู่สายตาแสนหวงแหนก็มุ่งตรงมาจนน่าอึดอัดใจ
้เมื่อมาถึงชิ้นที่สามปรากฏ​แสงสว่างวาบครู่หนึ่งเมื่อสัมผัสจนรู้สึกถูกชะตายิ่งนัก
"หรือว่านี่..." มเหสีนาคาเห็นแล้วจึงพูดไปแต่ก็ยั้งไว้คอยดูที
"หม่อมฉันประสงค์​สังวาลย์​เส้นนี้​เพคะ" เธอเขียนลงกระดานคำเพื่อทูลต่อนาคราชา
"สวมใส่ดูเถิด​ ของสิ่งนี้ก็เลือกเจ้าของ​ หากไม่ใช่อย่าฝืนเลย" เขาแนะให้ทำเช่นนั้น​ อีกคนจึงได้ทำตามสวมใส่แล้วเกิดแสงสีแดงขึ้นมารู้สึดราวกับว่าร่างกายมีใครเพิ่มมาอีกหลายๆคน​ ร่างกายเปลี่ยนแปลงไปใบหน้าก็หายขาดจากแผลลึกอย่างไม่น่าเชื่อ
"แผลเราหายแล้วเหรอ...เสียงก็พูดได้.. . ขอบพระทัยเพคะ"นอกจากจะทำให้ร่างกายหายจากบาดแผลแล้วน้ำเสียงก็กลับมา​ ตอนนี้ร่างกายเป็นคนปกติทั่วไปแล้วแต่ยังไงก็ไม่ลืมที่จะขอบคุณ​เลย
"เป็นสิ่งที่ท่านควรได้รับ​ ต่อไปภายภาคหน้าท่านจะต้องได้ใช้อาวุธ​นี้รักษาความเป็นธรรมไว้  เรารู้จักกับฤๅษี​มฤคินทร์จะฝากฝังให้เป็นศิษย์ร่วมกับโอรสเรา.. อย่าได้ปฏิเสธเลย" นับตั้งแต่วันนั้นก็ร่ำเรียนวิชาร่วมกันมานั่นเอง

"ผู้ติดตามที่ชื่อพุดจีบเขาออกเรือนไปแล้ว​ ส่วนติณณกฤตเราไม่ได้เจอเขามาสี่ปีได้" จบการเล่าเรื่องก็มีเหล่านางกำนัลมาเชิญไปทานอาหารมื้อเย็นเสียหน่อย
.....
" เดินทางมาตั้งหลักนี่ก็ดีไปอย่าง​ แต่ว่านะทำไมในวังไร้วี่แววผู้คนอย่างนี้!! " เจ้าสิงโตหาทั่ววังทิศพลไม่เจอชาววังเสียสักคนมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
" มันเป็นแบบนี้เพราะคนพวกนั้นแน่​ แสดงว่าตอนนี้เหล่าพระวงศ์และข้าหลวงคงจะถูกบีบบังคับให้เดินทางไปยังเมืองรัตนบุรีเป็นแน่"หิ่งห้อยยักษ์กล่าว ดูจากรูปการณ์แล้วไม่มีทางจะคิดเป็นอื่นได้หรอก
"แล้วจะไปช่วยทางไหนก่อนดีล่ะ....เอาเป็นฝั่งที่คดที่อยู่ได้ก่อนดีไหม" เขาออกคววมคิดเห็น เพราะมันน่าจะตามหาง่ายกว่า
"เราก็เห็นควรเช่นกันเพราะอย่างน้อยก็น่าจะช่วยได้ก่อนจะออกตามหา แต่ยังห่วงว่าพระโอรสจะเป็นอย่างไร พวกเราก็ยังไม่รู้เลยว่ากระแสน้ำนำพระโอรสไปยังที่ใดแล้วได้อยู่กับพระธิดาแสงสุรีย์รึเปล่านี่สิ" เขายังหนักใจนักกับเรื่องที่เกิดขึ้น หานายของเขาอยู่ตามลำพังจะปลอดภัยหรือไม่
"ยังไงคราวนี้ก็ไปช่วยพวกเสด็จแม่กันก่อน ส่วนพระโอรสของเจ้า ข้าเชื่อว่าต้องไม่เป็นอะไรไปง่ายๆหรอก"
เมื่อตัดสินใจเช่นนี้แล้วทั้งสองก็เดินทางมุ่งสู่รัตนบุรีโดยทันที
.....
"ทำไมถึงไม่ให้เราเข้าไปยังป่าจินตภพแต่กลับให้มาพบที่ป่านี่แทน" ดาบสไม่เข้าใจอีกฝ่ายว่าเหตุใดถึงได้กีดกันไม่ให้ตนเข้าไปในเขตที่พำนักของสหายเก่าแก่ด้วย
"ท่านตาทมิฬล่ะก็  ใจเย็นสิเจ้าค่ะ ท่านตาของจั๊กน่ะต้องการแบบนี้ ใครก็ห้ามไม่ได้หรอกนะเจ้าคะ" ถ่วงเวลานานแล้วช่างน่ากังวลเหลือเกินที่จะถูกจับได้  ต่อจากนั้นควรจะทำอย่างไรดี เพราะตนนั้นไม่ได้นัดแนะกับฤๅษีมฤคินทร์ไว้เลย
"ยังใจร้อนมิเปลี่ยนเลยนะ ดูสิจั๊กแหล่นหน้าถอดสีหมดแล้ว" ดาบสใบหน้าที่เป็นราชสีห์นั้นไม่มีดังแต่ก่อนกลับเป็นมนุษย์ที่มาพบกันในวันนี้ ทั้งที่หลานสาวก็มิได้นัดหมายไว้จริงๆ
"ท่านตา ท่านตาจริงๆเหรอจ๊ะ " ถึงจะไม่ข้าใจในรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปอยู่บ้าง แต่ก็ดีใจที่ได้เจอไม่อย่างนั้นคงไม่รอดเป็นแน่
"ตาเองน่ะสิ...ทมิฬ ศิษย์ของเราก็ไม่อยู่แล้ว  จะตามหาเราทำไมอีกล่ะ เห็นชัดว่าศิษย์เจ้าน่ะเหนือศิษย์ของเราและอนุชิตนัก" เขาก็พูดตามที่รู้ ตนไม่เหลือศิษย์ที่เป็นศัตรูอีกฝ่ายแล้วจะมาเอาอะไรกับตนอีก
"เรามาก็ใช่เพราะศิษย์ตัวดีของเจ้าไม่ เรามาทวงน้ำเต้าอมฤตของเราคืน คนพวกนั้นไม่มีน้ำเต้า มันต้องอยู่กับคนเจ้าเล่ห์อย่างเจ้าแน่" นึกว่าเรื่่องอะไรที่แทก็แค่น้ำเต้า
"น้ำเต้าอมฤตนี้พวกเราทั้งสามก็ร่วมกันสร้างขึ้นมาไม่ใช่หรอกรึ เจ้าอ้างสิทธิ์ครอบครองแต่เพียงผู้เดียวไม่ได้  ตราบใดที่ยังอยู่กับพวกเราหนึ่งในสามก็ไม่เท่ากับสูญหายหรอก" ก็น่าให้ว่าอยู่หรอกของก็ร่วมสร้างพร้อมกันแท้ๆยังจะถือว่าเป็นของตัวเองคนเดียวอีก
"เจ้านี่มันยังไง ข้าก็ครอบครองอยู่ดีๆแต่ถูกแย่งเอาไป ข้ามาทวงดีไม่ได้เลยรึอย่างไร" เขาชักจะโมโหเสียแล้ว ใจร้อนเท่าคนรุ่นหนุ่มสาวก็มิปาน
"คิดทบทวนให้ดีก่อนจะพูดออกมา ใครทำใครก่อนก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจ อีกอย่างหนึ่งเจ้าก็เป็นผู้ทรงศีล สำรวมกิริยาบ้างเสียก็ดี" ว่าก็ว่าเถิด ใครทำใครก่อนกันถ้าไม่ใช่คนที่บูชาเทพวิษุวัตเสียเป็นบ้าเป็นหลัง
"ส่งมาให้เราเสียสิ จะได้เลิกแล้วต่อกัน" กล่าวง่ายดีนี่ คิดจริงๆหรือว่าจะหยุดแค่นี้ ได้คืบคงหวังศอกเสียกระมัง
"ส่งให้ไมได้ อยากได้ก็ไปหาอนุชิต แต่เขาคงอยากจะให้เจ้าอยู่หรอก" เป็นหนึ่งในส่วนร่วมของการทำลายชีวิตคนขนาดนี้ ผู้ทรงศีลที่ไหนจะยอมกัน
"พูดมากไปแล้ว ข้าจะจัดการเจ้าก่อน ส่วนน้ำเต้าอมฤตจะทวงจากอนุชิตเอง" เขาใช้ไม้เท้าปล่อยพลังเข้าทำร้ายอีกฝ่าย ทางนั้นก็ไม่ยอมตอบโต้กลับโดยทันที
ค่ำก็ได้ความมืดเข้าช่วย ทมิฬดาบสกะจะใช้พลังลอบโจมตีแต่ช้ากว่าอีกฝ่ายไปก้าวเดียว ทางนั้นก็บาดเจ็บต้องกลับไปตั้งหลักก่อนจึงจะมาพบกันใหม่
"ท่านตา ท่านตาไม่เป็นอะไรใช่ไหมเจ้าคะ"จั๊กแหล่นเข้ามาดูอาการด้วยความเป็นห่วง
'"ไม่เป็นอะไรหรอก ตาก็แค่อ่อนเพลียไปตามสังขารที่เหลืออยู่...ใจจริงตาก็อยากช่วยให้ถึงที่สุด แต่ว่านี่ก็เหมันตฤดูแล้ว ใกล้จะถึงวันบำเพ็ญเพียร ดังนั้นก่อนที่ตาจะไม่อยู่ เจ้าจงจำสิ่งที่ตาบอกให้ดี..." ผู้ทรงศีลกล่าวให้รับรู้ทุกสื่งโดยไม่ขาดตก เพื่อหวังว่าจะให้ความช่วยเหลือและแจงแนวทางให้รับมือกันต่อไป
......
"พระแม่เจ้าเสวยพระกระยาหารเสียหน่อยเถอะเพคะ ไม่เช่นนั้นพวกหม่อมฉันจะต้องโทษนะเพคะ"เหล่านางฟ้าข้าบาทต่างหนักใจในการกระทำของอัญญานี หาเหตุผลนานาก็มิยอม ต้องกล่าวตามจริงหวังให้ใจอ่อนลง
"ไม่ เราไม่ชอบอาหารที่พวกเจ้าเอามาให้ จะเปลี่ยนกี่ครั้งก็ไม่ถูกใจเรา พวกเจ้าจะถูกลงโทษเพราะเรื่องนี้ก็คิดดูว่านายตัวเองสมควรจะเป็นเจ้านายได้อีกเหรอ" แกล้งโดวยวายใหญ่โต กะจะไล่ให้ออกไป
"หากพระแม่เจ้ามิทรงโปรดก็อย่าฝืนพระทัยเลย...ราตรีนี้ให้หม่อมฉันอยู่ปรนนิบัตินะเพคะ" สันต์สินีเข้ามาได้ครู่พวกที่เหลือก็พร้อมใจกันออกไปในทันที ออกมได้ไม่นานก็สนทนาถีงคนด้านใน
"พระแม่เจ้าในตอนนี้เอาแต่พระทัยนัก เราสงสัยว่านางจะเป็นแค่คนหน้าเหมือนรึเปล่า"
"แต่ว่ามั่นใจกันขนาดนี้คงจะใช่  ปล่อยให้สันต์สินีดูแลเถอะ เป็นคนสนิทที่สุดแล้วนี่" ว่าแล้วก็ไปทำหน้าที่อื่นต่อ
ทางด้านอัญญานีก็เริ่มคิดไม่ตกเสียแล้ว ตอนแรกวางแผนไว้ว่าจะหนีตอนไม่มีใครอยู่ จะหายตัวไปต่อหน้าต่อตาก็ต้องมีใครไปรายงานเทพท่านแน่
"พระแม่เจ้า...ไม่สบายพระทัยหรือเพคะ หม่อมฉันก็พอจะทราบ ตั้งแต่ครานั้นที่พระนางจากไป พระเทวาก็ติดตามหาพระแม่เจ้าในชาติภพนี้ ความรู้สึกของพระแม่เจ้าไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปาริชาติจะทำให้ความรู้สึกกลับมาอีกครั้งได้หรือไม่ แต่หม่อมฉันจะทูลความจริงข้อหนึ่งให้ทรงทราบ"
"ความจริงอะไรกัน"" ทีแรกก็ร้อนใจจะไปอยู่หรอกแต่พอได้ฟังดังนั้นก็เกิดความสงสัยใคร่รู้ขึ้นมา
"ที่ศรุตเทพทำกับพระนางนับว่าไม่น่าให้อภัยยิ่งนัก ความทรมาณอันเกิดจากอาการประชวรของพระนางนั้นกัดกินพระวรกายไปทีละส่วนในขณะที่รอเขาไปนำเกราะกายสิทธิ์มา แต่สุดท้ายแล้วความโลภของศรุตเทพก็มาบดบังหน้าที่อันควรกระทำ เขาไม่กลับมา พระเทวาต้องส่งเหล่าเทวดาไปตามหาเขา แต่ว่าเขาเอาสิ่งนี้ไปซ่อนไว้ที่ใดไม่มีใครรู้ นั่นก็ไม่ทัน พระนางได้สิ้นพระชนม์ เขาก็คือคนเดียวกับสุริยะที่ท่านไว้พระทัยเป็นสหาย ถึงแม้เขาจะตายเป็นหมื่นครั้งก็มิอาจทดแทนได้" ฟังเช่นนี้ก็พอจะรู้เหตุผลบ้างแต่ยังไม่มากพอจะทำให้เธอเปลี่ยนใจมามองเทพพระองค์ดีขึ้นได้
"คงอยู่่หรือดับไปก็เป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นวัฏจักรสงสารของสิ่งต่างๆ  พวกท่านกระทำดีมาเท่าใดกว่าจะมาเป็นเทพบุตรเทพธิดา มันไม่ถูกต้องจะอ้างสิทธิ์มาทำร้ายใครนี่ อีกอย่างฟังแต่ข้างท่านพูด เราไม่เข้าใจว่าทำไมกัน สุริยะเขาจำชาติภพที่แล้วไม่ได้ด้วยซ้ำจะแก้ต่างให้ตัวเองยังไม่ได้้เลย" ส่วนตัวอยากจะฟังทั้งสองข้างแต่อีกฝั่งไม่ความทรงจำนั้นจะพูดอะไรได้กัน
"ไม่ว่าอย่างไร พระนางมีพระประสงค์​ที่จะออกตามหาสุริยะใช่หรือไม่เพคะ"
"ใช่...แสงสุรีย์ก็ด้วย"
"ธานินทร์เล่าให้หม่อมฉันฟังว่าพวกเขาสิ้นใจใต้ท้องทะเลแล้ว...เริ่มต้นใหม่อีกครั้งเถอะเพคะ"เธอพูดเช่นนั้น จะให้เชื่อทันทีมันก็ไม่ได้หรอก
"อย่าคิดจะหลอกลวงเราเลย" เธอไม่เข้าใจทำไมต้องหลอกกันด้วย
"ไม่มีเหตุผลที่หม่อมฉันจะต้องกล่าวเท็จ เพราะต่อให้พระนางออกไปได้ พวกเขาก็ไม่อยู่พบพระนางอยู่ดี"
คำพูดที่จริงจังนี้ทำให้หวั่นใจไม่น้อยเลย
"ออกไป เราอยากอยู่คนเดียว"ตนก็จริงจังกับประโยคนี้  ขออยู่คนเดียวเถอะ อารมณ์นี้พร้อมระเบิดตลอดเวลา อีกฝ่ายก็ตามใจจึงยอมถอยให้แล้วจากไป
........
"มาอีกแล้วเหรอ ไม่ได้เจอกันนาน คราวนี้คงลำบากน่าดูถึงได้มามารบกวนคนอื่น ยังพาเพื่อนมาอีก"พระธิดานาคีเปิดวาทะทักทายไม่เป็นมิตรทันทีที่มาถึง
"ทำไมทำตัวไร้อารยะขนาดนี้ ลีลาวดีอย่ากระทำารเสื่อมเสีย"พระโอรสที่ตามมาก็พูดตักเตือนน้องสาวเป็นการใหญ่
"ก็มันจริงนี่.."รู้สึกว่าเธอนั้ไม่ถูกกับสตรีไร้เสียงผู้นี้เอาเสียเลย
"แม่ไม่เคยสอนให้เจ้าเป็นแบบนี้ หรือเพราะแม่ไปไว้ใจฝากผู้อื่นดูแลถึงได้มีกิริยาไม่น่าเคารพ" คำท้วงติงของพระมารดาทำให้เธอระงับอารมณ์ไว้บ้าง
"เรารับรู้เรื่องของเจ้าแล้วแสงสุรีย์ ตอนนี้เสด็จพ่อกำลังว่าราชการ​เพิ่มเติม​ มีอะไรที่เราช่วยเจ้ากับสหายได้บอกเราได้เลย" เขาเป็นห่วงสหายคนนี้อย่างมากต่างกับคนเมื่อกครู่อย่างสิ้นเชิง
""เราคงไม่รบกวนมากหรอก"เธอเขียนกระดานตอบไป​ไม่อยากให้ห่วงมาก
".. คงจะเป็นสุริยะสินะ... เราติณณกฤต"เขาไม่อยากที่จะไม่ช่่วยจึงหาทางไปเข้าทางสหายอีกคนแทน
"เราสุริยะเอง..ยินดีที่ได้พบท่าน" เขาส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร นอกจากคนในครอบครัวแล้ว เขาก็ไม่มีเพื่อนชายสักคน
"อย่าได้เกรงใจ มีอะไรบอกเราได้...ทำไมท่านถึงได้อักษรสาปได้"เขาจับมือเพื่อแสดงความยินดีที่ได้เป็นมิตรกัน แต่้ด้วยทักษะความสามารถพิเศษที่ฝึกฝนมาของเขาที่สัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติ จึงสงสัยในสิ่งที่พบ
"อักษรสาป.. เราไม่รู้มาก่อนเลยว่าเราจะมีได้"สุริยะฉงนนัก​ไปทำอะไรมาถึงมีอักษร​สาปเกิดขีฃึ้นกับตัว
"ต้องดูให้ดีอีกที่​ อักษรนี่อยู่ที่หลัง​ เร่งตรวจสอบก่อนดีกว่า​ เราไม่แน่ใจว่าที่รู้สึกว่ามันจริงรึเปล่า"ถึงจะสงสัยแต่ก็ยังไม่อยากจะเชื่อตัวเองขนาดนั้น​ จึงได้พาไปดูอักษร​ โดยแสงสุรีย์​ไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกันจึงไปที่ห้องส่องกระจกดู​ พอเสร็จแล้วจึงมารวมตัวกันดังเดิม
" มีจริงๆด้วย​ ทั้งสองคนมีอักษรสาปเป็นตัว​ {ว}​ แต่ว่าไม่รู้ว่าใครสาป​ แล้วสาปเพื่อจุดประสงค์​อะไรด้วย" เขาพูดอย่างนั้นทั้งสองก็ต้องทบทวนอยู่สักพัก
"ตอนที่พวกเรากำลังต่อสู้​เหมือนมีคนมีแตะต้องเราจากด้านหลัง​เป็นคนฝั่งนั้นแน่แต่เราไม่แน่ใจ" เธอเขียนบอกเท่าที่จะนึกออกได้
" ลักษณะ​แบบนั้นน่าจะเป็นแม่มดเกลียวทอง... เป็นไปได้ไหมว่าตัว{ว}​จะย่อมาจากคำว่า{วิชา}​" เขาอ่านแล้วก็คิดตาม​ เห็นท่าจะจริง​ แล้วน่าจะมีเหตุการณ์​ที่เกี่ยวช้องด้วย
" ทำไมถึงคิดว่าเป็นคำว่าวิชาล่ะ"นาคาหนุ่มสงสัย​ ทำไมถึงด่วนคิดนัก
"ตอนก่อนที่พวกเราจะถูกไล่ล่า​ พวกเราใช้วิชาดูว่าที่นี่คือที่ไหน​ ทั้งที่ไม่น่าจะมาตรงสถานที่ได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้" เขาพูดมีเหตุผล​ ไม่มีเหตุผล​อะไรที่เขาจะไม่สงสัยเรื่องนี้​ ก็เห็นๆกันอยู่​ สหายหญิงก็พยักหน้าว่าที่บอกนั้นจริงแล้วน่าจะเป็นไปได้มากด้วย
"อย่างนั้นก็ลองดูสิ  อย่าได้ปล่อยความสงสัยไว้เลย"ติณณกฤตคว้ามือสหายทั้งสองไปยังชายหาดทันที​ เมื่อมาถึงเขาก็ให้คิดท่องคาถาในใจที่เป็บแบบการเอาตัวรอดง่ายๆอย่างการแปลงเป็นนกฮูก​ ไม่นานนักแสงสว่างก็มาทำให้ทั้งสามไหวตัวหลบทัน​ นาคาในร่างมนุษย์​ใช่มนตราแทนที่นกที่สหายแปลงกายเมื่อครู่แล้ว
" มันอาจจะมีการเข้าใจก็ได้นะปัจจา​ เราดูนกสองตัวนี้ก็ไม่ใช่พวกนนั้น​ พวกนั้นไม่รอดแล้ว" ธานินทร์​ที่หายตัวมาตามอักษรสาปพร้อมกับผู้ร่วมงานก็ตามหาคนที่ล่าไม่เจอ​ ไม่แน่มันอาจเป็นแค่เรื่องผิดพลาดเท่านั้น​ ปัจจาไม่พูดอะไรแต่สีหน้าก็รู้ว่าสงสัยเต็มทน
"กลับกันเถอะ​"สุดท้ายเขาก็ยอมกลับ​ เพราะดูนานแล้วก็ไม่เห็นร่องรอยเลย​ เมื่อพวกนั้นไปพวกเขาจึงปรึกษา​กัน
"เห็นชัดว่าเป็นความจริง​ คงจะต้องอดทนไม่ใช้วิชาไปสักพักใหญ่เลย​ เพราะใช้ทีไรคนทางนั้นก็รู้ที่อยู่ตลอด"เขาแนะต่อเพื่อนทั้งสอง
"พวกเราจะสามารถ​แก้อักษรสาปได้อย่างไรกันล่ะ""ชายง่อยพูดไปก็เหนื่อยแรงแต่ยังจะมีหวังในการแก้คำสาปเสียหน่อย​ แม้จะไม่สารมารถใช้วิชาได้เลยก็เถอะ
"มีวิธีเดียว​ ต้องสังหารคนที่สาปเท่านั้น​ เลี่ยงไม่ได้เพราะต้องนำโลหิตตอนสิ้นมาทำการชำระล้าง" เขาใช้คำนี้​เพราะรู้ว่าสหายคงไม่อยากทำ
"ทำได้ก็ทำ​ เสียหนึ่งย่อมดีกว่าเสียสูญสิ้น" เธอเขียนบนผืนทรายตอบ​ เธอไม่อยากทำหรอกมากสุดก็แค่ทำให้เจ็บไม่เคยถึงตาย​ เช่นเดียวกันเขาก็ไม่ต่าง​ แต่ถ้าจำเป็น​ อะไรก็เลี่ยงไม่ได้
" น่าจะได้เพลาแล้ว​ พวกเราไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อกันดีกว่า" ฟังเช่นนั้นก็วางใจเพราะกลัวว่าสหายจะใจอ่อนเสีย​ เสร็จแล้วจึงได้ชักชวนกันกลับไป  พอกลับไปยัง"
ท้องพระโรงก็เข้าเรื่องทันที
" ที่เราทราบพวกท่านคงมิได้มาขอความช่วยเหลือเรื่องที่พักใดๆหรือขออาวุธใหม่เป็นแน่....พวกท่านทั้งหลายออกไปก่อน​เถิด เรื่องนี้เราขอสงวนให้รับรู้เพียงราชวงศ์​"สิ้นคำกล่าวของพระวิชชุ​นาคราช​ เหล่าบริวารแลขุนนางทั้งหลายได้ไปนอกท้องพระโรงทั้งหมด
"มีวิธีที่จะรู้ได้ว่าจะทำอย่างไรให้สิ่งวิเศษทั้งสองนี้กลับมาดังเดิม.... นั่นคือจะต้องออกเดินทางไปสอบถามศิลาพยากรณ์​ในเขตแนวอสุราที่๒​ เพราะเขารู้ทุกอย่างในสามโลกนี้และสามารถตอบคำถามได้โดยไม่แบ่งแยกฝ่ายใด  โดยจะต้องเดินทางจากที่แห่งนี้ลงไปทิศทักษิณ​จนถึงมหาสมุทร​สีชาดแล้วเข้าไปในมหาสมุทร​นั้น​จะพบกับเขตแนวอสุรา" ท้าวนาคาแดนใต้แนะนำเพราะรู้ว่าทั้งสองคงต้องการจะใช้อาวุธ​เดิมเป็นแน่​ ไม่ใช่เพียงเพื่อนำพลังมาต่อสู้แต่ยังนำเหล่าครอบครัวกลับมาด้วยเช่นกัน​ เขตแนวอสุรานี้พระอินทร์​พระองค์ก่อนนั้นได้สร้างมาเพื่อเป็นแดนคั่นระหว่างมนุษย์​กับเหล่าอสูรไว้ไม่ให้ทำร้ายกัน​เพราะเมื่อก่อนกาลมักเกิดสงครามดินแดนกดขี่กันระหว่างมนุษย์​และอสูรบ่อยครั้ง​ ครบ๗,๐๐๐ปีคราใดจะให้กลับมาอยู่ร่วมกันดังเดิมโดยที่จะไม่มีเหตุการณ์​นองเลือดเกิดขึ้นอีก
" ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ" สุริยะนอบน้อมทำความเคารพในเมตตาแนะนำ
"ขอบพระทัยเพคะ" แสงสุรีย์ก็มิต่างกัน
"เมื่อถึงที่นั่นอักรสาปจะไม่เกิดผลวางใจได้​ แต่ระหว่างการเดินทางอันตรายมาก​ อาจไปอย่างไม่สะดวกเท่าใดเพราะใช้วิชาไม่ได้​ พวกเขาจะล่วงรู้ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ​ ดังนั้นเราจะให้ธิดาของเราดูแลท่านทั้งสอง" ท้าวเธอมองมายังพระธิดาลีลาวดีที่ดูท่าจะไม่พอใจเสียแล้ว​ แต่คนเป็นพี่ออกตัวก่อนใคร
" น้องไม่สบายใจจะไป​ ให้ลูกไปเถอะพระเจ้าค่ะ"เขาขอร้องพระบิดา
" ไม่ได้​ ลูกลืมแล้วหรือว่ามีเรื่องที่จะช่วยพ่อจัดการให้เรียบร้อย.. ลีลาวดีอย่าได้ลำบากใจ​ การช่วยเหลือคนนับเป็นเรื่องดี​ อย่าปฏิเสธเพราะเรื่องนี้เลย" พูดเสียขนาดนี้ก็คงต้องยอมไปตามระเบียบ
"เริ่มออกเดินทางพรุ่งนี้เลยแล้วกัน​ ช้ากว่านี้เราไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง​ ส่วนวันนี้พักผ่อนกันก่อนเถิด" เมื่อสิ้นคำก็ต่างแยกย้ายไปเตรียมตัวแล้วพักผ่อน​ให้เพียงพอ​รอวันที่จะได้กลับมาใช้สิ่งวิเศษนี้ดังเดิม
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กรกฎาคม 24, 2020, 03:27:21 PM
สัปดาห์​นี้ของดอัพก่อนนะคะ​ มีปัญหา​สุขภาพค่ะ​ จะรักษาตัวให้ดีขึ้นอีกสักหน่อยค่ะ​ สัปดาห์​หน้าจะอัพตอนต่อไปนะคะ​ ขออภัย​ด้วยค่ะ w12 w12
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ สิงหาคม 01, 2020, 06:12:07 PM
เนื่องจากสัปดาห์ที่แล้วจักรกรดไม่ได้แจ้งการปรับเปลี่ยนวันเวลาในการอัพเรื่องนี้​ จึงได้มาแจ้งในวันนี้นะคะ​ นับตั้งแต่สัปดาห์​นี้เป็นต้นไป​ จักรกรดขอเปลี่ยนวันจากอัพวันเสาร์​เป็น
ทุกๆวันอาทิตย์​เวลา20.00น.ค่ะ​ ขออภัย​ที่แจ้งช้านะคะ​และขออภัยที่ยังไม่ได้อัพเดต​ในวันนี้ด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ สิงหาคม 02, 2020, 08:00:21 PM

กลางดึกของคืนนั้นเองผีโครงกระนั้นได้แอบลักลอบไปตามหาบัวแย้มตามที่ได้ยินคำเล่าคำลือของคนในวังว่าฤๅษี​ทมิฬ​นำสตรีนางหนึ่งมามอบให้พระโอรสบดิศรซึ่งเท่าที่ได้ยินมาลักษณะ​ก็มิต่างบัวแย้มเลย​ บางทีคนพวกนี้อาจนำนางมาที่นี่ด้วยหาใช่ให้ติดตามอัญญานีอย่างที่เข้าใจ​ เมื่อเข้าใกล้ตำหนักที่คาดไว้ก็ต้องดูทีท่าทหาร​ มีช่วงเวลาที่ผลัดเวรยามพอดีนับเป็นช่องว่างของเวลาที่ระหว่างเปลี่ยนนี้​ ทหารเหล่านั้นก็พูดจาปราศัยกันมิได้สนใจเรื่องเฝ้ายามเสียเท่าใดเพราะมั่นใจว่าผู้คนเยอะเช่นนี้คงไม่มีใครล่วงล้ำเข้าไปได้
"พี่ตาหวาน​ พี่ตาหวานหรือเปล่าจ๊ะ" บัวแย้มที่ยังทำใจไม่ได้ก็มิยอมหลับยอมนอน​ เปิดหน้าต่างออกมาเพื่อจะรับลมก็เจอพวกเดียวกันที่หลบตรงพุ่มไม้พออุ่นใจได้บ้าง
"บัวแย้มพี่ตาหวานเอง" เขาลอยมายังหน้าต่างอีกด้านที่เหมือนจะเป็นมุมอับสำหรับทหารยามนัก
"ทั้งสามพระองค์​ปลอดภัยหรือไม่​ พี่กับคนอื่นๆเป็นเช่นไร" เธอถามด้วยความเป็นห่วงเพราะสถานการณ์​ตอนนี้มันก็ไม่ส่งผลดีเท่าใดนัก
"ถือว่าทรงปลอดภัยที่ไม่เกิดอันตรายใดๆ​ แต่ก็ทรงได้รับหน้าที่อันไม่สมควรต้องประสบความยากเข็ญต่อไปแน่​ พี่ว่าพวกเราต้องพากันหนีเสียแล้ว​ พอได้ยินคนวังนี้เขาพูดว่ามีคนเหมือนหนูบัวอยู่ที่นี่​ จึงมาตามหาเผื่อว่าจะแจ้งไว้ให้เตรียมตัวไว้" เขาเล่าให้ฟังเช่นนี้​ คงจะอาลัยหาผู้สิ้นชีพได้อีกต่อไปไม่​ ต้องห่วงคนที่ยังอยู่ก่อนเสียดีกว่า
" เช่นนี้แล้วพวกเราจะพากันหลบหนีไปยังที่แห่งใด​ แล้วจะไปวันไหนกันจ๊ะ" ระหว่างคุยก็ต้องระวังเผื่อนางกำนัลแวะเวียนมาดูความเรียบร้อยตามคำสั่งจะไม่ดีต่อคนที่เหลือ
" พวกเรายังมีถ้ำที่อยู่ของเจ้าหิ่งห้อย​อยู่พวกญาติหิ่งห้อยที่นั่นน่ะตัวไม่ได้ใหญ่เหมือนพี่หิ่งห้อยของเจ้าหรอกนะ​ แล้วคืนที่จะไปคือคืนเดือนดับต้นยามสาม มุ่งหน้าเข้าสู่ทิศหรดีนับจากท้องพระโรง​ พี่ต้องไปก่อนหากใครมาพบเข้าที่เตรียมการมาต้องสูญเปล่า" ว่าแล้วเขาก็ไปในทันที​ ต้องรอโอกาสที่จะหนีไว้
...
วันต่อมานั้นเองอัญญานีจนถึงตอนนี้นี้นั้นยังคงไม่หลบหนีไปด้วยเพราะได้ทบทวนเรื่องราวรวมถึงคำพูดต่างๆตลอดที่อยู่ที่แห่งนี้ ตนก็เกิดความกังวลเกี่ยวกับงานใหญ่ที่ว่าขึ้นมา อย่างน้อยก่อนจะหาทางหนีและต่อกรกลับสู่ฝ่ายตรงข้ามก็ควรที่จะหาข้อมูลที่มีประโยชน์ด้วยจึงจะสมบูรณ์ ถึงจะขัดใจตนไปเสียหน่อยแต่ต้องรักษาความสัมพันธ์ เธอออกมาจากห้องแล้วจึงวานนางกำนัลให้พาตนไปเข้าเฝ้าพระเทวาเพื่อแสดงความนอบน้อมและแสร้งว่ารังเกียจสุริยะที่เป็นศรุตเทพมาเกิดยิ่งนัก
"อินทราณี เรารอเพลานี้ที่เจ้าจะหาเราด้วยใจของเจ้า ต้องการสิ่งใดกล่าวเถิด" เขาพอใจ พร้อมที่จะมอบทุกสิ่งทุกอย่างตามปรารถนาสตรีอันเป็นที่รัก
"พระองค์... หม่อมฉันมิได้ต้องการสิ่งใดเลยเพคะ ขอเพียงได้อยู่เคียงข้างพระองค์หม่อมฉันก็ยินดี ถึงแม้ว่าเพลานี้หม่อมฉันจะจำเรื่องราวที่ผ่านมาไม่ได้  แต่เท่าที่หม่อมฉันได้ทราบคำเล่าของสันต์สินีแล้วทบทวนก็พบว่าอย่างศรุตเทพไม่สมควรได้รับการอภัย และผู้ที่หม่อมฉันควรเชื่อใจนั้นนคือพระองค์เพคะ ที่ผ่านมาหม่อมฉันทำผิดไปขออภัยโทษให้หม่อมฉันด้วยเถอะนะเพคะ"เธอคุกเข่าดวงตาปริ่มน้ำ ต้องทำเช่นนี้ถึงจะพระทัยอ่อนไม่กังขา
" ลุกขึ้นเถิด เราไม่เคยถือโทษโกรธเจ้าเลยสักครั้ง เพียงแต่เรากังวลว่าเจ้าจะไม่ยอมรับเราเท่านั้น"นั่นคือสิ่งที่กล่าวมา เพราะเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นเธอไม่เคยจะเปิดใจให้สักครั้ง
"ขอบพระทัยเพคะ.....แต่ว่าเหตุใดกันพระพักตร์ของพระองค์ถึงได้เศร้าหมองยิ่งนัก หม่อมฉันกระทำการใดเป็นที่ให้ไม่สบยพระทัยอีกหรือไม่เพคะ" ปกติก็ต้องดีใจแล้วสิ หรือว่าจะมีเรื่องอื่นให้กังวลอีกกันนะ
"ไม่หรอก  หากแต่เป็นพระพี่นางของเรา...พวกเจ้าออไปก่อน เราจะอยู่กับอินทราณีตามลำพัง"คำสั่งมาข้าเหล่าบริพารก็ต้องไป เมื่อเหลือกันเพียงสองก็สะดวกใจ น้ำพระเนตรไหลอาบพระพักตร์เพราะไม่อยากให้เห็นความอ่อนแอจึงได้ให้คนออกไปอยู่แต่เพียงคนที่จะรับฟังในสิ่งที่ตนจะกล่าวได้อย่างมิกลัวที่จะเสียหายในภาพลักษณ์ผู้นำ
"เราทำผิดต่อพระพี่นาง ครานั้นเรามีโทสะมากเกินไปจนเป็นเหตุแห่งการพลั้งพลาดประทุษร้าย พระพี่นางจึงเสด็จยังที่ที่ไม่มีใครหาเจอแม้แต่พระอินทร์ที่เป็นพระสวามี็ก็ตาม พระพี่นางของเรามิต้องการให้เราทำในสิ่งที่เราเห็นสมควรกระทำแต่เราผิดเองที่ไม่ได้ใส่ใจ  แต่ที่เรากังขาคือทั้งๆที่เป็นพระเทวีแห่งเทวราชาแต่หาได้มีใครใส่ใจตามหาไม่ เป็นเรื่องที่เราอยากทูลถามแต่ไม่เคยมีโอกาสในการถามเลยสักครั้้ง" เขาดูสลดหดหู่ก็จริงอยู่ แต่รู้สึกว่าเรื่องที่เล่านั้นยังไม่ละเอียดเท่าไหร่นัก
"หม่อมฉันได้ทราบมาว่าวันนี้เป็นวันที่ดวงดาราประกายแสงไสวทั่วนภา ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้เข้าเฝ้าะเพคะ หากพระองค์ไม่สบายพระทัยที่จะทูลถาม หม่อมฉันขออาสาทูลให้นะเพคะ " เธอจะได้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พระนางต้องทรงทราบเรื่องงานใหญ่ของเทพวิษุวัตแน่
"ไม่ได้หรอกอินทรานี เจ้ายังไม่ได้สมรสกับเราไปเข้าเฝ้าพร้อมกันมิได้ อีกอย่างหนึ่งเจ้ายังไม่รู้ว่า พระองค์เสด็จเข้าเฝ้าพระเทวตรีมูรติและบำเพ็ญเพียรเป็นเพลา๑๕วันสวรรคโลกโดยใหเราช่วยดูแลแทนพระองค์ไปก่อน" อธิบายตามจริง ไม่มีโอกาสดังว่า แต่ทำไมไม่ลองหาโอกาสก่อนนี้เลยล่ะ
"๑๕วันสวรรคโลกก็เท่ากับว่าเป็นเพลา๑๐๕วันของมนุษยโลก การที่เสด็จนานเช่นนี้ พระองค์จะไม่เป็นที่กังขาของเหล่าเทพเทวาต่อการรักษาหน้าที่หรือเพคะ" ทำไมถึงไว้ใจผู้ที่เคยจะสังหารคนมาดูแลได้ น่าฉงนนัก
"เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงไป เราเป็นโอรสของพระอินทร์พระองค์ก่อน พระองค์เข้าสู่แดนไร้สงสารแล้วจึงได้สละ ตามจริงตัวเรานับว่ามีสิทธิชอบธรรมในการดำรงเป็นเทวราชา แต่ว่าพระอภิรักษ์เพชราบำเพ็ญเพียรได้มากกว่าเราจึงได้เป็นผู้สืบต่อหน้าที่ เพลานี้พระองค์คงเห็นถึงความสำคัญในการเคารพของเหล่าเทพเทพีที่มีต่อเรา จึงได้วางพระทัยให้เราช่วยดูแลโดยไม่มีผู้ใดคัดค้าน" เพราะเหตุนี้ทำให้ได้อำนาจมาอยู่ในมือ แสดงว่างานใหญ่ที่ว่าก็คือตำแหน่งนี้น่ะสิ  แค่คิดก็น่าจะได้ แต่นั่นก็จะได้รับโทษทัณฑ์จากพระมหาเทพทั้งสามด้วยนี่สิ เขาวางแผนจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรกันแน่
"ไม่ว่าใครจะคิดเช่นไรก็ไม่ได้ใส่ใจ ตอนนี้เรามีเจ้าอยู่ด้วย และจะดีมากถ้ามีพระพี่นางอีกพระองค์ เราจะเยือนยังอุดรบาดาล คงไม่ได้กลับมาหลายวัน จะกลับมาอีกทีก็น่าจะเป็นวันหลังคืนเดือนดับซึ่งจะได้ชมดอกปาริชาติ ครานั้นเจ้าก็จะจำเรื่องของพวกเราได้ดี ดูแลตัวเองให้ดี เราไปก่อน" ว่าแล้วเทพท่านก็เดินทางเพื่อที่จะไปคุยเรื่องสำคัญ
"เราต้องอดทนไว้ก่อน ถึงเพลานั้นจะได้ออกไปจากที่นี่ เราจะไม่ยอมให้อดีตมาเปลี่ยนแปลงปัจจุบัน แต่เราต้องรู้อดีตเพื่อรับมือกับอนาคต" เธอลอบคิดในใจถึงวันนั้นแล้วเธอจะไม่ยอมอยู่ที่นี่ต่อไปแน่นอน"
........
เดินทางเลยเมืองร้างโกสุมพิสัยได้สักระยะ เจ้าสิงโตก็เข้าชี้ต้นผลไม้ที่รูปร่างราวกับว่าเป็นผลส้มแต่กลับมีสีเข้มราวกับมังคุดที่สุกมากแล้ว มันน่าฉงนกว่าก็ตอนที่ปลอกเปลือกออกมามีเนื้อนุ่มไม่ต่างกับผลกล้วย
"ข้าน่ะนะกินมันกี่ครั้งก็หลับยาวถึงต้นยามสองเลย นี่อาจเป็นผลดีในการวางยาให้คนพวกนั้นสลบไปจะได้หลบหนีง่ายขึ้น"เขาออกความเห็นเพราะตนได้ลองมาแล้ว
"เจ้าแน่ใจนะว่าได้ผลจริง ไม่ใช่ว่าเจ้าแพ้มันหรอกรึ" หิ่งห้อยก็ไม่อยากปักใจเชื่อนักเพราะถ้าผิดพลาดไปก็จะสูญเสียสิ่งที่ตั้งใจได้น่ะสิ
"แพ้อะไรล่ะ ผลไม้ประหลาดนี่กินไปก็เสี่ยงตายด้วยซ้ำ ไม่ใช่ว่า๑๐ปีก่อนข้าเกิดหิวจนกินไปล่ะก็ก็ไม่รู้โทษประโยชน์มันหรอก" สิบปีนั้นเขาต้องช่วยเด็กๆที่เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ในการตามหาช่วยเหลือมารดา เหนื่อยหิวมากก็ต้องจำกินสิ่งที่ทำให้อิ่มถึงแม้ว่าอาจจะทำอันตรายร่างกายก็เถอะ
"อ๋อ ที่เจ้ามาช้าในตอนนั้นนั่นเอง แล้วได้กินอีกครั้งให้แน่ใจแล้วเหรอ "ตอนไปช่วยพุทรัตน์นั่นมาช้าเพราะเหตุนี้เอง แต่จะให้แน่ใจได้ก็ต้องลองอีกครั้งหรือมากกว่านั้นสิ
" ลองแล้วๆแน่ใจมาก"มั่นใจมากแล้วได้ลงมือเก็บ"
"พวกเราเดินทางไปยังถ้ำหิ่งห้อยกันก่อน เพราะต้องขนคนหลายคน ให้รวมตัวเป็นสำเภามาพาไปจะได้ไวขึ้น" เขาก็ว่าถูกลำพังตัวเดียวไม่ขนคนไม่ทันอยู่แล้ว"
"แล้วจะได้พาหนีเมื่อไหร่" เขาไมรู้จะหาโอกาสไหนมาหนีได้
"คืนเดือนดับ  แต่การที่่จะพาหนีไปกับพวกเราก็เสี่ยงที่จะถูกจับได้ ดังนั้นต้องเร่งเดินทางให้ถึงก่อนหน้านั้นแล้วให้ทุกคนไปรอยังที่คุมขังใต้ดินทางทิศหรดีของวัง" เขาพูดเช่นนั้นก็เบาใจเรื่องรับมือเสียหน่อย
........
"อย่าชักช้านัก คนแบกฟืืนขนน้ำคิดจะอ้างสังขารมาทำงานไม่ได้ เร็วเข้า!! " คนคุมงานเร่งให้เชลยจากเมืองทิศพลทำงานอย่างแข็งขัน แต่ว่าแรงอันน้อยนิดของหญิงชราก็ทำพลาดภาชนะที่ใช้ขนน้ำนั้นตกลงบนพื้นกระจายเปียกทั่ว
"เสียเที่ยว!! อย่าเอาแต่นิ่งสิ ไปตักมาใหม่" คนทำพลาดก็จะไปทำใหม่อยู่หรอกแต่ขาที่ล้มพลิกไปนั่นก็เจ็บจนลุกไม่ไหว
"ช้าก่อนเถิด เราเจ็บที่ขาเรานักขอเรารักษา​ตัวสักหน่อยได้หรือไม่​ หากยังเจ็บเช่นนี้เราคงคงทำงานไม่เต็มที่" อดีตผู้เป็นมเหสีต่อรอง​ ขืนฝืนทำไปก็ต้องแย่แน่
"แค่นี้ทำเป็นต่อรองนักนะ​ ไปเอาหวายมาข้าจะฟาดหลังเสียให้ลาย"ผู้คุมคนนี้ไม่ปราณีต่อคำขอแล้วยังจะทารุณ​กันอีกด้วย
"หยุด​ก่อน​ เจ้าทำเกินไปรึเปล่าถึงพวกเราจะเป็นเชลยแต่ใช่ว่าจะต้องกดขี่รังแกกันขนาดนี้นี่"อดีตท้าวเจ้าเมืองเข้ามาปรามการกระทำเพราะไม่อาจทนเห็นพฤติกรรมที่ไม่น่ายอมรับเช่นนี้ได้
"เพราะเป็นเชลยเลยต้องกดขี่กันตามพระรับสั่ง​ ถึงจะว่าข้าร้ายกาจปานใดก็ช่าง​ หน้าที่ของข้าคือมอบความทรมานให้กับพวกเจ้า​ และพวกเจ้าไม่ต้องเรียกร้อง"เขาลงมือจะตีอมรินทร์​แต่นวดลเอาตัวกันไว้ก่อน​ พวกคนในวังเห็นก็ทนไม่ได้พากันมารับหวายแทน​
"เป็นมนุษ​ย์​ เขาให้รู้จักคิดยังจะว่ารังแกไม่รู้ถูกผิดอีก "เจ้าผีโครงกระดูกที่จำยอมไปรับใช้ฤๅษี​ทมิฬ​ได้กลับมาพบก็เอาไม้มาฟาดจนล้ม
"ไอ้ผีบ้า​ ตอนแรกข้าก็กลัวอยู่หรอกแต่ข้ามีของดี​ คิดว่าจะทำอะไรข้าได้เหรอ" ผู้คุมที่เสียหลักไปทีหนึ่งลุกขึ้นมาจะเอาสายสิญจน์​มาขู่เจ้าผีนี่เสียหน่อย
"นึกว่ากลัวนักสิ​ เส้นด้ายนี่ได้มาแต่ใดกันล่ะ​ ถูกหลอกแล้วนี่ไม่ใช่สายสิญจน์​จริงๆ​ เจ้าเชื่อไปได้" เขารู้เพราะสัมผัสได้​ แล้วไม่มีปฏิกิริยาร้อนรนเลยแม้แต่น้อย​ ยังส่งหินในย่ามให้พวกเชลยอีกตะหาก
"เอาสักหน่อยซินี่​ เอาคืนมันให้หนักๆเลย" พูดอย่างนั้นก็รู้งานพากันปาก้อนหินกันใหญ่​ ตอนนี้วุ่นวายหลายพวกมากเหมาะจังหวะละสายตาจริงๆ
" คืนเดือนดับต้นยามสามทิศหรดีพวกเราจะหนีไปด้วนกันพระเจ้าค่ะ" เขาบอกอย่างนนั้นได้ไม่นานพวกอำมาตย์ที่ได้รับมอบงานก็มาดูความเรียบร้อยแต่ก็เจอความวุ่นวายแทน
" หยุด​ หยุดเดี๋ยวนี้!!" ตอนแรกที่ร้องเรียกก็ไม่มีทีท่าจะหยุดเลยได้ชักดาบออกมาขู่จึงได้เงียบลง
"พอเลยงานวันนี้พอ​ เอาตัวไปขังให้หมดเลย​ ผู้คุมไม่ได้ความจะเก็บไว้ทำไมเอาตัวมันออกไป" เขาสั่งเสียงเข้มท่าทางอารมณ์​ท่าจะแปรปรวนไม่น้อยเลย​ เขาเรียกหัวโจกที่ก่อเรื่องไปคุยส่วนตัว
"อำมาตย์เรืองรองท่านจะไปกับพวกเราไหม" เขาถามทันทีหลังจากลับตาคน
"ไม่ได้​ ข้าจะต้องคุมคนอยู่ที่นี่จะได้หนีได้ไว​ ข้าได้อำนาจมาเพราะแสร้งเป็นพวกนะ​ ถ้าด่วนหนีไปองค์เหนือหัวจะเป็นอย่างไร​ ใครจะคอยช่วย พระโอรสก็เคยบอกว่าพระองค์​เสด็จไหนไม่ได้ก็ยิ่งน่าห่วง" จริงอย่างที่ว่าเพราะถูกเวทย์มนตร์​ตรึงไว้ถ้าไปไหนก็เท่ากับสิ้นชีพแน่ต้องคิดเรื่องนี้ให้มาก
" ข้าขอบน้ำใจเจ้ามาก​ ถึงพระโอรสจะกลับมาเมื่อใดเราก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด​ ข้าไปก่อน"ว่าแล้วก็แยกย้ายกัน
....
"​ลูกแม่​ แม่จะดูแลพระอัยกา​และ​พระ​อั​ย​กี​ให้ดี​ ตัวแม่ก็จะช่วยเหลือตนเองด้วย​ เพื่อจะได้ออกจากที่แห่งนี้​ หาที่ที่จะรอลูกกลับมาไม่ว่านานแค่ไหนแม่จะรอลูกกลับมา​ ลูกต้องปลอดภัยแม่เชื่ออย่างนั้น" เธอคิดในใจขณะขูดมะพร้าวมอยู่
" มัวแต่ใจลอยไปถึงไหน  ตั้งใจทำงาน​ ไฟดับแล้วไปก่อไฟเพิ่มไป" นางในครัวขัดความคิดให้ปัดตกไปทำหน้าที่เสียก่อน​ ไม่เช่นนั้นปัญหาเกิดแน่
" วันนี้คิดจะทำอะไรส่งไปให้อดีตสวามีเสวยกันล่ะ"จาบจ้วงเสียจริง​
" ก็นะพวกข้างบนน่ะจะรู้อะไรล่ะกับพวกเราล่ะ​ ทำงานหงกๆเอากระยาหาร​ไปถวายไม่ใช่น้อยๆเลยในแต่ละมื้อพวกคนข้างบนไม่รู้หรอกเอาแต่คิดถึงตนเอง​ เราเป็นทาสเข็ญใจ​ เจ้าพอตกจากที่สูงน่ะคงเจ็บกว่าพวกเราน่ะสิท่าถึงได้ทำหน้าเศร้าเคล้าน้ำตาถึงสามี"ออกปากว่ากันขนาดนี้คงหาที่ลงอยู่กระมัง
" เราไม่ได้คร่ำครวญถึงพระสวามี​ เรายอมรับว่าเราก็ปวดใจเรื่องเขา​ แต่ที่เรื่องเป็นทุกข์​ที่สุดคือลูกของเราที่ถูกทำร้ายหรอกหนา​ เขาจะเป็นเช่นไรก็ไม่รู้เลยผิดกับพวกเราที่รู้ตัวเองอยู่ตลอดเพลา"ก็จริงที่ว่าคนเป็นแม่น่ะผูกพันมากกว่ากว่าการเป็นภรรยานัก
"เอาเถอะ​ จะร้องไห้จนน้ำท่วมแผ่นดินก็ไม่ช่วยอะไรหรอก​ คิดดีกว่าว่าวันนี้จะถูกหมายหัวลงโทษไม่พอใจเรื่องอาหารจะดีกว่าอีก"ได้ยินอย่างนั้นก็พอเห็นใจแต่ไม่รู้จะปลอบยังไงใจพวกตัวเองที่เป็นทาสมานานถูกกดขี่มานานก็ยังปลอบใจตัวเองไม่ได้เลย
"ทำพระกระยาหารเสร็จ​แล้วใช่ไหม​ ตรวจดูสิว่าวันนี้มีอะไร"ขุนท้าวมารับสำรับพระกระยาหารด้วยตนเองแล้วต้องตรวจตราทุกครั้งเผื่อมีใครใส่อะไรลงไปในนี้
" วันนี้มีพะแนง​ มัสมั่น​ แกงระแวงเนื้อ​ ยำทวาย​ บัวลอยมะพร้าวอ่อน​ ครองแครง​ และขนมเปียกปูนเจ้าค่ะขุนท้าว" นางกำนัลตรวจดูก็รายงานให้ทราบ
" เอาล่ะนำสำรับไปถวายได้"ว่าแล้วจึงพากันยกสำรับไปถวาย​ หวังว่าเขาจะจำความสัมพันธ์​แต่ก่อนเก่าได้บ้างก็ยังดี
....
เมื่อได้รับสำรับมาก็เสวยอย่างพอใจแต่พอมาถึงสิ่งสุดท้ายทำไมกันหนาน้ำตากษัตริย์​ถึงได้ร่วงไหลทั้งๆที่ยังนิ่งได้ขนาดนั้น
"องค์​เหนือหัวเป็นอย่างไรเพคะ​ ทำไมถึงได้... "พิมาลาเป็นห่วงก็ถามไปตามความอยากรู้
"เรา... เราปวดตา​ เหมือนว่าเราจะใช้งานหนักไปเสียหน่อย" เป็นอันว่าโล่งใจ​ ไม่ได้ห่วงว่าจะมีอันตรายอะไรหรอก​ แต่ห่วงว่าจะเกิดการตอบสนองความรู้สึกต่อคนในครัวหลวงเสียงมากกว่า
"พักผ่อนเถอะนะเพคะ​ ไว้หม่อมฉันจะกลับมา​ ขอหม่อมฉันไปหาลูกสักนิดนะเพคะ​  เขาพยักหน้าตอบรับแล้วจึงไปหาลูกได้ตามปกติ​ ฝ่ายเจ้าตัวก็ดูเหมือนว่าจะคิดถึงเมื่อคราวที่พบกันครั้งแรกกับสไบทองนั้น​ ตนได้มอบดอกอัญชันไว้แทนใจ​ ครั้นคืนวิวาห์​ก็ให้สัญญาว่าหากมีโอกาสทำอาหารถวายจะทำอาหารที่มีอัญชันเป็นส่วนประกอบด้วยเช่นกัน​ เขาเริ่มสับสนว่าตัวเองรู้สึกยังไงทั้งๆที่อาลัยไม่พรากจากพิมาลาแต่ทำไมถึงผูกพัน​กับอีกนางไม่เลิกราแม้จะรู้สึกชิงชังนักเล่า
....
"เป็นเพลาสมควรแล้วที่จะได้ออกเดินทางกันเสียที​ เราขอให้เกิดโชคดี​ สิ่งใดหาอย่าทำให้เกิดอันตรายต่อพวกท่านได้​ ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ให้ระลึกถึงเราไว้เสมอ​ ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์​คุ้มครอง" วิชชุนาคราชกล่าวอวยพรผู้เดินทางทั้งสาม​ก่อนที่จะเดินทางเข้าสู่เขตแนวอสุราในวันนี้
" ขอบพระทัยเพคะ/พระเจ้าค่ะ"ทั้งหมดขอบคุณพร้อมกันทั้งเอ่ยทางวาจาและการเขียน
" จำไว้นะ​ หากเกิดอะไรให้อะไรให้เรียกเราผ่านสร้อยนี้นะทั้งสองคน"เขาสร้อยที่เป็นจี้แก้วผลึกให้กับสหายทั้งสองเพราะเกรงว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น
"ขอบใจมากนะติณณกฤต" สุริยะขอบใจสหายที่อุตส่าห์​หาช่องทางที่จะช่วยเหลือแม้จะไม่ว่างก็ตาม
"เราเต็มใจ... ลีลาวดีเจ้าอย่าได้ถือโทษโกรธ​เคืองพวกเขาเลย​ เขาไม่ได้ตั้งใจจะรบกวน​ เราต้องช่วยคนให้ถึงพร้อมถึงจะถูกต้อง​ แล้วควรเลือกช่วยให้ถูกด้วย​ อย่าให้อคติบังตา" เขาเตือนน้องสาวเท่าที่เตือนได้เพราะผู้นี้ใจร้อนมิเบาหรอกเพราะรู้สึกเป็นส่วนเกินทุกครั้งไปที่คนคนนี้มา​ แต่ตัวก็เลี่ยงไม่ได้นี่
" รู้แล้วเรารู้แล้ว​ เราไปก่อนนะท่านพี่​ ท่านก็ทำหน้าที่ให้เต็มที่เถอะอย่าห่วงนักเลย" ว่าแล้วก็เร่งการเดินทางเมื่อเวลาเดินทางมันก็มีเหนื่อยมีพักบ้างเป็นบางเวลาแต่โชคดีอย่างหนึ่งที่ว่าเป็นทะเลใต้จึงไม่ไกลเกิดจากมหาสมุทรสีชาดมากนักใช้เวลาเพียงหนึ่งวันก็ถึงพื้นที่ระหว่างสีน้ำต่างกันคนละวรรณะ​เมื่อสังเหตุเกตุไปยังพื้นน้ำที่มีสีแห่งความร้อนแรงจะพบว่าสถานที่ในนั้นกลับด้าน​ ล่างเป็นบน  บนเป็นล่างเรียกว่ากลับหัวไปเลยว่าได้
"เราเคยเข้าถึงแค่สะพานน่ะ​ เราเกิดไม่สบายตัวเลยไม่ได้เข้าไป​ ได้กลับมาอีกครั้งก็น่าจะมีอะไรสนุกๆให้ทำ​ ไปกันเถอะ" นาคีมีประสบการณ์​กล่าวแล้วก็พากันเข้าไป​ พื้นที่นั้นไม่จำเป็นต้องกลับตัวเองตามเพราะเมื่อเข้าไปลึกแล้วที่แห่งนั้นก็จะหมุนมาตรงตามตัวเราเอง
"ที่นี่ผีเสื้อเยอะมาก​ ตรงกันข้ามกับแสงที่มีอยู่​ สลัวเกินไป"แสงสุรีย์เขียนตามที่ตนเห็นคุยกับสหายเป็นระยะๆ
" จริงด้วย​ ดอกไม้ที่มีก็ดูล้อมรอบไปด้วยแสงขาวกลมรอบๆไม่รู้ว่าแสงอะไรแต่ไม่ใช่หิ่งห้อยแน่" เขาพูดตอบกลับที่นี่มองเผินๆก็ดูเป็นความงามของแสงบางตาในยามค่ำคืน​ จริงๆมันก็ยังกลางวันอยู่แต่ปากทางเข้ามันมืดเท่านั้นเอง
"ไปสะพานนี่มืดมาก​ อย่าตกลงไปแล้วกัน" ว่าแล้วก็เดินแทรกกลางนำหน้าไปเบียดชนอีกคนจนตกสะพานแต่ยังดีที่ยังราวสะพานไว้​ แต่ไม่นานสะพานนั้นก็ละลายคล้ายว่าทำจะน้ำแข็งแล้วถูกความร้อนเสียอย่างนั้น​ ความมืดนั้นก็ทำคนข้างบนมองไม่เห็นคนด้านล่างเพราะคนด้านล่างพูดไม่ได้จึงเป็นเรื่องยากที่จะหาตำแหน่ง​ ก่อนจะหล่นลงตนก็ทุบที่สะพาน​ คว้ามือคนด้านบนได้เสียที​ ด้านบนทำท่าจะดึงแต่ก็นิ่งแล้วหย่อนมือลงไปต่่ำ
"ได้มือนางแล้วใช่ได้ลีลาวดี" สุริยะที่มองไม่เห็นก็ถามเพราะคว้าไม่ได้เลย
"ได้" ตอบสั้นๆเท่านั้น​ แต่กำลังตัดสินใจอะไรอยู่นี่สิ
"ให้เราช่วย​ อยู่ตรงไหนกัน" ตอนนี้แต่ละคนตอนนี้ก็ราวกับตาบอดเพราะความมืดที่มากไปแล้วยังไม่ได้มีเสียงสื่อสารมากนักด้วย​ ถ้าไม่มีนางสักคนครอบครัวเราคงไม่ต้องมาสนใจนางให้มากความ​ เรื่องนี้เอาจริงๆตัวเองก็ไม่ได้อยากทำสักนิด​ ทำไม่ต้องมาช่วยคนไม่สมบูรณ์​ทั้งสองด้วย​ พอกันที​ เธอตัดสินใจปล่อยมืออีกคนให้ล่วงหล่นสู่ด้านล่างที่ฟังเสียงดูก็น่าจะลึกพอตัว
"เจ้าปล่อยมือนางเหรอ​ หรือว่าถ่วงไว้ไม่ทัน" เขาเริ่มไม่แน่ใจว่าสหายที่ตกลงไปยังด้านล่างเกิดจากความตั้งใจของผู้ที่ดึงไว้หรือไม่
"ใช่​ เราก็ไม่ได้อยากช่วยนักหรอก​ เรื่องของเราก็ไม่ใช่​ อยากจะได้ของสิ่งวิเศษนั่นคืนจะมารบกวนเราทำไมล่ะ" เริ่มต่อว่าอีกคนก่อนเขาจะต่อว่าเพราะตัวก็ระอานัก
" เราไม่ได้อยากรบกวน​ ถ้าไม่อยากไปต่อก็กลับไปตามทางของเจ้าเถอะ​ ไม่เห็นต้องทำร้ายนางเลย" เขาไม่เข้าใจใครสั่งสอนฝให้เป็นคนแบบนี้ ไม่ช่วยไม่ว่าแต่ทำไมต้องทำร้ายกันด้วย
" ก็นางเอาทุกสิ่งที่เราจะได้ไปน่ะสิ.. "ก่อนจะพูดอะไรไปมากกว่านี้สะพานก็ละลายพังลงทั้งคู่ก็ตกลงสู่ด้านล่างตามคนแรกไป​ คลื่นน้ำด้านล่างแรงมากซัดไปตามทางจนน้ำไหลกลับที่เดิมทั้งสองก็มาอยู่ในห้องสีแดงสลัวสีส้ม​ เห็นชัดกว่าความมืดหน่อ​ย​ มันก็สวยอยู่หรอกผลึกแก้วสีนี้แต่ว่ามันแหลมคมมากถูกเข้าก็แย่แน่​ ครั้นจะกลับทางเดิมห้องก็ปิดแน่นราวกับนี่เป็นหินเสียอย่างนั้น
"แสงสุรีย์เป็นอะไรไหม" เขาหันไปรอบๆก็เจอกับแสงสุรีย์​ที่มาก่อนหน้านี้
"ถือว่าดีที่ไม่เป็นอะไร" เธอเขียนกระดานที่โชคยังดีที่ไม่ลอยไปตามน้ำเสียก่อน
"ดีเหลือเกินนะ​ ประตูก็ปิดตายจะไปยังไงต่อล่ะคราวนี้" เธอเริ่มจะโวยวาย
"อีกด้านหนึ่งมีแสงสีม่วงปรากฏ​อยู่​ บางที่นี่อาจจะเป็นหนึ่งในทางไปก็ได้" สุริยะกล่าว
"อย่างนั้นจะรออะไรล่ะรีบไปสิ" ไม่อยากติดอยู่ที่นี่นานนักหรอกนะ​ ถ้าทางออกได้จะไปไม่แลใครเลยเชียว
"หลับตาฟังเสียงดีๆ"เธอเขียนกระดานบอกคนใจร้อนให้สัมผัสเสียงด้วยตนเอง
"อะไรอยู่ที่ด้านนั้นน่ะ"ออกจะเกิดความกลัวขึ้นมาเสียแล้ว​ สัตว์​ชนิดใดรอที่เสียงสว่างนั่น
"เสียงน้ำตก​ ด้านนั้นมีน้ำตกด้านมิใช่เหรอ" สุริยะก็ได้ยินเสียงอื่นร่วมด้วย
"แสดงว่าถ้าผ่านแมงมุมยักษ์​นั่นได้เราจะสามารถเข้าสู่เขตแนวอสุราที่สองได้ทันที" เธอรู้ได้ด้วยหรือว่านั่นคือแมงมุม​
"นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี​ แต่ว่าพวกเราจะจัดการมันยังไง​ ลำพังพลังเราผู่เดียวก็ไม่ไหวหรอกนะ" เธอท้วงเสียหน่อยเพราะกลัวการถูกเอาเปรียบจากพวกที่เอาแต่ขอความช่วยเหลืออย่างเดียว
"จริงสิเราอยู่เขตแนวอสุราแล้วจะใช้มนตราคาถาใดพวกนั้นก็ตามหาเราไม่ได้" เขาคิดได้ดังนั้นจึงกล่าวอย่างพึงพอใจ
" แต่ต้องไม่ประมาท​ ขึ้นชื่อว่าเขตแนวอสุราก็มีมีเพื่อกันการล่วงล้ำอยู่เป็นทุนเดิม​ หากใครรุกล้ำก็ต้องมีการป้องกันถึงที่สุดได้" เธอกล่าวถูกนี่มันอันตรายมากน้ำในความมืดที่ซัดร่างราวกับจะกลืนกินตัวเมื่อครู่ก็น่าผวาแล้ว​ ไม่แน่ว่าเข้าแมงมุมด้านนั้นจะเป็นเช่นไร​ ใยที่ถักไว้รอผู้มาเยือนมีเยอะเท่าไร​ หากไม่ระวังวางแผนดีๆคงต้องมีอันตรายต่อตัวแน่​ แต่จะทำได้ยังไงนั้นก็ต้องรวบรวมความคิดก่อนจะเดินทางต่อไปผจญกับมัน
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ สิงหาคม 09, 2020, 08:13:43 PM

"นี่เราเป็นอะไรไป..." ท้าวธริษตรีเธอรู้สึกตัวได้เสียที​ เป็นเวลานานแล้วที่เขาไม่ได้ออกมาเลย
"ท่านแม่.. ท่านแม่​ ลูกว่ามันได้เพลาเหมาะที่จะจัดงานอภิเษกแล้วนะ" อัคนินเข้ามาเพื่อพูดเรื่องนี้ซ้ำๆเหมือนอย่างเดิม​ ทั้งๆที่ฝ่ายหญิงนั้นมิได้ล่วงรู้เต็มใจด้วยเลย
" งานอภิเษก.. นี่กำลังจะจัดงานกับใครกัน​ ทำไมเราจำอะไรไม่ได้เลย​ แล้วมารดาเจ้าก็ไม่ได้อยู่ที่แห่งนี้กับเราหรอกนะ" เขากุมขมับพยายามนึกแต่นึกไม่ออกในเหตุการณ์​
นี่มันอะไรกัน​ ปกติแล้วแม่ของเขาจะต้องอยู่ร่างนี้เสมอแต่ทำไมคราวนี้ถึงได้กลับกลายว่าเจ้าของร่างออกมาได้เล่า
" หม่อมฉัน.. หม่อมฉันนึกถึงเสด็จแม่จึงพลั้งเพ้อไป​ ที่จริงแล้วเสด็จแม่สิ้นพระชนม์​พระเจ้าค่ะ.. " เขาเริ่มเล่นละครไปก่อนไม่เช่นนั้นจะเกิดเรื่อง
"อะไรนะ​ เป็นไปได้ยังไงกัน​" เขาก็สงสัยนักว่าทำไมถึงได้เป็นเช่นนั้น​ ทำไมเขาจำอะไรไม่ได้เลย ความทรงจำครั้งสุดท้ายคือตนกำลังนึกถึงมเหสีที่สิ้นไปในวันคล้ายวันนั้นที่เขาต้องสูญเสีย
" เรื่องเป็นเช่นนี้พระเจ้าค่ะ..." เขาเล่าเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมาด้วยการป้ายสีฝ่ายตรงข้าม​ เขาทำมันอย่างชำนาญเพราะเขาก็โกหกคนมาได้พักใหญ่แล้ว
"ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้เสด็จพ่อสะเทือนพระทัย​ ในทุกๆเช้าของทุกๆวัน​ เสด็จพ่อจะทรงจำสิ่งใดไม่ได้เลยพระเจ้าค่ะ" น่าจะเป็นสิ่งที่หลอกลวงได้ดีที่สุด​ สะเทือนใจจนจำสิ่งใดไม่ได้นั้น​ เหตุการณ์​นี้ก็เคยเกิดกับกษัตริย์​พระองค์หนึ่งก่อนหน้านี้​ ดูจะสมจริงเข้าไปอีก
"น่าเสียดายนักที่เราจำความคราที่สอบสวนมิได้​ เราเสียใจจริงๆ​ เป็นความผิดของเราเองที่ไม่อบรมสัั่งสอนลูกเราให้ดี​ เป็นเหตุแห่งการสูญเสียมารดาของเจ้า" เขาดูเหมือนว่าจะเชื่อคำพูดของอัคนินเสียทุกคำ​ ยากที่จะยอมรับก็จริง​ แต่เขาก็ต้องยอมรับอย่างขมขื่นจิตใจคนเป็นพ่อ​ ถึงจะนึกเสียใจที่บุตรทั้งหมดต้องตายด้วยการกระทำของคนๆเดียว​ แต่นั่นก็เป็นโทษที่้เขาตัดสินใจยกให้เอง
" พวกเขาได้รับผิดแล้วพระเจ้าค่ะ​ อย่ากังวลพระทัยไปเลยพระเจ้าค่ะ​ เรื่องก็ผ่านมาได้นานนับแล้ว" เขาก็ว่าไปเช่นนั้นในใจอยากจะสังหารซ้ำเสียแต่ในเมื่อมีผู้จัดการแล้ว​ ถึงจะน่าเสียดายแต่ก็ถ้าไม่มีคนพวกนั้นในชีวิตก็ดีมากแล้วไม่ใช่หรอกหรือ
"จริงสิ​ เรื่องที่เจ้าว่าจะอภิเษก​ หญิงนางใดกันที่ทำให้เจ้าคลายความทุกข์​ลงได้"  ไม่คิดจะคุยเรื่องนี้อีกต่อไปเขาควรจะอยู่กับปัจจุบัน​ถึงแม้มันจะยากเพียงใดก็ตาม
"นางมีนามว่าฉันทนาพระเจ้าค่ะ​ หญิงผู้นี้มีความสามารถไม่แพ้หญิงหรือชายใดเลย​ แต่ว่า... นางยังลืมคนรักเก่าไม่ได้​ แต่นางสัญญากับหม่อมฉันแล้วว่ายังไงก็จะเข้าพิธีกับหม่อมฉันแน่นอนพระเจ้าค่ะ" เขาพูดถูกทุกอย่างยกเว้นประโยคท้าย​ เจ้าตัวเขาไม่รู้เรื่องด้วยเลย
" เช่นนั้นแล้ว​ เจ้าก็น่าจะพานางมาพบเราบ้างสิ​ ถึงจะเคยพบ​ เราก็คงจำไม่ได้​ ดีไม่ดีเราจะจัดงานให้เสียวันนี้เลย" เขาอยากเจอว่าที่สะใภ้นักว่าเป็นใคร​ แล้วใจจริงนางได้เต็มใจหรือไม่​ จะซักไซ้​ไกล่ถามเสียให้รู้เรื่อง
"พระเจ้าค่ะ​ หม่อมฉันจะไปตามมาพบ" เขายิ้มอย่างสบายใจ​ คนๆนี้พูดได้ไม่ยากต่างจากอีกคนที่กีดกันไม่เอาเป็นสะใภ้​ คุยเรื่องอื่นเฉไฉไปเรื่อยเมื่อพูดเรื่องนี้
.........
"บัว​ บัวออกมาเดินเล่นด้านนอกบ้างแล้วเหรอ" บดิศรที่เห็นหญิงอันเป็นที่รักยอมออกมาด้านนอกไม่เอาแต่หมกตัวอยู่ในตำหนักรับรอง
" เพคะ​ บัวอยากออกมาชมอากาศบ้าง​ บัวคิดดูแล้วว่าไม่ควรที่จะเอาแต่คิดเรื่องที่ผ่านไป​ ควรจะคิดถึงปัจจุบัน​นี้ดีกว่า​ ที่ผ่านมาที่หม่อมฉันต่อว่าพระโอรส​ หม่อมฉันต้องขอภัยจากพระโอรสเพคะ" หนูขอโทษออกมาเพื่อที่จะได้สบายใจขึ้นบ้าง​ ตอนที่ได้เห็นสายตาของเขาที่อาลัยสหายไม่ต่างกันก็รู้สึกสงสาร​ บางทีเขาก็อาจไม่ได้อยากทำจริงๆ​ก็ได้
" เราไม่เคยถือโทษโกรธเคืองบัวเลยสักครั้ง​ ซ้ำนั่นก็เป็นความผิดของเราจริงๆที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำร้ายสหายเรา​.. "เขาพูดพลางมีลมหายใจต่ำและอ่อนแรงตามมา​ เกือบจะดีอยู่หรอก​ แต่เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ก็อดใจหายไม่ได้ทุกที
"อย่าโศกเศร้าพระทัยไปเลยนะเพคะ​ เรื่องก็ผ่านไปแล้ว​ ต่อจากนี้จะเริ่มต้นใหม่อย่างไรเสียจะดีกว่า"คิดย้ำเรื่องแบบนั้นไม่ส่งผลดีเลยสักนิด​
" เราพร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่... แล้วบัวพร้อมจะเริ่มต้นใหม่ไปกับเราไหม" เขาจับมือของสตรีนางนั้นสักครั้งหนึ่งให้พอใจ​ พร้อมส่งสายตาอ้อนวอนให้ร่วมด้วย
" หม่อมฉัน... "เรื่องนี้มันก็พูดยาก​ ตนก็ไม่ได้คิดอะไรกับใครเรื่องความรักเลย​ ครั้นจะรับปากไปก็กลัวจะผิดกับใจตัวเองเมื่อรู้ว่ารักใคร
" หม่อมฉันขอคิดดูก่อนได้ไหมเพคะ​ เรื่องนี้หม่อมฉันมิเคยพบเจอมาก่อน​ ยังไม่สามารถตัดสินใจโดยทันทีได้" เธอกล่าวไปตรงๆเช่นั้นแล้วนำมือทั้งสองข้างออกจากมือของฝ่าย
"เราจะรอ​วันนั้นที่บัวเปิดใจรับเรา​ เราคงต้องไปก่อนแล้ว​ หากวันใดมีเพลาว่างเราจะมาพบกับบัวอีก" เขาจากไปทำธุระของเขา​ ธุระที่ว่าก็ไม่พ้นเรื่องของพระเทวาวิษุวัต​นักหรอก
" เราอยากให้ถึงคืนเดือนดับเร็วๆเสียที" บัวแย้มลอบติดในใจแล้วแสร้งทำทีว่าสบายใจต่อการดำเนินชีวิตในรูปแบบนี้ต่อไป
.....​
" แมงมุมตัวนี้น่าจะอันตรายมากไม่ใช่เหรอ​ เจ้าคนนึงก็ใบ้​ เจ้าอีกคนก็หนักเลยเชียวเป็นง่อย​ คิดจะผ่านไปง่ายๆคนปกติที่มีคาถายังไม่น่าทำได้เลย​" ลีลาวดีเมื่อคิดไปมาก็เริ่มจะท้วงอีกว่าวิธีที่ปรึกษากันมันดูจะมากไปเสียหน่อย​ คนธรรมดาก็แทบจะไปไม่รอดนับประสาอะไรกับคนพิกานเล่า
" ถ้าหากว่าใช้ปัญญา​คิดเรื่องนี้หาวิธีอื่นได้ก็เสนอมา  อย่าได้เอาแต่กล่าวาจาไปเสียเปล่าเลย"สุริยะก็ไม่เข้าใจนาคีตนนี้ว่าจะมีปัญหา​อะไรกันนักหนา​ ทางที่ดีมันก็ควรจะสามัคคีกันไม่ใช่หรอกหรือ
"เราคิดว่าวิธีนี้ดีต่อเราทั้งสาม​ ไม่ต้องกังวลไป" แสงสุรีย์​เขียนกระดานตอบไป​
ห้องสีแดงสลัวสีส้ม​นี้นั้นนั้นตอนแรกก็อากาศปกติดีอยู่หรอกแต่ว่าตอนนี้ความร้อนยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆเหมือนเร่งให้รีบทำการ​ ไม่เช่นนั้นก็สิ้นชีพเอาเสียด่านนี้
"ร้อนมากเกินไป​ ไม่มีเพลาอีกแล้ว​ คราวนี้เราจะเชื่อเจ้าก่อนก็แล้วกัน" เธอก็คิดว่าต้องทำเช่นนั้นจริงๆถ้าหากยังรักชีวิตอยู่​ ผลึกแก้วสีนี้แหลมคมมากจะผ่านไปได้อย่างไรกันล่ะ
"เราขอไปก่อนเลยแล้วกัน" หลังจากที่ทั้งสามรวมพลังเบิกทางได้ชั่วคราวราวกับหนามนั้นเป็นสมุทรในตำนานที่เบิกทางให้คนข้ามไปยังอีกฝั่ง​ หญิงเอาแต่ใจตัวก็ขอข้ามฝากก่อนใคร​ เมื่อไม่มีใครว่าตนก็ไปในทันที​ แล้วทั้งสองก็ตามกันมา ด้วยความที่สุริยะเดินได้ลำบาก​ ระยะเวลาก็จะใช้นานกว่าเมื่อต่อมาคนสุดท้ายที่ตามมาก็เกือบจะถูกผลึกทิ่มแทงเสียแล้ว​ หากไม่มีผู้ที่ผ่านทางมาก่อนช่วยดึงตัวเธอขึ้นมา
"ขอบใจนะ" เธอตอบด้วยการใช้ลายลักษณ์อักษร​ ถึงจะอย่างนั้นก็ไม่ถูกใจคนช่วยเท่าไหร่นักหรอก
"ไม่ต้องมาขอบใจเรา​ ที่ช่วยก็เพราะเห็นว่าต้องผ่านด่านนี้ไปให้ได้ เมื่อพวกเจ้าได้ตามที่ต้องการแล้ว เราจะได้กลับวังบาดาลของเรา​เสียที" พูดตัดกันเสียดื้อๆแต่ว่าไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนั้นแล้วปัญหามันอยู่ที่ตัวนี้ตะหาก
"คิดจะผ่านไปยังแดนศิลาพยากรณ์​ คิดดีแล้วหรือที่จะสละชีวิตเพื่อที่จะทำสิ่งนี้น่ะ"เจ้าแมงมุมยักษ์​นั้นออกมายังที่แสงนั่น​ เขาเห็นทั้งสามกำลังทำลายใยที่เขาสร้างไว้เป็นกับดัก
" ถ้าคิดว่ามีข้าตนเดียว​ พวกเจ้าก็คิดผิดถนัดแล้ว" สิ้นสุดคำพูดเหล่าแมงมุมตัวเล็กก็ออกมาจากใต้ท้องของแมงมุมนั้นเป็นจำนวนมากมันเกินคาดมากมากไป​ พวกเขาจะรับมือกับมันได้อย่างไรกัน



หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ สิงหาคม 16, 2020, 08:00:38 PM

"ไหนว่ามีแค่แมงมุมยักษ์ตัวเดียว นี่ยังจะมีตัวเล็กตัวอื่นอีกมากขนาดนี้ "นาคีเจ้าถึงกับอารมณ์ขึ้น สิ่งที่เตรียมกันมามันไม่ใช่แบบนี้ กะจะร่วมมือกันจัดการแมงมุมยักษ์เพียงตัวเดียวแท้ๆ แต่กลับพบแมงมุมขนาดเล็กที่มากันเป็นฝูง ทั้งหมดก็ต่างใช้พลังเข้าต่อต้านเจ้าแมงมุมพวกนี้ แต่เมื่อยิ่งสู้ก็ยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นๆและมากขึ้น จัดการน่ะพอจัดการได้แต่กำลังนี่สิจะไปไหวพอต่อสู้ได้อย่างไรกัน
"ข้าว่าพวกเจ้าอย่าฝืนเลยจะดีกว่า ยอมเสียง่ายๆจะได้ผ่านไปด้วยดี" แมงมุมยักษ์กล่าวขึ้นมาเมื่อรู้สึกว่าอีกฝั่งน่าจะเสียเปรียบอยู่มาก
"ใครจะไปยอมได้ล่ะ"ยิ่งสู้ก็ยิ่งแย่ มวลมหาเหล่าแมงมุมนั้นจากเดิมที่เคยเคลื่อนที่ไม่เร็วมากตอนนี้ก็ได้เคลื่อนที่รวดเร็ว
"พวกเจ้านี่ช่างดื้อด้านกันเสียจริง เพราะเช่นนี้ใครก็ตามที่มาผ่านด่านเจ็บปางตายหรือไม่ก็สิ้นชีพอยู่เรื่อยไป" เขามองดูเหล่าสมุนทั้งหมดที่ตอนนี้ใช้ความเร็วเอาตัวมาไต่ขึ้นร่างกายทั้งสามได้สำเร็จ ตอนนี้ราวกับว่าร่างกายของทั้งสามถูกฉาบไปด้วยดินเหนียวที่พร้อมที่จะก่ออิฐปิดตายต่างกันตรงที่ว่าที่กำลังทับร่างก่อตัวอยู่นี่คือแมงมุม มันจะไม่เป็นอย่างนี้เลยถ้าพวกเขาไม่ถูกกัดจนร่างกายชาไปหมดเหลือแต่บริเวณ​ใบหน้าที่ยังไม่ถูกครอบครองเท่านั้นที่ไม่อาการชาในตอนนี้
"นี่เราต้องมาตายเพราะช่วยเหลือพวกเจ้านี่นะ​  มันมากเกินไปแล้ว​ ทั้งหมดมันก็เป็นเพราพวกเจ้าที่สองคน"ลีลาวดีในห้วงสุดท้ายก็อดที่จะต่อว่าไม่ได้​ อุตส่าห์​ใช้ชีวิตอย่างดีมาจนถึงตอนนี้แต่ต้องมาตายเพราะคนอื่นที่ตนก็ไม่ได้อยากจะช่วยตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ​ แสงสุรีย์ที่ได้ยินก็อยากจะกล่าวบางอย่างที่จะช่วยในสถานการณ์​นี้ได้แต่เสียงที่ไม่มีตั้งแต่แรกถึงจะใช้ปากขยับกล่าวคำขนาดไหนก็ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา​ สุริยะที่มองได้เพียงหางตานั้นก็พอจับใจความได้จากการอ่านปากของอีกคนหนึ่งคร่าวๆและต้องนึกคิดตัดสินใจก่อนจะพูดออกไป
"พวกเราทั้งสามขออโหสิที่ทำร้ายทุกท่านที่ปกป้องหนทางนี้ไว้​ พวกเราไม่ได้เจตนาที่จะทำร้ายทุกท่านในที่นี้​ ที่ทำไปเพราะจำเป็นจะต้องผ่านทางเพื่อกระทำการอันสมควรแก่การดำรงธรรมและช่วยเหลือสรพชีวิตในอนาคต.." สิ้นสุดคำกล่าวก็ถูกกลืนกินไปทั้งตัว​ ตอนนี้ทั้งสามได้กลายเป็นรูปปั้นที่มีแมงมุมล้อมรอบตั้งแต่หัวจรดเท้า​ซ้ำยังแข็งราวกับหินผา เสียงหายใจพลางส่ายหัวของแมงมุมนั้นที่กำลังมองทั้งสามด้วยความเหนื่อยใจ
.......
"ติณกฤตหลานลุง เจ้ามาพอดี​  แน่ใจแล้วนะว่าพระบิดาเจ้ามิได้รู้เรื่องนี้"ท้าววัศพลกล่าวถามนาคาต่างเมืองเพื่อความแน่ใจ​ ก็พี่เขาออกจะอยู่เคียงข้างพระเทวราชาเสียขนาดนั้น​ ถ้าหากเรื่องนี้ออกสู่ด้านนอกไป​ เรื่องที่หวังไว้คงไม่ได้ดั่งใจแน่
"พระเจ้าค่ะ​ หลานปิดบังเรื่องที่จะช่วยเสด็จลุงได้เป็นอย่างดี​ ไม่ใครรู้เรื่องนี้เลยพระเจ้าค่ะ​"เขาก็ทำทีเป็นเข้าพวกไป ที่รู้เรื่องที่สุดนั้นก็ต้องเป็นเสด็จพ่อของตัวเอง​ ที่ถูกวานให้ทำงานนี้จนไม่ได้ไปอยู่เคียงข้างสหายเพื่อเป็นเกลือรอวันเป็นหนอนเมื่องานใหญ่ที่ว่ามาถึง
" ดีจริงๆ​ พ่อของหลานน่ะเขามิเข้าใจความชอบธรรมนี้ิ​ แต่ก็ช่างเขาเถอะมีหลานอยู่เท่านี้อาก็สบายใจ" เขากล่าวต่อ​ เขาวางใจหลานชายมากเพราะเขาเชื่อว่าหลานของเขาต้องการความเป็นใหญ่ไม่แพ้ตน​ ตนนั้นก็ไม่มีบุตรธิดา​ หากยึดอำนาจจากท้าววิทวัสผู้พี่​ เจ้านครนาคีที่ครองตำแหน่งใหญ่เป็นผู้นำในการดูแลพญานาคตระกูลเอราปักถะทั้งปวง​ จนเขามีอำนาจล้นเหลือเขาจะให้ติณกฤตเป็นผู้สืบทอดต่อจากเขา​ เอาตามจริงแล้วเขาจะเลือกไว้เป็นรองเสียด้วยซ้ำ​ถ้าหากลีลาวดีไม่ใช่สตรี​ เพราะรายนั้นเป็นผู้ที่รับฟังไม่ต่อต้านควบคุมให้เป็นดั่งใจได้มากกว่า
"แล้วพระเทวาวิษุวัตจะเสด็จคราใดหรือพระเจ้าคะ" เขาไม่เคยพบมาก่อนก็อยากพบเสียไวๆจะได้คำนวณคาดการณ์​ที่จะเกิดได้บ้าง
" น่าจะเสด็จถึงที่ต้นทุติยยามพอดี​ ระหว่างนี้หลานก็พักผ่อนเถิด​ เสด็จเมื่อใดลุงจะให้บริวารไปตาม" เขาว่าอย่างนั้นแล้วจึงไปทำธุระของตน​
.....
ระหว่างที่อยู่ที่นี่ก็ไม่อยากที่จะทำตัวให้เปล่าประโยชน์​มากนัก​ จากตอนแรกที่ทำตัวไม่พอใจให้เหล่าบริวารเห็นอย่างชัดเจน​ ตอนนี้อัญญานีก็ได้ถนอมน้ำใจทั้งหมดเป็นอย่างดี
" พระแม่เจ้าจะเสด็จยังอุทยานในเพลานี้หรือเพคะ​ เพลานี้พระอาทิตย์​ลาจากท้องนภาแล้ว​ มิเหมาะที่จะไปชมมวลบุปผาหรอกนะเพคะ" นางกำนัลค้านความคิดที่นายหญิงจะไปในยามนี้
"โธ่​ วันนี้เราชมทั่วหอแต่ในเกาะแก้วผลึกนี่ก็ไม่ได้มีแค่หอชิดดารา​ แต่ยังมีอุทยานที่งดงามไม่แพ้อุทยานสรวงสวรรค์​เลย​ เราก็อยากจะไปสักครั้งก่อนเข้านิทราจะได้อารมณ์​ดีต่อพวกเจ้าไปเรื่อยๆ​ ดีไม่ดีถ้าพระเทวาวิษุวัตทรงโปรดปรานที่เจ้าปรนนิบัติ​เราอย่างดี​ พระองค์ก็จะประทานในสิ่งที่เจ้าต้องการทุกอย่าง มิชอบหรอกเหรอ" เธอไม่อยากให้อีกคนขัดใจมากนักจึงพูดจาหว่านล้อม
" ที่แห่งนั้นพระแม่เจ้ามิได้เสด็จนานแล้ว​ อีกอย่างพระเทวีเบญจเนตรก็ได้ประทับอยู่​คงไม่เป็นอะไรหรอก​ เจ้าไปพักเถอะเราจะปรนนิบัติ​พระแม่เจ้าเอง"สันต์สินีว่าแล้วจึงได้ตามอัญญานีไป
" เรื่องที่ว่าพระเทวีเบญจเนตรเคยประทับที่แห่งนี้คืออะไร​ แล้วทำไมเราถึงมายังที่แห่งนี้ไม่ได้" เธออดสงสัยไม่ได้จึงถามระหว่างทางไป
" แรกเริ่มเดิมทีที่แห่งนี้เป็นเขตการปกครองร่วมกับพระเทวาเพคะ​ แต่เมื่ออภิเษกกับองค์เทวราชาแล้วจึงมิได้เสด็จเท่าใดนัก​ แต่ก็ใช่ว่าใครจะมาเข้าชมตามใจได้​ พระนางนั้นยังพอให้ความเมตตาอยู่บ้าง​ แต่ไม่ใช่กับพระแม่เจ้าเพคะ" ฟังแล้วก็รู้สึกแปลกใจและสงสัยว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น​ หรือว่าพระนางจะไม่โปรดสะใภ้ผู้นี้​ แต่มันเพราะอะไรกันล่ะ
" ทำไมล่ะ" เธอไม่เข้าใจเลยจริงๆ​ เรื่องนี้ก็เป็นอดีตชาติครั้นจะฟื้นความจำแต่ก็ยังไม่ถึงเวลา
" เรื่องนี้หม่อมฉันก็มิอาจทราบได้เพคะ" เธอกล่าวตอบ​ บางครั้งผู้อยู่ดูเหตุการณ์​ด้านนอกก็มิอาจเข้าใจและรับรู้แก่นแท้ในความระหองระแหง​ที่เกิดขึ้นเลย
"งดงามมาก​ เราสามารถ​เก็บไปที่ห้องเราได้ใช่ไหมสันต์สินี" คุยได้พักหนึ่งก็ถึงสวนดอกไม้มีแสงสีฟ้าลอยล่องราวกับหิ่งห้อยบินทั่ว​ ที่น่าสนใจที่สุดในนั้นก็น่าจะเป็นดอกไม้แก้ว​ ไม่ใช่ดอกแก้วสีขาวนั้นหรอก​ หากแต่เป็นดอกไม้ที่สัมผัสแล้วรู้สึกราวเนื้อแก้วอย่างไรอย่างนั้น
" ได้เพคะ​ ยกเว้นบุปผา​ปานมณี" คงจะหมายถึงดอกไม้แก้วนั่นล่ะ​ คงจะเป็นของพระเทวีถึงไม่อยากให้ยุ่ง​ แต่ไม่เป็นไรเท่านี้ก็มากพอ
"เรากลับกันเถอะ" อัญญานีเก็บดอกไม้มาเป็นจำนวนมากจนสันต์สินีที่ช่วยถือก็รู้สึกว่ามากไป​ อะไรจะชอบดอกไม้ขนาดนั้น​ แต่สำหรับอัญญานีนี่ก็ถือว่าไม่พอแต่ไม่ขัดสนสำหรับเตรียมการ
......
"พวกเจ้านี่จริงๆเลยเชียว​ หากคิดได้เร็วยอมรับความพ่ายแพ้อย่างบริสุทธิ์​ใจก็ไม่ต้องเจ็บตัวหรอก​ เราน่ะเบื่อพวกแบบพวกเจ้าที่มาไม่รู้กี่คนต่อกี่ึคนหาแต่ฝ่าเขตแนวกันทุกที" แมงมุมยักษ์​เปลี่ยนร่างเป็นเทพบุตรได้บ่นว่าทั้งสาม​ หลังจากปลดแมงมุมเหล่านั้นออกไปให้ได้
" ใครมันอยากจะพ่ายแพ้กัน"ลีลาวดีไม่ชอบจริงๆคำว่าพ่ายแพ้มันช่างน่าละอายนัก
" พ่ายแพ้ที่ว่าคือพ่ายแพ้ต่อความตั้งใจรักษาของผู้ดูแล​ เจ้าไม่เข้าใจหรอกหรือว่าการทำหน้าที่ตรงนี้จะสาหัสเพียงใด​" สุริยะกล่าวแต่มันไม่น่าจะพอให้เธอเข้าใจได้
"ที่เขากล่าวเช่นนั้นเราก็พอรู้ว่าเคยมีผู้คนรวมสิ่งมีวิตต่างๆที่เดินทางเข้าเขตแนวนี้เพื่อที่จะผ่านไปยังแดนอสุรา​ ซึ่งนั้นก็มีเจตนาที่จะเป็นใหญ่หรือแม้แต่ครอบครองสิ่งล้ำค่าโดยให้ความโลภชี้นำ​ นั่นทำให้ผู้พิทักษ์​ต้องสังหารหรือไม่พวกนั้นก็สังหารผู้รักษาอย่างมิยอมพ่ายแพ้​เป็นเวรกรรมที่ไม่สิ้นสุดไม่แม้แต่จะกล่าวขอขมาอโหสิต่อกันและกันเลย" แสงสุรีย์​ที่ได้กระดานคำคืนก็เขียนเล่าให้ฟัง​ ดีที่สุริยะมีไหวพริบและพอรู้การอ่านคำจากปากบ้างเลยรอดกันไป
" ทีนี้ก็ตรงไปได้เลย​ แต่หนทางด้านหน้าจะเจอสิ่งใด​ เราก็มิอาจคาดเดาให้ได้เพราะที่นี่จะจัดสรรรูปแบบทดสอบพวกเจ้าเอง​ ใครที่ไม่อยากไปแล้วก็อย่าฝืน​ ศิลาพยากรณ์​น่ะอ่านออกทุกสิ่งอย่าง​ เราว่าเจ้าต้องไม่อยากให้ใครมาข้องเกี่ยวกับตนมากนักใช่ไหม" เทพบุตร​นี้รู้ดีว่าใครไม่อยากไปมากที่สุด​ หวังดีต่อนางเผื่อว่าจะได้ไม่ขุ่นข้องหมองใจกับอีกสองคนไปมากกว่านี้
" เรากลับไปแล้วจะทูลเสด็จพ่อว่าอะไรได้ล่ะ"ใจจริงอยากจะกลับเมืองเสียใจจะขาด​ แต่ต้องมาทนโดนว่ากล่าวมันก็ยังลังเล
" บอกไปตามตรง​ นำสาส์นนี้ให้พระองค์​  เราเชื่อว่าพระองค์จะเข้าพระทัย" แสงสุรีย์​ยื่นสาส์นให้หลังจากเสกสรรค์ขึ้นมาแล้วบรรจงเขียนไว้ก่อนเพราะเชื่อว่าจะต้องมีวันที่ลีลาวดีตัดสินใจที่จะไม่ช่วยแน่
"ดี​ หมดธุระแล้วเรากลับก่อน... " ว่าแล้วก็เตรียมจะกลับทันที​
"ดูแลตัวเองดีๆด้วย"จะไปเสียเปล่าๆก็กระไรอยู่จึงฝากความห่วงใยทิ้งไว้เผื่อเป็นมารยาทสำหรับตัวคนพูด  แต่คนฟังก็รับรู้ได้ว่าลึกๆแล้วนางก็ผูกพัน​อยู่แต่แค่ว่าถูกบดบังด้วยช่องว่างที่ใครบางคนกำลังสร้างให้เชื่อว่าเกลียดชัง​ เดินทางต่อไปได้สักพักก็เจอกับแหล่งน้ำที่ต้องแแสงสีเงินระยิบระยับเมื่อมองตามน้ำไปยังทิศเหนือก็พบกับต้นไม้ขนาดใหญ่​ที่แม้แต่ยักษ์​ที่แปลงกายเท่าใดก็ไม่ถึงครึ่งของต้นไม้นี้แน่​ กลางลำต้นปรากฏ​แสงสีเขียวสว่างและสีม่วงสลับกระพริบกันไปมาอย่างอ่อนโยนแต่มันก็ไม่น่าไว้ใจนัก 
"บางทีนี่อาจจะเป็นที่ตั้งของศิลาพยากรณ์" สุริยะกล่าว
"แต่ดูเหมือนว่าเราต้องเดินทางเสียอีกหน่อยจึงจะถึง​  ตลอดเพลาที่เดินทางพวกเราไม่เคยได้พักเลย​ เราว่าพักตรงนี้ก่อนดีไหม" เขาถามสหายร่วมทาง
"เราก็เห็นสมควรเช่นนั้น" ทั้งสองไปพักผ่อนใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งด้วยเพราะที่นี่มีต้นไม้น้อยมากจนนับต้นได้จึงได้พักยังต้นที่ใกล้ที่สุดก่อน​ โดยเวลาก็พอจะให้ได้พักผ่อนเอาแรงบ้างเมื่อแน่ใจว่าถึงเวลาสมควรก็จะมอบบททดสอบขั้นต่อไปให้อย่างแน่นอน
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ สิงหาคม 23, 2020, 08:02:09 PM
สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านนะคะ​ จักรกรดขอแจ้งงดการอัพเดตนิยายค่ะ​ ด้วยเนื่องจากมีการสอบทั้งในและนอกตารางเรียนรวมเป็นเวลาสองสัปดาห์​ จะต้องอ่านหนังสือและฝึกทักษะในการสอบครั้งนี้​ ทั้งนี้ด้วยเวลาที่มีอยู่จำกัดทำให้ไม่สามารถแต่งนิยายในแต่ละตอนได้อย่างสมบู​รณ์​ค่ะ​ จึงเรียนทุกท่านให้ทราบโดยทั่วกันว่า จักรกรดจะกลับมาอัพเดตเรื่องนี้ต่อไปในวันอาทิตย์​ที่13​กันยายน​ ต้องขออภัยไว้ ณ​ ที่นี้ด้วยนะคะ w15 w8
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กันยายน 13, 2020, 05:22:30 PM
จักรกรดต้องขออภัยผู้อ่านทุกท่านอีกครั้งด้วยนะคะ​ เนื่องจากมีบางวิชาที่เลื่อนสอบอยู่​ จึงต้องใช้เวลาในการอ่านเพื่อเตรียมสอบต่อไปค่ะ​ จึงขอแจ้งเลื่อนวันอัพเดตนิยายของสัปดาห์​นี้เป็นวันพุธที่16กันยายนแทนนะคะ​ ต้องขออภัย​อีกครั้งด้วยนะคะที่ไม่สามารถจัดการเวลาให้ลงตัวได้ในช่วงนี้ค่ะ​  w6 w6
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กันยายน 16, 2020, 08:00:43 PM

"ลูกรู้ตัวหรือไม่​ ว่าคิดทำอะไรลงไป!!" ท่าทีและน้ำเสียงอันเเกรี้ยวกราด​ยามวิกาลจากองค์เหนือหัวธริษตรีทำให้ผู้ถูกเรียกถึงกับขวัญเสีย​ ถึงแม้พระองค์จะมีความเข้มงวดกับตนในบางครั้ง​ แต่ไม่ใช่แบบนี้แน่
"แม่บอกเจ้าแล้วใช่ไหมว่าอย่าคิดที่จะไปตกแต่งกับสตรีบ้านป่านั่นน่ะ​ ทั้งยังไปทูลให้องค์เหนือหัวทรงทราบ​ เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันเสี่ยงแค่ไหนที่ความลับพวกเราจะรั่วไหล" ที่แท้ก็เป็นมารดาที่กลับเข้ามาในร่างได้แล้ว​ แทนที่จะสนใจในเนื้อหาที่พูด​ กลับเป็นว่าอัคนินนั้นสนใจในเรื่องของมารดามากกว่า
" ก่อนที่จะว่ากล่าวลูกเรื่องนั้น​ ทำไมท่านแม่ถึงไม่อยู่ในพระวรกายเสด็จพ่อ​ ถ้าลูกไม่โป้ปดไปความลับก็ต้องรั่วไหลเพราะท่านแม่นั่นเอง"เขาเปลี่ยนเรื่องไปเลยเสียดีกว่า​ ใจนึงก็มิอยากต่อล้อต่อเถียงเรื่องงานวิวาห์​ อีกอย่างเขาก็อยากจะรู้สาเหตุในความผิดพลาดนี้เหมือนกัน
" เรื่องนั้นมันมีช่องโหว่น่ะสิ​ แม่ก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าวันนี้เป็นวันธรรมสวนะที่สองต้นเหมันตฤดู แม่จะไม่สามารถใช้คาถาไสยเวทแขนงนี้ควบคุมได้​ พอผ่านเข้ายามสามแม่ถึงได้เข้ามาได้" เธอกล่าวเช่นนั้น
"วันนี้ควบคุมไม่ได้​ อย่างนี้ทางฝั่งของพวกรัตนบุรีก็ควบคุมไม่ได้เหมือนกันน่ะสิท่านแม่" เขาก็อดห่วงสหาย​ไม่ได้​ ถึงแม้จะไม่ชอบหน้ากันเท่าไหร่ก็ตาม
" ทางนั้นใช้มนตราคนละแขนงกับแม่​ ไม่เป็นอะไรเพราะไม่ได้ใช้เศษหินนั่น" ผกากรองกล่าว​ถึงมิตตศิลาแดนอบายภูมิในการทำพิธี​ นี่คือส่วนหนึ่งของศีรษะ​​ที่ได้ขาดออกมาหลังจากได้รับสิ่งบั่นศีรษะ​เป็นครั้งแรก มิตตวินบุรุษ​ที่เห็นเป็นชอบเมื่อครั้งแต่ก่อนกาล เขามีความทุกข์​ทรมานมากที่สุด​ ผู้ใช้มนต์ดำก็อยากจะครอบครองมาก​ เพราะยิ่งมีความทรมานจากทรมานจากดวงวิญญาณ​มากเท่าไหร่มนตราก็จะแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น​ แต่ทว่าหินนี้แปรสภาพตามจิตใจของมิตตวินซึ่งทุกๆปีนั้น​ พระอรหันต์​มาลัย​จะมาโปรด​ เครื่องบั่นศีรษะ​ของเขาจะอ่อนกำลังมิให้รุนแรง​ เขามิต้องรับความทรมาน​ แต่พ้นวันก็จะเป็นไปตามเดิม​ จนกว่ามิตตวินจะเข้าใจสิ่งตนเองได้กระทำ
"อย่างนี้ก็แย่เสียจริงน่ะสิท่านแม่​ ถ้าหากผิดคาด​ วิญญาณมิตตวินเกิดสำนึกได้ในตอนนี้​ ที่พวกเราทำมาก็สูญเปล่าและเสี่ยงที่ความลับจะถูกเปิดเผย" เขาที่พอรู้เกี่ยวกับหินนั่นพอนึกได้ก็กังวลอยู่มิน้อยเลย
"แม่ถึงได้เตือนมิให้ไปพูดเรื่องที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของแม่​ โดยเฉพาะเรื่องอภิเษก​ เรื่องนี้มีแค่พวกเราสองคนเท่านั้นที่รู้​ ถ้าสตรีที่เจ้าชอบเกิดรู้ขึ้นมาแล้วจะทำสิ่งที่ไม่คาดคิดก็ได้"
"ฉันทนาไม่ใช่คนแบบนั้น​ นางเป็นพวกเดียวกับพวกเรานะจ๊ะท่านแม่"
"พวกเดียวกันน่ะหรือ​ อย่าพูดเลยดีกว่า​ เสร็จงานนี้ก็ต้องมาชิงอำนาจกันเองอยู่ดี​  อีกอย่างลูกก็รู้นี่ว่านางน่ะชอบพอศุภลักษณ์​ หากวันใดวันหนึ่งนางรู้เรื่องนี้แล้วนางคิดจะหักหลังพวกเราก็ได้มิใช่รึ" คำพูดตอกย้ำในจิตใจบุตรชาย​ สตรีที่เขารักเป็นหนักหนาก็ฝังใจอยู่แต่ศัตรูของตัว​ อย่างนี้แล้วจะทำยังไง
" ลูกจะจัดการเรื่องนี้ต่อเอง​ เพียงแค่ไม่ให้นางรู้ในสิ่งที่พวกเรากระทำก็น่าจะพอแล้วใช้ไหมพระเจ้าค่ะ" เขาเปลี่ยนคำลงท้ายด้วยสีหน้าที่กังวลแต่ก็ยังรั้นอยู่
" ให้มันได้เช่นนี้เถอะ​ เจ้านี่รั้นเหมือนพระบิดาไม่มีผิด​ แม่จะไม่คุยกับเจ้าแล้ว​ ราตรีนี้ก็พักผ่อนต่อไปเถอะ"
เป็นที่ฉงนนักสำหรับอัคนิน​ เจ้าเมืองอย่างธริษตรีที่ตนรู้จักมาจนป่านนี้ไม่เคยเห็นนิสัยดื้อรั้นเลย​ เหตุใดมารดาของเขาจึงต้องเปรียบเช่นนั้น
".... ​ไม่เหมือนเจ้าลูกแท้ๆรึปล่าวก็ไม่รู้!!" ประโยคนี้จากอริตั้งแต่วัยเยาว์ได้มาย้ำเตือนจิตใจของอัคนินอีกครั้ง​ สถานะของตนตอนนี้ก็เป็นที่กังขาไม่ต่างกับคนที่ตนเคยว่าเอาไว้​ สิ่งนั้นมันทำให้เขามิอาจข่มตาไปได้ตลอดคืน
........
"เจ้าคงจะเป็นติณณกฤตใช่ไหม​ ได้ยินนามมานาน​ วันนี้ได้พบเรายินดียิ่ง" พระเทวาวิษุวัตกล่าวเมื่อเสด็จถึง​ เหล่าบริวารที่นี่ท่านรู้จักดี​ แต่ว่าชายหนุ่มผู้นี้เพิ่งจะได้พบเป็นครั้งแรก
"พระเจ้าค่ะ​ วันนี้ได้พบกับพระองค์​ รับรู้ได้ถึงพระบุญญาที่หาใครเปรียบมิได้​ หากแม้จะต้องกระทำสิ่งที่เสี่ยงต่อชีพ​ หม่อมฉันก็ไม่เสียดายชีวิตเลย"ได้ทีเขาก็ทูลไปเพื่อเอาใจ
"ช่างพาที​ ขอให้ทำงานดีอย่าได้พลาด​ เท่านี้เราก็พอใจแล้ว" เขาค่อนข้างพอใจราวกับได้คนรู้ใจคนใหม่​ แต่ก็ต้องระวังเพราะไม่รู้ว่าจะหน้าไหว้หลังหลอกเหมือนศรุตเทพที่เขาชิงชังหรือไม่​ ไม่ว่าจะเป็นยังไงโอรสสายเลือดนาคีก็ต้องแสดงต่อไปเพื่อที่จะขัดขวางการใหญ่ต่อไป
"ดวงจันทร์​คืนนี้เปล่งประกายมาก​ ถือว่าเป็นสัญญาณอันดีที่จะได้รับชัยชนะนักพระเจ้าค่ะ" ท้าววัศพลกล่าว
"ราตรีนี้เรายังไม่คิดเรื่องนั้น​ ทุกคนต่างก็รอเรานานแล้ว​ ไว้วันพรุ่งเราจะพูดเรื่องนี้อีกที​ พักผ่อนเสียก่อนเถิด" ทุกคนต่างแยกย้ายกันไป​ ติณณกฤตต้องจดจำเรื่องทุกอย่างต่อในวันถัดไป​ และต้องทำเช่นไรให้ข้อมูลไปถึงพระบิดาโดยไร้ข้อกังขา​ เรื่องนั้นเขาที่รู้และวางแผน​ คงใช้เวลาเสียพักใหญ่ก่อนจะหลับพักผ่อนไป
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กันยายน 20, 2020, 04:28:24 PM
ทางจักรกรดขอเปลี่ยนวันอัพเดตนิยายเรื่องนี้ใหม่อีกครั้งนะคะ​  เนื่องจากมีภาระงานที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้นจึงได้จัดตารางขึ้นมาใหม่ค่ะ
โดยจะเปลี่ยนมาอัพเดตทุกๆวันพุธเวลา21.00น.นะคะ​ ต้องขออภัยที่ไม่ได้ชี้แจงตั้งแต่วันพุธที่ผ่านมาค่ะ​ ขออภัยท่านผู้อ่านเป็นอย่างสูงค่ะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กันยายน 23, 2020, 09:02:52 PM

เพลานี้แสงศศิธรเปล่งประกายทั่วนภายามราตรีมากกว่าแสงจากต้นไม้ใหญ่ที่ทิศเหนือนัก​ คนทั้งสองที่กำลังอยู่ในห้วงนิทรานัั้นมิได้ล่วงรู้ถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับตน​ เพียงไม่กี่ยามที่พักพิงก็ได้กลายเป็นแหล่งทำภัยให้ถึงตัวเสียแล้ว​ เถาวัลย์​จากต้นไม้นั้นได้เข้าทำการรัดร่างกายแสงสุรีย์​ราวกับถูกอสรพิษ​ร้ายจ้องจะเอาชีวิต​ คนถูกรัดรู้ตัวตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าสิ่งนี้จะเข้าไปทำร้ายสหายของตน​ เธอพยายามจะทำให้อีกคนรู้ตัวเพราะเสียงของเธอไม่สามารถร้องเรียกได้​ หินสลักที่พกติดตัวไว้พอจะช่วยได้บ้าง
"แสงสุรีย์!!.." ถึงจะเป็นห่วงอีกคนแต่ต้องหลบไปก่อนเพื่อรักษาความปลอดภัยให้ตัวเองเพื่อจะได้คิดหาทางช่วยอีกคน​ เถาวัลย์​เหล่านั้นจากที่เลื้อยอย่างเชื่องช้าก็เปลี่ยนเป็นรวดเร็วเพื่อจะจับตัวชายง่อยเข็ญใจ
เขาตัดสินใจร่ายมนตราสร้างเขตป้องกันตัวเองเป็นวงแหวน​ มันพอจะกันตัวของเขามาจากมันได้แต่ก็ถึงระยะห่างจากต้นไม้นั่นพอสมควร​
"เราต้องลงใต้พื้นดินเพื่อจะได้ไปช่วยนาง" เขาคิดได้เช่นนั้นก็ใช้วิชาลงสู้ด้านล่างทันที

"แสงสุรีย์​ลูกแม่​ แม่เองลูก​ แม่มาหาลูกแล้ว" เสียงๆหนึ่งเรียกเอาสติของสตรีใบ้ที่คิดจะต่อสู้นั้นเข้าสู่ห้วงแห่งมายาปรารถนาโดยแทบไม่รู้ตัว
"ส.. เสด็จแม่หรือเพคะ..เสด็จแม่จริงๆหรือเพคะ"ในห้วงมายานั้นเธอเจรจาพาทีได้เหมือนคนปกติซ้ำยังได้พบพระมารดาที่จากไปตั้งแต่ตนยังไม่รู้ความ​ พอจะรู้ได้ก็คงจะเป็นกำไลที่พระบิดากล่าวถึงให้ทราบว่าสิ่งๆนี้คู่กายมารดามานานแม้จะสิ้นก็นำไป
"แม่เองลูก​ ตลอดเพลาที่ผ่านมาแม่ต้องรอคอยลูกมาเสมอ​ เพลานี้ได้เจอกันแล้วก็อย่าจากแม่ไปเลยนะลูก"  สีหน้ายินดีและเชิญชวนนั้นแฝงไปด้วยความอ่อนโยนเสียจนอีกคนดูเหมือนใจจะอ่อนลงเสีย​
"เสด็จแม่เพคะ​ ลูกก็ต้องการจะอยู่กับเสด็จแม่นะเพคะ​ แต่.... แต่ลูกจะต้องพิทักษ์​ความเป็นธรรม​ จะกระทำสิ่งใดตามใจชอบมิได้​ หากแม้นลูกกระทำหน้าที่สำเร็จสิ้นแล้ว​ ถึงเพลานั้นลูกจะมาอยู่เคียงข้างเสด็จแม่นะเพคะ" เธอกล่าว​ ถึงจะสับสนแต่ความตั้งใจที่จะทำทุกอย่างให้ดีนั้นเป็นอุดมการณ์​ที่ไม่วันหายไปได้
"ทำไมกล่าวเช่นนั้น​ แม่ไม่สำคัญแล้วรึ​ เรื่องพวกนั้นน่ะให้คนอื่นจัดการก็ได้​ เจ้าจะจากแม่ไปไม่ใยดีเลยหรือ"เธอแสร้งตัดพ้อและไม่พอใจเนืองๆเพื่อยื้อความคิดอีกฝ่ายไว้

ระหว่างนั้นสุริยะก็ต้องเผชิญกับรากไม้ยักษ์​ที่พยายามฟาดฟันเขาที่กำลังเดินทางจะไปช่วยสหายจากข้างใต้ดิน
" ไม่ดีแน่​ ตัวเราเคลื่อนไหวได้ลำบาก​ อีกไม่นานน่าจะเพลี่ยงพล้ำ"แทนที่จะเอาแต่หลบก็นึกถึงคาถาที่เรียนมาได้ว่ามีคาถาตัดส่วนจึงใช้ตัดส่วนราก​นั้น​ ขอเวลาไม่นานเจ้าต้นไม้นี้จะต้องถูกโค่นแน่​

คนด้านบนร่างกายเริ่มเปลี่ยนเป็นสีซีดเซียวเสียเสมือนศพก็มิปาน​ ไม่รู้เลยว่าจะรอดไปได้หรือไม่
" เสด็จแม่ไม่ใช่คนเช่นนี้​ ท่านเป็นใคร​" คำพูดเมื่อครู่ดูไม่น่าเป็นมารดาตามที่ได้ยินเรื่องอุปนิสัยมา
" ทำไม​ เราจะใช่หรือไม่ใช่ก็คือสิ่งที่เจ้าปรารถนามาตลอดชีวิตมิใช่หรอกหรือ​ หรือจะใช้ชีวิตเป็นใบ้ไปตลอด​ เฝ้าฝันหาความเป็นธรรมไม่สิ้นสุด​ ทำเป็นไม่รู้เรื่องแล้วรับสิ่งที่เจ้าปรารถนาอยู่อย่างมั่นคงมิดีกว่าหรือ"
"เราไม่ต้องการ​ ท่านจากไปเสียเถิดอย่าได้มาข้องเกี่ยวกับเราอีกเลย"
" แน่ใจแล้วหรือ​ ลูกจะจากแม่ไปจริงๆหรือ" อีกคนใช้มืออันแสนนุ่มนวลสัมผัสใบหน้าอีกคนเพื่อให้ชั่งใจในการเลือกอีกครั้ง

เวลานี้ต้นไม้ที่ว่าได้โค่นลงแต่ไม่ทันจะถึงพื้นก็พลันสลายหายไปราวกับไม่เคยมีอยู่เหลือไว้แต่ร่างที่ซีดขาวขึ้นเส้นเลือดเห็นได้ชัดจนอีกคนอดจะกังวลใจไม่ได้
" แสงสุรีย์​ แสงสุรีย์!! " เขาเรียกสหายเท่าใดก็มิอาจจะทำให้ฟื้นขึ้นมา​ สีโอษฐ์พระธิดาเมือคีรีมาศเข้มจนราวกับเถ้าถ่าน​ ถึงเธอจะไม่สิ้นแต่ร่างกายก็เหมือนกับทรมาน​ ไม่นานก็กระอักโลหิตสีดำออกมา​ อีกทั้งยังความเย็นเข้าทำให้ร่างกายราวกับน้ำแข็ง ทั้งๆที่ต้นไม้ก็ทำลายไปแล้วแท้ๆ​
สุดท้ายแล้วสตรีเจ้าก็ฟื้นคืนมาพร้อมความปกติของร่างกาย​ มันเหมือนเกิดขึ้นเร็วมาก​ ท้องฟ้าเปลี่ยนสีเป็นสีส้มอ่อนระเรื่อกันกับแดง​ ถึงจะไม่เห็นดวงอาทิตย์​ชัดแจ้งแต่ก็พอทราบว่าแสงแห่งวันใหม่มาเยือนแล้ว

"เราไม่เป็นอะไรหรอก... สุริยะ​ ท่านก็มิได้รับอันตรายใช่ไหม" เมื่อเห็นสีหน้าถอดสีของสหายจึงเขียนบอกให้สบายใจ​ พร้อมกับถามกลับไป
"เราไม่เป็นอะไร​ เกิดอะไรขึ้นกับท่าน" เขาสงสัยทั้งที่ก็มีวิชาที่เรียนมาแต่ต่อสู้เอาตัวรอดแบบตัวเองไม่ได้
"เราถูกภาพมายาหลอกล่อ​ สิ่งนั้นพยายามจะเข้ายึดร่างกายและวิญญาณเรา​ ดีที่ต้นไม้นี้ถูกโค่นไปก่อน​ พลังของสิ่งๆนั้นจึงอ่อนแรงพอที่จะตั้งจิตมั่นออกมาได้... เรื่องนี้เราต้องขอบใจท่านมาก"
" เราเต็มใจ.. มันก็สมควรแก่เพลาแล้ว​ พวกเราควรไปหาศิลาพยากรณ์​ เพื่อที่จะได้รักษาเกราะกายสิทธิ์​กับสังวาลย์​ให้กลับมาดังเดิม" ว่าแล้วก็เดินทางไปสู่ต้นไม้ใหญ่​ ลำพังเพียงมองก็รู้สึกราวกับห่างไกลแต่เมื่อก้าวได้เพียงสี่ก้าวก็มาถึงอย่างไม่น่าเชื่อ​ เมื่องมองกลับไประยะทางก็ไกลอยู่ดี​ ช่างน่าพิศวงเสียจริง​ เมื่ิอมาถึงก็ได้เห็นความระยิบระยับที่ทางเข้า​ มองดูไปก็เหมือนมีฟองอากาศอยู่ระหว่างทางเข้า
"เดินทางมาถึงที่แห่งนี้ก็อย่ากังวลอันตรายใดๆเลย​ ที่แห่งนี้คือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด​ หากจะมาพบเราก็มาพบเสียเถิด​ อย่าให้สูญสิ้นเพลาเลย" เสียงก้องกังวาลราวบุรุษกล่าวนั้นคือแท่นศิลาที่พวกเขากำลังตามหาอยู่​ เรื่องทุกเรื่องไม่มีอะไรที่ไม่ทราบ​ รวมไปถึงจุดประสงค์​ในการเดินทางมาครั้งนี้ของคนทั้งสองด้วย
ทั้งสองคนเมื่อได้ยินดังนั้นจึงเข้าไปในต้นไม้ใหญ่นั้นทันที
" เรื่องสิ่งวิเศษที่ท่านทั้งสองต้องการให้กลับมาดังเดิมนั้นย่อมมีทางออก​ เพียงเดินทางต่อไปในเขตแนวอสุราที่๓​ ที่แห่งนั้นจะมีภูเขาที่ตรงกลางนั้นมีปราพกสินธุ์​  ขอพวกท่านขึ้นไปที่ยอดเขานั้น​แล้วให้นำชิ้นส่วนใส่ลงไป​ เมื่อถึงปฐมยามแล้วใช้คาถาเรียกนำออกมาก็จะเสร็จสิ้น​ แต่เราขอเตือนเพิ่มเติมว่า​ เมื่อพ้นจากเขตแนวอสุราทั้งสาม​ ฝ่ายศัตรูก็จะรู้เวลาพวกท่านใช้พลังอีกครั้ง" เขาบอกไปตามที่รู้แต่ไม่ได้บอกเสียทุกอย่าง​ เพราะการที่เขาบอกเพื่อหวังจะช่วยคนไปเรื่อย​ไม่แบ่งฝ่ายนั้นล่ะที่ทำให้เทพบุตรมาเป็นศิลาจนทุกวันนี้​ ทำนายเสร็จ​ ก็รอคำถามเพียงหนึ่งเพื่อกลับสู่นิทรา
" ที่แห่งนั้นมีอันตรายอะไรรออยู่หรือท่าน" สุริยะถามเพื่อจะได้วางแผนจัดการกับอันตรายภายหน้า​ เพราะเขตแนวอสุราที่สามเป็นที่ที่กั้นฝั่งแดนอสุราไว้เพื่อไม่ให้สิ่งมีชีวิตฝั่งนั้นผ่านมาได้
"แต่ก่อนคือมังกรสามหัว​ ตอนนี้คือ...."​ เขากล่าวเสร็จแล้วจึงเข้าสู่นิทราในทันทีอีกเจ็ดราตรีจึงจะกลับมาทำนายดังเดิม​ สิ่งที่ว่านั้นทำให้คนสองคนต้องระวังให้มากที่สุด​ เพราะถ้าพลาดนั้นก็หมายถึงชีวิตของพวกตน
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กันยายน 30, 2020, 06:04:24 PM
วันนี้ต้องขออภัยผู้อ่านทุกท่านอีกครั้งนะคะ​ ทางจักรกรดติดงานกิจกรรมทำให้ไม่สะดวกในการแต่งสัปดาห์​นี้ค่ะ​ จึงขอเลื่อนการอัพเดตนิยายเป็นสัปดาห์หน้าค่ะ​ 
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ตุลาคม 07, 2020, 09:05:40 PM
"แต่ก่อนคือมังกรสามหัว.." มันก็หมายความชัดแจ้งแล้วมิใช่หรือว่า​ ผู้ทำหน้าที่ป้องกันดินแดนนั้นได้มีการผลัดเปลี่ยนไปจากเดิม
"เรามีโอกาสได้อ่านบันทึกของศรุตเทพ.. หรือที่ว่าเป็นเราในชาติก่อนนั้นน่ะ​ เล่าว่าที่แห่งนี้เป็นที่ที่ใช้ไว้เกราะกายสิทธิ์​หลังจากมีการใช้ในร่างอวตารของพระนารายณ์​อวตารไปครั้งหนึ่งแล้ว.." สุริยะเล่าข้อมูลที่ได้รับรู้มาคร่าวๆอย่างน่าสนใจ​ ทำให้ผู้ฟังคิดตาม
"ในบันทึกเล่าว่ามังกรสามหัวทำการเฝ้าสิ่งวิเศษนี้ไว้​เพื่ิอไม่ให้สิ่งมีชีวิต​ที่มีความโลภครอบครองจนเป็นเหตุแห่งความพินาศ​ อีกทั้งยังเฝ้าเขตแนวอสุราไม่ให้ข้ามผ่านแนวกั้นมาทำร้ายกันจนกว่าจะครบวาระอันควร" เขาอธิบายเพิ่มเติมต่อจากนั้น
"แสดงว่าคนที่สังหารมังกรสามหัวคือศรุตเทพ​ แน่นอนว่าถ้าคืนชีพผู้รักษาเดิมก็จะถูกกำจัดได้อีกครั้งจึงต้องเปลี่ยนผู้ดูแล... ถ้าเป็นไปได้เราก็ไม่อยากจะเอาชีวิตเขาเหมือนกัน​เพราะมีหน้าที่ต้องรักษาความสงบ"แสงสุรีย์แสดงความเห็นหลังจากฟังสหายเล่าเรื่องมา
"น่าหนักใจอยู่เหมือนกันเพราะผู้คุมในเพลานี้ไม่ได้ฝักใฝ่​ฝ่ายใดเหมือนกับศิลาพยากรณ์​ แต่รายนั้นน่าจะเป็นทางลบมากกว่า​ เลี่ยงได้พวกเราก็ควรเลี่ยง​ แต่หากจำเป็นก็อย่าได้ลังเล"เขาว่าเช่นนั้นก็นับว่าถูกเพราะผู้เฝ้าไม่เลือกฝ่ายก็พร้อมจะทำลายผู้บุกรุกทุกคนอยู่แล้ว​ แต่ปัญหาก็คือความพร้อมของร่างกายคนทั้งสอง​ ถึงจะมีวิชาติดตัวแต่ก็มิใช่ว่าจะมีกำลังเหลือเฟือจะไปต่อกร
" เท่าที่เราเคยรู้มาจากท่านอาจารย์​ ผู้รักษาตนนี้มีแหล่งพลังคือธาราเตโช ท่านคิดว่าน่าจะเป็นตรงใด" เธอลงมือเขียนกระดานและวาดตำแหน่งของสิ่งที่กล่าว
"นั่นน่าจะเป็นธาราทมิฬที่พักแต่เดิมของมังกรสามหัว​อยู่ทิศอาคเนย์​เมื่อมองจากทางเข้า​ เยื้องไปบนด้านซ้ายจะเป็นทิศพายัพ​ ที่แห่งนั้นคือภูเขาศีตละหรือภูเขาเย็น​ที่ไว้เกราะกายสิทธิ์​  ซึ่งมีภูเขาอยู่คู่กันเป็นภูเขาร้อนนั่นก็คือภูเขาแห่งปราพกสินธุ์" มันก็ดูเหมือนจะง่ายดีไม่ใช่หรอกหรือ​ เท่าที่วาดเส้นทางดู​หากไม่มีผู้รักษาสักตน
" เป็นไปได้ว่าธาราเตโชอาจจะขยายพื้นที่ให้ล้อมรอบจนไปถึงภูเขาแห่งปราพกสินธุ์​เพื่อให้ง่ายต่อการเคลื่อนไหวและต่อสู้​"เธอเขียนแสดงความเห็นพลางตีขอบแผ่นน้ำลากยาวเป็นวงกลมจนถึงภูเขา
"ก็จริงตามที่ท่านว่า​ แต่เท่าที่เรารู้ผู้รักษาตนนี้น่ะจะเข้าสู่นิทราในเพลากลางวัน​ บางทีเราอาจจะต้องใช้ช่วงเพลานี้ในการเดินทางสู่ภูเขาได้ทัน"เขาออกความเห็น ต้องรักษาเวลากันเสียหน่อยเพราะผ่านมาเสียค่อนวันแล้ว
"พวกเราต้องแยกกันไปภูเขาคนละลูก​ เพราะภูเขาศีตละมีอินทุสินธุ์​น่าจะช่วยลดกำลังจากธาราเตโชของผู้รักษาได้บ้าง" แน่แท้ด้วยฤทธาความเย็นของดวงจันทร์​ที่แต่เดิมเคยมีถึงสองดวง​ แต่ดวงหนึ่งได้มาเป็นส่วนหนึ่งของภูเขาพร้อมๆกับการสร้างเขตแนวอสุราด้วยพลังบันดาลพระเทวราชาพระองค์​ก่อน
" ภูเขาแห่งปราพกสินธุ์น่าจะมีอันตรายมากกว่าเราขอ.. "ยังไม่ทันพูดจบเขาก็ต้องหยุดจากการยกมือค้านของสหาย
"เราว่าอันตรายมีเท่ากัน​ แต่หากว่าท่านคิดเช่นนั้นท่่านก็ควรไปภูเขาศีตละ​เพื่อนำอินทุสินธุ์​ขึ้นมาโดยไม่เสียกำลังไปมากกว่านี้.. อย่าเข้าใจความคิดของเราผิดไป"เธออธิบาย​ ตัวเธอนั้นเพียงแต่เป็นใบ้กับใบหน้าเสียโฉม​ สองมือสองเท้าถึงจะอ่อนกำลังกว่าตอนมีอาวุธวิเศษแต่เคลื่อนไหวได้แบบคนปกติทั่วไป​ และคล่องแคล่ว​กว่าสุริยะอยู่​ หากจะถูกโจมตีก็น่าจะเป็นตนที่หลบหลีกได้ทัน​ แต่ที่เธอกลัวสหายเข้าใจตนผิดเกี่ยวกับการกอบกู้อาวุธว่าใครจะได้ใช้ก่อนมากกว่า
" เราเห็นสมควรตามนั้น​ ไม่ต้องกังวลไปหากทำสำเร็จท่านก็ใช้ก่อนได้เลย​ ไม่ว่ายังไงก็ต้องระวังตัวให้ดีเพราะนี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด" เขากล่าวอย่างเข้าใจในสหายโดยไม่มีท่าทีกังวล​ เท่าที่ฝ่าอุปสรรคมาก็พอจะรู้อยู่ว่าคนคนนี้ไม่ใช่ผู้ที่จะทำให้ตนเดือดร้อนได้​ เมื่อตกลงได้ดังนั้นจึงเริ่มเดินทางพร้อมกับคิดวิชาไปพร้อมกัน
เมื่อเดินทางไปได้สักพักก็พบกับดาบเล่มหนึ่งที่ดูเหมือนกับวางแต่ว่าน่าจะเป็นร่องรอยการตกหล่นหลังจากการฟาดฟันเสียมากกว่า​ ข้างๆนั่นก็เป็นศิลาก้อนใหญ่​เมื่อพิจารณา​ดูก็รู้ว่าเป็นศีรษะ​ที่ถูกตัดทิ้งของมังกรสามหัวแต่ก่อนกาลมา  ภาพความทรงจำตัดไปมากับภาพความจริงตรงหน้าของสุริยะ​  ความขัดแย้งมันเริ่มจากตรงนี้สินะ​  สหายเห็นท่าทีสับสนจึงใช้มือสัมผัสอีกคนเรียกสติมาเป็นเชิงว่าถึงทางแยกแล้ว​ พร้อมกับชี้ไปกลางภูเขาทั้งสอง​ เป็นไปตามคาดธาราเตโชมีพื้นที่ไปจนถึงภูเขาร้อน​ และตรงกลางก็มีผู้รักษาหลับอยู่ตรงกลาง
"แต่ก่อนคือมังกรสามหัว​ ตอนนี้คือ ฑาหะอรรณพ" เสียงบอกเล่าของศิลาพยากรณ์​เข้ามาในโสตประสาทเป็นการย้ำชื่อของผู้รักษา​ เคยได้ยินชื่อมาตั้งแต่ร่ำเรียน​ เพิ่งจะได้เห็นตัวจริงก็ครานี้​  มองดูแล้วพบว่าช่วงล่างของผู้รักษามีหางราวกับเงือกสีเกล็ดเป็นรุ้งรัดรอบภูเขาร้อนดั่งจงอางหวงไข่​ ลำตัวช่วงบนเป็นมนุษ​ย์​แต่กับไร้หน้าอารมณ์​เห็นแต่ทรายวนเป็นวงกลางหน้า​ เกศาสีขาวยาวลงมาราวกับเส้นไหมอย่างดี​ มีปีกดังพญาปักษาที่ดูเหมือนจะสร้างพายุซัดสิ่งต่างให้หายไปในพริบตา​ ในขณะที่นอนตะแคงเบื้องขวาหลับตาอยู่ก็เห็นทั้งมือซ้ายทอดทาบไปตามกายและมือขวาที่รองศีรษะ​นั้นมีงูเป็นนิ้วมือทั้งสิบ​ เป็นผู้รักษาที่ประหลาดจนไม่น่าวางใจได้
"รักษาตัวด้วย" เขากล่าวกับสหายแล้วแยกย้ายกันไปตามที่รับผิดชอบ​ หวังว่าคราวนี้จะสำเร็จโดยไม่มีใครเจ็บปวดด้วยเถิดหนา
...
"อินทุสินธุ์​ดังว่า​ มองดูแล้วเหมือนมีพระจันทร์​อยู่ใต้น้ำจริงๆ" สุริยะได้เดินทางมาถึงด้านบนนี่ก็เป็นเวลาโพล้เพล้เสียเต็มทน​ ทีนี้ก็ใช้วิชาเรียกใช้น้ำขึ้นมา​ เนื่องจากไม่มีภาชนะจึงได้นำน้ำเหล่านั้นสร้างเป็นกุณโฑไว้รองรับน้ำที่ต้องใช้ไว้เสียชั้นหนึ่ง​ อากาศก็เริ่มเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ​ ขืนอยู่นานกว่านี้ได้แข็งตายก่อนผจญกับภัยแน่ต้องเร่งมือเสียหน่อยแล้ว
"ขอเถิดว่าที่เรานำสิ่งวิเศษนี้มาหลอมรวมขึ้นใหม่เพื่อที่จะนำไปเป็นศาสตราวุธ​ใช้ผดุงธรรมเท่านั้น​ มิมีเจตนาด้านโลภะเลย​ ขอจงสำเร็จด้วยดี" แสงสุรีย์คิดในใจพลางใช้พระกรชะทั้ง๙ลงสู่ปราพกสินธุ์​ ซึ่งนั้นก็คือชิ้นส่วนที่ถูกเปลี่ยนลักษณะ​ของเกราะกายสิทธิ์​เพื่อไม่ให้ใครจับได้ว่าซ่อนไว้ที่ใด​ คงต้องรออีกสักพักก่อนที่จะ
เส้นพระเกศาทั้ง๙เส้นอันเป็นสังวาลย์​มณีลงสู่กลางใจของภูเขา​ต่อไป
เวลาผ่านไวพาใจหาย​ ถึงจะไร้หน้าแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รับรู้ถึงสัญญาณ​ถึงการฟื้นคืนของฑาหะอรรณพได้​ ทันที่ที่เขาตื่นมาก็เข้าหาภูเขาร้อนทันที
"บังอาจ!.. เจ้ามนุษย์​อวดดี​ คิดจะหาพลังอำนาจทางลัด​" เขาว่าแล้วก็ใช้มือเหวี่ยงไปเข้าไล่จับแสงสุรีย์ในทันที​ ท่าไม่ดีก็ต้องหลบก่อน​ ไม่รู้ว่าชิ้นส่วนจะประกอบกันเสร็จหรือยัง​ เธอหลอกล่อให้ผู้รักษาหันหลังให้กับภูเขาเย็นให้ได้มากที่สุด​ สุริยะที่รอจังหวะก็ได้ให้สัญญาณกับอีกคนทันที​ ทั้งสองจึงใช้มนตราตรึงฑาหะอรรณพเป็นวงกลม​ รอบๆตัวเขาเป็นโซ่แสงสีแดงรัดไขว้​ไปทั่วตัว แทนที่ผู้รักษาจะมีอาการเจ็บปวดแต่ไม่เลย​ เขาใช้มือทั้งสองข้างจับโซ่​ดึงไว้​ อย่างที่รู้กันว่ามือของเขานั้นมีอสรพิษนับสิบ​ งูเหล่านี้ปล่อยพิษย้อนกลับไปหมายจะทำร้ายเจ้าของวิชาทั้งสองให้บาดเจ็บเจียนตายด้วยเนื่องจากวิชาที่ทั้งสองใช้เป็นวิชาเชื่อกับด้ายผูกกาย​ โดยทำไปพร้อมๆกับหางเงือกที่ตวัดกวาดธาราเตโชเข้ามาท่วมพื้นที่ด้านล่าง​ ดูด้วยตาเปล่าแล้วลำพังอินทุสินธุ์​ก็ไม่รู้จะเอาอยู่หรือไม่​ ทีนี้จะข้ามไปเอาของวิเศษได้อย่างไรกัน​ ทั้งสองคนสลัดตัวออกจากด้ายแดงทันก่อนจะถูกพิษแต่ก็ได้รับบาดแผลจากความรุนแรงก่อนหน้านั้น​ ผู้รักษาทำลายโซ่เหล่านั้นลง​ เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่สุริยะใช้กุณโฑอินทุสินธุ์​โยนขึ้นกลางอากาศระหว่างภูเขาทั้งสองลูก​ แต่ด้วยความไวของเขาก็ขัดขวางน้ำนั้นได้​โดยหารู้ไม่ว่าภาชนะที่ใส่ก็เป็นน้ำนั้นอยู่แล้ว​ พิษในตัวอสรพิษเหมือนถูกแช่แข็งจนเขาขยับมือไม่ได้​  จึงใช้หางฟาดทำลายภูเขาร้อนลงให้มาช่วยละลายความเย็นที่มือของ​เขา​ โดยปีกก็เริ่มพัดไปมาประคองตัวเขาไว้ เส้นผมที่เหมือนจะอยู่เฉยแท้ๆก็คอยยืดความยาวเข้าไล่จับคนในภูเขาเย็นไปด้วย​ ขอแค่ไม่ถูกน้ำก็คงไม่เป็นไร​
"น่าจะได้แล้ว" แสงสุรีย์​คิดได้จึงเร่งไปรับอาวุธที่เข้ารูปสมบูรณ์​แต่ทว่าแรงกระเทือนในภูเขามีมากเธอจึงพลัดตกไปในใจกลางนั้น
"เป็นยังไงล่ะ​ ถึงข้าจะไม่ได้จัดการด้วยตัวข้าเจ้าก็ต้องตายเพราะความโง่เขลา​ เจ้าก็อีกคนอย่าคิดว่าจะได้เห็นเห็นแสงตะวันย่ำรุ่งเลย" เขาใช้เส้นผมไล่จับทั้งที่ก็ไม่เห็นแบบนั้น​ สุริยะก็ไม่มีทางเลือก​ ถึงมันจะหนาวเย็นขนาดนั้นตนก็ไม่รีรอที่จะกระโดดลงน้ำไป​ เส้นผมก็ต้องล่าถอยเพราะความเย็นจะเป็นภัยต่อนายตัว​ และแล้วภารกิจก็เสร็จสิ้นพร้อมกับมือที่กลับมาเป็นปกติของฑาะอรรณพ​
" ไม่คิดว่ามนุษย์​ไม่ครบส่วนพวกนี้จะมีฝีมือ​ ก็อย่างว่าล่ะไม่อย่างนั้นจะผ่านด่านมาถึงนี่ได้เหรอ  นี่ล่ะความโลภสุดท้ายก็ไม่รอด" เขากล่าวพลางมองภูเขาร้อนที่หักไปเสียตั้งครึ่ง​ แต่ก็ดีที่ว่าตอนนี้ธาราเตโชเยอะจนเป็นเกือบเท่ามหาสมุทร​แล้ว​ ตนก็พลอยชุ่มชื้นไปด้วย
มีสุขเพียงครู่ก็ต้องพักเสีเพราะไม่ได้เป็นตามคาดขนาดนั้น​
แสงสีส้มประกายขึ้นมาจากน้ำทะเลเพลิงราวกับห่อหุ้มคนไว้ไม่ให้รับอันตราย​
"เราต้องขออภัยจริงๆ​ที่ไม่สามารถสิ้นชีพไปตามที่ท่านคาดหวังได้" เสียงพูดของสตรีที่ไม่ได้ยินมาเสียพักใหญ่ก็กลับมาอีกครั้งด้วยใบหน้าที่สงบของพระธิดาวันพฤหัสบ​ดี
"เจ้า... เจ้าก็คือคนเดียวกับสตรีหน้าเสียคนนั้นน่ะหรือ" เขาสงสัยใคร่รู้ว่าเมื่อครู่ก็กำจัดไปแล้วเหตุใดจึงมีอีกคนมีจากธาราเตโชได้
" ไม่ใช่เสียทีเดียว​ วันนี้ก็ได้อาวุธวิเศษคืนแล้ว​ พวกเราคงต้องขอตัวเสียก่อน" มันไม่ใช่ต้องมาเสวนาแล้ว​ มันหมดเรื่องที่ต้องทำที่นี่ต้องไปที่อื่นบ้างสิ
" ไม่ได้​!!!" เขาไม่พอใจเธออย่างมาก​
"สาธุสาธุ​ อย่าจองเวรกันเลย พวกเราต่างไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน" ภูมินทร์​ที่ออกมาจากน้ำที่เย็นจัดกลับพูดจาได้อย่างสงบนัก
"ถ้ามันง่ายขนาดนั้นก็ไม่ต้องมีก็ได้หรอก​ ผู้รักษาน่ะ" เขาว่าและก็ใช้ปีกพัดเอาภูเขาทั้งสองหลอมเข้าด้วยกันรวมถึงธาราเตโชด้วย​ ทั้งสามสิ่งรวมกันก็กลายน้ำวงกลมสีฟ้าสลับแดงขนาดยักษ์​เหนือตัวของฑาหะอรรณพ​ ด้านล่างเป็นพื้นล่างแห้ง​ไปหมด ภูมินทร์กับจินดาจึงเข้าร่วมรวมพลังตั้งรับ​ อีกฝ่ายซัดน้ำทั้งหมด
ลงมาด้านล่างหมายจะทำให้ทั้งสองจำนนต่อตนเอง​ วงกลมของน้ำได้เปลี่ยนลักษณะแผ่ไปด้านข้างเหมือนเป็นทะเลแหวกแบ่งสองข้างมีเพียงตรงกลางที่เหล่าหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์​อยู่นั้นไร้ซึ่งน้ำใดๆลงมารบกวนในการต่อสู้ครั้งนี้​ ฑาหะอรรณพอาศัยช่องว่าง​ใช้ใบหน้าที่เป็นทรายนั้นดูดดึงร่างกายทั้งสองเข้าไปด้านใน​ ที่แห่งนั้นก็เห็นเป็นห้วงความมืดที่มีดาวระยิบรับไปทั่ว​ มันก็คงจะเพลินเสียอยู่หรอกถ้าหากไม่ได้มีการต่อสู้อยู่​ ไม่ว่าจะปล่อยพลังเท่าใดก็คงแต่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามทรมานร่างกายเท่านั้น
"ต้องหาทางออก" ว่าแล้วจินดาก็ใช้พระฉายรัชตะส่องเห็นเป็นประตูเสียหนึ่งจึงพากันใช้พลังเปิดมันอออกไป​โดยนั่นก็คือจุดกลางของร่างกายอีกฝ่าย​ แสงพลังทะลุไปทั่วร่างจนทลายลงราวกับปราสาททรายหลงเหลือก็เพียงมุกเม็ดหนึ่ง​ ธิดาเมืองคีรีมาศหยิบขึ้นมาพร้อมยกให้พระโอรสแห่งรัตนบุรี​ ราวกับเป็นของขวัญแห่งความสำเร็จ
"กลับมาครั้งนี้สามารถ​รู้เรื่องที่ผ่านมาได้เลยโดยไม่ต้องอ่านบันทึก​ ช่างดีจริงๆ" ภูมินทร์​กล่าว
"ที่เรารู้เรื่องก็รู้สึกแปลกใจ​ แต่พวกเขาก็พยายามกันดีมาก​ ไม่เช่นนั้นก็คงไม่สำเร็จ" จินดากล่าวอย่างเข้าใจ
"เพราะได้ใช้กุณโฑลวงความสนใจจึงได้รับศิลามาไม่เช่นนั้นก็หาเพลาสวมใส่ไม่ได้เลย" จริงตามเขากล่าว​ ช่วงที่สุริยะโยนกุณโฑนั้นความสนใจของผู้รักษาก็มุ่งที่นั่นไม่ทันสังเกตว่าแสงสุรีย์ได้โยนศิลาที่แปลงมาจากเกราะกายสิทธิ์​ที่สมบูรณ์แล้ว​ด้วยเช่นกัน​ นับว่าเสี่ยงจริงหากโยนไม่ถึงกันหรือความสนใจของศัตรูคลาดเคลื่อนคงไม่ทันการ
" ต่อจากนี้พวกเราต้องคิดดีๆแล้วจะทำยังไงต่อไป" เธอกล่าวกับสหาย​ นั่นต้องใช้สติคิดอย่างรอบคอบ​ หากพลาดอีกไม่มีที่ให้แก้ไขแล้ว​ ทั้งสองจึงตัดสินใจเดินทางกลับท่ามกลางน้ำที่แข็งเป็นพื้นในตอนนี้เพื่อหาที่ที่สงบต่อการใช้ความคิดต่อไป


หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ตุลาคม 14, 2020, 06:43:50 PM
สัปดาห์​นี้มีกิจกรรม​นอกสถานที่กับชมรมค่ะ​ จักรกรดขอเลื่อนการอัพเดตนิยายเป็นสัปดาห์​หน้านะคะ​ ขออภัยผู้อ่านทุกท่านด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ตุลาคม 21, 2020, 09:45:08 PM
สัปดาห์​นี้ต้องจัดการเรื่องโปรเจคจบก่อนสอบปลายภาคค่ะจึงต้องขอเลื่อนไปอัพเดตนิยายในวันที่28ตุลาคม​ ต่อเนื่องเป็นแบบรายสัปดาห์จนถึงวันที่4 พฤศจิกายน​  และจะทำการเปลี่ยนรูปแบบการอัพเดตนิยายเป็นรายเดือนแทนค่ะเพื่อที่จะได้จัดสรรเวลา​ หาข้อมูลและจัดวางลำดับเรื่องให้ดีขึ้นค่ะ​ ขออภัย​ท่านผู้อ่านทุกท่านด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ตุลาคม 28, 2020, 09:01:11 PM

"ลูกแม่​จะเป็นอย่างไรก็ไม่อาจรู้ได้เลย" มเหสีผู้ได้รับความลำบากมาทั้งวันจวบจนกลางคืนเพิ่งจะมีเวลาพักกกายา​ ไม่มีสิ่งใดทำจึงมองดวงจันทร์​บนท้องนภารำลึกนึกถึงลูกยา  ใจคนเป็นมารดามีหรือจะไม่ห่วงบุตรของตนที่ชะตาพลิกผันอยู่เสมอ​ ดวงตาก็มีน้ำคลออยู่ไม่หาย
"มันจวนจะถึงเพลานอนแล้วมามัวแต่ชมจันทร์​รื่นรมย์​ราวกับยังเป็นมเหสีอยู่ได้​" เสียงที่ไม่พอใจของคนครัวเข้ามาขัดความคิดของเธอจนต้องดึงตัวเองมาพบกับปัจจุบัน​ตรงหน้า
"เราไม่ได้หาความสำราญ​ ขอท่านอย่าคิดเช่นนั้นเลย" เธอพยายามอธิบาย
"อย่ามาอ้างเสียหน่อยเลย​ เวลาจะนอนไม่นอนกะจะคร้านไม่ทำงานวันพรุ่งนะสิ​ ไปตักน้ำมาไว้ทำครัวเสีย​แล้วเข้านอน" คนครัวหญิงมิอยากฟังคำแก้ต่างยกหน้าที่ให้ทำเสียให้จบๆไป
"แต่ว่าหน้าที่นี้.."มันมีคนนำน้ำมาให้ตามเวรตลอดมิใช่รึเหตุใดจึงถืิอโอกาสมาสั่งตนเช่นนี้เล่า
"รู้ว่าจะพูดอะไร​ ได้ยินมาว่าแม่เจ้าเป็นคนแบกหามตักน้ำมิใช่หรอกรึ​ เพลานี้คงจะเหลืองานตักน้ำสักสองสามเที่ยว​ อยากเจอก็ไปเจอ​ อย่าลีลาให้มันมากนัก​ ข้าไปนอนก่อนแล้ว​ อย่าช้านักนะ​ คนอื่นจะพาลว่าข้าได้" เธอกล่าวก็จากไป ถือว่าเป็นคนมีน้ำใจไม่น้อยเพียงแต่มิถนัดใช้วาจาอ่อนหวานก็เท่านั้น​ สไบทองเร่งไปพบกับพระมารดาในทันที
" เสด็จแม่เพคะ.. " ถือว่าโชคช่วยที่ทำให้ได้พบกัน​ หากคลาดอีกก็ไม่รู้ว่าจะพบกันเมื่อใด​ พวกนางกำนัลจากเมืองทิศพลก็ะพลัดทำหน้าที่ตักน้ำเวียนกันไปมาแทนเพื่อให้ระหว่างนี้จะได้พูดคุยกันได้สะดวก
" สไบทอง​ ลูกยังไหวใช่หรือไม่" อมรินทร์​ลูบใบหน้าของธิดาที่ซูบเซียวจากการทำงานครัวและความเศร้าใจ
"กายยังไหวเพคะ​ แต่ใจนั้นกังวลเหลือเกิน​" ถึงจะเชื่อว่าลูกไม่สิ้นชีพแต่อดห่วงถึงความปลอดภัยของลูกตนไม่ไหว​ ซ้ำยังต้องมาเห็นมารดามาอยู่ในฐานะลำบากเช่นนี้​ มีหรือว่าน้ำในเนตรจะไม่ไหลรินลง
" เอาเถิดหนาลูก​จงฟังแม่​ ความลำบากยากเข็ญที่เราเผชิญนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของโชคชะตาเป็นอนิจจาที่ไม่สูญหาย​ ชีวิตเหมือนตะเกียงถึงคราวดับมันก็ต้องดับ​ แต่อย่างไรเสียมันก็ยังเป็นตะเกียง​ การเศร้าโศกเสียใจมีได้แต่มากไปมิใช่เรื่องดี" เธอกล่าวพลางใช้หันถ์เช็ดน้ำตาให้ลูกหญิงอย่างอ่อนโยน
" เพคะ​ ลูกจะพยายามไม่คิดเรื่องนี้มาบั่นทอนกำลังใจมากเกินไป"เธอใช้มืิอจับหุ้มมือมารดาตอบรับ
" อย่างที่แม่พูดไป​ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรเราก็ต้องอยู่ต่อ​ แต่ไม่ใช่การอยู่เฉย" เพราะสไบทองถูกใช้ให้ทำงานครัวตลอดจึงเป็นไปได้ยากนักที่ตาหวานจะมาแจ้งข่าวให้ฟังได้​ วันนี้มีโอกาสจึงควรบอกเสียให้ทราบ
"  คืนเดือนดับต้นยามสามทิศหรดีพวกเราจะหนีไปยังถ้ำของหิ่งห้อยยักษ์​" เธอกล่าวข้างหูของบุตรีเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครได้ยินอีก
" แล้วพวกเราจะสามารถ​หนีไปได้หรือเพคะ" เธอเป็นห่วงความปลอดภัยของทุกคนจึงถามเพื่อความแน่ใจ
"แม่ไม่รู้ว่าจะสามารถ​หนีได้แค่ไหน​ แต่มันก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไร​ จะให้รอพวกหลานมาช่วยก็เกรงว่าจะไม่ได้เสียแล้ว" ถึงจะแอบหวั่นใจแต่ก็ต้องลงมือทำไม่เช่นนั้นก็ไม่รอดถึงฝั่ง
"เพราะเหตุใดการรอคอยถึงมิใช่ทางเลือกแล้วหรือเพคะ" เธอมีหวังจะพบหน้าลูกเท่านั้นมิต้องการทำอย่างอื่น
" ถึงจะไม่สิ้นเชื้อสาย​ พวกเขาก็ต้องเผชิญอุปสรรคจากฝั่งนั้น​ เขาเป็นถึงเทพเทวามิอาจจะยอมให้มนุษย์​ธรรมดามาเอาชัยไปได้​ ถึงอย่างนั้นพวกเราก็ต้องหนีและกระทำสิ่งที่ถูกต้องต่อไป​ เมื่อรอเช่นนี้ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง" ที่เธอพูดมาก็ล้วนเป็นความจริง​ หากเอาแต่รอแล้วเมื่อไหร่จะหลุดพ้น​ ถึงแม้จะต่อกรไม่ได้มากแต่หาทางรับมือไว้ก็ไม่เสียหาย
" ได้เพลาพักแล้ว​ รีบพักเสีย​ หากพรุ่งนี้ใครชักช้าจะถูกโทษหนักมิละเว้น"เสียงประกาศจากผู้คุมให้รวมตัวกลับที่พัก​ จะต้องจากกันไปเสียแล้ว​ จึงวันทาก่อนลาจาก​ ถ้าหากสบโอกาสคืนเดือนดับก็อาจมีทางหนีไปได้


หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ พฤศจิกายน 02, 2020, 10:51:31 AM
เนื่องจากมีประกาศเลื่อนสอบปลายภาคของทางมหาลัยมาเป็นสัปดาห์​นี้​คาบเกี่ยวจนถึงสัปดาห์​หน้า​ จักร​กรดต้องขออภัยอีกครั้งที่ไม่สามารถมาอัพเดตนิยายต่อได้เพราะต้องแบ่งเวลาอ่านหนังสือให้แม่นยำและเข้าใจก่อนค่ะ​
จึงถือโอกาสเรียนผู้อ่านทุกท่านนะคะว่าทางผู้เขียนขอเปลี่ยนการอัพเดตนิยายเป็นเดือนละ1ครั้งค่ะ​ คือทุกวันที่14ของเดือนเวลา​ 20.20น.​ เริ่มทำการอัพเดตตามตารางคือวันที่14พ.ย.นี้ค่ะ​ ต้องขออภัยในการบริหารจัดการเวลาของจักกรดด้วยนะคะ w15
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ พฤศจิกายน 14, 2020, 08:20:08 PM
"มันก็ยังเร็วไปอยู่ดีที่จะกลับไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อในตอนนี้ ทางที่ดีเราไปเข้าเฝ้าเสด็จลุงวัศพลเสีย จะได้ไม่ต้องลำบากใจ"ลีลาวดีกล่าวกับตนเองระหว่างเดินทาง แทนที่จะกลับไปยังที่ของตน กลับนำตนไปยังบาดาลที่มีทิศตรงข้ามกันขนาดนั้นแทน ด้วยความที่ชำนาญเส้นทางลัด จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะสามารถเดินทางถึงที่หมายได้เร็วดั่งใจนึก เมื่อไปถึงก็เป็นช่วงเวลาราตรีแล้วแต่เหตุไฉนถึงได้มีคนมากหน้าหลายตามาชุมนุมอยู่ที่ท้องพระโรงในยามนี้ได้ ธิดานาคีฝ้ามองอยูด้านนอกโดยไม่เข้าไปร่วม เพราะอาจสร้างความไม่พอใจให้ผู้ที่ตนนับถือได้ แต่เมื่อสังเกตได้ครู่หนึ่งก็พบพระเชษฐาว่าเป็นหนึ่งในั้นด้วย
"ท่านพี่มาทำอะไรที่นี่ ไหนเสด็จพ่อให้อยู่จัดการเรื่องดูแลบาดาลใต้ให้ไม่ใช่หรอกเหรอ"เธอเห็นแล้วก็พึมพำกับตนเอง ครั้นจะแอบฟังเนื้อความสนทนาก็ได้ยินไม่ถนัดนัก
"เราเห็นว่าอานุภาพของเกราะเหล็กและสังวาลย์ศิลามีอำนาจการทำลายล้างได้ไม่ต่างจากสิ่งวิเศษของฝั่งตรงข้ามเลย นั่นทำให้เราเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะสามารถใช้เพื่อนำชัยมาให้นั้นไม่ใช่เรื่องยาก"พระเทวาวิษุวัตกล่าวถึงสิ่งวิเศษที่มีอยู่ในตอนนี้ขึ้นมาเพราะอาวุธสำคัญที่ตั้งใจช่วงชิงนั้นที่ไม่ได้ครอบก็ได้กำจัดทิ้งไปสิ้น มันอยู่นอกแผนการแรกเริ่มไปเสียหน่อย แต่ก็ยังดีที่มีของที่คิดว่าดีอยู่กับตัวเพราะมันก็สามารถใช้งานดั่งใจได้บ้าง
"ขอพระราชทานอภัยแก่หม่อมฉันด้วยพระเจ้าค่ะ  หากเป็นเช่นนั้นแล้วเหตุใดจึงมิให้ผู้สวมสังวาลย์ศิลามาร่วมการชุมนุมในครั้งนี้ด้วยหรือพระเจ้าค่ะ"ติณกฤตสงสัยจึงได้ขัด ที่แห่งนี้ผู้สวมสิ่งวิเศษมาร่วมฟังก็เห็นจะมีแต่บดิศรเท่านั้น ทั้งที่เรื่องสำคัญเช่นนี้ก็ควรจะมาเพื่อจะได้ปฏิบัติตามได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
"เรามองว่าคนอย่างอัคนินวู่วามไม่ทำตามคำสั่งของเราหลายครั้ง จึงไม่ให้เข้าร่วม และในอีกไม่นานเราจะนำสังวาลย์คืนมาแล้วมอบให้ผู้เหมาะสมตามที่เราเห็นสมควร"คำตอบจากองค์เทพ นั้นทำให้เขาเข้าใจ หากเขาเป็นที่วางใจก็ไม่ยากว่าผู้ครอบครองอาจจะเป็นตัวเขาเอง
"พาทีมากจนน่าสงสัย ไม่อยากจะเชื่อว่านาคที่เพิ่งตัดสินใจออกจากฝั่งตรงข้ามที่เป็นของบิดาตนเอง ปกติแล้วจะยังทำใจไม่ได้และสงบเสงี่ยมนี่"บดิศรที่เข้าร่วมประชุมได้สังเกตสมาชิกใหม่อย่างอดสงสัยไม่ได้ แทนที่จะทูลออกไปก็เลือกที่จะเก็บคิดไว้ใจแล้วหาข้อพิสูจน์เองน่าจะดีกว่า
"ปัญหาตอนนี้ที่สำคัญมีอยู่สองอย่าง หนึ่งคือเราไม่สามารถตามหาพระพี่นางเบญจเนตรได้ เราต้องใช้พลังของพระนางเพื่อความมั่นคงและมั่นใจว่าพระอินทร์อภิรักษ์เพชราจะไม่สามารถต่อกรกับเราได้รวมไปถึงการยืนยันต่อพระเทวาตรีมูรติ​ว่าที่ทำไปนั้นเพราะฝ่ายนั้นมีความผิดสมควรแก่การลงโทษ หากตามหาพระนางได้ก็จะง่ายต่อการทำสิ่งที่ต้องการ แต่นั่ถ้าไม่เจอจริงๆต้องหาวิธีอื่น"  พระเทวีพระองค์นี้ได้รับพรให้ช่วยรักษาป้องกันภัยจากมหาเทวาที่อาจจะมัวเมาในอำนาจจนศีลธรรมที่เคยกระทำมานั้นไม่อาจยับยั้งจิตใจได้อีกต่อไป
"อีกหนึ่งที่้พวกเราต้องจัดการคือพญานาคราชวิทวัส ผู้นี้รวบรวมพลเทพเทวีที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อเรา เพื่อรอการกลับมาของเทวราชา หากไร้ซึ่งพวกนี้การที่จะได้ตแหน่งอันควรจะเป็นของเรานั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากเช่นกัน"
"ใครจะไปยอมให้เป็นอย่างนั้นกัน"โอรสาแห่งวิชชุนาคราชลอบคิดอยู่ในใจขณะที่ฟังแต่ก็ไม่ลืมที่จะแสร้งแสดงท่าทีเห็นพ้องต้องกัน
"หม่อมฉันเห็นสมควรว่าต้องจัดการกองหนุนสำคัญของวิทวัสเสียก่อนพระเจ้าค่ะ นั่นก็คือวิชชุแห่งทิศทักษิณ กับวิศรุตแห่งทิศประจิมอนุชาทั้งสองของหม่อมฉัน"วัศพลนาคราชออกความเห็น
"เราก็เห็นสมควรเช่นนั้น นี่เป็นงานแรกที่ต้องจัดการ ท้าววัศพลจงมุ่งไปยังบาดาลประจิมทิศ ติณกฤตมุ่งไปจัดการที่บาดาลทักษิณ " อย่างนี้ก็เท่ากับว่าจงใจให้ลูกไปทำรายพ่อตนเองน่ะสิ
"ข้าแต่พระองค์ หม่อมฉันไม่คิดว่าติณกฤตจะทำได้นะพระเจ้าค่ะ ยังไงวิชชุก็เป็นบิดา เรื่องเช่นนั้นมันจะ...." นาคราชแดนเหนือไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไหร่ ถ้าหลานชายทำใจไม่ได้ก็เสียแผนกันพอดี
"หลานไม่เป็นอะไรหรอกพระเจ้าค่ะ เมื่อตั้งใจจะรับใช้พระเทวาแล้วไม่ว่าจะเป็นพระประสงค์สิ่งใด หลานก็จะทำโดยไม่นึกเสียดายเลย" เป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้ หากจะเอาใจเขามาก็ต้องกล้าที่จะทำตามอย่างไม่มีเงื่อนไขถึงมันจะไม่ดีต่อจิตใจตนเท่าใดนัก แต่เพื่อให้สิ่งที่หวังไว้สำเร็จก็ต้องเสี่ยงดู
"เราขอบใจท่านมาก หวังว่าจะทำได้ตามที่กล่าวไว้ ส่วนบดิศรเรานึกถึงเรื่องสิ่งที่จะทำให้สิ่งวิเศษคืนสภาพได้ จำเป็นจะต้องใช้งานอัคนินอีกครั้งก่อนทำการผลัดเปลี่ยนผู้สวมใส่ จงเดินทางสู่เขตแนวอสุราที่๓พร้อมกับอัคนินเพื่อใช้ปราพกสินธุ์​จากภูเขาร้อน​ แต่ก่อนหน้านั้นเราขอให้ถามคำถามเรื่องการมีอยู่ของพระเทวีเบญจเนตรให้ดีกับศิลาพยากรณ์​"
"พระเจ้าค่ะ"บดิศรรับคำ​ นี่ตนต้องเดินทางไปกับทำภารกิจร่วมกับคนอย่างอัคนินอีกแล้วหรือนี่​ แต่มันก็เลี่ยงไม่ได้​ ให้ถือว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะร่วมงานเพราะจะได้เปลี่ยนผู้สวมใส่คนใหม่เสียที
"เราจะลองตามหาพระพี่นางด้วยตนเองอีกสักครั้ง​ วันที่ดอกปาริชาติบานขอให้มาชุมนุมกันอีกที" จบคำพระเทวาก็เสด็จยังที่อื่นทันทีมิได้พำนักค้างคืนที่บาดาลเหนือต่อไป
"รับด้วยเกล้าพระเจ้าค่ะ​"เหล่าบริวารรับคำแล้วแยกย้ายไปที่ของตน​ ส่วนผู้มีหน้าที่โจมตีเหล่านาคราชทั้งสองนั้นต้องปรึกษากันให้ดีและพักผ่อนให้เต็มที่เสียก่อน​
"ลีลาวดี​ หลานจะอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม"เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครเห็นจนเปิดปากพูดเรื่ิองนี้​ วัศพลนาคราชก็เรียกผู้ที่แอบฟังให้ออกมาเพื่อเจรจา
"เสด็จลุงเพคะ​ เรื่องที่ว่าจะจัดการทำลายวังบาดาลอื่น​จะทรงกระทำการนั้นจริงๆหรือเพคะ​"ไม่มีเหตุผลที่ต้องหลบอีกต่อไป​ เธอทวนสิ่งที่เธอได้ยินมาอีกครั้ง​ การกระทำเช่นนี้กับสายเลือดเดียวกันมันจะดีแล้วหรือ​ หนึ่งในนั้นก็เป็นสถานที่ของตนด้วย
"ฟังลุงให้ดีนะลีลาวดี​ การกระทำเช่นนี้นับเป็นการดีแล้ว​ พระเทวาก็ทรงเห็นด้วยกับการนี้​ พวกเราไม่ได้สังหารเพียงแค่ทำให้พวกเขาไม่มาขัดขวางเพียงเท่านั้น"​ ในขณะที่พูดตัวเองก็ใช้มือของตนลูบศีรษะ​ของธิดาอนุชาเป็นเชิงปลอบโยนแต่แฝงด้วยเลศนัย​ เพียงครู่หนึ่งเธอก็มีอาการแน่นิ่งและดูเชื่อฟังขึ้นมา
"หลานก็เห็นว่าน่าจะเป็นผลดีเพคะ "ดวงตาที่มีความเลื่ิอนลอยนั้นดูเริ่มมีความเป็นธรรมชาติขึ้นเหมือนเป็นปกติดีแต่แอบแปลกไปจนผู้เป็นพี่อดสงสัยไม่ได้
"เสด็จพี่ก็ทำตามหน้าที่ไปเถอะ​ น้องจะไปช่วยเสด็จลุงอีกแรงเพื่ิอสนองพระโองการ "คำเรียกแทนตัวนั้นแปลกไป​ ทั้งที่แต่ก่อนนั้นก็ท้วงเองว่ามันห่างเหินมิใช่หรือ
"เป็นเช่นนั้นพี่ก็สบายใจ" จะสบายได้อย่างไรกัน​ ขนิษฐา​เธอนั้นจะเข้าร่วมทั้งที่ไม่ได้มีแผนตลบหลังเลยด้วยซ้ำ​ อีกทั้งดูเหมือนว่าจะเต็มใจเสียเต็มเปี่ยม
"เช่นนั้นก็พักผ่อนเสียเถิด​ ยังมีเรื่องที่ต้องเตรียมตัวอีก​มาก​ เร็วที่สุดอาจจะเป็นหนึ่งถึงสองวันนี้แล้วจึงแยกย้ายไปตามที่ได้รับเอา"กล่าวจบท้าวท่านก็เสด็จยังที่บรรทม​ปล่อยให้พี่น้องได้พูดคุยกัน
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 14, 2020, 08:01:35 PM

"ลีลาวดี ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ แล้วสองคนนั้นล่ะ" เขาถามน้องสาวทันทีหลังจากอีกบุคคลได้ออกจากท้องพระโรงด้วยเสียงที่เบาพอจยแน่ใจว่าจะได้ยินกันเพียงสองคน
"หม่อมฉันก็เดินทางมาจากเมืองของพวกเราน่ะสิเพคะ แล้วสองคนที่ทรงกล่าวถึงคือผู้ใดกัน"เธอได้ยินก็รู้สึกสงสัยในวาจาเพราะเท่าที่จำได้เธอก็เดินทางมาจากบ้านเมืองโดยตรง จะเอาเวลาที่ไหนมาพบปะผู้อื่นได้อีก
"ก็...ก็สายใจกับสายธารน่ะสิ ไปไหนมาไหนก็ไม่เคยห่างกัน" จริงๆเขาก็จะพูดถึงเจ้าของสิ่งวิเศษทั้งสองอยู่หรอก แค่รู้สึกไม่ชอบมาพากลเสียแล้วจึงแสร้งกล่าวถึงนางกำนัลคนสนิทข้างตัวของนางแทน
"พวกนางปากมากเกินไป เกรงว่าให้ติดตามมาด้วยก็คงไม่พ้นเอาเรื่องไปทูลเสด็จพ่อแน่ เสด็จพี่ก็ทรงทราบว่าเรื่องนี้สำคัญเพียงใด" ท่าทีเธอแข็งกร้าวขึ้น พูดอะไรก็ดูขัดกับความจริงที่ได้ไปเผชิญมา
"เอาเถอะ ตอนนี้ก็ดึกแล้วพี่ว่าเจ้าก็ไปพักผ่อนเสียก่อนดีกว่า" เขาไม่คิดจะกล่าวสิ่งใดต่อเพราะอาจเป็นการปล่อยข้อมูลสำคัญไปสู่ศัตรู ถือว่ายังดีที่ลีลาวดีจำเรื่องที่ผ่านมาไม่ครบถ้วน ไม่เช่นนั้นเรื่องการที่ยังมีชีวิตอยู่ของทั้งสองคนนั้นต้องไปถึงพระกรรณของพระเทวาวิษุวัตเป็นแน่
"เพคะ หม่อมฉันทูลลา" เธอแยกตัวออกไปในทันทีเพรารู้สึกเสียเวลาที่ต้องมาพูดเรื่องอื่นที่ไม่ใช่การรับใช้พระเทวาที่ตนเคารพ
"การที่นางแยกตัวออกมาก็มีสองอย่างคือทิ้งซึ่งหน้าที่ไม่ก็คงส่งคนเข้าเขตแนวอสุราได้แล้ว ถ้าเอาตามจริงนางคงไม่คิดจะอยู่จนสำเร็จแน่ ไม่รู้ว่าสองคนนั้นจะเป็นเช่นไร "เขาคิดในใจอดห่วงใยสหายไม่ได้ จะไปตามดูให้รู้ก็เกรงว่าจะไม่ทันเวลากลับมาอาจทำให้อีกฝ่ายไม่วางใจในตน ทั้งน้องสาวก็มาเป็นอย่างนี้อีก ต้องหักห้ามใจให้เย็นลงคิดหาวิธีรับมือต่อไปจะดีกว่า
..........
หลังจากที่เดินทางออกจากเขตแนวอสุราที่สาม ตอนนี้ก็ได้กลับสู่เขตแนวอสุราที่สองเสียที่แต่ทว่าที่ที่ออกมาพบนั้นเป็นทุ่งดอกไม้ที่รวมตัวเรียงกันเป็นวงกลมวางเป็นเกาะกลางแม่น้ำที่ล้อมรอบแทน
"ตอนที่เดินทางมาที่ที่สองคนนั้นเจอ เราจำได้ว่าที่แห่งนี้ใกล้เคียงกับความแล้งมีต้นไม้ไม่กี่ต้นหาได้มีพืชพรรณที่พื้นไม่"จินดาที่รับรู้เรื่องราวผ่านทางจิตวิญญาณกล่าวขึ้นเมื่อพบว่าสภาพแวดล้อมได้ต่างไปจากเดิมมาก
"จริงอย่างที่ท่านว่า ตอนนี้ก็ไม่เห็นต้นไม้ใดๆมีเพียงทุ่งดอกไม้เท่านั้น อีกทั้งแม่น้ไม่ด้เป็นสายแต่ล้อมรอบแทน บางทีอาจเป็นเพราะที่นี่คือเขตแนวอสุราจึงเปลี่ยนสิ่งที่ผู้เดินทางพบเจอไปเสมอ " ภููมินทร์กล่าวตอบ ก็จริงอย่างที่เขาว่า เพราะสภาพแวดล้อมของเขตแนวอสุราจะปรับเปลี่ยนไปตามความเหมาะสมต่อผู้มาเยือนยกเว้นเขตแนวที่สามที่คงสภาพเดิมไว้จนกว่าใครที่ไปเยือนจะทำให้มันเปลี่ยนแปลง
"เราก็เห็นเป็นเช่นนั้น...เรื่องที่พวกเราจะต้องจัดการต่อเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ที่พระเทวาวิษุวัตต้องการกำจัดเกราะกายสิทธิ์และสังวาลย์มณีก็เพื่ิอทำการใหญ่ นี่ต้องเกี่ยวข้องกับพระเทวราชาเพราะเมื่อสิบปีก่อนหน้าที่ช่วงชิงไม่สำเร็จด้วยพระบารมีของพระอินทร์ทรงห้ามการกระทำครั้งนั้นไว้ " เธอเข้าเรื่องสำคัญต่อเพราะนี่ไม่ใช่แค่ความขัดแย้งในอดีตของศรุตเทพแต่เพียงผู้เดียวอีกต่อไปแล้ว
"คราวนี้ไม่ได้ครอบครองก็คิดทำลายแทน อาจเป็นเพราะมีเกราะเหล็กกับสังวาลย์​ศิลาแล้ว  แต่ก่อนจะรวมพลังสู้กันก็ลวงให้พวกเราใช้พลังต่อสู้กันเอง นั่นก็เพื่อที่จะทำลายได้ง่ายขึ้นสินะ  เป็นไปได้ว่าถ้าอาวุธของทั้งสองคนนั้นต่อสู้ทำลายกันเองก็คงมีผลไม่ต่างจากของพวกเราเท่าไหร่นัก" เขา​วิเคราะห์​จากเหตุการณ์​ที่ผ่านมาดู ถ้าคนพวกนั้นไม่ทำแบบนั้นทั้งคู่คงไม่ต้องเดินทางมาถึงที่นี่หรอก
"ก็เป็นไปได้  แต่ก่อนหน้านั้นที่จะทำอะไรต่อไปเราเห็นสมควรว่าจะต้องไปแก้อักษรสาปจากแม่มดเกลียวทองเสียก่อน"ก็จริงอย่างที่ว่านั่นเป็นเรื่องที่ควรจัดการก่อนเป็นอันดับแรกเพราะถือว่านั่นคืออุปสรรค  จะทำอะไรก็ลำบาก  หากใช้ฤทธิ์​เดชขึ้นมาอีกฝ่ายรู้ว่ายังไม่สิ้นคงจะดิ้นด้นค้นหาตามทำลายเป็นแน่
"ใช่แล้วเราควรจะแก้อักษรสาปเสียก่อนทำการอันใด ต้องเดินทางไปยังเมืองรัตนบุรีต่อ ทางที่ดีเราควรที่จะไปขอบพระทัยท้าววิชชุนาคราชก่อนแล้วจึงเดินทางต่อไป" เขาออกความเห็นเพราะคนที่บอกให้รู้เรื่องพวกนี้แล้วทำให้พวกเขากลับมาคือพญานาคแห่งบาดาลใต้
"เพลานี้ก็ดึกมากแล้ว  อีกทั้งต่างก็ใช้กำลังต่อสู้มาพอสมควร พวกเราพักกันก่อนดีกว่าวันถัดไปจะได้มาแรงเดินทาง" ว่าแล้วเธอก็หาที่พักว่างๆท่ามกลางทุ่งดอกไม้นั่นเสียแล้วจึงนั่งสมาธิตามแบบที่ตนถนัด และนับว่าเป็นการพักผ่อนที่ผ่อนคลายที่สุด  เขาที่เห็นสหายทำเช่นนั้นก็นั่งสมาธิเป็นเพื่อนไม่ต่างกัน

รุ่งเช้าแสงแห่งอรุณก็ได้สาดส่องลงมาทำให้ผู้สวมใส่สิ่งวิเศษ​ทั้งสองผลัดเปลี่ยนเวียนมาเป็นพระโอรสและและพระธิดาแห่งวันศุกร์แทน
"เรารู้นะว่าเจ้าตื่นแล้ว  รีบลุกขึ้นมาจะได้ออกเดินทาง"ประกายพฤกษ์​เรียกอีกคนที่เอาแต่นั่งสมาธิแน่นิ่งเหมือนไม่ตื่นจากภวังค์​ พร้อมที่จะเดินทางต่อเต็มที่แล้ว "ให้เราพักอีกสักหน่อยสิ เรานะปวดตัวมากเลยไม่รู้ว่าจินดานั่งสมาธิท่าไหนถึงได้้ปวดตัวขนาดนี้"ศุภลักษณ์​เปลี่ยนท่าพักให้สบายขึ้นก็เพียงแค่จะท่วงเวลาให้อยู่ท่ามกลางดอกไม้แม้จะชั่วคราวก็ตาม
"มัวแต่ชักช้าแล้วเมื่อไหร่จะได้แก้อักษรสาปล่ะ  เจ้าอย่าเอาแต่ขี้เกียจนักสิ  ลุกขึ้นมาเลย! "เธอเท้าสะเอวยืนจ้องหน้ามองคนที่นั่งอยู่อย่างนั้น เขาก็ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือส่งไปให้อีกคน
"ช่วยดึงเราขึ้นไปหน่อยสิ" เขามองอย่างนั้นก็ชอบกลอยู่
"คนอะไรลุกเองก็ไม่เป็น" เธอบ่นพลางยื่นมือไปรับดึงขึ้นมา อีกคนก็ถือจังหวะลุกแล้วทำเป็นทรงตัวไม่อยู่เพื่อจะถือโอกาสใกล้ชิด  แต่เธอรู้ทันก็เหวี่ยงอีกคนแล้วปล่อยมือถีบส่งเสียเพื่อแกล้งกลับ
"โอ๊ย!! เราเจ็บนะ" เขาท้วงการกระทำของเธอเมื่อครู่ ดูท่าจะลงแรงไม่น้อย  ได้ปวดตัวจริงๆก็คราวนี้
"ก็เห็นว่าอยากปวดตัวพอดีนี่  อีกอย่างเราก็รู้ว่าเจ้าน่ะจอมฉวยโอกาส  เมื่อครู่เราไม่ทำให้บาดเจ็บมากก็ดีเท่าไหร่แล้ว คราวนี้จะไปได้หรือยัง" เธอทวงต่อไม่รอให้อีกคนโต้ตอบมากนัก
"เกลียดนักคนรู้ทัน.. "เขาพึมพำกับตนเองก่อนจะตอบอีกคน
"ไปกันเถอะ เราตามใจเจ้าเลยนะ"เขาลุกขึ้นเตรียมพร้อมออกเดินทาง  แต่ก่อนจะได้ทำอะไรเสียงตีแม่น้ำลูกใหญ่ของปลาก็ได้มารบกวนพวกเขาเข้าให้แล้ว
"อะไรกัน!! ขากลับยังจะมีอุปสรรคอีกเหรอ" โอรสวันศุุกร์ที่โดนน้ำสาดกระเซ็นมาโดนตัวรู้สึกว่านี่ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลยขามาก็เสี่ยงอันตรายแล้วยังจะถูกทดสอบอะไรอีกงั้นหรือ
"เรามีหน้าที่  รับมือให้ดีก็พอแล้ว"ปลามีเขาตัวยักษ์​นั้นกล่าวขึ้นหลังจากคำของคนได้จบลง จากนั้นก็ใช้หางตวัดเอาน้ำมาสาดใส่เสียรุนแรงทำเอาคนสองคนทรงตัวบนเกาะดอกไม้แทบไม่อยู่ แต่หาได้มีเพียงน้ำที่เข้ามาโจมตีไม่ เพียงครู่เดียวเกาะดอกไม้เหล่านั้นก็นพลิกฝั่งกลับด้านล่างขึ้นมาบนปรากฏ​เป็นหนามแหลมหมายจะแทงบาทาให้บาดเจ็บ  ดีที่ว่าศุภลักษณ์​เป็นคนว่องไวจึงหลบได้ทัน  จะขาดก็แต่ประกายพฤกษ์​ที่กำลังจะหลบได้ต้องมาผิดจังหวะเพราะคนที่ล่วงหน้าไปก่อน
"ให้ตายเถอะ!! " ธิดาวันศุกร์ยังนึกได้ในยามคับขัน ทำให้เธอใช้อาวุธดาบที่ย่อส่วนติดตัวตนมาใช้ปักเป็นฐานยืนบนด้ามให้สูงจากหนามร้ายได้ระยะหนึ่งซึ่งก็พอที่จะทำให้อีกคนเข้ามารับทัน บุรุษขี่เมฆาลอยฟ้ามาพลางส่งมือดึงให้หญิงสาวขึ้นไปยังที่มั่นคง
"ขอบใจ.. "เธอกล่าวตอบรับการกระทำที่แสนจะมีน้ำใจของอีกคน  แต่ไม่ทันไรปลาตัวใหญ่ก็ได้กระโดดจากน้ำมาหมายจะใช้เขาที่ตัวทิ่มแทงคนทั้งสองบนเมฆนั่น  "เกือบไปแล้วไหมล่ะ"เขาเอ่ยขึ้นหลังที่หลบได้ เป็นอีกครั้งที่รอดได้อย่างหวุดหวิด​แต่ก็เกือบทำให้ทั้งสองเกือบตกจากเมฆลอยฟ้าแล้วไม่ได้ด้ายสีเลื่อมประภัสสร​ที่มีความแข็งแรงมากพันข้อมือขึงดึงกันและกันไว้
"เจ้าเอาด้ายมาพันเชื่อมกับเราไว้ทำไมกัน! "พระธิดาเธอท้วง มันจะเคลื่อนไหวได้ลำบากน่ะสิ คนนึงข้างพันซ้ายคนนึงพันข้างขวาชุลมุนขึ้นมาล่ะแย่แน่
"อย่าเพิ่งว่าเราเลย  ตอนนี้ต้องร่วมมือกันก่อน "จะทำยังไงก็ตัวไม่สามารถ​ห่างกันได้อย่างนี้
"อย่ามัวแต่สนใจอย่างอื่นสิ "ศฤงคมัสยาเตือนก่อนจะโจมตีขั้นถัดไป  ก็ถือว่าดีกว่าด่านก่อนๆที่ไม่ได้เตือนอะไรมุ่งจะโจมตีอย่างเดียว  ด้วยหางที่ตวัดอย่างรวดเร็วหลังคำกล่าวจบ เกาะพื้นหนามเหล่านั้นก็รวมตัวเป็นวัตถุทรงกลมแหลมกลมซัดใส่ทั้งสองช่างง่ายดายราวกับว่ามันคือลูกตะกร้อ​ที่เอาไว้ใช้เล่นเพื่อความเพลิดเพลินอย่างนั้น แต่ว่าคนที่โดนไม่สนุกด้วยน่ะสิ
"พวกเราแยกกันเถอะ" เขากล่าวกับอีกคน ถึงแม้จะไม่เข้าใจนักแต่เธอก็วิ่งแยกไปคนละทางกับเขาเพราะไม่มีเวลามาคิดแล้ว
"อย่างนี้นี่เอง"เธอที่วิ่งออกห่างได้รู้ว่าแท้จริงแล้วด้ายนี่มีความยืดหยุ่นไม่ได้ตึงขึงไว้กับที่แม้จะผูกกันอยู่นี่เอง  ลูกหนามใหญ่ได้เข้าตรงกลางระหว่างทั้งคู่ไปโดนกับด้ายนั่น  น่าแปลกนักว่าแทนที่เนื้อผิวด้ายจะนุ่มนวลเหมือนที่อยู่บนข้อมือคนแต่กลับคมบาดลูกหนามยักษ์เสียขาดเป็นครึ่งซีก  ไม่ต้องรอให้ชักช้า  คราวนี้ประกายพฤกษ์​รู้ว่าต้องทำอย่างไรก็วิ่งเอาดาบทำเป็นหมายจะเข้าทิ่มที่ลำตัวของปลาใหญ่  อีกฝ่ายเห็นดังนั้นก็ได้ใช้ครีบมากันโดยที่ศุภลักษณ์​ก็ใช้ความไวเข้าพันรอบตัวปลาเสียให้วุ่นโดยยังไม่ให้โดนผิวกาย  ธิดาเมืองรัตนบุรีได้ทีหลบการตอบโต้ก็เข้าร่วมกันพันด้ายไปด้วย ผู้ถูกพันด้ายก็รู้ได้แต่สายเกินเพียงไม่กี่พริบตาด้ายก็รายล้อม​รอบตัวเขาจนจะประชิดผิวกายให้ระคายเคืองอยู่แล้ว
"ยอมแพ้เถอะน่าถ้าไม่อยากเป็นปลาถูกหั่น "โอรสเมืองคีรีมาศกล่าวตามแบบฉบับคนติดการยั่วโทสะอีกฝ่าย
"ทำไมเราจะต้องยอม "ทายาทปลาที่ว่าครั้งนึงเคยลากเรือเมื่อคราวน้ำท่วมใหญ่น่ะหรือจะยอมแพ้ง่ายๆถึงตัวจะขยับไม่ได้ก็ตามที เจ้าของร่างที่ครึ่งหนึ่งของกายอยู่ใต้น้ำได้ตั้งจิตแน่วแน่ส่งพลังไปยังเขาที่ตั้งบนหน้าผากของตนก่อเกิดลำแสงที่ผ่าสายฟ้าไปด้านบน
นั่นเป็นการเรียกฝนกรดให้ตกลงมาหมายจะทำลายชีวิตตนไปพร้อมกับศัตรู
"พวกเราก็ตายไปด้วยกันนี่ล่ะ" ปลายักษ์​เจ้ากล่าวพลางคิดว่าได้ทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่แล้ว  ทั้งสองไม่ทางเลือกจำเป็นต้องดึงด้ายตึงขึงให้ร่างกายเจ้าของฝนกรดได้รับบาดแผลลึกจนโลหิตหลั่งไหลเป็นสีเลื่อมพรายโดยพยายามไม่ให้ร่างกายขาดสะบั้นในทีเดียวนั่นส่งผลให้อีกฝ่ายทนพิษบาดแผลไม่ไหวจนสลบแน่นิ่งก่อนที่จะพากันลงยังใต้แม่น้ำไป  โชคยังดีที่ฝนกรดที่ตกลงมานั้นยังไม่มากพอจะกลบฤทธิ์ความเย็นใต้แม่น้ำใหญ่ได้ ทั้งสองส่งสัญญาณให้กันเป็นอันรู้ว่าปลดปล่อยปลาตัวนี้ไปก่อนแล้วรับมือกับฝนกรดที่กำลังเพิ่มความเข้มข้นในแม่น้ำนี่จะดีกว่า  เมื่อตกลงกันอย่างนั้นแล้ว ศุภลักษณ์​ก็ได้ว่ายไปเหนือน้ำใช้พลังจากสังวาลย์​มณีสร้างรัศมีกั้นชั่วคราวไว้ก่อนจริงๆก็ไม่เชิงว่ากั้นมิดปิดอันใด  มันเพียงช่วยให้อนุภาคของเม็ดฝนเล็กลงก็เท่านั้น ที่นี้ก็ยังได้รับบาดเจ็บน้อยลงแต่ก็เหมือนเข็มเล็กตกลงมากระทบสู่เนื้อให้มีเลือดซิบๆ
"หากเรายังมีวาสนาผดุงซึ่งความเป็นธรรมอยู่  ขอให้จิตเราตั้งมั่นพอที่จะกั้นฝนกรดนี้ด้วยเถิด" ว่าแล้วลำแสงสีครามก็ได้เปล่งแสงไปทั่วฟ้าด้านบนจนรัศมีแข็งแรงพอให้ฝนกรดสะท้อนกลับออกไปแต่ทว่าฝนกรดเหล่านั้นมันจะไปทำลายขอบกั้นเขตที่สองจนเห็นช่องว่างสู่แนวเขตที่หนึ่งกับสามเสียแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเขตแนวอสุราคงจะหลอมรวมกันจนเหลือเพียงหนึ่งเดียวเสียกระมัง
"หากความจำของเรานั้นไม่ผิดเพี้ยนไปจากเดิม  ที่แห่งกำลังกลับด้านอยู่ฉะนั้นวิธีที่จะทำได้คือใช้ฝนช่วยดับฝน" เมื่อคิดในใจได้เช่นนั้นประกายพฤกษ์​ก็ได้ใช้พลังจากเกราะกายสิทธิ์​เรียกเอาแม่น้ำที่ตนกำลังดำอยู่ตอนนี้นั้นให้กลายเป็นฝนโดยทันที แน่นอนว่าเมื่อทำอย่างนั้นแล้วน้ำไม่ได้ตกลงสู่ด้านล่างแต่ได้ย้อนกลับไปขึ้นสู่ด้านบนแทน  เวลาผ่านไปนอกจากจะช่วยให้ฝนกรดหยุดตกแล้วยังช่วยให้ร่องรอยที่ขาดจากกันของเขตแนวทั้งสามกลับมาสมบูรณ์​ดังเดิม
"เป็นยังไงบ้าง" ผู้เป็นสตรีได้เข้าไปดูอาการสหายที่ผูกด้ายเลื่อมประภัสสรด้วยกันนั้นดู เพราะตอนนั้นเห็นมีเลือดไหลออกจากกายอยู่เนืองๆ
"ไม่เป็นไร  ขอบใจที่เป็นห่วงเรานะ" อาการของบุรุษผู้นี้ดีขึ้นจากฝนของเธอนั่นล่ะแต่ก็อดไม่ได้ที่จะส่งรอยยิ้มที่เอ็นดูกลับไปด้วยเพราะรู้ว่าอีกคนห่วงตนหาใช่เพียงถามเพื่อเป็นมารยาทของคนร่วมทางไม่
"ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว.. แต่ว่าศฤงคมัสยาล่ะหายไปไหนแล้ว" เพราะไม่ทันสังเกตเลยคลาดสายตาไปชั่วขณะ  ตอนนี้ปลาร่างยักษ์​ได้หายไปเสียแล้วสิ
"เราเกือบที่จะทำเรื่องใหญ่เข้าให้แล้ว" อยู่ดีๆก็มีเทพบุตร​เดินออกมาได้อย่างสะดวกไม่มีแม้กระทั่งบาดแผลใด จากคำพูดก็คงไม่ต้องเดาว่าเขาก็คือศัตรูที่ต่อสู้กัยเมื่อครู่นี้
" เราต้องขออภัยพวกท่านด้วย  เราเพียงกระทำตามหน้าที่ ด้วยหน้าที่นี้เราได้รับพรมาข้อหนึ่งว่าหากจวนตัวแล้วให้ใช้พลังทำให้เกิดฝนกรดแล้วที่แห่งนี้เป็นศิลาทั้งหมด.." เขาเริ่มเล่าเรื่องที่ว่านั่นมันเป็นเหตุผลที่เขาจะต้องใช้ขั้นสุดท้ายมาบอกกล่าว
"พอที่แห่งนี้เชื่อมต่อกันและเป็นศิลาทั้งก็จะสามารถ​ตัดขาดแดนอสุรากับแดนมนุษย์​ไปอีกหมื่นปีเพราะใครก็ตามที่ผ่านที่แห่งนี้ไปก็จะไม่ใช่การผจญภยันตราย​แต่เป็นการถูกสาปให้เป็นหินแทน" วิธีนั้นก็นับว่าน่าใช้ในการกั้นเขตดีอยู่แต่ว่ามันจะไม่โหดร้ายเกินไปหน่อยหรือ
"แต่ท่านก็เกือบจะทำให้มันเป็นจริงแล้ว  เพียงแค่ตนเองจะถูกทำให้ฉีกขาดถึงกับต้องใช้วิธีนี้" โอรสเธอกล่าวเมื่อได้ยินเช่นนั้น  มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าถึงขนาดนี้เลยนี่นา
" เราคิดว่ามันจะดีที่สุดน่ะสิเพราะด้ายนั่นพระมหาดาบสสุรดิษได้เคยใช้ในการข้ามไปถึงยังแดนอสุราแล้วมาที่มนุษยโลกอย่างง่ายดาย หากผู้ใดได้ใช้มันอีกก็คงจะวุ่นวายไม่น้อยแน่ แต่ก็ดีแล้วที่เป็นท่านทั้งสอง ต่อจากนี้ชะตาของมนุษยโลกและสวรรคโลก​คงจะวางใจให้พวกท่านดูแลได้" เขามองทั้งสองอย่างถี่ถ้วนอีกครั้งคราวนี้สีหน้าดูวางใจและเป็นมิตรมากเสมือนกับว่าเขานั้นนรู้จักทั้งสองมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
"พวกเราเคยเจอกันมาก่อนหรือไม่" ธิดาเธอถามขึ้นมา  ขนาดสุริยะยังเคยมีอดีตชาติ คนที่เหลือที่มาร่วมชะตาเดียวกันก็คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่
" แน่นอนว่าใช่  ตอนแรกเราก็จำมิได้หรอกตอนที่ต่อสู้กัน  เมื่อยุติมาพิจดูก็รู้แจ้ง ก่อนหน้าที่จะจุติท่านก็คือพระราชธิดาแห่งพระศุกร์ และท่านก็คือพระโอรสแห่งพระอัศวิน" เขายิ้มอย่างพึงพอใจที่ได้บอกไปเพราะทั้งคู่ก็เคยเป็นสหายของตนอยู่ ถึงจะไม่ได้อยู่ในสถานะเดิมแต่ก็เล็งเห็นความตั้งใจที่จะรักษาความสงบของโลกนี้ไว้ไม่เปลี่ยนแปลง
" จริงเหรอ แล้วเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ ทำไมพวกเราถึงมาอยู่ในร่างเดียวกันหลายๆคน อีกทั้งยัง..." เขาได้ยินแบบนั้นก็จะถามคำถามอีก เทพบุตรยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้พอก่อนจะดีกว่าเพราะนี่ก็กินเวลามาพอสมควรแล้ว
"เรื่องนี้คงเหลือเพลาเล่าไม่มากเท่าใด ทางที่ดีที่สุดก็คือให้สูดกลิ่นดอกปาริชาติ​ที่จะเบ่งบานบนสวรรค์​ในวันที่ต่อหลังจากคืนเดือนดับ พวกท่านก็จะจำได้เอง เราก็ต้องไปเฝ้าพระวิษณุ​กรรมด้วยหลังจากนี้ เนื่องจากพวกท่านได้ช่วยไม่ให้ที่แห่งนี้กลายเป็นแดนศิลาก็ขอให้เดินทางต่อไปโดยไม่ต้องเผชิญอันตรายใดอีกเลย"ว่าแล้วเขาก็เปิดทางให้ทั้งสองเล็งเห็นมหาสมุทร​สีชาดด้านนอกที่ตัดกับพื้นที่ท้องฟ้าที่กลับหัวกับน้ำสีวรรณะเย็น
" เราขอบใจท่านมาก" ประกายพฤกษ์​กล่าวต่อเทวาผู้รักษาเพราะอย่างน้อยเธอก็พอได้รู้อดีตชาติของตนจากเขา
" เราก็เช่นกัน  ก่อนจากกันขอทราบนามท่านได้หรือไม่" เขาถามสหายในอดีตชาติก่อนจะจากกัน
"เราคือชยทัต" จบคำตอบของอีกฝ่าย  ก็เหมือนลมพัดให้ทั้งสองคนหายไปทั้งๆที่อยู่ใต้ทะเล รู้ตัวอีกทีก็ได้มาถึงยังวังบาดาลใต้เสียแล้ว

หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มกราคม 14, 2021, 08:00:20 PM
"มากันแล้วเหรอ" วิชชุนาคราชกล่าวเมื่อพบว่าคนทั้งสองได้กลับมาจากเขตแนวอสุราสู่ท้องพระโรงบาดาลใต้โดยได้สวมสิ่งวิเศษดังเดิมแล้ว
"พระเจ้าค่ะ ต้องใช้เพลาเสียหลายวันจึงได้คืนมาดังเดิม แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจใช้งานได้ทันทีตราบใดที่ยังมีอักษรสาปอยู่กับตัวเช่นนี้ได้พระเจ้าค่ะ"ลำพังเท่านี้ก็ไม่สบายเสียแย่แล้วยังจะด้ายเลื่อมประภัสสรมาคล้องทั้งคู่ไว้ไม่ให้ห่างไปไหนก็สร้างความลำบากใจแก่สตรีที่อยู่เคียงข้างกับบุรุษอีกคนมิใช่น้อยจนเจ้าแห่งเหล่านาคสังเกตเห็นได้
"เหตุใดจึงผูกด้ายไว้ด้วยกันเช่นนั้น ไม่นำออกเสียเล่าท่าน"เขาหันหน้าถามคนที่ดูท่าอึดอัดทั้งๆที่มันไม่น่าใช่เรื่องยากอะไร
"ด้ายนี้เกิดขึ้นได้เพราะมนตราของศุภลักษณ์เพคะ เขาเป็นคนสร้างขึ้นมาแต่ไม่รู้วิธีแก้จนถึงตอนนี้ก็ยังแยกกันไม่ได้เลยเพคะ"ถึงแม้ด้ายเส้นนี้จะยืดหยุ่นเรื่องความยาวก็จริงอยู่แต่จะให้ผูกกันตลอดชีวิตก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ
"เป็นความผิดของหลานเองพระเจ้าค่ะที่เอาแต่เรียนผูกไม่ยอมเรียนแก้เลยทำให้ไม่สามารถคลายมนตราได้"เขากล่าวเช่นนั้นด้วยสีหน้าที่เป็นกังกลแต่ก็ลอบกระหยิ่มยิ้มอยู่ภายในใจอย่างนั้น
"เอาเถิด ถึงจะแก้ไขไม่ได้ก็จริงอยู่แต่บางทีคนในวันถัดไปก็คงหาวิธีแก้ได้แน่ พวกท่านก็อย่าได้กังวลเสียให้มากเลย" ก็จริงดังว่าถึงวันนี้จะแก้ไขไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนวันอื่นจะไม่สามารถแก้ไขได้นี่
"เพคะ เรื่องนี้หากไม่มากเกินไปหม่อมฉันก็พอจะรอได้ หากแต่ว่ามีเรื่องสำคัญอีกมากที่ต้องจัดการ หากทรงมิว่าอะไร พวกหม่อมฉันก็จะขอทูลลาไปก่อนเพคะ"  เธอกล่าวเพราะไม่ต้องการให้เวลาล่วงเลยไปนานกว่านี้อีก
"ใจจริงเราก็อยากให้พักที่นี่เสียก่อน  แต่ก็มีเรื่องหลายอย่างที่รั้งรอไม่ได้เช่นกัน ขอให้พวกท่านรักษาตัวกันดีๆอย่าได้มีโพยภัยใดๆทำอันตรายต่อพวกท่านได้เลย"
"ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ/เพคะ"ทั้งคู่กล่าวพร้อมกันจากนั้นจึงได้ออกเดินทางโดยทันที
............................
เทพบุตรชยทัตได้เดินทางเข้าเฝ้าพระวิษณุกรรมเพื่อทูลเกี่ยวกับเขตแนวอสุรา จะได้หาทางแก้ไขต่อไป
"ครานี้สิ่งวิเศษทั้งสองได้กลับมาอีกครั้งหนึ่งแล้วเนื่องด้วยฤทธิ์แห่งปราพกสินธุ์  เขตแนวอสุราที่สามตอนนี้ก็เหน็บหนาวกว่าเดิมมากด้วยฤทธิ์เย็นของอินทุสินธุ์ เดิมทีเราคิดว่าน่าจะปล่อยให้ที่นั้นล้วนแต่มีความแข็งและเย็นไปรอบบริเวณ แต่ว่าหากปล่อยให้เป็นเช่นนั้นอาจถูกทำลายจากเหล่าอสุราเสียได้ง่าย"พระวิษณุกรรมตรัสเมื่อได้ทราบความเป็นไปตามคำทูลของเทวดาผู้รักษาที่แห่งนั้น ด้วยความไว้วางพระทัยของพระเทวราชาพระองค์ก่อนจึงให้เทพท่านนั้นช่วยดูแลสถานที่แห่งนี้ คอยปรับเปลี่ยนโครงสร้างอยู่เสมอเพื่อรับมือกับการมาเยือนของสิ่งต่างๆ
"เช่นนั้นแล้วเราจะให้ที่แห่งนั้นเป็นมหาสมุทรอีกขั้นหนึ่ง มีนามว่าสีตกุณฑ์" เมื่อกล่าวเสร็จก็ดลบันดาลให้เขตแนวอสุราที่สามนั้นแปรเปลี่ยนจากพื้นน้ำแข็งธรรมดากลายเป็นมหาสมุทรที่กลางวันนั้นจะมีความร้อนแรงราวกับไฟแผดเผา ส่วนกลางคืนนั้นให้มีความเย็นยะเยือกมิให้ผู้ใดผ่านที่แห่งนี้ไปได้อีกจนกว่าจะครบวาระการแบ่งดินแดนกั้นของพระอินทร์ท่าน ส่วนตัวของชยทัตนั้นก็มิคิดขอต่อรองไปทำหน้าที่อื่นจึงได้เดินทางไปรักษาดินแดนดังเดิม แต่ก็ไม่แน่ว่าเขาคงจะได้มีโอกาสช่วยเหลืออดีตสหายรักก็เป็นได้
....................
"พวกเราไปที่เมืองคีรีมาศกันก่อนดีกว่าเจ้าจะได้รู้ความเป็นไปของบ้านเมืองของเจ้าด้วย"ประกายพฤกษ์กล่าวเมื่อมาถึงริมหาดแล้ว
"มันจะไม่เสียเพลาจนเกินไปหรอกเหรอ"เขาค่อนข้างจะแปลกใจเสียหน่อยที่อีกคนยอมแวะสถานที่อื่นไม่เอาแต่จะมุ่งไปทำภารกิจอย่างเดียว
"เอาเถอะ เมื่อครั้งที่พวกเรายังเด็กก็ยังช่วยเหลืออยู่ที่บ้านเมืองของเราตั้งนานคราวนี้จะไปดูความเป็นไปเสียหน่อยก็ไม่น่าเสียหายอะไร หากไม่มีอักษรสาปที่ตัวของพวกเราล่ะก็เราก็จะช่วยเหลือเจ้ากลับเช่นกัน" ความมีน้ำใจของอีกฝ่ายทำให้โอรสวันศุกร์นั้นอดยิ้มมิได้ซ้ำยิ่งยิ้มไปอีกเมื่อได้ยินคำว่าพวกเราแบบนี้
"ขอบใจเจ้ามาก เอาเป็นว่าพวกเราไปกับเมฆาเลยเสียดีกว่าจะได้ไปถึงไวยิ่งขึ้น"ว่าแล้วก็ตั้งมือพนมเพื่อที่จะเรียกเมฆให้ลอยมา แต่ก็ต้องยั้งเมื่ออีกคนนั้นได้จับมือตนให้ลงจากการพนมเพื่อคัดค้าน
"เดี๋ยวก่อนสิื เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าไม่ใช้มนตราคาถาได้ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นการเรียกให้พวกนั้นมาตามพวกเราเจอ"เธอกล่าวขณะที่ยังจับมืออีกคนอยู่อย่างลืมตัว
"เอาเป็นว่าเราพอมีวิธี แต่ตอนนี้ต้องขอบางอย่างจากเจ้าเสียก่อน" เขามองมาที่เธอและมือข้างนั้นที่จับเขาไว้ เธอผละตัวออกอย่างเร็วก่อนที่จะถามไป

"อะไรล่ะ"ธานินทร์ที่ตามปัจจามาริมหาดนั้นก็ค่อนข้างไม่สบอารมณ์ที่อักสรสาปนั้นเอาแต่เรียกพวกเขาไม่หยุดหย่อน
"คราวนี้เจ้าก็รู้สึกไม่ต่างจากเรา ที่แห่งนี้เป็นอีกครั้งที่เรียกพวกเรามา บางทีอาจไม่ใช่ความผิดพลาดแต่อาจเป็นความจริงที่สองคนนั้นยังไม่ตาย ถ้าหากว่าไม่เห็นศพก็ไม่อาจวางใจได้อีกต่อไปแล้ว" เขากล่าวถูกต้อง เมื่อไม่เห็นร่างอันไร้วิญญาณของทั้งสองก็ไม่อาจแน่ใจได้อีกต่อไป มันไปไม่ได้หรอกที่มนตราของเกลียวทองนั้นจะผิดพลาดได้ถึงขนาดนี้
"ตามใจเจ้าเถอะ เร่งหาจะได้เร่งกลับ"เขานั้นไม่อยากเถียงอีกฝ่ายให้เสียเวลา ตัวก็ต้องรวบรวมกำลังพลตามพระบัญชายังต้องมาพะวงกับเรื่องของเจ้าของสิ่งวิเศษที่ถูกทำลายไปแล้วอีก มันช่างกวนใจเสียจริง
ทั้งคู่ท่องมนต์หาสิ่งี่อยู่ในทะเล สุดท้ายก็พบศพของคนทั้งสองด้วยสภาพที่ไม่น่าดูเท่าไหร่นัก
"นี่ไงเล่าคือศพของทั้งสองทีนี้เจ้าจะ...นี่เจ้าทำอะไร"ยังไม่ทันขาดคำ คนี่ดูจริงจังอย่างปัจจาก็เข้าพลิกศพที่ขึ้นอืดนั้น
"ทำแบบนั้นทำไมกัน น่าขยะแขยงจะตายไป"ธานินทร์มองดูผู้ร่วมงานเข้าจับศพที่ขึ้นอืดได้อย่างไม่มีทีท่ารังเกียจเช่นนั้นก็อดที่จะขนลุกไม่ได้
"เราอยากแน่ใจว่าทั้งคู่คือสองคนนั้นจริงๆ"สุดท้ายแล้วเขาก็พบร่องลอยอักษร{ว}ที่ปรากฏด้านหลังของทั้งคู่ เท่านี้ก็พอจะวางใจได้บ้าง  เพียงครู่เดียวเขาก็ร่ายคาถาฝังร่างทั้งคู่ไว้ให้เป็นที่ทาง
"ไม่เห็นจำเป็นจะต้องมีน้ำใจขนาดนั้นเลยนี่"เขาเห็นสหายทำเช่นนั้นก็ไม่เห็นจะเข้าใจเลยสักนิด
"เพราะไม่ได้ตายดีก็อาจจะมีห่วงก็ได้เจ้าก็รู้ว่าวิญญาณที่ถูกผูกด้วยมนต์ดำจะไม่สามารถมองเห็น บางทีที่พวกเราต้องมาที่นี่เพราะความทรมานของสองคนนี้ก็เป็นได้ อย่างน้อยๆก็ให้ทั้งสองคลายกังวลหมดทุกข์โศก ไม่ต้องรบกวนพวกเราอีก"เขาพูดเสียอีกคนหันหน้าหนีด้วยความไม่พอใจที่ไม่อาจขัดใจได้
"ถ้าย้อนเพลาไปได้เราจะไม่รับหน้าที่รับรู้ที่อยู่ของสองคนนี้หรอก นี่ก็เสียเพลามามากแล้วเราว่าพวกเราไปกันดีกว่า"ว่าแล้วทั้งคู่ก็หายตัวไปทำภารกิจต่อไป
........
"เจ้าว่ายังไงนะ พระเทวาวิษุวัติมีพระบัญชาให้ไปเขตแนวอสุราเพื่อรักษาเกราะเหล็กกับสังวาลย์ศิลา!!!"อัคนินทวนสิ่งที่ได้ยินจากบดิศรด้วยเสียงที่รับรู้ได้ถึงความไม่พอใจ แค่ทำให้ศัตรูของตนถึงแก่ความตายมันก็น่าจะเพียงพอแล้ว ยังจะต้องการอะไรจากเขาอีก
"ใช่  ห้ามขัดพระบัญชาโดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเราก็ไม่รับรองเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้" จากคำพูดจาของอีกคนนั้นไม่ค่อยจะดับความโมโหในใจเขาเสียเท่าไหร่นัก แต่ถ้าทำอะไรบุ่มบ่ามไปมันก็ไม่เกิดผลดีต่อเขาเป็นแน่ ก็ได้แต่ข่มใจรักษาเสียงพูดให้เป็นปกติ
"แล้วจะไปเมื่อไหร่ล่ะ" เขาถามเพื่อจะได้พอมีเวลาเตรียมตัวอีกสักหน่อย อย่างน้อยๆก็พอที่จะไม่ต้องทนคิกถึงหญิงที่ตนรักมากเกินไป
"วันนี้ มีอะไรก็เร่งจัดการให้เรียบร้อยอย่าได้ชักช้าเสียจนเสียเพลา" เขาพูดไปก็พลางมองแมวสีสวาทที่ผ่านหน้าไป แต่เจ้าของก็ไม่ได้สนใจเพราะมัวแต่สนใจในระยะเวลาที่น้อยเกินไปขนาดนั้น
"......ก็ได้ อีกสักพักเดินทางกันไปได้เลย" ถึงแม้จะไม่พอใจแต่ไม่อาจขัดใจได้จึงเร่งไปแจ้งมารดาในร่างองค์เหนือหัวเจ้าเมืองให้ทราบโดยทันที
............
อัญญานีครุ่นคิดถึงเรื่องในฝันเมื่อคืนวานที่อุทยานในเกาะแก้วผลึกนั้นช่างเสมือนกับความจริงเสียเหลือเกิน     ราวกับว่าตนนั้นเป็นคนคนเดียวกับอินทราณีตามที่เทพท่่านกล่าวอ้างก็ไม่ปาน
"อินทราณี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เราจะไม่ยอมพลัดพรากจากเจ้า จะรักเจ้าเพียงผู้เดียวเช่นนี้ตลอดไป" คำกล่าวอันเต็มไปด้วยความรักที่แสนซาบซึ้งเสียจับใจผ่านน้ำเสียงและแววตาที่เทพวิษุวัติมีต่อนาง ไม่นานนักเหตุการณ์ก็เปลี่ยนไปเล่าถึงตอนที่พบกับพระเทวีเบญจเนตรเป็นครั้งแรก พระนางนั้นมีความงามอันเป็นเบญจกัลยาณีอีกทั้งพระนลาฎยังมีสัญลักษณ์เป็นสีชาดหนึ่งเส้นปรากฏอยู่ เธอจำความงามไว้จับใจไม่่แปลกเลยที่จะเคียงคู่พระบารมีกับพระมหาเทวราชา  แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่เธอฉงน หากแต่ว่าเหมือนกับข้าบริวารนั้นไม่ค่อยยอมให้เธอเข้าใกล้เสียเท่าไหร่นัก เท่าที่จำในฝันได้มีอยู่วันหนึ่งที่พระนางมาพบตนด้วยพระองค์เองแล้วกล่าวว่า
"อินทราณี ท่านนั้นรู้จักเทพวิษุวัติอนุชาของเราดีกว่าเรามาก ท่านน่าจะรู้ดีว่าในตอนนี้อนุชาของเราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ชะตาที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ไม่มีอะไรแน่นอน เรานั้นมีเรื่องให้ท่านช่วย....  " สีหน้าอันเป็นกังวลนั้นเห็นได้ชัด น่าจะเป็นเหตุการณ์เดียวกับที่เทพท่านโทสะจนเป็นเหตุแห่งการพลั้งพลาดประทุษร้ายเสียกระมัง
"ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด หม่อมฉันจะสนองตามพระประสงค์เพคะ" ถึงจะฝันถึงขั้นนั้นแต่ว่าตนก็ไม่สามารถเรียกความทรงจำกลับมาได้ บางทีเรื่องที่ให้ช่วยคงเกี่ยวกับการหายไปของพระนางก็เป็นได้
"ทำไมถึงจำไม่ได้เลยนะ"เธอพึมพำกับตนเองขณะที่กำลังชมบุปผาปานมณีอยู่ เพราะอยู่ๆก็พูดออกมา เหล่านางฟ้าที่คอยดูแลก็ได้ยินเลยคิดเอาว่าอัญญานีนั้นพยายามรื้อฟื้นความจำที่มีร่วมกับพระเทวานายของตนมากกว่า
"ถึงจะหาคำตอบเรื่องนี้ไม่ได้ แต่ยังไงเรื่องที่สำคัญกับเราที่สุดในตอนนี้คือจะหนียังไงดีในคืนพรุ่งนี้"เธอลอบคิดในใจ คืนพรุ่งนี้แล้วที่จะเป็นคืนเดือนดับ ต้องคิดหาทงหนีเสียก่อนจะคิดเรื่องอื่นต่อไป
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มกราคม 14, 2021, 08:04:03 PM
ทางจักรกรดขอชี้แจงเรื่องการอัพเดตนิยายนะคะ จะเปลี่ยนรูปแบบการอัพเดตนิยายเป็นเดือนละ2ครั้ง คือวันที่14กับ28ของทุกเดือน เวลา20.00น.ค่ะ เริ่มอัพเดตเป็นรูปแบบนี้ตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไปค่ะ ขอบคุณ​ผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มกราคม 28, 2021, 02:48:55 PM
สวัสดีคุณผู้อ่านทุกท่านค่ะ จักกรดต้องขออภัยในความไม่สะดวกในการอัพเดทนิยายรอบนี้นะคะ เนื่องจากมีปัญหาสุขภาพประกอบกับต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบกลางภาคทำให้ไม่สามารถแต่งนิยายได้มากเท่าที่ควร ดังนั้นจักรกรดจึงขออัพเดทนิยายไปรวมทบยอดกับของวันที่14ในเดือนถัดไปแทน ต้องขออภัยทุกท่านเป็นอย่างสูงด้วยค่ะ w6
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กุมภาพันธ์ 14, 2021, 06:35:36 PM
สวัสดีค่ะ วันนี้ต้องขออภัยอีกครั้งนะคะที่ไม่สามารถอัพเดทนิยายได้ ด้วยปัญหาสุขภาพและปัญหาในด้านอื่นๆจึงต้องจัดการจัดแจงตัวเองใหม่อีกครั้งค่ะ จึงของดการอัพเดทนิยายเรื่องนี้ไปก่อนนะคะ จะกลับมาอัพเดทนิยายอีกครั้งในเดือนหน้า ต้องขออภัยที่ล่าช้าและไม่สามารถจัดการปัญหาและเวลาได้ลงตัว ขอโทษนะคะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มีนาคม 14, 2021, 08:08:08 PM
แจ้งงดอัพเดตนิยายไปก่อนนะคะ ตามเดิมที่จักรกรดเคยแจ้งว่าจะทำการอัพเดตนิยายต่อใเดือนนี้จำเป็นต้องเลื่อนไปก่อนด้วยเช่นกันค่ะเพราะไฟล์​ที่แต่งไว้เสียหายจากไวรัสในเครื่องน่ะค่ะ ประกอบกับที่ช่วงนี้จนไปถึงเดือนมิถุนายนจะไม่ว่างเลยด้วยต้องดูแลกิจกรรมของสาขา และจัดการเรื่องเรียนให้ลงตัวด้วยค่ะ จึงเรียนมาให้ท่านผู้อ่านได้ทราบว่าจะทำการงดอัพเดตนิยายไปก่อนเป็นเวลานานเลยค่ะ เท่าที่ดูตารางแล้วน่าจะลงตัวได้ที่เดือนกรกฎาคม ดังนั้นแล้วจักรกรดจึงขออัพเดตนิยายในเดือนกรกฎา​คมแทนนะคะ เพื่อจะได้เนื้อหาที่เพิ่มเติมขึ้นและสามารถ​แน่ใจได้ว่าไฟล์จะไม่เสียหายอีกค่ะ ขออภัย​ไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กรกฎาคม 28, 2021, 07:40:54 PM
เวลานี้แสงตะวันดูสีจางลงเสียมากเพราะใกล้จะตกเย็นเต็มที ในถ้ำกลางป่าค่อนข้างลึกตั้งอยู่ระหว่างเมืองโกสุมพิสัยกับเมืองทิศพลได้มีการชุมนุมวางฃแผนกันอยู่ของสิ่งมีชีวิตจำนวนหนึ่ง
“ในคืนพรุ่งนี้จะเป็นคืนเดือนดับแล้ว ซึ่งนั้นก็หมายความว่าจะได้พาพระอัยกาพระอัยกี พระมเหสีรวมไปถึงเหล่าข้าราชบริพารหนีออกมาได้” หิ่งห้อยยักษ์กล่าวขึ้นมากับเหล่าพี่น้องหิ่งห้อยที่มีขนาดปกติ โดยมีเจ้าสิงโตร่วมฟังอยู่ไม่ห่าง
“แล้วแน่ใจได้ยังไงว่าคนพวกนั้นจะไม่เห็น ยิ่งมืดยิ่งเห็นหิ่งห้อยชัดเจนไม่ใช่เหรอ” ตุ๊บเท่งแย้งหลังจากที่ได้ฟังมาพอสมควร
“ก็รู้อยู่หรอกเจ้าตุ๊บเท่ง แต่มันไม่ใช่ว่าจะไม่มีวิธีนี่” เจ้าของความคิดตอบกลับ
“เพราะอย่างนี้เลยต้องจัดเตรียมแยกไว้สองถึงสามกลุ่ม ช่วยเสียกลุ่มหนึ่งที่เหลือก็คอยล่อลวงทางไป” หนึ่งในบรรดาญาติของหิ่งห้อยยักษ์กล่าวเสริม
“ความมืดน่ะมันดีแค่ไหนแล้วที่สามารถอำพรางผู้คนไปซ่อนไว้ที่ใดก่อนก็ย่อมได้ บางทีกลุ่มที่ช่วยนำพวกเขาไปซ่อนเสร็จก็มาช่วยหลอกล่อให้หลงทิศทางอีกแรงได้” เจ้าของความคิดก็กล่าวต่อให้สมบูรณ์ขึ้นอีก
“มีใครอยู่มั้ย มีใครอยู่รึเปล่า!!” เสียงเรียกดังมาจากหน้าปากถ้ำ เป็นเสียงที่คุ้นเคยแต่ไม่อาจทราบว่าเป็นใคร
“ใครน่ะ…นอกจากพวกเราแล้วก็ยังไม่มีใครรู้จักที่นี่เลยนะ” สองสหายสิงโตหิ่งห้อยกระซิบแผ่วเบาคุยกันถึงความผิดปกตินี้
“พี่หิ่งห้อย ตุ้บเท่งอยู่ที่นี่กันมั้ย” ไม่เรียกเปล่า เจ้าของเสียงก็เคลื่อนไหวให้ตนเองเข้าไปตามมทางถ้ำ แต่มันก็มืดมากจริงๆแถมบรรยากาศก็วังเวลเหลือเกิน
“หรือว่าข้าจะจำผิดถ้ำ…น่ากลัวยิ่งมืดก็ยิ่งซับซ้อน” จั๊กแหล่นพูดกับตัวเองอย่างนั้นเพราะมาตนเดียว และความเงียบในถ้ำเหล่านั้นก็ไม่ได้ทำให้เธอใจกล้าเลยสักนิด
“จั๊กแหล่น!!!” เสียงเรียกชื่อพร้อมการจับไหล่จากด้านหลังก็ทำให้ผู้ที่กลัวอยู่แล้วตกใจร้องลั่น
“ฮ่า ๆ ข้าก็นึกว่าใคร…เห็นแบบนี้ก็กลัวซะลนลานเชียวนะ” สุดหล่อได้ทีก็เอาใหญ่ หัวเราะอีกฝ่ายที่เกือบขวัญเสียอย่างชอบใจ
“โอ้ยไอ้ตุ้บเท่ง!! มาไม่ให้ซุ่มให้เสียงข้าก็ตกใจน่ะสิ” เสือสาวทุบไหล่อีกคนคืน เมื่อครู่หัวใจจะวายให้ได้อยู่แล้ว ถ้าตายไปก็จบเห่กันพอดีสิ
“ข้าเจ็บนะ ตีแรงขนาดนี้จะฆ่ากันให้ตายเลยรึไงกัน” เขาโต้ตอบการกระทำที่เกินแรงนี้มันทำให้เขาเจ็บปวดร่างกายเป็นอย่างมาก
“เอาเลยมั้ยล่ะ ข้าจะได้สงเคราะห์ให้” ทั้งคู่ตั้งท่าพร้อมตีกันสุดฤทธิ์ ถ้าไม่ได้เจ้าหิ่งห้อยยักษ์ห้ามปรามคงไม่เลิกราแน่
“พอสักทีเถอะทั้งคู่ สถานการณ์แบบนี้ยังจะมัวมาทะเลาะกันกันอยู่ได้” ก็จริงล่ะในตอนนี้ที่ไม่มีเหล่าพระโอรสพระธิดาอยู่ด้วยก็ว่าแย่แล้ว ยังคิดจะแตกสามัคคีกันเองอีก
“พี่หิ่งห้อยอยู่ด้วยก็ดีแล้ว นี่เตรียมจะทำอะไรกันเหรอจ๊ะ” เสือสาวเปลี่ยนความสนใจไปที่เหล่าหิ่งห้อยที่มาชุมนุมร่วมกันอย่างมากมายเช่นนี้
“ก็นัดแนะไปช่วยเหลือพวกเสด็จแม่น่ะสิ” สิงโตชิงตอบคำถามแทน
“ก็ตามที่ได้ยิน เราวานสหายแมลงที่พอพูดจาภาษามนุษย์แฝงตัวไปบอกข่าวให้ตาหวานรับรู้แล้ว ว่าแต่เจ้าเถอะทำไมถึงมาที่นี่ได้” หิ่งห้อยกล่าวต่อหลังจากนั้นจึงได้กล่าวถามกลับไปด้วยความสงสัย
“ก็ท่านตาน่ะสิจ้ะ คนที่เป็นอาจารย์ของพระโอรสพระธิดาสังวาลมณีทั้งหลายน่ะบอกทางจั๊กมา นี่นะได้ยินมาว่าถูกน้ำซัดกันไปคนละทิศทาง ไม่เป็นอะไรมากใช่มั้ย” เธอถามด้วยความเป็นห่วงในสุขภาพถึงแม้จะปลอดภัยก็ยังไม่ควรวางใจนัก
“พวกเราน่ะไม่เป็นอะไรหรอก แต่เหล่าพระโอรสพระธิดานี่สิ…” หิ่งห้อยกล่าวด้วยความหนักใจอย่างเห็นได้ชัด
“เกราะกายสิทธิ์กับสังวาลย์มณีน่ะมันพังหมดแล้วน่ะสิ ฮือ” ตุ้บเท่งพูดแทรกต่อหลังจากจบคำสหายแล้วร่ำไห้อาลัยของรักที่ดูเหมือนจะมีคุณค่าทางใจมากกกว่าตัวบุคคลเสียอีก
“อย่าเศร้าไปเลย ท่านตาบอกกับจั๊กว่าทั้งสิบที่พระองค์ยังรอดพ้นกันได้พราะชะตรายังไม่ถึงฆาต อีกไม่นานก็จะได้เจอกัน” นับว่าเป็นข่าวที่น่ายินดียิ่งนักที่ทั้งหมดยังคงมีชีวิตอยู่
“แต่ตอนนี้พวกเราจะต้องช่วยพวกเสด็จแม่ก่อน เพราะแยกกันหลายทางไม่ดี ต้องรวมๆกันไว้” จั๊กแหล่นกล่าวต่อ
“เช่นนั้นก็ดี เอาเป็นว่าพวกเราเตรียมกำลังแรงกายไว้ให้พร้อม จะได้ทำภารกิจในวคืนพรุ่งนี้ให้ลุล่วงนะ” เจ้าหิ่งห้อยยักษ์กล่าวระคนดีใจที่จะได้ช่วยเหลือเพื่อรวมตัวกันรอวันพบหน้าโดยพร้อมเพรียง
……

“คราวนี้พระเทวาวิษุวัตคิดการใหญ่อะไรขนาดไหนถึงต้องเรียกตัวลูกของเราเดินทางไปไกลขนาดนั้น แค่กำจัดพวกเสี้ยนหนามนั่นก็น่าจะเพียงพอแล้วแท้ๆ” พิมาลาพูดขึ้นตามความกังวลใจถึงแม้ตอนนี้ตนจะร้อยพวงมาลัยหวังให้ใจสงบลง แต่คนเป็นแม่มีหรือจะไม่ห่วงลูก จิตใจก็ย่อมว้าวุ่นเป็นธรรมดา
“เจ้ากล่าวเช่นนี้เห็นทีว่าจะไม่เคารพพระองค์ท่านเสียเท่าไหร่เลยนะ” แม่มดที่ยังดูสาวตำแหน่งที่ปรึกษาส่วนพระกษัตริย์รัตนบุรี เข้ามาในตำหนักพร้อมกล่าวด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
“น้องเกลียวทอง. เอ่อ..เสาวภา”เธอเผลอหลุดปากไปด้วยเพราะเคยชินที่อยู่กันตามลำพังเสียมากกว่า
“พวกเจ้าออกไปก่อน” เธอรีบสั่งให้เหล่านางกำนัลไปยังด้านนอกจะได้พูดคุยกันให้สะดวกยิ่งขึ้น
“เผลอนิดเดียวก็เรียกชื่อเดิมเราต่อหน้าคนอื่นซะแล้ว...ไหนบอกนักหนาว่าจะเป็นคนใหม่ไม่ใช่หรอกเหรอ” เจ้าของชื่อต่อว่าทันทีหลังจากที่คนนอกเรื่องออกไปจนครบ
“น้องเกลียวทองเป็นอะไรไปทำไมถึงพูดแบบนั้น เคืองใจพี่มากขนาดนั้นเชียวหรือ” อดีตหญิงนามสไบแก้วถามอีกฝั่งที่เกรี้ยวกราดเกี่ยวกับเรื่องนี้เสียเหลือเกิน
“ก็เจ้าน่ะสิ พระองค์ทรงวางพระทัยให้บดิศรไปทำภารกิจเพียงนิดหน่อยก็บ่นนักบ่นหนา ทำท่าทีแข็งขันไม่อ่อนน้อมเหมือนคราวที่พวกเกราะกายสิทธิ์นั่นยังอยู่เลย”
“โถ่น้องเกลียวทอง พี่ก็แค่เป็นห่วงลูกของพี่ก็เท่านั้นเองนะจ้ะ ไม่ได้มีเจตนาจะต่อว่าพระองค์ท่านเลยแม้แต่น้อย”
“เป็นห่วงก็ส่วนเป็นห่วง ไม่ควรกล่าวคำพวกนั้นออกมา ไม่ว่าจะมีพระประสงค์สิ่งใดก็อย่าได้คิดแม้แต่จะสงสัยใคร่รู้” นางพูดจาแนวข่มสั่งสอน เอาเข้าจริงอายุแท้ของนางก็อาวุโสกว่าอีกคนมากอยู่หลายเท่า นางจริงไม่ได้ใส่ใจลำดับน้องพี่จอมปลอมอะไรนั่นมากนัก
“เอาเถอะ เอาเป็นว่าพี่ผิดเอง ต่อไปพี่จะไม่กล่าวเช่นนั้นอีก จะมีก็แต่กล่าวสรรเสริญให้พระองค์สำเร็จซึ่งพระประสงค์” เธอรับปากไปเพราะต่อให้เถียงกันไปมาก็ใช่ว่าจะจบในวันสองวัน ช้าเร็วเธอก็คงเถียงไม่ชนะอยู่ดี อีกอย่างบุตรตนก็ออกเดินทางไปแล้วหาประโยชน์จากคำพูดเหล่านั้นไม่ได้หรอก
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กรกฎาคม 28, 2021, 07:43:33 PM
“ทูลพระมเหสี พระ...นางคนครัวสไบมาเข้าเฝ้าตามรับสั่งแล้วเพคะ” นางกำนัลในสังกัดเข้ามารายงาน ที่นางเรียกหาไม่ใช่ว่าจะแก้สถานการณ์ที่ลูกยาจากเมืองไปได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเรื่องบันเทิงให้ทำเลยนี่นา
“เราขอตัว” เกลียวทองทิ้งคำสั้นๆไว้แล้วเดินจากไปไม่ใคร่จะมัวดูความบันเทิงของคนอื่นหรอก ประกอบที่คนเข้าเฝ้ามาพอดีไม่มีเหตุผลที่มเหสีจะรั้งไว้
“พระนางทรงเรียกหาหม่อมฉันด้วยเหตุอันใดหรือเพคะ” ตามจริงสไบทองก็ไม่อยากจะพูดจาต่อหน้ากันดีๆเท่าไหร่นัก แต่ก็ถือว่านี่จะเป็นครั้งเดียวที่จะทำเพราะคืนวันพรุ่งนี้ก็จะจากไปแล้ว
“เราก็แค่คิดถึงวันเวลาเก่าๆ ที่พวกเราทั้งสองสนิทชิดเชื้อเป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน”
พิมาลากล่าวพลางประคองคนที่คุกเข่าด้วยท่าทีเป็นมิตรที่คิดจะผลักอีกคนลงเอาให้พอสะใจ แต่กลับต้องเสียจังหวะก่อนแล้ว
“อย่ากล่าวเช่นนั้นเลยเพคะ ในเมื่อพระองค์มิได้นิยมชมชอบในตัวหม่อมฉันเสียสักเท่าไหร่” อดีตมเหสีผละตัวออกจากการประคองได้ทันท่วงทีพร้อมกับก้มหน้าตาสงวนทีท่า
“เจ้านี่รู้จักปรับตัวดี สมกับเวลาที่ตกเป็นทาสมานานนับเดือน” ท่าทีเปลี่ยนไปจากแรกๆดีกลับไปเป็นนิสัยใจคอเดิมของคนที่ชนะไม่รู้จักพอ
“เราน่ะอยากให้ลูกๆของเจ้าได้เห็นสภาพของเจ้าในตอนนี้นัก ทั้งผอมแห้ง ดวงตารึนับวันก็ยิ่งไร้แวว แต่เสียดายที่ลูกที่มีของเจ้าก็ด่วนตายจากทิ้งเจ้าไปจนหมด ช่างเป็นลูกอกตัญญูกันเสียจริง” เธอกล่าวว่าอีกคนด้วยนอยากแกล้งดูว่าสถานภาพที่เป็นอยู่จะทำให้นางทนโทสะไม่ให้ตนเสี่ยงหัวขาดได้หรือไม่
“ถึงลูกๆที่มีของเราจะสิ้นหมด แต่ก็ใช่ว่าลูกคนเดียวของใครจะเป็นอมตะไปตลอดชีพนี่” เรื่องอะไรจะต้องทน ลำพังเรื่องอื่นน่ะทนได้แต่ถ้าก้าวล่วงถึงบุตรธิดาตนไม่ยอมเป็นแน่
“นี่เจ้า!!” มเหสีชี้หน้าด้วยความโกรธ ไม่นึกว่าตนจะเป็นฝ่ายถูกยอกย้อนเอาเสียได้
“เราอุตส่าห์ให้ความเคารพเจ้าตามฐานะดีๆกับเจ้า ตัวเจ้ากลับว่าลูกของเรา เราว่าเอาเพลาเช่นนี้ไปกังวลชีวิตที่เหลืออยู่บนบ่าของลูกเจ้าให้ดี หากทำให้เทพวิษุวัตไม่พอพระทัยขึ้นมา ถึงเจ้าจะมีสิบหัวก็แลกกันไม่ได้” หญิงชาวครัวกล่าวพลางนำมือที่ชี้ตนอย่างจาบจ้วงให้ต่ำลงสู่พื้น
“น้องพิมาลา น้องพิมาลาอยู่ที่นี่หรือไม่ น้องห่างพี่นานแล้ว น้องรู้หรือไม่ว่าพี่แทบขาดใจ”ท้าวพีรเชษฐ์ตามหานางตั้งนานทีแรกก็นึกว่าไปอุทยานหลวงเสียอีก
“เป็นความผิดของหม่อมฉันเองเพคะที่ล่วงเกินพระมเหสี หม่อมฉันสมควรได้รับโทษ” ไม่ว่าให้เสียปล่าวสไบทองคุกเข่าตบหน้าลงโทษตัวเองอย่างรวดเร็วด้วยสำเนียงเอะอะเป็นการใหญ่
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ ใครใช้ในเจ้าทำร้ายตนเองในเขตพระราชวัง” เจ้าเมืองเข้ามาเห็นเหตุการณ์พอดีจึงได้ร้องห้าม
“เป็นความผิดของหม่อมฉันเองเพคะที่ล่วงเกินพระมเหสี เอาแต่เสนอเครื่องเสวยของหวานที่องค์เหนือหัวทรงโปรด แต่พระมเหสีไม่ทรงโปรด….เป็นขนมแดกงาเพคะ” เธอชิงพูดก่อนอีกคนที่มัวแต่งุนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้นไวเช่นนี้
“ขนมนี่น่ะหรือเป็นปัญหากวนใจน้องพิมาลาก็จริงอยู่ แม้รูปไม่งามพอชวนให้ลิ้มรส แต่รสชาติเป็นเลิศ สงสัยต้องให้คนครัวที่ชื่อสไบช่วยทำให้เรา”
“คนครัวที่ชื่อสไบเป็นหม่อมฉันเองเพคะ”
“ดีเลยพรุ่งนี้วานให้เจ้าทำขนมแดกงาให้เราด้วยแล้วกัน ส่วนเรื่องวันนี้ก็ขอให้แล้วกันไป ไปพักเถอะ”
“เพคะ” ด้วยสถานการณ์หลายๆอย่างเธอก็เข้าใจดีว่าสวามีจำเธอไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก ถึงจะห่วงแค่ไหนเธอก็ยังพอมั่นใจว่าสไบแก้วจะดูแลเขาเป็นอย่างดีอยู่แล้ว
………

ฉันทนาครุ่นคิดเรื่องงานสมรสอยู่เกือบเดือน นับเป็นเรื่องที่หนักใจที่สุดก็ว่าได้ เธอไม่ได้รู้สึกรักอัคนินเลยแม้แต่น้อย ในใจของเธอคะนึงหาแต่เพียงศุภลักษณ์ทั้งๆที่รู้ดีว่าคนนั้นไม่มีวันที่กลับมาหรือไม่ได้ที่จะรักเธอตอบเลย
“เราจะทำยังไงดี ทำไมเรายังลืมเขาไม่ได้ หรือแม้แต่จะรักอัคนินสักนิดก็ไม่มี” หวนถึงคืนนั้นที่ท้าวเจ้าเมืองคีรีมาศเสด็จมาพบตนได้ถามถึงความสมัครใจของตัวเองเกี่ยวกับเรื่องวิวาห์ ในเรื่องที่ว่าคนขอจัดงานก็โป้ปดร่วมด้วย ตนก็เออออตามน้ำไป ต้องการไว้หน้าอีกคนก็เท่านั้น พอคิดดูช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันสิ่งใดก็ได้รับจากเขาไม่เคยขาด แม้แต่ตอนที่บาดเจ็บก็เป็นตัวเขาเองที่ดูแล
“ฉันทนา…เรามาลา” อัคนินเข้ามาหาด้วยท่าทีที่หนักใจ
“จะไปไหน..เทพวิษุวัตมีรับสั่งให้ทำภารกิจเหรอ” เธอถามกลับด้วยสงสัย
“ถูกต้อง ทรงมีประสงค์ให้ไปรักษาเกราะเหล็กสังวาลศิลาพร้อมกับบดิศร”เขารู้สึกถึงแววตาผู้ฟังว่าอยากมีส่วนร่วมขนาดไหน
“จะเอาแต่คิดน้อยใจไปก็ใช่เรื่อง”ศิษย์ร่วมสำนักเข้ามาเห็นแววตานั่นก็รู้ความในใจ อาจารย์ให้คอยท่าช่วยเหลือตลอดแท้ๆ แต่กลับไม่มีรับสั่งมาเลย
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ในเมื่อเจ้าร้อนใจเราก็มีงานให้เจ้าทำ..ออกเดินทางไปช่วยท้าววัศพลนาคราชรบกับท้าววิชชุนาคราช บอกกับท่านว่าเราให้ช่วยไม่ถูกปฏิเสธหรอก อีกอย่างคือต้องจับตาดูติณกฤตให้ดี” ถ้าเขาเดาไม่ผิดผู้นี้ต้องเป็นไส้ศึก เพียงแค่หลักฐานไม่เพียงพอ
“ติณกฤต ถ้าเราจำไม่ผิดเป็นโอรสของวิชชุนาคราช เจ้าสงสัยเขาสินะ” ฉันทนาเข้าใจเจตนาของเขาในทันทีแบบไม่ต้องถามให้มากความ
“ก็ดีเราจะได้ไม่ต้องว่างเกินไป”
“แต่ว่า..”อัคนินจะคัดค้านด้วยห่วงคนที่ตนรัก แต่ต้องชะงัดไป
“ได้เวลาแล้ว ต่อล้อต่อเถียงไปก็ไร้ประโยชน์” ว่าแล้วอัคนินก็จูงมือสหายที่ไม่ค่อยสนิทนั้นไปทำภารกิจต่อในทันที
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กรกฎาคม 28, 2021, 07:50:12 PM
แจ้งวันเวลาอัพเดตนิยายต่อจากนี้นะคะ อัพเดตทุกวันที่14 และ28ของทุกเดือนเวลาประมาณ20.00น.ค่ะ
ต้องขออภัยท่านผู้อ่านทุกท่านเป็นอย่างสูงเลยนะคะที่เว้นช่วงการอัพเดตนิยายมานานมาก ทางผู้เขียนได้แต่งไว้ในสมุดได้ประมาณหนึ่งแล้วแต่ยังไม่ค่อยมีเวลาพิมพ์นานมากนัก รอบนี้จึงลงได้เพียงสั้นๆ ในรอบต่อไปจะเร่งสปีดในการพิมพ์ต่อนะคะ ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านเลยนะคะ w8 w8 O0
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ สิงหาคม 14, 2021, 08:07:53 PM
เข้ายามวิกาลแล้วเจ้าแมวสีสวาทตัวโปรดของพระสนมผกากรองเดินเข้าไปในตำหนักของเจ้านาย  ซึ่งผู้คนในวังต่างก็ทราบดีว่าได้สิ้นชีพมาเป็นระยะเวลาประมาณนึงแล้ว แต่คงเป็นพราะแมวตัวนี้คิดถึงเจ้านายมากจึงได้เข้าไปเยี่ยมชม ไม่มีอะไรให้น่าสงสัย
“ถ้าเราจำไม่ผิด จันทราภากับอัญญานีเคยมาที่นี่” ประกายพฤกษ์กล่าวขึ้นหลังจากที่ผลพรางตัวที่ท้าววิชชุนาคราชทรงให้บริวารตามเอามาให้นั้นหมดฤทธิ์
ด้วยความที่นำสิ่งวิเศษทั้งสองไปรักษาที่เขตแนวอสุราจึงส่งผลให้ความทรงจำเชื่อมต่อกันได้ จึงไม่แปลกที่เธอจะรู้ว่าทั้งสองคนเคยมาที่นี่
“ใช่ จันทราภาวาดรูปศพที่ตั้งไว้ในห้องลับ เป็นพระสนมผกากรอง” หลังจากผลแปลงกายหมดฤทธิ์ แมวสีสวาทก็กลับร่างเป็นศุภลักษณ์เดินมากล่าวตอบพร้อมกับจับเชิงเทียนให้เอนลงจนน้ำตาเทียนหยดปรากฏห้องลับขึ้น
“ดูจากรูปการณ์ เราว่าวิญญาณที่จันลักษณ์รู้สึกได้ว่าไม่ใช่เสด็จพ่อนั่นก็คือพระสนมผกากรอง” โอรสเจ้าเมืองกล่าวพลางพาอีกคนเข้าไปยังห้องลับ ดีที่ครั้งก่อนนั้นไม่มีใครรู้ว่าสองคนนั้นลักลอบเข้าตำหนักจนกับดักได้ถูกใช้งานไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงไม่ถูกโจมตี
“เป็นไปได้ที่นางจะใช้มนตราควบคุมพระวิญญาณที่อ่อนกำลังลงไว้ในจิตใต้สำนึก  แล้วนำวิญญาณนางไปรวมอยู่ในพระวรกาย” พระธิดาต่างเมืองแสดงความคิดเห็น
“เราก็คิดเช่นนั้น พอมีเรื่องอย่างนี้แล้วก็มีไม่กี่มนตราหรอก อีกอย่างพวกเราก็เป็นฝ่ายเดียวกัน หากใช้วิธีควบคุมเจ้าเมืองที่เป็นพระบิดาก็ต้องใช้วิธีที่ต่างกันเป็นธรรมดา” ใช่ อัคนินก็เป็นพวกเดียวกับบดิศร ทำไมจะไม่ทำไปทางเดียวกันแค่ต่างวิธีเท่านั้น
“รู้วิธีแก้หรือเปล่า” พระธิดาวันศุกร์ถามดูเผื่ออีกคนจะพอมีข้อมูลบ้าง
“เราไม่รู้หรอก ตอนนี้ต่อให้อยากจะแก้ไขขนาดไหนก็คงไม่ได้เพราะตอนนี้พวกเราต่างก็มีอักษรสาปติดตัว คงจะมีก็แต่ทำให้นางเสียใจเล่นซะแล้วล่ะ ว่าแต่จะร่วมกับเราด้วยไหม”
“ได้สิ เจ้าคิดว่ายังไงก็เอาตามนั้น เสร็จจากตรงนี้จะได้เดินทางต่อ”
ทั้งสองได้นำเทียนจากเชิงเทียนออกมาเผาร่างอันไร้วิญญาณ เท่านั้นไม่ได้สมใจของพระโอรสวันศุกร์เท่าไหร่นัก ไหนก็เผาร่างแล้วเล่นใหญ่ไปหน่อยคงไม่เป็นไร ตนก็เลยใช้ฟางที่พกติดตัวถึงแม้จะยังใช้เป็นหุ่นพยนต์ไม่ได้ในตอนนี้แต่ก็สามารถมาสุมไฟเผาทั้งตำหนักได้ในปริมาณที่เพียงพอ ก่อนที่มันจะลามจนคนด้านนอกรู้ทั้งสองก็ไม่รอช้ารีบหนีทันที ด้วยที่คนเมืองนี้รู้ทางหนีทีไล่ดีจึงออกมาได้เร็วขึ้นกว่าผู้ก่อการรายอื่นนัก
“นางรู้เรื่องคงจะโกรธแย่แล้ว นิสัยนางน่ะชอบยึดติดกับสังขาร กลับคืนร่างเดิมก็ไม่ได้แท้ๆ ยังเอาแต่เก็บไว้ดูต่างหน้าอยู่นั่น” เขาพูดหลังจากที่หนีจนมาถึงเส้นทางที่ไม่ต้องเร่งรีบหนีมากแล้ว นับว่าใจกล้ามาก ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่ใจดำทำขนาดนี้ได้หรอกกระมัง

“แย่แล้วพระเจ้าค่ะองค์เหนือหัว ที่พระตำหนักของพระสนม ม..,ม..ไหม้ไหม้เป็นไฟลุกโชนขนาดใหญ่โตเลยพระเจ้าค่ะ” นายทหารตรวจการในรั้ววังเจอสถาการณ์อันน่าตื่นตระหนกตกใจเช่นนี้ในเขตพระราชฐาน มีหรือที่เขาจะไม่รีบมาทูลให้เจ้าเมืองทรงทราบ
“ดูแลกันยังไงถึงได้เกิดเรื่องนี้!!!” เธอในร่างสวามีปาจอกสุราที่ใช้ย้อมใจเรื่องบุตรต้องจากไปทำภารกิจ ไม่ทันทำใจให้เย็นลงเท่าใดเลยยังมาเจอเรื่องนี้อีก ยากที่จะควบคุมอารมณ์ให้ดีได้แล้ว
“ทหาร!! ไปดับไฟเข้าสิ มัวแต่เฉยไม่ยอมทำหน้าที่อยู่ได้!!” นางรีบไปดูสถานการณ์พร้อมตะโกนเรียกคนเสียงดังไปทั่ววัง
เวลาผ่านไปกว่าจะควบคุมเหตุเพลิงไหม้ได้ มันก็ทำให้สังขารของผกากรองไหม้จนเป็นเถ้ากระดูกไปเสียแล้ว
“ออกไป!! ออกไปให้พ้น!!” ใจหนึ่งก็รู้สึกโกรธ อีกใจหนึ่งก็กลัวว่าใครจะพบเห็นเถ้ากระดูกของนางแล้วรับรู้ว่ามีร่างของใครบางคนอยู่ในที่เกิดเหตุล่ะก็ต้องไม่ส่งผลดีกับตนแน่ ดังนั้นนางจึงตะเบ็งเสียงไล่คนให้ตะเพิดไป ด้วยอารมณ์ที่แปรปรวนมามากในช่วงหลายเดือนนี้ ข้าเหล่าบริวารจึงยินยอมที่จะไปโดยดีเพราะต่างก็ไม่อยากให้หัวหลุดออกจากบ่าตนกันทั้งนั้น
หลังจากที่ทุกคนจากไป นางก็ใช้มือสัมผัสเถ้ากระดูฏเหล่านั้นอย่างอดนึกเสียดายไม่ได้ สู้อยู่ในห้องลับมาเป็นเป็นเดือนแท้ๆแต่กลับต้องมาไหม้เพราะเทียนที่ตกจากเชิงเทียน
“ข้าไม่เชื่อ ให้ตายข้าก็ไม่เชื่อ ในเมื่อเชิงเทียนนี่ข้าเป็นคนจุด ไม่มีทางที่ข้าจะไม่รอบคอบจนเกิดเรื่องเช่นนี้หรอก” นางรู้สึกว่าไม่ใช่อุบัติเหตุแน่ แต่ว่าใครกันล่ะที่เป็นคนทำ ลำพังในแวดวงผู้ใช้คุณไสยมนต์ดำนางก็ศัตรูมากพอตัวอยู่แล้ว บางทีอาจจะมีใครล่วงรู้สิ่งที่นางทำเข้าให้จึงจงใจทำลายสังขารเพื่อเป็นการเตือนก่อนอันดับแรกก็เป็นได้
“ไม่ว่ามันจะเป็นใครข้าจะตามสืบให้ถึงที่สุด แล้วข้าจะลากคอมันมันกราบไหว้เป็นข่ารับใช้ของข้า”


“เจ้านี่ก็จริงๆเลย พาเราทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้ได้” เสียงบ่นของประกายพฤกษ์ดังขึ้นมาหลังจากที่ทั้งสองตัดสินใจพักที่ลำธาร นี่ก็เข้าปัจฉิมยามแล้วเพิ่งจะได้หยุดพักนี่เอง
“เรื่องแบบนี้น่ะเราถนัด ถ้าพวกเราอยู่ด้วยกันเรื่อย ๆก็มีเรื่องให้ทำได้ใหญ่กว่านี้เยอะ” ศุภลักษณ์กล่าวอย่างพอใจในผลงาน ก็ใครใช้ให้สองแม่ลูกนั่นทำกับพวกเขาแบบนั้น ทั้งใส่ร้ายคนทั้งควบคุมวิญญาณยึดร่างอีกต่างหาก ที่เขาทำก็เลยรู้สึกดีเหมือนได้ระบายความทุกข์ออกมา
“พอเถอะ แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเราก็ถูกตำหนิแล้วว่าใจร้ายใจดำ ยิ่งกับภูมินทร์ที่เป็นนักธรรมเทศนานล่ะก็คงหูด้านชาไปหมด” ไม่รู้อะไรดลใจให้ช่วยเหมือนกัน มันออกจะดูแล้งน้ำใจเกินไป ต่อให้ไม่ถูกตำหนิเธอก็ไม่คิดจะทำซ้ำอีกแน่
“ถ้าเจ้าไม่สบายใจเราก็ไม่ทำแล้วก็ได้ เราสัญญาว่าต่อไปนี้อะไรที่เจ้าไม่สบายใจเราจะไม่ทำเด็ดขาด” เขาพูดพลางยกนิ้วก้อยทำท่าทีพร้อมสัญญาเต็มที่
“สัญญาลมปาก เราไม่สนนักหรอกว่าเจ้าจะเอานิ้วก้อยนั้นไปเกี่ยวกับอะไรที่ไหน เราดูที่การกระทำมากกว่า” เธอสบายใจขึ้นมาบ้าง เพราะยังไงต่างฝ่ายก็รู้จักันมานาน จะปล่อยให้ทำผิดจนสุดทางเลยมันก็ยังไงอยู่
ฝ่ายบุรุษยิ้มเล็กน้อยแล้วนำนิ้วก้อยของตนไปเกี่ยวกับอีกฝ่าย
ก่อนที่ฝ่ายสตรีจะทุบตีคืนในความเอาแต่ใจชอบแต่จะแตะเนื้อต้องตัว เขาก็รีบออกห่างแล้วก็แยกกันนอนเก็บเรี่ยวแรงที่ให้คนต่อไปมีกำลังเดินทางต่อไปแม้ว่าเส้นด้ายจะยังคงผูกทั้งสองไว้อยู่ด้วยกันก็ตาม
……..
 “ดอกบัวนั้นน่ะจะสามารถป้องกันคนที่อยู่ในนั้นจากการโจมตี ยากที่ใครจะเข้าได้หากเจ้าของมิได้ยินยอม” บัวแย้มนั่งมองดูกำไลปทุมทิพย์พลางนึกถึงคำคนสำคัญที่บอกไว้ก่อนที่จะมีอะไรเกิดขึ้นตามมา โดยถึงแม้ว่าเธอจะรู้ข่าวการสิ้นชีพนั่นมาเป็นเดือนแล้วแต่ก็ยังทำใจไม่ค่อยได้เท่าไหร่นัก
“พระธิดาเพคะ พระธิดาอย่าได้ทรงกังวลเลยนะเพคะ บัวจะดูแลตนเองให้ดีและจะใช้ประโยชน์จากสิ่งที่พระธิดาทรงมอบให้เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นให้ดีที่สุดเพคะ” เธอคิดว่าจะใช้ประโยชน์ในคืนเดือนดับโดยการซ้อนแผนเพิ่ม แต่คงต้องบอกเอาเมื่อถึงเวลาหนี เพราะคิดไปมาหาสู่กันถี่กันไปจะเป็นที่สงสัยเอาได้ ตนยังมีเรื่องห่วงในตัวพระธิดาอัญญาณีอีกคน ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าสามารถได้รับแหวนวิเศษแล้วล่ะก็ ไม่แน่ว่าคืนเดือนดับอาจจะเพ่งจิตจนอำนาจแห่งแหวนศุภรพามาหาเธอก็ได้ แต่ก็ขอให้มาทันเวลาหนีด้วยเถอะ อย่าได้ผิดพลาดเลย
……….
“พวกเราต้องแยกทางกันแล้วล่ะหลานติณกฤต” วัศพลนาคราชกล่าวกับหลานชายในยามรุ่งเช้า เตรียมที่จะแบ่งกำลังไพร่พลเพื่อจะได้ไปตีเมืองบาดาลทั้งสองทิศ ตนน่ะจัดการได้อยู่แล้ว แต่ก็เกรงว่าหลานจะใจอ่อนให้บิดาเสียก่อนน่ะสิ
“เอาอย่างนี้นะหลานรัก พวกเรามาเปลี่ยนที่โจมตีกันไหม ลุงไปทิศใต้ เจ้าก็ไปประมือกับอาเจ้าที่ทิศตะวันตก” เขาลองเสนอดู เพราะยังไงลำพังน้องเล็กของตนที่ชอบอยู่สงบไม่ค่อยฝึกปรือฝีมือไปรบกับใครอยู่แล้ว หลานตนที่ยังไม่รู้ฝีมือมากนักน่าจะจัดการได้ไม่ยาก ส่วนพี่คนรองน่ะเหรอ ระดับนั้นเขาก็ต้องจัดการเอฃสิถึงจะสมน้ำสมเนื้อ
“หลานทำอย่างนั้นไม่ได้พระเจ้าค่ะ นี่เป็นพระกระแสรับสั่งของพระเทวาวิษุวัต หากพวกเราฝ่าฝืนก็เท่ากับไม่เห็นพระองค์อยู่ในสายตา” เขาแย้งทันที เรื่องอะไรจะยอม อุตส่าห์ได้หน้าที่มาแท้ๆจะแย่งความดีความชอบกันหรืออย่างไร
“ถูกแล้วเพคะ ถ้าพระองค์ไม่รับพระบัญชาเช่นนี้หม่อมฉันคงต้องไปทูลพระเทวาให้ทรงทราบเสียแล้ว” ฉันทนาที่เร่งรีบเดินทางไม่หยุดพักประกอบกับโลหะเคลื่อนย้ายที่เสริมความเร็วในการเคลื่อนตัวได้รวดเร็วที่ได้มาจากอาจารย์จึงที่จุดที่พักสองลุงหลานที่ใกล้จะแยกทาง พอได้ยินที่ติณกฤตพูดอย่างนั้นก็เลยช่วยเสริม
“เป็นเจ้าเองหรอกรึที่บดิศรให้มาช่วย นึกว่าจะไปจำศีลตามอาจารย์เจ้าเสียแล้ว” เขาพูดแบบนั้นเพราะไม่เห็นว่าจะมาชุมนุมเลยนึกว่าฤษีทมิฬผู้ภักดีจะเหลือศิษย์ไว้ให้ทำงานแค่คนเดียวเสียอีก
“เพคะ ถึงหม่อมฉันจะมาช้าแต่ก็ดีกว่าไม่มา…… เอาอย่างนี้ดีกว่าเพคะพระองค์ก็ทำตามพระบัญชาตามเดิม ส่วนพระภาติยะติณกฤตให้หม่อมฉันเป็นคนติดตามไปช่วยเองเถอะเพคะ” เธอเสนอไปเพราะก็อยากรู้ว่าสองพ่อลูกคู่นี้จะเล่นตบตาอะไรกัน การที่มีตนไปดูสถานการณ์เช่นนี้ คนที่จ้องจับผิดก็ดิ้นไม่หลุด
“อยากทำอะไรก็ทำ ศิษย์ร่วมสำนักเจ้าเป็นคนโปรดของพระองค์เราจะไม่ยุ่ง ถ้ามีอะไรผิดพลาดล่ะก็เจ้าต้องรับผิดชอบ” เขาอยากขัดก็ขัดไม่ได้เพราะบดิศรน่ะคนโปรด ถ้าคนของเขาไปฟ้องร้อง โทษขัดบัญชาก็จะทวีคูณเสียเปล่าๆ
“คนที่ชื่อบดิศรสงสัยเราจริงๆด้วย สายตาของเขาชัดจนเราต้องระวังตัวเพิ่ม คิดไม่ผิดเลยว่าเมื่อเขาไม่ว่างก็ต้องส่งคนมาจับตาดู เห็นทีเราจะต้องระวังให้มากขึ้นกว่าเดิมแล้ว” พระโอรสแห่งบาดาลแดนทักษิณลอบคิดในใจก่อนจะแสร้งกล่าวตอบไป
“เสด็จลุงอย่าได้ทรงกังวลเลยพระเจ้าค่ะ ยิ่งได้คนมาช่วยอีกแรงเช่นนี้หลานก็จะยิ่งทำสำเร็จเร็วขึ้น ขอย่าได้ต่อว่าเลยพระเจ้าค่ะ ” เขายิ้มรับด้วยยินดีทั้งยังช่วยพูดให้อีกคน
“ตามใจหลานเถอะ ได้เพลาแล้วเร่งแยกย้ายกัน ลุงจะไปกับหลานลีลาวดี เจ้าในฐานะผู้เป็นพี่ก็ไม่ต้องกังวลไป” เขาไม่แยกเปล่ายังเอาตัวหลานคนโปรดไปด้วยกัน เพื่อความอุ่นใจของคนที่ไม่มีบุตรเป็นของตนเอง
“ถ้าเสด็จลุงมีพระประสงค์เช่นนั้น หลานก็ไม่ขัดหรอกพระเจ้าค่ะ” เขาพูดไปอย่างนั้น ใจจริงเขาน่ะห่วงน้องสาวที่ความจำขาด ไม่รู้ว่าจะถูกกลมนตราอะไรเพิ่มหรือไม่ แล้วถ้าหลุดจากอาการนั้นไม่แน่อาจจะโวยวายเรื่องทำร้ายพระบิดาเสียจนเกิดอันตรายก็ได้
“ดี ขอให้หลานทำได้สำเร็จ” ว่าแล้วก็ต่างแยกทางกันไป ในเมื่อมีคนติดตามคอยจับผิดเช่นนี้เห็นทีต้องเปลี่ยนแผนรับมือเสียแล้ว
………
ด้วยความเหนื่อยล้าที่คนก่อนๆสั่งสมกันมาจนคนวันเสาร์ตื่นขึ้นมาก็จะเข้าเวลาเพลเสียให้ได้แล้ว เป็นเมธาวีที่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก่อนอีกคน แต่กลับพบว่าตนนั้นนั่งหลับซบไหล่อีกคน อีกทั้งยังโอบเธอไว้แขนนึงอีกด้วย
“นี่เจ้า!!” เธอตกใจผลักทั้งที่ยังมีอาการงัวเงียร่วมด้วยนิดหน่อย ทำเอาเสียอีกคนตื่นจากภวังค์
“อะไรของเจ้าน่ะ เราไปทำอะไรให้” เขาถามเธอด้วยสีหน้ามึนงงเล็กน้อย
“ตอนก่อนสองคนนั้นนอนแยกกันคนละต้นไม้เลยนี่  ทำไมเราตื่นมาเจ้าก็..เจ้าก็โอบตัวเราไว้ล่ะ” สติเธอกลับมาได้ดีแล้วตอนนี้อาการดีขึ้นมากไม่สู้ว่ามึนหัวเท่าใดนัก
“เรื่องนี้นี่เอง นั่นก็เป็นเพราะว่าช่วงรุ่งสางศุภลักษณ์น่ะหนาวสั่น ดูท่าแล้วก็ไม่ได้แกล้งทำ ประกายพฤกษ์ที่เห็นก็เลยดูอาการรวมไปถึงช่วยโอบกายเขาจนอรุณมาถึง ตัวเจ้าเองก็ไม่ได้คลายหนาวลงเราเลยโอบต่อ เราไม่ได้มีเจตนาไม่ดีตัวราก็เพลียมากเลยเผลอหลับไปน่ะ” ศนิวารล้างหน้าที่ลำธารอย่างสบายใจรับการตื่นอย่างเต็มที่ เมื่อเห็นอย่างนั้นอีกคนก็ล้างหน้าตาให้ดีเสียก่อนถึงจะเอ่ยคำที่ควรเอ่ย
“เราขอบใจเจ้ามาก….เจ้ารอเราตรงนี้ก่อนได้ไหม  ” เธอกล่าวขอบคุณอย่างเดียวคงไม่พอหรอกมันต้องทำอย่างอื่นด้วยสิ
“เรายินดี..แล้วเจ้าจะไปไหน” เขาตอบรับด้วยไมตรี แต่ก็สงสัยอยู่ดีว่าอีกคนจะไปไหนไกลมากได้ก็ในเมื่อทั้งสองคนก็เชื่อมต่อกันด้วยเส้นด้ายยืดหยุ่นแค่นั้น
“เราจะไปดินแดนจินตภพ ที่นั่นมีดินมลายมนตรา” เธอพูดตอบความสงสัยไป
“ดินมลายมนตราอย่างนั้นเหรอ จะเอามาแก้ด้ายเลื่อมประภัสสรที่ผูกเราสองคนใช่ไหม” ฟังจากชื่อก็น่าจะเป็นของที่ช่วยแก้ให้รอดพ้นบ่วงไม่ยอมแก้ของคนเริ่มได้
“ดินนี้ช่วยแก้มนต์ได้เวลาที่ไม่รู้มนต์แก้ แต่มีข้อจำกัดไว้ว่าให้ใช้ได้แค่ปีละ๓ครั้งเท่านั้น โชคยังดีที่ปีนี้ยังไม่ได้ใช้เลยสักครั้ง นี่น่าจะพอช่วยพวกเราในวิกฤตอื่นๆได้อีกด้วย”  ที่เธอพูดมันก็ถูกแต่ว่าเธอมีอักษรสาปอยู่ไม่ใช่เหรอ จะไปที่นั่นมันจะไม่เป็นอะไรแน่เหรอ เพราะตอนนี้ฤษีมฤคินทร์ก็จำศีลไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วยนี่สิ คราวนี้ถ้ามีคนบุกมาก็แย่กันหมด
“ยังดีที่ใช้จิตเข้าไปไม่ได้ใช้มนตรา แล้วทำไมไม่ให้เราไปด้วยล่ะ” เขาก็ต้องรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง แต่ก่อนน่ะก็เคยไปด้วยกันแล้วตั้งครั้งนึง ทำไมถึงไปด้วยกันไม่ได้
“ถ้าเราไปพร้อมเจ้าเราก็ไม่มีสมาธิกันพอดี” เธอหันหน้าหลบไปทางอื่น ถึงจะรู้สึกขอบคุณที่อีกคนหวังดีแต่ว่าเธอยังทำใจไม่ให้รู้สึกอายไม่ได้นี่
“จะโทษเราอย่างงั้นเหรอ เราไม่ใช่พวกจิตอ่อนไม่มีทางทำเจ้าจิตเสียหรอก” เขาเริ่มไม่สบอารมณ์เล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้เอาความอะไร เพราะเขาดูเหมือนจะไม่รู้สึกรู้สาถึงอารมณ์ของอีกคนเท่าใดนัก
“เอาเถอะ ถือว่าเราผิดเอง…พวกเราไปกันเลยดีกว่า” เธอตั้งสติใหม่ เวลาแบบนี้มัวแต่เขินแล้วจะได้ทำอะไรกันล่ะ เธอคิดแล้วก็สลัดความทิ้งเสียจะดีที่สุด
 ไม่นานนักทั้งสองก็มาถึงป่าจินตภพ รู้สึกว่ามาครั้งนี้พืชพรรณที่ปลูกใหม่ในคราวนั้นตอนนี้เจริญงอกงามได้ดีไปทั่ว อาศรมที่ดูโล่งๆก็มีดอกไม้ขึ้นรอบๆ แล้วที่นี่ก็ไม่ค่อยหนาวเหมือนด้านเท่าไหร่ด้วย ถ้าไม่ติดว่ามีเรื่องต้องทำคงจะค้างคืนที่นี่เสียหน่อย
“ท่านตา หลานมาขอดินมลายมนตราไปแล้วนะเจ้าคะ” เมธาวีมาไหว้เคารพแล้วบอกให้ได้รับรู้ ถึงแม้อีกฝ่ายจะนั่งสมาธิจำศีลด้วยจิตมุ่งมั่นอยู่ก็ตามที
“ที่นี่มีลิขิตเขียนไว้”  ศนิวารที่รออีกคนอยู่ได้เห็นจดหมายที่แนบไว้ตรงระเบียงจึงได้เรียกบอกสหาย
“อ่านให้ฟังเลยก็ได้ เรากำลังหาผอบดินมลายมนตราอยู่”  เธอพูดอนุญาต จริงๆก็ไม่มีเรื่องอะไรต้องปิดบังกัน การที่อ่านจดหมายแทนกันคงไม่ล้ำเส้นกันเกินไปนักหรอก

……“      สิ่งที่คิดหาได้ใช่ไกลอยู่
            สิ่งที่รู้เร่งแจ้งอย่าแคลงหาย
            สิ่งเจ้าปรารถนาไม่เสื่อมคลาย
            สิ่งย่อมได้เจ้าจักได้ในเร็ววัน
           อุปสรรคจักต้องเร่งหาทางแก้
     ทำนายแน่เคราะห์สามคราอย่าโมหันธ์
          สิ่งสำคัญอย่าจำแนกแตกแยกกัน
         มิเช่นนั้นจะทุกข์ตรมขมขื่นใจ”……

เนื้อความในนี้คงจะเป็นประโยชน์อยู่ไม่น้อย บางทีถ้าผ่านเคราะห์ได้คงได้พบความสงบสุขที่แท้จริงอย่างนั้นสินะ ไม่ว่าจะยังไงก็ตามต่อจากนี้พวกเขาต้องระวังตัวให้มากขึ้นเสียแล้ว ไม่เช่นนั้นคงจะมีปัญหาที่แก้ยากขึ้นอีกเป็นเท่าตัวเลย

หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ สิงหาคม 28, 2021, 07:23:12 PM
วันนี้จักรกรดของดอัพเดตนิยายในวันนนี้แล้วเลื่อนไปทบกับวันที่14เดือนหน้านะคะ​ เนื่องจากมีปัญหาสุขภาพในเรื่องปวดศีรษะ​หลายวัน​ ประกอบกับสภาพอากาศในพื้นที่อาศัยเปลี่ยนแปลงบ่อยกว่าปกติเลยปรับตัวไม่ทัน​ ร่างกายต้องการพักผ่อนหลายเวลา​ จึงยังเขียนได้ไม่สมบูรณ์​นัก​ ด้วยเหตุนี้จึงนำไปทบต่อกันในครั้งหน้าจะดีกว่าค่ะ​ ต้องขออภัย​ผู้อ่านทุกท่านด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กันยายน 14, 2021, 08:24:58 PM
ทั้งสองคนที่ได้รับพระบัญชาของพระเทวาวิษุวัติมาถึงพื้นที่ระหว่างสีน้ำต่างกันคนละวรรณะ​หรือที่รู้กันดีอยู่แล้วนั่นคือพื้นที่ระหว่างมหาสมุทรสีชาดกับทะเลแดนใต้ มาถึงนี่ก็ไม่ค่อยต่างจากที่พวกฝ่ายอริมาก่อนหน้านี้เท่าไหร่นักเพียงแต่พวกเขาไม่รู้ว่ามีคนมาเยือนที่นี่ก่อนแล้ว  หลังจากเข้าสู่ดินแดนอันกลับด้าน ทั้งสองก็เดินทางเข้าสู่เขตแนวอสุรา

“โลหะเคลื่อนย้ายที่ปัจจาให้พวกเรามานี่ดีจริงๆ เพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามก็เดินทางมาถึงที่นี่แล้ว” อัคนินพูดพลางมองสิ่งที่ติดตัวมาอย่างพอใจ เพราะโดยปกติแล้วต่อให้เดินทางด้วยการเหาะจากพลังของสังวาลย์ศิลาที่สวมใส่จะมีความเร็วมากอยู่แต่ก็ไม่ทันใจเขาถึงเพียงนี้

“ปัจจาเตือนเราเอาไว้ว่าที่นี่นั้นมีอันตรายที่สลับสับเปลี่ยนกันมาเผชิญหน้าของผู้มาเยือนแต่ละครั้งโดยเฉพาะ จะต้องระวังให้มาก” บดิศรก็คิดอยู่หรอกว่าโลหะนี่น่ะเร็วอย่างน่าพอใจ แต่เวลานี้ควรคิดเรื่องที่จะทำให้สำคัญเป็นที่สุดก่อน

“เราก็ไม่เห็นจะมีอะไรเลย ออกจะธรรมดาซะด้วยซ้ำไป….คนอย่างเราไม่เคยกลัว อยากสู้ก็ออกมาอย่าเอาแต่เอาหัวซุกอยู่ในกระดอง!!” คนที่ไม่เคยมาที่แบบนี้มันก็มีประเภทระวังตัวกับประเภทกล้าบ้าบิ่น อย่างเขาน่ะมันประเภทที่สอง อยู่ดีๆนึกอยากตะโกนยั่วโทสะให้สิ่งที่บอกว่าอันตรายมาซึ่งๆหน้าจะได้รู้ว่าใครกันแน่ที่ฝีมือเก่งกาจกว่ากัน

 

“ส่งเสียงไปก็เท่านั้น ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่แล้ว” อีกคนที่ได้ยินก็ส่ายหัวพลางเดินไปที่สะพาน สหายร่วมภารกิจนั่นก็ไม่อยากให้อีกคนนำหน้าเขาจึงแทรกนำไปก่อนจนขึ้นสะพานไปได้ประเดี๋ยวก็ถูกร้องเตือนเสียแล้ว

“อัคนินระวัง!!!!” สิ้นเสียงเตือนของเขา สายฟ้าที่ไม่อาจทราบแหล่งที่มาก็เกิดอสนีบาตลงมาที่สะพานนั้นจนคนที่ยืนอยู่เกือบเอาชีวิตไม่รอด ยังดีที่สวมใส่ของวิเศษที่กันภัยเลยพอที่จะลดความรุนแรงของสิ่งที่พบเจอได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ข้อขาถูกสายฟ้าลงแผ่ไปยังจุดนั้นมากเป็นพิเศษจนคนเสียการทรงตัวตกสะพาน

“นี่ข้ายังไม่ตกลงไปข้างล่างอีกเหรอ” เพียงครู่เดียวตัวของเขาก็ห้อยที่ข้างสะพานจะตกเอาเสียให้ได้ถ้าไม่มีสหายมาดึงมือเขาเอาไว้

“ปล่อยข้า ไม่ต้องช่วย!!!” โอรสเมืองคีรีมาศพูดอย่างนั้นไม่ใช่เพราะห่วงคนด้านบน แต่การที่ต้องรับการช่วยเหลือจากผู้อื่นเช่นนี้ ไม่สู้ตกลงไปผจญภัยเอาด่านล่างนั่นดีกว่า

“อย่านึกว่าเราช่วยเจ้า ที่เราต้องการก็คือไม่ให้สังวาลศิลาต้องเสียหายไปมากกว่านี้…อย่าลืมสิว่าพระองค์ให้พวกเรามาที่นี่ทำไม” ว่าแล้วโอรสเมืองรัตนบุรีก็ดึงอีกคนขึ้นมาจนได้ ยังหายใจไม่ทันทั่วท้องสายไฟสายที่สองก็ผ่าลงมาอัคนียังถูกผลักไปยังอีกด้านของสะพานได้ทันแต่ตัวเขาเองที่ตามหลังไม่ทันการณ์น่ะต้องเสี่ยงภัยอีกคนเสียแล้ว

 

……………………….

“พระแม่เจ้าตรัสว่าอย่างไรนะเพคะ” สันต์สินีทวนถามถึงคำที่ได้ยินจากโอษฐ์ผู้ที่ได้นับได้ว่าเป็นนายหญิงของตน

“เราอยากไปที่ถวิลรมณีย์” อัญญานีกล่าวตอบ ที่นั่นเป็นที่ตั้งของต้นปาริชาติ เธอน่ะอยากไปให้แน่ใจดู ตนไม่คิดจะอยู่ที่นี่ในคืนนี้เพื่อไปชมดมกลิ่นดอกไม้นี้พร้อมกับเทพผู้นั้นในวันพรุ่งหรอก แต่ตนก็ไม่ใช่ว่าไม่อยากจะรู้อดีตของตนจึงได้คิดที่จะใช้แหวนที่ตนซ่อนไว้นำตนไปยังที่นั่นเพียงแอบนำออกมาได้แค่ดอกเดียวตนก็น่าจะพอทราบเรื่องราวในอดีตชาติที่สงสัยได้แล้ว

“พระแม่เจ้าจะร้อนพระทัยไปไยเพคะ วันพรุ่งนี้จะได้เสด็จกับพระเทวาแล้วนะเพคะ” นางฟ้าที่คอยอยู่ข้างกายมาเสียพักหนึ่งก็ร็สึกว่านางค่อนข้างจะแปลกไปเสียหน่อย เพราะหลายวันมานี้ก็ดูท่าอีกจะเก็บตัวมากด้วยซ้ำ แม้แต่อุทยานที่มีเป็นของตัวเองยังไม่คิดไปชม ไม่รู้คิดยังไงถึงอยากไปชมที่อื่นนักหนา

“เจ้าไม่เข้าใจ” พระธิดาแห่งเมืองโกสุมพิสัยถอนหายใจเสียครู่ อารมณ์ก็มิสู้ดีนัก

“อย่าได้พิโรธหม่อมฉันเลยเพคะ เป็นความผิดของหม่อมฉันเองเพคะที่ไม่เข้าใจพระองค์” เธอก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ไม่เคยเห็นอารมณ์แบบนี้มาตั้งแต่ตอนที่ยอมรับผู้ปกครองตนแล้วนี่นา

“คิดตามเรานะสันต์สินี เพราะว่าพรุ่งนี้นะเป็นวันสำคัญและเราก็ไปในฐานะว่าที่พระชายาจะมัวไปเที่ยวเล่นดูไปทั่วสวรรค์ในวันสำคัญให้เป็นที่ติฉินนินทาจนเสียพระเกียรติของพระเทวาวิษุวัติเชียวนะ ไม่รู้ต้องรอนานแค่ไหนถึงจะได้ไปอยู่ที่นั่นจริงๆ ตัวเราก็อยากบันเทิงใจแต่ทนอึดอัดอย่างนี้เราก็ไม่สบายใจไปตลอด ” เธออ้างเหตุผลที่เตรียมไว้ เพราะรู้ว่ายังไงคนข้างกายต้องไม่ยอมให้ไปแน่

“ใครจะกล้าว่าพระแม่เจ้าได้เพคะ พระองค์ต้องการกระทำสิ่งใดในวันพรุ่งนี้ก็ย่อมทำได้อยู่แล้ว ไม่เป็นไรหรอกเพคะ” เธอได้ยินเหตุผลก็ไม่เข้าใจ ก็นายตนในตอนนี้น่ะรักษาตำแหน่งแทนพระอินทร์ก็เท่าเป็นใหญ่สุดใครไหนเลยจะกล้าวิจารณ์ได้

“ขนาดพระมหาเทวาทั้งสามพระองค์ยังถูกผู้คนธรรมดานินทาต่อว่า พวกเราน่ะคงไม่พ้นคำครหาได้หรอก อย่างไรเสียเราก็ต้องรักษาเกียรติของพระองค์ แต่ตอนนี้ความเศร้าหมองในใจเรามันไม่ทำให้ความงดงามนี้น่าชมเอาเสียแล้วสิ ” เธอแกล้งกล่าวพลางนำหัตถ์มาลูบพักตร์ตน

“เช่นนั้นก็ย่อมได้เพคะ แต่ว่าเพื่อความปลอดภัยจะต้องปลอมตัวเข้าไปนะเพคะ ” สุดท้ายก็ต้องตกปากรับคำพาคนอยากรู้ไปเพราะไม่รู้ว่าผลลัพธ์ที่ตามมาจะเป็นเช่นไร นายตนไม่ได้กลับมานานถ้ามาเห็นว่าคนรักทุกข์ใจคงต้องถูกลงโทษเป็นแน่

หลังจากเตรียมตัวกันดีแล้วทั้งสองก็แสร้งทำเป็นเทพธิดาผู้มาช่วยตระเตรียมงานสำคัญในวันพรุ่ง โอกาสดีร้อยปีจะมีครั้งไหนเลยจะมาชมกันธรรมดาได้ ทั่วสารทิศจะมาเยือนที่แห่งนี้ต้องดูแลให้ดี

 

“ที่นี่งดงามมาก พรรณไม้นานาพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับก็น่าชมตลอดทางเลย” ถึงจะพูดอย่างนั้นจิตใจของอัญญานีก็คิดถึงแต่ต้นปาริชาติเสียมากกว่า

“เพคะ ยิ่งพรุ่งนี้มีดอกปาริฉัตรบานสะพรั่งออกมาก็จะได้ทอดพระเนตรเห็นดวงดาวรายล้อมไปทั่วดอกไม้นี้ได้อย่างชัดเจนแม้จะเป็นเพลากลางวันด้วยนะเพคะ”

ถึงตอนแรกไม่อยากให้อีกคนมายังที่นี่แต่พอมาจริงๆตัวเองก็อดที่จะสนุกไม่ได้เหมือนกัน ถึงมันจะไม่ใช่วันจริงก็ตาม เดินไปตามทางอย่างเพลิดเพลินอย่างนั้นไม่นานก็มาถึงบริเวณที่ต้องการ ต้นไม้ที่ตั้งอยู่ปรากฏใบไม้สีทองอร่ามไปทั่วต้น หากไม่รู้ว่าเป็นที่ตั้งคงจะคิดว่าเป็นต้นโพธิ์ทองเสียแทนเมื่อมองจากระยะไกล

แต่ว่ากลับไม่เห็นดอกไม้อยู่เลยราวกับล่องหนเสียอย่างนั้น

“พระเทวาตรัสว่าทรงจะนำใบของต้นปาริฉัตรนี้ไปใช้ในพิธีวิวาห์ด้วยนะเพคะ” เธอพูดเมื่อเห็นว่าอีกคนดูสนใจไม้ต้นไม้นี้มากเป็นพิเศษ

“เช่นนั้นก็ดี…แต่ทำไมเราถึงไม่เห็นดอกไม้เลยล่ะ” ว่าที่พระชายาแสร้งยิ้มตอบอย่างพอใจ แต่ก็ยังสงสัยในสิ่งที่เห็นจึงถามไป

“ปาริฉัตรของสวรรค์มีความพิเศษอยู่อย่างหนี่งเพคะ ถ้าหากไม่ใช้เพลาที่บานสะพรั่งดอกไม้เหล่านี้ก็ไม่ปรากฏให้ได้ชมเลยเพคะ” เธอคอยตอบคำถามอย่างเต็มใจอย่างอารมณ์ดี

“ดีล่ะพรุ่งนี้เราก็จะได้เห็นปาริฉัตรที่ดวงดาวล้อมรอบเสียที  วันนี้เราสบายใจมากกลับกันเถอะ” ด้วยอารมณ์ที่ดีมากขนาดนั้นก็ทำให้นางฟ้าข้างกายอดยิ้มเสียไม่ได้ เป็นเช่นนี้ก็โล่งใจไปที
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กันยายน 14, 2021, 08:26:56 PM
………………

“เคราะห์สามคราอย่างนั้นเหรอ แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าเคราะห์ครั้งใดคือเคราะห์ที่บอกในนี้นะ” ศนิวารกล่าวขึ้นหลังจากอ่านข้อความในจดหมายอาจารย์ของสหาย

“ขอเราดูหน่อยสิ” เมธาวีที่หาดินมลายมนตราเจอแล้วจึงได้ลงมาขอดูจดหมายเสียหน่อย พอพลิกดูไปมาก็ดูว่าไม่น่าจะมีอะไร แต่เมื่อมองมุมด้านล่างของกระดาษเปิดออกจากกันเล็กน้อยราวกับว่าไม่ได้มีเพียงหนึ่ง เธอจึงตัดสินใจดึงมุมนั้นจนแผ่นกระดาษทั้งสองออกจากกัน

“กระดาษอีกแผ่นนี่เป็นรูปสามเหลี่ยม แสดงว่าเส้นแต่ละเส้นคือเส้นแทนเคราะห์แต่ละครั้งที่พวกเราต้องเจอสินะ”  อีกคนที่เห็นสัญลักษณ์สามเหลี่ยมที่เส้นรอบรูปร่างนั้นเป็นสีรุ้งก็พอจะเข้าใจไม่ยาก

“ไม่ผิดเลย นี่เป็นสิ่งที่ท่านตามอบให้พวกเราก่อนจะจำศีลต้องเก็บไว้ให้ดี….เอาล่ะเราว่าอย่ามัวแต่เสียเวลาไปกับด้ายเลื่อมประภัสสรนี่อีกเลย ” ว่าแล้วพระธิดาวันเสาร์ก็พาสหายกำมือข้างที่ถูกผูกด้ายนั่นจุ่มลงไปในดินวิเศษ เพียงครู่เดียวทั้งสองก็ไม่ต้องมีอะไรมาผูกมัดกันอีก

“ดินมลายมนตรานี่ดีจริงๆ เราเห็นด้วยที่เจ้าอยากจะนำไปเพื่อทำประโยชน์อื่นต่อไปในภายหน้า เราชื่นชมความคิดของเจ้า” พระโอรสวันเสาร์กล่าวหลังจากหลุดพ้นจากด้ายแห่งความอึดอัดใจนี้ได้ เพราะตัวเขานั้นกังวลว่าอีกคนจะไม่สบายใจมากนัก

“เรารับความชื่นชมของเจ้า แต่ก็นะเราน่ะความคิดดีมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว” เธอแกล้งพูดเล่นไปเพราะเห็นว่าสกายร่วมทางก็สบายใจอยู่ไม่น้อย  ตนสร้างความบันเทิงเพิ่มโดยการอวดอ้างตนคงไม่เกินไปนักหรอก

“คิดซะว่าเมื่อครู่เราไม่ได้พูดนะ” เขาก็แกล้งว่าไปเช่นนั้นให้พออมยิ้มได้บ้างในสถานการณ์เช่นนี้ หลังจากนั้นทั้งคู่ก็กลับออกมาแล้วเดินทางต่อ 

“เดินทางอย่างนี้คงน่าเบื่อแย่ ครั้นจะให้วิ่งไปเปล่าๆก็คงถอดใจไปก่อน” พระธิดาเมืองคีรีมาศกล่าวขณะที่กำลังดำเนินไปเสวยลูกไม้ไป ขณะกล่าวไม่ได้มีทีท่ากังวลแต่ดูเหมือนว่าจะคิดวิธีเล่นสนุกๆให้ไม่เบื่อถึงได้ยิ้มอย่างพอใจ

“อารมณ์ดีเชียวนะ เราจำได้ว่าตอนเด็กๆจนถึงครั้งก่อนที่เจอกันเจ้าออกจะดูอารมณ์ขึ้นๆลงๆเดาทางไม่ออกซะด้วยซ้ำ” เขาพูดกับคนที่จะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
“เอ๊ะ!! เจ้านี่มันยังไงนะ ตอนเราอารมณ์ไม่ดีก็ไม่ชอบ พออารมณ์ดีมากแบบนี้ก็ไม่ชอบอีก” เธอได้ยินคำพูดแบบนี้ก็ฟังไม่เข้าหูเอาเสียเลย

“นี่ยังไงล่ะเราว่าแล้ว ไม่ทันไรก็อารมณ์ขึ้น” ก็แค่พูดเท่านี้ก็จะอารมณ์เสียใส่แล้ว จะไม่ให้เขาวุ่นวายใจได้อย่างไร

“แล้วที่ว่าเราไม่ชอบน่ะเข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว….ที่จริงแล้วเรา…เรารู้สึกว่าพวกเรารู้จักกันถึงตอนนี้แต่ก็ยังมีหลายเรื่องที่ไม่เข้าใจกัน ก็ควรจะคุยกันให้เข้าใจสิ” ถึงจะรู้จักกันมาแต่มันก็ยังมีช่องว่างที่อธิบายไม่ถูกอยู่ภายในใจเหมือนกัน

“เสด็จพ่อเคยตรัสกับเราไว้ ไม่ว่าความสัมพันธ์ไหนก็มีเรื่องที่ไม่อาจเข้าใจได้ทั้งนั้น นั่นน่ะเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ต่อไป…ความคิดก็เจ้าก็ดีแต่..”

“แต่อะไร” 

“ไม่รู้ล่ะ เจ้าทำเราอารมณ์ร้อนเจ้าต้องรับผิดชอบ” ว่าแล้วเธอก็แกล้งตีอีกคนแล้วรีบวิ่งหนีเป็นเชิงชวนให้มาตีกลับคืนเสียอย่างนั้น

“เจ้านึกว่าตีเราได้คนเดียวเหรอ” เขาก็วิ่งไล่ตามอีกคนราวกับวิ่งไล่จับพร้อมยิ้มเริงร่าราวกับเด็กๆที่เล่นกัน ถ้าตอนยังเยาว์ไม่ติดทะเลาะกันมากและไม่มีเรื่องวุ่นวายแบบนี้ทั้งสองในตอนนั้นอาจจะเป็นเด็กที่มีความสุขที่สุดเลยก็ได้

………….

“เครื่องเสวยเย็นนี้เจ้าคิดจะทำสิ่งใดถวายล่ะจ๊ะ” หญิงคนครัวถามสไบทองด้วยความเป็นมิตรมากขึ้นต่างจากเมื่อก่อน ด้วยเพราะพระนางไม่เคยทำความเดือดร้อนให้มากนัก ช่วยงานก็ไม่เคยบ่นทั้งที่เป็นสตรีสูงศักดิ์ จะมีแค่ช่วงแรกที่ฟูมฟายถึงลูกยามากไปเสียหน่อยเท่านั้น

“เราว่าจะทำยำทวาย ต้มกะทิสายบัว น้ำพริกลงเรือ นารีจำศีล…องค์เหนือหัวโปรดเสวยขนมแดกงามาก เย็นนี้ก็จะถวายสิ่งนี้ด้วย” สำหรับเธอแล้วนี่คงเป็นมื้อสุดท้ายก่อนจะจากกันอย่างยาวนานอีกครั้ง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะได้พบกันอีก จึงต้องตั้งใจทำมากเป็นพิเศษ

“เสด็จพ่อกับเสด็จแม่จะทรงเตรียมพร้อมกันดีหรือไม่นะ เรากลัวเหลือเกินว่าคนพวกนั้นจะบังคับให้ทั้งสองพระองค์ทรงงานหนักจนหาเพลาพักเร็วยากเสียน่ะสิ” เธอแอบลอบคิดในใจขณะลงมือเตรียมเครื่องเสวยเย็น

“บัวขอร่วมใช้ครัวทำขนมจะได้หรือไม่จ๊ะ” ไม่นานนักบัวแย้มได้มาเยือนที่ทำงานของอดีตพระมเหสีของเมืองนี้เป็นครั้งแรก ไม่ใช่ว่าต้องเลี่ยงพบกันหรอกหรือ

“บัว…บัวแย้มที่เป็นคนรักของพระโอรสบดิศรน่ะเหรอ ยังไงก็จะเป็นนายพวกเราอยู่แล้วจะใช้ครัวทำอะไรก็ทำเถอะ” คนที่ได้ยินก็กล่าวอนุญาตแต่ก็ไม่วายจะพูดด้วยอาการเจ็บใจในพวกคนชั้นสูงที่ไม่ได้เห็นค่าพวกนางแต่ยังแสร้งมาทำดีด้วยอีก

“บัวไม่ได้เป็นคนรักของพระโอรสหรอกจ้ะ เพียงแต่เป็นคนที่พระองค์วางพระทัยเท่านั้น” เธอตอบปัดความสัมพันธ์ที่คนเข้าใจผิดนั่นเสียแล้วทำทีเตรียมสิ่งของวัตถุดิบในการทำขนมอย่างที่กล่าวอ้าง

“จริงสิ สายบัวที่พวกเราเราจะใช้ทำต้มกะทิสายบัวได้เตรียมหรือยังจ๊ะ” มารดาของเหล่าผู้สวมเกราะกายสิทธิ์คิดได้ว่ามันมีช่องว่างให้ตนได้อยู่กับบัวแย้มตามลำพัง จึงได้พูดขึ้นมา

“เอ้อข้าก็ลืมสนิทเลย งั้นฉันกับนางช้อยไปเก็บมาให้นะ” แม่ครัวนามว่าชื่นที่หลงลืมเสมอนั้น เมื่อได้ยินก็รีบไปเก็บสายบัวโดยเร็ว ถ้าเตรียมสำรับไม่ทันการมีหวังหลังลายแน่

“แล้วเจ้าเล่าจะทำอะไร ข้าจะไปเก็บดอกมะลิอยู่พอดี ” ชิดชาวครัวคนสามหันหน้าถามไปทางคนที่มาขอร่วมใช้ครัว

“บุหลันดั้นเมฆจ้ะ” ขนมชนิดนี้มีดอกอัญชันเป็นวัตถุดิบด้วยจึง้หมาะที่จะวานคนไปเก็บดอกไม้ช่วยนำมาให้นัก

“ได้ข้าจะเก็บดอกอัญชันให้ พวกเจ้าทั้งสองก็อยู่รอที่นี่ไปก่อนเดี๋ยวข้ากลับมา” ว่าแล้วเธอก็ออกไป อะไรมันจะประจวบเหมาะถึงเพียงนี้นะ
“พระมเหสีทรงเป็นเช่นไรบ้างเพคะ บัวต้องขอพระราชทานอภัยที่ไม่ได้มาเข้าเฝ้าพระองค์ด้วยเพคะ” หลังจากแน่ใจว่าสามคนนั้นได้ออกจากครัวเป็นที่เรียบร้อยทั้งสองก็หาโอกาสใช้ช่วงเวลานี้คุยทันที

“ไม่เป็นไรหรอกเราเข้าใจ อยู่ที่นี่แรกเริ่มก็ไม่ได้รับการยอมรับพอนานเรากับพวกนางก็เข้าใจกันดีเกื้อกูลกันและกัน แต่ว่าการที่บัวมาหาเราเช่นนี้จะไม่ถูกสงสัยเอาหรอกหรือ” เธอก็พอเข้าใจอีกคนที่มาหาไม่ได้เพราะใครๆก็ล้วนจะจับตามองคนที่ลือกันว่าเป็นว่าที่พระชายาของพระโอรสที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียวของเมืองนี้กันทั้งนั้น

“เช่นนั้นก็ดีเพคะ คืนนี้จะเสด็จยังทิศหรดีอย่างไรหรือเพคะ” เธอนั้นก็เป็นห่วงอีกคนมาก ลำพังตัวเองจะไปไหนมาไนก็ไม่มีใครกล้าว่าเพราะเกรงกลัวต่ออารมณ์ของบดิศรที่มักจะหุนหันในเรื่องที่ทำให้หญิงคนรักไม่สบายใจ

“ตอนแรกเราจะทำเป็นไปตักน้ำมาไว้สำรองใช้ในครัวหลวง แต่ว่าเมื่อเช้าช้อยน่ะตักน้ำมาไว้เสียมากจะออกไปเอาอีกก็คงไม่ได้แล้วด้วย” เธอก็หนักใจ ถ้าคิดทำการไม่ออกคงจะลักลอบออกตอนคนหลับนี่แทน

“ขอแค่เราได้ไปรอที่นั่นเราก็พอจะหาที่ซ่อนได้อยู่บ้าง เห็นทีเราต้องขอให้บัวช่วยเราด้วยอีกแรงเสียแล้ว”

“บัวยินดีทำตามพระประสงค์เพคะ”

…………………………..

“บดิศร!!!” อัคนินออกจะตกใจเสียไม่น้อยที่อีกคนผลักเขาข้ามฝั่งมาได้กลับต้องถูกฟ้าผ่าถึงสองครั้งอีกทั้งตัวยังยืนนิ่งราวกับหินอย่างนั้นแล้ว ใครจะทนดูดายไหว สุดท้ายตัวเขาก็ต้องไปลากตัวสหายมาอีกฝั่งอย่างทุลักทุเล

“ตอนที่ฟ้าผ่าเราเห็น..เราเห็นว่าเรากับสุริยะเป็นคนอื่นในอีกภพหนึ่ง” ยังดีที่ไม่ถึงกับตายเพียงแต่ว่าช่วงล่างของใบหน้าข้างซ้ายจนถึงลำคอของเขาปรากฏรอยแผลรูปสายฟ้า แต่แปลกว่าแทนที่จะเป็นแผลพุพองแต่กลายเป็นเส้นสีครามเข้มแทน

“นี่ถูกฟ้าผ่าจนเสียสติไปแล้วเหรอ เจ้ากับเจ้าง่อยนั่นจะไปเป็นคนอื่นอีกได้ยังไง” คนที่ใบหน้าด้านขวามีแผลจากการถูกกรีดจากศุภลักษณ์เมื่อคราวนั้น ตอนนี้เลือดก็ไหลออกมาเจ็บซ้ำบาดแผลอีก แต่ถ้ามามัวเจ็บตัวเองอยู่คงไม่ได้ยินอีกคนพูดเพ้อเจ้อให้ตนฟังหรอก

“เหมือนว่าเรากับเขาจะเคยรู้จักกันมาก่อนจะมาเป็นลูกของเสด็จพ่อ” เขาลุกขึ้นนั่งพอจะได้แล้วจึงไม่คิดนอนต่อไปหรอก จะว่าไปเรื่องภพชาติคราวก่อนเก่าไม่ใช่ว่าจะไม่เคยมีร่วมกันมาก่อนนี่

“ยิ่งฟังก็ยิ่งงง ข้าไม่อยากฟังแล้ว รักษาอาการเจ็บให้ดีแล้วเดินทางกันต่อดีกว่า” เขาตัดบทอีกคน ไม่รู้ด้วยหรอกว่าพูดเรื่องอะไร แต่ตอนนี้ต้องเร่งรักษาตัวก่อนถึงจะถูกสิ ไหนๆก็ลากเอาตัวเขามาทำภารกิจแล้วควรจะเร่งเข้าสิ ชักช้าได้ประโยชน๋อะไร 

ทั้งสองพนมมือร่ายมนตราเรียกพลังจากสิ่งวิเศษที่สวมใส่มาช่วยรักษาอาการบาดเจ็บเบื้องต้น จากนั้นแล้วจึงได้เดินทางไปยังที่ตั้งของศิลาพยากรณ์โดยทันที
……………

“ติณกฤตนี่ก็ใกล้จะถึงบาดาลแดนทักษิณแล้ว เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้างล่ะ” ฉันทนาลองถามดูเพื่อสังเกตความผิดปกติของคนที่สงสัยว่าเป็นหนอนบ่อนไส้

“รู้สึก รู้สึกอะไร ทำไมต้องรู้สึก” เขาน่ะรู้ว่าต้องโดนถามแบบนี้จึงไม่ได้มีท่าทีชวนให้จับได้เท่าไหร่นัก

“ก็เจ้าจะได้เจอกับพระบิดาของเจ้าอีกครั้ง ในครั้งนี้ไม่ใช่ในฐานะลูกแต่เป็นศัตรู” เธอไม่หยุดที่จะยั่วโมโหอีกคนด้วยน้ำเสียงที่ออกจะแกล้งสมเพชเวทนาที่ต้องมาเห็นศึกสายเลือดนี้เข้าเสียแล้ว

“เราเพียงแค่รู้สึกว่าต้องกำจัดเขาไปให้เร็วที่สุดก่อนที่เรื่องมันจะวุ่นวายไปมากกว่านี้ ลองคิดดูสิว่าท้าววิชชุนาคราชไปรวมทัพกับทางท้าววิทวัสมันจะเป็นยังไง” คราวนี้เขาเลี่ยงจะใช้คำเรียกว่าเสด็จพ่อแต่เรียกอย่างเหมือนคนที่ไม่สนิทชิดเชื้อแทน อีกทั้งยังมีสีหน้ามุ่งมั่นที่จะทำการเช่นนั้นเอาเสียมากอยู่

“เป็นอย่างนั้นก็ดี เราจะคอยดูตอนที่เจ้าเอาดาบฟันคอพ่อเจ้าให้หลุดออกบ่าอย่างใจจดจ่อแน่นอน” เธอกล่าวด้วยสีหน้าที่ดูเหมือนนางมารกระหายเลือด การที่อยู่เป็นศิษย์ของฤษีทมิฬทำให้เธอเป็นคนเช่นนี้เชียวหรือ

“อย่าให้เห็นนะว่าใครหลับตาตอนเราลงมือ เราจะเอาเรื่องนี้มาก่อกวนไม่เลิกแน่” เขากล่าวพลางยิ้มตอบอย่างพอใจ ช่างเป็นนาคที่จับไม่ทันเอาเสียจริง

……………

“ตีเราซะเจ็บเชียว” หลังจากวิ่งไล่ตีกันจนเหนื่อยจนต้องหยุดกับที่ สตรีผู้สวมเสื้อสีดอกกล้วยไม้ม่วงพูดพร้อมกับนำมือมาลูบตรงบริเวณที่ถูกตีเพื่อคลายความเจ็บลง 

“ก็ใครใช้ให้มาตีเราเล่นก่อนล่ะ…จริงสินี่เป็นเมืองศาศวัตบุรีที่พวกเราเคยมาต่อสู้กับพวกนั้น” บุรุษผู้สวมเสื้อสีลูกหม่อนก็ยอมรับในเรื่องเล่นนี่ที่ทำให้มีความเร็วในการเดินทางได้อย่างไม่น่าเบื่อ แต่ไม่นึกเลยว่าจะได้มาถึงอีกเมืองได้เร็วดีถึงเพียงนี้

“ดีจริงๆ ที่นี่ไม่เพียงแต่สู้กับพวกนั้น พวกเราก็ต่างสู้กันเองเพราะมายาที่พวกนั้นสร้าง” นี่ก็ผ่านมาเข้าเดือนที่สองแล้วหลังจากที่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมคราวนั้น คนที่มีร่างกายไม่สมบูรณ์ทั้งสองคนนั้นต้องทนรับความเจ็บปวดกับการถูกกระแสน้ำพัดเท่าไหร่กันนะ

“เห็นหลุมที่สระบัวนั่นอย่างที่เราเห็นไหม ” เมธาวีที่มองไปรอบๆเมืองนี้ก็สังเกตเห็นสระบัวเก่าที่แห้งแล้งมาก ยังดีที่พอมีดอกและใบบัวแห้งๆอยู่ที่สระนั้นจนแน่ใจ แต่ไม่ค่อยแน่ใจเรื่องหลุมที่อยู่นั้นออกจะดูเหมือนทางลับลับใต้ดินเอามากๆ

“เราก็เห็นอย่างนั้นล่ะ ไปดูกันเถอะ” ศนิวารตอบ แล้วทั้งคู่ก็เดินเข้าไปสำรวจหลุมนั้นทันที

“เป็นทางลับจริงๆด้วย” ไม่รอช้า สตรีวันเสาร์ก็เข้าไปในนั้นทันทีไม่รอให้อีกคนคัดค้านเลยแม้แต่น้อย

“ไม่คิดเลยนะว่าคนเมืองนี้จะซ่อนทางลับนี่ไว้ที่สระบัว” เธอสำรวจรอบๆอย่างสนใจ เพื่อจะได้เบาะแสเพิ่มเติมด้วย

“ แยกด้านซ้ายเป็นสถานที่เก็บไม้ดอกไม้ประดับอยู่จำนวนหนึ่ง น่าแปลกที่พวกมันอยู่ได้โดยไม่ต้องแสงและได้รับน้ำเลยเหมือนกับพวกดอกบัวนั่นแต่กลับอุดมสมบูรณ์มาก ” บุรุษวันเสาร์กล่าวเมื่อทั้งคู่มาถึงทางแยกสองทางในด้านใต้นี้

“จริงด้วย หรือว่านี่จะเป็นพืชพันธุ์ของแม่มดเกลียวทอง ” มันก็น่าจะเดาไม่ยาก ในเมื่อความทรงจำเชื่อมโยงกันอย่างนี้ ผู้ที่เคยพบเจอพืชพวกนี้ก้องส่งต่อความทรงจำให้อยู่แล้ว

“เราว่าใช่ ขนาดนางไปอยู่ที่เมืองของเราแล้วยังไม่ละทิ้งพืชพวกนี้อีก อาจเป็นไปได้ว่านางยังคิดที่จะเก็บที่ลับนี้ไว้ใช้เวลาจำเป็นแน่…อย่าไปแตะต้องของนางเลย” 

“เราไม่ได้แตะต้องแต่เราสนใจในดอกไม้นี้ที่สุด ดูสิว่ามันถูกตั้งจงใจกลางแบบนี้ต้องมีความสำคัญมากแน่”  ดอกไม้ที่ว่านั้นมีลำต้นเป็นไม้รับแขก ตัวดอกก็เป็นยี่โถสลับกับดอกว่านสี่ทิศ อีกทั้งยังมีใบผกากรองอีกตะหาก นี่มันรวมพลพันธุ์พืชมีพิษหรือไรกัน

“นี่เป็นต้นที่รวมพิษเอาไว้ชัดๆ ตอนนี้พวกเรายังใช้วิชาหรือแม้แต่พลังวิเศษจากสิ่งที่สวมใส่ทำลายมันเดี๋ยวนี้เลยก็ไม่ได้ ” ก็จริงดังว่า การใช้วิชาก็ถือว่าเป็นการเรียกศัตรูมาทำร้ายตนน่ะสิ อย่างนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลย

“ไว้จัดการสังหารแม่มดเกลียวทองได้ พวกเราก็มากำจัดพวกพืชพันธุ์ก็แล้วกัน ” ว่าแล้วทั้งคู่ก็เดินทางไปทางแยกด้านขวาเพื่อดูว่ามันจะสิ้นสุดที่ไหนกัน

………….
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กันยายน 14, 2021, 08:31:40 PM
“เอาล่ะเพลานี้อาทิตย์อัสดงแล้ว พวกเราเดินทางกันเถอะ” หิ่งห้อยยักษ์กล่าวแล้วคณะช่วยเหลือหลบหนีก็เคลื่อนพลบินไปยังสถานที่เป้าหมายโดยทันที เพียงใช้เวลาสักพักก็มายังป่ารอบๆรัตนบุรีในช่วงปฐมยามที่สองปลายๆ ผู้คนในวังก็เตรียมจะเข้านอนกันเสียครบแล้ว เหลือก็แต่ยามเฝ้าวังตระเวนอยู่ไม่ยอมหลับ

และแน่นอนว่าผู้หลบหนีก็ไม่คิดจะหลับด้วย

“พวกเจ้าน่ะไปที่เรือนของข้า” อำมาตย์เรืองรองเรียกเหล่าเชลยให้ตามตนไปยังที่พำนักเสียหน่อย ทำทีว่าจะใช้งานนั้นล่ะ

“ไปได้แค่สาม” ผู้คุมที่ดูแลอยู่ให้ยืมคนไปใช้สอยได้เท่านี้ กลัวว่าสหายจะทำคนหายไประหว่างทางมากน่ะสิ คนพวกนี้นะก็คิดหาทางจะหนีกันตลอดอยู่แล้วด้วย

“เอาผีโครงกระดูก คนแก่สองคนนั่น” อำมาตย์วัยห้าสิบต้นๆชี้ไปยังผีตาหวาน ท้าวนวดล และพระมเหสีอมรินทร์เมืองทิศพล

“เลือกได้ดีนี่ ฝากใช้งานให้หนักกว่าตอนกลางวันด้วยนะสหาย อู้งานขนาดนี้ต้องแกล้งใช้เสียให้เข็ด”

“รู้แล้วน่า เร็วๆหน่อย”   

เพียงไม่นานชายที่เรียกนำตัวไปใช้งาน พาคนไปยังทิศหรดีที่ลับตาคนแล้วคุกเข่าสำนึกผิดเสีย

“ข้ากระหม่อมขอพระราชทานอภัยด้วยพระเจ้าค่ะที่ล่วงเกินทั้งสองพระองค์” เขาใช้วาจาเหล่านั้นแค่เพราะต้องการความเชื่อใจจากสหายจะได้ช่วยได้ง่ายขึ้น

“ไม่เป็นไรหรอกเราเข้าใจ ลุกขึ้นเถอะ” ท้าวนวดลเข้าใจดีวาสถาการณ์นี้ก็ต้องแสร้งทำกันเป็นธรรมดา

“ท่านจะหนีไปกับพวกเราหรือไม่” พระมเหสีอมรินทร์ถามด้วยเป็นห่วง หากอยู่ที่นี่ต่อไปล่ะก็เขาต้องถูกสงสัยเป็นคนแรกๆแน่

“คงจะไม่ได้หรอกพระเจ้าค่ะ  ยังไงข้ากระหม่อมก็ต้องอยู่ที่เมืองนี้กับองค์เหนือหัว พระเจ้าค่ะ” 

“เสด็จพ่อ เสด็จแม่เพคะ” พระนางสไบทองที่ปลอมตัวเป็นนางกำนัลซ่อนอยู่เมื่อเห็นพระบิดาและพระมารดาก็เข้าหาด้วยดีพระทัยที่ได้พบ

“สไบทอง ลูกพ่อผอมโทรมไปมากถึงเพียงนี้เชียวรึ” เมื่อเห็นร่างกายที่ซูบผอมของลูกยามีหรือว่าคนเป็นพ่อจะไม่เสียใจได้

“เชิญเสด็จเถิดพระเจ้าค่ะ” หิ่งห้อยยักษ์เข้ามาพบพร้อมกับสำเภาหิ่งห้อยสำหรับเคลื่อนย้ายคนพร้อมแล้ว

“เราขอบใจท่านมากนะอำมาตย์เรืองรอง” สไบทองกล่าวก่อนที่จะขึ้นสำเภาแต่ไม่ทันไรก็มีคนมาเห็นเสียแล้ว

“รีบแทงข้ากระหม่อมเถิดพระเจ้าค่ะ” ว่าแล้วเรืองรองก็ส่งดาบมาให้เธอก่อนคนจะเห็นได้ชัดกว่านี้

“เราขอโทษนะ” ว่าแล้วเธอก็แทงไปที่แขนอีกคนทันทีแล้วรีบขึ้นไปบนสำเภาหิ่งห้อยนั่นทันที

“มัวมองอะไรกัน!! เชลยเมืองทิศพลหนีแล้วเร่งจับเข้า!!”  เขาแกล้งตะโกนไปทั่ว ทหารวังที่มาพบก็เอาคบเพลิงโยนกะให้สำเภาหิ่งห้อยถูกเผาไหม้ แต่กลับกลายว่าสำเภานั่นมีตั้งสามเลยไม่รู้ว่าคบเพลิงที่โยนไปนั่นใช่ที่มีคนอยู่รึเปล่า

“ไม่ได้การแล้ว ไปตามท่านเสาวภาเถอะ นางมีอาคมช่วยได้ไม่ยาก….เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม” สหายผู้คุมนี่ห่วงเขาขึ้นมาเลยตามมาดู เป็นไปตามคาดเลยว่าต้องโดนทำร้ายเสียเข้าให้แล้ว

“ลำพังแค่ถูกแทงไม่เท่าไหร่แต่ดาบ..ดาบนี่อาบยาพิษ” ว่าแล้วอำมาตย์ก็สลบด้วยพิษนั้นไป

…………

“สุดทางแล้วด้านบนดูเหมือนเป็นวังที่ไหนสักแห่งเลย” พระธิดาเมืองคีรีมาศเบาเสียงพูดเพราะไม่รู้ว่ามายังที่พำนักของใครหรือไม่

“นี่เป็นห้องแบบวังของเมืองเรา ต้องเป็นวังเมืองรัตนบุรีของเรานี่ล่ะ” พระโอรสของเมืองนี้เห็นเพียงครู่ก็รู้แล้วว่าคือที่ไหน

“แม่มดเกลียวทองนอนอยู่ตรงนั้น ดีเลยจะได้จัดการนางทีเดียว” เมธาวีที่ขึ้นบันไดมาลอบดูเห็นดังนั้นก็ถือโอกาสจะสังหารโดยทันทีแต่ถูกห้ามไว้ 

“นางนอนลืมตาแบบนั้นยังจะคิดไปสังหารตรงๆอีก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางหลับจริงหรือไม่” เขาเตือนด้วยหวังดี กี่ทีแล้วที่คนๆนี้ทำร้ายพวกเขา มันไม่ง่ายเลยที่จะเอาคืน

“ใครน่ะ!!” อยู่ๆนางก็ตื่นขึ้นเพราะได้ยินเสียงกระซิบท่ามกลางความเงียบเช่นนี้ มันต้องมีผู้บุกรุกเป็นแน่ เธอเดินมุ่งไปดูที่ตั้งทางลับที่ตนเองสร้างไว้ ถ้าเดาไม่ผิดต้องมีคนมาจากทางลับนั้นแน่ เธอกำลังจับม่านพร้อมจะเปิดอยู่แล้วเชียวถ้าไม่มีใครมาขัด

“ท่านหญิงเสาวภาแย่แล้วพระเจ้าค่ะ พวกเชลยเมืองทิศพลหนีไปแล้วพระเจ้าค่ะ !!” ทหารมาตามตัวเธอหวังให้ช่วย เพราะพวกหิ่งห้อยมีมากเกินไป อีกทั้งมีพวกฝูงผึ้งจากไหนไม่ทราบมาช่วยรุมพวกหเขาอีกตะหาก กำลังพวกเขาต้านไม่ไหวแล้ว กลัวว่าจะตามพวกนั้นไม่ทันจึงต้องให้ถึงมือนาง

“ไม่ได้เรื่อง!!... พวกนั้นไปทางไหนพาเราไป” ถึงจะสงสัยแค่ไหนแต่ตอนนี้เธอต้องแก้ปัญหาตรงหน้านี้เสียก่อน

“เกือบไปที นึกว่าจะถูกจับได้เสียแล้ว” ทั้งสองขึ้นมาในห้องของแม่มดคนนี้หลังจากที่เจ้าของออกไป หญิงก็อดถอนหายใจโล่งเสียไม่ได้

“ทางลับนี่เป็นทางลัดที่เร็วมากใช้เวลาไม่นานก็ถึง ข้างใต้นี่มีมวลมนต์บางอย่างทำให้เดินทางเร็วมากหนึ่งก้าวราวกับร้อยก้าว” หลังจากขึ้นมาเธอก็กล่าวอีกประโยคพลางสำรวจที่เตียงนอนของนาง

“พี่หิ่งห้อยคงจะหาทางช่วยเสด็จแม่จึงได้หนีออกไปได้ดี” ศนิวารกล่าว เขาก็พอหายห่วงได้ระดับหนึ่ง

“แต่ว่าแม่มดนั่นจะตามไปจับกลับมาอีกน่ะสิ วางใจไม่ได้แล้ว เร่งไปสังหารนางจะดีกว่า” ทั้งสองนำผลแปลงกายมากลืนแล้วตามไปโดยทันที
……

“พี่หิ่งห้อย บัวว่าพวกเราไปยังริ   มบึงน้ำกันดีกว่าจ้ะ” เมื่อจากมาสักพักบัวแย้มก็ออกความคิดเห็นขึ้นมา

“ทำไมล่ะบัว พวกเราออกมาจากที่นั่นได้แล้วก็ควรจะไปที่ที่ปลอดภัยกว่านี้สิ” สไบทองไม่เข้าใจในความเห็นของสตรีนางนี้เท่าใดนัก

“ถึงจะออกมาจากที่นั่นได้แล้วก็จริงอยู่เพคะ แต่ว่าทางนั้นมีแม่มดเกลียวทองอยู่ อีกไม่นานนางจะต้องใช้มนต์มาตามหาพวกเราทันแน่เพคะ….ก่อนจะจากกับพระธิดาปัทมาสน์ทรงให้กำไลปทุมทิพย์แก่หม่อมฉัน หม่อมฉันว่าถึงเวลาที่จะต้องใช้งานแล้วเพคะ”

“ได้ เราเชื่อบัว หิ่งห้อยช่วยพาพวกเราไปที่ริมบึงด้วยนะ ” จากนั้นสำเภาหิ่งห้อยทั้งหลายก็พาทั้งสี่คนมายังริมบึงน้ำ  บัวแย้มถอดกำไลออกจากข้อมือแล้วนำมาแนบประนมมือท่องมนต์เพียงครู่ดอกบังขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นมา

“เชิญเสด็จเพคะ ถึงแม้ว่าดอกบัวนี้จะไม่สามารถใช้ต่อสู้ได้แต่ว่าสามารถป้องกันคนที่อยู่ในนั้นจากการโจมตี ยากที่ใครจะเข้าได้หากหม่อมฉันมิได้ยินยอมเพคะ” เธอกล่าวเชิญทั้งสามให้ประทับยังมหาปทุมมาดอกนี้ ต่อให้ใครมาพบก็ไม่ต้องกลัวถึงอันตรายมากแล้ว

………

“พระเทวาวิษุวัติเสด็จแล้วเพคะ” แย่แล้วล่ะสิ อัญญานียังไม่ทันได้แสร้งหลับ ความกังวลใจก็มาถึงที่ก่อนเสียแล้ว คราวนี้เขาจะอยู่นานเท่าไหร่กัน

“น้อมรับเสด็จเพคะพระองค์” ถึงจะอึfอัดใจอยู่บ้างแต่ตัวของเธอก็รู้ดีว่าควรวางตัวอย่างไรไม่ให้ผู้มาเยือนสงสัยตนได้

“ไม่เห็นต้องมากพิธีกับเราเลยอินทราณี ” เทพท่านไม่พูดเปล่ายังคอยประคองพาอีกคนมายังที่นั่งให้นั่งเสมอตน

“เป็นเวลานานเหลือเกินเพคะที่หม่อมฉันไม่ได้พบพระองค์ เกรงว่าจะทรงลืมหม่อมฉันไปเสียแล้ว” เธอทำเป็นงอนเล็กน้อยให้พอดูเหมือนว่าเธอมีใจรอคอยเขามากเพียงใด

“เราจะไปลืมเจ้าได้อย่างไรกัน ตั้งแต่ครั้งแรกจนถึงตอนนี้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับเจ้าเราจำได้หมด”

“เป็นเช่นนี้หม่อมฉันก็วางใจ นี่คือพวงมาลัยที่หม่อมฉันตั้งใจร้อยเพื่อถวายพระองค์เพคะ หม่อมฉันคอยร้อยทุกวันเผื่อว่าวันใดพระองค์กลับมาจะได้ชื่มชมผลงานของหม่อมฉัน”

“ดีจริงๆ พวงมาลัยนี้งดงามมากฝีมือดีเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย” เขาพอใจกับการกระทำของหญิงอันเป็นที่รักมาก มันช่างต่างกับตอนแรกๆที่นางไม่ยอมรับเราเสียจริง

“พูดถึงการใหญ่ของเรามีคนมาช่วยงานเพิ่มอยู่หนึ่งชื่อติณกฤต เรารู้สึกถูกชะตามาก แต่ก็ยังวางใจไม่ได้ว่าเขาจะทำตามที่เราวานให้ได้หรือไม่” เขาก็ไม่วานจะคุยเรื่องนี้ไปด้วย

“พระองค์ทรงเป็นใหญ่มากที่สุดแล้วในตอนนี้ เป็นไปไม่ได้หรอกเพคะที่จะมีคนทรยศพระองค์ได้” เธอก็พูดไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรหรอก

“เราก็หวังว่าเขาจะทำตามที่เราวานให้สำเร็จ เช่นนั้นแล้วเราถึงจะวางใจ” เจอกันเพียงครั้งเดียวกลับรู้สึกถูกชะตาอย่างน่าประหลาด มันเหมือนสักครั้งนึงในชีวิตที่เคยถูกใจใครอยากให้มารับใช้ แต่ก็จำไม่ค่อยได้แล้วความรู้สึกนี้เคยเจอที่ไหนกัน

“อีกไม่นานเราทั้งสองก็จะได้ในสิ่งที่สมควรได้เมื่อนานมาแล้ว เจ้าจงวางใจและ รอคอยอีกสักหน่อยนะอินทราณี”

“เพคะ..จริงสิเพคะ วันพรุ่งช่วงไหนจึงจะได้ชมดอกปาริชาติหรือเพคะ” เธอไม่ลืมจะถามเขาเสียหน่อย พอพรุ่งนี้เธอแอบเข้าไปหลังจากหลังหนีแล้วจะได้ไม่เจอกัน

“ช่วงเพลเราถึงจะทำพิธีให้พวกเทวดานางฟ้าเข้าชมถวิลรมณีย์ ถึงเพลานั้นแล้วพวกเราทั้งสองจะได้ชมดอกปาริฉัตรพร้อมกัน” จะเรียกชื่ออย่างไรก็ช่าง ตัวของเธอสนเพียงว่ามันจะทำให้เธอระลึกชาติได้มากน้อยเพียงใดเท่านั้น

“เพคะ หม่อมฉันจะคอมเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้”เธอยิ้มตอบอย่างพอใจ

“เช่นนั้นก็พักผ่อนเสียเถอะ เราไม่กวนเจ้าแล้ว” ว่าแล้วเขาก็ออกจากที่พักไป

“น้อมส่งเสด็จเพคะ” คงต้องรอเวลาสักพักเพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนได้หลับหมดแล้ว เช่นนั้นจะคิดหนีก็คงไม่สายนัก

…………..

“พวกเจ้าจงรีบตามสำเภาหิ่งห้อยทั้งสามนั่นให้พบ ไม่ต้องจับเป็นจับตายเท่านั้น” หลังจากที่เกลียวทางมายังที่เกิดเหตุก็ใช้ให้เจ้าค้างคาวผีและเหล่าสมุนค้างคาวไปไล่ตามพร้อมๆกับทหารที่ถูกมนต์สะกดราวกับผีดิบตามไป

“ได้เลย ข้าจะกินไม่ให้เหลือ” เจ้าค้างคาวผีหลังจากถูกน้ำท่วมคราวนั้นก็ออกลาดตระเวนสะสมกำลังพลค้างคาวแล้วตั้งตนให้เป็นเจ้านาย แต่ก็ไม่ลืมที่จะมาช่วยงานผู้ที่มีสัมพันธ์อันดีต่อกัน ว่าแล้วก็ออกตามล่าโดยทันที ด้วยสัญชาตญาณรวมกับความหิวกระหายเลือดส่งผลให้ใช้เวลาไม่นานก็ตามมาใกล้แล้ว แต่หารู้ไม่ว่าคนที่ตามหานั้นได้ซ่อนตัวไปก่อนเสียแล้ว

“แยกนะ!! ลำหนึ่งไปซ้าย ลำสองตรงไป ลำสามไปขวา!!” เจ้าผีโครงกระดูกตะโกนบอกให้แยกกันไปคนละทางเพื่อหลอกล่อให้ผู้ที่ตามมาสับสน

“พวกผีดิบแยกทางไป เดี๋ยวข้าจะไปตรงกลางเองฮ่าๆ” เจ้าค้างคาวผีมั่นใจหนักหนาว่าสำเภาตรงกลางนั่นน่ะเป็นที่ที่มีคนของเมืองทิศพลอยู่เป็นแน่แท้ อุบายนี้ไม่คณามือหรอก

“อ๊าย!!….อย่าตามมานะไอ้ค้างคาวบ้า!!!!!!” จั๊กแหล่นที่อยู่ในสำเภากลางนั่นเห็นว่าค้างคาวผีนั่นจงใจตามฝูงหิ่งห้อยพวกนี้ขนาดไหน ยังดีที่แสงหิ่งห้อยจ้ามากจนเจ้าค้างคาวมองไม่ชัดว่าใครเป็นใคร

“แสบตายังไม่พอ แสบหูอีก รำคาญรำคาญ!!!!!” ด้วยความรำคาญนั่นส่งผลให้ผู้ได้ยินตัดสินใจซัดพลังใส่ ไม่ได้กินสดกินสุกก็ยังดี หิ่งห้อยก็แยกตัวบินต่ำลง เสือก็รีบกระโดดลงวิ่งหนี

“ขัดใจขัดใจ!! เจ้าจะหนีไปไหนฮะ!!” ผู้ที่ตามมาก็ลงวิ่งไปดึงมือยื้อยุดฉุดกระชากอีกคนทัน

“อยากกินข้านัก ข้าจะกินเจ้า!!” เสือสาวแกล้งหันหน้าขู่คำรามให้อีกฝ่ายตกใจแล้วจับเหวี่ยงไปอีกทาง

“หัวใจ…หัวใจข้าเกือบวาย มันไม่ใช่พวกมเหสีสไบทองซะหน่อย แต่ถ้าได้ดูดเลือดเสือก็โอชะนี่หว่า ให้พวกนั้นตามจับกันไปส่วนข้าจับเสือกินฮ่าๆ” ตกใจไม่นานก็เร่งจับสิ่งมีชีวิตต่างพันธุ์กับตน

……..
……..

“ให้พวกนั้นตายไปก็ดีเราก็คร้านจะเก็บไว้แล้ว……เสียงที่เราได้ยิน พวกมันเป็นใครกัน” หลังจากที่จัดการเรื่องก็เร่งเดินกลับยังตำหนักตน พลางพึมพำกับตัวเอง

“เป็นคนจะสังหารเจ้าไง!!!” ว่าแล้วสตรีชาวเสาร์ก็กระโดดเข้าขวางหน้าเธอ ทั้งใบหน้าที่เปลี่ยนไปและชุดที่ดูรุ่มร่ามราวกับลัทธิบูชาปีศาจทำให้อีกคนฉงนนักว่าเคยมีศัตรูแบบนี้ด้วยหรือ

“หิ่งห้อยน้อยแสงจะสู้แสงอาทิตย์ล่ะสิ พวกกระจอกอย่างเจ้าเราไม่กลัวหรอก” เกลียวทองพอจะเดาได้ว่าคงเป็นพวกฝักใฝ่มนต์ดำที่ได้ยินกิตติศัพท์ของตนแล้วอยากมากำจัดเพื่อหาชื่อเสียงเข้าตัวเองนี่ล่ะ เธอคิดเช่นนั้นก็เรียกพลังซัดอีกคน แต่คนนั้นน่ะหลบไวเลยไม่ถูกทำร้าย

“อายุมากแล้วก็พักซะเถอะนะ” บุรุษวันเสาร์ผู้สวมชุดดำก็ใช้ดาบที่ชิงมาได้จากทหารยามเข้าฟันเกลียวทองไปหนึ่งแผล จนคนถูกทำร้ายเหลียวมอง

“เจ้ามันพวกลอบกัด รับผลซะเถอะ” เธอใช้มนตราเสกรากไม้ดึงขาศนิวารที่ปลอมตัวลงสู่พื้นดินอย่างรวดเร็วเหลือไว้แต่ศีรษะบนดิน อีกทั้งยังตามไล่จะลากตัวของเมธาวีไปอีกคน ถึงแม้เธอจะกระโดดขึ้นสู่อากาศก็มิวายเลื้อยรากผ่านอากาศตามไม่ลดละ เพียงครู่เดียวเธอก็เข้ามารัดคอแม่มดสาวไม่แท้จากด้านหลัง ซึ่งการกระโดดหนีไม่ใช่แค่หลบแต่จงใจลอบโจมตีข้างหลังโดยตรง เอาเสียอีกคนเสียหลังหงายหลังล้มไปทั้งคู่จนรากไม้มารัดทั้งสองอย่างไม่ได้รู้ว่าเจ้าของมนต์ก็โดนไปด้วย  ข้อมือของเมธาวียั้งพอขยับได้ก็ใช้มีดสั้นแทงลงกลางใจศัตรูทันที

“ฮ่าๆ เราเป็นอมตะ ของแค่นี้เราไม่ตายหรอก” แม่มดเกลียวทองชอบใจการกระทำนี้มาก แต่จ้างให้เธอก็ไม่ตายหรอกเพราะเธอไม่ยอมนี่

“หมายความว่ายังไง” ศนิวารที่อยู่ข้างใต้เพียงครู่ก็หลุดพ้นพันธนาการแล้วใช้ดาบพยุงตนขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อจนคนถูกแทงเบิกตาโพลง

“ทำไมเจ้าหลุด….พ้น”  พูดยังไม่จบประโยคเธอก็กระอักเลือด รากไม้ที่พันสตรีทั้งสองก็สลายหายสิ้น ธิดาท้าวธริษตรีก็ผละออกจากอีกตัวที่ทับตน

“เจ้าก็รู้ว่าพวกเรามาจากทางลับ แล้วทำไมพวกเราจะไม่พบกับพวกต้นไม้กระหายเลือดพวกนั้นกัน” โอรสเจ้าของเมืองพูดตอบอย่างวางทีท่าเป็นผู้รอบรู้มนต์ดำ

“เสียดายนะที่พวกมันย้ายฝั่งกันเก่ง แค่พวกเราสองคนให้เลือดหยดสองหยดก็ภักดีเสียแล้ว เห็นว่าพิษมากขนาดนี้ก็ดูจะเหมาะกับเจ้าไม่น้อย”  คนพวกเดียวกันก็พูดเสริม

“เหอะ เราแค่ไม่ได้ให้เลือดสามวันถึงกลับกระหายจนย้ายฝั่งเชียวเรอะ…..หึ พวกเจ้าคิดว่าพิษทรมาณนี้จะสังหารไปทีละน้อยสินะ เราบอกแล้วว่าเราเป็นอมตะ” ถีงจะเจ็บปวดแต่ก็มิวายเยาะเย้ยอีกฝั่ง

“อมตะอะไรเหลวไหลทั้งเพ” โอรสของท้าวผู้ถูกมนต์จองจำกับเมืองรัตนบุรีจนนำร่างไปไหนไม่ได้นั้นได้นำยาพิษในที่พักทั้งหมดมากรอกใส่ปากคนอ่อนแรงที่เป็นเจ้าของมัน

“ไม่มีดวงใจ นางไม่มีดวงใจ” เมธาวีที่จับตัวคนที่ต้องการสังหารอยู่นั้นก็จับมีดสั้นดึงออกจากอกกรีดเปิดทางที่หลังให้ตนเอามือไปล้วงดึงดวงใจออกมากะทำให้คนที่ดูเสียสตินี่สิ้นชีพไปเสีย ถึงจะแปลกไปหน่อยตรงที่ไม่มีเลือดอยู่ก็เถอะ แต่คนลงมือต้องพบกับความผิดหวังเสียแล้ว

“เลิกเล่นสนุกได้แล้วเจ้าพวกไม่รู้วิชา” นางดึงหญ้าด้านข้างออกมา ขณะที่ทั้งสองกระทำการทรมาณตนก็แอบร่ายอาถาไว้ก่อนแล้ว เมื่อดึงหญ้านั่นออกก็เท่ากับว่าสิ้นสุดการรอคอยเสียที

“ระวัง!!” ศนิวารรีบดึงอีกคนออกมาเพราะมีสุนัขสามตัววิ่งเข้ามาจากคนละทิศมุ่งมารุมทั้งสอง 

“คืนเดือนดับสุนัขพวกนี้น่ะฤทธิ์มาก ดูสิว่าพวกเจ้าจะรอดไปได้สักแค่ไหน” คนที่เพิ่งถูกล้วงหัวใจยิ้มอย่างร้ายกาจมาก ดูท่าสู้กันธรรมดาคงจะสู้นางไม่ค่อยได้กระมัง 

“พวกเราเหลือเวลาไม่มาก คงต้องหลีกไปก่อน” เมธาวีกระซิบให้สหายรับรู้เพราะว่าผลแปลงกายนั้นมีระยะเวลาของมัน  ถ้าหมดฤทธิ์เมื่อใดมันก็จะปรากฏการมีอยู่ของตัวตนทั้งสอง คราวนี้ล่ะวุ่นวายกว่าเดิมแน่

“ทำไมล่ะ...พวกเจ้าคิดจะหนีเราเหรอ กลัวล่ะสิ” ศัตรูที่เห็นปฏิกริยาก็เดาไม่ยากว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ใคร่จะสู้ต่อเท่าไหร่ แต่คงเข้าใจไปเสียหน่อยในเมื่อสองคนนั้นไม่ได้กลัวฝีมืออะไรแต่หากเป็นเพราะอักษรสาปมากีดกันความสามารถที่ต้องใช้วิชาหรือพลังเข้าช่วยเอาไว้นี่เอง

 “พวกเราไม่เคยกลัวเจ้าอยู่แล้ว แต่เป็นเจ้าที่ขี้ขลาด ทันทีที่สหายเราไม่เจอกับดวงใจของเจ้าเราก็รู้ได้ทันทีเลยว่าดวงใจของเจ้าอยู่ที่ไหน” โอรสของเมืองนี้พูดหยั่งเชิงอีกฝ่ายเพื่อจะให้แน่ใจว่าที่ซ่อนของดวงใจเป็นที่ที่คาดไว้

“อย่างพวกเจ้าจะรู้อะไร...หรือว่า..” เธอได้ยินอย่างนั้นในตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะถึงยังไงสองคนนี้ก็ไม่รู้หรอก แต่ถ้านึกดีๆทั้งสองคนนั้นมาจากทางลับซึ่งมันก็ผ่านที่เก็บดวงใจของเธอด้วย

“ใช่ ...ในเมื่อเป็นอย่างนี้ก็ต้องเร่งไปที่นั่น จริงมั้ย” ธิดาต่างเมืองก็ช่วยเสริมอีก

 
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กันยายน 14, 2021, 08:34:19 PM
สุนัขตัวใหญ่ราวกับราชสีห์ทั้งสามนั้นวิ่งมาล้อมวงคนธรรมดาทั้งสองคนไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้พร้อมกับส่งเสียงเห่าดุดันราวกับจะกระชากเนื้อคนข้างตายให้ขาดหลายชิ้นๆ

“รับมือกันคนละตัว ตัวที่สามต้องช่วยกัน” เมธาวีพูดกับผู้ร่วมสู้ เวลนานี้จะมาชิงดีเด่นเหมาเอาคนเดียวต่อสองตัวก็ไม่ใช่เรื่อง

“เรายังเหลือยาพิษอยู่สองขวด เจ้าเอาไปหนึ่งอยู่ที่เราหนึ่ง”  ศนิวารแอบมอบยานั้นให้เผื่อว่าสู้ตรงๆไม่ไหวก็จะได้แก้สถานการณ์โดยไม่พึ่งวิชาหรือพลัง 

ทันทีที่รับมอบทั้งสองก็วิ่งรอบๆด้านในวงกลมที่ถูกล้อมนั้นไปทางทิศซ้าย เจ้าหมาใหญ่ทั้งสามก็วิ่งรอบล้อมวงด้วยเช่นกัน อยากรู้นักว่ามนุษย์พวกนี้จะหาทางรอดออกทางไหนได้กัน ไม่นานนักพวกมันก็เบื่อหน่อยกับวิธีนี้ที่มัวแต่รออีกฝั่งโจมตีก่อนจึงได้พุ่งเข้าหาเป้าหมายที่เลือก ทั้งสองคนนั้นก็วิ่งสลับกันขวาไปซ้ายบ้างบนลงล่างเฉียงทิศทางชุลมุน สุนัขสองตัวที่เลือกคนหมายทำร้ายไว้ก็ตามอย่างไม่ลดละทำให้หญ้าถูกขยี้ขูดรากขูดพื้นดินตามกรงเล็บของมันจนฝุ่นตลบไปทั่ว ยังดีที่ใช้กรงเล็บฟาดร่างคนที่ตามได้ทันแต่ศีรษะทั้งคู่ก็ชนกันอย่างแรง

“ดีมาก ขยี้พวกมันให้แหลกอย่าให้มีชีวิตรอด” เกลียวทองที่มองสถานการณ์อยู่นั้นเห็นฝุ่นไปทั่วพอรู้ถึงเงาลางๆก็จริงอยู่ แต่ว่าเธอรับรู้เป็นอย่างดีว่าศัตรูนั้นได้รับบาดเจ็บจากบริวารของเธอจนทำให้อาการบาดเจ็บของเธอดีขึ้น สลับทรมาณนี้ไม่ว่าตนเองจะสู้เองหรือใช้มนตราบริวารใดมาสู้แทนมันก็ส่งผลให้ความเจ็บปวดของผู้ใช้ทุเลาอาการลงอีกทั้งยังส่งความเจ็บปวดของตนก่อนหน้าสู่ฝ่ายตรงข้ามได้อีกด้วย

“เป็นอะไรมากรึเปล่า” หญิงชาวเสาร์ถามสหายตอนที่สุนัขสองตัวนั้นชนกันเองหัวแตกมึนงงอยู่ โชคยังดีที่ตัวสามยังหาทั้งสองไม่พบในฝุ่นที่มากราวกับพายุเช่นนี้

“เรายังไหว แต่เจ้า....” เขาตอบสหาย ความรู้สึกตอนนี้ราวกับว่าชีวิตมีสิบส่วน ก็ถูกพิษแล่นอยู่ในนั้นสี่ส่วน แต่ตัวเขาก็พอทนกลั้นใจไว้ได้เพราะมันยังไม่มากจนทุรนทุรายเท่าไหร่ 

“เราก็ยังไหว.. แม่มดคนนี้ทนพิษได้มากจริงๆ” เธอเห็นว่าอีกคนห่วงก็ตอบไปอย่างนั้นต่อด้วยพูดเรื่องอื่นต่อ จริงๆก็เจ็บไม่ต่างกันถ้าไม่กลั้นใจไว้จนอีกคนห่วงไม่ทำอะไรต่อน่ะแย่แน่

ทั้งสองเสวนาไม่นานนักก็ตัดสินใจกระโดดขึ้นกลางอากาศด้วยพละที่ยังเหลือมากพอตัวทำให้เห็นตัวอันตรายที่สามพอดี แต่ทางนั้นก็เห็นพร้อมกันจึงกระโดดคาบเอาตัวทั้งสองกลืนเข้าไปในท้องทันที

“หึ อย่างพวกเจ้ามีแค่พละกำลังจะไปสู้กับบริวารมีพลังของเราได้ยังไงกัน” ภาพที่ปรากฏตรงหน้านั่นทำให้เธอรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก ส่วนตัวเธอก็ยอมรับว่าพละกำลังของอีกฝ่ายมีมากเหนือกว่าผู้คนที่ตนเคยพบเจอ แต่กำลังน่ะรึจะสู้มนตราได้

ทั้งคู่ได้เข้ามาสู่ด้านในของเจ้าสุนัขนี่ ดูด้านนอกจะเท่าราชสีห์ก็จริงแต่เมื่อได้มาอยู่ในนี้ก็เหมือนกับว่าเป็นถ้ำที่ทำขึ้นจากกระทะทองแดงก็ไม่ปาน

“จนได้เลยสิ ท้องของมันเป็นทองแดง” หญิงวันเสาร์เข้ามาได้ไม่นานก็สัมผัสรู้ได้ถึงลักษณะที่ที่เธอได้มาอยู่ ยังดีที่ในท้องนี่ไม่ได้มืดมาก พอมีแสงให้เห็นเท่าเทียนสักเล่มได้

“ศนิวารเจ้าอยู่ที่นี่ด้วยรึเปล่า” เธอจำได้ว่าทั้งตนรวมถึงสหายนั้นเข้ามาพร้อมกัน แต่ถึงตอนนี้แล้วก็ยังไม่เห็นอีกคนเลย

“เราเดินไปดูทางนั้นมา แต่มันมืดมากเลยขึ้นมาที่ส่วนนี้แทน” บุรุษวันเสาร์เข้ามาตอบสหาย ที่นี่เป็นทองแดงไปทั่วจริงๆถ้ามีน้ำร้อนมาอยู่ในนี้มากๆ  ทั้งสองคนก็ไม่ต่างจากพวกที่อยู่ในอเวจีสักเท่าไหร่นักหรอก

...........

“เราว่าคนที่ชื่อติณกฤตนี่น่าสนใจดี ใจอาจหาญกล้าที่จะนำศีรษะบิดามาถวายพระเทวาท่าน ดีกว่าอัคนินเป็นไหนๆ” ธานินทร์คุยกับสันต์สินีหญิงสนิทเกี่ยวกับสมาชิกคนใหม่ในการใหญ่อย่างชื่นชม แต่ก็ไม่วายเปรียบเทียบคนที่ตนชื่นชมกับคนเก่า

“อ้าว เจ้าพูดอย่างนี้นี่ไม่ได้สนใจอัคนินแล้วรึ เห็นเมื่อก่อนยกย่องมาเปรียบกับบดิศรนักหนา” ใช่สิ ก็เขาน่ะไม่ค่อยถูกกับบดิศรตั้งแต่ยังไม่ลงไปเป็นมนุษย์ด้วยซ้ำแต่ก็ไม่ถึงกับตีกันหรอกนะ 

“คนอย่างอัคนินจะใช้ทำอะไรได้ พอสังหารศัตรูตัวเองได้ก็เอาแต่เสวยสุข แต่ก่อนน่ะตั้งใจจะเก่งทัดเทียมกับบดิศรเสียด้วยซ้ำ พอหลังน้ำท่วมนี่ก็ได้เป็นยุพราชรอครองเมือง ไม่นานคงจะได้วิวาห์ นี่นะถ้าพระองค์ทรงไม่วานให้บดิศรตามตัวไปรักษาสังวาลย์ศิลา เห็นทีว่าคงจะไม่ได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งวิเศษนี่เสียแล้ว”

“อย่าได้ว่าเขานักเลย  เจ้าก็รู้อยู่ว่าบดิศรเคยมีความสามารถมาก่อนหน้าที่จะเกิดด้วยซ้ำ อัคนินก็อาจจะติดตามใจตัวเองไปบ้างเลยมิค่อยได้ฝึกฝนมากนัก ทำไมเจ้าไม่ยอมเก็บไว้ข้างตัวทั้งสองคนจะได้ทัดเทียม หรือไม่ก็เหนือกว่าปัจจาล่ะ”

อัญญานีที่กำลังเตรียมตัวจะไปได้ยินทั้งสองคุยกันหน้าที่พัก มีหรือว่าจะไม่ลองฟังเผื่อจะมีประโยชน์ในอนาคต อย่างน้อยๆก็ได้รู้ว่าฝั่งนี้ก็แอบแบ่งขั้วอำนาจอยู่เหมือนกัน นอกจากนั้นเธอก็ไม่ใคร่

“ไปครั้งนี้เราก็ไม่อยากกลับมาอีก  ” เธอคิดแบบนี้แล้วจึงได้เนรมิตร่างปลอมของเธอขึ้นมาเอาสั้นๆสักสี่ห้าวัน เวลาเพียงเท่านี้ก็น่าจะพอให้เธอหาที่หลบซ่อนจากคนที่หมายปองได้ จากนั้นจึงได้ตั้งจิตให้ไปยังเมืองรัตนบุรีในทันที

..........

“ทำไมพวกมันดุดันกันขนาดนี้นะ ตามไม่ยอมลดยอมละจริงๆ...ปล่อยข้าไว้ตรงนี้แหละไม่กวนแล้ว” ตาหวานตัดสินใจออกปากให้พลพรรคหิ่งห้อยนั้นเลิกทำภารกิจเสียเพราะนี่ก็นานพอตัวแล้วคงจะเหน็ดเหนื่อยกันไม่น้อย ตัวเองรึก็เป็นผีจะรับมือพวกผีปลอมนี่ไม่ได้ยังไงกัน

“เอ็งไม่ใช่พวกข้าตามหา ถอยออกไป” เมื่อได้เห็นโครงกระดูกกระโดดลงมา คนที่ถูกมนต์สะกดให้ตามหาล่าตายแต่ผู้มีเนื้อหนังมังสา  ผีที่เหลือแต่โครงแบบนี้จะไปฆ่าให้ตายอีกได้ยังไง

“ข้านี่ล่ะพวกเดียวกัน แต่ข้าไม่ยอมบอกหรอกว่าคนที่เหลืออยู่ที่ไหน”

“ข้าว่าเอ็งรีบบอกมาดีกว่า เพราะตอนนี้พวกของเอ็งก็ถูกสหายค้างคาวของพวกข้าตามล่า อีกไม่นานก็ต้องล้อมไว้หมดแน่”

“จ้างให้ข้าก็ไม่บอก ถึงบอกไปพวกเอ็งก็หากันไม่เจอ” เรื่องนี้ก็ต้องดื้ออยู่แล้ว สู้หลอกล่อมาจะให้บอกง่ายๆได้อย่างไร ว่าแล้วเขาก็เอากระดูกอันหนึ่งในซี่โครงมาทำอาวุธขยายใหญ่เกือบเป็นครึ่งวงกลมตามแนวที่เคยมาในร่าง มาเหวี่ยงหมุนไปทั่วตัวฝ่ากำลังทหารต้องมนต์เอา แต่ว่าพวกนั้นน่ะอึดพอตัว็เพราะตอนนี้คนที่ใช้มนต์น่ะกำลังกลับมาได้เปรียบอยู่ด้วยนน่ะสิ

........

ในขณะที่สองสหายคิดที่กำลังคิดหาทางออกจู่ๆก็มีน้ำจากไหนไม่ทราบแหล่งขึ้นสูงมาพร้อมๆความร้อนของมันก็เริ่มจะทำให้คนทั้งสองร้อนราวกับจะโดนลวกก็ไม่ปาน ยังดีที่อึดกว่าคนธรรมดาอยู่บ้างไม่อย่างนั้นคงเผลอล้มไปดิ้นพล่านกับความร้อนเหล่านั้นจนอาการหนักกว่าเดิมก็เป็นได้

“นี่กะจะให้เจอนรกบนดินสินะ ที่เจอมานอกจากยาพิษแล้วมีอะไรอีกเปล่าที่เกี่ยวกับน้ำทะเล” สถานการณ์ตอนนี้ต่อให้ทนได้แค่ไหน ถ้าน้ำร้อนนี่มันท่วมร่างทั้งสองคนต่อไปเกรงว่าจะแย่ก่อนคนที่หมายเอาชีวิตเสียแล้ว

“มี แต่ว่ามันเสี่ยงต่อร่างกายเจ้า” เขารู้ว่าอีกฝ่ายคิดจะให้ทำอะไรแต่ว่า การต่อสู้เมื่อครู่ก็ออกจะทำให้ส่วนที่ไม่สวมเกราะเป็นแผลไม่น้อย เขาก็เพิ่งจะมาสังเกตเห็นนี่เองว่าสหายมีบาดแผลที่ส่วนอื่นนอกจากหลังไม่ต่างกับตน 

“มันก็ดีกว่าถูกน้ำร้อนลวกแผล เผลอๆมันจะต้มพวกเราไปทั้งตัว” ตอนนี้ระดับน้ำเริ่มขึ้นเหนือข้อเท้ามาแล้ว บาดแผลที่อยู่ต่ำกว่าเข่าเล็กน้อยน่ะอีกไม่นานก็จะถูกน้ำร้อนเข้าทำร้ายอยู่ดี  ไม่สู้ตัดหน้าก่อนคงได้สิ้นก่อนผดุงธรรมเสียกระมัง

 

“เกลียวทอง” อัญญานีมาถึงรัตนบุรีเห็นสุนัขใหญ่สามตัวก็คิดว่าคงไม่ไกลเจ้าของเท่าไหร่นัก เพียงหันไปครู่เดียวก็พบแล้ว ทำไมแหวนวิเศษต้องให้เธอมาเจอกับอริด้วยนี่

“ฮ่าๆ พวกเจ้าจะมีกำลังอะไรมาสู้ได้อีก ถ้ามีมนตราก็ใช้มาสิ เราจะรอดูว่าจะแน่สักแค่ไหน” ร่างกายเจ้าของสุนัขนั่นก็ดีขึ้นเรื่อยๆ มันก็น่าโมโหที่ฝั่งตรงข้ามไม่ยอมใช้พลัง มามีหน้าท้าท้ายตนช่างกล้าเสียจริง

“หยุดนะเกลียวทอง เจ้ากำลังทำร้ายใคร” เธอทนเห็นการหัวเราะการเลวร้ายนั่นไม่ได้ ไม่ว่าศัตรูของเกลียวทองจะเป็นใครก็ไม่ควรโดนนางทำร้ายทั้งนั้น

“อัญญานี ไม่ใช่ว่าพระองค์เสด็จกลับไปหาเจ้าแล้วหรอกรึ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่” 

“เรามาไหนไปไหนล้วนไม่สำคัญ แต่มันสำคัญที่ว่าเจ้าต้องทำร้ายผู้บริสุทธิ์อยู่แน่ ไม่เช่นนั้นแล้วเจ้าจะลงแรงใช้สุนัขทั้งสามตัวนี่ได้ยังไง”

“เจ้านี่ยังไง หอชิดดาราดีๆมีไม่ชอบ ชอบที่จะอยู่ในท้องบริวารของเรา....ก็ดีเราจะสงเคราะห์ให้ เจ้าจะได้มาขวางใจเราอีก” เธอสุดชิงชังอีกคนนอกจากจะเป็นลูกเลี้ยงแล้วยังเป็นมารหัวใจ ใช่ เธอไม่ได้เพียงเคารพวิษุวัติเทพ แต่เธอน่ะรักเทิดทูนเลยต่างหาก หากไม่ใช่พระประสงค์ คงไม่ตามพระทัยมาเสียดแทงใจอย่างนี้หรอก

“ขวางใจ... ขออภัยแต่เราไม่ผิด ใครเขาใช้ให้เจ้าไม่เคยเป็นอินทราณีมาก่อนล่ะ ” เธอไม่ได้ชอบสถานะนี้หรอก แต่ถ้าเอามาทำให้ปวดใจได้ก็นับว่ามันก็มีดีในตัวของมัน

“เงียบไป!!!” เธอใช้พลังที่พอจะฟื้นคืนได้จากอาการบาดเจ็บของคนที่ต่อสู้กันก่อนหน้าบีบเข้าที่คอคนปากดีแล้วโยนเข้ากลางดงสุนัขร่างราชสีห์

“เรากลัวเจ้ารึก็เปล่า ให้เจอบริวารแค่นี้ไม่คณามือเราหรอก” จะให้ไร้ทางสู้ได้อย่างไร ของวิเศษที่สวมอยู่ดัชนีนั่นก็มีฤทธิ์พอตัวแล้ว ไหนจะจิตใจร่างกายที่แข็งแกร่งขึ้นมาก ถึงจะมีคนเห็นว่าเธออยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวมาไร้พิษสงนั้นก็เพราะเธอแอบฝึกกำลังกายใจไว้น่ะสิ

“ปากดีให้ได้ตลอดรอดฝั่งเถอะ” เธอว่าแล้วสุนัขทั้งสามก็มุ่งกระโจนเข้าฝ่ายตรงข้ามทันที

 

“มัวรีรออะไร ปกติเห็นว่าเจ้าคิดจะทำอะไรก็ไม่เคยลังเลเลยแท้ๆ ” เมธาวีท้วงอีกคน 

“มันเกิดลางสังหรณ์น่ะสิ แต่ยังไงก็ต้องใช้วิธีนี้ก่อน” ว่าแล้วศนิวารก็เเปิดจุกปิดขวดยาเล็กๆนั่นคว่ำลงออกมาเพียงน้ำหนึ่งหยด แต่ไม่นานยนักนั้นหยดนั้นก็กลายเป็นน้ำทะเลซัดเสียงอย่างแรงจนเจ้าสุนัขเจ้าของร่างถึงกับล้มเสียท่าทรงตัว

 

“ดูสิยังไม่ทันจะสู้ บริวารก็ล้มไม่เป็นท่าซะแล้ว ” พวกที่จะมารุมเธอก็ล้มไปหนึ่ง สงสัยว่าศัตรูของแม่มดนี่ก็มีฝีมือไม่เลวเลย ถ้าเดาไม่ผิดก็คงอยู่ในท้องนี่กระมัง

เธอยืนนิ่งไม่แยแสต่อความกลัวพร้อมพนมมือเรียกพลังจากธำมรงค์แห้วศุภร เกิดแสงขาวจ้าไม่ทั่วบริเวณจนแสบตา ไม่นานนักก็มีอสุนีบาตก็ลงมายังแหวนวงนี้ แสงขาวที่กระจายก่อนหน้านั้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นสายฟ้าแผ่เข้าไปที่สุนัขสองตัวที่วิ่งมาจนกระเจิงไปทั้งสองทาง ไม่นานนักก็มีมวลน้ำทะเลมหาศาลออกมาจากร่างที่ขึ้นสนิมของสุนัขตัวที่ล้มนั้นจนสลายจมไปกับน้ำทะเลนั้น แน่นอนว่าสุนัขที่เหลือก็เป็นไปตามกันด้วยเพราะพวกมันก็ถูกทำจากทองแดงทั้งนั้น ส่วนนึงน้ำทะเลนี่ก็เป็นน้ำเก็บไว้ด้วยมนตรามันก็เร่งปฏิกริยาให้ขึ้นสนิมเร็วขึ้นกว่าเดิม ไม่แปลกว่าพวกมันจะเป็นสนิมกันง่ายขนาดนี้

“พวกเจ้ายัง...!!” อัญญานีเห็นสหายในสายน้ำนั้นก็พูดออกมาด้วยความดีใจ

“ยังไม่ต้องพูด!!” ศนิวารร้องดักอีกคนไว้ ผลแปลงกายหมดฤทธิ์แล้วคนปากสว่างแบบนั้นก็ต้องรู้แน่ ยังดีที่เกลียวทองหันหลังให้พวกเขาและหันหน้ามาทางคนขวางทางใจเลยไม่ทันได้เห็นในทันที

“หมายความว่ายังไง!!” แม่มดที่เริ่มกลับมาบาดเจ็บอีกครั้งที่ได้ยินอย่างนั้นก็รีบหันไปมองด้านหลังแต่ก็ไม่ทันการณ์

“หมายความว่าไม่ต้องรู้ยังไงล่ะ!!” เมธาวีจับศีรษะคนที่กำลังจะหันมากดลงสู่ใต้น้ำพร้อมลงไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงด้วยกัน

“พวกเราถูกสลักอักสรสาป ถ้าใช้วิชาพลังพวกนั้นก็ต้องพากันมาสมทบแน่” เขารีบพูดเพราะอาการบาดเจ็บก็ชักจะไม่สู้ดีแล้ว คนด้านล่างก็ไม่รู้จะทนไหวแค่ไหนด้วย

“เราเข้าใจแล้วนางสาปได้เราก็สาปได้” เธอรีบลงใต้น้ำไปสมทบทันที แล้วก็ใช้อำนาจของแหวนลงสลักที่หน้าผากศัตรูด้วยอักษร{ท}ทันที ไม่นานนักน้ำทะเลนี้ก็สงบลงเหือดแห้งได้เพราะหมดเวลาของมัน

“เท่านี้เจ้ากับพวกเราก็ต่างคนต่างบาดเจ็บครึ่งหนึ่ง  อีกไม่นานพวกเราจะกลับมาเอาชีวิตเจ้าให้ได้”  บุรุษวันเสาร์กล่าวเช่นนั้นพวกเขาทั้งสามก็จากไป

“เราจะไม่ยอมให้พวกเจ้ารอด..” หันมาอีกทีก็ไม่พบศัตรูเสียแล้วเกลียวทอง แล้วเช่นนี้จะรู้ได้อย่างไรว่าสองคนนั้นเป็นใครกัน ไม่ได้การแล้วเธอต้องรีบติดต่อให้ใครรับรู้สักคนไม่เช่นนั้นคนพวกนั้นคงร่วมมือกับอัญญานีกลับมาทำร้ายเธอถึงชีวิตแน่
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กันยายน 28, 2021, 02:46:36 PM
สวัสดีค่ะท่านผู้อ่านทุกท่าน​ ทางจักกรดต้องขอภัยอีกครั้งหนึ่งในการงดอัพเดตนิยายจริงๆนะ​ คะเพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่ใกล้จะสอบแล้วจึงแต่งตอนต่อไปได้ไม่สมบูรณ์​เท่าไหร่นัก​ จักกรดจึงตัดสินใจงดการอัพเดตนิยายไปก่อนสักระยะหนึ่งค่ะ​ เมื่อถึงปิดเทอมประมาณปลายเดือนหน้าจักรกรดจะมาอัพตอนต่อไปนะคะ​ อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องการอัพเดตนิยายจะแจ้งให้ทราบในภายหลังนะคะ​ ต้องขออภัยทุกท่านจริงๆค่ะกับการจัดสรรเวลาไม่ลงตัว​ ขออภัยด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ พฤศจิกายน 25, 2021, 01:47:43 PM
สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านนะคะ จักรกรดต้องขออภัยที่ห่างหายไปนานด้วยค่ะ เพราะว่าจักรกรดได้เข้ารับการฉีดวัคซีนแล้วเกิดผลข้างเคียงอย่างมากเลยต้องพักรักษาตัวด้วยค่ะ ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้วก็เลยกลับมาแต่งเพิ่มได้และจึงถือโอกาสมาชี้แจงการเปลี่ยนแปลงเวลาในการอัพเดตนิยายจากรายเดือนเป็นรายสัปดาห์แทนค่ะ โดยจะอัพเดตทุกๆวันอาทิตย์ เวลา18.00น.เริ่มวันอาทิตย์ที่5ธันวาคมเป็นต้นไปค่ะ ต้องขออภัยสำหรับความไม่สะดวก และขอขอบคุณที่ยังติดตามอ่านอยู่เสมอด้วยนะคะ จักรกรดจะตั้งใจพัฒนาแต่งให้ดีขึ้นและแต่งให้จบบริบูรณ์ค่ะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 05, 2021, 06:05:44 PM
 **แก้ไข​**⚠️content warnings//Trigger Warnings
 เนื้อหาส่วนในตอนนี้มาความรุนแรงที่อาจทำให้ไม่สบายใจร่วมด้วย!! ​ ตอนแรกลืมใส่เตือนต้องขออภัยด้วยนะคะ

ในขณะที่ทั้งสองเดินทางไปยังที่ตั้งของศิลาพยากรณ์กลับต้องพบเรื่องยากลำบากจิตเข้าให้ ก็ทางที่เดินน่ะเป็นทางตรงแท้ๆไม่ได้หลงอะไรเลยเพียงแต่มุ่งหน้าไปก็พบถ้ำวิเศษแล้วแต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า ไม่ว่าจะเดินเท่าไหร่ก็เหมือนเดินอยู่กับที่ตลอด
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรอีกเนี่ย ตอนแรกก็ถูกฟ้าผ่า มาตอนนี้ยังถูกทำให้เดินอยู่กับที่อีก!!!” อัคนินเริ่มโวยวายอีกครั้งหลังจากที่ผจญเหตุการณ์เสี่ยงตายเมื่อครั้งกลางวันมาหนึ่ง จนทิวาแล้วก็ยังไม่วายจะเจอเรื่องน่ารำคาญใจอีก
“เดินไปต่อไม่ได้ก็หยุดพักก่อนดีกว่า” สหายจำเป็นออกความเห็น ดึงดันจะไปต่อก็ไม่ช่วยอะไรกลับจะทำให้เสียกำลังไปโดยใช่เรื่องด้วย
“พักอะไรกัน ไม่ใช่ว่าพวกเราต้องเร่งทำงานให้เสร็จเร็วๆหรอกเหรอ” เขาเห็นอีกคนหยุดเดินแต่ตนก็ไม่สน อยากแต่จะเสร็จงานเร็วๆอยู่นั่น
“ลองพักดูแล้วสังเกตสิว่ารอบๆนี่น่ะ ตอนหยุดเดินมันต่างจากตอนเดินมากแค่ไหน”บดิศรกล่าวให้ลองทำดู เพราะอีกคนนี่ล่ะจะทำให้เสียเวลามากกว่าเดิม
“ก็ได้……จริงด้วย ที่นี่แปลกไป” เมื่อหยุดดูก็พบว่าที่นี่ประหลาดนัก ตอนที่ผ่านเขตแนวอสุราที่หนึ่งมาจนถึงตอนที่ได้เดินอยู่กับที่ยังเป็นสถานที่ที่มืดมนเห็นได้ก็แต่แสงสีแดงราวทับทิมที่สะท้อนจากดินขึ้นมาเป็นระยะเท่านั้น แต่ตอนนี้นี่สิกลายเป็นบริเวณป่าเขียวชะอุ่ม แสงอาทิตย์สว่างจ้าราวกับว่านี่ไม่ใช่ยามวิกาล อีกทั้งรายล้อมไปด้วยฝูงผีเสื้อนานาพันธุ์บินกันให้ว่อน
“ปัจจาเคยผ่านด่านนี้มาก่อน พวกเราต้องอาศัยผีเสื้อพวกนี้เดินทางไป”
“ผีเสื้อตัวเล็กๆนี่นะ” ว่าแล้วบุตรแห่งคีรีมาศก็จับผีเสื้อมาหนึ่งตัวเพื่อดู แต่ไม่ทันไรไฟก็
เกิดไหม้เกือบจะเผาหัตถ์เข้าให้
“ผีเสื้อบ้านี่มันติดไฟคิดจะไปแบบเถ้าถ่านรึยังไง”
“แล้วใครว่าจะให้ไปทั้งอย่างนั้นกัน” ว่าแล้วโอรสเมืองรัตนบุรีก็ใช้พลังที่มีอยู่ของเกราะเรียกเอากริชออกมา
“ผีเสื้อนี่น่ะต้องการค่าผ่านทาง ซึ่งก็คือเลือดที่เกิดจากการกรีดแทงตัวเองสามที่”
“ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย ก็แค่จะผ่านทางไปเอง”
“ที่นี่เป็นเขตคั่นกลางระหว่างดินแดนอสูรกับมนุษย์นะ พวกอสูรพวกยักษ์บางส่วนที่หลุดรอดมาได้เพราะต้องแลกกับความเจ็บปวดกันทั้งนั้น” ว่าแล้วเขาก็เริ่มกรีดแขนทั้งสองข้างของตนตามด้วยการกรีดลงที่กลางหน้าผาก เพื่อให้ผีเสื้อพวกนี้ช่วยให้ผ่านทางไปได้สำเร็จ
……
“ทำไมพวกเราถึงมาอยู่ที่นี่ได้” กำลังแรงของแม่มดเกลียวทองส่งผลให้พลังอ่อนแรงด้วยเช่นกัน ยิ่งถูกอักษรสาปด้วยแล้วมนตราขั้นพื้นฐานเหล่านั้นก็ยิ่งไร้ผล จึงไม่แปลกหรอกที่พวกทหารจะหลุดจากมนต์สะกดจนถึงกับงงงวยว่าเหตุใดพวกตนมาอยู่ถึงที่นี่ได้
“พ้นจากมนต์สะกดแล้วแล้วก็อย่าเผลอสิ พวกค้างคาวดูดเลือดมันมาทางนี้แล้ว!!!!”  เจ้าสิงโตที่หนีการไล่ล่าได้ตกลงกับเหล่าหิ่งห้อยว่าให้เปลี่ยนเป็นรูปผืนพรมสี่เหลี่ยมแทนสำเภาเพื่อจะได้เดินทางได้ง่ายขึ้นนั้นพบว่าทหารไม่ได้เป็นผีดิบแล้ว ตอนแรกก็ว่าดีอยู่หรอกที่ตอนเปลี่ยนรูปร่างนั่นเหล่าหิ่งห้อยก็แยกทางไปอีกส่งผลให้ฝูงค้างคาวนั้นแยกอออกไปมาก แต่คราวนี้พอไม่มีมนต์ผีดิบกลิ่นเลือดของมนุษย์เป็นกลุ่มๆนี่ก็ทำให้ความกระหายของเหล่าค้างคาวรุนแรงขึ้นไปอีก นั่นทำให้พวกมันไม่สนใจจะตามพวกหิ่งห้อยแล้วกลับเป็นเหล่าทหารแทน
“พวกเราหนีเร็ว!!” พวกค้างคาวมากันเร็วมาก ทหารหนีรอดได้บ้าง บางรายเคลื่อนไหวไม่ทันก็ถูกรุม บางคนยังดีที่กระโดดลงยังใต้น้ำได้แต่ก็ต้องดำผุดดำว่ายเป็นระยะ เพราะคนธรรมดานั้นไม่อาจจะกลั้นลมหายใจใต้น้ำได้นานขนาดนั้นได้
 
“เฮ้ย!! พวกเจ้าอย่ามาแย่งอาหารหัวหน้าอย่างข้านะ” ค้างคาวผีห้ามฝูงค้างคาวที่กรูกันมารุมจะกัดกินเสือสาวเสียดูเหมือนว่าความกระหายที่รวมตัวกันเหล่านั้นจะไม่ให้เหลือแม้แต่เศษแบ่งให้ผู้ถือตำแหน่งใหญ่กว่าเท่าไหร่
“ออกไปให้พ้นเลยนะ!!!!!!!!!!!” จั๊กแหล่นทนที่จะมารับสถานการณ์นี้ไม่ไหวแล้ว สู้ใช้กรงเล็บขัดขืนก็ยิ่งเหมือนกับเพิ่มจำนวนไปอีก เลยส่งเสียงขู่คำรามจนค้างคาวบางส่วนได้ตกลงพื้นให้พอแหวกช่องทางรอดหนีไปได้

 “จั๊กแหล่นรีบขึ้นมาเร็ว!!!!!!” สุดหล่อเอามือมาดึงตัวสหายด้านล่างให้ขึ้นไปบนผืนหิ่งห้อยแล้วเร่งพากันหนีไปโดยทันที
“กลับไปรวมตัวกันเร็วเข้า!!” หิ่งห้อยยักษ์ที่รับตาหวานแล้วจึงเรียกพรรคพวกไปหลบในที่ปลอดภัย
“พวกมันหนีไปแล้วไปตามจับมันสิ ไปตามจับมัน โอ๊ย!!” ค้างคาวผีเห็นอริหนีกันใหญ่ตัวก็เลยสั่งพลพรรคให้ตาม แต่ว่าตอนนี้พวกมันคลั่งเลือดทหารมากเกินไปจนไม่สนคำสั่งอะไรอีกแล้ว เห็นทีเจ้าค้างคาวผีต้องตามไปลำพังเสียแล้วสิ
…….
“พวกเจ้าทั้งสองไม่เป็นอะไรใช่มั้ย” อัญญานีถามสหายด้วยความห่วงใย
“ตอนนี้ก็พอไหวอยู่” เมธาวีตอบอีกคนด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก
“เราไม่เป็นอะไรมาก เจ้าหนีมาอย่างนี้เทพวิษุวัติไม่ตามหาแย่แล้วเหรอ” ศนิวารก็ไม่ต่างจากสหายที่สู้ด้วยกันมาเท่าไหร่นัก แต่สิ่งที่เบี่ยงเบนความสนใจก็คืออันตรายจะมาซ้ำอีกนี่สิ ตัวเขาเองน่ะไม่กลัวแต่ห่วงคนที่เหลือจะรับมือต่อไปได้แค่ไหนกัน
“เราเพิ่งจะแยกจากพระองค์ได้ไม่นานทรงไม่สงสัยอยู่แล้ว อีกอย่างเราได้เนรมิตร่างปลอมไว้พอจะยื้อเวลาได้บ้าง ”
“อักษรสาปที่เจ้าทำคืออะไร” สตรีชาวเสาร์ถามเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาด
“{ท} ทรมาน ถ้านางพูดถึงเรารวมไปถึงเมื่อใดที่นางพยายามนำดวงใจกลับเข้าสู่ตัวนางจะทรมานจนอยากอยู่ก็ไม่ได้อยู่อยากตายก็ไม่ได้ตาย” ยังไงเสียเธอก็เคยเป็นลูกเลี้ยงของเกลียวทอง ทำไมจะไม่เคยเห็นว่าวิธีสาปเป็นเช่นไร และด้วยอำนาจของแหวนนั้นช่วยให้เธอสาปได้ถึงสองอย่างในคราวเดียว นี่ก็นับว่าเป็นประโยชน์ไม่น้อย
“ดีแล้ว งั้นพวกเราไปหาเสด็จแม่กันเถอะ” บุรุษวันเสาร์ที่ได้ฟังก็วางใจ แต่ด้วยห่วงความปลอดภัยของมารดารวมถึงตายายจึงได้ชวนให้ใช้แหวนวิเศษนำไป
……….
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมท่านถึงได้บาดเจ็บล่ะ” ปัจจาที่ได้รับกระแสจิตเรียกหาของเกลียวทองก็พักงานที่กำลังทำเพื่อมาหาตามคำเรียกร้อง
“มีคนมาทำร้ายเราตอนเดียวกับที่พวกสไบทองหนีไป” เธอกล่าวด้วยสีหน้าซีดเซียว
“พวกนั้นเป็นใครเจ้ารู้หรือไม่”
“เราไม่รู้ แต่ทั้งสองคนนั้นไม่ยอมใช้คาถาอะไรเลยอาศัยแต่กำลังมาสู้กับเรา”
“พวกนี้ต้องเป็นหนึ่งในคนที่ช่วยเหลือมเหสไบทอง ไม่น่าเชื่อเลย หมดพวกสิบสี่คนนั้นยังมีคนฝีมือดีมาช่วยได้อีก”
“ตอนแรกเราก็คิดว่าพวกอยากมีชื่อเสียงในการสังหารเราธรรมดาๆพอคิดไปคิดมาก็เพราะพระเทวาท่านจะทำการใหญ่ย่อมมีคนไม่เห็นด้วยอยากตัดกำลังของพวกเรา แต่ว่าช่วยพวกนั้นไปมีประโยชน์อะไรเราไม่เห็นเข้าใจ” เธอพูดด้วยอาการเหนื่อยเหลือกำลัง
“แล้วจะทำอย่างไรต่อไปล่ะ พวกนั้นเวทย์มนต์ไม่มียังสู้ท่านได้ ก่อปัญหาต่อไม่จบสิ้นแน่” ลำพังตามหาพระพี่นางของนายตนก็ลำบากพอแล้ว ยังต้องมากังวลกับตนที่มีฝีมือที่ไม่ต้องใช้พลังอีก
“คนพวกนั้นกับเราเชื่อมสลับทรมานกันอยู่ ตอนนี้เจ็บกับฝั่งละครึ่งก็จริง แต่ถ้าเราหายพวกนั้นก็ทรมานแทนเราแล้ว นี่พอจะแก้ปัญหาได้จึงได้เรียกท่านมาให้ช่วยเหลือยังไงล่ะ” นี่เป็นสิ่งที่ทำได้ในตอนนี้แล้ว เพราะตัวเธอก็ไม่ได้รู้ตัวตนของศัตรูเลยนอกจากหญิงที่ตนชิงชังที่ช่วยไป
“นอกจากนี้ยังมีอ……” ทันทีที่เธอตั้งใจพูดถึงอัญญานีเสียงก็หายไป ร่างก็ค่อยๆร่วงล้มไปเสียอย่างนั้น ยิ่งพยามยามพูดเธอก็ยิ่งเจ็บปวดไปทั่วลำคอคล้ายสำรอกออกเลือดมาแต่มันไม่ออกให้นี่สิ ตามลำตัวเส้นเลือดก็ขึ้นนูนจนปวดตัวราวกับจะแยกออกจากร่างแต่ไม่ออกมาอีก ความรู้สึกร้อนดังไฟเผาที่ทวีขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้อมตะแล้วยังไง ถ้ายังทรมานอย่างนี้ก็ยิ่งกว่าตายตกนรกไปอีกไม่ใช่หรอกหรือ
“ไม่ได้การแล้ว เราจะช่วยท่านเอง” เมื่อเห็นสถานการณ์ไม่ดีมีเหรอจะไม่ช่วย เขารีบประคองอีกคนขึ้นมาหาที่พักทำการรักษาโดยทันที
……….
“ตอนนี้ดีขึ้นมากเลย คงเป็นเพราะนางพยายามบอกเรื่องเจ้าสินะอัญญานี” ศนิวารคาดการณ์จากอาการบาดเจ็บที่ดีขึ้นไม่น้อย เวลานี้แม่มดคนนี้ยังไม่ได้ไปเอาดวงใจเร็วขนาดนั้นหรอก
“เราก็ว่าอย่างนั้น…แต่แปลกจริงทำไมพวกเราถึงอยู่ที่นี่ล่ะ” เธอสงสัย จิตใจตอนใช้แหวนก็ไม่ได้ว้าวุ่น พระพักตร์พระมเหสีก็ยังจำได้ชัดเจนดีนี่นาทำไมมาอยู่ที่ริมบึงได้
“บัว บัวแย้มอยู่ในนั้นใช่มั้ย!!” เมธาวีเห็นแสงสีขาวนวลผ่องอยู่จึงเดินไปแล้วพบกับดอกบัวขนาดใหญ่อยู่ในน้ำก็รู้ได้ทันทีว่านี่เป็นสิ่งที่พี่น้องตนมอบให้จากความทรงจำที่เชื่อมถึงกัน แต่เพื่อความแน่ใจถามหน่อยดีกว่า
“พระธิดา พระธิดาเมธาวีหรือเพคะ” บัวแย้มแง้มกลีบดอกบัวราวกับเปิดม่านพริ้วไสวมาดูต้นเสียงที่ได้ยิน
“เราเองบัว เรายังไม่ตาย” เธอยิ้มอย่างดีใจเมื่อได้พบคนที่ผูกพันราวกับพี่น้องอยู่ที่แห่งนี้ด้วย
“เสด็จแม่พระเจ้าค่ะ” ศนิวารที่ตามมาก็เรียกหามารดาโดยทันทีเพราะมั่นใจว่าต้องอยู่ด้วยกันแน่
“ศนิวาร ลูกยังมีชีวิตอยู่….” สไบแก้วคิดถึงแก้วตาดวงใจของตนมากที่สุดได้ยินเสียงเรียกก็รีบมาดู พอพบหน้าก็ดีใจจนน้ำตาท่วมท้นนัก
“อย่าเพิ่งออกไป…..เราจะเชื่อได้ยังไงว่าพวกเจ้าไม่ใช่ฝั่งศัตรูปลอมตัวมาหลอกพวกเรา!!” พระอัยกาห้ามคนทั้งสองที่ดีใจอยู่นั้นไม่ให้ใจอ่อนไปต้อนรับเพราะห่วงว่าจะเกิดอันตรายอีกก็เป็นได้ หากถูกจับได้อีกกลับไปคราวนี้โดนถูกทารุณกันหนักกว่าเดิมเป็นเท่าตัวแน่
“ทรงเชื่อพวกหม่อมฉันเถอะนะเพคะ เวลานี้อะไรที่ควรเชื่อหรือไม่พระองค์เองก็ทรงพิจารณาได้ไม่ยากอยู่แล้วเพคะ”  เธอกล่าวไปตามที่คิด ก็คนอย่างท้าวทศพลจะดูไม่ออกเชียวหรือ
“เรื่องบางเรื่องก็วางใจไม่ได้ เอาล่ะเราขอถามพวกเจ้า ก่อนที่จะจากเมืองเราไปสู้ศึก เรื่องสุดท้ายที่เราพูดกับพุทธรัตน์คืออะไร”
“เสด็จพ่อก็ทรงทราบนะเพคะว่าพวกเขาอยู่คนละวันกันจะไปรู้ได้อย่างไร น้ำท่วมคราวนั้นบันทึกก็น่าจะหายตามไปแล้วก็ได้” ถ้าเป็นก่อนหน้าที่สิ่งของวิเศษเสียหายก็ใช่ แต่นี่ได้รับการรักษาแล้วไม่เป็นเรื่องยากที่ตนจะรู้จากอีกฝ่าย
“พ่อเข้าใจ แต่อย่างน้อยๆก็ต้องรู้จากตอนที่เกิดสุริยะคราส” ทั้งหมดแยกออกจากกันจะไม่ส่งสารถึงกันเลยงั้นหรือ แต่เขาไม่รู้ว่าเวลานั้นไม่ใช่เวลามาสั่งเสียกันก่อนสู้นี่นา
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ให้รักษาตัวรอดเอาไว้อย่าสู้จนตัวตายพระเจ้าค่ะ” ทันทีที่พระนัดดาตอบคำถามจบประโยคก็กลับกลายเป็นว่าจากดีๆก็ล้มดิ้นทุรนทุรายลงไปเสียอย่างนั้น
“ศนิวาร!! เมธาวี!!” อัญญานีรีบเข้าไปดูทั้งสองในทันที เมื่อครู่ยังดีอยู่แท้ๆไม่นานก็อาการแย่เสียจนน่าตกใจ
บัวแย้มเห็นเป็นเช่นนั้นก็รีบเปิดดอกบัวให้คนที่อยู่ในดอกบัวออกมายังด้านนอกเพื่อดูอาการคนที่ทุรนทุรายในทันที
“ทำใจไว้นะ หลานจะต้องไม่เป็นอะไร” อัยกีเข้าถึงตัวนัดดาได้ก่อนคนอื่นก็รีบจับมือปลอบประโลมประคองอาการไว้ก่อน
“ลูกแม่ ไม่นะลูก….พวกเราต้องทำอะไรสักอย่างสิ ต้องทำอะไรสักอย่าง” ใจของนางก็หายอยู่หรอก แต่จะมามัวเสียใจก็แย่กันพอดี ยังไงมันก็ต้องมีวิธีช่วยให้ได้สิ
“พระธิดาเพคะ พระธิดา!!” ได้เจอเพียงครู่เดียวก็เป็นอย่างนี้เสียแล้ว น้ำตาของบัวอาบแก้มไม่รู้จะต้องทำอย่างไรดี
“พา….พาศนิวารเข้าไปในแก้วบุษกรก่อนร…เร็ว..เร็วเข้า” คนที่ทุรนทุรายแต่ยังไม่วายสิ้นสัมปชัญญะอย่างพระธิดาเมืองคีรีมาสได้รีบบอกให้พาเข้าไปรักษาตัวด้านใน
“ได้ๆ เราจะรีบพาเขาเข้าไปแล้วจะรีบพาเจ้าตามเข้ามานะ” คนสวมแหวนวิเศษจิตใจว้าวุ่นห่วงหน้าพะวงหลังไม่รู้จะช่วยใครก่อน เมื่อได้ยินคำกล่าวของสหายก็ทำตามโดยเร็วถึงแม้จะห่วงอีกคนขนาดไหนก็ตามที
ด้วยที่ว่าคนเมืองทิศพลนั้นชราภาพเกินไปจึงไม่เหมาะแก่การเคลื่อนย้ายคน ดังงนั้นแล้วสไบแห้ว บัวแย้มและอัญญานีจึงต้องช่วยกันพาบุรุษผู้ทรมานคนนี้นั้นเข้าไปก่อนอย่างทุลักทุเล
“พระโอรส พระธิดาเกิดอะไรขึ้นพระเจ้าคะ!!!!”พวกที่ทำภารกิจล่อลวงศัตรูได้กลับมาถึงพอดี แต่เจ้าหิ่งห้อยยักษ์ต้องร้องถามด้วยความตกใจทันทีที่เห็นอาการที่ทั้งสองคนเป็นอย่างนั้น
“เรื่องจริงหรือนี่ ของวิเศษทั้งสองยังอยู่ดี ”ตุ๊บเท่งไม่ได้สนว่าคนจะเป็นยังไงแต่สิ่งที่ดึงดูดใจที่สุดก็ต้องเป็นสังวาลย์กับเกาะอยู่แล้ว
“มันยังไม่ใช่เวลาที่จะทำอย่างอื่น ตอนนี้ต้องรีบพาทั้งสองคนเข้าไปรักษาอาการบาดเจ็บด้านในดอกบัวก่อน สุดหล่อช่วยพวกเราพาศนิวารเข้าไปเร็วเข้า” สไบทองร้องเรียกให้เข้ามาช่วยในทันที
“สุดหล่อต้องช่วยอยู่แล้วเด็จแม่” ว่าแล้วก็รีบเข้าไปช่วยแบกเอาคนเข้าไปยังที่ปลอดภัยด้วยหวังว่าจะได้ผลตอบแทนในภายหลัง
“พระธิดา จั๊กพาไปนะเพคะ” ว่าแล้วจั๊กแหล่นก็แบกอีกคนตามไปในทันที
“เจอแล้วพวกหลบหนี ที่แท้ก็มาอยู่ในดอกบัวยักษ์นี่เอง” ค้างคาวผีที่รีบบินตามมาทันเจอทุกคนก่อนที่จะบัวจะปิดไป
“ดีล่ะข้าจะได้กินให้หมดนี่เลย!!” ว่าแล้วเจ้าค้างคาวก็ปล่อยพลังโจมตี แต่ถึงยังไงก็ไม่สะเทือนด้านในสักนิดเพราะพลานุภาพที่ป้องกันมากจนพลังธรรมดาก็เป็นได้แค่เศษผง
………..
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 05, 2021, 06:09:22 PM
“อุตส่าห์เดินทางกันไม่ได้พักแท้ๆเจ้ากลับยื้อเวลาซะเป็นคืน เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”ฉันทนาถามผู้ร่วมทางในขณะที่กำลังซุ่มกองกำลังตอนที่พระอาทิตย์ใกล้จะปรากฏยังท้องนภา
“เจ้าไม่รู้อะไร ช่วงเวลาที่ประตูวังบาดาลใต้เปิดอย่างอิสระก็คือช่วงเข้าอรุณยังมิละทิวา นี่เป็นจุดอ่อนของที่นี่ไม่ว่าใครก็สามารถโจมตีได้ง่ายๆถ้ารู้ข้อนี้” ติณกฤตอธิบายให้ข้อมูล กับผู้ที่สงสัยในตัวของตน
“แล้วทำไมต้องเปิดอย่างอิสระด้วยล่ะ” ปกติมันต้องป้องกันอย่างแน่นหนาไม่ใช่หรอกเหรอ
“ก็เพื่อให้ผู้ที่อยู่ในปกครองมาร้องทุกข์ได้น่ะสิ คิดดูนะถ้าไม่เดือดร้อนจริงๆคงไม่มาเวลานี้หรอกจริงมั้ย อีกอย่างเป็นเวลาอื่นถ้าพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นอาคันตุกะหรือเชื้อเครือญาติวงศ์ก็ยากจะเข้าไปได้” เขาใช้น้ำเสียงที่จริงจังดูน่าเชื่อถือเพราะว่าเขาพูดจริงกับไม่จริงปนกันไป โกหกอย่างเดียวมันไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่นี่นะ
“อย่ามัวแต่ถามอยู่เลย….ได้เวลาแล้ว!!!”เขาตอบข้อสงสัยเสร็จก็ไม่รอช้าส่งสัญญาณเข้าโจมตีบาดาลโดยทันที

“แย่แล้วพระเจ้าค่ะองค์เหนือหัว พระโอรสติณกฤต พระโอรสนำกองทัพมาบุกโจมตีวังพระเจ้าค่ะ”ทหารชาวนาคา รีบเข้ามาทูลถึงเหตุการณ์วุ่นวายในทันที ด้วยตกใจว่าเหตุใดผู้ที่เป็นถึงพระโอรสได้กล้าที่จะคิดทำร้ายบิดาตน
“เจ้าว่ายังไงนะ!! ทำไมติณกฤตต้องทำกับเราแบบนี้ด้วย…ไม่ได้การแล้ว รีบจัดกำลังให้เร็วที่สุด”ท้าววิชชุนาคราชถึงจะรู้แผนการอยู่แล้วแต่ว่าก็อดที่จะตกใจไปด้วยไม่ได้ ใครจะไปคิดว่าลูกยาจะใช้เวลาแบบนี้มาโจมตีกัน
“แย่หน่อยนะพระเจ้าค่ะที่ตอนนี้แก้สถานการณ์ไม่ได้เสียแล้ว” พระโอรสของวังเดินเข้ามาทันทีหลังจากที่ผู้เป็นพระบิดากล่าวจบ
“หมายความว่ายังไงกันแน่ลูกพ่อ” นี่มันผิดแผนไปหน่อยแล้วมั้ง เดิมทีพวกเขาต้องทำทีเป็นสู้กันสูสีแล้วปล่อยให้หนีไปได้อย่างหวุดหวิดไม่ใช่เหรอ
“คงจะทรงสงสัยว่าเหตุใดหม่อมฉันไม่ทำตามที่ตกลงกันไว้” เขาใช้ดาบจ่อไปที่คอของผู้เป็นพ่ออย่างอุกอาดนัก ขัดกับนิสัยปกติเสียเหลือเกิน
“ตกลงกันไว้ หมายความว่าพวกเจ้าพ่อลูกคิดจะทรยศพระเทวางั้นสิ” สตรีที่มาตามจับผิดได้ยินแบบนั้นก็ไม่พอใจนัก
“ตอนแรกใช่ แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว” เขายิ้มหยิ่มกระหายราวกับได้กำชัยชนะไว้ในครอบครอง
 “เขาให้เราแฝงตัวเข้าไปแล้วนำความลับมาบอกทางนี้ให้มากที่สุดเพื่อที่จะรับมือกับสงครามที่ใกล้จะประกาศอย่างเป็นทางการ ระหว่างนั้นก็กะว่าจะให้เราสังหารเจ้าของเดิมเพื่อครองเกราะเหล็กกับสังวาลย์ศิลาเพื่อมาใช้ทำลายพวกเจ้าให้สิ้น”
“หมายความผู้ที่จะเป็นเจ้าของต่อได้ก็ต้องสังหารเจ้าของเดิม นี่เขาจะให้เจ้าฆ่า ฆ่าอัคนินเลยอย่างนั้นเหรอ” เธอได้ยินก็ใจไม่ดีเท่าไหร่ เธอไม่ได้หมายถึงความร้ายกาจของท้าวนาคาแต่เป็นความโหดร้ายของเทพที่ตนรับใช้ตะหาก เธอไปได้ยินมาว่าเมื่อรักษาสังวาลย์สำเร็จก็แค่จะเทพท่านขอคืนแล้วอัคนินจะไม่เข้าร่วมต่อสู้ก็ได้แท้ๆ
“ติณกฤตลูกพูดเช่นนั้นออกมาได้อย่างไร”เขาสับสนไปหมดว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับบุตรตน ทำไมเขาพูดเรื่องสำคัญแบบนี้ได้อย่างหน้าตาเฉย
“หม่อมฉันว่าข้อเสนอที่พระองค์ให้มันไม่พอและเวลาก็รอไม่ได้ด้วย บัลลังก์นี่มันควรจะเป็นของหม่อมฉันตั้งนานแล้ว อีกอย่างการได้เคียงข้างผู้ยิ่งใหญ่อย่างเทพวิษุวัติต้องเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง พระองค์จะต้องชนะไม่มีใครมาขวางได้!!”
“หยุดนะติณกฤต!!!” แสงสว่างวาบจากทิศตรงข้ามเข้าสู่ดวงตาของคนทั้งสองจนมองไม่เห็นไปครู่หนึ่ง
“หึ เราก็นึกว่าจะแน่แค่ไหนก็แค่ใช้แสงมาบังตาพาหนีก็เท่านั้น”ฉันทนาใช้เชือกมนตราไล่จับอริได้ทัน ถึงแม้จะมองไม่เห็นแต่ว่าเชือกเส้นนี้มันตามการเคลื่อนไหวของสิ่งชีวิตได้
“ลูกแม่ แม่ไม่เคยสอนให้ลูกทำเช่นนี้นะ”สายตาของมารดาบ่งบอกได้ถึงความผิดหวังในตัวบุตรเป็นอย่างมาก
“เราก็ไม่ได้ขอให้พวกท่านสอนเรา” เขายังมีความผูกพันอยู่บ้าง ในขณะที่พูดเสียงก็เริ่มสั่นคลอนร่วมด้วย
“จะทำอะไรก็รีบทำเถอะ พวกเราต้องไปทำอย่างอื่นกันต่อนะ” เธอไม่อยากจะอยู่ดูเหตุการณ์พวกนี้มากนัก อีกอย่างเชือกนี้ถึงจะรัดผู้มีอิทธิฤทธิ์ได้ แต่มันก็ไม่นานนักหรอก
“ลาก่อน..”ติณกฤติใช้ดาบอันคมกริบฟันเศียรบิดามารดาขาดสะบั้นพร้อมกันในคราวเดียว ช่วงเวลาที่ศีรษะตกพื้นก็เป็นเวลาเดียวกับที่น้ำตาของเขาได้ไหลออกมาจากดวงตา
ถึงแม้จะเป็นเพียงพยานในครั้งนี้ก็อดไม่ได้ที่จะเศร้าใจระคนกันกับขวัญที่สั่นคลอน ขนาดพ่อแม่ตนยังตัดใจสังหารได้ ต่อจากนี้คงไม่มีอะไรที่เขาจะทำไม่ได้แล้ว ช่างเป็นบุคคลที่อันตรายมากเสียจริง
……..
“ดีขึ้นหน่อยแล้วสินะ” ผู้เป็นมารดาพอจะวางใจได้บ้างที่ลูกยาไม่มีอาการทุรนทุรายมากแล้ว
“พระธิดาดีขึ้นแล้วใช่ไหมเพคะ”บัวใช้มือลูบที่หน้าผากคนที่ตนรักเหมือนพี่น้องเพื่อดูอาการ แต่ตัวเย็นมากไปหน่อยเลยไม่แน่ใจ
คนถูกถามได้แต่พยักหน้าและยิ้มซีดเซียวตอบ ไม่นานนักก็กระอักเลือดอย่างหนักขึ้นมาเสียดื้อๆ
“ทางนั้นก็คงจะรักษาด้วยฤทธิ์เย็นเหมือนกัน พอทั้งสองฝ่ายใช้วิชาฤทธาเดียวในช่วงที่สลับทรมาน ความเจ็บก็เลยอยู่กับที่แต่ยิ่งทวีคูณ”อัญญานีที่เห็นอาการสกายทั้งคนไม่ดีอีกแล้วจึงใช้ความคิดจากประสบการณ์ที่ได้พบเห็นมาจากเกลียวทองวินิจฉัยเรื่องนี้
“ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปก็ต้องตายทั้งสอง ต้องรีบถอนวิชานี้ออกแล้ว…แต่ว่าเราถอนได้แค่ทีละคนระหว่างนั้นต้องคอยดูอีกคนให้ดีเพราะมีโอกาส มีโอกาสจะไม่รอด” เธอพยายามคุมสติตัวเองให้มากที่สุดเพราะตัวเธอเป็นคนเดียวที่รู้วิธีแก้แต่ก็ต้องอาศัยพลังจากแหวนวิเศษด้วย ถึงแม้จะติดสะอื้นไห้ด้วยใจไม่ค่อยสู้ดีนัก
“ถอน…ถอนวิชาให้เมธาวีก่อน…เรา..ทนได้”ศนิวารพูดขึ้นเพราะเป็นห่วงอีกคน คราวที่แล้วก็ยอมให้ตนเข้ามารักษาต่อ คราวนี้จะไม่ยอมให้มาเสียสละอีก
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 05, 2021, 06:11:43 PM
“ไม่ได้นะอัญญานี เจ้าต้องช่วยลูกของเราก่อน” สไบทองเห็นท่าไม่ดีแล้ว ถ้าจะต้องมีใครตายเสียคนหนึ่งขอให้เป็นอีกฝ่ายดีกว่า
“ไม่ได้นะเพคะพระมเหสี พระธิดาจะทรงไม่ไหวแล้ว” บัวแย้งขึ้นมา ในเมื่อบุตรตัวเอาสิทธิ์ให้ก่อนแล้วแท้ๆ
“ไม่ได้มาช่วยลูกเราก่อน เราขอล่ะ” คนเป็นแม่ฉุดลากนำตัวคนรักษาไปยังที่ลูกตัวเองไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว นอกจากชีวิตของลูก
“พระมเหสีอย่าทรงทำเช่นนี้เลยนะเพคะ” จั๊กแหล่นช่วยปราม
“เสด็จแม่..อย่า..พระเจ้า..ค” พูดเตือนไม่จบประโยคก็กระอักเลือดหนักไปอีก
“พระมเหสีอย่าทรงทำเช่นนี้เลยพระเจ้าค่ะ ขืนยื้อกันไปมาแบบบนี้เวลาไม่คอยท่าก็ต้องสิ้นทั้งสองพระองค์นะพระเจ้าค่ะ”หิ่งห้อยยักษ์ก็ช่วยห้ามอีก
“พวกเจ้าจะไปเข้าใจอะไร พวกเจ้าไม่ใช่สายเลือดเดียวกันกับพวกเราด้วยซ้ำ” ท้าวนวดลก็เข้าข้างลูก ใครเขาอยากจะเสียหลานตนกัน
“แต่เขาก็ชีวิตเหมือนกันนะเพคะเจ้าพี่ ชีวิตเขาสำคัญนั้นไม่แพ้กัน” มเหสีอมรินทร์กล่าวเตือนสติ
“แล้วหลานพวกเราไม่สำคัญรึ เจ้าเลอะเลือนไปแล้ว”
“พอ..”เมธาวีกล่าวคำสุดท้ายพร้อมกับมือที่ดึงเกสรดอกบัวใหญ่อย่างสุดแรงที่เหลือ จากนั้นไม่นานร่างกายของเธอก็กลายเป็นแก้วมีจุดพลังดั่งลูกไฟสีแดงสีฟ้าไหลเวียนในร่างนั้น
“พระธิดา!!”จั๊กแหล่นร้องเรียกด้วยความตกใจที่ร่างกายผู้เป็นดั่งที่รักเปลี่ยนไปแบบนั้น
“ไม่ ไม่นะ”สุดหล่อที่เห็นเห็นการณ์แบบนี้ ถึงจะไม่ได้ผูกพันกันแต่ก็อดสะเทือนใจกับภาพตรงหน้าไม่ได้
“พระธิดาอัญญานีช่วยพระโอรสเถอะเพคะ บัว บัวไม่อยากให้เกิดเรื่องนี้อีก” สุดท้ายบัวแย้มก็ต้องยอมรับเรื่องที่เกิด แม้ว่าตนจะเสียใจมากแค่ไหนแต่สิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงแค่ร้องไห้เสียใจเท่านั้น
“พี่ตาหวานคิดว่านี่อาจจะเป็นการรักษาร่างกายไว้ก็เป็นได้นะหนูบัว พลังที่ไหลเวียนอยู่มันคงไม่ใช่พลังจากสังวาลย์มณีหรอก พี่รู้สึกว่าพระธิดายังอยู่” เขาก็ไม่แน่ใจแต่ว่าเพราะเป็นผีมาหลายปี ก็พอจะรู้ว่านี่ไม่ใช่การสิ้นชีพไปหรอก
“อยู่แบบไหนกัน”เสือสาวร้องไห้ระงม เป็นแบบนี้ก็ไม่ต่างจากศพที่ยังมีลมหายใจอยู่ดี
อัญญานีใช้พลังจากแหวนรวมถึงเพ่งจิตไปยังร่างกายของศนิวารจนหน้าผากเริ่มมีอัญมณีปรากฏขึ้นมา ไม่นานก็มีแสงไฟสีม่วงออกมาจากอัญมณีนั้นกระจายรอบทั่วตัวของศนิวาร ไม่นานก็ก็ปรากฏเส้นไหมสีเงินหลุดออกมาแล้วถูกเผาทิ้งไป อัญมณีนั้นก็กลับเข้าร่างไปดังเดิมไฟที่รักษาก็ตามกันไป ในที่สุดเขาก็กลับมาเป็นปกติเสียที
“เมธาวี..เมธาวี” หลังจากที่กลับมาปกติเขาก็รีบไปดูร่างของคนที่ห่วงในทันทีแต่ก็ต้องพบแต่ร่างแก้วที่มีแต่พลังงานไหลเวียนอยู่เสียแล้ว
“เป็นความผิดของเราเอง ” เขาเสียใจมากจนน้ำตาคลอ ถึงร่างกายปกติแล้วยังไงถ้าใจร้าวแล้วก็เท่านั้น
“พระธิดาเพคะ!!”บัวรีบเข้าประคองอัญญานีที่ล้มลงเพราแรงจิตที่ใช้ไปตลอดคืนที่ผ่านมา
“อัญญานีเป็นยังไงบ้าง เราต้องขออภัยเจ้ามากจริงๆ” สุริยะได้เข้ามาดูอาการคนที่ช่วยตนอย่างห่วงใย คนที่ร่างเป็นแก้วก็น่าห่วงอยู่หรอกแต่อีกคนนี่ก็ไม่ค่อยไหวเท่าไหร่แล้ว
“เราไม่เป็นอะไรแค่ต้องพักสักหน่อย แต่ว่าแสงสุรีย์นี่สิ” เธอก็ไม่วายเป็นห่วงคนประสบภัย ถึงตอนนี้พอจะวางใจว่าไม่สิ้นชีพได้แล้ว แต่แก้ร่างให้กลับมาดังเดิมนี่สิไม่รู้หนทางเลย
“ต้องมีวิธีแน่….พี่หิ่งห้อย บันทึกของศรุตเทพที่น้องฝากไว้ยังอยู่ไหมจ๊ะ”
“ยังอยู่พระเจ้าค่ะ” ว่าแล้วเจ้าหิ่งห้อยก็ใช้พลังนำบันทึกออกมาจากปีกของตนส่งให้เจ้าของในชาตินี้
“ศรุตเทพต้องรู้วิธีแก้แน่ นอกจากบันทึกเรื่องการเดินทางยังมีการบันทึกวิธีแก้มนตราที่ไม่พึงประสงค์อีกด้วย” เขารีบเปิดหาอาการที่น่าจะใกล้เคียงในนี้ดูเสียหน่อย
“ในนี่ไม่มีวิธีแก้ร่างที่กลายเป็นแก้ว แต่วิธีแก้มนต์ผู้เป็นหินน่าจะใช้แทนกันได้”
“ต้องใช้อะไรแก้ล่ะ” ธิดาเมืองโกสุมพิสัยถามดูเผื่อจะช่วยได้
“ใบของต้นปาริชาต นำมารวมกันกับดอกหทัยหยาดทิพย์ ร่ายมนต์โปรยตามคาถาในนี้จะช่วยได้” ยากหน่อยนะที่ต้องไปหาสิ่งเหล่านี้ที่ไปรวมในสวรรค์ในวันนี้เสียด้วยสิ
“คิดจะไปนำมาก็ต้องระวังด้วยเทพวิษุวัตด้วยนะ เพราะที่สวนบนสวรรค์ดอกปาริชาตบานวันนี้ จัดพิธีเข้าชมกันยิ่งใหญ่มากด้วย ” อัญญานีส่งแหวนให้แล้วบอกเล่าที่ทางตั้งพรรณไม้ต่างๆให้ได้รู้
“หลานไม่พักสักหน่อยหรอกหรือ ” อัยกาห่วงนัดดาที่ทนทรมานร่างมาตั้งนานแล้วยังไม่ทันได้พักยังต้องไปทำเรื่องเสี่ยงอีก
“เรื่องนี้รอไม่ได้พระเจ้าค่ะ” ถึงไม่ค่อยจะรู้สึกดีที่คุยด้วยจากเหตุการณ์เมื่อไม่นานมานี้ แต่เขาก็ไม่ได้ใจแข็งถึงกับไม่คุยด้วยขนาดนั้น เมื่อได้รับการตอบกลับมาทั้งสองพ่อลูกก็รู้สึกผิดขึ้นมาเลยไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 05, 2021, 06:13:41 PM
“จริงสิเจ้ายังมีอักษรสาปติดตัวใช้พลังจากสิ่งวิเศษไม่ได้นี่ เพราะยังไงก็ใช้จิตช่วยด้วย” สหายที่รู้เรื่องคำสาปก็อดห่วงไม่ได้
“เช่นนั้นบัวจะใช้แหวนไปกับพระโอรสสุริยะเองเพคะ” บัวแย้มที่มีความหวังจากความไม่สิ้นที่พระธิดาที่ผูกพันอาสาทำเรื่องนี้ เพราะดอกบัวยังทำให้ดั่งใจได้ ทำไมจะใช้จิตเชื่อมพลังกับแหวนไม่ได้
“ให้พี่จั๊กไปแทนดีกว่ามั้ยหนูบัว อย่างน้อยๆพี่ก็พอจะช่วยพระโอรสสู้ได้บ้างถ้าหากเกิดอันตราย”
“เรื่องไม่ได้อยู่ที่สู้ได้ไม่ได้ อยู่ที่ว่าเมื่อได้กลิ่นต้นปาริชาตจะรำลึกอดีตชาติจนไม่มีสติพอจะระวังตัวนี่สิ เราเชื่อว่าบัวต้องช่วยเตือนสุริยะให้ทำการสำเร็จลุล่วงได้แน่” เธอที่เห็นแววตาอันมุ่งมั่นนั้นแล้ว ใจก็เชื่อมั่นในปณิธานที่จะช่วยเหลืออย่างแรงกล้าได้แน่
“อย่างนั้นอย่าเสียเวลาเลย พวกเรารีบไปกันเถอะ!!”สุริยะชวนบัวเสร็จก็จับมือหายตัวกันไปในทันที
…………..
“ไม่น่าเชื่อเลยว่าต้องทำกันขนาดนี้ …เดี๋ยวสิ.แผลที่กรีดเมื่อครู่หายไปไหนแล้ว” อัคนินกล่าวเสร็จหลังจากเดินบนทางที่ผีเสื้อดื่มเลือดที่พลีกายให้เหยียบไปยังถ้ำวิเศษ ไม่นึกเลยว่าการที่ทำตามสหายร่วมทางจะได้ผมดีทั้งแผลที่กรีดด้วยตนเองยังหายไปเหมือนไม่เคยมีมาก่อน
“พวกเราจะไปหาศิลาพยากรณ์ก็ต้องให้มีอะไรดีๆบ้างสิ” บดิศรออกความเห็น
แสงระยิบระยับขึ้นมาบ่งบอกว่าเป็นทางเข้าแน่แท้ พอเดินไปเหมือนมีฟองอากาศอยู่ระหว่างทางเข้าตามที่ปัจจาได้แจ้งไว้
"หากจะมาพบเราเร่งมาพบเสียเถิด อย่าให้สูญสิ้นเพลาเลย" แท่นศิลาที่พวกเขาตั้งใจมาหาได้รับรู้ถึงการมาของผู้ที่เยือนก็นะไม่มีอะไรที่ไม่รู้
" เรื่องสิ่งวิเศษที่ท่านทั้งสองได้รับบัญชาให้รักษากลับมาดังเดิมนั้นย่อม ไม่มีทางทำได้อีกแล้ว ในเพลานี้เขตแนวอสุราที่๓มิได้มีปราพกสินธุ์ที่ใช้รักษาสิ่งวิเศษอีกต่อไปเพราะมีผู้ใช้งานไปเป็นที่เรียบร้อย เอาล่ะถึงอย่างไรพวกท่านทั้งสองคนก็ผจญภัยจนมาถึงที่นี่ สามารถถามคำถามเราได้คนละข้อ” ศิลาพูดให้รู้ในทีเดียวเพราะไม่อยากให้เสียเวลาในการไปผจญเรื่องที่เสียเวลานี่นะ
“จริงเหรอ ศิลานี่โกหกพวกเรารึเปล่า” เขาสงสัยขึ้นมาเลยถามเพื่อนจำเป็นดู
“ไม่หรอกเขาบอกทุกฝ่ายนั่นล่ะ ….พวกเกราะกายสิทธิ์กับสังวาลย์มณียังมีชีวิตอยู่ใช่หรือไม่” โอรสรัตนบุรีได้ยินคำเล่าก็เกิดอยากรู้ขึ้นมา เหมือนมีลางสังหรณ์ว่าฝ่ายศัตรูยังไม่ตายง่ายขนาดนั้น
“ถามอะไรของเจ้า เสียคำถามไปง่ายๆเลยนะ” โอรสคีรีมาศไม่เข้าใจอีกคนที่ถามแบบนั้น เพราะตนมั่นใจว่าไทม่รอดแล้วแท้ๆ
“ใช่ พวกเขายังมีชีวิตอยู่….เจ้าฉลาดถามดีนี่” เขาน่ะชอบคำถามแบบนี้ล่ะไม่กว้างเกินไป ไม่ต้องมากความ
“ว่ายังไงนะ แล้วพวกนั้น..”
“ใจเย็นอัคนิน ถามเรื่องที่พระเทววิษุวัติทรงอยากทราบเถอะ”
“ก็ได้ๆ…..พระเทวีเบญจเนตรทรงอยู่ที่ไหน”
“คำถามนี้ยากจะตอบ เพราะถ้าบอกตรงๆคำสาปก็ทำงาน ตัวข้าก็กลายเป็นหินธรรมดาเสียสิ” เขาเจอคำถามนี้เป็นรอบที่ร้อยแล้วมั้ง ก็บอกตรงๆไม่ได้จริงๆนี่นา
“เช่นนั้นก็ใบ้มาเถอะ” เทวดาก่อนหน้าหัวเสียบ้าง บ้างก็กลัวว่าความวิเศษจะหายไปเลยเปลี่ยนคำถามตลอด เพิ่งจะเจอคนอยากได้คำใบ้นี่เอง เด็กหนุ่มคนนี้เป็นที่น่าพอใจสำหรับเขามากจริงๆ คนที่ชื่อบดิศรนี่
“ที่ที่คาดไม่ถึงเป็นที่ที่คอยเฝ้าคะนึงหา….คำใบ้นี่น่าจะเหมาะกับนายของพวกท่านนะ เอาล่ะหมดเพลาของเราแล้วเราต้องพักก่อน ขอให้โชคดี” กล่าวจบศิลาวิเศษก็หลับนิ่งเหมือนหินธรรมดาทั่วไปรอตื่นใหม่ในอีกเจ็ดวันให้หลัง

“พวกเราต้องรีบกลับไปจัดการกับพวกนั้นนะ!!”เมื่อออกจากถ้ำอัคนินก็ฮึดฮัดทันที
“เรารู้  แต่ต้องไปทูลให้พระองค์ทราบก่อน”นี่ก็ไม่พอใจที่ศัตรูกลับมาเหมือนกัน แต่ก็แอบขัดใจที่อีกคนอริกับสหายคนโปรดมากที่สุดนี่สิ
“ทูลๆ มัวแต่ทูลแล้วเมื่อไหร่จะได้ตามล่าพวกมัน”เขาเดินไปอารมณ์ก็เสียไป
“ที่ทูลนี่ก็เพื่อจะได้ตามหาพวกนั้นไงล่ะ ถึงมีอักสรสาปแต่ถ้าแม่มดเกลียวทองถูกลอบสังหารไปก่อนพวกเรากลับ ก็เปล่าประโยชน์นะ”
“ก็ได้ อย่างนั้นก็ไม่ต้องพักแล้วไปต่อให้เร็วเลย”
 หลังจากนั้นเรื่องนี้จะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ คราวนี้พวกเกราะกายสิทธิ์กับสังวาลย์มณีจะทำอย่างไรต่อไปนะ
                                                                                                                     --อัพเดตทุกวันอาทิตย์18.00น.โดยประมาณค่ะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 12, 2021, 05:35:10 PM
เนื่องจากตอนนี้จักรกรดมีธุระสำคัญมาก  ยังไม่สามารถกลับไปอัพเดตนิยายจากโน้ตบุ๊คได้​ จักรกรดเกรงว่าน่าจะไม่ทันค่ะ​ จึงขอเลื่อนเวลาอัพเดตนิยายเป็นเวลา20.30ของวันนี้แทนนะคะ  ขออภัย​ในความไม่สะดวกจริงๆค่ะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 12, 2021, 08:36:38 PM
“บิดาขอเตือนบุตรเสียเรื่องหนึ่ง อย่าให้อำนาจหรือความหลงผิดใดๆมาทำให้ควบคุมตนได้ สิ่งเหล่านี้นอกจากจะทำให้จิตใจมัวหมองแล้ว พลังที่มีก็จะเสื่อมคลาย สิ่งแรกที่จะประสบคือมิสามารถรู้ได้ว่าสิ่งใดจริงสิ่งใดเท็จได้อีกต่อไป ขออย่าให้มีเช่นนี้เกิดกับบุตรแห่งเราเลย”
“พระบิดา พระบิดา!!” เสียงเรียกของหนึ่งในเทพผู้ยิ่งใหญ่มากจนหลุดออกจากฝันนั่นทำท่านตื่นฟื้นขึ้นมาหลังจากพักผ่อนได้สักราตรีหนึ่ง
“พระบิดาเตือนเราเมื่อครั้งทรงสละตำแหน่งให้เพชรา ทำไมถึงมาปรากฏในห้วงฝันเราได้อีก”   วิษุวัตนิมิตเห็นสิ่งที่เคยได้รับมาเมื่อคราวที่พระอินทราพระองค์ก่อนเพิ่งจะสละตำแหน่งให้องค์ปัจจุบันก่อนเข้าสู่ดินแดนไร้วัฏจักร เหมือนว่าตัวท่านคงลืมไปเสียนานแล้ว แต่ด้วยจิตที่พันผูกจึงรู้สึกได้กลับมาเตือนอีกครั้งก่อนที่อะไรจะสายเกินไป

“ไม่ยุติธรรมสักนิด เรามีสิทธิ์ทุกอย่างแท้ๆ” เขาพูดกับตัวเองขณะไปยังที่บรรทมของพระชายาในอดีตชาติ ถ้าสืบตำแหน่งตามสันติวงศ์ยังไงตนก็ต้องเหมาะสมที่สุดอยู่แล้ว
“อินทราณี อินทราณีเตรียมตัวเสร็จแล้วหรือยัง” เทพท่านมาเรียกด้วยตนเอง ถึงจะเกิดเรื่องไม่สบายใจจากความฝัน แต่ก็หวังว่ามิตรไมตรีอันแสนอ่อนโยนของคนรักจะช่วยชโลมจิตใจให้มีความสุขขึ้นมาได้ และแน่นอนว่ากลิ่นของดอกไม้ระลึกชาตินั้นจะสามารถนำคนรักคนเดิมกลับมาอยู่ร่วมกันได้อีกครั้งหนึ่ง
“หม่อมฉันเตรียมตัวเรียบร้อยแล้วเพคะ..พิธีชมดอกไม้สวรรค์จะต้องยิ่งใหญ่มากแน่ใช่หรือไม่เพคะ” ตัวปลอมที่เกิดจากพลังเสกสรรค์ของอัญญานีสามารถทำหน้าที่ได้ดีจริงๆ  ลักษณะนิสัยที่อ่อนโยนผสมกับความตื่นเต้นอันไร้เดียงสานั้นเป็นที่พอพระทัยต่อเทพท่านเสียเหลือเกิน ถ้าเป็นเมื่อก่อนที่จะมีเรื่องแย่งชิงของวิเศษและตำแหน่งเทวราชาแล้วล่ะก็ มีหรือว่าเทวดาที่บำเพ็ญเพียรมานานจนมีญาณอันแกร่งจะไม่ทราบว่านี่เป็นสิ่งปลอมที่สร้างจากพลังสิ่งวิเศษ แต่ตามคำเตือนเขาได้สูญเสียความหยั่งรู้ในการแยกแยะจริงเท็จตรงหน้าไปสียแล้ว
“ใช่ แต่สิ่งที่พิเศษกว่านั้นคือการที่เจ้าจะจำเราได้ หลังจากนั้นพวกเราจะวิวาห์และกลับมาอยู่ร่วมกันเป็นรักนิรันดร์ไม่แยกจากเป็นครั้งที่สอง” ถึงแม้เขาจะเป็นเทพที่ใจร้ายในเรื่องการต่อสู้แต่ในเรื่องความรักเขาเป็นเทพที่อ่อนโยนต่อคนที่รักมากที่สุด
“พวกเราออกเดินทางกันดีกว่า ช้าเกินจะเสียฤกษ์ได้” ว่าสแล้วทั้งคู่พร้อมกับบริวารทั้งหลายก็มุ่งหน้าสู่สวนสวรรค์ในทันที
……….
สุริยะกับบัวแย้มได้มายังสวนถวิลรมณีย์แห่งสรวงสวรรค์แล้วก็เร่งหาดอกหทัยหยาดทิพย์ก่อนเป็นอย่างแรก จำจากที่อัญญานีเล่าให้ฟังเมื่อหายตัวมายังต้นกัลปพฤกษ์แล้วให้มุ่งหน้าสู่หรดีก็จะได้ดอกไม้นี้มาช่วย ต้องเร่งเดินเท้าเสียหน่อย แต่สงสัยว่าจะรีบเกินไปเกือบจะพบเทวดาผู้ดูแลต่อหน้าต่อตาแล้ว ถ้าเกิดว่าสังเกตก็ความลับแตกแน่ ไม่ใช่แค่มนุษย์ธรรมดาบุกรุกสวรรค์อีกทั้งยังเป็นศัตรูที่นึกว่าสิ้นชีพไปนานกลับมาเช่นนี้ โอกาสที่จะได้กลับไปก็คงต่ำเกินทน
“ดีนะที่หลบทันไม่อย่างนั้นพวกเราแย่แน่ …นี่สินะต้นดอกหทัยหยาดทิพย์” สุริยะกล่าวเสร็จก็มุ่งไปยังต้นไม้สูงประมาณ๒ศอกกว่าๆที่ออกดอกไม้สีแดงกระจุ๋มกระจิ๋มไปทั่วต้น
“เพคะตามที่พระธิดาตรัส ดอกเท่านิ้วโป้งรูปหัวใจ” นอกจากจะเป็นรูปหัวใจที่เรียงเป็นช่อระย้าแล้วยังมีหยดน้ำไหลออกมาจากหัวใจเหล่านั้นราวกับน้ำตา แต่หาใช่น้ำตาแห่งทุกข์โศกไม่
“นางเตือนว่าบางคนอาจแพ้ได้ถ้าสัมผัส ให้เราจัดการเก็บเถอะบัว” เขาไม่อยากให้ผู้ร่วมทางของตนต้องมาเสี่ยงอันตรายกับตน ถึงแม้ว่ามีโอกาสจะแพ้พิษของมันแต่ตนก็เชื่อว่าทนได้มากกว่าอีกคนแน่
“เพคะพระโอรส” เธอก็ยินยอมไปเพราะเชื่อว่าอีกคนจะต้องไม่เป็นอะไร อีกอย่างตัวเองก็ต้องพยายามไม่ให้ตนเจ็บไข้ได้ป่วยในตอนนี้ เพราะว่าตนเป็นผู้ใช้งานธำรงค์แก้วศุภรได้คนเดียวในตอนนี้
“เราขอดอกไม้นี้เพื่อรักษาสหายมิได้มีเจตนาจะลักของใคร หากแต่เวลานี้จำเป็น โปรดจงมอบดอกไม้แห่งดวงใจแก่เราด้วยเถิด” การขอดอกไม้จากพันธุ์พืชก่อนจะเก็บนั้นย่อมดีกว่าการเด็ดเอาเสียดื้อๆ ถือเป็นการเตือนใจให้ความสำคัญรวมไปถึงยืนยันว่าเมื่อได้ไปจะไปทำประโยชน์ มิใช่หลงใหลแค่ชั่ววูบแล้วทิ้งขว้างในช่วงพริบตา ก่อนที่พระนัดดาแห่งทิศพลจะนำหัตถ์ไปเก็บกิ่งของช่อระย้าดอกไม้ได้หลุดออกเองแล้วลอยเข้าหัตถ์ผู้ต้องการอย่างง่ายดาย มิใช่เพียงดอกไม้สวรรค์จะรับรู้ได้ถึงเจตนาแต่ความวิเศษของต้นไม้บนสวรรค์นั้นเก็บทุกความทรงจำที่มีร่วมกับผู้ที่เก็บพันธุ์ไป นั่นทำให้ต้นดอกโลหิตแห่งดวงใจจำได้ว่าคนผู้นี้เป็นคนเดียวกับศรุตเทพผู้ที่มักจะมาขอส่วนของต้นไปรักษาผู้คนบนโลกมนุษย์
“ต่อไปก็เป็นใบของต้นปาริชาต เราขอบัวช่วยใช้แหวนทำให้พวกเราสองคนไร้ซึ่งรับกลิ่นสัมผัสสักพักหนึ่งก่อนนะ” เขารู้ดีว่าถ้าหากได้กลิ่นดอกปาริชาตในช่วงเวลาแบบนี้น่ะแย่แน่ ถ้าคำนวณเวลาตามที่อัญญานีบอกมาไม่ผิดดอกไม้ระลึกชาติก็จะบานตอนพวกเขาเข้าไปพอดี
“เพคะพระโอรส” บัวแย้มก็ทำตามคำขอ เพราะตัวเองก็ยังไม่อยากจะมาระลึกอดีตอะไรในขณะที่อยู่บนสวรรค์นี่
   หลังจากที่ใช้มนตราแล้วทั้งคู่ก็มุ่งสู่ต้นปาริชาตโดยทันที แต่ว่ามันดูเหมือนจะไม่ง่ายเสียแล้วสิ
“พวกเจ้าสองคน กล้ามากนะที่บุกมาถึงที่นี่” เสียงกระซิบจากเทวดาที่จู่ๆก็มาจากด้านหลังทำให้เสียวสันหลังนัก สงสัยคงต้องสู้กับเทวดาองค์นี้เสียแล้วกระมัง
“อ้อ ที่แท้ก็ศรุตเทพกับจงกลนีนี่เอง” ไม่ทันที่สองคนจะหันไปเผชิญหน้า เทพท่านก็ปรากฏยังเบื้องหน้าเสียแล้ว ทั้งยังเรียกชื่อในอดีตชาติที่คุ้นเคยอีก
“พวกหม่อมฉันมิได้มีเจตนาที่จะท้าทายสวรรค์ หากแต่มีเจตนาที่จะช่วยเหลือสหายที่ประสบภัยเท่านั้นพระเจ้าค่ะ” สุริยะกล่าวกับเทพที่ไม่รู้จักอย่างนอบน้อม ตนหวังว่าคงไม่ใช่เทวดาในบัญชาของเทพวิษุวัตหรอกนะ
“เรารู้เราเข้าใจ แล้วทำไมเรามาตุลีต้องหวงล่ะ พระเทวราชทรงอนุญาตพวกท่านก่อนหน้านี้แล้ว” ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ก่อนที่จะไปบำเพ็ญตนก็ฝากเรื่องสำคัญไว้กับเทวดาผู้นี้นี่เอง
“อนุญาต…ทรงทราบมาก่อนนี้แล้วหรือเพคะ” ถึงจะได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเทวดาสารถีผู้นี้มามากพอสมควร บัวแย้มก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นผู้แอบอ้างหรือไม่
“ทรงบำเพ็ญเสียมากปานนั้น ต้องมีบางเรื่องที่รับรู้ได้ด้วยพระองค์เองอยู่แล้ว เราว่าพวกท่านทั้งสองเร่งนำใบกับดอกของต้นปาริฉัตรกลับให้เร็วเถอะ” ก็เพราะดอกปาริชาตน่ะเบ่งบานเสียแล้ว กลิ่นก็หอมไปทั่วถึงอย่างน้อยก็สามร้อยโยชน์ได้ ที่นี้ล่ะเทพที่ทำหน้าที่แทนองค์โกสีย์ก็ใกล้จะมาเข้ามาทำพิธีชมสวนสวรรค์แล้ว ขืนไม่รีบรับรองว่าไม่รอดแน่
ทั้งสองคนใช้วิธีเดิมในการขอใบต้นปาริชาต แต่ว่าเพียงใบอย่างเดียวก็เกินพอแล้ว พวกเขาไม่ใช่คนโลภมากขนาดนั้น เพียงอยากจะรักษาคนสำคัญก็เท่านั้นเอง
“แล้วทำไมไม่เอาดอกปาริชาตไปด้วยล่ะ” พระมาตุลีสงสัยในการกระทำของมนุษย์คู่นี้นัก ตนออกปากไปแล้วว่าให้เก็บทั้งใบทั้งดอกแท้ๆ
“หม่อมฉันไม่คิดว่าเหมาะสมกับพวกหม่อมฉันสักเท่าไหร่ อีกอย่างการจำอดีตได้ชีวิตคงจะวุ่นวายมิน้อยเลย” สุริยะกล่าวความเห็น มันก็จริงนะที่อดีตบางอย่างก็เป็นโทษยิ่งกว่าผลดีเสียอีก แต่เมื่อมีโอกาสก็น่าจะควรเสี่ยงดูสักครั้งไม่ดีกว่าหรอกเหรอ
“ก็จริงอย่างท่านว่า แต่ชีวิตท่านต้องวุ่นวายกว่านี้แน่ถ้าหากไม่รู้ความจริงระหว่างท่านกับเทพวิษุวัตเลย” เทพท่านกล่าวตอบ จริงๆมันอาจมีเหตุผลมากมายให้ทั้งสองฝ่ายมีความบาดหมางกัน หากแต่เทวดาพระองค์นั้นมิโปรดชี้แจงให้เข้าใจเพียงแต่จองล้างจองผลาญกันไม่จบสิ้น
“พระเจ้าค่ะ พวกหม่อมฉันจะใช้ความจำเหล่านี้มาช่วยให้เรื่องทั้งหมดให้ผ่านไปได้ด้วยดีพระเจ้าค่ะ” สุดท้ายก็ต้องรับปากแล้วหวนกลับไปอีกรอบหนึ่ง
“เราต้องไปก่อนแล้ว พวกท่านก็อย่าได้ชักช้ากันเกินไปล่ะ” เขาไม่อยากจะอยู่นานเพราะถ้าเทพวิษุวัตมาก็ต้องถามเอาความลับอะไรแน่ เวลานี้เทพองค์นั้นไม่ไว้ใจใครหลายคนเสียแล้วด้วย
“ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ/เพคะ”ทั้งสองกล่าวพร้อมกัน ทีนี้น่าจะได้ประโยชน์จากสิ่งนี้มากขึ้นนะ
บัวแย้มพินิจดอกไม้สวรรค์ที่มีดวงดาราล้อมรอบ แม้จะเป็นเพลากลางวันแต่ก็งามไม่แพ้ดารายามราตรีมี่เฝ้ามองอยู่ที่วันที่ปรากฏ น่าเสียดายอยู่บ้างที่จะได้เห็นครั้งเดียวในชีวิต แต่นี่ก็เป็นความทรงจำที่ล้ำค่านัก เธอเตือนสติตนเองไม่ให้มัวแต่หลงใหลในงามความ สิ่งที่สำคัญกว่าคือบุคคลที่ตนรัก ชีวิตนี้เธอเหลือแต่พวกเขาแล้วเท่านั้นที่เป็นดั่งครอบครัว
“พระโอรสเพคะ กำลังมีขบวนมาทางนี้เพคะ พวกเราไปกันเถอะเพคะ” ท่าไม่ค่อยดีแล้วสิ เทพวิษุวัตน่ะมาเร็วพอสมควรเลย เพราะมีว่าที่พระชายามาด้วยเลยต้องรีบเสียหน่อย ไม่อย่างนั้นที่ตั้งใจมาทั้งหมดก็สูญเปล่า
“บัวช่วยใช้พลังพลางตัวได้ไหม เราอยากหาเบาะแสอะไรเพิ่มสักหน่อย”
“นั่นใครน่ะ!!” ยังไม่ทันจะได้พลางตัวเลย ก็จะถูกจับได้แล้วหรือนี่

“หม่อมฉันเองพระเจ้าค่ะ” อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น ติณกฤตเดินทางมาถึงก็บังพวกตนไว้ทันทีเหมือนเห็นพวกเขา นั่นเลยพอมีโอกาสให้ซ่อนตัว แม้เพียงครู่ก็ยังดี
“ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง เรื่องที่เราให้ทำสำเร็จแล้วรึ”
“พระเจ้าค่ะ” ไม่ว่าเปล่าเขายังเอาหลักฐานที่ทำกับบิดามารดามายืนยันเสียด้วย
“ห่อผ้านั่น” บัวแย้มไม่กล้าเสียงดัง แต่ก็สยองไม่น้อยที่ได้เห็ผ้าห่อศีรษะนั้น
“อย่าดูเลยจะติดตาเอาได้  พวกเรากลับกันเถอะ” เขาไม่ได้สยองแต่กลบรู้สึกปวดใจขึ้นมา ผู้มีพระคุณได้สิ้นด้วยฝีมือของบุตรตนเสียแล้ว ถึงแม้อยากจะเข้าข้างตัวเองว่าไม่ใช่ความจริงขนาดไหน แต่ความจริงที่อยู่ตรงหน้าแล้ว เขาจะไปเล่าให้สหายฟังได้อย่างไรดี ถ้ารู้แล้วนางจะแตกสลายแค่ไหนกันนะ ทั้งๆที่เพิ่งผ่านความเป็นตายมาแท้ๆด้วย ก่อนหน้านั้นคงต้องให้ระลึกชาติเสียก่อน ไว้เสร็จเรื่องนี้ค่อยหาทางต่อไป
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 12, 2021, 08:42:40 PM
เนื้อหาในตอนนี้น้อยเกินไป จักรกรดต้องขอภัยด้วยนะคะ เพราะสัปดาห์นี้ต้องแบ่งเวลาไปช่วยงานอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยค่ะ และอีกส่วนอยากปรับรายละเอียดของเนื้อหาจึงขอรวบรวมส่วนไว้ทบกับสัปดาห์หน้าจึงได้ตัดจบแต่เพียงเท่านี้ ขออภัยอย่างสูงจริงๆค่ะ w15 w6
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 19, 2021, 06:09:28 PM
“อาการของท่านดีขึ้นมากแล้ว เราต้องขอตัวไปทำงานของเราต่อ” ปัจจาที่ช่วยรักษาอาการเกลียวทองมาตลอดคืนเห็นว่าผู้ร่วมงานดีขึ้นก็ไม่คิดจะอยู่ต่อหรอก
“เราขอบใจท่านมาก ถ้าไม่ได้ท่านช่วยเราคงกลายเป็นหินไปแล้ว” เธอพูดตามจริงที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ว่าเป็นอมตะแล้วจะไม่มีอะไรมาแลกเปลี่ยนนี่
“เราว่าท่านรีบไปนำดวงใจกลับเข้าร่างเถอะ ก่อนที่อีกฝ่ายจะนำดวงใจไปทำลาย” ระหว่างที่รักษาตัวก็มีคนถอนวิชาสลับทรมานไปคนหนึ่งแล้ว ไม่แน่ว่ากำลังมุ่งหน้าไปทำลายดวงใจเพื่อช่วยอีกคนที่อาการหนักก็ได้
“ได้ ลาก่อน”
“ลาก่อน”
หลังจากที่ปัจจาลากลับไปแล้วนั้น เกลียวทองก็มุ่งสู่เมืองศาศวัตบุรีโดยใช้ทางลัด ระหว่างนั้นก็คิดไปตลอดทาง
“ไม่นึกเลยว่าวิชาของเราจะทำร้ายตัวเองถึงขนาดนี้ คนพวกนั้นไม่ธรรมดาเลยจริง แต่น่าแปลกที่พวกมันไม่ยอมใช้พลังต่อหน้าเรา กลับเลือกใช้หลังจากสู้กันแล้ว ป่านนี้อัญญานีคงไม่ได้อยู่กับพวกนั้นแล้ว รอให้นำดวงใจกลับมาได้ เราจะทูลให้พระองค์ทรงทราบแน่”
……….
นี่ขนาดว่าเร่งเดินทางแล้วก็ยังเจออุปสรรคระหว่างทางไม่หยุดสำหรับบดิศรและอัคนิน ก่อนหน้าก็มีงูนับร้อยจะรุมฝังพิษในเขี้ยวไปแล้ว ครานี้ยังต้องมาพบกับพญากุมภีร์อีก
“เสียเวลาจริงๆ แทนที่จะได้ไปบอกคนอื่นให้รู้ว่าพวกมันยังมีชีวิตอยู่ ยังต้องมาติดอยู่ที่นี่” อัคนินหัวเสียอย่างมาก ใครจะไปคิดว่าขากลับก็มีเรื่องให้สู้เสียเหลือเกิน
“เอาเถอะน่า ผ่านจระเข้ยักษ์ตัวนี้ไปได้ พวกเราก็ออกไปจากที่นี่ได้แล้ว”บดิศรบอกอีกคนเพราะไม่อยากให้อารมณ์มาควบคุมจนเสียเรื่อง
เทพบุตรชยทัตรู้ว่าสองคนนี้ล่วงรู้ความลับของสหายในอดีตชาติตนเข้าให้แล้ว ขืนปล่อยไปทั้งที่มางนั้นยังไม่พร้อมต้องแย่แน่จึงได้แปลงกายมาเป็นพญากุมภีร์ขัดขวางไว้สักพักหนึ่งก็ยังดี
“คิดหรือว่าเราจะปล่อยพวกท่านไปง่ายถึงเพียงนั้น”จระเข้ยักษใช้หางฟาดลงพื้นจนพื้นที่ศัตรูทั้งสองพังทลายลงสู่ใต้น้ำ เปิดฉากการต่อสู้ในทันที
…….
“เรื่องของพวกเขาเป็นเช่นนี้สินะ น่าสงสารจริงๆ ต้องเสียมารดาตั้งแต่ยังมิทันรู้ความ บิดาก็จะประหารให้สิ้น ตอนนี้ร่างกายกลายเป็นแก้วอีก” มเหสีอมรินทร์กล่าวขึ้นหลังจากที่ได้ฟังเรื่องเล่าจากจั๊กแหล่นและอัญญานีเกี่ยวกับพวกสังวาลย์มณี
“ชะตาของพวกเขาลำเค็ญนัก เราไม่น่าใจร้ายถึงเพียงนี้เลย” ท้าวนวดลรู้สึกผิดมากว่าเดิม ความเห็นแก่ตัวของคนมันส่งเสริมให้ตนร้ายกาจได้ถึงเพียงนี้
“เราคิดเสมอว่าชีวิตของครอบครัวและลูกๆเราสำคัญที่สุด จนไม่คิดถึงคนอื่นว่าก็เป็นชีวิตหรือกัน” เรื่องนี้ก็พูดยาก ถ้าเกิดกับคนเป็นแม่คนอื่นๆก็คงไม่ยอมให้ลูกมาสละชีพเพื่อใครเหมือนกัน
“ระงับพระทัยที่เศร้าโศกเถอะเพคะ หม่อมฉันเชื่อว่าแสงสุรีย์จะต้องเข้าใจในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ” เธอเชื่อใจสบายมาก คนอย่างธิดาคีรีมาศไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผลเอาอารมณ์เป็นที่ตั้งแน่
“พระโอรสเสด็จกลับมาแล้วพระเจ้าค่ะ” ตาหวานที่เห็นสองคนหายตัวกลับมาก็รีบทูลเหล่าเชื้อพระวงศ์ให้ทรงทราบ ดีที่บัวแย้มใช้พลังแหวนทำให้คนในดอกบัวใหญ่ไม่ได้กลิ่น ไม่อย่างนั้นคงเคลิบเคลิ้มเข้าสู่ห้วงนิทราหวนถึงอดีตชาติจนไม่ได้รักษาคนเสียแล้ว
“กายาละหทัย อุทัยอวสาน จีรังสิ้นวงศ์วาน มลายผลาญรัตนา” บัวแย้มท่องวิชาโดยอาศัยพลังของแหวนอีกครั้ง  ในบันทึกของศรุตเป็นจริงๆเป็นคำว่าศิลาในบทท่อง แต่ว่าร่างของแสงสุรีย์นั้นเป็นแก้วจึงใช้คำแทน ระหว่างที่ท่องเธอก็ใช้ใบปาริชาตกับดอกหทัยหยาดทิพย์ที่ผสมกันแล้วโปรยไปทั่ว ทำอย่างนี้สักห้ารอบได้
ไม่นานนักแก้วก็ละลายกลายสภาพราวกับว่าเป็นน้ำแข็งเผยให้เห็นร่างของคนจริงๆออกมา พอแก้วกลายสภาพเสร็จสิ้น แสงสุรีย์ก็ลืมตาขึ้นมาเหมือนคนหลับไปนานเป็นปีๆ ทั้งๆที่เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่ชั่วยามเอง
“แสงสุรีย์ ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นแล้ว เป็นยังไงบ้าง ยังรู้สึกเจ็บทรมานอยู่มั้ย” อัญญานีที่เป็นห่วงมากก็ถามก่อนใครในทันที
“เราไม่ได้รู้สึกทรมานแล้ว ถือว่าดีขึ้นมากทีเดียว”เธอยิ้มตอบด้วยความรู้สึกที่สบายส่งต่อให้สหาย
“เราขอบใจพวกเจ้ามากที่ช่วยเหลือเราไว้ ไม่อย่างนั้นเราคงจะต้องอยู่ในร่างแก้วตลอดไป”
“เรายินดี ” ธิดาเมืองโกสุมพิสัยยิ้มตอบ
“เพื่อพระธิดาบัวเต็มใจเพคะ” ดวงตาที่ดูเหนื่อยล้าตอนที่ทำพิธีกลับมามีความสดใสอีกครั้งหลังจากเห็นอีกคนสบายดี
“ไม่เป็นไรเราเต็มใจช่วย…แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมร่างกายถึงได้กลายเป็นแก้วไปได้” เขาตอบรับคำขอบคุณของสหายแต่มีเรื่องที่สงสัย นี่คงไม่ใช่สิ่งที่เกิดจากสลับทรมานแน่
“เรารู้ เป็นเพราะปัทมาสน์ถอดดวงใจที่รวมเป็นหนึ่งเดียวของพวกเรา การถอดดวงใจมีข้อดีคือไม่สิ้นชีพ แต่ว่าเมื่อพบกับความเจ็บปวดทรมานถึงชีวิตเหมือนคนทั่วไปจะรู้สึกกึ่งเป็นกึ่งตาย มีสองทางที่ต้องเลือกคือกลายเป็นวัตถุแข็งแต่ยังคงความอมตะ กับนำดวงใจกลับเข้าร่างแล้วละทิ้งความเป็นนิรันดร์” เธออธิบาย ตอนรอดตายจากน้ำท่วมใหญ่ก็สงสัยอยู่ประมาณหนึ่ง พอได้เกราะกลับมาแล้งความทรงจำเชื่อมถึงกันจึงรับรู้และมั่นใจได้
“เป็นอย่างนี้นี่เอง เราก็เคยได้ยินเรื่องยักษ์ถอดดวงใจมาก่อน” เขาก็พอเข้าใจเรื่องนี้ได้ไม่ยาก เพราะจะแยกร่างได้แต่ว่าดวงใจยังเชื่อมเป็นหนึ่งเดียวกัน ทางเดียวที่จะแยกตลอดกาลก็คงมีเพียงแต่แยกร่างพร้อมกับดวงใจ
คนถูกถามก็พยักหน้าไม่ได้พูดอะไร
“แสงสุรีย์ เราต้องขออภัยจริงๆที่ได้ตัดสินใจทำสิ่งที่ไม่เป็นธรรมต่อท่าน” สไบทองผู้รู้สึกผิดก็ได้ขอโทษ ไม่ได้ถือว่าตนอาวุโสหรือใช้การเป็นแม่มาอ้างสิทธิ์ที่จะไม่ขอโทษ
“เราก็ต้องขออภัยด้วย เราไม่ควรทำตัวเช่นนี้” เจ้าเมืองทิศพลก็กล่าวเช่นกัน ตนเป็นถึงราชาแต่ทำเรื่องที่ไม่สมควรเช่นนี้ ไม่ถูกต้องเอาเสียเลย
“ไม่เป็นไรเลยเพคะ หม่อมฉันเข้าใจดีว่ามารดาตลอดจนญาติกาทุกคนล้วนต้องการให้บุตรปลอดภัย  ถึงพวกหม่อมฉันจะต้องมีอันเป็นไปก็ไม่มีอะไรต้องห่วง” ถึงจะพูดอย่างนั้นเธอก็อดห่วงบิดาไม่ได้ แต่ก็หวังว่าสักวันอัคนินจะหาทางทำให้กลับมาดังเดิมได้แน่
“โธ่ อย่าพูดเช่นนี้อีกเลยนะ” สไบทองได้ยินเช่นนั้นก็ห้ามความคิดนี้แล้วจึงเข้ากอดปลอบ ต่อไปถ้าเกิดเรื่องเช่นนี้อีกเธอจะเลือกสิ่งที่ดีและยุติธรรมที่สุด แม้จะต้องสละแก้วตาดวงใจของตนไปก็ตาม

“อย่าเสียพระทัยต่อไปอีกเลยพระเจ้าค่ะ แสงสุรีย์รอดชีวิตและกลับมาเป็นปกติแล้ว ต่อไปจะได้ทำเรื่องสำคัญต่อไปได้ดี” เวลานี้ก็สักพักหนึ่งแล้ว คงต้องหาโอกาสเหมาะที่จะทำเรื่องสำคัญต่อ
“ยังมีเรื่องสำคัญอีกมากที่ต้องทำ แม่จะไม่ทำให้เพลายืดเยื้ออีกต่อไปนะ” เธอลูบศีรษะของธิดาเมืองคีรีมาศเสียทีหนึ่งแล้วจึงหลีกทางให้เหล่าสหายเขาได้คุยกัน
“พระมาตุลีให้เรากับบัวนำดอกปาริชาตมาเพื่อใช้ในการระลึกชาติ  อีกไม่นานมนตราที่ปกปิดกลิ่นไว้จะหมดเวลาแล้ว ”สุริยะเล่าเรื่องสำคัญที่ต้องทำต่อไปให้ทุกคนได้ทราบ นี่ไม่ใช่แค่เรื่องที่จะเอื้อเวลาอย่างเดียว ต้องเร่งหาที่ซ่อนด้วย เพราะอีกไม่นานเทพวิษุวัตต้องรู้แน่
“เราว่าพวกเราต้องรีบไปที่ป่าหิมพานต์” เมื่อได้ทราบเธอก็ออกความเห็น เพราะช่วงที่เดินทางด้วยกันก็เคยคุยแลกเปลี่ยนหลายเรื่อง จึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายก็ไปถึงที่นั่นด้วยวิธีลัดเหมือนกับตน
“เราคิดเช่นนั้นเหมือนกัน เมื่อวานพวกเราเพิ่งไปป่าจินตภพมา ไม่แน่พวกนั้นอาจจะตามรอยพวกเรามาได้” เขารู้ว่าติณกฤติเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกับสหาย ถึงแม้จะออกจากสำนักไปก่อน แต่อนาคตนนั้นก็รู้วิธีเข้าไปที่นั่นอย่างแม่นยำไม่จากจากพวกเขานัก
“เช่นนั้นก็อย่ารีรอ….ขอให้ทุกพระองค์และที่เหลืออยู่ในดอกบัวนี้ก่อน ส่วนบัวกับอัญญานีออกมากับพวกเรา” แสงสุรีย์บอกกับทุกคนตามนี้ก่อนที่ทุกคนจะออกมากันทั้งสี่คน
“เรียกดอกบัวกลับมาเป็นกำไล ต้องให้พวกเขาอยู่ในนี้ก่อน” เธอหันหน้าบัวแย้ม เพราะในความทรงจำจินดาก็ช่วยเนรมิตให้สามารถซ่อนสิ่งที่อยู่ในดอกบัวมาอยู่เป็นลายของกำไลได้ด้วย นี่เป็นวิธีที่ปลอดภัยเวลาจะเคลื่อนย้ายสิ่งใดจำนวนมากๆไม่เป็นที่สงสัย
“เพคะ” เธอรับคำแล้วจึงเรียกบัวยักษ์ให้กลับเป็นกำไลดังเดิม
“ดีแล้ว พวกเราไปกันเถอะ” สุริยะตั้งจิตคำนึงถึงป่าหิมพานต์แล้วจับมืออัญญานี อีกคู่ก็ทำเช่นเดียวกัน ทั้งหมดพร้อมใจกันกลั้นหายใจแล้วเดินถอยหลังสามก้าว เพียงครู่เดียวก็เปลี่ยนสถานที่ไป
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 19, 2021, 06:11:59 PM
แสงสุรีย์มองหน้าบัวแย้มแล้วมองไปยังสระกุณาละเพื่อเป็นสัญญาณบอกให้นำกำไลร่ายมนตราให้เป็นดอกบัว หลังจากนั้นดอกบัวก็บานเปิดให้ผู้ที่อยู่ด้านในได้เห็นรอบๆ

“เราเคยได้ยินมาว่ารัศมีของกลิ่นดอกปาริชาตอาจจะมีผลในการระลึกอดีตชาติมาก ทางที่ดีควรจะอยู่ใกล้ดอกไม้นี้ให้มากที่สุด” อัญญานีกล่าว
“เราเข้าใจแล้ว ทุกพระองค์ประทับที่ดอกบัวก่อนนะพระเจ้าค่ะ พวกหม่อมฉันขอเข้าไปในกระท่อมก่อน หากเสร็จแล้วจึงจะออกมา ”สุริยะทูลเพื่อให้ทรงทราบ
“ขอให้โชคดีนะ” สไบทองอวยพร
เนื่องจากบัวแย้มใช้จิตเชื่อมโยงไปกับการใช้พลังเกี่ยวกับสิ่งวิเศษและมนตรามาก ตอนนี้จึงได้อยู่รอที่แก้วบุษบากร

สุริยะกับสหายไม่มีเวลามากราบอาจารย์ของตนนานนักจึงไหว้ฤษีอนุชิตที่กำลังนั่งสมาธิจำศีลเสียสั้นๆก่อนแล้วจึงมุ่งหน้าพาสหายไปยังกระท่อมอีกหลังที่ปลูกไว้ เมื่อเข้ามาได้ทั้งสามคนจึงนั่งขัดสมาธิล้อมกันเป็นวงกลมโดยตั้งดอกไม้สีแดงที่มีดวงดาราล้อมรอบไว้ตรงกลางแล้วจึงพนมมือ เวทย์คลายลงกลิ่นของดอกปาริชาตก็เริ่มออกมา ครานี้ทั้งหมดจึงได้เข้าสู่ห้วงแห่งอดีตกาลตามทรงจำในส่วนของตนเอง
…….
ทางสองคนนี้นั้นดูจะวุ่นวายไม่น้อย ถึงแม้จระเข้จะมีตัวเดียวแต่กำลังก็มีมากนัก เห็นทีว่าเอากำลังเข้าสู้อย่างเดียวไม่ได้ซะแล้ว
“เจ้าไปหัว เราไปหาง” บดิศรสบอกกับสหายพร้อมกับวิ่งเปลี่ยนตำแหน่งกับไปมาเป็นทางคู่ขนานโดยมีนักกะใหญ่อยู่ตรงกลางคอยฟาดหางใส่ แต่ทั้งสองคนก็กระโดดหลบได้ทัน
“พร้อมแล้ว!!” อัคนินบอกอีกคนโดยที่ตนนั้นอยู่ที่ตรงข้ามกับตำแหน่งที่สหายพูด เพราะคิดว่าจระเข้ตัวนั้นจะต้องระวังการประจำยังตำแหน่งให้มาก ถ้าสลับตำแหน่งก็เกิดความสับสนได้ง่ายต่อการโจมตี ทั้งสองคนปล่อยพลังใส่พญากุมภีล์ทั้งหัวและหาง แต่ถ้าได้อย่างหวังคงจะสบายกว่าพวกศัตรูพวกเขาเสียล่ะมั้ง
เทพบุตรชยทัตในร่างจำแลงใช้ปากจระเข้รับพลังจากเกราะเหล็กและใช้หางตีพลังสังวาลย์ศิลาขึ้นสู่ฟ้าแล้วจัดการกระโดดกลืนพลังจากสิ่งวิเศษทั้งสองเข้าไป ไม่นานเพียงปากอ้าขึ้นพลังก็ออกมาเป็นวงกลมใหญ่แสงสว่างจนคู่ต่อสู้เผลอหลับตาตอบสนองตามธรรมชาติทั่วไปของมนุษย์ที่ไม่อาจเลี่ยงได้  พลังนั้นกระจายออกไปสี่ทางทั้งล่างพื้นดินซ้ายขวาตลอดจนขึ้นสู่ทิ้งนภา ระเบิดออกมาราวกับพลุก็มิปาน
“สร้างเกราะกำบังเร็วเข้า!!”โอรสเมืองรัตนบุรีรีบบอกอีกคนเพราะนี่มันอันตรายพอตัว
“รู้แล้วน่า!!”เรื่องแค่นี้เขาก็คิดเองได้ ไม่ใช่เด็กๆแล้วจะมาตามบอกตามสอนอะไรนักหนา
ทั้งสองใช้พลังคลุมรอบตัวเป็นรัศมีวงกลมแต่เมื่อสร้างเกราะกำบังเสร็จก็ต้องพบว่าจระเข้ยักษ์ได้มีเพิ่มเป็นห้าตัว ตัวเดียวก็ว่ายากแล้วนี่จะให้ตายอยู่ที่นี่เลยใช่ไหม
ลอยอยู่บนฟ้าเห็นได้เดี๋ยวเดียวก็ต้องตกลงมาพร้อมๆกับจระเข้ทั้งห้าได้ดำน้ำลงไป
“พวกนี้ร้ายจริงๆ ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะพวกเราจะนำเรื่องพวกมันไปทูลหรอกเหรอ” อัคนินที่ใช้วิชาทั้งเรียกแพมาได้อันหนึ่งพอที่จะไม่ต้องตกสู่ด้านน้ำที่ล้วนกลายเป็นแม่น้ำไปแล้ว ตอนนี้เกราะกำบังที่สร้างมาจากพลังของทั้งคู่ได้รวมเป็นกันหนึ่งอันเดียวกัน เมื่อแยกกันสู้คนละทิศไม่ได้ก็ร่วมกันสู้แบบหลังชนหลังแล้วกัน
“ก็ใช่อยู่ ตอนนี้เลือกฝ่ายกันไปแล้วหลายเผ่าพันธุ์ไม่เว้นแม้แต่เทพเทวา” ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่เพราะที่สังเกตก็พอจะรู้ว่าสิ่งวิเศษอย่างเกราะกายสิทธิ์กับสังวาลย์มณีน่ะสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงในการทำการใหญ่มากแค่ไหน บางทีอาจถึงชีวิตของนายตนได้เลยด้วยซ้ำ ฝ่ายตรงข้ามไม่ต้องการให้ฝ่ายตนรู้อยู่แล้ว จะได้ทำอะไรง่ายขึ้น
คุยมาได้หน่อยเดียวแพก็ถูกชนจากใต้น้ำที่กลางลำ อีกสองตัวก็ขึ้นเข้ากัดคนที่อยู่บนแพ แต่ด้วยเกราะกำบังทำให้ร่างกายสลายไปอย่างง่ายดาย ไม่น่าเชื่อเกินไปหน่อยมั้ยนะ
“ตายง่ายไปแล้วมั้ง หรือจริงๆมีตัวเดียวมาตั้งแต่แรก” เขาอารมณ์ไม่ค่อยดีขึ้นมาอีกแล้วจึงได้พูดออกไปอย่างนั้นออกไป
“ที่เจ้าพูดก็น่าจะจริงนะอัคนิน” จริงๆมันอาจเป็นแค่ภาพมายาก็ได้ไม่ใช่หรอกเหรอ ยิ่งสับสนมาก็ยิ่งจะยืดเวลาออกไป
“จริงเหรอ…เราถอนคำพูดแล้วกัน” ในแม่น้ำที่ไม่เห็นฝั่งอย่างนี้อยู่ดีๆก็มีจระเข้นับร้อยมุ่งหน้าล้อมวงแพของพวกเขากันใหญ่โต เรื่องมันชักจะยืดเยื้อเกินไปแล้วนะ
เพราะทีเผลอนี่เป็นโอกาส แพและเกราะกำบังพังลงจาการชนกระแทกอย่างแรงจนทั้งคู่พลาดท่าตดลงกลางฝูงจระเข้ที่รีบเข้ามารุมคาบหมายจะดึงเอาชิ้นส่วนแม้เสี้ยวหนึ่งก็ยังดี
“ตั้งสติไว้ดีๆ!!” บดิศรที่กำลังจะจมไปกับฝูงจระเข้ยังจะมามีอารมณ์พูด ตัวเองยังไม่เข้าปากจระเข้เหมือนอีกคนก็พูดได้นี่
เวลาผ่านไปสักพักหนึ่ง จระเข้ทั้งหลายก็ว่ายแยกย้ายไปคนละทิศทางพร้อมๆกับน้ำที่เหือดแห้งไป ตอนนี้มีแต่ความมืดกับเงาสะท้อนที่พื้นของเทพบุตรชยทัตที่อยู่ร่างปกติแต่เพียงเท่านั้น
“เท่านี้พวกนั้นก็น่าจะเหนื่อยพอตัวแล้ว” เทพท่านพูดกับตนเอง
“เหนื่อยขนาดไหนก็เอาคืนให้ได้อยู่ดี!!” อัคนินปล่อยพลังโจมตีใส่จากด้านพร้อมๆกับคำพูด เทพท่านตั้งรับแต่เกิดความคลาดเคลื่อนก็เลยหลบไม่ทันได้แผลที่แขนไปหนึ่ง จริงอยู่ที่พลานุภาพอาจไม่เป็นที่เลื่องชื่อเท่าเกราะกายสิทธิ์และสังวาลย์มณี แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่ได้จากการบำเพ็ญเพียรของเทพวิษุวัติ เมื่อถูกโจมตีโดยไม่ทันได้ป้องกันก็ต้องเจ็บปวดมากเป็นธรรมดา
“เราให้พวกท่านกลับไปดีๆแล้วจะย้อนกลับมาทำไม” เขาไม่เข้าใจ เดิมทีแล้วสิ่งที่สร้างขึ้นมาก็เพื่อให้ทั้งสองอยู่ในห้วงความเหนื่อยล้าหวาดกลัวหมดสติสักตื่นหนึ่งค่อยเดินทางต่อแท้ๆ
“ดีสำหรับท่านน่ะสิ….ที่ย้อนกลับมาเพราะบางทีท่านอาจมีประโยชน์กับฝ่ายเรามากก็ได้” ตอนที่บอกสหายให้ตั้งสติก็เพื่อที่จะแปลงเป็นจระเข้ไปกับฝูงนั่นล่ะ ส่วนที่เห็นเป็นคนก็แค่มายาซ้อนมายาก็เท่านั้น  เมื่อครู่ก็เช่นกันที่ทำให้เห็นว่าโจมตีหลังจากที่โจมตีไปก่อนหน้าแล้ว
“เสียใจด้วยก็แล้วกัน”ไม่นานร่างของเขาก็สลายหายไป นึกว่ามีแต่ทางนั้นที่ทำภาพมายาซ้อนมายาได้เหรอ ตนก็ทำได้เหมือนกัน ถึงตอนแรกจะเสียท่าถูกโจมตีแต่หลังจากนั้นก็แอบนำโลหะเคลื่อนย้ายออกจากทั้งสองและพรางตัวฟังความตลอด ให้ตัวปลอมน่ะตบตาไป
“หนีไปจนได้!!!” เขาดีใจที่ได้แก้แค้นเพียงครู่เดียว ยังไม่ทันสาสมแก่ใจก็ไปเสียแล้ว
“ช่างเถอะเขาก็แค่ทำตามหน้าที่ หน้าที่ของพวกเราตอนนี้คือกลับไปทูลพระองค์ท่าน” เขารู้ตัวว่าเสียรู้เข้าให้แล้วก็ตอนที่ถูกขโมยเอาโลหะเคลื่อนย้ายไป คราวนี้ต้องเดินทางช้ากว่าขามาแต่ถ้าเรียกเทวดาให้มารับตัวก็คงไม่ยากนักหรอก
…………………
 ในห้วงนิมิตความทรงจำของผู้รับกลิ่นได้รับรู้อดีตชาติต่างๆที่ผ่านมาแต่ว่าสิ่งพวกเขาต้องการแค่ชาติที่เพิ่งผ่านพ้นมาเท่านั้น เพราะนี่น่าจะมีสาเหตุสำคัญที่จะช่วยให้สามารถหาวิธีแก้ไขในชาตินี้ได้บ้าง
สุริยะเฝ้ามองพระอาทิตย์ผู้ทรงราชสีห์มีรัศมีช่วงโชติทอดพระเนตรเห็นกษัตริย์สิบสองเมืองเกิดกำแหงรังแกราษฎรที่อยู่ในปกครองตน หนำซ้ำยังเปิดสงครามระหว่างเมืองวุ่นวายกันไปทั่ว พระองค์จึงนำเปลวเพลิงที่เป็นรัศมีรอบพระองค์เสียฝ่ามือหนึ่ง ส่งลงยังพื้นพสุธาเกิดกลายเป็นชายหนุ่มผู้ใช้ธนูเป็นอาวุธประทานนามให้ว่า “โกวิท” ทำภารกิจสังหารราชาทั้งสิบสององค์แล้วรวมเมืองเป็นหนึ่งเดียว   เมื่อเสร็จภารกิจแล้วเขาได้กลับมายังสวรรค์ เทพวิษุวัตเห็นว่ามีฝีมือจึงขอกับพระสุริยเทพ โกวิทจึงได้อยู่กับพระเทวาท่านแล้วอยู่เคียงข้างกันรบกับอสูรมากมายที่คอยก่อความวุ่นวาย พวกเผ่าพันธุ์อสุราพวกนี้ได้รับพรให้ยังมีสิทธิ์อยู่ในโลกมนุษย์ถึงแม้จะมีเขตแนวอสุรามากั้นเขตแดนไว้ ไม่นานเขาสละกายหยาบกลายเป็นเทพจากบารมีที่สะสมและความเลื่อมใส ด้วยเหตุนี้เทพวิษุวัตจึงให้อีกชื่อเรียกเขาว่า “ศรุตเทพ”
“ศรุตเทพ พระเทวาวิษุวัตโปรดให้เข้าเฝ้า” นั่นมันบดิศรนี่ ชาติที่แล้วเขาก็เป็นคนของเทพผู้นี้ด้วยรึ
“ขอบใจมากนะนฤพัชร” เขารับรู้แล้วจึงไปเข้าเฝ้าตามที่เรียกหา

“ศรุตเทพ เรารู้วิธีที่จะรักษาอาการเจ็บป่วยของอินทราณีแล้ว” เทพท่านยิ้มอย่างดีใจถึงแม้จะดูล้าไปบ้างก็ตามที
“จริงหรือพระเจ้าค่ะ” โกวิทก็อดที่จะดีใจด้วยไม่ได้ เพราะว่านางก็เป็นสหายของตนมาก่อนหน้านี้ด้วย
“จริงสิ เรารู้มาว่าครั้งหนึ่งพระนารายณ์เคยอวตารปราบผู้อหังการายหนึ่งนามว่าชัชรินทร์  ครานั้นมีสิ่งวิเศษที่ทรงสวมใส่คือเกราะแก้วกายสิทธิ์ นอกจากจะช่วยรบแล้วยังเคยเรียกพระองค์ในอวตารนั้นกลับมาจากความตายได้อีกด้วย ”
“พระเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นเราจึงอยากให้ท่านไปนำเกราะกายสิทธิ์ที่อยู่ในเขตแนวอสุรากลับมาเพื่อรักษานาง ท่านจะช่วยเราได้หรือไม่” เพราะต้องคอยดูแลพระชายาจึงไม่ไม่สามารถไปเองได้ ครั้นจะวานผู้อื่นไปก็ไม่อาจแน่ใจว่าไว้ใจได้แค่ไหน
“หม่อมฉันจะทำสุดความสามารถพระเจ้าค่ะ” เขารับคำแล้วออกเดินทางมุ่งสู่เขตแนวอสุราต่อไป

   อัญญานีได้เห็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่ออย่างยิ่งก็คือเธอเป็นสหายรักกับแม่มดเกลียวทอง ทั้งคู่ในตอนนั้นรักใคร่กลมเกลียวไม่ได้มีแววตาแห่งความริษยาเลย เอาเสียผู้เห็นเหตุการณ์กับสนงงงวยไม่น้อย
“พวกเรามาอยู่ที่นี่ก็ดีเหมือนกันนะเกลียวทอง เพลานี้ผู้คนยังไม่ยอมรับที่พวกเราเป็นแม่มด แต่เราเชื่อว่าพวกเขาจะต้องยอมรับพวกเราเข้าสักวันนะ” เธอพูดตอนที่กำลังสร้างที่พักใกล้ๆแหล่งน้ำแห่งหนึ่งในป่า
“เช่นนั้นก็ดีสิอินทราณี คนเรารึก็แปลก ต้องเป็นผู้เรียนวิชาจากฤษีกับเป็นเทพเทวาถึงจะถูกยกย่อง พวกเรานี่สิเป็นมนุษย์ด้วยกันแท้ๆแค่เรียนวิชามนตราที่คิดขึ้นสร้างมาด้วยตัวมนุษย์ที่ไม่ใฝ่บำเพ็ญ ทำอย่างกับเป็นพวกเผ่าพันธุ์อสูรไปได้” คนนี้ก็บ่นตามจริง ต้องคอยเก็บเป็นความลับกลัวถูกจับได้ อึดอัดจะแย่
“อย่าไปพาดพิงพวกเขาเลยนะ เราว่าไม่น่าจะเป็นใครเผ่าพันธุ์ก็มีดีมีร้ายปะปนกันไป อีกอย่างแยกมาอยู่ที่นี่ก็ดีเพราะราชาสิบสองเมืองน่ะทำศึกกันใหญ่วุ่นวายนัก”
กาลเวลาผ่านไปทั้งสองก็ต้องพบเจอกับเรื่องร้อนใจเข้าให้แล้ว เพราะมียักษ์ที่ตัวใหญ่ราวกับต้นสักสักสี่ตนเข้ามาทำลายกระท่อมเสียพังทลาย และเมื่อพบว่ามีสาวงามอยู่ท่ามกลางพนาเช่นนี้มีหรือที่จะไม่สนใจ พวกเธอร่วมใช้พลังกันเข้าสู้ หากแต่มันไม่มากพอนี่สิ เพราะปกติพวกเธอจะใช้มนตราในชีวิตประจำวันทั่วไปไม่ได้ต่อสู้กับใคร ไม่แปลกหากวิชาที่ใช้จะไม่ค่อยได้ดีตอนฝึกใหม่ๆ  แต่ยังดีที่มีผู้มาช่วยได้ทัน พวกยักษ์ทั้งสี่ถูกศรยิงล้มสลบอย่างแรงจากบุรุษหนุ่มผู้ไม่เคยคุ้นหน้า
“ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม” เขาถามด้วยความห่วงใย
“พวกเราไม่เป็นอะไรหรอก ขอบใจท่านมากท่าน… ” เธออยากขอบคุณแต่ก็ไม่รู้จักอีกคนหนึ่งเลย
“เรา..เราโกวิท” เขาเผลอจ้องตาอีกคนจนลืมตัว เกือบไม่ได้ตอบคำถามอีกคนแล้ว
“เราต้องไปทำภารกิจต่อนะ หวังว่าจะได้พบกันใหม่ท่าน…”
“เราอินทราณี”
“เราเกลียวทองนะ” เห็นทั้งสองพูดกันเองไม่สนใจเลยบอกชื่อไปด้วย สหายเพิ่งนึกได้ว่ามีอีกคนอยู่ตรงนี้จึงหัวเราะเขินๆออกมา พอมองหน้ากันทั้งสามก็พากันหัวเราะพักหนึ่ง พอรู้ตัวแล้วจึงได้แยกจากแล้วจึงแยกจาก
เวลาผ่านไปที่ๆพวกเธออยู่ก็ถูกแปลงเป็นทุ่งดอกไม้นานาพันธุ์ ก็เพราะสหายที่พบครานั้นปราบกษัตริย์ทรราชสิ้น ชาวประชาก็ชื่นมื่นสิ่งใดก็ไม่อดอยาก ทั้งคู่จึงปลูกพันธุ์ดอกไม้สวยๆขาย
“สหายที่หม่อมฉันเคยทูลให้พระองค์ทราบ”พักอยู่ที่นี่พระเจ้าค่ะ” หลังจากขจัดความวุ่นวายเขาก็มักจะมาเยี่ยมบ่อยๆ แต่คราวนี้นำคนสำคัญมาด้วย
เพียงมองหน้าประสานกันทั้งอินทราณีกับวิษุวัติก็เหมือนตกอยู่ในภวังค์ก่อเกิดเป็นรักแรกพบเข้าให้เสียแล้ว ถึงแม้ต้องใช้เวลาในการศึกษาอยู่นานแต่สุดท้ายทั้งสองก็ตกลงวิวาห์กัน นี่คงจะจบลงอย่างเป็นสุขแล้วหากเธอไม่ใช่แม่มด ตลอดเวลาที่ดำรงตำแหน่งพระชายาก็มีแต่ข้อนินทาและครหาถึงเธอไม่เว้นวัน ในตอนแรกเธอที่อยู่กับเทพวิษุวัตก็ไม่ได้ใส่ใจ สิ่งที่ใส่ใจคือความรักและสัมพันธ์อันแสนสุขเท่านั้นแต่ต้องมีเรื่องที่ทำให้เปลี่ยนไปเสียแล้ว
“พระพี่นางไม่เข้าพระทัย หม่อมฉันเป็นผู้เหมาะสมกับตำแหน่งที่สุดแต่เพชราแย่งชิงทุกอย่างไป เดิมทีน้องกับชายาจะแยกตัวออกไปอยู่กับอย่างสงบสุขแล้วแท้ๆ เขากลับทำให้เรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นไม่เลิกรา อีกทั้งตอนนี้อินทราณีเจ็บไข้หนักไม่มีใครเหลียวแลรังแต่จะซ้ำเติม” เขาก็สุดจะทนเต็มที สหายรักของเขาเอาทุกอย่างไปแล้วยังปล่อยให้บริวารมากหน้าหลายตาคอยนินทาว่าร้ายตนกับหญิงอันเป็นรักอีก
“พระองค์ไม่ได้กระทำสิ่งใดผิด ใครที่ทำผิดก็ไปแก้ที่เขาสิ” พระเทวีว่าตามจริง สวามีไม่ได้มีเจตนาจะทำเช่นนั้น อีกอย่างใครทำแบบนั้นก็ควรได้รับผิดสิ ผู้ที่ไม่รู้เรื่องด้วย จะรับผิดชอบอะไรได้
“เพิกเฉยถึงเพียงนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับกระทำเองหรอก”
“ห้ามอะไรห้ามได้แต่ปากห้ามไม่ได้เจ้าก็รู้”
“ยังไงก็ตามความสัมพันธ์ของหม่อมฉันกับเพชราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว”
“เช่นนั้นเจ้าจะให้พี่สังหารพระสวามีของตัวเองอย่างนั้นน่ะรึ!!”
“ใช่ เหตุใดพระองค์จะกระทำมิได้ เขาไม่ใช่เชื้อสายเดียวกันพวกเราด้วยซ้ำ”
“เจ้าอย่าลืมนะว่าเราก็สังหารเจ้าได้เหมือนกัน!!”
“มากเกินไปแล้วนะ!!” เขาพลั้งมือตบเข้าใบหน้าพี่สาวเข้าให้อย่างจังเพราะความโมโห รู้ตัวอีกทีก็พลาดพลั้งไปเสียแล้ว
พระ…พระพี่นาง”
“ได้เราจะสังหารคนที่ควรสังหาร” จากนั้นพระเทวีเบญจเนตรได้หายตัวไป ไม่มีใครตามหาได้เจออีก คงต้องรอเวลาที่เหมาะสมถึงจะได้กลับมาอีกครั้ง
อัญญานีเหมือนคล้ายกับตกอยู่ในฝันซ้อนฝัน เพราะเธอเห็นว่าตัวเองในอดีตกำลังติดต่อกับพระชายาของพระอินทร์ในนิมิตของร่างที่อ่อนแรงนั้น
"อินทราณี ท่านนั้นรู้จักเทพวิษุวัติอนุชาของเราดีกว่าเรามาก ท่านน่าจะรู้ดีว่าในตอนนี้อนุชาของเราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ชะตาที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ไม่มีอะไรแน่นอน เรานั้นมีเรื่องให้ท่านช่วย ท่านจะเป็นผู้เดียวที่รู้ว่าเราอยู่ที่แห่งใด เราเชื่อใจท่าน "
"ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด หม่อมฉันจะสนองตามพระประสงค์เพคะ"
“อย่าได้บอกใครให้รู้โดยเด็ดขาดแม้แต่สหายของท่าน”


หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 19, 2021, 06:16:50 PM
แสงสุรีย์ได้เห็นพระอัคนีทีมีเปลวเพลิงรอบพระเศียรรับรู้ด้วยญาณว่ามกุฎราชกุมารสีตลราชใช้พลังที่ได้รับพรมาทำการกบฏแย่งราชบัลลังก์พระบิดา บ้านเมืองล้วนเป็นน้ำแข็งเย็นไปทั่วเหลือแต่ราชวังที่กำลังจะเข้าไปช่วงชิงเท่านั้น
เช่นนั้นแล้วพระเทวาท่านจึงยิงศรผ่านประตูเตโชก่อเกิดเป็นสตรีถือมณีสีทับทิม นามว่า “วิศัลย์ศยา” ไปปราบสีตลราชก่อนที่จะทำปิตุฆาต รวมถึงแก้ความหนาวเย็นในเมืองให้กลับมาสงบสุข  ต่อมาเธอจึงเดินทางแก้มนตราที่เกี่ยวกับความทรมานจากความหนาวเย็นทั่วทุกถิ่นแดน วันหนึ่งที่เธอกำลังตามแก้มนตราก็ไปพบกับการรวมตัวที่น่าสงสัยของอสูรที่หลงเหลืออยู่
“พวกเราบำเพ็ญขอพรพระศิวะได้แล้ว พวกเทพเทวดาไม่สามารถสังหารพวกเราได้อีกต่อไป” อสูรตนหนึ่งกล่าว
“พระองค์มิโปรดให้ขอความอมตะก็จริง แต่สิ่งที่พวกเราขอก็คงไม่มีใครสังหารพวกเราได้หรอก” อสูรอีกตนกล่าว
“ด้วยเหตุนี้ล่ะ พวกเราจะประกาศสงครามนำพี่น้องของพวกเรากลับมา” พวกเขาไม่พอใจในสิ่งที่พระอินทร์เนรมิตเขตแนวอสุรากั้นดินแดนเอาไว้ไม่ให้อสูรที่อยู่อีกด้านไร้อิสระ ถ้าชนะได้พวกเขาก็กะจะให้กลับมารวมกำลังช่วงชิงความเป็นใหญ่ในแดนต่างๆต่อไป
“พวกเรามีกองกำลังราวสามพัน ครานี้ถ้าพลาดก็ต้องไปสู่ที่แดนอสุราอย่างเดียวแล้ว”
“เช่นนั้นพวกเราก็ต้องชนะเท่านั้นล่ะ”
“ผู้นำหลักมี ๒๐ ตนสินะ” วิศัลย์ศยาพึมพำกับตนเองแล้วจึงเดินทางมุ่งสู่สวรรค์ไปทูลให้พระอินทร์ทรงทราบ 

“เรื่องนี้เรามอบให้อยู่ในการดูแลของพระเทวาวิษุวัตแล้ว ไปทูลให้พระองค์ทราบเถิด”  พระเทวราชทรงทราบเรื่องแล้วจึงกล่าวกับผู้หวังดี แต่เพราะให้เกียรติกับพระโอรสของพระอินทร์องค์ก่อนจึงยกเรื่องการรบการต่อสู้ให้พระวิษุวัติแทน
“เพคะ” เธอรู้ดังนั้นจึงลาไปยังเกาะแก้วผลึกต่อ

“เรามาเข้าเฝ้าพระเทวาวิษุวัต” เธอเจอผู้ที่เหมือนจะเป็นบริวาร ไม่รู้ทางต่อจึงได้เข้าไปหาหวังจะขอความช่วยเหลือ
“พระองค์เสด็จยังอุทยานกับพระชายา ตามเรามาเถอะอีกไม่นานจะได้พบพระองค์”
ว่าแล้วชายแปลกหน้าก็พาเธอขึ้นไปรอยังหอชิดดารา
“เราคือศรุตเทพ มีเรื่องอะไรเล่าให้เราช่วยฟังก่อนก็ได้นะ”
“ศรุตเทพที่ปราบกษัตริย์สิบสองเมืองนี่เอง เราวิศัลย์ศยา เราได้ยินมาว่าพวกอสูรจะรวมตัวกันทำสงครามกับสวรรค์จึงได้เดินทางมาทูลให้ทรงทราบ”
“เช่นนี้นี่เอง อย่างนั้นพวกเราต้องรวบรวมกำลังพลที่มีฝีมือมาร่วมช่วยกัน”



  ในขณะที่ทั้งสามกำลังระลึกใครจะไปนึกเล่าว่าคนที่เหลือจะระลึกในเวลาเดียวกันไปด้วย กายภายนอกของผู้สวมใส่สิ่งวิเศษทั้งสองก็สลับหมุนเวียนคนเปลี่ยนก็ไปพร้อมๆกับการระลึกชาติ
   
จันทราภามีอดีตชาติคือพระจันทร์ทรงนำอินทุสินธุ์จากดวงจันทร์ดวงที่สองที่นำไปสร้างเป็นเขตแนวอสุรามาสร้างให้มาช่วยดูแลเขตแนวอสุราในช่วงแรก ประทานนามว่า “ฤทัยกานต์” ครั้งหนึ่งมารนามว่าชยันตีได้ตั้งพิธีทลายเขตแนวอสุราที่สาม เธอจึงทำทีอาสาถอดดวงใจของชยันตีไปซ่อนให้เป็นอมตะ แต่กลับนำมาสร้างกำแพงซ้อนกันแนวอสุราแทน ชยันตีที่ทนความเจ็บปวดจากการท่องคาถาทำลายไม่ไหวร่างจึงกลายเป็นหินเฝ้าอยู่ทางเข้าแดนอสุรา ภายหลังมีการเปลี่ยนหน้าที่จึงได้เดินทางไปยังที่ต่างๆเพื่อคุ้มครองช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากและช่วยดูแลเลี้ยงดูบุตรธิดาของผู้คนทั้งหลาย

จันทลักษณ์มีอดีตชาติคือพระอัศวินทัสระทรงนำแสงรุ่งอรุณที่ส่องกระทบเมฆมาสร้าง ประทานนามว่า “ขัมปกรณ์” ให้ลงไปยังโลกมนุษย์พร้อมกับพี่น้องอีกคนที่มาจากพระอัศวินอีกองค์ ไปทำหน้าที่แพทย์ดูแลรักษาชาวประชาที่ได้รับผลกระทบจากสงครามของกษัตริย์สิบสองเมือง เมื่อหมดหน้าที่จึงแยกทางกับพี่น้องอีกคนไปรักษาผู้คนทั่วสารทิศรวมถึงหาประสบการณ์และวิธีการในการรักษาให้หลากหลายมากขึ้น ครั้งหนึ่งหมอผู้ถือว่าเป็นเลิศในการรักษาอย่างพิศลยามาท้าให้เข้าร่วมแข่งขันกันรักษาคนโดยให้ผู้ที่มีอาการเดียวกันมาประลอง ในตอนแรกเขาไม่สนใจจนถูกพิศลยาประกาศว่าเป็นผู้ขลาดเขลานัก แต่สุดท้ายแพทย์ผู้นั้นก็ต้องขอขมาแล้วเรียกตัวกลับไปช่วยเพราะรักษาผิดพลาด ด้วยฝีมือการรักษาที่ช่วยชีวิตคนไว้ได้ทันท่วงทีเขาจึงมีชื่อเสียงเป็นที่รู้ในด้านการรักษา


   อังคารได้ทราบว่าพระอังคารต้องการผู้ที่มาปราบอสูรที่ชื่อรณภูมิ อสูรตนนี้ขอให้เทพเทวาไม่สามารถสังหารตนได้จึงย่ามใจอาละวาดระรานผู้คนและดลบันดาลให้เกิดน้ำท่วมไปจนถึงป่าหิมพานต์ พระองค์จึงใช้พระขรรค์กรีดฝ่าพระหัตถ์นำโลหิตหยดลงยังหางนกยูงแปรเปลี่ยนเป็นบุรุษนามว่า “ชยานันท์” เขาได้นำพระขรรค์ไปปราบรณภูมิที่เขาจิตตะแห่งหิมพานต์ หลังจากนั้นเขาได้คอยช่วยเป็นกำลังรบให้กับพระอังคาร ไปสู้กับพวกอสูรที่มักจะประกาศจะทำสงครามแต่กลับยกทัพมาลอบโจมตีก่อนที่กล่าวไว้ เรื่องฝีมือการต่อสู้ของชยานันท์เป็นที่เลื่องลือพอๆกับศรุตเทพจึงมีประเด็นถกกันหลายครั้ง แต่เขาทั้งสองไม่เคยพบกันเลย

   ปัทมาสน์รับรู้ว่าเหล่ายักษ์อสุราที่ประพฤติตนไม่ดี นอกจากจะไปรังแกเผ่าพันธุ์อื่นแล้วยังมาทำร้ายกันเองจนเกิดเป็นความแตกแยกและต่างพากันใฝ่ที่จะเป็นอสุราที่แข็งแกร่งที่สุด ด้วยเหตุนี้พระเวสสุวรรณจึงนำดอกบัวขาวในสระธรณีมาสร้างให้เป็นยักษีนามว่า “สัตตบุษย์” เพื่อจัดการความวุ่นวายในหมู่อสุรา ด้วยกำลังที่เหมือนรวมบุรุษทั้งเจ็ดมารวมในตนเดียว พวกยักษ์จึงเกิดความหวาดกลัวยอมศิโรราบและทำตามคำสั่งเลิกทำร้ายกันเอง ภายหลังพระกุเวรให้ไปทำหน้าที่ปกป้องรักษาพระเทวีเบญจเนตร ผู้ที่ไม่เคยพบมักนึกว่าเธอเป็นชายโดยคิดว่าเป็นชื่อ“สัตตบุตร” เช่นนี้ในยักษ์ทั้งหลายจึงยกย่องว่าเป็นบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่อสุรา

   

พุทธรัตน์ได้เห็นว่าพระพุธทรงนำมรกตจำนวนหนึ่งโปรยลงยังเมฆาสร้างสตรีขึ้นมา ประทานนามว่า “นัยน์ปพร” โปรดให้จัดการปัญหาเทวดานามพนากรที่มาปั่นป่วนมิยอมให้พืชพรรณออกตามฤดูกาลสร้างความเสียหายให้กับผู้คนเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังจับคนไปให้เป็นอาหารอสูรในบัญชาตั้งหลายคน  เธอต้องเดินทางไปเจรจาในคราแรกนั้นไม่เป็นผลเพราะเขาเอาแต่หันหลังให้ เธอจึงได้ทำทีจากไปเขาจึงหันแล้วเห็นว่ายังอยู่จึงจะสังหารเสีย เธอจึงจ้องเข้าไปในดวงตาแล้วสร้างภาพมายาทำให้พนากรตกอยู่ในความกลัวเสียสติไป ภายหลังเธอจึงไปเดินทางเจรจาทั่วสารทิศเพื่อผูกมิตรไมตรีระหว่างเมืองให้ดีขึ้น

เพชรราหูเฝ้ามองอดีตของตนเห็นว่ามีอสูรนามอิทธิชัยที่ขอพรให้พระราหูสังหารตนไม่ตาย กลับมาล้างแค้นในอดีตที่เคยติดค้างกัน อสูรตนนี้ไล่สังหารอริมามากมายทั้งยังจับมนุษย์จำนวนมากเป็นเชลย แต่เท่าไหร่ก็ไม่สาแก่ใจถ้าไม่ชนะสหายเก่าของตน พระองค์ท่านมิโปรดที่จะเสียเพลามาต่อสู้ด้วย จึงนำกระบองฟาดลงภูเขาลูกหนึ่งสร้างเป็นบุรุษมนุษย์นาม “เตชณัฐ” ทางนั้นไม่ยอมให้ตั้งตัวก็มุ่งโจมตี มองไปเขาก็รู้ในทันทีว่าดวงใจของอิทธิชัยไม่ได้อยู่กับตัวจึงหายตัวไปยังที่เก็บดวงใจในถ้ำแห่งหนึ่งแล้วนำไปเผาไฟเอากุญแจเวทย์มาปลดปล่อยเชลยทั้งหมดให้เป็นอิสระ ภายหลังเดินทางไปปลดพันธนการออกจากผู้ที่ได้รับความเป็นธรรมทั่วทุกถิ่น
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 19, 2021, 06:34:39 PM
ภูมินทร์เห็นเหตุการณ์ที่มีฤษีท่านหนึ่งไม่มีความน่าเลื่อมใสเอาเสียเลย เขาเอาแต่อวดอ้างว่าเป็นผู้เหนือกว่าฤษีอื่นใดในถิ่นแดนนี้ เย่อหยิ่งยิ่งนัก อีกทั้งกีดกันสตรีเพศไม่ให้ทำสิ่งใดเลย กล่าวว่าสตรีเป็นเพียงเพียงเครื่องสนองตัณหาก็เท่านั้น ลำพังคิดอย่างนั้นคนเดียวว่าแย่แล้วยังเปิดสำนักรับศิษย์รวมความคิดร้ายกาจมาเข้าด้วยกัน นี่อาจจะร้ายกว่าพวกอสูรด้วยซ้ำ เหตุนี้พระพฤหัสบดีจึงนำเขากวางมาป่นสร้างเป็นบุรษนามว่า “ศตายุ” เขาไปเป็นศิษย์ของฤษีสวรินทร์ผู้นี้  วันหนึ่งที่ออกมายังชุมชนผู้อาวุโสก็พูดจาดูถูกผู้คน เขากับสหายจึงยกข้อคัดค้านประลองปัญญากัน กลายเป็นว่าผู้ที่ได้ฟังนั้นหมดความเลื่อมใสกับฤษีท่านนี้ ศิษย์ที่เห็นดีเห็นงามกับการกระทำของสวรินทร์ก็ถูกไล่ไปไหนก็ไม่มีใครต้อนรับ ภายหลังเขาจึงออกเดินทางไปให้ความรู้และแลกเปลี่ยนกับผู้คนในที่ต่างๆ เพิ่มพูนปัญญาต่อไป

จินดาจำได้ว่าฤษีปราญชลีที่สูญเสียภรรยาและบุตรีในครรภ์ บำเพ็ญขอบุตรีที่มีปัญญาขจัดความร้ายกาจของฤษีสวรินทร์อันเป็นเหตุให้ภรรยาขอเขาต้องสิ้นชีพอย่างไม่เป็นธรรม พระแม่อันนาปุระเห็นว่ามีเรื่องเช่นนี้จึงนำข้าวฝ่ามือหนึ่งมาสร้างให้เป็นสตรีนางหนึ่งนามว่า “อัณณ์ภวิกา” ปราญชลีสอนเธอได้สักระยะหนึ่งจึงให้ปลอมเป็นบุรุษนาม “อักษราภัค” เธอกับสหายเป็นศิษย์คนโปรดที่สุดของฤษีผู้ร้ายกาจ วันหนึ่งที่ออกมายังชุมชนผู้อาวุโสก็พูดจาดูถูกผู้คนมากมาย เธอจึงเฉลยว่าตนเป็นสตรีสร้างความอับอายต่อฤษีท่านนี้มาก เพราะเขาเคยลั่นวาจาว่าหากตนมีศิษย์เป็นสตรีจะสังหารตัวเองให้แล้วสิ้น ถึงกระนั้นเขาก็ไม่วายด่าทอเธออยู่ดี เธอกับสหายจึงได้ต่อความประลองปัญญากัน ผู้ที่ได้ฟังนั้นหมดความเลื่อมใสกับฤษีท่านนี้ ศิษย์ที่เห็นดีเห็นงามกับการกระทำของสวรินทร์ก็ถูกไล่ไปไหนก็ไม่มีใครต้อนรับ ภายหลังเธอจึงออกเดินทางไปศึกษาที่อื่นเพิ่มเติมปัญญาต่อไป
ประกายพฤกษ์เห็นว่ามีอสูรนามนิทรารันดร์นั้นออกมาทำให้เมืองมนุษย์ต่างได้รับความเดือดร้อนด้วยการทำให้ทุกคนตกอยู่ในห้วงความฝันแล้วจึงเผาเมืองไปพร้อมกับร่างที่กำลังฝันเหล่านั้น เหตุนี้พระศุกร์จึงนำน้ำนมโคเทลงมหาสมุทรสร้างเป็นสตรีนามว่า “วารีรัตน์” เธอใช้พลังเรียกน้ำมาช่วยดับไฟจากอสูรตนนี้แล้วจึงเข้าไปในห้วงความคิดของนิทรานันท์แล้วทำให้สลบไป เธอสร้างน้ำท่วมในความฝันของเขา และตัวเขาก็ติดอยู่ในห้วงฝันออกมาไม่ได้อีกตลอดชั่วชีวิต ภายหลังเธอเดินทางไปแก้ไขอาการฝันไม่สิ้นสุดของผู้คนรอดชีวิตที่ได้รับคำสาปมาจากนิทรารันดร์


ศุภลักษณ์มีอดีตชาติคือพระอัศวินนาสัตยะทรงนำแสงรุ่งอรุณที่ส่องกระทบเมฆมาสร้างประทานนามว่า“ภัคนันท์” ให้ลงไปยังโลกมนุษย์พร้อมกับพี่น้องอีกคนที่มาจากพระอัศวินอีกองค์ ไปทำหน้าที่แจกจ่ายโภคทรัพย์ให้กับชาวประชาที่ได้รับผลกระทบจากสงครามของกษัตริย์สิบสองเมือง เมื่อหมดหน้าที่จึงแยกทางกับพี่น้องอีกคน โดยหาเจรจานำโภคทรัพย์ต่างๆของผู้มั่งมีไปแจกจ่ายยังผู้ยากไร้ ขณะเดียวกันก็เที่ยวไปศึกษาวิธีต่อสู้เผื่อสักวันจะได้ใช้มัน






ศนิวารเห็นพระเสาร์นำเขี้ยวพยัคฆ์มาสร้างบุรุษผู้หนึ่งนามว่า “พชรดนัย” เพราะว่ามีอสูรพี่น้องตระกูลวารณะเข้าทำการยึดที่ทำกสิกรรมของชาวประชาไปตั้งเป็นเมืองของตน ซ้ำยังนำทุกคนไปเป็นทาสใช้แรงงาน ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่เป็นธรรมเช่นนี้ พระองค์จึงส่งให้เขาไปปราบตระกูลนี้ เขาใช้คฑาสังหารผลาญตระกูลนี้จนสิ้นและช่วยฟื้นฟูที่ดินให้กับชาวประชา ภายหลังเขาไปออกเดินทางไปหาฝึกวิชาเพิ่มเติมและได้เป็นสหายกับศตายุ

เมธาวีนั้นได้ทราบว่าพวกอสูรนั้นซ่องสุมกำลังจะทำการรบตลอดเวลา ทั้งนี้กองกำลังก็ต้องต่างแยกกันไปกำจัดจึงในบางเวลาก็มิอาจแบ่งกำลังไปช่วยได้ทัน พระเกตุจึงทรงนำทองคำมาป่นสร้างสตรีที่มีกำลังแข็งแกร่งนามว่า “มุนินทร์รัตน์” เพื่อช่วยเป็นกำลังเสริมในการต่อกรกับพวกอสุราทั้งปวง เธอยังคงช่วยทำหน้าที่เป็นบางครั้ง ส่วนเวลาที่เหลือก็ออกเดินทางไปแอบแฝงตัวช่วยเหลือกองกำลังที่เป็นฝ่ายธรรมมะในโลกมนุษย์

ความทรงจำของแต่ลละคนสลับไปมาเช่นนี้ก็ส่งผลให้ร่างกายอ่อนแรงได้มากเช่นกัน แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็อยากจะรู้ให้ได้ว่าอะไรเป็นสาเหตุให้พวกเขามารวมตัวสู้ชะตากรรมไปกับสุริยะจนถึงตอนนี้
                                                                        --อัพเดตทุกวันอาทิตย์เวลา18.00น.โดยประมาณค่ะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 23, 2021, 12:02:27 PM
เนื่องจากจักรกรดเข้ารับการฉีดวัคซีน​ป้องกันโควิด19แล้วมีผลข้างเคียงค่อนข้างมากจึงของดอัพเดตนิยายก่อนนะคะ​ แล้วจะกลับมาอัพเดตใหม่ในวันที่2มกรา2565เวลาประมาณ18.00น.ค่ะ​ ขออภัยในความไม่สะดวกด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มกราคม 02, 2022, 06:41:08 PM
“อสูรพวกนี้น่ะบำเพ็ญตบะขอพรให้ไม่สิ้นชีพด้วยเหตุใดๆหากไม่ใช่เงื่อนไขตามนี้ ต้องสิ้นด้วยการจากสังหารโดยผู้สังหารที่ไม่ได้เกิดจากครรภ์ อย่าให้สิ้นชีพในเพลากลางวันหรือกลางคืน และสุดท้ายผู้สังหารจะต้องทราบชื่อตั้งชื่อแรกของพวกเขา  ”
หลังจากที่วิศัลย์ศยารวบรวมกำลังพลมาเพื่อทำสงครามกับพวกอสุราแล้ว ต่อมาสัตตบุษย์จึงได้นำข้อมูลของสหายมาเล่าให้พลพรรคนักรบทราบ เผอิญว่านฤพัชรนั้นเป็นสหายของศรุตเทพและนางจึงติดต่อไปสืบความให้ก่อนได้ไม่ยาก
“ที่ท่านรวบรวมพวกเรามาด้วยเหตุนี้สินะ”  วารีรัตน์ฟังความแล้วจึงพิจารณาดูจากประวัติสหายทั้งหลายก็พอเข้าใจ เพราะว่าทั้งหมดก็ล้วนไม่ได้เกิดจากครรภ์กันทั้งนั้น
“แล้วไม่ใช้สิ้นในเพลากลางวันหรือแม้แต่กลางคืนล่ะ ” พชรดนัยนึกสงสัยขึ้นมา ธรรมดาธรรมชาติแล้วก็มีเพียงสองเวลาคือกลางวันและกลางคืน เงื่อนไขนี้ควรจะทำอย่างไรดีล่ะ
“เรื่องนี้เข้าใจได้ไม่ยาก เพลาสนธยานั่นเป็นคำตอบที่ดีที่สุด” ก็จริงตามที่ศตายุกล่าวเพราะเวลานี้อยู่กึ่งกลางระหว่างกลางวันและกลางคืน
“สองเรื่องนี้จัดการได้ไม่ยาก แต่เรื่องชื่อแรกที่ตั้งโดยบิดามารดานี่สิไม่มีใครรู้เลย” ศรุตเทพกล่าว ถึงจะมีสายอยู่แต่ก็ไม่อาจล่วงรู้ความลับข้อนี้เพราะอสุราเหล่านี้นั้นอายุไม่ใช่น้อย สมญานามต่อตนหนึ่งก็มากหลาย ใครเล่าจะแก้ข้อนี้ได้
“นั่นเป็นเรื่องที่น่ากลุ้มใจอยู่พอสมควร หากแต่ว่าพวกเราขอให้จงกลนีช่วยก็พอจะได้อยู่ ”  เตชณัฐกล่าวขึ้นมา เพราะก็ได้ยินเรื่องความงามของนางมามิน้อย
“คิดจะให้นางไปลวงพวกนั้นให้คายความลับออกมาอย่างนั้นรึ เราไม่เห็นด้วย”ชยานันท์ฟังความก็พอทราบความคิดจึงคัดค้าน จะสู้ก็สู้ตรงๆไปเลยจะมาเล่นแง่นำสตรีบอบบางมาร่วมด้วยทำไมกัน
“แล้วท่านคิดเห็นเช่นไรล่ะ ในตอนนี้มีผู้สืบสองหน้าอยู่ต้องเอาความไปบอกพวกนั้นด้วยเพื่อให้ได้ความเชื่อใจ นางน่ะไม่ได้อยู่ในการต่อสู้ในสนามรบก็ย่อมส่งผลดีอยู่แล้ว” ที่ฤทัยกานต์กล่าวมาก็มีส่วน เพราะทางนี้มีผู้อาสานำความไปบอกก่อนหน้าแล้ว จะให้สตรีในนี้ไปลวงหรือก็คงไม่เป็นผล เพราะพวกนั้นน่ะเดาทางง่าย
“เอาล่ะๆอย่าเพิ่งมีปัญหากัน เท่าที่เรารู้พวกนั้นมีจุดอ่อนที่สตรี ถึงจะเสี่ยงไปหน่อยแต่ว่าความเสน่หาก็จะช่วยเปิดทางให้พวกเราอย่างน้อยถ้าไม่ใช่เรื่องชื่อเสียงเรียงนามก็เป็นการยุยงให้แตกกันเอง” ภัคนันท์เกรงว่าจะเป็นปัญหาที่ถกกันนานเกินไปจึงสนับสนุนความคิดนั้น ถึงแม้จะขัดใจใครไปหน่อยก็เถอะ
“ตกลงตามนี้ หวังว่านางจะช่วยพวกเราได้นะ” อัณณ์ภวิกากล่าวกับผู้ที่หนักใจไม่แพ้กันอย่างยักษีผู้รักษาพระเทวีเบญจเนตร เธอได้แต่พยักหน้าตอบ ก็นะเธอก็หวงห่วงผู้ที่ตนรักเหมือนน้องสาวนี่นา
จงกลนีตอบรับที่จะช่วยเหลือ โดยมีอุบายว่าจะจัดงานรื่นเริงก่อนทำศึกเพื่อเรียกความฮึกเหิมและกำลังใจ ถือว่าซ้อมอยู่วิมานบนสรวงสวรรค์ไปในตัว เมื่อเหล่าอสุราเห็นสตรีวิไลลักษณ์   งดงามเสมอเหมือนว่าไตรภพนี้จักหาไม่ได้อีกแล้ว สายตาที่มองมายังตัวนางก็ทำให้เจ้าตัวไม่ค่อยจะสบายใจเท่าใดนักแต่เพื่อช่วยให้ศึกนี้ผ่านพ้นไปก็ต้องทำทีเป็นมิตรกับพวกนี้ เธอเป็นนางรำที่โปรดที่สุดของพระเทวีเบญจเนตร ในคราที่พระนางวิวาห์กับพระสวามี พระเทวีลักษมีนั้นได้มอบสตรีที่สร้างมาจากดอกบัวในพระหัตถ์ให้กับพระองค์  ไฉนสตรีนางนี้จะไม่งดงามเล่า  ด้วยการเล่าจากผู้ใกล้ชิดจึงส่งผลให้เกิดความปรารถนาของพวกอสุราผู้มักใหญ่ ในเมื่อมีสตรีเช่นนี้ก็ควรมายกย่องเป็นชายาข้างกาย เห็นจริงจังกว่าจะฝักใฝ่มากกว่าเหล่านางอัปสรบนสวรรค์เสียอีก นั่นจึงเป็นช่องโหว่ที่จะทำลายความมั่นคงของชีวิตพวกเขาเข้าให้เสียแล้ว
   ในที่สุดวันที่ทำสงครามก็มาถึง เพื่อถ่วงเวลาให้ตรงกับสนธยาจึงต้องทำทีเป็นยอมอ่อนข้อให้อีกฝ่ายตายใจและออมแรงเสียก่อน เมื่อใกล้เวลาทั้งหมดจึงลงมือโจมตีอย่างหนักหน่วงและกล่าวชื่อแรกจากบิดามารดาของศัตรูก่อนจะลงมือสังหารในครั้งสุดท้าย  เรื่องที่เกิดขึ้นนี้เดาได้ไม่ยากว่ามาจากสหายผู้หักหลังร่วมมือกับสตรีเลอโฉมที่พวกเขาหลงใหล มันก็น่าเสียดายที่ถึงวันศึกจริงกลับพ่ายแพ้ภายในวันเดียวทั้งๆที่แอบตัดกำลังอีกฝั่งไปมากแล้วแท้ๆ
“ศึกครั้งนี้ไม่ควรเป็นเรื่องน่าจดจำหรือพูดถึง เราขอสาปพวกเจ้าหากมีครั้งใดหรือชาติไหนๆที่พวกเจ้ารื้อฟื้นความจำครั้งนี้ขึ้นมาอีก ขอให้พวกเจ้าทนทรมานจากการกระอักเลือดทุกวันคืน  ในเมื่อพวกเจ้ารักคุณธรรมอะไรนั่นก็ขอให้แก้โดยการทำลายดวงใจของผู้ที่เขากำลังทรมานถึงขีดสุดอย่างไม่ใยดี หากมีสักเสี้ยวที่เห็นใจก็ให้ล้มเหลวสังหารคนมากมายอยู่ร่ำไป ” ผู้ที่พ่ายแพ้กล่าวคำสาปแช่งย้อนกลับมาทำร้ายผู้ที่ค้นหาความจริงจนกระอักเลือดทั้งๆที่กำลังนั่งสมาธิอยู่อย่างนั้น ถึงจะเจ็บปวดอยู่แต่ก็ยังไม่ยอมถอดใจที่จะตามอดีตชาติต่อไปให้เสร็จสิ้น


“อินทราณีครั้งนี้เราไปแล้วเราจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุดนะ” ศรุตเทพเข้ามาดูอาการสหายเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะออกเดินทางไปนำเกราะวิเศษกลับมารักษา ถึงแม้ตอนนี้เธอจะอยู่ในห้วงนิทราแต่เขาก็มั่นใจว่าเธอรับรู้ได้แน่
หลังจากที่เขาผ่านด่านต่างๆในเขตกั้นแนวอสุราและปราบมังกรสามหัวลงเสร็จแล้วเขาก็ออกเดินทางกลับแต่อยู่ๆจิตสำนึกของเขากลับเรียกเอาประโยคขึ้นมาในห้วงความคิดเสียอย่างนั้น
 “ในเมื่อท่านก่อคุณมากหลือประการเช่นนี้ ขอให้ท่านอยู่และมีเหตุแห่งการสิ้นเฉกเช่นเรา” นี่คือคำกล่าวของพระเทวราชาต่อเทพวิษุวัตเนื่องจากที่วิษุวัตพระองค์ทำความดีความชอบช่วยเหลือผู้คนจากภัยครั้งใหญ่หลายครั้ง จึงได้ถือโอกาสให้พรไปในตัว ถือเป็นการให้เกียรติต่อสหายรักของตนได้เป็นอย่างดีที่สุด นั่นก็คือการถือความอมตะต่อไปโดยเงื่อนไขเพียงรักษาความดีไว้ เหตุสิ้นสุดของพระอินทร์ท่านนั้นจะเกิดได้จากการที่ตนนั้นได้กระทำเรื่องไม่เป็นธรรมและไม่น่าอภัยแก่โลกจนมีผู้รวบรวมของวิเศษอย่างเกราะกายสิทธิ์และสังวาลย์มณีมาเพื่อสังหารพระองค์ แต่นั่นไม่พอที่จะยืนยันได้ถึงเรื่องการกระทำผิดบาปเหล่านั้น จึงต้องสังหารพร้อมๆเพลิงบรรลัยกัลป์จากเนตรทั้งห้าที่พิจารณาเห็นสมควรใช้ดีแล้วของพระเทวีเบญจเนตร
“เราไม่อยากจะขัดน้ำใจของท่านแต่เราอยากจะบอกท่านเอาไว้  อินทราณีกำลังจะถึงฆาต ถึงแม้ท่านจะนำของวิเศษใดๆมารักษาก็ไม่ช่วยให้นางฟื้นกลับมาได้หรอก” พระเทวีกล่าวกับเขาก่อนที่พระชายาอินทราณีจะประชวรหนักเสียอีก
ทั้งสองประโยคนี้ทำให้เขาตัดสินใจที่จะขัดต่อคำสั่งของผู้เป็นนายลงเสีย
“ไม่ได้เราจะนำเหตุแห่งสิ้นของพระองค์ท่านไปให้ไม่ได้ ถึงแม้พระนางจะไม่ได้อยู่แต่ก็ไม่แน่ว่าฤทธานุภาพของสิ่งนี้อาจจะทำให้พระอินทร์ต้องทรงทนทุกข์ทรมานเข้าให้ก็ได้  อินทราณีชาตินี้เราผิดต่อท่านมากนัก ความผิดครั้งนี้เราจะขอรับและชดใช้แต่เพียงผู้เดียว” เขารู้ดีว่าช่วงนี้เทพวิษุวัตเริ่มคิดการใหญ่เพื่อหาทางออกให้กับตนและชายาไม่ต้องทนคำกล่าวร้ายต่อไป นี่จึงเป็นเหตุหลักที่ตัดสินใจถึงจะผิดต่อทั้งสองก็ตาม ตนไม่พร้อมที่จะให้เกิดความวุ่นวายขึ้นอีกในตอนนี้

“เพลานี้ศรุตเทพควรจะถึงได้แล้ว ทำไมยังไม่มาอีก….นฤพัชร ธานินทร์ พวกท่านรีบไปตามเขามาเถอะ เราเกรงว่าอาการของพระชายาเราจะไม่ไหวแล้ว” คนที่ไว้ใจที่สุดกลับไม่กลับมาให้เร็วที่สุด นั่นสร้างความข้องใจให้แก่เทพท่าน แต่ว่าเวลานี้ไม่อาจจะไปได้ด้วยตนเอง หวังแต่เพียงว่าบริวารจะเร่งนำเกราะวิเศษมารักษาโดยไว
“พระองค์เพคะ จนถึงตอนนี้แล้วหม่อมฉันเกรงว่าพระนางจะ..ไม่รอด” เกลียวทองออกมาทูลหลังจากที่ยื้อชีวิตสหายมานานพอสมควรแต่ไม่มีวี่แววการช่วยเหลือมาเสริมเอาเสียเลย
“อย่าพูดคำว่าไม่รอดต่อหน้าเรานะเกลียวทอง!!”เขาฉุนเฉียวใส่จนอีกคนต้องกลับเข้าไปดูอาการด้านในห้องบรรทมต่อ

“ศรุตเทพเจ้าเจ้านำเกราะกายสิทธิ์ไปยังแห่งใดกัน!!” หลังจากที่ตามหาได้ไม่นาน ก็พบกับผู้ทำภารกิจ ธานินทร์เรียกด้วยรู้ในท่าทีที่แอบแฝงของอีกฝ่าย
“ไม่นำไปที่แห่งใดหรอก ก็แค่จะเก็บไว้ใช้เอง” เขาตอบกลับ เรื่องนี้ตนไม่ขอบอกความจริงในใจว่าจะเอาไปซ่อนให้พ้นจะได้ไม่เกิดปัญหาตามมาภายหลัง รับบทเป็นผู้คิดโลภหลงมัวเมาอำนาจแทนผู้ที่สำคัญจะเสื่อมเสียเพราะเรื่องแบบนี้
“ว่าอย่างไรนะ ก่อนไปท่านตั้งใจไว้ดีแล้วครั้งนี้เพียงแค่ต้องการอำนาจของเกราะนี่ถึงกับจะทรยศพระองค์เชียวรึ” นฤพัชรสับสนอย่างมากที่สหายรักจะทำเรื่องไม่สมควรเช่นนี้
“ใช่ พวกเจ้าก็รู้ว่าชื่อเสียงของเราเลื่องลือขนาดไหน แต่เพราะว่าต้องทนเคารพบูชาเทพท่านจนมีแต่ผู้ชื่นชมสิ่งที่เราทำเป็นความดีความชอบของพระองค์ไปเสียหมด นี่ล่ะเราจะตามหาสังวาลย์มณีให้พบแล้วใช้มันเพื่อสร้างอำนาจให้แก่เรา ในสักสองในสามโลกก็ยังดี”
“เจ้าไม่มีสิทธิ์!!” พูดจากันดีๆไม่ได้แล้วร่างกายต้องปะทะเท่านั้น ทั้งสองร่วมมือกันเข้าแย่งชิงสิ่งวิเศษไปคืนเจ้านายตน

“เราว่าเพลานี้ศรุตเทพคงจะได้เกราะกายสิทธิ์มาแล้ว ไม่รู้ว่าหลังจากนี้เทพวิษุวัตจะทำอะไรหลังจากรักษาพระชายา แต่พวกเราต้องเตรียมตัวไว้ให้พร้อม”  พชรดนัยกล่าวกับสหายที่ร่วมสาบานเป็นพี่น้องระหว่างรอให้ศรุตเทพกลับมา
“จริงๆเลยนะ เราไม่นึกเลยว่าเพียงลมปากจะทำให้พระองค์คิดจะทำลายสหายของตนได้ลง” นัยน์ปพรกล่าว เธอพอจะรู้ความสัมพันธ์ของพระอินทร์กับเทพองค์นั้นอยู่บ้าง
“เกรงว่าจะรอแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้วล่ะ” ศตายุกล่าวหลังจากที่ตรวจดูดวงชะตาของสหาย
“เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ” ฤทัยกานต์รู้สึกใจไม่ค่อยดีขึ้นมาเพราะว่าคำทำนายของสหายมักจะแม่นยำมากเสียด้วย
“ศรุตเทพมีเคราะห์จะถูกสาปในวันพรุ่งนี้”
“เช่นนั้นก็อย่ารอเพลาต่อไปเลย เร่งไปช่วยพาเขาให้พ้นภัยกันดีกว่า” ชยานนันท์ออกตวามเห็น ทั้งหมดจึงไม่รอช้าเร่งออกตามตาสหายกันในทันที

“อินทราณี การมีอยู่ของเจ้าแต่เดิมเราก็นึกว่าเป็นเรื่องดี แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว เจ้าชิงทุกอย่างไปจากเรา ทำให้เราต้องเป็นคนที่ไม่มีค่ามากพอในสายตาของผู้ที่เรารัก ขืนยื้อชีวิตเจ้าต่อไปเราก็มีแต่เสียกับเสีย” เกลียวทองตัดสินในถอดดวงใจของสหายขึ้นมาใช้สองมือประกบบีบให้ดวงใจที่ที่กำลังเต้นอย่างอ่อนแรงให้แตกสลายไป  น้ำตาของเธอไหลลงมาด้วยความรู้สึกที่เสียดายช่วงเวลาที่มีร่วมกันแต่นั่นไม่ได้ทำให้เธอต้องละความสนใจไปเป็นอื่น เธอใช้ความเสียใจนี้มาแสร้งร้องต่อชายที่ตนแอบรักปานดวงใจให้โศกเสีย
“พระชายาสิ้นแล้วเพคะ… เพราะความทรมานในร่างกายนั้นมีมากเกินไปดวงจึงแตกสลายไม่ทัน ไม่ทันการณ์แล้วเพคะ” เธอร้องไห้อย่างหนักราวกับคนเสียสติมันคงเป็นความผิดพลาดที่ดูแลสหายไม่ดีพอ
“อินทราณี อินทราณี!!” เขารู้เช่นนั้นก็เข้าไปห้องบรรทมเพราะไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่มาได้
“ไม่นะอินทราณี เราขอโทษ เราไม่น่าไว้ใจเขาให้ไปนำเกราะมารักษา เราควรไปเองเราไม่น่าโง่เขลาถึงเพียงนี้ อย่าจากเราไปได้มั้ย อย่าจากเราไปเลย”เขาฟูมฟายเมื่อเห็นร่างอันไร้วิญญาณของคนรัก ไม่นึกเลยว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ ทำไมต้องเป็นคนรักของเขา ทำไมไม่เป็นคนอื่น  หลังจาการกอดด้วยความเศร้าโศกไม่เท่าไหร่ร่างของอินทราณีก็สลายกลายเป็นผงสีเงินลอยหายไปกับห้วงอากาศ นี่มันเรื่องอะไรกัน แม้แต่ร่างไว้ดูต่างหน้าก็ไม่มีให้หรือนี่
“สวรรค์ไม่มีตา ฟ้าไม่เป็นธรรม” เทพท่านอารมณ์ในตอนนี้ไม่อาจจะสงบนิ่งได้จึงได้ออกอาละวาดทำลายวิมานสวรรค์ เกิดไฟแผดเผาไปทั่วเดือดร้อนกันทั่วลูกไฟก็แรงตกลงยังโลกมนุษย์ด้วยเช่นกัน
 
“ไม่ได้การแล้วพวกเราต้องสู้กับพระองค์ไม่เช่นนี้ทุกสรรพสิ่งจะต้องสิ้นแน่” วิศัลย์ศยากล่าวพลพรรคสหายที่เหลือที่อยู่กับตน
“ได้เลยตายเป็นตายไม่เกี่ยงอยู่แล้ว” ภัคนันท์กล่าวตอบสหาย ครั้งนี้ต่างจากครั้งไหนเพราะพวกเขาต้องผนึกกำลังสู้กับผู้ที่แกร่งที่สุดที่เป็นรองเพียงแค่พระเทวราชาเท่านั้น
“บนสวรรค์วุ่นวายใหญ่แล้ว พวกเราต้องขึ้นไปช่วยพวกข้างบนรับมือก่อน” ชยานันท์กล่าวแล้วจึงรีบพากันไปช่วยต่อสู้บนสวรรค์อีกแรง

“พวกเจ้ารู้ดีใช่ไหมว่าศรุตเทพจะทำการทรยศเราอันเป็นเหตุให้อินทราณีต้องสิ้นชีพ” แสงหิ่งห้อยหรือจะไปเทียบสุริยัน รวมกับอารมณ์ที่รุนแรงของเทพองค์นี้ก็กำราบพวกเขาที่ร่วมมือกับได้ ถึงแม้จะเจ็บตัวจากการเล่นแง่ไปบ้างก็ตามที
“พวกหม่อมฉันไม่ทราบ แต่ก็เชื่อว่าเขาไม่ใช่คนแบบนั้น พระองค์ล่ะเพคะมิทรงคิดบ้างหรอกหรือว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้เป็นเพราะพระองค์เอง” วิศัลย์ศยาเข้าข้างสหายอย่างถึงที่สุด เธอรู้ว่าต่อให้ไม่มีศรุตเทพเรื่องเช่นนี้ก็ต้องเกิดขึ้นอยู่ดี
“ดีจริงๆ กล้าดีนักนะพวกเจ้าที่มาลองดีกับเราเพื่อสหายผู้เดียว ก็ดีเช่นนั้นต่อจากนี้ให้พวกเจ้าต้องเกิดเวียนว่ายชาติเวรตามหาสิ่งวิเศษกลับมามอบคืนแก่เรา ซึ่งในช่วงเวลานั้นก็ให้ประสบทุกขเวทนาไปทุกภพชาติ” ว่าแล้วเขาก็ใช้พลังสังหารผู้ต่อกรทั้งสิบสามให้สิ้นชีพเพื่อชดใช้ผิดโดยการตามหาสิ่งสำคัญต่อไป



“เขาคงหลงผิดไปชั่วขณะ คงไม่ได้ตั้งใจ” นฤพัชรลอบคิดในใจขณะที่ขึ้นมาทูลให้พระเทวาทรงทราบเรื่องที่ตามหาตัวสหายจนเจอแล้ว ภาพตรงหน้าที่เห็นสหายอีกคนต้องสิ้นต่อหน้ามันค่อนข้างทำใจลำบาก แต่หน้าที่ก็ต้องทำต่อไปจะมามัวเสียใจอยู่ไม่ได้
“เจอตัวศรุตเทพแล้วพระเจ้าค่ะ” บทจะเจอก็เจอง่ายและก็จับง่ายเสียด้วยแต่ขาดอย่างเดียวสิ่งวิเศษที่ต้องการเท่านั้น
“ดี เราจะได้จัดการให้หายแค้น”

“หม่อมฉันผิดไปแล้วพระเจ้าค่ะ ขอพระองค์ลงโทษหม่อมฉันเพียงผู้เดียวอย่าได้ทำลายชีวิตผู้อื่นอีกเลยนะพระเจ้าค่ะ” เขานั่งคุกเข้าพนมมือขอโทษทัณฑ์เพราะเห็นว่าสิ่งที่ตนตัดสินใจมันส่งผลร้ายต่อผู้อื่นมากจริงๆ
“ถ้าเจ้าต้องการเราให้เจ้าได้ ขออย่างเดียวเจ้าต้องบอกเราว่าเจ้านำเกราะกายสิทธิ์ไปไว้ที่ไหน”
“ไม่ได้พระเจ้าค่ะ หม่อมฉันทูลต่อพระองค์ไม่ได้จริงๆ”
“ศรุตเทพ เสียแรงที่ไว้ใจเจ้า  เราขอสาปให้เจ้าพิการเป็นง่อยเข็ญใจจนกว่าจะได้สวมเกราะกายสิทธิ์ เจ้าจะต้องตามหาให้เจอแล้วเราจะมาทวงของๆเราคืน" ภาพเหตุการณ์เหล่านี้ทำให้สุริยะและสหายเข้าใจเรื่องราวที่กำลังเผชิญอยู่มากขึ้น มันคงหมดเวลาแล้วล่ะเพราะตอนนี้ทั้งคู่ก็เสียเลือดไม่น้อยเลย

“พอได้แล้วสุริยะแสงสุรีย์ พอสักที!!!”อัญญานีเขย่าตัวเรียกอยู่เสียนานสุดท้ายก็ต้องผลักเพื่อเรียกสติทั้งคู่กลับคืนมา ไม่อย่างนั้นเลือดก็หมดตัวทั้งที่ไม่รู้ตัวอย่างนั้นแน่
“เราเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว แต่ตอนนี้..”สุริยะที่กลับมาในปัจจุบันนึกขึ้นได้ถึงคำสาปของศัตรูก็ต้องหาทางแก้แล้ว
“ตอนนี้พวกเราต้องทำลายดวงใจของเกลียวทอง ไม่ใช่เพื่อแก้คำสาปที่เกิดจากการสลักอย่างเดียวรวมถึงคำสาปในอดีตชาติด้วย”แสงสุรีย์เสริม
“พวกเจ้าดูท่าไม่ดีเลย อย่าเพิ่งไปจะดีกว่านะ” เธอเป็นห่วงสหายจึงปรามไว้
“ไม่ได้ต้องไปเดี๋ยวนี้!!” สหายทั้งสองตวาดใส่คนที่ห้ามแต่กลายเป็นว่าร่างที่ปรากฏกลับเป็นอังคาสกับปัทมาสน์ที่อารมณ์ดูจะรุนแรงจากความเจ็บปวดพอตัว ลำพังเจ็บผู้เดียวน่ะทนได้แต่พวกพี่น้องจะไม่ไหวใครจะอารมณ์เย็นกัน
“เราขอโทษนะอัญญานีแต่นี่มันเกิดอะไรขึ้นไม่รู้”สุริยะกลับมาอีกครั้งหนึ่งเพื่อขออภัยสหายตน
“เราว่าเรื่องจะไปกันใหญ่แล้ว ทุกคนตอนนี้รับรู้ในเวลาเดียวกันไปหมด”ศุภลักษณ์ขึ้นมาแทนเขารู้สึกว่าเรื่องนี้จะประหลาดและทำลายร่างกายของพวกเขาไปเรื่อยๆหรือเปล่า เพราะตอนนนี้ใครอยากจะพูดอะไรก็แสดงตนออกมาเดี๋ยวนั้นเลยไม่รอเปลี่ยนวัน ขืนเป็นอย่างนี้ติอไปร่างกายรับไม่ไหวแน่
“เอาเป็นว่าพวกเจ้าทั้งหมดใจเย็นไว้ก่อน ดูสถานการณ์ไว้อย่าเพิ่งถกเถียงแย่งกันออกมา ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือกำจัดนางก่อนไว้เรื่องนี้มาแก้สถานการณ์อีกที” แสงสุรีย์กลับมาแล้วกล่าว
“ได้ พวกเราไปกันเลย” อัญญานีติดสินใจใช้แหวนหายตัวไปยังที่ศาศวัตบุรีที่ที่ไว้ซึ่งดวงใจของสหายในอดีตชาติของเธอ อีกไม่นานเรื่องที่เกิดขึ้นในครานี้จะส่งผลต่อไปในอนาคตอย่างแน่แท้
                                                                                    ---ขอเปลี่ยนเป็นทุกวันอาทิตย์เวลาประมาณ20.00น.แทนนะคะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มกราคม 02, 2022, 06:46:43 PM
สวัสดีปีใหม่๒๕๖๕ ท่านผู้อ่านทุกท่านด้วยนะคะ ขอให้มีความสุขภาพแข็งแรง  ร่ำรวยทรัพย์สิน คิดสิ่งใดก็ขอให้สมปรารถนาทุกประการค่ะ:)
ช่วงนี้จักรกรดต้องเตรียมตัวในช่วงสอบกลางภาคจึงไม่สามารถแต่งได้มากเท่าที่ควรต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ ขอบคุณท่านผู้อ่านทุกท่านค่ะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มกราคม 09, 2022, 08:11:04 PM
“ทำไม ทำไมกัน!!!” ”  เกลียวทองที่พยายามจับลำต้นของดอกไม้สารพัดพิษเพื่อดึงขึ้นมาแต่กลับไม่เป็นผล นอกจากจะดึงไม่ขึ้นแล้วตัวเองก็ร่างกายราวกับจะถูกแร่แยกหนังกับเนื้อออกจากกัน ทั่วร่างมีแต่แผลถลอกยิ่งดึงดันจะนำต้นไม้นี้ออกเท่าไหร่ก็ยิ่งเหมือนไปซ้ำแผลเหล่านั้น เธอไม่ทันเอะใจเลยว่าโดนสาปอริก็มาปรากฏตัวต่อหน้าเธอเสียแล้ว
“ทำไมน่ะเหรอ นั่นก็เพราะเราสาปเจ้าไว้ยังไงล่ะ” อัญญานีทักทายสหายด้วยท่าทีที่เยาะเย้ย
“อัญญานี..” เรียกชื่อแล้วก็เกิดกระอักเลือดอย่างหนักตามมา
“เราว่าไม่มีประโยชน์ที่ท่านจะยื้อชีวิตต่อไปอีกแล้ว” แสงสุรีย์กล่าวต่อ
“ถึงจะผิดต่อท่านแต่ว่ามันเป็นลิขิตที่ชีวิตต้องจบแล้ว” สุริยะรู้ดีว่านี่อาจเป็นหนึ่งในความผิดที่สังหารชีวิตผู้อื่น แต่กับผู้นี้แล้วใครจะทำหน้าที่สละชีพรักษาอาการเจ็บปวดของพี่น้องและสหายได้ดีกว่าล่ะ
“พวกเจ้าสองคนยังไม่ตาย!!....อ้อที่แท้สองคนนั่นก็คือหนึ่งในพวกเจ้านี่เอง”
 ตอนแรกเธอก็ตกใจอยู่หรอก แต่พอมานึกแล้วมันก็สมเหตุสมผลจริงๆที่ตอนสู้กันสองคนนั้นไม่ยอมใช้มนตราคาถาเลย
“ถูกต้องและเราก็ช่วยเหลือพวกเขามาจากเจ้า เกลียวทองอาจารย์ของพวกเราก็พร่ำสอนมาไม่ใช่หรอกเหรอว่าอย่าใช้ลูกไม้ทำร้ายผู้อื่นตอนทีเผลอ” เธอใช้ความทรงจำที่ระลึกได้มาใช้พูดกับอดีตสหายรัก
“ทำร้ายผู้อื่นตอนทีเผลอ หมายความว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับเราก็เป็นฝีมือของเจ้า!!”
“ใช่ เป็นยังไงล่ะรสชาติของกรรมตามสนอง เอาจริงๆมีกรรมอีกเยอะที่เจ้าทำไว้และควรจะจบชีวิตลงตรงนี้เพื่อหยุดการกระทำของเจ้า”
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังต่อปากต่อคำสองสหายผู้สวมสิ่งวิเศษก็มีอาการไม่พึงประสงค์อย่างเลือดที่กำลังไหลออกผ่านทางนาสิกขืนปล่อยไว้นานกว่านี้ก็ทรมานแย่ ทั้งคู่จึงพยักหน้าส่งสัญญาณกันแล้วจึงช่วยกันดึงดอกไม้สารพัดพิษโดยจับลำต้นด้วยคนละมือ แต่พอดึงแล้วหนามไม้รับแขกที่แหลมคมมากอยู่แล้วก็ยิ่งเพิ่มความคมขยายความยาวของตัวหนามทิ่มแทงเข้าไปฝังยึดด้านในเนื้อ ไหนจะใบผกากรองที่ขยายก้านมาพันแขนทั้งคนมาเลื้อยพันรัดคอทั้งสองคน เลือดที่ไหลออกจมูกก็มากแล้ว ถูกทำอย่างนี้ก็กลับมากระอักเลือดหนักอีกรอบ
“ฮ่าๆ พวกเจ้าโง่เขลาเบาปัญญา ขนาดเราที่เป็นเจ้าของยังเอาออกมาไม่ได้แล้วพวกเจ้าจะเอาออกได้ยังไง” เธอทันเห็นการกระทำของผู้ที่อ่อนประสบการณ์แล้วอดยิ้มชอบใจไม่ได้
“บอกมาว่าจะแก้ไขเรื่องนี้ยังไง!!” อัญญานีเห็นสหายประสบปัญหาก็ไม่อาจเฉยได้ จึงเข้าบีบคอศัตรูเพื่อข่มขู่เอาวิธีช่วยเหลือ
“ไม่บอกเรื่องอะไรจะบอก ” เกลียวทองฉีกยิ้มจนเห็นเลือดตามซอกฟัน มีอย่างที่ไหนจะยอมบอก เธอใช้มือจับแขนอีกคนส่งพลังที่มีอยู่หวังทำลายให้สิ้น แต่ด้วยอำนาจแหวนวิเศษทำให้มนตราย้อนกลับ แผลที่ถลอกก็เกิดไหม้จนอริต้องนำมือออกด้วยความตกใจ
“….ดูสิเกลียวทอง เจ้าทรมานขนาดนี้ยังคิดจะมีชีวิตอยู่อีกงั้นรึ” เธอนิ่งไปครู่จนนึกประโยคที่เคยรับมายอกย้อนใส่แม่มดตัวร้าย
“อินทราณีเจ้ารู้ เจ้าจำได้งั้นรึ” เธอกะจะให้ความลับนี้จบๆไปพร้อมกับความตายเมื่อครานั้น แต่ประโยคนี้เธอพูดอีกอดีตสหายที่อยู่ในห้วงนิทราทำไมถึงรู้ล่ะ
“ใช่เราจำได้ ถึงดูเหมือนว่าเราจะสลบอยู่แต่เราก็อยู่ความเป็นไปรอบตัว น่าเสียใจที่เราควบคุมอะไรไม่ได้เลย”
ในขณะที่ทั้งสองคนรำลึกความหลัง อีกสองคนก็ทรมานกับการกระอักเลือด ในหนามนั่นนำพิษที่เหมือนจะกลั่นคัดเฉพาะมาอย่างดีจากดอกว่านสี่ทิศเข้าสู่ร่างกายของทั้งสอง ใบของยี่โถได้ออกมาตามรอยขาดแยกของใบผกากรองแล้วนาบกับผิวหนังซึมลงไปแทบจะเป็นเนื้อเดียวกันอยู่ มือนึงก็ต้องใช้แรงดึงต้นขึ้นอีกมือก็ต้องคอยดึงคอยปัดไม่ให้เกิดอันตรายจนถึงชีวิต สิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความปั่นป่วนให้ร่างกายจนคนทั้งเจ็ดสลับไปมาในร่างเดียวเสียจนเวียนหัว
“เรามาช่วยแล้ว แข็งใจไว้นะ” เธอใช้แหวนทำลายอันตรายจากดอกไม้ประหลาดนี่ แต่แทนที่มันจะสลายหายไปกลับกลายเป็นว่าเพิ่มปริมาณและอานุภาพทำลายสหายยิ่งนัก ถึงตอนนี้นางแม่มดจะสู้ไม่ไหไวแล้วแต่ต้นไม้ที่สร้างมาได้พันปีก็มีฤทธีอยู่พอตัวเพื่อจะช่วยรักษาชีวิตของเจ้านายตน จังหวะนี้เธอใช้พลังพร้อมทั้งสองทาง ทางหนึ่งก็ลอบโจมตีอีกทางก็เรียกพรรคพวกให้มาช่วย
“ยังคิดจะมาลอบกัดเราไม่เลิก!!.....ถ้าไม่ติดว่าหัวใจเจ้าขึ้นกับดอกไม้นี่เราจะสังหารเจ้าด้วยตนเอง!!” ก็จริงดังว่า คนที่ถูกอักสรสาปน่ะต้องเป็นคนกระทำเองถึงจะพ้นคำสาป ขืนคนสาปตายด้วยฝีมือผู้อื่นไม่นานผู้โดนสาปก็ตายตาม ต่อให้ถอดดวงใจได้ร่างกายก็ไม่วายจะกหลายสภาพเป็นศพเดินได้จนร้องขอความตายอยู่ดี เธอโมโหจนใช้พลังบีบคออีกคนไม่คิดซื่อจนลอยตัวขึ้นสูงเสียดกับพื้นดินด้านบน
…………
“บดิศร อัคนินทำไมถึงได้ช้านักล่ะ แล้วนี่ยังลีลามาเรียกให้เรามารับอีกแหนะไม่รีบขึ้นไปเข้าเฝ้าพระเทวาวิษุวัตอีก” ธานินทร์มาตามการเรียกหาของทั้งสองไม่คิดว่าผู้ที่มีโลหะเคลื่อนย้ายจะออกมาช้าได้ขนาดนี้นะ
“ไม่ได้อยากจะช้าหรอกนะ แต่ว่าพวกเราถูกชิงโลหะเคลื่อนย้ายน่ะสิ!!!” อัคนินไม่ชอบใจเลยที่ถูกทักทายแบบนี้ไม่ใช่เวลาเลยนะ
“เราไม่รู้นี่ เออนี่บดิศรเจ้าได้แผลเป็นประกายสายฟ้าเชียวนะเป็นยังไงล่ะประสบการณ์ครั้งนี้”
“ไร้สาระสิ้นดี ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดเล่น พวกเกราะกายสิทธิ์กับสังวาลย์มณีไม่ได้ตายอีกทั้งยังนำสองวิเศษทั้งสองมารักษาแล้วด้วย คิดดูเอาเถอะว่าเป็นความผิดพลาดของใครที่ไม่ตรวจสอบให้ดี” บดิศรก็ร้อนใจไม่น้อยยังจะมาเจอถ้อยคำน่ารำคาญใจนี่อีก
“เป็นไปไม่ได้ เรากับปัจจาเห็นกับตาว่าสองคนนั้นน่ะเป็นศพอืดเน่าไปแล้ว”
“เป็นไปแล้ว ศิลาพยากรณ์ไม่เคยโกหกเจ้าก็น่าจะรู้ดีนะ”โอรสเมืองคีรีมาศยืนยัน
“ไม่ใช่เวลามาเถียงกัน รีบนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระองค์ท่านจะได้ตามหาพวกนั้นและกำจัดได้ทัน” โอรสรัตนบุรีไม่ต้องการเสียเวลาจึงได้กล่าว
“ให้ตายเถอะเกลียวทองเรียกเราให้ไปหานาง” เทวดาก็อยากจะพาไปให้เร็วหรอกแต่มีผู้เรียกเข้าให้นี่สิ
“แม่มดเกลียวทองสาปพวกนั้นอยู่ไม่แน่พวกนั้นอาจจะอยู่ที่นั่นก็ได้” บดิศรจำได้เรื่องอักษรสาป บางทีเรื่องคราวนี้คงตรงตามคาดแน่
“แล้วจะรออะไรกันอยู่ล่ะ ” อัคนินพูดอย่างนั้นธานินทร์จึงรีบพากันไปยังสถานที่ที่อยู่ของเกลียวทองทันที

“อะไรจะเกิด…ก็..ให้เกิดเถอะ ไม่เช่นนั้นพวกเราจะต้องทนทรมานจนเสียสติ…ไม่ก็ตายก่อนแน่”เพชราหูเสนอด้วยน้ำเสียงที่ไม่ราบรื่นจากความทรมาน
“จะให้ใช้พลังเพื่อเรียกให้พวกนั้น…ยกโขยงกันมาที่นี่นี่นะ” พุทธรัตน์ฟังความเห็นก็รู้ว่าสหายร่วมทุกข์คิดจะใช้วิธีที่เสี่ยงเข้าให้แล้ว
“มันไม่มีวิธีอื่นต้องใช้วิธีนี้แล้วล่ะ” จันลักษณ์เห็นด้วยกับความคิดนี้
 “เราไม่เห็นด้วย” จันทราภาห่วงอันตรายต่อจากนี้ หากว่าใช้พลังมาช่วยก็ไม่แน่ว่าอาจเสริมพลังให้ดอกไม้นั่นเหมือนกับธำมรงค์แก้วศุภร
“พวกเจ้ากลัวอะไร ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ….ไม่ใช้วิธีนี้ก็ไม่เหลือทางให้แก้แล้วนะ” เมธาวีช่วยเสริม
“พวกเราไม่ได้กลัว แต่พวกเราเพิ่งจะประสบเคราะห์มาจะให้วางใจได้ยังไงว่าจะปลอดภัย… ลำพังพวกเราน่ะไม่หรอกแต่พวกเจ้านี่สิ..”ศนิวารเป็นห่วงสหาย คืนนั้นก็กลายเป็นแก้วไปคราหนึ่งแล้วไม่อยากให้เสี่ยงอีก
“พวกเจ้ามันขี้ขลาดตาขาวมากกว่า อย่า..มา..อ้าง”ปัทมาสน์ต่อว่าด้วยโทสะ
“นี่เจ้า!!พวกเราไม่ได้ขี้ขลาด..ใครจะทำอะไรวู่วามไร้ความคิดอย่างพวกเจ้ากันล่ะ” ประกายพฤกษ์ได้ยินคำกล่าวว่าก็ฉุนขาดเหมือนกัน
“พอกันสักทีเถอะ!!!”เสียงดุดันมาจากผู้ที่จิตใจของคนสงบอย่างภูมินทร์กับจินดา ทำให้บทสนทนาที่กำลังจะดุเดือดจบลงด้วยความเงียบที่ไม่เกิดขึ้นอีก นี่คงเป็นเหตุการณ์ที่สุดจะทน
อาจจะเป็นที่พิษทำให้คนอารมณ์แปรปรวนจนเกือบแย่จริงๆไปจนถึงจิตวิปลาสได้ทีเดียว เพราะคนธรรมดาโดนพิษพวกนี้ก็ตายไม่ทันนับเวลาแล้ว พอเป็นผู้ที่สามารถทนได้กับความตายก็เลยส่งโทษให้ความคิดเริ่มก้าวร้าวขึ้นเรื่อยๆจากความเห็นที่ไม่ลงรอยกรณีที่มีผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่สองคนขึ้นไป

“พวกเจ้านี่มันดวงแข็งจริงๆ  แต่ดูท่าว่าจะดวงแข็งได้ไม่นานนักหรอกธานินทร์เมื่อมาถึงก็เห็นสภาพร่างกายที่ไม่ค่อยดีของพวกศัตรูก็อดจะสะใจไม่ได้
“พวกเจ้า!!” อัญญานีใช้มืออีกข้างส่งพลังไปพันธนาการให้เหมือนกับแม่มดที่ตะเกียกตะกายด้วยความทรมาน
“พลังแค่นี้ริอาจมาสู้พวกเรา!!” อัคนินใช้สังวาลโจมตีอัญญานีจนพลาดท่าเจ็บเข้าให้แล้ว
“พระแม่เจ้า ไม่ใช่ว่าพระนางทรงประทับอยู่กับพระเทวาวิษุวัตหรอกหรือพระเจ้าค่ะ”ธานินทร์ต้องตกใจอยู่แล้วก็เพราะว่าก่อนที่เขาจะลงมาแดนมนุษย์ตนก็อยู่บนงามชมดอกไม้สวรรค์
“เราไม่ใช่นาง ไม่มีวันเป็นนาง” เธอที่ใช้พลังจิตเชื่อมกับของวิเศษมากไปก็อ่อนแรงลงเมื่อถูกทำร้ายด้วยอาวุธวิเศษที่มีฤทธิ์มากกว่าจึงไม่แปลกที่จะบาดเจ็บเข้าให้ “นี่ยังไงล่ะสหายพวกเราโดนทำร้ายบาดเจ็บไปแล้ว อย่ามัวแต่รีรอเลย”ศุภลักษณ์กล่าว
“พวกเรามาใช้พลังกันเถอะ ตายเป็นตายไม่ต้องลังเล”สุริยะกล่าวเช่นนั้นทั้งหมดก็เห็นพ้องต้องกันว่าต้องร่วมมือกันสู้เสียแล้ว
“ถ้าร้องงว่าดึงให้รีบดึงดอกไม้ขึ้นพร้อมกันเลยนะ”แสงสุรีย์กล่าวก่อนที่จะรับการต่อศัตรู
“คิดเหรอว่าครั้งนี้จะรอดไปได้!!”บดิศรใช้พลังจากเกราะเหล็กมุ่งทำร้ายพวกเกราะกายสิทธิ์ให้วอดวายแต่ว่าก็มีพระขรรค์ได้เรียกจากพลังเกราะของอังคาสมาขัดขวางไว้  บดิศรจึงแบ่งพลังไปสู้สกัดกับพระขรรค์แล้วตัวเองก็เข้าสู้ระยะประชิดกับอริ
“เจ้านึกเหรอตัวเจ้าเองจะรอด!!”อังคาสหลบการซัดหมักจากบดิศร ขาซ้ายนั้นตั้งมั่นอยู่แล้วใช้ขาขวาเตะให้อีกฝ่ายล้มไป
“ตายยากตายเย็นจริงๆนะไอ้พวกลูกนอกไส้!!” อัคนินวิ่งเข้ามาจะปะทะโดยตรงก่อนที่จะใช้พลังจากสังวาลย์ศิลา
“ว่าเขาไปทั่วเป็นเองรึเปล่า!!” จันทลักษณ์ใช้หอกจากพลังสังวาลซัดใส่อริ อีกฝ่ายวิ่งมาเร็วจึงเสียจังหวะเลยต้องใช้พลังตั้งรับอนุภาพอาวุธนี้
“ดึง!!”ทั้งอังคาสและจันทลักษณ์ใช้จังหวะที่ฝ่ายตรงข้ามพลาดท่าดึงต้นไม้ขึ้นคราวนี้พิษเริ่มหายจากตัวของพวกเขาเถาที่พันตัวก็กลับไปยังต้น ต้นเริ่มขยับขึ้นจากดินแล้วคาดว่าดึงอีกไม่กี่ครั้งก็สามารถเอาชีวิตของแม่มดเกลียวทองได้แน่
------------------------------อัพเดตทุกวันอาทิตย์ประมาณ20.00น.ค่ะ สัปดาห์นี้มีสอบเลยเขียนได้ไม่เยอะมากต้องขออภัยด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มกราคม 16, 2022, 08:53:48 PM
“พระเทวาวิษุวัตโปรดประทานอภัยโทษให้หม่อมฉันด้วยเถอะพระเจ้าค่ะ!!”ในงานชมดอกไม้ขณะที่สำราญกับสุรารสเลิศอยู่นั้น ไม่ทันไรติณกฤตก็พรวดพราดคุกเข่าเอาเสียนายเหนือหัวไม่ทันตั้งตัว
“เป็นอะไรไป เจ้าทำอะไรผิดงั้นรึ ตั้งแต่เจ้าเข้ามาพบเราก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่เจ้าทำพลาดนี่” ก็จริงดังว่า เขาน่ะออกจะถูกใจอีกคนด้วยซ้ำ แต่ว่ามีข้อผิดพลาดอะไรถึงไม่กล้าบอกจนต้องมาพูดวันนี้
“ในตอนแรกที่หม่อมฉันมาพบพระองค์เพราะเป็นประสงค์ของบิดาหม่อมฉันจึงช่วยปกปิดความลับเอาไว้ ภายหลังหม่อมฉันคิดทบทวนดีแล้วจึงเปลี่ยนฝ่ายกระทำสิ่งที่ไม่มีใครทำลงไป แต่นั่นก็ไม่อาจจะลบล้างความรู้สึกผิดในใจของหม่อมฉันได้ เรื่องนั้นก็คือสุริยะกับแสงสุรีย์ยังมีชีวิตอยู่พระเจ้าค่ะ” เขาก้มหน้าเล่าความ นี่มันเป็นเรื่องใหญ่นักถ้าไม่ยอมบอกก่อนล่ะก็คงโดนโทษหนักกว่าเดิมแน่ฐานปกปิดความลับ
“เจ้าว่ายังไงนะ!! เจ้ารู้จักพวกนั้นและยังรู้ด้วยว่ายังมีชีวิตอยู่ ทำไมถึงได้บอกช้าอย่างนี้ เจ้าอยากตายนักใช่มั้ย!!”เขารู้สึกโมโหขั้นสุดที่รู้ว่าศัตรูยังไม่ได้จากโลกนี้ไป อีกทั้งคนที่ไว้ใจไม่คิดที่จะบอกกล่าวจนเวลาผ่านไปเช่นนี้
“พระเจ้าค่ะ แสงสุรีย์เป็นศิษย์ร่วมสำนักของหม่อมฉัน ในตอนแรกหม่อมฉันมีใจคิดช่วยเหลือนางกับสหาย แต่คราวนี้หม่อมฉันคิดได้แล้วว่าไม่มีใครจะสำคัญไปกว่าการที่ได้รับใช้พระองค์” เขาไม่มีคำแก้ตัวอะไร ถ้าในตอนนั้นนึกถึงอำนาจได้เร็วกว่านี้คงไม่ต้องมีปัญหาภายหลังแล้ว
“พระทัยเย็นก่อนเถอะเพคะ ติณกฤตเขาคงไม่ได้ตั้งใจ ลำพังสังหารบุพการีก็รู้สึกผิดเต็มทนแล้วยังจะสหายอีก เพียงเท่านี้ความหนักใจทั้งหมดนี่ก็พอจะทำให้เขาไขว้เขวไปบ้าง แต่ก็ยังดีนะเพคะที่เขาคิดได้” อัญญานีตัวปลอมได้ปรามเอาไว้ ตัวจริงก็ไม่ได้สร้างให้ไร้รู้สึกถึงขนาดแบ่งความรู้สึกผิดชอบชั่วดีส่วนตัวใส่ลงไปเผื่อจะช่วยชีวิตใครจากความโมโหของเทพวิษุวัตได้บ้าง
“เอาเถอะ แล้วทีนี้พวกนั้นอยู่ที่ไหนแล้ว”
“พวกนั้น….”
“พระเทวาพระเจ้าค่ะ เกิดเรื่องแล้วพระเจ้าค่ะ!!”ธานินทร์ใช้จังหวะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังต่อสู้อยู่ใต้ดินศาศวัตบุรีหายตัวขึ้นมาทูลต่อนายเหนือหัวเพื่อจะได้นำกำลังเสริมไปต่อกร
“มีเรื่องอะไรอีกล่ะ!!!” ก่อนหน้าเพิ่งจะลาลงไปรับคนรักษาสิ่งวิเศษแท้กลับมีปัญหามาเพิ่มได้ แค่เรื่องศัตรูมีชีวิตรอดก็ปวดเศียรเวียนเกล้าพออยู่แล้ว
“พวกเกราะกายสิทธิ์กับสังวาลมณียังไม่ตายและตอนนี้กำลังสู้บดิศรกับอัคนินอยู่เพื่อจะทำลายดวงใจแม่มดเกลียวทองล้างอักษรสาปพระเจ้าค่ะ” เขารีบรายงานเหตุการณ์ที่ได้พบ
“ดี เราจะได้กำจัดพวกนั้นให้สิ้นซาก” เขารู้สึกยินดีที่จะได้พบศัตรูทันทีหลังจากที่ได้ทราบเรื่องการมีชีวิตรอด ครั้งนี้ล่ะจะได้เห็นกันจริงๆว่าตายต่อหน้าไม่พลาดอีก
“อีกอย่างพระแม่เจ้าก็ประทับที่นั่นด้วยเช่นกันพระเจ้าค่ะ” เขาเกือบลืมเรื่องสำคัญไป  ถึงจะสับสนอยู่บ้างแต่ก็ต้องทูลไปก่อนเพื่อรอตรวจสอบ
“อะไรกันเราอยู่ที่นี่จะไปอยู่ที่อื่นในเวลาเดียวกันได้ยังไง!!”เธออารมณ์ขึ้นทันที อย่างนี้เธอก็โกหกต่อไปยากน่ะสิ
“หม่อมฉันว่าไปที่นั่นกันก่อนดีกว่าพระเจ้าค่ะ ส่วนเรื่องพระชายาทรงได้ทราบแน่” นาคาหนุ่มเสนอ นี่ไม่ใช่เวลาจะมาเถียงกัน สำคัญสุดก็คือกำจัดศัตรูสิถึงจะถูก
………….
“ธานินทร์หายตัวไปตามเทพวิษุวัตแล้ว อัญญานีเจ้าไปก่อน” เมธาวีพูดในใจกับอัญญานีหลังจากที่ออกมาเพื่อรับการต่อสู้
“แต่ว่า..” เธอไม่อยากจะทิ้งเหล่าสหายไปเลย
“ไม่มีเวลาแล้ว ไป!!” เธอพูดในใจพร้อมกับถีบร่างของอัคนิน
“จันทราภาเจ้าคิดว่าเจ้าแน่กว่าเรานักเหรอ ในพี่น้องทั้งหมดเจ้าน่ะอ่อนแอที่สุดแล้ว” บดิศรคว้าข้อมือของพี่หญิงได้หลังจากที่หลบการโจมตี กำลังแค่นี้จะไปสู้อะไรได้ เอาใช้กำลังฉุดกระชากอีกคนให้ออกจากต้นไม้สารพัดพิษ แต่ด้วยหนามที่ฝังลึกที่ข้อแขนทำให้เคลื่อนไหวไปได้ไม่มากนัก
“ปล่อยเรานะ!!” จันทราภาราวกับจะถูกฉีกกระชากเป็นสองซีกอยู่แล้ว ร่างกายที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็จวนจะไม่ไหวจนต้องกระอักเลือดออกมา
“ทำไมไม่เรียกพรรคพวกเจ้าออกมาแทนล่ะ  เจ้าก็หลบด้านในไม่ต้องออกมา” เขาออกแรงดึงมากขึ้นอีก ตอนแรกก็กะแค่ดึงให้พ้นจากดอกไม้พิษ แต่ในเมื่อออกจากดอกไม้นั่นไม่ได้ก็ให้ร่างมันฉีกออกไปเลยก็แล้วกัน

“อัคนิน เจ้ามีปัญญาแค่นี้รึยังไง” เธอท้าทายคู่ต่อสู้
“พูดไปเถอะเจ้าน่ะ!!” เขาที่ทำท่าจะเข้าชกระยะประชิดอยู่ดีๆก็รีบถอยออกเปลี่ยนเป็นเตะเพื่อให้อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว
“สหายสอนมาดีสิท่า” ยังดีที่เธอขยับตัวใช้แขนอีกข้างรับได้ทันก็เลยแก้สถานการณ์โดยพลิกขาของอัคนินจนเจ้าตัวต้องบิดตัวตามเพื่อไม่ให้ขาหักแต่หารู้ไม่ว่าในจังหวะที่บิดตัวนั่นเกิดช่องว่างให้เมธาวีผลักขาเขาออกพร้อมกับตอกตะปูที่สร้างจากพลังลงยังบริเวณเอ็นร้อยหวายของอีกฝั่ง
“เจ้ามันไร้ยางอาย ใช้วิธีลอบกัดข้า!!” เขาล้มกองกับพื้นด้วยความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นบริเวณข้อเท้าด้านหลัง ก็ไม่วายจะลุกมานั่งชี้หน้าว่าอีกคน
“เราว่าถ้าเจ้ามีโอกาสคงจะทำเหมือนกันนั่นล่ะ” เธอตอบกลับแล้วก็ไปให้ความสนใจกับสหายตนดีกว่า เพราะยังไงอีกฝ่ายก็ต้องรักษาอาการเจ็บก่อนไม่ได้มาสนใจเธอแน่

“เลิกถ่วงคนอื่นแล้วหลบไปได้แล้ว กะจะให้พี่น้องเจ้าตายเพราะความอ่อนแอเจ้ารึยังไง” บดิศรกล่าวว่าอีกคน
“ถึงเราจะไม่ได้แข็งแกร่งเท่าพี่น้องคนอื่น แต่เราก็ไม่ใช่ตัวถ่วง” ในที่สุดการที่เธอขัดขืนไปมาประกอบกับการทำเป็นฟังการต่อว่าของอีกฝ่ายทำให้สบโอกาบิดแขนลงไปใต้ข้อมืออีกคนออกด้านนอกทำให้หลุดจากจากจับและอาศัยขังหวะนั้นดีดลูกพลังที่ดูเท่ากับไข่มุกเข้าอกซ้ายของบดิศร หลังจากนั้นจันทราภาก็ขยับตัวไปใกล้ต้นไม้อีกครั้งพร้อมกับพยักหน้าเป็นสัญญาณบ่งบอกความพร้อม
“ดึง!!” คราวนี้ใบผกากรองได้หลุดออกจากผิวหนังพิษที่มาพร้อมกันก็ไปพร้อมกันอย่างนั้น

“เป็นพวกเจ้าจริงๆด้วย เราจำได้ว่าอาวุธของพวกเจ้าถูกทำลายไปก่อนหน้าแล้วไม่ใช่เหรอ”  เทพวิษุวัตมาเห็นกับตาว่าสิ่งวิเศษยังอยู่ครบอย่างนั้นก็ฉงนใจไม่น้อย อีกทั้งผู้ที่อยู่เบื้องหน้าก็เป็นคนต่างวันกันอีก นี่มันเรื่องอะไรกันแน่
“จะว่าใช่ก็ใช่ แต่จะว่าไงดีล่ะก็ของมันไม่ได้เก๊อะไรเหมือนอาวุธที่ท่านมอบให้สองคนนั้นนี่” ศุภลักษณ์ตอบคำถามด้วยท่าทางครุ่นคิดแต่นั่นก็แค่ต้องการกวนใจอีกฝ่ายมากกว่า
“อย่าได้จองเวรจองกรรมกันอีกต่อไปเลยนะพระเจ้าค่ะ”ภูมินทร์ขอร้องเขาเผื่อจะเปลี่ยนใจสักครั้งจะได้ไม่ต้องมาเสียแรงฆ่าแกงกันอีก
“อ้าวติณกฤตเจ้าเลือกไปอีกฝั่งแล้วเหรอ ทำไมไม่มาช่วยสหายรักล่ะ เลิกใส่หน้ากากแล้วมาช่วยพวกเราได้แล้ว”เขาเห็นสหายร่วมสำนักก็อดทักทายไม่ได้ แต่หารู้ไม่ว่าเพื่อนคนนี้ได้เลือกข้างเรียบร้อยแล้ว
“ไม่ต้องมาพูดพร่ำ” เขาใช้ทวนวงเดือนกรีดฟ้าที่ได้มาจากดินแดนมังกรพร้อมกับใช้วิชาวายุเคลื่อนเร่งความเร็วเข้าแทงกลางอกของศุภลักษณ์ในทันที อีกคนเพิ่งจะจับสังเกตได้ก็โดนแทงเข้าให้แล้ว
“เจ้าใจกล้ามากนะที่ทำเรื่องนี้” โอรสคีรีมาศกระอักเลือกด้วยความเจ็บปวดแล้วจึงเรียกเมฆหมอกมาบดบังวิสัยทัศน์รอบๆ ทำให้มองเห็นแต่ตนเอง แต่กับผู้อื่นไม่เห็นแม้แต่เงา
“ไม่เป็นอะไรใช่ไหม”ภูมินทร์ถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ต้องห่วง ขอบทสวดดีๆสักบทสิ เราชักเบื่อๆแล้ว” เขาใช้มือดึงเอาทวนออกจากร่างไป ถึงจะเจ็บไปบ้างแต่ยังดีที่ไม่มีดวงใจเลยไม่ถึงตาย
“ได้..” ภูมินทร์ได้สวดบทสุราโฆรวิสปรากฏอักษรวนรอบไปทั่วเคลื่อนตัวไปเข้าถึงเนตรถึงกรรณของวิษุวัตและบริวารที่เป็นเทวดา เพราะว่าฤษีอนุชิตได้สอนมนต์นี้ไว้ใช้กับเทวดาที่ประพฤติตนไม่เหมาะสม ในเมื่อชอบสุรานักก็ให้รับความทรมานจากสุราสวรรค์นี่ล่ะ
“ขอยืมของหน่อยแล้วกัน”ศุภลักษณ์หยิบใบผกากรองจากพื้นแล้วจึงใช้พลังสร้างภาพมายาซ้อนว่าเป็นพวกเขาสองคนอีกที
“เท่านี้น่าจะพอแล้วล่ะ” โอรสรัตนบุรีกล่าวแล้วทั้งสองก็ทำการดึงต้นไม้พิษพร้อมกัน ครานี้หนามที่ฝังยึดพวกเขาได้เป็นหนามที่แทงธรรมดาแล้ว
บดิศรที่รักษาเอาพลังออกจากร่างได้ก็ใช้พลังจากเกราะเปิดม่านหมอกที่ปกคลุมออก อัคนินที่เห็นว่าเปลี่ยนคนก็ใช้สังวาลศิลาพุ่งพลังหวังจะทำร้ายแต่พลังกลับกระจายออกทั่วไปซ้ำเติมเหล่าเทวดาที่ทรมานกับคาถาของพระโอรสวันพฤหัสอยู่
“นี่เป็นมนต์มายากระจายพลัง พวกเจ้าใช้ของวิเศษทำลายซ้ายขวา เดี๋ยวเราจะทำลายตรงกลางเอง” ตอนนี้ไม่มีเวลามาเถียงกันทั้งสามจึงร่วมมือทำลายมายานั้นลงเสีย เขาใช้ลูกตุ้มดาราพ่ายเหวี่ยงไปตีกับภาพมายานั้น
“ตอนนี้ล่ะเพชรราหู” เพชรราหูรู้สัญญาณจากสหายก็ใช้มนต์พันธนาการสร้างโซ่ดึงทั้งสามที่กำลังวุ่นกับการทำลายภาพมายาจากด้านล่าง
“จัดการต่อเลยศนิวาร”  สหายเรียกหลักศิลามาให้ ถึงแม้ศัตรูจะไม่อยู่ใกล้ตนในระยะประชิดแต่เขาก็สามารถส่งต่อความเย็นจากคฑาวุธได้ เขาใช้มือจับคฑาวุธมั่นแล้วจึงตีลงหลักศิลาทำให้ทั้งสามนั่นถูกแช่แข็ง เขากำลังจะตีซ้ำอีกครั้งเพื่อเป็ฯการสังหารแต่ว่าพวกเทวดาที่พ้นจากบทสวดแล้วได้เข้ามาได้เสียก่อน จึงได้มีการต่อสู้กัน ฝั่งเพชรราหูใช้กรงขังพวกที่มายุ่มย่ามกับตนได้ ศนิวารนั้นใช้คฑาเหวี่ยงเอาพลังจากเกราะกายสิทธิ์มาซัดใส่พวกเทวดาที่มายุ่งกับตนเช่นกัน
“ดึง!!”ทั้งสองพากันดึง คราวนี้หนามไม้รับแขกหายไปแล้วเป็นเพียงลำต้นธรรมดาแถมดวงใจยังออกมาเหนือดินได้ส่วนหนึ่งแล้ว

“พวกเจ้าไม่เป็นอะไรมากใช่มั้ย” ธานินทร์เข้ามาละลายน้ำแข็งจากร่างของทั้งสามที่โดนฤทธิ์ฝ่ายตรงข้ามกระทำ
“ไม่หรอก” บดิศรกล่าว
“มันต้องแก้แค้น!!” บดิศรพุ่งพลังไปยังจินดาในขณะที่เพิ่งเปลี่ยนคนมาได้ประเดี๋ยวเดียว เธอกำลังเรียกอาวุธมาจึงใช้แขนซ้ายยกกันจนบาดเจ็บ
“ฮ่าๆ นี่เหรอที่เรียกกันว่ามันสมองของกลุ่ม ไร้สาระสิ้นดี”เขาซัดพลังใส่ไม่ยั้งโดยหารู้ไม่ว่าคราวนี้นางได้นำกระจกวิเศษมาตั้งรับเข้าแล้ว กระจกนั้นท้อนพลังที่ได้รับมาทั้งหมดกลับคืนสู่เจ้าของจนเหมือนกับถูกดินระเบิดนับร้อย
ฝ่ายพุทธรัตน์ก็เข้าชกต่อยกับบดิศรกันอย่างดุเดือด ติณกฤตได้จังหวะโจมตีจากด้านหลังของทั้งสองคน แต่ว่าพุทธรัตน์ไหวตัวทันจึงเรียกธนูมายิงคืน ธนูที่ใช้คราวนี้มันตามเป้าหมายที่คิดไว้ เธอยิงทีเดียวสามดอกทั้งสามดอกนั่นก็ไปเข้าทำร้ายทั้งสามคนนั้นจนบาดเจ็บ จินดาได้จังหวะจึงใช้กระจกสร้างมนต์สะท้อนตัวให้กับเหล่ากองกำลังที่มาช่วยสมทบทำให้ต้องสู้กับตัวเองไปสักพัก
เทพวิษุวัตไม่อยากจะสู้กับคนพวกนี้ คนเดียวที่จะสู้ก็คือสุริยะคนเดียว เพราะถ้าสุริยะตายคนพวกนี้ก็ไม่เหลือชีวิตเหมือนกัน ส่วนแสงสุรีย์น่ะเหรอ รายนั้นใจเสียง่ายคงไม่มีแรงใจจะสู้ก็ยอมแพ้ไปเอง ส่วนดวงใจของเกลียวทองไม่ได้สำคัญกับเขาสักนิด
ทั้งจินดากับพุทธรัตน์ดึงดอกไม้ขึ้นอีกคราวนี้ ดวงใจของเกลียวทองก็ขึ้นมาได้ครึ่งนึงแล้ว
“ย..อย่า..เราทรมานเหลือเกิน” หญิงสาวไม่มีอีกต่อไปแล้วหากแต่มีหญิงชราภาพที่ใกล้จะถึงฆาตเข้าไปทุกที
“ติณกฤตเจ้ามันร้ายกาจ สหายเจ้าก็ไม่เว้น!!” เธอใช้กงจักรปาใส่สหายเก่ากะจะตัดคอคือเสียให้รู้แล้วรู้รอด กล้าดียังไงมาแทงได้ขนาดนั้น
“ปัทมาสน์!!” บดิศรที่เห็นสหายรอดกลับมาได้ก็เลยหลุดเรียกออกมา แต่ด้วยต้องเก็บความดีใจจึงเป็นการตะโกนท้าตีแทน
“ดูท่าพวกเราต้องสลับคู่ต่อสู้ซะแล้ว”ประกายพฤกษ์กล่าว เห็นทีคราวนี้ต้องลองของใหม่ๆเข้าให้แล้ว
“ก็เอาสิ”  ปัทมาสน์ซัดพลังใส่บดิศรและเปลี่ยนพลังจักรให้ปล่อยกระจายราวกับฝนตกก็ไม่ปาน แต่ฝนนี้แรงพอจะสร้างบาดแผลได้เลยทีเดียว
“สู้ต่างอาวุธอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน”อัคนินใช้พลังปะทะกับเกราะกายสิทธิ์
“ใช้ได้เลยนี่”เธอพิ่มพลังเข้าไป อัคนินมีบทเรียนมามากอยู่จึงลอบทำร้ายประกายพฤกษ์โดยการให้ตัวปลอมทำทีต่อสู้แล้วลอบโจมตีด้านหลัง แต่เธอรู้ทันจึงตีศอกใส่อีกคน
“จะทำอะไรก็รีบทำไปก่อนเถอะน่า สีหน้าตอนนี้เจ้าไม่ดีเลย เราจะช่วยเบี่ยงความสนใจให้” เขาลอบพูดในใจกับสหายขณะปะทะระยะประชิดกัน เพราะเห็นอีกคนเห็นจะเสียเลือดที่กรรณอยู่ด้วย
“ว่าไงนะ ช่างเถอะหลังเสร็จจากตรงนี้แล้วเจอกันใหม่” เพื่อนคนนี้เสมอต้นปลายจริงๆ เธอใช้แรงถีบอีกคนไปชนกับอัคนิน ติณกฤตที่รับมือกับจักรอยู่นั้นสอดมือเข้ามาสู้ไม่ได้ด้วยสิ
“ดึง!!!” ดวงใจของแม่มดเกลียวทองออกมาแล้ว
“อินทราณีเราขอโทษ เราไม่ได้ตั้งใจ ไม่ เรายัง…ยังไม่อยากตาย” เกลียวทองเห็นภาพหลอนของสหายเก่าจะมาเอาชีวิต
“สะสางเรื่องนี้กันเถอะ” แสงสุรีย์กล่าวกับสุริยะแล้วทั้งสองก็ใช้มือคนละข้างบีบดวงใจของเกลียวทองไปในทันที
“เกลียวทอง การมีอยู่ของเจ้าแต่เดิมเราก็นึกว่าเป็นเรื่องดี แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว เจ้าชิงทุกอย่างไปจากเรา ทำให้เราต้องทนทุกข์ทรมาน เจ้าไม่สมควรมีชีวิตอีกต่อไป ชาติหน้าชาติไหนอย่าได้เจอกันอีกเลย” สิ้นคำกล่าวในห้วงความคิด ชีวิตหญิงชราอย่างเกลียวทองก็สิ้นใจไปพร้อมกับความรู้สึกผิดในใจที่แก้ไขไม่ได้อีกตลอดกาล

 ---------------------------------------------------------------------------------------ทุกวันอาทิตย์เวลาประมาณ20.00น.
จักรกรดเพิ่งกลับจากธุระจึงมาอัพเดตช้าต้องขออภัยด้วยนะคะ  ต้องขออภัยในการจัดสรรเวลาที่ไม่เพียงพอจึงอาจแต่งได้ไม่มากนักแต่จะพยายามแต่งรายสัปดาห์อัพเดตไปเรื่อยๆนะคะ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านเรื่องนี้เป็นอย่างสูงค่ะTT
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มกราคม 23, 2022, 08:36:37 PM
“เราคิดว่าจะไม่ได้เห็นสิ่งวิเศษทั้งสองอยู่ในโลกใบนี้อีกแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะว่ามีวิชชุนาคราช พวกเจ้ามีปัญญาหาวิธีรักษาของพวกนี้ได้ที่ไหน” เทพวิษุวัตที่เฝ้าดูเหตุการณ์มาตลอด ในที่สุดก็ได้กล่าวออกมาแล้ว
“ในเมื่อพระองค์ไม่ได้ทรงคิดว่าพวกหม่อมฉันจะมีปัญญา แล้วเหตุใดจะต้องให้แม่มดเกลียวทองใช้วิธีลอบลงอักษรสาปด้วยล่ะเพคะ” แสงสุรีย์ได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวขึ้นมา ลำพังถ้าทำลายสิ่งวิเศษทั้งสองแล้วเธอกับสหายก็เป็นคนที่ลำบากกว่าคนธรรมดาแล้ว แม้นจะมีวิชาติดตัวแต่ว่าคงไม่มีแรงจะไปต่อสู้กับอีกฝั่งที่มีของวิเศษครบมือวิชาแก่กล้าเช่นนั้นได้หรอก
“เราไม่ได้สั่งให้นางทำ นางทำของนางเอง แต่เพื่อเป็นการตัดรากถอนโคนเราก็ไม่เห็นว่าจะผิดอะไรเพราะฤษีอาจารย์ของพวกเจ้าคงจะหาวิธีให้พวกเจ้าไว้อยู่พอสมควร กันไว้ดีกว่าแก้”
“หม่อมฉันไม่เห็นด้วยว่าจะต้องทำถึงขั้นนั้น ทำไมพวกเราไม่สู้กันอย่างยุติธรรมให้เรื่องมันจบแค่ตรงนี้ล่ะพระเจ้าค่ะ ”  สุริยะอยากจะจัดการเรื่องนี้ต่อเหมือนกันจะได้หมดเรื่องหมดราวกันสักที
“เจ้าออกปากท้าเราเองนะสุริยะ” เมื่อกล่าวจบ พระเทวาท่านก็ใช้พลังโจมตีสองสหายในทันที ส่งบนให้พื้นดินด้านบนถล่มลงมาจนแสงอาทิตย์แห่งวันใหม่เข้ามา ดีที่ฝ่ายที่ถูกโจมตีหลบได้เสีย ทั้งหมดจึงพากันขึ้นไปสู้ต่อที่ด้านบนต่อ
“เราอยากจะรู้นักว่าคราวนี้เกราะกายสิทธิ์กับสังวาลย์มณีจะมีฤทธิ์เทียบเท่ากับเมื่อก่อนได้หรือไม่” ว่าแล้วเทพวิษุวัตก็ยกพระหัตถ์ซ้ายมาตั้งเท่าพระอุระ ดันพลังสีกรมท่าส่งไปด้านหน้า ลำพังจากฝ่ามือก็ดูเล็กจากหรอก แต่มันกลับขยายใหญ่ราวกับมังกรพ่นไฟ
 อีกฝ่ายก็ตั้งรับโดยการเรียกใช้พลังจากสิ่งวิเศษประจำกาย สุริยะกำหมัดนำแขนมากันไว้เป็นรูปกากบาทรับพลังก่อนแล้วจึงแยกแขนออกด้านข้าง ปลดปล่อยพลังสีแดงทับทิมจากเกราะกายสิทธิ์ตอบโต้ แสงสุรีย์ยกแขนซ้ายมาบังพลังไว้ก่อนที่จะใช้มือขวาปลดดึงเอาสังวาลย์มณีออกมาถือต้านพลังอีกแรง
“รู้สึกว่าตอนเด็กจะรับพลังไม่ได้มากเท่านี้นะ” โอรสเมืองรัตนบุรีกล่าว
“ตอนนั้นพวกเรายังเด็ก” ธิดาเมืองคีรีมาศตอบ
“อีกอย่างที่เราคิดคือ อาจจะเป็นเพราะการรักษาด้วยที่ทำให้พลังกล้าแกร่ง” เขาพูดความเห็นเพิ่มเติม
“เราเห็นด้วย”
“พวกเจ้าอย่าคิดว่าพลังของพวกเจ้าดีขึ้นมาเกินไปหน่อยเลย”ว่าแล้วองค์เทพก็ใช้พระหัตถ์ขวาเรียกเอาหินฐานบางส่วนจากใต้พื้นดินออกมาโจมตีทั้งสองอีกทาง
“ว่าแล้วท่านต้องใช้วิธีนี้!!” ปัทมาสน์ออกมาใช้กงจักรต้านหินฐานกระเด็นกระดอนไปทั่ว
“เห็นทีต้องผลัดกันใช้พลังเข้าสู้แล้วล่ะ” สุริยะกล่าว เดิมทีก็กะจะสู้ด้วยกันแค่สองคน แต่ในเมื่ออีกฝ่ายจะทำเช่นนี้ก็ไม่มีประโยชน์จะปล่อยนพลังปะทะกันเพียงเท่านี้หรอก
“ล้อมวง!!” ทั้งจันทราภาและอัคนินพูดพร้อมกันเพราะต่างฝ่ายต่างก็จะใช้วิธีนี้ต่อต้านฝ่ายตรงข้าม ฝ่ายนึงจะวิ่งล้อมวง อีกฝ่ายจะล้อมวงโจมตี
“เริ่มเลย” จันทลักษณ์กล่าวแล้วออกวิ่งเป็นวงกลมไปยังด้านซ้าย ส่วนจันทราภาไปยังด้านขวา 
คราวนี้เทพวิษุวัตจะต้องรับมือทั้งสองคนที่วิ่งล้อมตนอยู่จึงใช้พลังสร้างเกาะกำบังแเป็นดั่งฟองอากาศพร้อมกันกับที่จะส่งพลังสังหารโจมตีไปในตัว
จันทลักษณ์ใช้มือซ้ายถือสังวาลย์ส่งพลังเข้ากรีดเกราะกำบังของเทพวิษุวัตในขณะที่วิ่งเป็นวงกลม ส่วนจันทราภาก็ส่งพลังจากเกราะไปยังฝ่ามือซัดพลังใส่ขณะที่วิ่งอยู่เช่นกัน พวกบริวารของเทพหรือจะทนดูเฉยๆได้ก็ได้ใช้พลังโจมตีพร้อมกัน สตรีวันจันทร์ได้ดีดลูกพลังเข้าที่กลางท้องของอัคนิน บุรุษวันจันทร์ก็วิ่งสวนทางกับสหายมาใช้หอกหมุนรับพลังแทนแล้วจึงขว้างใส่บดิศร ในช่วงชุลมุนก็มีลูกธนูนับพันออกมาจากพลังของเทพวิษุวัต เอาเสียคนด้านนอกทั้งศัตรูและบริวารตั้งตัวกันเกือบไม่ทัน
อังคาสอาศัยจังหวะที่หลบลูกธนูได้แล้วจึงใช้พระขรรค์แทงเข้าที่เกราะกำบังนั้นพร้อมกับวิ่งไปด้านบนวงกลมนั้นตั้งกรีดให้พลีงมีช่องว่าง ติณกฤตเห็นเช่นนั้นก็พ่นพิษนาคาออกมาจากปาก ประสงค์ให้ศัตรูถึงฆาต ยักษีสหายเก่าเห็นการกระทำนี้จึงเข้าป้องกันฝ่ายตัวเองโดยการใช้จักรต้านไว้ ด้วยวงหมุนของจักรนั่นทำให้พ่นกระจายไปถูกอัคนินและบดิศรแทน
“ขอบใจ แต่เราไม่ได้ขอให้ช่วย” อังคาสกล่าวกับอีกคนอย่างไม่ค่อยพอใจ
“ไม่พอใจมันก็เรื่องของเจ้า ทำอะไรก็ทำไปเถอะน่า ” ปัทมาสน์กล่าวตอบ แล้วจึงใช้พลังส่งไปช่วยทำลายอีกแรง ลูกพลังที่ล้อมตัวเทพก็เกิดไฟลุกวอด ส่งผลให้พื้นรอบๆนี่มีแต่ไฟ ทั้งหมดตอนนี้ก็ต้องกันตัวไม่ให้ยืนอยู่บนพื้นเพลิงนี้
   พุทธรัตน์ที่ลอยตัวกลางอากาศใช้ธนูยิงออกมาเป็นน้ำเย็นล้างไฟของวงกลมนั่นเสีย ส่วนเพชราหูออกมาก็ใช้พลังเรียกโซ่มาดึงขาของทั้งสามที่ล้อมพวกเขาไว้ให้ลงสู่พื้น
“เพชรราหูเจ้าฆ่าแม่ข้า ยังจะฆ่าข้าด้วยรึยังไง!!” อัคนินที่ถูกดึงลงไปถูกไฟแผดเผาก็ใช้พลังจากสังวาลย์พาตัวเองออกมาก่อนจะว่าอีกฝ่าย
“พูดออกมาได้นะเจ้าน่ะ เจ้าก็รู้เต็มอกว่าใครทำเรื่องแบบนี้ถ้าไม่ใช่ตัวของมารดาเจ้าเอง” เขาได้ฟังก็โต้ตอบ ไม่ยอมให้มากล่าวหาว่าเป็นฆาตรกรสังหารชายาของบิดาหรอกนะ อัคนินที่ได้ฟังก็แน่ใจความลับของตนกับมารดาถูกรู้เรื่องเข้าให้แล้วจึงปล่อยพลังเข้าทำร้ายอีกคน ในเวลาเดียวกันบดิศรได้จังหวะพอดีจึงปล่อยพลังเข้าทำร้ายพุทธรัตน์ แต่ทั้งสองก็หลบทัน นั่นทำให้พลังของพวกเขาเข้าไปทำลายวงกลมพลังของเทพวิษุวัตแทน
   จินดาไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ใช้พระฉายส่องไปยังวงพลังนั่นแล้วดูดพลังมาเข้าเก็บไว้ในนั้น ภูมินทร์ก็เข้ารับการรุมโจมตีของทั้งสามจากด้านนอกเพื่อกันน่าปกป้องสหายไม่ให้เป็นอันตราย  เขาส่งพลังไปยังส่วนต่างๆของร่างกายแล้วชกต่อยกับอีกสามคนอย่างไม่ลดละ ได้จังหวะก็ปล่อยพลังจากเกราะมาสู้และส่งพลังอีกส่วยไปช่วยเสริมพลังสหายอีกแรง
   ศุภลักษณ์เห็นว่าวงพลังได้หายไปก็เข้าต่อสู้กับเทพวิษุวัตทันที แต่การตอบโต้ของเทพฝ่ายตรงข้ามก็ทำเจ็บตัวไม่น้อย เขาล้มลงแต่ด้วยการช่วยเหลือของประกายพรึก จึงลุกขึ้นสู้ได้อีกครั้ง ทั้งสองใช้พลังจากสิ่งที่สวมใส่เข้าต่อกรกันเทพวิษุวัต
   ศนิวารกับเมธาวีออกมาได้ก็ใช้พลังต่อต้านอีกฝ่ายในทันที สามคนที่ฟื้นตัวได้ก็เข้ามารุมกระพวกเขาจากด้านหลัง แต่ด้วยคฑาวิเศษจากพลังของศนิวารก็คอนสกัดเอาไว้ได้ สุดท้ายแล้วเทพวิษุวัตก็อ่อนแรงจนทรุดลงกับพื้น
“พระองค์!!” สุริยะเผลอเรียกด้วยความเป็นห่วง เพราะอย่างไรก็เคยร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมาก่อน
“อย่าใจอ่อนนะสุริยะ” แสงสุรีย์เตือนสติสหาย ตอนนี้ศัตรูก็คือศัตรูกลับไปเป็นมิตรไม่ได้
“แต่ยังไงพวกเราก็ทำร้ายผู้ที่บาดเจ็บไม่ได้หรอกนะ”
“ใครว่าเราบาดเจ็บล่ะ” เทพวิษุวัตใช้ความใจอ่อนของอีกฝ่ายให้มีจังหวะในการโจมตี เขาไม่รอช้าใช้พลังโจมตีทั้งคู่ในทันที ทั้งคู่ที่ไม่ทันระวังก็โดนจัดการได้เสียทีหนึ่ง 
“วันนี้ของพวกนี้ต้องเป็นของเรา” ว่าแล้วเขาก็ใช้พลังเพื่อที่จะถอดเอาสิ่งวิเศษของฝ่ายตรงข้ามออกมา นั่นทำให้เกิดความเจ็บปวดแก่คนทั้งสิบสี่คนเป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่ยอมให้ใครชิงไปได้ จึงฝืนใช้พลังต่อสู้ทั้งที่เจ็บปวด ด้วยพลังที่จู่ๆก็พวยพุ่งออกมา มันก็พอทำให้เทพวิษุวัตก็ต้องเสียท่าบาดเจ็บที่พระพาหาจนได้
“รักษาชีวิตไว้ก่อนเถอะ เรื่องสะสางไว้ค่อยว่ากัน” เพชรราหูกล่าวเช่นนั้นแล้วก็จับมือสหายหายพากันหายตัวกลับไปยังป่าหิมพานต์ในทันที
นี่อาจเป็นเพราะช่วงสิบปีนี้เทพวิษุวัตก็มีการพัฒนาฝีมือเพื่อต่อกรกับอาวุธทั้งสองเช่นกันก็เลยทำการต่อสู้ดูจะไม่ง่ายสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังดีที่ฝ่ายนั้นก็ได้รับบาดเจ็บ มันก็พอจะยื้อเวลาให้พวกเขาไปทำเรื่องอันสมควรอย่างอื่นก่อน เพื่อจะให้อาวุธทั้งสองทรงอานุภาพเฉกเช่นเมื่อคราที่พระนารายณ์อวตารทรงใช้เมื่อครั้งก่อนกาล
---------------------------------------------------------จักรกรดต้องขออภัยที่ลงช้าด้วยนะคะ เพิ่งจะกลับมาจากงานพิเศษค่ะ ครั้งต่อๆไปขอเปลี่ยนเป็นทุกวันอาทิตย์เวลา20.30น.แทนนะคะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มกราคม 30, 2022, 03:53:24 PM
เนื่องจากสัปดาห์นี้จักรกรดมีภาระงานที่ต้องสะสางและต้องจัดเตรียมงานเกี่ยวกับเทศกาลตรุษจีนจึงจัดสรรเวลาได้ไม่ดีพอ ส่งผลให้เนื้อหาค่อนข้างสั้นมากจึงของดอัพเดตในสัปดาห์นี้ และไปรวมกับสัปดาห์หน้าแทนนะคะ ต้องขออภัยท่านผู้อ่านทุกท่านอีกครั้งด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กุมภาพันธ์ 06, 2022, 08:30:03 PM
“พระโอรสพระธิดาเสด็จยังที่ใดหรือเพคะ บัวกับพวกพี่ๆตามหากันทั่วเลย” บัวแย้มที่ตามหาคนหายทั้งสามเทาไหร่ไม่ได้เจอ  ระหว่างที่ออกตามหานึกเอะใจจึงกลับมาดูที่กระท่อมเพื่อความแน่ใจ
“พวกเราไปทำลายดวงใจของแม่มดเกลียวทองมา ไม่มีอะไรน่าห่วงหรอกบัว” จันทราภาได้ยินเช่นนั้นก็พูดเพื่อลดความกังวลที่ผ่านสีหน้าของอีกฝ่าย
“ไม่มีอะไรห่วงจริงหรือเพคะ ก่อนหน้าที่จะออกตามหาบัวก็ไม่เห็นทั้งสามพระองค์อีกทั้งยังมีเลือดเต็มพื้นไปหมด” เล่นกระอักเลือดกันเกือบเป็นเกือบตายเสียขนาดนั้น การมีร่องรอยหลงเหลืออยู่ก็ไม่น่าแปลก
“อย่าห่วงเลยบัวพวกเรากลับมาปกติดีแล้ว อีกอย่างไม่มีอักษรสาปพวกนั้นยังหาพวกเราไม่เจอหรอก” จันทลักษณ์เข้าใจความห่วงใยของอีกฝ่าย ถึงจะมีบ้างที่บาดเจ็บจาการต่อสู้ แต่อาการนั้นไม่ได้แย่ถึงขั้นกึ่งเป็นกึ่งตาย
“บัวบอกว่าบัวตามหาพวกเราทั้งสามคน หมายความว่าอัญญานีไม่ได้กลับมาที่นี่งั้นหรอกเหรอ” สุริยะคิดถึงประโยคก่อนหน้าก็อดห่วงอีกคนไม่ได้
“บัวยังไม่พบพระธิดาเลยนะเพคะ…วัน..วันนี้เป็นวันจันทร์นี่เพคะ ทำไมพระโอรสุริยะถึงได้..”
“เรื่องนี้เราว่าน่าจะเป็นผลจากการที่พวกเราระลึกอดีตชาตินะ”
“บางทีนี่อาจเป็นลางที่พวกเราจะได้แยกร่างกันถาวรก็เป็นได้นะ”ศุภลักษณ์ออกความเห็น
“พระโอรส!!.....พระโอรสเจ้าขา เสด็จไหนมาเพคะ จั๊กตามหาเหนื๊ยเหนื่อย” จั๊กแหล่นเห็นคนรวมตัวพูดกันขณะเดินออกจากกระท่อมรับรอง ด้วยความตาดีก็มุ่งเข้าหาบุรุษรูปนามทั้งสองเพื่อออดอ้อน
“น้องจั๊กล่ะก็ พี่บอกแล้วใช่ไหมจ๊ะว่าให้ดูแลตัวเองดีๆ ไม่เห็นต้องทนลำบากตามหาเลย” โอรสแห่งคีรีมาศเห็นสหายคนโปรดก็พูดด้วยไมตรีจิตเชิงหยอกล้อ
“ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะจั๊กแหล่น….พระโอรสเกราะกับสังวาลย์ยังอยู่ดีใช่ไหมพระเจ้าค่ะ”เจ้าสิงโตกลับมายังที่จุดเริ่มเพราะหาไม่เจอก็ได้พบกับทั้งสองอีกครั้ง แต่ไม่วายจะห่วงของกว่าคน
“อยู่ไม่อยู่ไม่เกี่ยวกับเจ้า!!”ศนิวารออกปากว่า
“แหมๆ พระโอรสพูดกับสุดหล่ออย่างนี้ไม่น่ารักเลยนะ เคยสัญญากันไว้แท้ๆว่าจะคืนเกราะให้แท้ๆ”
“พอก่อนเถอะ ตอนนี้ต้องคิดเรื่องอัญญานีก่อนว่านางหายไปไหน” เมธาวีที่ให้สหายหลีกหนีภัยไปก็เริ่มเป็นห่วง ถ้าถูกจับได้ขึ้นมาระหว่างที่หนีล่ะ
“ต้องรอพี่ตาหวานกับพี่หิ่งห้อยก่อนนะเพคะ บางทีพวกเขาอาจจะพบก็ได้….อ๊ะ!!..จั๊กว่ามีอะไรแปลกๆนะ”
“มันไม่เห็นจะต้องคิดเลย ก็เห็นๆกันอยู่ว่าพวกเขาน่ะสลับกันออกมาตามใจ”
“ก็จริงนะตุ้บเท่ง  แต่ปกติออกมาไม่ได้นี่นา”
“พวกเราเป็นอย่างนี้ก็เพราะมีผลมาจากการระลึกชาติน่ะ”จินดาเฉลยความให้ทราบ
“พระโอรสพระธิดา!!”ทั้งสองเรียกหากลับมายังกระท่อมจึงได้เจอ ทั้งสองเห็นว่าไม่เป็นอะไรจึงเรียกอย่างดีใจ
“พี่หิ่งห้อย พี่ตาหวานเจออัญญานีบ้างไหมจ๊ะ” สุริยะกลับมาถามอย่างไม่สบายใจ
“ยังไม่พบเลยพระเจ้าค่ะ” ผีโครงกระดูกตอบ
“พี่หิ่งห้อยว่าพระโอรสกับพระธิดาเสด็จพบกับพระองค์ทั้งสามก่อนเถอะพระเจ้าค่ะ ส่วนเรื่องพระธิดาอัญญานี พวกหม่อมฉันจะออกตามหาอีกที”
“ต้องรบกวนแล้ว ไว้น้องไปพบเสร็จจะรีบมาตามหาต่อนะจ๊ะ” สุริยะฝากเรื่อองนี้ไว้ครู่หนึ่งแล้วจึงไปยังสระพร้อมกับสหาย
…………….
“พระองค์!!.....พวกนั้นทำพระองค์บาดเจ็บพระวรกายถึงเพียงนี้เชียวหรือเพคะ”อินทราณีที่เฝ้ารออยู่ยังสวนสวรรค์เห็นว่ากลับมาเพียงห้าอีกทั้งอดีสวามีได้รับบาดเจ็บ จึงไม่สามารถมองดูอยู่เฉย จึงรีบมาดูอาการในทันที
“เจ้าเป็นใคร!!”ธานินทร์ออกมาขวางชี้หน้าดักด้วยไม่วางใจ
“อะไรของเจ้า!! เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาขัดขวางเราไม่ให้เข้าใกล้พระองค์” เธอไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำอย่างนั้น
“ตอนที่เราพาอัคนินกับบดิศรไปหาพวกศัตรูเราเห็นพระแม่เจ้าอยู่ที่นั่น เจ้ามันตัวปลอม”
“พูดพร่ำเพ้ออะไร ดูสิขนาดรวมพลังกันรักษายังช่วยพระองค์กันไม่ได้ ถ้าไม่ยอมให้เราหยิบยืมพลังธรรมชาติมารักษา พระองค์คงจะไม่ไหวแน่”
“เจ้าโกหกหลอกลวง พวกเราทั้งสามเห็นแล้วว่านางอยู่ที่นั่นอยู่กับพวกมัน เจ้าไม่ใช่แน่” อัคนินจับที่ข้อมือของอินทราณีอย่างก้าวร้าว บีบเสียจนอีกฝ่ายเจ็บปวด
“พวกเจ้าถูกพวกนั้นปั่นหัวเข้าให้แล้วน่ะสิ เราอยู่ที่นี่ตลอดไม่เห็นพระนางจะเสด็จไหนเลย พอลงไปก็ไม่พบ ไม่แน่ที่พวกเจ้าพบคงเป็นภาพมายา”ติณกฤตช่วยแย้ง เพราะตนแน่ใจในตัวตนของชายานายตน
“เราก็เห็นว่าเป็นพระนางจริงๆ นางกำลังทำร้ายแม่มดเกลียวทองอยู่”บดิศรเสริม เขาเห็นอยู่ตำตาจะว่าไม่ใช่ก็ยังไงอยู่
“นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้ นางไม่มีมนตราอะไรมาทำร้ายคนอื่น อินทราณีมีแต่วิชารักษา ไม่สันทัดวิชาต่อสู้หรอก ให้นางรักษาเรา เราจะได้รู้ว่าเป็นนางหรือไม่” เทพวิษุวัติกล่าว หลังจากที่ดูเหตุการณ์มาก็ไม่เห็นจะมีอะไรน่าสงสัยอย่างที่สามคนนั้นว่าสักนิด
“แต่จะเป็นภัยต่อพระองค์ได้นะพระเจ้าค่ะ” ธานินทร์แย้งด้วยความเป็นห่วง
“อย่าห่วงเลย ให้ติณกฤตอยู่ข้างนางไว้ขณะที่รักษา หากไม่ใช่สังหารเสียก็ไม่สาย” พระเทวาเชื่อใจในชายาตนมาก ในเมื่อพามาชมสูดกลิ่นปาริชาตขนาดนี้แล้วทำไมนางจะจำไม่ได้กันล่ะ
“พระเจ้าค่ะ”ทั้งสี่รับความเห็นของผู้เป็นนาย บริวารคงกล่าวอะไรไม่ได้มากนักหรอก ต้องโดนกับตัวถึงจะรู้สึก
อินทราณีใช้จิตเรียกเอาพลังจากธรรมชาติมาทำการรักษาตามวิถีของแม่มดเหมือนเมื่อคราวอดีตชาติไม่มีผิด นั่นทำให้อาการของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บทุเลาลงอย่างมาก แทนที่จะรักษาให้หายดีเหมือนคราวก่อนๆ แต่เหมือนคราวนี้มีอะไรมาขวางกั้นไม่ให้สามารถทำได้เต็มที่เท่าที่ควร
“พระนาง!!”ติณกฤตเข้ารับร่างที่สลบจากความอ่อนแรง คราวนี้คงจะพิสูจน์อะไรได้หลายอย่าง
“เห็นรึยังธานินทร์ นางเหมือนเดิมทุกอย่าง นางไม่ใช่ตัวปลอม หากนางไม่อ่อนแรงไม่เสียก่อนเราคงหายดีไปแล้ว…..ติณกฤต เราวานพาพระแม่เจ้าตามสันต์สินีกลับไปยังหอชิดดาราเสียหน่อยเถอะ นางต้องพักผ่อนมากๆ” เขามั่นใจกว่าเดิม แต่ก่อนที่จะมามัวดีใจก็ต้องห่วงสุขภาพของเธอเสียหน่อย เขายังมีเรื่องต้องปรึกษาพูดคุยเรื่องทำศึกต่อกรพวกที่ภักดีกับพระอินทร์เสียก่อน
“พระเจ้าค่ะ”เขารับคำสั่งแล้วจึงอุ้มนำร่างนั้นกลับไปยังที่ประทับเสีย
“พวกเจ้าทั้งสามเลอะเลือนกันไปใหญ่แล้ว ภาพมายาแค่นี้ก็แยกแยะไม่ได้… เดิมทีเราคิดว่าจะใช้ช่วงเวลาอยู่กับอินทราณีต่ออีกสักหน่อยแต่มันไม่น่าจะจัดการอะไรได้ทัน เรียกพวกเขามาที่นี่ให้หมด ยกเลิกงานสำราญลงเสีย” แทนที่จะได้สุขก่อนออกศึกก็ต้องมายุติอีก ที่เรื่องต้องเป็นอย่างนี้ก็เพราะการกลับมาของพวกศัตรูที่สวมสิ่งวิเศษนั่นล่ะ
………….
“สไบทอง..สไบทอง” ท้าวพีรเชษฐ์พระสุบินเห็นอดีตพระมเหสีก็ละเมอเรียกหาจนคนที่เฝ้าดูอาการรู้สึกไม่ค่อยดีเสียแล้ว
“องค์เหนือหัวเพคะ องค์เหนือหัวตื่นบรรทมเถอะเพคะ” มเหสีคนปัจจุบันเรียกให้ฟื้นคืนสติมามองตนเสีย จะได้ไม่ต้องไปนึกถึงรักเก่า
“สไบทอง!!.....เจ้า..เจ้าเป็นใคร”เมื่อเขาฟื้นคืนมาได้ก็ต้องตกใจว่าเหตุใดคนที่อยู่เคียงข้างนั้นไม่ใช่คนเดียวกับที่เขาเรียกหา
“หม่อมฉันพิมาลาเพคะ มเหสีของพระองค์ ”
“พิมาลาเหรอ..เรา..เราสับสนเหลือเกิน…..ทหาร!!!เรียกอำมาตย์เรืองรองที เรียกเขามาที่นี่”
“พระวรกายร้อนมากเหลือเกิน หม่อมฉันจะนำน้ำกับผ้ามาซับให้พระวรกายเย็นลงนะเพคะ” เธอเป็นห่วงอีกคนมาก ตั้งแต่นางแม่มดบาดเจ็บสวามีก็ไม่เคยได้อยู่สุขเลย ขืนปล่อยไว้เรื่อยๆคงจะแย่
“ไม่ต้อง  เจ้าออกไปก่อนเถอะ…เราบอกให้ออกไปยังไงล่ะ!!” ขาไม่พอใจเท่าไหร่แล้วนะ ใครก็ไม่รู้ไม่คุ้นหน้ามาทำท่าเป็นห่วงเป็นใยอยู่นั่นล่ะ
“พ..เพคะ หม่อมฉันทูลลา ” เธอออกมาก่อนโดยหวังว่าจะทำให้คนข้างในใจเย็นลงได้บ้าง
“อำมาตย์เรืองรองแผลเจ้าหายดีแล้วรึ” เธอเห็นเขาเดินเหินคล่องแคล่วขึ้นมากทั้งที่เพิ่งจะผ่านไปได้ไม่กี่วัน
“แผลของหม่อมฉันยังไม่ทันหายสนิทแต่พอเคลื่อนไหวร่างกายได้บ้างแล้วพระเจ้าค่ะ”
“ดี ถ้าแผลหายสนิทแล้วก็ออกไปตามสามคนนั้นกลับมาให้เราด้วย” เธอไม่วายที่จองเวรกับศัตรูของตน ยังดีที่อำมาตย์นี่รู้จักเปลี่ยนฝั่งมาอยู่กลับตน หวังว่าเรื่องนี้จะสำเร็จได้ อย่างน้อยก็ระหว่างรอแม่มดเกลียวทองกลับมา
“พระเจ้าค่ะ”
หลังจากที่พูดคุยกัน อำมาตย์เรืองรองก็รีบเข้าเฝ้าเจ้าเมืองเสีย นานแล้วที่ไม่ได้เรียกตัวเขา อีกทั้งยังเรียกให้เข้าเฝ้ายังห้องบรรทม ไม่ใช่เพราะประชวรหนักหรอกหรือ
“อำมาตย์เรืองรอง  ยังดีที่เจ้าอยู่ ในวังมีคนที่เราไม่คุ้นหน้าหลายคน เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ได้ แล้วมเหสีสไบทองไปไหนล่ะ”
“หม่อมฉันขอทูลถามพระองค์ คราที่พระองค์ประพาสป่าช่วงสิบหกพรรษา ครานั้นหม่อมฉันได้รับบาดเจ็บจากการปกป้องพระองค์อย่างไรหรือพระเจ้าค่ะ” เขาต้องแน่ใจว่าไม่ถูกทดสอบ หากถูกจับได้เขาจะลำบากจนไม่อาจคอยช่วยเหลือดูแลพระราชาได้
“เจ้าถูกทำร้ายที่ดวงตา มองไม่เห็นข้างขวาแต่ว่ายังดูเหมือนตาปกติ…มีเรื่องอะไรทำไมถึงต้องถามเราอย่างนี้”
“เพื่อความแน่ใจพระเจ้าค่ะว่าเป็นพระองค์จริงๆ ไม่ใช่พระองค์ที่ถูกควบคุมพระทัย เรื่องเป็นเช่นนี้พระเจ้าค่ะ…….”
อำมาตย์เรืองรองเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเมืองนี้ให้อีกคนได้ทราบทุกเหตุการณ์ที่ผ่านมาก็พอจะทำให้เข้าใจความเป็นไปได้บ้าง
“เช่นนั้นแล้วเราต้องหลอกนางไปก่อนว่าเรายังอยู่ในการควบคุมของนาง ตราบใดที่นางยังมีเกลียวทองกับบดิศรอยู่ก็เป็นเรื่องยากที่เราจะออกตามหาสไบทองได้”
“พระเจ้าค่ะ ทางหม่อมฉันได้รวบรวมกำลังพลเอาไว้ให้มากเสียก่อน หากเกิดเหตุการณ์ที่ต้องพาพระองค์หนีจากเมืองจะได้ไม่ติดขัดพระเจ้าค่ะ”
“ดี เราจะอดทนรอ รอจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม” ถึงจะหาโอกาสได้ยากแต่เขาเชื่อว่ายังไงสิ่งที่คิดหวังไว้คงไม่ยากที่จะเป็นไปได้นักหรอก
…………….

"สุริยะเป็นอย่างไรบ้างลูก แม่กลัวอันตรายจะเกิดกับลูกเสียแล้ว" มารดาผู้รออยู่ที่บัวยักษ์ริมสระ เมื่อได้เห็นลูกก็พอจะสบายใจขึ้นมาบ้าง
"หม่อมฉันไม่เป็นอะไรหรอกพระเจ้าค่ะ"
"แปลกจริงนี่ก็ล่วงเข้าสู่วันจันทร์แล้วทำไมยังเป็นหลานอยู่ หรือว่านี่เป็นวันอาทิตย์ทรงกลดกัน" ผู้เป็นตาแปลกใจอยู่ที่คนวันอาทิตย์มาอยู่วันนี้ได้ ถ้าแยกร่างกันจริงๆทำไมถึงมาแค่สองคนล่ะ
"เป็นผลจากการระลึกชาติทำให้สามารถปรากฏร่างออกมาได้ตามต้องการน่ะพระเจ้าค่ะ" เขาชี้แจง คงไม่มีใครมาถามเรื่องนี้อีกแล้วนะ
" ย่าว่าทั้งสองคนควรพักผ่อนดีกว่า ยังไงวันนี้ก็เป็นวันของจันทราภากับจันทลักษณ์น่าจะได้รับพลังของวันได้ดีกว่านะ" ในเมื่ออยู่ร่างเดียวกับก็น่าจะต้องอิงตามนี้ไปก่อนจริงๆล่ะนะ
" เรื่องนั้นหม่อมฉันก็เห็นด้วยพระเจ้าค่ะ สุริยะอย่าห่วงเลย  พักสักหน่อยแล้วเรื่องที่เหลือพวกเราจะจัดการเอง"จันทลักษณ์ออกมาแทนที่พี่สาวเด้วยต้องการให้พักผ่อนเสียหน่อย กับสหายเขาก็อยากให้ทำเช่นนั้น
อีกคนพยักหน้ารับก่อนจะยอมให้เจ้าของวันออกมาแทนที่
"เวลานี้อัญญานีหายไป พวกหม่อมฉันต้องช่วยกันออกตามหากันก่อนนะเพคะ"จันทรากล่าวให้ทราบ
" อัญญานีเขามีแหวนวิเศษอยู่กับตัวคงไม่เป็นอะไรมาก อย่ากังวลเกินเหตุเลยนะลูก ดูสิท่าจะเหนื่อยล้ากันมาก อาหารยังไม่ลงท้องดีเลยใช่ไหม" เธออดห่วงไม่ได้ ตัวเพิ่งจะมาจะไปอีกแล้ว ผู้หญิงคนนั้นคงจะออกไปสำรวจป่าหิมพานต์ก็เป็นได้นี่นา
" แต่ว่า..."
"หม่อมฉันกลับมาแล้วเพคะ"อัญญานีที่ปล่อยให้คนตามหาอยู่เสียตั้งนานกลับมาได้พอดีเลย ในมือก็ถือลูกไม้มาเยอะแยะ
" ไปไหนมารึอัญญานี  ทุกคนเขาหากันทั่ว"เธอไม่เข้าใจว่าทำไมกลับมาปลอดภัยได้แต่ไม่ยอมกลับมาเร็วๆ ปล่อยให้คนของตนร้อนใจจะไปหาให้ได้อย่างนั้น
"หม่อมฉันไปจัดการเรื่องสำคัญมาน่ะเพคะ "
" เรื่องอะไรน่ะอัญญานี" จันทราภาอดสงสัยไม่ได้
"ก็เรื่อง...."
"พระโอรสพระธิดา แย่.. แย่แล้ว" เจ้าตุ้บเท่งวิ่งมาหน้าตาตื่นราวกับว่าหนีอะไรมา
"เป็นอะไรไปสุดหล่อ" โอรสคีรีมาศถามด้วยสงสัย
"ฝ.. ฝูงนกหน้า.. นกหน้าคนไล่พวกเรามา พวกเราโดนทัพตายหมดเลย  น่ากลัวน่ากลัวมาก"
" ทีเจ้าตัวเป็นคนพวกเรายังไม่กลัวเลย อีกอย่างพวกที่เหลือจะไม่มีปัญญาหลีกหนีหรือต่อสู้เลยเหรอถ้าถูกทำร้ายจริงๆ" อัญญานีกล่าว ไม่เห็นจะแปลกอะไร
" วิทยาธรเล่นอะไรไม่รู้ความอีกแล้ว... ตายจริงวิทยาธรกำลังมาที่นี่!! "พระธิดาเมืองรัตนบุรีที่ชินแล้วก็กล่าวอย่างไม่คิดอะไรมาก แต่ก็เพิ่งนึกได้ว่าพวกตนเพิ่งจะขโมยเอาดอกปาริชาตมาเพื่อระลึกชาติ แม้จะทำลายหลักฐานไปแล้วก็ไม่แน่ว่าที่มาจะเป็นพวกเดียวกับวิษุวัตไหมด้วย  ลำพังตนสู้ตายไม่หวั่น ห่วงแต่คนในครอบครัวนี่ล่ะ
" ต้องรีบไปออกตามหาคนที่เหลือก่อน ถ้ายังไม่กลับมาที่นี่ ดอกบัวไม่ทันปิดเกรงว่าทุกคนจะไม่ปลอดภัยกันครบนะ" โอรสวันจันทร์กล่าว
"พวกเจ้าไปเถอะ ทางนี้เรารอรับมือเอง เราพอจะคุ้นเคยกับพวกนี้อยู่บ้าง" ธิดาวันจันทร์ขออยู่รับที่นี่เพราะตนก็ร่ำเรียนวิชามาตั้งสิบปีย่อมจะคุ้นเคยก็พวกวิทยาธรที่เข้ามาเยี่ยมเยือนอาจารย์ตนบ่อยๆ
" ดูแลตัวเองด้วยนะ"  เขาจากไปกับสหายอีกคนโดยไม่ลืมจะฝากความห่วงใยไว้ตรงนี้
" เจ้าก็เหมือนกัน"เธอคิดว่าคงไม่มีอะไรที่จะรับไม่ไหวหรอก แต่มันก็ไม่แน่นี่นา

"บัว.. บัวอยู่นี่เอง เรากลับมาแล้วนะบัว" อัญญานีเดินเข้ามาด้วยท่าทีที่เหนื่อยหอบ
"พระธิดาเสด็จมาแล้วหรือเพคะ ตอนนี้พระโอรสกับพระธิดาองค์อื่นๆกำลังตามหาพระองค์อยู่ดีเลยเพคะ"เธอเข้าไปดูอาการของคนที่หายใจหอบ
"ขอโทษทีแต่พอดีเราไม่ใช่" พอได้จังหวะก็รีบอุ้มบัวแย้มอย่างไวก่อนจะกลับกลายเป็นบุรุษที่ไม่คุ้นหน้า
"ปล่อยเรานะ อย่ามาแตะต้องตัวเรา" เธอที่อยู่ในอ้อมแขนก็ดิ้นขัดขืน ทั้งทุบทั้งตีแต่ก็ไม่ได้ผล อีกคนไม่เจ็บอีกทั้งตัวเองยังไม่ตกง่ายๆด้วย
"บัว อย่าพูดอย่างนั้นกับเราสิ  อีกเดี๋ยวเราจะพาเจ้าเข้าวิวาห์แบบเรียบง่าย จากนั้นพวกเราก็เป็นสามีภรรยากันแล้ว"
"สามีภรรยาอะไรเรามีคนรักแล้วนะ" เธอพยายามโกหกให้อีกคนรับรู้
"คนรัก?  ออ พวกที่ที่เดี๋ยวก็เป็นหญิงเดี๋ยวก็เป็นชายน่ะเหรอ คนแบบนั้นไม่น่าคบหาสักนิด เราเป็นผู้ชายตลอดน่ะดีกว่าเป็นไหนๆ"
" เราไม่ใช่นารีผลนะ"
" เพราะว่าไม่ใช่เลยต้องวิวาห์กันยังไงล่ะ"
" มันไม่ถูกต้องนะ ที่ลักพาผู้หญิงแบบนั้น" จันลักษณ์ที่ตามหาก็เจอกับทั้งคู่พอดี
" เจ้านั่นล่ะผิดที่ชอบมายุ่งเรื่องของคนอื่น จะอ้างว่าเป็นคนรักของนางงั้นสิ"
" ใช่หรือไม่ไม่เกี่ยวกับเจ้า แต่เจ้าต้องคืนบัวให้กับเราได้แล้ว"
" ไม่ แล้วเจ้าจะทำไม"
" มาสู้กันตัวต่อตัว อย่ามัวแต่อุ้มผู้หญิงไว้ข้างกาย"
"พระโอรสระวังด้วยนะเพคะ"
"ได้ หลับให้สบายนะสาวงามแล้วเราจะพาเจ้าไปอยู่ด้วยกัน" เขาใช้มนต์เสกอีกคนให้สลบไปและเข้าต่อสู้กับชายอีกคนทันที

“โถๆ เราก็นึกว่าใครมาหาฤษีอนุชิตช่วงจำศีลที่แท้ก็เป็นศิษย์คนโปรดนี่เอง” บุรุษรูปงามเดินเข้ามาทักทายคนคุ้นเคย
“ใช่ ไม่ได้เจอกันปีกว่าท่านสบายดีใช่มั้ย” เธอยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตร
“สบายน่ะก็สบายดี แต่เอ๊ะ!! ทำไมมากันตั้งเยอะแยะ อย่างกับว่าจะมาอยู่ยาว” เขาไม่คุยเปล่าทั้งยังกวาดสายตามองไปหยุดยังกลุ่มคนที่อยู่บนดอกบัวยักษ์
“โธ่ เราก็แค่พามาเที่ยวชม พำนักไม่กี่วันก็กลับแล้ว”
“เมื่อวานนี้เหมือนจะได้กลิ่นของดอกปาริชาต ดอกไม้นั่นทำเราเคลิบเคลิ้มเฝ้าฝันถึงอดีต ไม่รู้ว่าในดอกบัวนั้นจะเก็บซ่อนไว้รึเปล่า”
“ไม่หรอก ถ้ามีจริงพวกเราก็ต้องได้กลิ่น จดจำอดีตชาติกันหมดแล้ว ”
“ไม่เชื่อ เราขอดูหน่อย” เขาเดินไปยังท่าริมสระน้ำหลังจากพูดจบ
“เกรงว่าจะไม่ได้นะ”เธอจับไหล่อีกคนไว้ไม่ให้ไปต่อ
“งั้นเราจะไม่เกรงใจแล้ว” เขาแทงศอกไปยังด้านหลังเปิดฉากต่อสู้ทันที ยังดีที่จันทราภาหลบได้ทัน ไม่อย่างนั้นเจ็บตัวแน่ เธอที่หมุนตัวหลบได้จึงเตะอีกคน
อีกฝั่งก็เรียกใช้ขรรค์มาหมายจะเฉือนเอาเนื้ออีกคน แต่ไม่ทันไรก็ถูกแย่งเอาไปเฉือนเนื้อตัวเองเข้าให้
“เราทำอะไรให้ทำไมต้องถึงขั้นใช้พระขรรค์มาทำร้ายเรา”เธอไม่เข้าใจเลย ปกติก็เป็นมิตรที่แวะเวียนมาก่อไมตรีเป็นระยะแท้ๆ
“เจ้าไม่ได้ทำอะไรให้เราหรอกนะ หากแต่เป็นพระเทวาวิษุวัต เราได้รู้ว่าเขาต้องการตัวคนสวมเกราะกับใส่สังวาลย์จึงจะจับตัวไปแลก ทีแรกเราก็นึกว่าใครคิดๆไปก็เป็นเจ้า ประกอบกับเรื่องดอกปาริชาตที่ถูกลักลงมาที่นี่ ”
“แล้วมันสำคัญกว่ามิตรภาพของพวกเรายังไง”
“เขาจะทำสงครามก็ต้องเลือกข้าง ฝ่ายที่มีพระบิดาเป็นพระอินทร์องค์ก่อนได้เปรียบกว่าเป็นไหนๆ พระองค์นี้น่ะรึ มัวแต่บำเพ็ญอยู่ให้เขาดูแล พวกบริวารคงมีใจอยู่เคียงข้างอยู่หรอก”
“ได้ยินมาว่าพระองค์ไม่ใช่สายทำสงครามนี่ แต่ว่าพระองค์มีปัญญาไม่น้อยเลย”
“นั่นล่ะที่พวกเราไม่ชอบ…… เลิกพานอกเรื่องได้แล้ว!!!”    ในเมื่อจัดการเจ้าตัวไม่ได้ก็ทำร้ายคนใกล้ตัวนี่ล่ะ เขาชี้นิ้วไปที่ดอกบัวใหญ่นั่นเพื่อเผาทำลายทิ้ง แต่ว่าดอกบัวนั้นได้หุบไปเสียแล้ว อีกทั้งกลายเป็นแก้วที่กันไฟไม่ให้ถึงตัวคนที่อยู่ด้านใน เห็นแต่ไฟทำได้แค่ล้อมรอบไม่อาจเผาไหม้ได้เลย
“เกินไปแล้วะเจ้าน่ะ!!” จันทราภาใช้พลังจากเกราะกายกายสิทธิ์โจมตีอีกฝ่ายจนได้รับความทรมาน
“เราไม่ไหว…แสงนี่มันร้อน ร้อนเหลือเกิน”
“ทีเจ้ายังจะเผาคนของเราทั้งเป็นเลยด้วยซ้ำ ..เราไม่ทำเจ้าถึงตายหรอก” เธอบันดาลให้พลังนั้นส่งผลให้วิทยาธรหนุ่มสลบไปพร้อมกับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น ที่นี่คงไม่ปลอดภัยสำหรับพวกเธอแล้วสินะ
“เป็นยังไงบ้างจันทราภา” อัญญานีกลับมากับพวกที่ตามหาแล้วถามด้วยความเป็นห่วง
“ที่นี่ไม่ปลอดภัยสำหรับพวกเราต่อไปแล้วล่ะ มีหลายคนในป่าหิมพานต์ที่เลือกข้างแล้วตามล่าพวกเรา”
“ทุกคนไม่เป็นอะไรใช่มั้ย” จันทลักษณ์มาสมทบด้วยแต่ต้องอุ้มบัวมาเพราะเธอนั้นยังไม่ฟื้นคืนจาการสลบ
“ไม่เป็นอะไรหรอก แล้วบัวเป็นอะไรน่ะ” เธอถามด้วยความห่วงใย ยังไงสัยก็โตมาด้วยกัน
“นางกำลังจะถูกวิทยาธรลักไปวิวาห์เป็นภรรยาน่ะสิ ยังดีนะที่เอาชนะมาได้”
“พวกเราต้องหาทางสร้างแหล่งที่อยู่ใหม่แล้วล่ะ เพราะป่าไหนก็ไม่ปล่อยภัยเอาเสียเลย” จันทราภาออกความเห็น
“อย่างนั้นก็อย่ารอช้าเลย” เมื่อทั้งสองตกลงได้ดังนั้นแล้วจึงใช้พลังสร้างที่อยู่อีกมิติมา เพื่อที่จะเป็นที่พพักพิงอันปลอดภัยให้กับคนรอบตัวต่อไป
------------------------------------------------------------------------------------------อัพเดตทุกวันอาทิตย์20.30นะคะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กุมภาพันธ์ 13, 2022, 08:38:42 PM
“ที่นี่คงจะเป็นที่ปลอดภัยได้สักระยะหนึ่งนะ” จันทราภากล่าวหลังจากที่ทุกคนพากันมาที่สร้างแห่งใหม่นี้
“จริงๆแล้วเราอยากให้ที่นี่เป็นที่พักที่ปลอดภัยตลอดไป ถึงจะไม่ได้มีปัญหาให้ต้องมาอยู่ตลอดก็ตาม”จันทลักษณ์กล่าว ตัวเขาอยากให้ทำทำที่แห่งนี้เป็นแหล่งที่อยู่ถาวร แต่ยังไม่อาจจะมั่นใจในความปลอดภัยได้ จึงต้องเผื่อใจที่จะทำลายลงทุกเมื่อ
“ไว้เรื่องราวที่พวกเราเผชิญอยู่จบสิ้นลงค่อยมาสร้างเป็นถาวรก็ยังไม่สายหรอก” อัญญานีออกความเห็น
“เสด็จตา เสด็จยาย เสด็จแม่เพคะ ที่แห่งนี้ทำได้เพียงสร้างเรือนไม้ ไม่อาจสร้างเป็นวังให้ทรงประทับอยู่ได้ หม่อมฉันต้องขอพระราชทานอภัยให้หม่อมฉันกับสหายด้วยเถิดเพคะ”
“อะไรกัน อยู่ที่เช่นนี้ก็ไม่เห็นจะลำบากเลย ลำบากกว่านี้ก็เคยมาแล้ว ไม่เป็นไรหรอก”ท้าวนวดลกล่าวตอบ เพราะว่าเคยผ่านการกักขังนอนรวมตัวกับคนมากๆมาแล้ว นี่สบายกว่ามาก ห้องหับก็เป็นส่วนตัวดี
“เป็นความผิดของพวกหม่อมฉันเองพระเจ้าค่ะที่ไม่วางแผนป้องกันให้ดีจึงเป็นเหตุให้ทุกพระองค์ต้องพบกับความลำบาก”  เขารับผิดเพราะเห็นว่าถ้าไม่รีบไปตามคำท้าถึงขนาดนั้นก็คงไม่ก่อปัญหาตามมาขนาดนี้
“ไม่นับเป็นความความผิดเลย เรื่องเช่นนี้ไม่มีใครอยากให้เกิดนอกจากฝ่ายตรงข้าม” มเหสีอมรินทร์กล่าว เธอไม่โทษเป็นความผิดของฝั่งเดียวกันหรอก ถ้าฝั่งนั้นไม่เริ่มราวีก็ไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ได้
“พวกเจ้าเหนื่อยกันมามากแล้วนะ ควรจะพักผ่อนสักหน่อย ”สไบทองห่วงคนที่ไม่ได้นอนหลับพักผ่อนอีกทั้งยังต้องใช้กำลังต่อสู้มาอีก ไม่อยากให้คิดมากเรื่องอะไรแล้ว อยากให้พักผ่อนมากว่า
“เพคะ/พระเจ้าค่ะ”พอรับคำแล้วจึงพากันแยกย้ายไปยังห้องพักของตนเพื่อพักผ่อนในยามบ่ายเสียหน่อย
…………………
“อีก3วันของโลกมนุษย์พวกเราจะต้องไปร่วมสร้างเขตรบเพื่อไม่ให้ก่ออันตรายต่อผู้บริสุทธิ์ไร้หนทางสู้ เราส่งฑูตไปบอกกับฝั่งนั้นแล้ว ” พระเทวาวิษุวัตกล่าวกับเหล่าผู้ใต้บัญชา
“ทางนั้นยังไม่ยอมส่งทูตมาเลย พวกนั้นไม่เคยเห็นพระองค์ในสายตา” วัศพลนาคราชกล่าว จริงๆแล้วทางนั้นต้องนอบน้อมต่อนายของตนบ้างสิถึงจะถูก แต่นี่อะไรกัน ทั้งที่มีโอกาสส่งทูตมาก่อนแท้กลับถ่วงเวลาให้ฝั่งนี้ส่งไปก่อนแทน
“จะว่าไม่เห็นเลยก็ไม่ใช่ หนึ่งวันสวรรค์เจ็ดวันมนุษย์ ทางนั้นเห็นเราในสายตาอยู่บ้างจึงได้รอให้งานชมสวนสวรรค์นี้จบลง” ถึงเขาจะไม่ชอบใจทางนั้นอยู่บ้างแต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้เหตุผลทีเดียวหรอก ในนี้ถึงจะใจกล้าขนาดไหนก็ยังให้เกียรติกัน ไม่เหมือนกับพวกคนจองหองพวกนั้นที่ทำให้เขาลดตัวไปเสียเกียรติอีกทั้งยังเสียชายาที่รักไปเมื่อคราก่อน
“ระหว่างนี้พวกเจ้าคงจะรู้ว่าควรทำอะไร” เขาไม่ได้ออกคำสั่งก็ไม่ถือว่าเขาผิดนี่นา
“กลม้ากินสวน” ติณกฤตฟังความเช่นนั้นก็พอจะเข้าใจจึงได้พูดออกมาพร้อมกับยิ้มอย่างพอใจ
“ลีลาวดีเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับหน้าที่นี้” ท้าววัศพลดูมั่นใจในการเลือกผู้ทำหน้าที่เป็นอย่างมาก สร้างความแปลกใจให้กับคนที่เพิ่งจะยิ้มได้ไม่นาน ทำเอาขมวดคิ้วเปลี่ยนท่าทีเลยทีเดียว
“ไม่ต้องกลัวหรอกหลาน เรื่องนี้ลุงจัดการอย่างดีไม่มีผิดพลาด”
“เจ้าไม่ต้องห่วงน้องสาวมากนักหรอก มีเพียงนางที่ทางนั้นยังไม่รู้ว่าเป็นหนึ่งในพวกเรา หรือเจ้าจะไปเองแล้วทำให้งานเสียกันล่ะ” บดิศรกล่าว เขาเห็นว่าศิษย์สำนักเดียวกันแทงกันไม่ใยดีในตอนนั้นก็น่าสนใจ  แต่เขายังไม่ปักใจเชื่อเต็มที่หรอกว่าคนนั้นมีเจตนาเข้ามาด้วยใจศรัทธาอะไรนั่น
“จริงด้วย เรื่องที่เจ้าสังหารบิดามารดาตัวเองก็เป็นเรื่องที่รับรู้กันทั่วแล้ว ขืนกลับไปก็มีแต่จะเสียกำลัง”อัคนินเห็นด้วยกับความเห็นนี้ เขาฟังความมาจากสตรีที่รักแล้ว นาคผู้นี้ไว้ใจไม่ได้ เผลอๆอาจคิดตลบหลังทั้งสองฝ่ายแล้วตนก็ชุบมือเปิบเอาอำนาจไปอย่างง่ายดายก็เป็นได้
“ปล่อยนางเดินทางกลับพรุ่งนี้”เทพท่านพูดสั้นแต่ก็พอได้ใจความ ใช้ว่าส่งไปก็ไม่ถูก มันจะไม่เข้าแผนน่ะสิ
“พวกเจ้าต้องไปตามหาพวกเกราะกายสิทธิ์กับสังวาลย์มณีแล้วชิงเอาของวิเศษมาให้ได้ ช้าสุดก็ต้องหลังจบศึกนี้” วิษุวัตแน่ใจว่าศึกคราวนี้ชนะอย่างไม่ต้องสงสัย ในเมื่อของวิเศษที่ใช้สังหารอริได้นั้นกลับมาแล้วก็ควรใช้ให้เป็นประโยชน์ การที่ได้อำนาจมาทั้งๆผู้ที่ผูกใจเจ็บยังอยู่มันจะไปมีความหมายอะไร
“พระเจ้าค่ะ/เพคะ”พวกเขารับคำ คราวนี้ฉันทนาก็มาร่วมด้วย เมื่อเธอรู้ข่าวการกลับมาของคนพวกนั้นในตอนแรกก็นึกดีใจที่จะได้พบรักแรกแต่ก็อยากจะตัดเยื่อใยให้ขาด เธอตัดสินใจไปตามล่าและอาจถึงขั้นต้องสังหารเพื่อให้เรื่องมันจบ เพื่อที่จะได้เริ่มต้นใหม่อย่างไม่ต้องเจ็บปวดคิดถึงแต่เขาคนนั้นอีก
…………
ยามเย็นเห็นคนมาสร้างแปลงดอกไม้เพิ่ม ธิดาเมืองรัตนบุรีจึงเดินเข้าไปหมายจะพูดคุยแต่ต้องแปลกใจที่อยู่ดีๆเขาก็เรียกเอาเสียมมาขุดปลูกดอกแวววิเชียรด้วยตัวเองเสียอย่างนั้น
“ทำไมถึงต้องลงแรงด้วยล่ะ ดอกไม้อย่างอื่นก็เห็นใช้พลังสร้างขึ้นมาได้”เธอมาถามด้วยสีหน้าเอ็นดูการกระทำของอีกคน
“พักผ่อนเพียงพอแล้ว..แล้วเหรอ.. เอ่อพอดีเราอยากจะลงแรงปลูกดอกไม้นี้ด้วยตัวเอง เป็นเพราะว่า เพราะว่าเป็นพันธุ์ที่ได้มาจากเมืองของเจ้า” อยู่ดีๆก็มาไม่ให้ตั้งตัว ตัวเองก็ไม่รู้จะทำตัวอย่างไรดี
“ไม่เห็นต้องพูดเอาใจเลย เรารู้นะว่าความหมายของดอกไม้นี้คืออย่าลืมฉัน คงจะมีใครที่หมายปองให้คิดถึงล่ะสิ”เธอส่งยิ้มให้ เพราะดูท่าอีกคนน่าจะมีความรักอยู่ก็ได้ เพราะตัวเองเคยได้ถามเรื่องความรักกับมารดาอยู่บ้างเหมือนกัน
“มีมานานแล้ว…เอ่อไม่ใช่หรอก มันไม่มีอะไรจริงๆนะ” เขาหลบตาอีกคนเพราะทนเขินไม่ได้ ก็เรื่องแบบนี้ใช่จะพูดตรงๆได้สะดวกใจนัก
“ใครล่ะ ไม่เห็นจะบอกเราเลย” เธอได้ยินเช่นนั้นก็ถามต่อ ไม่ได้สนใจประโยคหลังเพราะฟังรู้ว่ากลบเกลื่อนชัดๆ
“ไม่ใช่ใครหรอก จริงๆแล้ว..เราไม่อยากจะลืม..ไม่อยากจะลืมเหตุการณ์ร่วมสู้กันตอนเด็กๆนั่นล่ะ” ทีแรกที่ได้มาก็คิดอย่างนี้ล่ะ แต่ต่อมามันไม่ได้หยุดแค่นั้น
“ไม่เชื่อหรอก” เธอพยายามจ้องหน้าอีกคนเพื่อเค้นเอาความจริงจากสหายอย่างใคร่รู้
“ ถ้าเราบอกเจ้า เราคงไม่กล้าสู้หน้าเจ้าอีกแล้วล่ะ” หลังจากที่หลบตาอีกคนมาพักหนึ่งก็ยอมเผชิญหน้าแล้วบอกเหตุที่ไม่อยากจะกล่าวถึงคนสำคัญในตอนนี้ ทั้งคู่หยุดนิ่งขณะที่จ้องตาไปครู่หนึ่ง รู้ตัวอีกทีก็หัวใจเต้นแรงจนต่างคนต่างหลบหน้า มันรู้สึกดีที่ได้มองแววตาคู่นั้นแต่ก็อึดอัดกับประโยคก่อนหน้าด้วยเช่นกัน คนนึงก็รู้สึกผิดที่อยากรู้มากเกินไป อีกคนก็รู้สึกผิดที่ไม่กล้าจะเอ่ยออกไป
“ไว้ถึงเวลาที่เราพร้อม เราจะบอกให้เจ้ารับรู้..ทุกอย่าง” หลังจากความเงียบที่มีมานานพอสมควร เขาก็ควรที่จะพูดอะไรบ้าง สักวันคงกล้าพอที่จะพูดให้มากกว่านี้
“เราจะรอคำตอบนะ ไม่ต้องรีบร้อน..ก็ได้ เราขอโทษด้วยนะที่ทำให้ไม่สบายใจ”
“ไม่เลย เราสบายใจทุกครั้งที่อยู่กับเจ้า แม้ว่าจะแปลกๆไปบ้าง”
“เจ้าว่าเราแปลกเหรอ” เธอสงสัย ปกติไม่เคยเห็นว่าใครแบบนี้เลยนี่
“ไม่นี่”เขากลั้นขำในท่าทีสงสัยของอีกคน ถือซะว่าได้เปลี่ยนบรรยากาศ
“เจ้าว่าเราจริงด้วย”
“ว่าก็ว่า..เราขอโทษ อย่าโกรธเราเลยนะ” เขายื่นดอกกล้วยไม้สีขาวแทนคำขอโทษ
“เราไม่โกรธเจ้าหรอก เจ้าเป็นเพื่อนแสนดีขนาดนี้” เธอนำดอกไม้มาชมด้วยความยินดี ไมตรีนี้จะคงอยู่อย่างยืนยาวแน่
“เพื่อนเฉยๆสินะ” เขายิ้มตอบอีกคนแต่ก็แอบคิดอย่างอดเสียใจไม่ได้ แต่ก็ยังดีที่อย่างน้อยก็มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน
“นี่ก็เย็นมากแล้ว เราว่าจะไปเรียกบัวมาช่วยกันทำมื้อเย็นสักหน่อย ไปด้วยกันดีไหม” เธอชวนสหาย ยิ่งคนเยอะก็ยิ่งน่าสนุก
“ดีเลย ” เขาตกลงแล้วพาไปยังห้องพักของบัว เพราะกะว่าเป็นช่วงเวลาที่จะได้ฟื้นพอดี

“บัว ยังไม่ฟื้นอีกเหรอ….บัว บัว!!” จันทลักษณ์เข้าไปดูก่อนเพราะสนิทกันมากกว่า พอดูใกล้ไม่เห็นฟื้นจึงนำมือวางบนหน้าผากอีกคนเพื่อดูว่าเป็นไข้หรือไม่ แต่วางลงไม่นานก็พบว่าร้อนราวกับไฟลน ร้อนจนหน้าตกใจ
“ใจเย็นก่อน พวกเราน่าจะใช้พลังช่วยรักษาได้นะ เพราะว่านางถูกวิทยาธรลักพาตัว” ก็จริงดังว่า วิทยาธรน่ะรู้วิชามนตรามาก บางทีอาการนี้ก็น่าจะมีเพื่อให้ผู้พบเห็นช่วยเหลือพาตัวตามหาคนรักษา จนมาเจอกับเจ้าตัวที่ใช้คาถานั่นเอง เธอกล่าวจบก็จับมือคนสลบทั้งสองข้างมาอยู่ในฝ่ามือตน แล้วพนมมือเรียกเอาพลังมารักษา
“เราช่วยอีกแรงนะ” เขาทำแบบเดียวกันด้วยการพนมซ้อนมือของจันทราภา ส่งพลังรักษาไป ไม่นานเกินรอบัวแย้มก็ฟื้นคืน
“บัว ดีขึ้นแล้วใช่ไหม”เขาถามด้วยความเป็นห่วง กลัวว่าจะมีบางส่วนที่อาจรักษาได้ไม่ดีพอ
“บัว บัวไม่เป็นอะไรแล้วเพคะพระโอรส” เธอเห็นท่าทีเป็นห่วงของอีกคนนั้นมีมากจึงตอบเพื่อให้สบายใจขึ้น
“เราว่าบัวพักผ่อนในนี่ต่อดีกว่า เราไปทำมื้อเย็นเสร็จแล้วจะนำมาให้”
“เพคะ”
“เราไปด้วย”
“อย่าเลย ถ้าเจ้าไปแล้วใครจะดูแลบัวล่ะ”
“จั๊กแหล่นน่ะสิ เดี๋ยวเราไปตามนาง หลังจากนั้นจะตามเจ้าไป”

หลังจากทานมื้อเย็นและไปดูอาการบัวแย้มจนแน่ใจหายห่วงแล้ว สองสหายก็ตัดสินใจที่จะกลับยังห้องพักตน
“ไม่ต้องห่วงนะ คืนนี้เราจะอยู่กับบัวเอง” อัญญานีรู้ว่าถึงแม้จะวางใจคงจะไม่วายกลับไปคิดมากอีกก็ได้ จึงย้ำไป เธอเชื่อว่าวันพรุ่งร่างกายของคนสนิทก็จะหายดีอย่างแน่นอน
“เจ้าก็รักษาสุขภาพตัวเองด้วยนะ”ทั้งคู่พูดพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายแล้วลาจาก
“คืนนี้ฝันดีนะจันทราภา” เขาตัดสินใจบอกก่อนแยกจากกัน
“เจ้าก็เหมือนกันนะ จันทลักษณ์” เธอยิ้มให้ ก่อนจากหันหลังจากไป
หวังว่าจะเป็นคืนที่ดีสำหรับทั้งสองนะ….



“จั๊กแหล่นมีเรื่องจะทูลด้วยเพคะ พอดีมีเรื่องมากมายต้องพบเจอจึงไม่ได้บอกกล่าว ตอนนี้เห็นว่าพอจะเว้นว่างจากเรื่องวุ่นวายได้เลยอยากจะทูลเรื่องที่ท่านตาฝากไว้กับจั๊กน่ะเพคะ” เธอคิดว่าเวลานี้น่าจะเหมาะสมที่สุดแล้วเพราะเมื่อคืนน่าจะพักอย่างเต็มที่ ถึงแม้ได้ทราบเรื่องก็เดินทางไปอย่างเร็วไวโดยไม่ต้องกังวลความปลอดภัยของคนที่เหลือแล้ว
“เรื่องอะไรเหรอ”อัญญานีถามอย่างสนใจ
“วิธีที่ทำให้พระโอรสพระธิดาแยกร่างกันอย่างถาวรเพคะ”
“ว่ายังไงนะ”อังคาสกับปัทมาสน์ได้ยินก็แทบไม่เชื่อกรรณตัวเองเลย เรื่องนี้เป็นไปได้แน่เหรอ ตลอดชีวิตนี้ไม่เคยมีวิธีเลยจริงๆ หรือว่านี่จะเป็นโชคชะตาที่ช่วยพวกเขากันแน่นะ 
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กุมภาพันธ์ 13, 2022, 08:45:51 PM
สวัสดีค่ะท่านผู้อ่านทุกท่าน จักรกรดต้องของดอัพนิยายไปก่อน1เดือนกว่านะคะ เพราะเป็นช่วงท้ายของปีการศึกษาไม่อยากจะพะวงทั้งสองทางจนเกิดเป็นปัญหาในด้านการเรียนและการแต่งนิยาย จึงขอโฟกัสกับการเรียนก่อนนะคะ พอปิดเทอมแล้วจะมาลงนิยายตอนต่อไปค่ะ ต้องขออภัยด้วยนะคะ จักกรกรดจะกลับมาอัพเดตนิยายต่อในวันที่20มีนาคม2565เวลา20.30น. นะคะ ขอขอบคุณที่ท่านผู้อ่านที่ยังติดตามและขออภัยอีกครั้งจริงๆค่ะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มีนาคม 20, 2022, 08:43:36 PM
ปัทมาสน์ตื่นขึ้นมาตั้งเช้าทั้งๆที่ฟ้ายังไม่สางเปลี่ยนกับเจ้าของวันก่อนโดยไม่ต้องรอแสงอาทิตย์ มานั่งคิดคนเดียวอยู่ที่บันไดของเรือน
“จะทำอะไรก็รีบทำไปก่อนเถอะน่า สีหน้าตอนนี้เจ้าไม่ดีเลย เราจะช่วยเบี่ยงความสนใจให้” เหตุการณ์ตอนนั้นยังวนเวียนในความคิดของเธอ นี่มันทำให้เธอรู้สึกกังวลเป็นห่วงสหายลับๆของตน
“เขาไปทำอะไรมาถึงได้มีแผลเป็นขนาดนั้นนะ” ธิดาวันอังคารไม่กล้าเอ่ยชื่อแม้จะเป็นแค่การพึมพำก็ตาม เพราะหากพูดออกไปพวกพี่น้องก็จะรู้เรื่องแน่ เก็บไม่ได้เหมือนตอนก่อนที่สังวาลย์จะถูกทำลาย ต่างกับตอนนี้ความทรงจำในสิ่งที่พบเจอมันเชื่อมต่อ มีแต่เพียงความรู้สึกนึกคิดส่วนตัวเท่านั้นที่ไม่ถูกเปิดเผยให้รู้ร่วมกัน
“ใจเราก็อยากไปพบเจ้าในตอนนี้ แต่ว่ายังเป็นไปไม่ได้หรอก” ถึงแผลเป็นประกายสายฟ้าสีน้ำเงินที่คอของสหายนั้นจะดูน่าเป็นห่วง เธอก็ไม่อาจจะหาได้ คงจะมีก็แต่รอให้ร่างแยกกันอย่างถาวรนั่นล่ะ
“ใคร”อังคาสที่คิดจะออกมาชมบรรยากาศยามเช้าก่อนจะไปทำอย่างอื่น มาเจอคนนั่งขวางทางอยู่จะให้ลงไปเลยก็ยังไง ทีแรกกะจะเรียกแต่เห็นพึมพำประโยคหลังเลยสงสัย
“ใครอะไร…อ่อ เจ้านี่เอง ตื่นเร็วดีนี่” รุ่งอรุณกำลังฉายแสงอยู่พอดี เลยมองเห็นอีกคนโดยไม่ต้องเพิ่งเล็ง ดีนะไม่ได้พูดชื่อรายนั้น ไม่อย่างนั้นคนที่ยืนอยู่ก็ต้องไม่ไว้ใจเธอแน่
“ที่เจ้าพึมพำเมื่อครู่นี้ไง”
“ก็บัวแย้มน่ะสิ เราตื่นเช้าเกินไปเลยมารอตะวันขึ้นให้ดีก่อน”
“ตอนนี้ตะวันที่เจ้าว่าก็ขึ้นแล้ว ทำไมยังไม่รีบไปหานางล่ะ”
“เราอยากไปก็ไปเอง…เจ้านี่นะ อยากไปก็ไม่ไปเองใช้คนอื่น” ดูท่าก็รู้แล้วว่าห่วงบุคคลที่กล่าวถึง ในเมื่อเป็นอย่างนี้ควรที่จะไปเองไม่ใช่หรอกหรือ
“เราไม่ได้ใช้เจ้า อีกอย่างก็..ไม่..ไม่อยากไปด้วย” เขาทำเป็นไม่สนใจ แค่ว่าไปตามสถานการณ์ คำว่า ไม่ ออกจากปากไปนั้นรู้สึกติดขัดอยู่บ้างที่เหมือนใจจืดใจดำต่อคนที่กำลังพักฟื้น
“ดี ไม่อยากไปก็ดี ในเมื่อขัดใจเจ้านักเราจะพาเจ้าไปซะให้อกแตกตายไปเลย!!” นึกว่ามีใจห่วงคนของตน ที่แท้ก็แค่คนไร้น้ำใจ คิดว่าพูดอย่างนี้จะให้จากไปเฉยๆงั้นเหรอ คิดอย่างนั้นแล้วเธอก็จับข้อมืออีกคนดึงไปยังหน้าประตูห้องของคนที่กล่าวถึงในทันที
“บัว อัญญานีตื่นกันรึยัง” ธิดายักษ์เคาะประตูเรียกพลางยื้อยุดอีกคนที่ดื้อดึงรังแต่จะหนีหน้า
“อยู่เฉยๆไม่ได้รึไง กลัวเห็นหน้าบัวจะขาดใจตายเหรอ”
“พอที เจ้านี่ชักจะเจ้าบงการเกินไปแล้วนะ” โอรสมนุษย์สะบัดแขนออกมาได้ก็ชี้หน้าอีกฝ่ายเพื่อต่อว่า
“ตีกันแต่เช้าเลยนะ พวกเจ้าสองคนนี่ยังไง พูดดีๆกันไม่เป็นเลยเหรอ” อัญญานีที่ได้ยินเสียงจากข้างนอกก็ออกมาดู ไม่คิดว่าจะต้องมาเห็นคนทะเลาะกันตั้งแต่หัววันแบบนี้
“เรื่องพูดดีต่อกันไม่มีวันอยู่แล้ว เรื่องนั้นก็ช่างมันเถอะ….แล้วบัว….”เรื่องญาติดีคงเกิดขึ้นได้ยากเสียแล้ว นี่ถ้าไม่ติดว่ามีศัตรูเดียวกันแล้วล่ะก็ ป่านนี้คงขับเคี่ยวกันวุ่นวายไปหมด
“บัวเป็นยังไงบ้าง” ทันทีที่เห็นเจ้าตัว บุรุษก็เอ่ยปากถามชิงตัดหน้าอีกคนไปในทันที
“หม่อมฉันดีขึ้นมากแล้วเพคะ” เธอตอบอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มเพื่อบ่งบอกว่าอาการดีขึ้นมากแล้วทั้งกายและใจที่ได้ถูกทำร้ายมา
“นี่ขนาดไม่อยากมายังถามตัดหน้าเราขนาดนี้ ถ้าอยากมานี่คงจะมาเฝ้าถามตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสางเลยล่ะมั้ง” ทางนี้ก็ยังไม่วายจะว่าอีกคนอยู่ดี
“บัวดีขึ้นก็ดีแล้วนะ แต่เราว่าอย่าเพิ่งทำอะไรมากเลย เดี๋ยวพวกเราจะจัดการเอง” เธอยังไม่อยากให้คนที่รักดั่งน้องสาวต้องทำอะไรที่ออกจะหนักแรงมากนัก ในเมื่อมีคนอยู่ตั้งเยอะแยะช่วยๆกันทำงานเรือนจะเป็นอะไรไป
“หมดเรื่องแล้วใช่มั้ย เราไปล่ะ” อังคาสไม่คิดจะอยู่ต่อแล้ว ในเมื่อคนที่มาหาก็อาการดีเป็นที่พอใจแล้วก็ลงไปดูความเรียบร้อยของมิติที่สร้างขึ้นมาใหม่ดีกว่า
"เจ้านี่นะ!!” อริหญิงเรียกตามหลังอย่างหงุดหงิด คนอะไรไม่มีมนุษย์สัมพันธ์เอาซะเลย ทั้งๆที่เคยพานพบกันมาตั้งแต่ปางก่อนแท้ๆ
……………..
“ลูกพ่อ อย่างไรเสียพ่อก็ไม่เชื่อว่าพวกเจ้าจะจากไปได้ พวกลูกต้องยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง” ท้าวพีรเชษฐ์ลอบนึกในใจขณะที่มองไปยังท้องฟ้ายามรุ่งอรุณ
“องค์เหนือหัวกันแสงด้วยเหตุใดหรือเพคะ” พิมาลาที่ตื่นจากบรรทมเห็นท่าทีเศร้าเสียใจของสวามีก็อดจะเข้าไปดูใกล้ๆด้วยความห่วงใยไม่ได้
“เราคิดถึงลูก” เขาไม่ได้โกหก แต่ว่าลูกที่หมายถึงกลับไม่ใช่สายใยที่เกิดจากเขาและชายาผู้นี้
“ที่แท้พระองค์ถวิลหาบดิศร หม่อมฉันก็เช่นกันเพคะ แต่อย่างไรเสียลูกก็อยู่ในสถานที่ที่ดีเคียงข้างพระเทวาวิษุวัต ”
“คิดว่าดีแน่แล้วหรือ ลูกเราไปอยู่เป็นบริวารนะไม่ใช่นาย หากว่าเกิดไปทำให้พระองค์ไม่พอพระทัยจะเกิดอันตรายอะไรพวกเราไม่อาจรู้ได้เลย” พอได้ยินชื่อลูกอีกคนก็อดห่วงไม่ได้
“บดิศร เจ้าว่าเช่นนี้ ไม่เห็นว่าเราเป็นพระบิดาเจ้าแล้วรึถึงได้เลือกอีกฝั่งได้ไม่ลังเล"  " เอาเถอะ ถ้าอยากทำตามใจนักเราไม่ห้าม แต่ห้ามไม่ให้เจ้ามาพบหน้าเราอีกเลยบดิศร” พอคิดถึงประโยคเหล่านี้แล้วเขาไม่น่าพูดออกมาเลย เขาจะกล้าพบหน้าเพื่อเตือนลูกคนนี้ได้อย่างไร ถ้าย้อนเวลาไปได้ก็คงดี เขาจะได้ไม่ต้องทำร้ายจิตใจลูกไม่ว่าคนไหนก็ตาม
“หม่อมฉันไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดีเพคะ ตอนนี้เสาวภาก็ไม่อยู่ ไม่รู้ว่าตอนนี้ตามหานางในครัวสไบทองได้รึยัง” เธอก็กะจะขอความช่วยเหลือจากแม่มดผู้วิเศษให้ช่วยเป็นธุระติดต่อระยะไกลให้ตนกับลูกเสียหน่อย นี่ก็หลายวันแล้วไม่เห็นวี่แววเลย
“เลิกสนใจนางเถอะ เราว่าให้อำมาตย์เรืองรองไปตามเสาวภามาดีกว่า” ถึงจะพูดด้วยท่าทีที่ไท่ใส่ใจอย่างนั้น แต่หัตถ์ก็แอบกำแน่นไปด้วยความโมโหที่ตนรู้ความจริงทุกอย่าง ไม่อยู่ในมนตราแล้วแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย
…………
“พระปิตุลาเพคะ พระปิตุลาช..ช่วยหม่อมฉันด้วยเพคะ” ลีลาวดีเข้ามายังแดนบาดาลตะวันออกด้วยสภาพที่บาดเจ็บสาหัส เลือดตามตัวราวกับอาบมา
“ลีลาวดี ใครทำให้หลานเป็นถึงขนาดนี้”วิทวัสนาคราชเข้ามาดูอาการมาดูอาการของพระภาติยะด้วยความเป็นห่วง
“เสด็จพี่…เสด็จพี่ติณกฤตเพคะ” หลังจากตอบคำถามเธอก็สลบไป ผู้เป็นลุงจึงรีบให้หมอหลวงมาดูอาการ ส่วนตนก็เฝ้ารอดูสถานการณ์ที่หน้าตำหนัก
“ติณกฤต ลุงไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นเรื่องจริงที่เขาว่าเจ้าสังหารบิดามารดา แต่พอเห็นน้องของเจ้าเป็นเช่นนี้แล้ว…เจ้ามันช่าง..” เขาคิดถึงหลานคนโปรดของเขาขึ้นมา ทั้งๆที่ตัวเองหวังจะให้สืบทอดอำนาจปกครองเหล่านาคาทั้งหลายต่อจากตน แต่ผู้ไร้คุณธรรมเช่นแห็นทีต้องปราบให้สิ้น ส่วนเรื่องผู้สืบทอดคงต้องเปลี่ยนของความสามารถแทนสายเลือดไป
“ทูลองค์เหนือหัว พระอาการของพระภาติยะนั้นพ้นเสี่ยงถึงฆาตแล้ว หากแต่จะต้องอยู่ในนิทรายาวนานเสียหน่อยพระเจ้าค่ะ” หมอหลวงก็ว่าไปตามอาการที่ตนรักษา มิได้รู้เรื่องอะไรที่แอบแฝงเลย นาคีข้างในตำหนักก็แอบลอบคิดอยู่อย่างสบายใจ
“หึ เราไม่คิดเลยว่าหมอหลวงที่นี่จะโง่เขลาได้ถึงเพียงนี้ แค่ฤทธิ์ยาพิษหลอกตาก็เชื่อสนิทใจ คอยดูเถอะ เราจะทำให้พวกเจ้าสูญเสียกำลังและเสบียงให้มากที่สุด”
……….
“เครื่องคาวหวานจำพวกนี้ออกจะธรรมดาไปเสียหน่อย หม่อมฉันต้องขออภัยด้วยนะเพคะ” อัญญานีและสหายต่างช่วยกันนำอาหารมาเพื่อเป็นมื้อเช้าของวัน ทั้งแกงพะแนงไก่ ปลากะพงนึ่งมะนาว แกงส้มดอกแค  ขนมเทียนและขนมกล้วย ถึงแม้จะไม่ใช่อาหารที่ชาววังจะเสวยบ่อยครั้ง แต่จัดได้ว่าเป็นอาหารที่น่าลิ้มรสอยู่มิใช่น้อย
“ไม่เห็นจะธรรมดาเลย น่าลิ้มรสมาก” มเหสีอัมรินทร์ยิ้มอย่างพอใจ เอ็นดูเหล่าสตรีที่ตั้งใจทำอาหารมาให้เช่นนี้
“นั่นสิ อย่าเกรงใจเลย ทำให้พวกเราถึงเพียงนี้แล้วแท้ๆ มาพวกเรามากินดีกว่า”
ท้าวนวดลกล่าวจบ ทุกคนก็เริ่มทานอาหารกันอย่างสำราญใจ

“เป็นไงล่ะเจ้าผีโครงกระดูก อดกินของอร่อยๆเลย ผีน่ะตายไปแล้วไม่จำเป็นต้องกินก็ได้ฮ่าๆ” เจ้าสิงโตกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย แต่ก็ยังไม่วายเย้ยหยันผู้ที่สิ้นแล้วแต่ยังอยู่ถือใบบัวอยู่อย่างนี้
“เหวยๆ เอ็งนี่มันยังไง ข้าอยู่ของข้าดีๆก็มายุแหย่ข้า” ใจจริงเขาก็เว้นว่างจากของกินมานานหลายปีก็รู้สึกเสียดายไม่น้อยเหมือนกัน
“กินเพื่ออยู่ ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน อยากตะกละตะกลามก็ทำไปตัวเดียว อย่าไปกวนผู้อื่นสิ” หิ่งห้อยยักษ์กล่าว
“เจ้าน่ะนะกินเป็นแต่กิ้งกือไส้เดือน จะไปเข้าใจรสชาติอันโอชะเหมือนที่สุดหล่อกำลังรับอยู่ได้ยังไง๊ ถ้าได้ลองนะ เจ้าก็ตะกละตะกลามไม่แพ้กันหร๊อก ”
“ดู๊ดูพูดเข้า ใครเขาจะหมือนกับเจ้ากัน ไม่ต้องกินเยอะไปกว่านี้หรอกน่า เอามานี่”เสือสาวแย่งเอาอาหารที่ตุ๊บเท่งรวบรวมออกมา กินเยอะขนาดนี้ได้กลายเป็นชูชกที่สองแน่

“พี่ตาหวาน  ลิ้มรสสักหน่อยเถอะ” อังคาสนำธูปมาวางบนภาชนะอาหารส่งให้ผีอย่างตาหวานได้ลิ้มรสเหมือนเมื่อคราวที่ยังเป็นคน
“พระโอรส ในที่สุด ในที่สุดพี่ตาหวานก็ได้รสชาติของอาหารอีกครั้งแล้ว ขอบพระทัยเป็นอย่างสูงเลยพระเจ้าค่ะ” ว่าแล้วเขาก็กินอย่างเอร็ดอร่อย กี่ปีแล้วนะที่ไม่ได้กินของดีๆแบบนี้
การกระทำนี้แม้จะดูเล็กน้อยแต่ก็สร้างความประทับใจแก่ผู้พบเห็นนั้นได้ยิ้มอย่างปลื้มอกปลื้มใจ
“บัวคิดอะไรอยู่ ยิ้มนานไปน้ำแกงจืดจะเย็นหมดนะ” ธิดาวันอังคารเห็นท่าทีอีกคนก็อดทักเสียไม่ได้ หรือว่านี่จะเป็นผลข้างเคียงจากการถูกวิทยาธรลักตัวไปกันนะ
“เพคะ” คราวนี้เธอหันมายิ้มแก้เขิน แล้วจึงลิ้มรสชาติของน้ำแกงที่อีกฝ่ายบตั้งใจทำ
“น้ำแกงนี้อร่อยมากเลยเพคะ พระธิดาทรงปรีชาสามารถมากจริงๆ” เพียงคำเดียวก็เอ่ยปากชมเสียแล้ว เอาใจกันเกินไปรึเปล่านะ
“เราไม่ได้เก่งกาจอะไรหรอก ฝีมือของจินดาเขาน่ะ” เธอยิ้มตอบ ตัวเธอไม่สัดทันด้านนี้เท่าไหร่นักหรอกนะ
“ทำไมถึงให้จินดาทำล่ะปัทมาสน์” สไบทองได้ยินเช่นนั้นก็ถาม เห็นว่าช่วยยกสำหรับมาพร้อมกับอีกคน นึกว่าจะลงมือทำเองบ้างเสียอีก
“เป็นเพราะว่า…เพราะว่าหม่อมฉันทำอาหารไม่เป็นเลยน่ะเพคะ’ เธอตอบพลางลูบหัวตัวเอง ตามด้วยยิ้มกลบเกลื่อน เรื่องแบบนี้สตรีที่ไหนก็ทำได้นี่นา
เมื่อได้ยินเช่นนั้นบุรุษที่เป็นอริได้แสดงท่าทียิ้มเล็กน้อย แต่คนถูกเย้ยมันดูออกนี่นา
“ไม่เห็นต้องอายเลย ประกายพฤกษ์ก็ไม่ถนัดเรื่องนี้เหมือนกัน ทุกคนมีเรื่องที่ถนัดต่างกัน จะให้ทำกับข้าวกับปลาเป็นเสียทุกคนก็ยังไงอยู่” เธอยิ้มเอ็นดูผู้เยาว์ เธอน่าจะเข้ากับลูกสาวตนได้ เสียดายที่ตีกับลูกชายบ่อยไปน่ะสิ
หลังจากจบมื้อเช้าแล้ว เห็นทีจะต้องพูดเรื่องสำคัญเสียแล้ว ไม่งั้นคงเสียเวลาอยู่พอสมควร
“จั๊กแหล่นมีเรื่องจะทูลด้วยเพคะ พอดีมีเรื่องมากมายต้องพบเจอจึงไม่ได้บอกกล่าว ตอนนี้เห็นว่าพอจะเว้นว่างจากเรื่องวุ่นวายได้เลยอยากจะทูลเรื่องที่ท่านตาฝากไว้กับจั๊กน่ะเพคะ” เธอคิดว่าเวลานี้น่าจะเหมาะสมที่สุดแล้วเพราะเมื่อคืนน่าจะพักอย่างเต็มที่ ถึงแม้ได้ทราบเรื่องก็เดินทางไปอย่างเร็วไวโดยไม่ต้องกังวลความปลอดภัยของคนที่เหลือแล้ว
“เรื่องอะไรเหรอ”อัญญานีถามอย่างสนใจ
“วิธีที่ทำให้พระโอรสพระธิดาแยกร่างกันอย่างถาวรเพคะ”
“ว่ายังไงนะ!!”อังคาสกับปัทมาสน์ได้ยินก็แทบไม่เชื่อกรรณตัวเองเลย เรื่องนี้เป็นไปได้แน่เหรอ
“เรื่องจริงเหรอจ๊ะพี่จั๊กแหล่น” บัวแย้มถามย้ำอย่างสนใจ  คงไม่ใช่ความพลั้งเผลออกมาหรอใช่ไหม
“จริงจ้ะ…..ท่านตามฤคินทร์ของจั๊กท่านบอกก่อนจะไปจำศีล ท่านนั่งสมาธิร่วมกับพระฤษีอนุชิตจนหาวิธีที่แน่ชัดได้แล้วเพคะพระโอรส พระธิดา”
“วิธีที่ว่า เป็นวิธีแบบไหนกันล่ะ” โอรสรัตนบุรีถามอย่างสนใจ ดีเหมือนกัน ถ้าได้แยกร่างถาวร อะไรก็คงจะง่ายขึ้น
“วิธีก็คือต้องไปยังน้ำตกสัตตะสี นั่งบริกรรมคาถาปกีรณัมบทเป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืนเพคะ แต่ปัญหาก็คือในช่วงเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืนจะต้องมีเหตุปรากฏสามอย่างระหว่างนั้นคือ สุริยะคราส จันทรคราสและรุ้งหลังฝนเพคะ”นี่สิที่น่ากังวล ไม่กังวลได้อย่างไร ลำพังรุ้งก็พอจะเกิดสักวันใดวันนึงได้ในเจ็ดวันนี้ แต่ว่าสุริยคราสกับจันทรคราสให้มีในเวลาไล่เลี่ยกันเป็นเป็นไปได้ยาก
“เพื่อให้เกิดการมีสูรย์มีจันทร์ในเวลาไล่เลี่ยกัน พวกเราต้องไปขอความช่วยเหลือจากพระเทวาทั้งสามก่อน” อังคาสออกความเห็น
“เรื่องนี้เราเห็นด้วย แต่เพื่อความแน่ใจ พวกเราควรจะไปขอพระพิรุณท่านอีกแรง” ปัทมาสน์ได้ยินก็เห็นด้วย แต่ว่าเพื่อให้แน่ใจว่าฝนจะตกจริงก็ตกไปขอความช่วยเหลือเพิ่มเติมไว้ก่อน หน้าหนาวแบบนี้ก็ไม่ใจท้องฟ้าไม่ได้เลย
“ดี งั้นพวกเราแยกย้ายไปหาพระองค์กัน ฝั่งเราจะไปเข้าเฝ้าองค์จันทรเทพกับสุริยะเทพ”โอรสรัตนบุรีกล่าว
“ได้ เราจะไปเข้าเฝ้าพระราหูกับพระพิรุณ”ธิดาคีรีมาศตอบรับ
“น้ำตกสัตตะสีอยู่ที่แห่งใดกันน่ะ” อัญญานีถามก่อนที่ทุกคนจะแยกย้าย
“อยู่สูงสุด ณ ทิศอุดรจะมีมิติกระจกอยู่เพคะ ทางเข้าอยู่ตรงนั้น”
“ดี พวกเราไปเจอกันที่ทางเข้านะ..พระองค์ทั้งสามหม่อมฉันทูลลาก่อนเพคะ” ปัทมาสน์กล่าวแล้วรีบไปก่อนในทันที เพราะตนยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกอย่างหนึ่งด้วย โดยมีจั๊กแหล่นติดตามไป
“หม่อมฉันไปก่อนพระเจ้าค่ะ รักษาพระวรกายด้วยนะพระเจ้าค่ะ……บัวดูแลตัวเองดีๆนะ” ว่าแล้วอังคาสก็รีบไปด้วยเช่นกันโดยมีหิ่งห้อยไปด้วยกัน
“ขอให้สำเร็จนะลูก ปลอดภัยกันทุกคน” สไบทองกล่าวอย่างมีความหวังแต่ก็ไม่วายจะห่วงใย นี่คงจะช่วยให้เรื่องวุ่นวายนี้คลี่คลายได้บ้างนะ
---------------------------------------------------------------------------------------ทุกวันอาทิตย์ประมาณ20.30น. ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องสัญญาณเน็ตนะคะ ขอโทษด้วยค่ะที่ลงไม่ตรงเวลามาก
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มีนาคม 27, 2022, 08:35:20 PM
“ท่านรู้หรือไม่ว่าการที่ทำเช่นนี้มันจะส่งผลเสียต่อท่านมากเพียงไหน อย่างตอนนี้ที่ไหนก็ล้วนรู้จักท่านในด้านที่ไม่ดี ท่านจะอดทนไปได้ถึงเมื่อไหร่กัน” เทพบุตรชยทัตกล่าวกับคนที่คลุมผ้ามิดชิดปกปิดใบหน้าในขณะที่อยู่ผืนดินระหว่างหุบเขาแห่งหนึ่ง
“หม่อมฉันรู้ แต่นี่เป็นทางเดียวที่จะได้รับการวางใจ แม้ต้องแลกอะไรก็ตามแต่สิ่งนี้เป็นสิ่งที่แลกไม่ได้ หม่อมฉันขอฝากสิ่งนี้ในการดูแลของพระองค์ด้วย” ว่าแล้วคนผู้นั้นจึงได้ส่งมอบน้ำเต้าให้
“เราจะช่วยดูแลให้ พอถึงเวลาที่เหมาะสมเราจะคืนให้แก่ท่าน”
“อย่าเลย เก็บสิ่งนี้มอบให้กับผู้ที่คู่ควรย่อมเป็นผลดีกว่า”
“ได้ อย่าห่วงเลยเรื่องที่เหลือเราจะช่วยจัดการให้ ระวังตัวให้ดี”
“ขอบพระทัย ลาก่อน”  สนทนาไม่ทันไรผู้คลุมผ้านี้ก็ได้หายตัวไป ปล่อยให้เทวดานั้นพินิจน้ำเต้าวิเศษนี้ครู่หนึ่งก่อนจะหายตัวไปด้วยเช่นกัน
……………………………………….
“พระธิดาเพคะ ทำไมพวกเราถึงไม่ไปยังวิมานของพระราหูหรือไม่ก็พระพิรุณก่อนล่ะเพคะ ทำไมต้องมายังสระน้ำแห่งนี้ด้วย”จั๊กแหล่นถามอีกฝ่ายอย่างอดสงสัยมิได้
“ไปเข้าเฝ้าทั้งสองพระองค์เสร็จก็ต้องเร่งเดินทางไปยังน้ำตกสัตตะสีเลย เราไม่อยากเทียวไปเทียวมา แวะที่นี่ครู่เดียวไม่เสียเวลามากหรอก” ปัทมาสน์กล่าวตอบแล้วเดินไปตามหินสีนิลที่เรียงรายกันอยู่ มุ่งหน้าสู่ริมสระสีมรกตเรียกเอาหยดน้ำขึ้นมาเป็นร้อย ไม่นานนักหยดน้ำก็สลับตำแหน่งที่อยู่กันจนมีน้ำหยดหนึ่งลงมาบนฝ่ามือของเธอ เธอพนมมือเพียงครู่ก็แยกมือออกมาปรากฏเป็นดวงใจหนึ่งดวงที่เหมือนจะมีเงาซ้อนทับกับรวมแล้วได้เจ็ดดวงพอดี
“อ้อที่แท้พระธิดาก็มาเอาดวงใจกลับคืนนี่เอง”
“ใช่ เราถอดดวงใจได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้นและที่สำคัญเราได้ลบลืมคาถาถอดดวงใจไปแล้ว ถ้าแยกร่างถาวรดวงใจก็แยกจากกันถาวรไปด้วย คนที่ท่องคาถาถอดดวงใจมีแต่เราคนเดียว เรากลัวว่าพวกคนที่เหลือจะรับความเจ็บปวดลำพังไม่ไหว” ธิดาวันอังคารตอบรับแล้วจึงนำดวงใจกลับเข้ายังอุระตามเดิม
“แต่เอ….ทำไมพระธิดาแสงสุรีย์ยังทรงรอดมาได้ทั้งที่สังวาลย์เสียหายไปตอนน้ำท่วมล่ะเพคะ”
“โถ่ จิตวิญญาณพวกเราอยู่กับแสงสุรีย์ ไม่ใช่สังวาลย์มณีนะจั๊กแหล่น สิ่งวิเศษนี่ช่วยให้พวกเราออกมามีตัวตนชัดเจน ไม่อย่างนั้นคนอื่นใส่ก็มีเจ็ดคนแยกร่างกันไปหมดแล้ว อย่าเสียเวลาถามนักเลย ไปกันต่อดีกว่า” ที่เธอพูดอย่างนี้ด้วยความแน่ใจเป็นเพราะมีความทรงจำของแสงสุรีย์ที่เคยเห็นวิชชุนาคราชสวมใส่ดูความปลอดภัยก่อนจะมอบให้ ทางนั้นไม่มีอะไรในร่างกายเปลี่ยนไปเลยสักนิด
………………………….
อีกฝั่งอังคาสกับหิ่งห้อยยักษ์ได้ไปยังท้องนภา ในคราแรกความร้อนนั้นยังพอทนได้แต่ว่าพอใกล้รัศมีอันร้อนแรงของพระทินกรก็แทบจะพรากชีวิตเจ้าแมลงยักษ์เสียให้วอดวาย
“พี่หิ่งห้อย น้องไปคนเดียวน่าจะดีกว่า หากพี่ฝืนไปด้วยกันคงจะไม่ดีแน่” อังคาสกล่าวกับผู้ร่วมทาง เขาน่ะทนได้เพราะมีเกราะกายสิทธิ์คุ้มกายแต่อีกฝ่ายจะไม่ไหวเอา จึงขอแยกทางสักพักก่อนดีกว่า
“ระวังพระองค์ด้วยนะพระเจ้าค่ะ” ถึงจะรู้ว่าความร้อนนั้นไม่สามารถคร่าชีวิตผู้สวมใส่สิ่งวิเศษได้ก็จริง แต่เรื่องอันตรายอื่นๆก็อาจจะเกิดขึ้นได้ อย่างนี้จะไม่ให้ห่วงได้อย่างไร อีกฝ่ายได้ยินแล้วจึงพยักหน้าก่อนที่จะจากไป

ในม่านเมฆาขาวนั้นปรากฏรัศมีวงกลมสีแดงพริกออกจะเป็นสีสดที่ผสมกับสีส้มอยู่เล็กน้อย มองผ่านๆแล้ว สำหรับโอรสวันอังคารไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าหากมองนานไปต้องรู้สึกปวดแสบที่ดวงตาแน่ เขาจึงรีบกวาดสายตามาองหาจุดกลางของรัศมีวงกลมใหญ่นั้นเพื่อหาองค์ภาสกรให้เร็วที่สุด
“ทูลพระสุริยเทพ หม่อมฉันอังคาสมาเข้าเฝ้าพระองค์ท่านมีเจตจำนงเพื่อขอพระกรุณาช่วยให้เกิดสุริยคราสภายในเจ็ดวันนี้ ขอพระองค์ประทานพระกรุณาต่อพวกหม่อมฉันด้วยเถิดพระเจ้าค่ะ” เขาเหาะมายังจุดตรงวงรัศมีได้พบกับพระเทวาร่างสีชาดทรงราชสีห์จึงได้เข้าเฝ้าโดยทันที
“บุรุษท่านนี้ ท่านคิดว่าการเกิดสุริยคราสนั้นจักเกิดง่ายดั่งใจท่านคิดเช่นนั้นรึ”
เมื่อฟังความผู้ทูลแล้ว พระอรหบดีจึงได้ถามย้อนกลับไป ถ้าขอกันง่ายๆอย่างนี้ ภายหลังจะมีคนมาขอกันอีกมาก ไม่ใช่เพียงตนที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ยังต้องให้พระราหูร่วมสร้างด้วย การที่อยู่ในโอษฐ์ผู้อื่นก็มิใช่สิ่งที่ใครจะยินดีทำได้
“หม่อมฉันทราบดีว่า เรื่องเช่นนี้เป็นการรบกวนพระองค์เป็นอย่างมาก แต่ว่าหากพวกเราทั้งหมดไม่สามารถจะแยกจากกันอย่างถาวรได้แล้ว คงเป็นเรื่องยากที่จะจัดการเรื่องสงครามที่กำลังจะเกิดต่อจากนี้ได้แล้วพระเจ้าค่ะ”
“ใครว่ารบกวนเรากัน เรารู้เรื่องนี้และพูดคุยกับสหายไว้แล้ว ขอเพียงพวกท่านเอ่ยมา พวกเรามีหรือจะไม่ช่วย เพียงแต่พวกเราไม่ได้เข้าร่วมสงครามในครานี้ ขอให้พวกท่านรักษาความเป็นธรรมไว้ให้ดี ” พอกล่าวเช่นนั้นจบครบแล้ว รัศมีแห่งดวงอาทิตย์ก็สำแดงความร้อนแรงเป็นสัญญานการเคลื่อนย้ายตำแหน่งบนนภาแล้ว ทางอังคาสจึงได้เดินทางมุ่งสู่มิติกระจกในทันที
………….
ในเวลาบ่ายตะวันเคลื่อนย้ายคล้ายจะเย็นเต็มที เมื่อเสร็จเรื่องที่ต้องจัดการแล้วสหายทั้งสองฝั่งจึงได้เดินทางมารวมกันที่จุดสูงสุด ณ ทิศอุดร อันมีมิติกระจกอยู่ระหว่างต้นไม้ใหญ่สูง ซึ่งแต่ละต้นสูงประมาณห้าวาได้ โดยมีชายคนหนึ่งมายืนพิงต้นไม้ราวกับกำลังรอใครอยู่
“สหายทั้งสองมาแล้วเหรอ เรากำลังรออยู่พอดี เก่งนะที่มาถึงที่นี่ได้แต่ว่าการเข้าไปด้านในได้นั้นเห็นทีพวกเจ้าคงไม่มีปัญญา” ชายรูปงามผู้นั้นกอดอกเดินมายังจุดที่คนวันอังคาสและสหายคู่ใจที่กำลังยืนอยู่ด้วยท่าทียิ้มเยาะ
“เจ้าเป็นใครกัน”ปัทมาสน์ถามไปด้วยน้ำเสียงแสดงความไม่พอใจ ที่แห่งนี้ควรจะเป็นสถานที่ที่มีแต่พวกของเธอสิถึงจะถูก มีคนนอกอยู่ด้วยอย่างนี้แล้ว การแยกร่างจะเป็นไปได้อย่างยากลำบาก และเสี่ยงอันตรายแน่
“เจ้ามาทางไหนก็กลับไปทางนั้น พวกเราไม่อยากมาเสียเวลากับเจ้า”  นี่มันไม่ใช่เวลาเลยนะ ตัวอังคาสนั้นก็ไม่อยากให้เรื่องกวนใจเช่นนี้มาทำให้เสียเวลา จึงบอกอีกฝ่ายไปเช่นนั้น แต่ถ้ามายอมหลบหลีกเห็นทีจะต้องลงมือ
“ทำไมถึงจำเราไม่ได้ เราอันติมะยังไงล่ะสหาย” ชายผู้นั้นมองยังหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ทั้งสองด้วยท่าทีอันคุ้นเคย
“อันติมะ….ออ เป็นเจ้านี่เอง” ฟังชื่อที่เอ่ยมาโอรสเมืองรัตนบุรีนั้นเข้าใจได้ไม่ยาก ความทรงจำที่เชื่อมถึงกันทำให้เขานั้นเข้าใจในทันที แต่ว่าอีกคนนี่สิ
“อะไร รู้จักกันด้วยเหรอ ถ้ารู้จักกันก็ไม่ต้องพูดให้มากความ เข้าไปได้แล้ว” คนไม่รู้เรื่องด้วยไม่คิดจะอยู่ให้เสียเวลาหรอก
“เดี๋ยวสิ ใจเจ้าจะเข้าไปที่น้ำตกอย่างเดียวจนไม่คิดสนใจเราเลยงั้นเหรอ” ไม่ว่าเปล่าเขายังคว้าข้อมือเจ้ายักษิณีที่มุ่งหน้าจะเข้าสู่มิติกระจก
“น่ารำคาญจริง!!” เธอทนคนกวนไม่ไม่ไหวจึงใช้หมัดกะจะชกเข้าให้ที่ใบหน้าอีกคน
“อย่าๆ!!” อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัวก็ร้องออกมาด้วยท่าทีตกใจ ลำพังแรงคนยังพอทนแต่นี่แรงยักษ์จะต้านได้เท่าไหร่ ยังดีที่อังคาสมาช่วยรับมือแทน ไม่อย่างนั้นจบไม่สวยแน่
“ที่แท้ก็เป็นเจ้า อัญญานี ทีหลังอย่าเล่นอะไรแบบนี้อีกนะ ” เธอเห็นชายกลับกลายเป็นหญิงคนสนิทก็เข้าใจในทันทีว่าแปลงกายเพื่อความปลอดภัย ก็เจ้าตัวดันเป็นคนสำคัญกับฝั่งศัตรูซะเองนี่สิ
“เราแปลงขั้นนี้ได้ ก้าวหน้าขึ้นมากใช่ไหมล่ะ ไม่ต้องโพกผ้าที่หัวแกล้งเป็นชายทั้งๆที่เป็นหญิง แบบนี้เนียนกว่ากันเยอะ” เธอพูดกับสหายชายที่รับรู้ในข้อนี้ เขาก็พยักหน้าไม่ว่าอะไรต่อมาจึงเดินไปยังหน้ามิติกระจกในทันที
“ตบตาได้ดี แต่สติต้องนิ่งกว่านี้ อย่าตกใจเกินเหตุ ไว้แยกร่างได้ถาวรแล้วเราช่วยสอนเจ้าแปลงกายอีกแรง” ธิดาเมืองคีรีมาศกล่าวกับสหายก่อนจะตามไปดูที่มิตินั้น
“ตอนที่เราล่วงหน้ามาก่อน เราได้รู้เรื่องหนึ่งจากที่เราส่งแมลงส่องทาง มิตินี้ต้องเข้าตอนที่มีรูปวาดน้ำตกเท่านั้น ส่วนภาพอื่นที่ปรากฏดั่งของจริงอย่าเข้าไปเด็ดขาดไม่อย่างนั้นจะติดอยู่ในที่ที่ร้อนระอุออกไม่ได้” ธิดาเมืองโกสุมพิสัยกล่าวกับผู้ร่วมทาง ช่วงที่เธอทดสอบสหายไม่ได้เป็นการถ่วงเวลาแต่เป็นการฆ่าเวลาเพื่อรอภาพวาดปรากฏขึ้นมาตะหาก ถ้าวู่วามเข้าไปเห็นทีจะเสียเวลานานกว่านี้แน่
-------------------------------------------------------------------------------ทุกวันอาทิตย์เวลาประมาณ20.30น.ค่ะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ เมษายน 03, 2022, 12:30:15 PM
 w12สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านค่ะ วันนี้จักรกรดต้องขอแจ้งงดอัพเดตนิยายในวันนี้ด้วยนะคะ​ เนื่องจากช่วงหลายวันมานี้จักรกรดมาทำธุระที่ต่างจังหวัดจึงไม่สะดวกที่จะเขียนเนื้อหาให้มากเพียงพอ​ จึงขอเลื่อนไปอัพเดตในสัปดาห์หน้าแทน​ ต้องขออภัยทุกท่านเป็นอย่างสูงค่ะ w15
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ เมษายน 17, 2022, 05:23:46 PM
“พระองค์!!”อินทราณีร่างจำแลงกล่าวอย่างยินดีที่ได้พบกับผู้ที่เป็นรักยิ่งชีพตนกลับมายังหอชิดดาราเพื่อเคียงข้างตนแล้ว แม้ใบหน้าของเธอจะซีดเซียวไปบ้างแต่ความสดใสกลับปรากฏในน้ำเสียงผิดกันอย่างเห็นได้ชัด
“อินทราณี ทำไมถึงไม่พักผ่อนให้ดีเสียก่อน รีบออกมาจากตำหนักอย่างนี้ถแป็นอะไรขึ้นมามากกว่าที่เป็นอยู่จะเป็นอย่างไร” เขาก็ยินดีที่ได้พบกับคนรัก แต่ก็ไม่ได้อยากให้มาหาตนเองเลย เขากะจะไปเยี่ยมในตำหนักด้วยตัวเองเลยด้วยซ้ำ
“ก็หม่อมฉันคะนึงหาเพียงแต่พระองค์แม้แต่ในความฝัน แต่ฝันที่พบกลับไม่ดีเท่าที่ควร การที่หม่อมฉันพบกับพระองค์จริงย่อมดีกว่าเพคะ”
“ฝันไม่ดีเท่าที่ควรงั้นหรือ”
“เพคะ ในความฝันของหม่อมฉันนั้นมีเกลียวทองอยู่ นางเข้ามาหาพวกเราทั้งสองร้องขอความเห็นใจซ้ำยังว่าพระองค์ไม่ใยดีในชีวิตนาง เห็นเช่นนั้นจึงไม่รู้สึกสบายใจ แต่หม่อมฉันก็หวังว่านางจะไม่เป็นอะไร”
“นางไม่เป็นอะไรหรอก เจ้าก็รู้ว่านางเป็นคนเก่งกล้าสามารถเอาตัวรอดได้ไม่ยาก ถ้านางมีอันตรายมีหรือเราจะไม่ช่วย ยังไงเสียนางก็เป็นสหายของเจ้านะ” เขาช่างพูดได้อย่างหน้าตาเฉยเสียจริงทั้งๆที่พอเกิดเหตุการณ์ก็ไม่เห็นจะใยดีเขาเลย
“หยุดพูดถึงเรื่องนี้กันดีกว่า เราว่าเจ้าพักผ่อนต่ออีกสักหน่อยเถิด เราจะเคียงข้างเจ้าจนกว่าเจ้าจะอาการดีขึ้นกว่าเดิม”
“เพคะ” เธอรับคำแล้วกลับเข้าสู่ตำหนักอย่างว่าง่าย ถึงแม้ทั้งสองจะเคยเป็นสวามีและชายากันมาก่อนแต่ว่าในชาตินี้แล้วงานวิวาห์ยังไม่เกิดขึ้น เทพวิษุวัตทำได้แค่คอยดูแลแต่ไม่อาจร่วมเรียงเคียงหมอนกับนางอันเป็นที่รักได้
…………………………..
“ปกีรณัมบทที่ว่าน่ะอยู่ไหนกันจั๊กแหล่น หรือว่าท่องจำมา” ปัทมาสน์ถามด้วยความสงสัย
“ท่านตาบอกปากเปล่าจั๊กน่ะจำไม่ได้หรอกเพคะ ท่านตาจึงลงอักขระชั่วคราวที่แขนจั๊กไว้แทนเพคะพระธิดา” จั๊กแหล่นพูดพลางลูบแขนซ้ายของตนจนปรากฏอักษรเป็นคาถาที่มีความยาวไม่มากเท่าไหร่
“ท่านตาให้พระโอรสกับพระธิดาจำบทนี้ให้ได้เพคะเพราะหลังจากอ่านครบสองรอบคาถานี้จะหายไปจากแขนของจั๊กแล้วล่ะเพคะ”
“ได้ พวกเราที่ดูมีตั้งสิบสี่คนไม่ต้องห่วงหรอก”
“ไม่ห่วงได้ยังไง เรื่องนี้ต้องจำได้ทุกคนสิถึงจะแยกจากกันได้ เจ้านี่ไม่ใส่ใจเอาซะเลย” บุรุษวันอังคารต่อว่าผู้ร่วมทางถึงคำพูดที่ดูไม่ใส่ใจราวกับว่าจะโยนภาระความจำไปให้ผู้อื่นอย่างเดียว
“จริงอย่างที่พระโอรสพูดนะเพคะ” แม่เสือสาวกล่าวอย่างเห็นด้วยกับอีกฝ่าย
“เรื่องนี้เรารู้อยู่แล้วหรอกน่า รีบทำพิธีกันเลยดีกว่า ชักช้าพวกนั้นจะรู้ตัวก่อน”
“ทำไมพวกนั้นถึงจะรู้ตัวก่อนได้ล่ะพระเจ้าค่ะ” หึ่งห้อยยักษ์เกิดความสงสัยในคำพูดเมื่อครู่นี้ขึ้นมา
“พวกนั้นมีติณกฤตอยู่ ช้าเร็วเขาก็ต้องสืบหาจนรู้แน่ ทางนั้นเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกับพวกเรา มีหรือจะคาดเดาสิ่งใดไม่ถูก”
“ก็จริงนะ พวกนั้นคิดทำสงครามกันแล้วยิ่งจะต้องตามหาพวกทั้งหมดเพื่อนำสิ่งวิเศษทั้งสองนี้ไปครอบครองไม่ก็ทำลายทิ้ง พวกเขาต้องหาวิธีตามหาพวกเราจนพบให้ได้นั่นล่ะ” อัญญานีหลังจากฟังความของสหายก็เกิดคิดตาม ฝ่ายตรงข้ามไม่มีทางปล่อยพวกตนไปง่ายๆหรอก
“เอาล่ะ เช่นนั้นก็อย่ามัวเสียเวลาอีกต่อไปเลย” ธิดาเมืองโกสุมพิสัยกล่าวบอกกับสหายเพราะไม่อยากจะเสียเวลาไปมากกว่านี้แล้ว เรื่องใดที่ต้องการถามไว้ว่ากันหลังเสร็จพิธีดีกว่า
หลังจากจบประโยคของสหาย ผู้สวมใส่เกราะกายสิทธิ์และสังวาลย์มณีได้นั่งลงใต้น้ำตกที่มีสีทั้งเจ็ดด้วยท่าขัดสมาธิและตั้งจิตมั่นพนมมือ ขณะที่กำลังหลับตาอยู่นั้นดวงจิตก็ได้เริ่มท่องคาถาอันจะทำให้คนทั้งหมดแยกจากกันโดยถาวร โดยมีผู้ดูแลความปลอดภัยให้ในช่วงเจ็ดวันเจ็ดคืนนี้ไม่ห่างกาย
……………………………
“ที่ที่คาดไม่ถึงเป็นที่ที่คอยเฝ้าคะนึงหาอย่างนั้นเหรอ” บดิศรครุ่นคิดถึงคำใบ้บอกกล่าวของศิลาพยากรณ์ที่ต่างเป็นที่กล่าวขานว่าสิ่งใดในโลกย่อมทราบ แต่เสียดายถ้าไม่ถูกคำสาปคงบอกให้รู้ตามตรงแล้ว ไม่ต้องมานึกคิดให้วุ่นวายหรอก
“หรือว่าพระนางจะมีความเกี่ยวข้องกับคนพวกนั้น เพราะสิ่งที่เทพวิษุวัตคอยคะนึงหานั้นมีเพียงอัญญานีกับของวิเศษสองสิ่งนั้น……อัญญานีนางได้กลิ่นของดอกปาริชาตแล้ว ถ้ารู้น่าจะบอกพระองค์ก่อนที่จะถูกถามด้วยซ้ำ”
“กำลังคิดอะไรอยู่น่ะบดิศร” ธานินทร์ที่เห็นท่าทีครุ่นคิดของผู้ร่วมอุดมการณ์รับใช้พระเทวาดูนิ่งเงียบไป ดูราวกับว่ามีเรื่องคิดสับสนวุ่นวายอยู่ในใจไม่หายอย่างนั้น
“ท่านนี่เอง มาพอดีเลย…เรากำลังคิดเรื่องพระเทวีเบญจเนตรอยู่น่ะ มีหลายอย่างที่เรายังไม่รู้อีกมาก” ถึงอดีตชาติเขาจะเคยรับใช้พระอนุชาของเทวีองค์นี้ก็จริงอยู่ แต่เรื่องราวก่อนหน้าที่เขาจะเป็นหนึ่งในบริวารนั้นไม่อาจทราบได้เลย
“เรื่องนี้นี่เอง เจ้ากับอัคนีอุตส่าห์ไปหาคำทำนายมาแต่ก็ยังไม่ได้ทูลสักทีนี่นะ”
“เรื่องเกิดขึ้นหลายอย่าง ซ้ำว่าที่พระชายาอาการไม่สู้ดี เราไม่อยากให้พระองค์ต้องพะวงเรื่องนี้มากเกิน ว่าจะจัดการเรื่องนี้ให้พระองค์ไปก่อน …ท่านพอจะรู้หรือไม่ว่าแห่งหนหรือสิ่งใดบ้างที่พระเทวาท่านคะนึงหา”
“อืม..พระองค์คะนึงหาไม่กี่อย่างหรอกนะ พระชายาอินทราณี ทิพย์อาสน์ พระเทวีเบญจเนตร แล้วก็ของวิเศษสองสิ่งที่พวกนั้นสวมใส่นั่นล่ะ…เขาใบ้มาเกี่ยวกับสิ่งพระเทวาคะนึงหาเหรอ”
“ใช่ ที่ที่คาดไม่ถึงเป็นที่ที่คอยเฝ้าคะนึงหา”
“อย่างอินทราณีน่ะตัดออกไปได้เลย ถ้านางรู้ยังไงก็ต้องบอกพระองค์ท่านอยู่แล้ว อีกอย่างพระเทวีไม่ค่อยจะโปรดนาง ไม่มีทางบอกที่ซ่อนหรืออยู่กับนางได้แน่”
“เราก็คิดเช่นนั้น ที่เหลือก็เป็นไปได้มากที่พระองค์จะสถิตยังสิ่งที่ว่านั่นทั้งทิพอาสน์ เกราะกายสิทธิ์หรือแม้แต่สังวาลย์มณี”
“เราว่าของวิเศษทั้งสองสิ่งนั่นไม่ใช่ที่ที่จะสถิตได้หรอกนะ เพราะว่าเคยถูกทำลายมาแล้วครั้งนึงหนิ” อัคนีเข้ามากล่าวหลังจากเฝ้ามองทั้งสองสนทนาหัวข้อที่ตนก็ได้รับคำทำนายมา
“มันก็ไม่แน่ พระองค์อาจจะย้ายออกไปชั่วคราวก่อนที่จะถูกทำลายก็เป็นได้ อย่าลืมสิว่าเป็นพระนางเองที่สาปศิลาพยากรณ์ไม่ให้บอกเรื่องที่สถิต ถ้าจะคาดคั้นเอาอนาคตจากศิลานั่นทำไมจะทำไม่ได้” บดิศรค้านความคิดอัคนี ถึงจะเคยถูกทำลายแล้วมันยังไงล่ะ เทวีแค่มาสถิตไม่ได้ถูกสะกดให้เป็นหนึ่งเดียวกันเสียหน่อย
“แล้วเจ้าไม่คิดว่าเป็นทิพย์อาสน์บ้างรึยังไง ที่นั่นน่ะจะว่าเป็นที่ที่อันตรายที่สุดแต่ก็เป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดนะ ลองคิดดูปัจจาตามหาไปทั่วสารทิศตลอดพันปีโลกมนุษย์แต่ก็ไม่เคยพบ อีกอย่างพระอินทร์ก็ไม่ได้สนพระทัยเรื่องที่พระชายาของตนหายไปแม้แต่น้อย” ติณกฤตที่เห็นทั้งสามจับกลุ่มกันก่อนหน้าจึงเข้ามาร่วมฟัง ไม่บอกตั้งแต่ต้นแต่พอจะทราบว่าพูดเรื่องอะไรกันอยู่
“หรือจริงๆแล้วเป็นพระอินทร์ที่ซ่อนพระนางมาตั้งแต่ต้น พอพระองค์ไม่อยู่กับทิพย์อาสน์ก็ไม่ต้องห่วงอะไรมากเพราะคิดว่าอย่างไรพระเทวาวิษุวัตก็ไม่ได้สงสัยอะไรในส่วนนี้อยู่แล้ว” ธานินทร์รู้สึกเห็นด้วยกับนาคาที่มาภายหลัง ข้อนี้ไม่ได้ผิดกับที่พบเจอมาเลยแม้แต่น้อย
“เราว่าเป็นไปได้ทั้งสองอย่างนะ เอาอย่างนี้แล้วกัน ทางนึงไปตามหาแล้วชิงของวิเศษจากพวกนั้นก่อน อีกทางนึงไปดูที่ทิพย์อาสน์ มีไม่มียังไงค่อยไปสมทบอีกที เพราะยังไงพวกเราก็ต้องใช้ของพวกนั้นสังหารพระอินทร์องค์นี้อยู่ดี” อัคนีออกความเห็น หลังจากที่สู้กับฝั่งนั้นมันแน่นอนอยู่แล้วว่าทางนั้นต้องระวังและซ่อนตัวอยู่ที่ใดที่หนึ่งแน่จึงต้องเร่งตามหา เรื่องจะได้จบอย่างไม่ค้างคา ถึงชนะสงครามแต่พระอินทร์กลับมาไม่ยอมสิ้นชีพไป เรื่องคงต้องแดงไปถึงสามมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ ฝั่งตนจะเสียเปรียบเอาน่ะสิ
“ความคิดของเจ้ากับเราตรงกัน เอาตามนี้ล่ะ ไว้วันสร้างเขตรบค่อยมารวมตัวกันอีกที” หลังจากที่บดิศรพูดจบทั้งหมดจึงแยกออกเป็นคู่ๆแล้วจึงออกไปค้นหาว่าแท้จริงแล้วพระเทวีเบญจเนตรนั้นสถิต ณ ที่แห่งใดกันแน่
………………………
   วันใหม่ได้เข้ามาแล้ว คนที่นั่งสวดคาถายังคงอยู่ ณ ที่เดิมก็ไม่มีท่าทีที่จะเหนื่อยล้าหรือว่ามีอาการหนาวเหน็บจากการถูกน้ำตกถาโถมเข้าใส่แต่อย่างใด พวกที่คอยดูแลความปลอดภัยก็พอจะวางใจได้ในระดับหนึ่ง
“พี่หิ่งห้อย จั๊กแหล่นตอนที่พวกเราสูดดมกลิ่นของดอกปาริชาต ระลึกชาติแล้วได้มีความรู้สึกหรืออารมณ์อะไรร่วมมั้ย หรือว่าไม่รู้สึกอะไรแต่รับรู้เรื่องราวอย่างเดียว” คืนหนึ่งแล้วที่เฝ้ามองคนที่น้ำตก อัญญานีคิดว่าถ้ามัวแต่มองอย่างเดียวตลอดเจ็ดวันเจ็ดคืนอย่างนี้คงจะไม่มีประโยชน์อะไรแน่ ไม่สู้พูดคุยเรื่องที่หาจะมีประโยชน์ต่อชีวิตของพวกเขาในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ดีกว่า
“ไม่เคยพระเจ้าค่ะ แต่ว่าพี่หิ่งห้อยเคยได้ยินบรรพบุรุษบอกว่าบางรอบที่ดอกปาริชาตเบ่งบานนั้น กลิ่นของมันก็ไม่ได้ให้มีความรู้สึกร่วมด้วยเหมือนที่เป็นส่วนใหญ่น่ะพระเจ้าค่ะ”
“จั๊กก็เหมือนกันเพคะ เหมือนย้อนไปในอดีตแต่ไม่ได้รู้สึกอะไรกับมันเลยสักนิด”
“มิน่าล่ะ ทำไมตอนที่เราได้เห็นเหตุการณ์ต่างๆนั้นแต่ก็ไม่อาจจะจะรู้สึกอะไรได้ ตอนนั้นเหมือนว่าเรากับเทพวิษุวัตจะรักผูกพันกันมาก แต่เรากลับไม่รู้สึกอะไรกับเขาเลย”
“อย่างนั้นก็ดีแล้วเพคะ เวลาที่ต้องเผชิญหน้ากันจะได้ไม่เอาความรู้สึกมาปน เรื่องจะวุ่นวายไปกันใหญ่”
“เราพอจะรู้เหตุผลที่เทพวิษุวัตทำอยู่เหมือนกันนะ ที่ต้องการตำแหน่งเทวราชาจนต้องทำเรื่องพวกนี้ล้วนเกิดเพราะเราน่ะสิ” จะว่าไปเธอก็รู้สึกผิดที่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ส่งเสริมการกระทำอันออกจะเป็นฝ่ายอธรรมเสียขนาดนั้น
“พระธิดาจะทรงบอกว่าเป็นคนที่ขอให้เทพองค์นั้นทำเรื่องวุ่นวายพวกนี้น่ะหรือเพคะ” เธอไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ก็ย่อมถามด้วยความสงสัยเป็นธรรมดา
“ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก แต่เป็นเพราะว่าเราเป็นเพียงแม่มด คนธรรมดาที่หยิบยืมพลังจากธรรมชาติมาได้ก็เพียงเท่านั้น ไม่คู่ควรที่จะเป็นชายาของพระองค์ ใครๆต่างติฉินนินทาทั้งตัวเราและพระองค์ในทุกๆวัน ที่พระองค์ยังไม่ลงมือเพราะเราห้ามไว้ พอนับวันเข้าเราเจ็บป่วยจนหาทางรักษาแทบไม่ได้ พระองค์ก็ยิ่งคิดทวงเอาอำนาจกลับมาเพื่อที่จะได้ทำทุกวิถีทางให้ยื้อชีวิตเราไว้และเริ่มต้นกับตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่นั่น ตำแหน่งที่เขาคิดไว้ว่าคู่ควรตั้งแต่แรก” เธอกล่าวจบจึงถอนหายใจครู่หนึ่ง
“แต่นั่นเป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว พระองค์ไม่ควรยึดติดขนาดนั้นเลย เราห่วงก็แต่สหายปัจจุบันของเราที่มาต้องมาพัวพันปัญหากับพระองค์นี่ล่ะ”
“เรื่องบางเรื่องก็ยากจะทำใจได้จริงๆพระเจ้าค่ะ ความรู้สึกนึกเป็นสิ่งซับซ้อน บางคนปล่อยวางได้ บางคนก็ไม่”
“เมื่อตอนวันจันทร์เราได้ขึ้นไปบนสวรรค์เพื่อตบตาพวกฝั่งนั้น พอได้รู้มาบ้างว่าจะมีการสร้างเขตรบขึ้นมาเพื่อทำสงครามระหว่างฝั่งส่งเสริมเทพวิษุวัตกับฝั่งที่ภักดีต่อพระอินทร์องค์ปัจจุบัน คาดว่าพอสร้างเสร็จจะมีการกำหนดข้อตกลงกันในสนามรบนั้นเอง แต่ยังไม่แน่ชัดว่าจะเริ่มทำสงครามกันเมื่อใด เราว่าจะไปสืบเพิ่มสักหน่อย วันนี้พวกเราทั้งสามมาช่วยกันสร้างด่านป้องกันทั้งในและนอกมิติกระจกเพิ่มสักหน่อยดีกว่า พรุ่งนี้ที่ระหว่างไปสืบเกิดมีปัญหาอะไรขึ้นมาจะได้แก้ไขรับมือได้เบื้องต้น พอจะยื้อเวลาจนกว่าจะทำพิธีเสร็จ”  เมื่อตกลงกันแล้วจึงสร้างด่านป้องกันเพิ่มเพื่อความปลอดภัย เพราะไม่ว่าอย่างไรช้าเร็วอีกฝั่งต้องรู้ที่อยู่เข้าสักวันแน่
……..
“หนีไปแล้ว หนีไปแล้วเหรอพระเจ้าคะ!!” บดิศรทวนคำที่ได้ยินจากมารดาอย่างร้อนใจนัก เดิมทีตนคิดว่าจะใช้ครอบครัวของฝั่งทางนั้นมาเป็นตัวประกัน พวกนั้นจะได้มาหาเอง เพราะถ้ามัวหาอย่างไม่มีหลักแหล่งก็อาจเสียเวลากว่าเดิมได้
“ใช่ แต่เกลียวทองไปตามล่าพวกนั้นแล้วแม่เชื่อว่า นางจะสามารถนำกลับมาได้แน่”
“เสด็จแม่ ท่านน้าเกลียวทองนางสิ้นแล้วนะพระเจ้าค่ะ”
“ว่ายังไงนะลูก!! ไม่จริงน่า เสด็จพ่อของลูกยังอยู่ที่นี่กับแม่ ไม่ได้มีท่าทีต่างจากเดิมเท่าไหร่เลยนี่” เธอไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ในเมื่อสวามียังรักตนเสียขนาดนั้นแท้ๆ ถ้าไร้ซึ่งมนตราแล้วเขาก็ควรจะมีท่าทีต่อต้านตนบ้างแล้วสิ
“แสดงว่าเสด็จพ่อของลูกหลอกแม่อย่างนั้นหรอกเหรอ”
“เสด็จพ่อประทับอยู่ที่ไหนพระเจ้าค่ะ” เกิดเรื่องเข้าให้แล้ว เดิมทีเขาคิดว่าแค่จะหาคนมาเป็นตัวประกันไม่จำเป็นจะต้องเข้าเฝ้าพระบิดาของตนได้แท้ๆ
“พระองค์ประทับยังท้องพระโรงน่ะสิ เพลานี้ควรที่จะเลิกออกว่าราชการได้แล้วนะ”
“เสด็จแม่อย่าเป็นกังวลเลยนะพระเจ้าค่ะ หม่อมฉันจะตามเสด็จพ่อกลับมาให้ได้พระเจ้าค่ะ” เรื่องนี้เขาพลาดเองจริงๆที่ไม่ได้นึกให้ดี ตั้งแต่แม่มดเกลียวทองตายไป อันตรายก็จะเข้ามารดาตนได้ง่ายๆอยู่แล้ว ยังดีที่ผู้เป็นพ่อไม่ลงโทษอะไร แต่ว่าการที่หายหน้าไปแบบนี้โอกาสที่จะได้คืนดีก็แทบเป็นศูนย์ เห็นทีคราวนี้ต้องตามหาให้เจอแล้วเอามาเป็นตัวประกันไปก่อน เรื่องหลังจากนี้ไว้ว่ากันอีกที
_-------------------------------------------------------------------------------------ทุกวันอาทิตย์ประมาณ20.30น.
จักรกรดต้องขอภัยที่ไม่ได้อัพเดตในสัปดาห์ที่แล้วด้วยนะคะ เพราะเข้าในเว็บขึ้นว่าฐานข้อมูลผิดพลาดจึงเปลี่ยนมาลงวันนี้แทนค่ะ วันนี้ต้องขอลงเร็วกว่าเวลาด้วยนะคะเพราะต้องไปงานสวดอภิธรรมญาติด้วยค่ะ สวัสดีปีใหม่ไทยย้อนหลังนะคะ O0
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ เมษายน 24, 2022, 07:27:37 PM
สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านนะคะ จักรกรดต้องขออภัยอีกครั้งหนึ่งแล้วนะคะ เนื่องจากจักรกรดใช้อุปกรณ์เข้าค่ายออนไลน์หนักมากในช่วงนี้ แบตของเครื่องจึงไม่ค่อยเสถียรและประสบปัญหาที่ตัวเครื่องร้อนจัดเกินไปจนไม่อาจพิมพ์นิยายได้ครั้งละนานๆส่งผลให้เนื้อหาน้อยจนเกินไปและเพื่อจะพักเครื่องที่ใช้หนักในช่วงหลังจากออกค่ายสัก3-4วัน จักรกรดต้องของดอัพเดตนิยายสำหรับวันนี้ไปก่อนนะคะ แล้วจักรกรดจะอัพเดตชดเชยในวันเสาร์นี้ต่อด้วยวันอาทิตย์ตามกำหนดการเดิมค่ะ ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงจริงๆค่ะ  w15  a9
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ เมษายน 30, 2022, 08:37:25 PM
“ลีลาวดี ลีลาวดี” เสียงเรียกเกิดขึ้นท่ามกลางความเงียบในห้องรับรองทำหญิงอสรพิษรู้สึกถึงผู้ที่ต้องการสื่อสารด้วย แม้เจ้าตัวจะได้ยินชัดแจ้งแต่ผู้อื่นล้วนไม่มีใครได้ยินเสียงนี้เลย
“เสด็จลุงหลานได้ยินแล้วเพคะ” เธอตอบรับเสียงที่ได้ยิน นี่ก็ผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว ตนเพิ่งจะได้การติดต่อกับฝั่งของตนนี่เอง
“เป็นอย่างไรบ้าง คนพวกนั้นสงสัยอะไรในตัวหลานไหม”
“ไม่เลยเพคะ ทั้งหมดเชื่อว่าหม่อมฉันถูกเสด็จพี่ติณกฤตทำร้ายจนแทบเอาชีวิตไม่รอด  หมอหลวงที่นี่ดูไม่ออกแม้แต่น้อยซ้ำยังกล่าวว่าต้องนิทรายาวนานอีก”
“เช่นนั้นก็ดี หลานไปสืบเสียหน่อยแล้วกันว่าพวกนั้นนำเสบียงไว้ที่ใด”
“แค่สืบเองเหรอเพคะ” น้ำเสียงของเธอแสดงความเสียดายอย่างชัดแจ้ง เพียงแค่ให้ไปสืบเสาะหาจะไปสนุกได้อย่างไรกัน
“หลานอยากลงมือเลยก็ย่อมได้ แต่ว่าต้องหลอกตาพวกนั้นสักหน่อย หลานก็รู้ถ้าฝั่งนั้นพบว่าเสบียงหายไปมีรึจะไม่หามาทดแทน ซ้ำยังจะเสาะหาผู้กระทำการนี้ด้วย” ตนเองไม่ใช่ผู้ที่จะขัดใจอะไรหลานที่แสนจะโปรดปรานของตนอยู่แล้ว เรื่องแค่นี้ทำไมจะไม่ยอมกัน เขาห่วงแต่ฝั่งนั้นจะรู้ตัวจากความไม่ระวังเสียมากกว่า
“เพคะ หลานจะระวัง ..พอเท่านี้ก่อนนะเพคะ” เธอเข้าใจตามที่ได้ยินแล้วอีกประเดี๋ยวคงจะออกไป การสนทนาต้องหยุดลงก่อนจะได้มีเวลาไปทำอย่างอื่น แต่ทว่ากลับมีนางกำนัลเข้ามาดูแลตนเสียก่อนนี่สิ
“พระภาติยะลีลาวดีไม่น่าเป็นเช่นนี้เลย  เห็นกันมาแต่เล็กแต่น้อย น่าสงสารเสียจริง” นางกำนัลผู้นั้นเช็ดที่หน้าผากของผู้ที่หลับใหลพลางพูดด้วยความสงสาร เพราะว่าในบรรดานาคราชทั้งสี่พระองค์มีแต่ท้าววิชชุท่านที่มีบุตรครบทั้งชายหญิง ส่วนที่เหลือนั้นไม่ได้มีทายาทสืบทอดแม้แต่อย่างใด นั่นจึงทำให้สองพี่น้องได้แวะเวียนไปพักยังวังบาดาลของเหล่าพระปิตุลาจนเหล่านาคแต่ละแห่งล้วนผูกพันกับทั้งสองยิ่ง
“เจ้าคิดว่าเราอ่อนแอจนน่าสงสารงั้นเหรอ!!” อยู่ๆลีลาวดีก็ได้ลืมตาขึ้นมา ทำให้อีกฝ่ายตกใจเป็นอย่างมาก ยังไม่ทันจะได้กรีดร้องนางกำนัลก็ถูกปิดปากไว้เสียแล้ว ไม่นานนางจึงได้สลบไปพร้อมๆกับร่างกายที่แปรเปลี่ยนเป็นลีลาวดีแทน
“ดีที่เรานำผลแปลงกายของติณกฤตมาไว้ในฝ่ามือก่อนแล้ว ไม่งั้นคงจะวุ่นวายน่าดู” เธอว่าเช่นนั้นไม่นานจึงได้ผลแปลงกายทำให้ตนกลายเป็นน่งกำนัลผู้นั้นโดยทันที
“เราขอยืมตัวตนเจ้าสักหน่อย ไว้ค่อยจัดการเจ้าทีหลัง”
…………………………………………..
“ไม่นึกเลยนะ ว่าพวกเราทั้งสองจะได้มาเป็นคู่ทำงานด้วยกัน” ติณกฤตกล่าวกับอีกคน ถึงจะเคยร่วมด้วยช่วยกันสู้มาก่อนแต่นั่นมันเป็นการร่วมมือกันแบบกลุ่มนี่นะ
“ไม่เห็นจะต้องนึกอะไรเลยหนิ ยังไงสักวันเจ้ากับเราต้องมาทำงานคู่กันอยู่แล้ว ไม่เห็นแปลกอะไร” อัคนีไม่ค่อยจะแปลกใจอะไรกับเรื่องนี้นัก เพราะที่ผ่านมาเขาก็ทำงานคู่กับบดิศรไม่ก็ธานินทร์สลับกันอยู่แล้วไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่
“เราก็พูดไปอย่างนั้นเอง”
“เจ้านี่มันยังไงกัน!!”
“ไม่เอาน่าอย่าเพิ่งโมโหจนเสียงดังไป พวกเราทั้งสองอุตส่าห์โกหกเหล่าเทวดานางฟ้าไว้ว่าจะมาตามหาสิ่งที่ลืมไว้เมื่อคราวงานชมบุปผาสวรรค์นะ อีกอย่างยังอ้างพระเทวาวิษุวัตว่าให้มาสังเกตความเรียบร้อยของทิพยอาสน์อีก” ลำพังลืมของอย่างเดียวคงมาในนี้โดยไม่มีใครประกบไม่ได้หรอก ต้องอ้างเจ้านายตนเสียหน่อย ไหนๆเทพวิษุวัตก็รับหน้าที่รักษาการแทนพระอินทร์อยู่แล้ว เรื่องศิลาอาสน์จะช่วยดูแลก็ไม่เห็นน่าสงสัยตรงไหนเลย
"ตอนนั้นยังไม่เห็นเลยแท้ๆ ทำไมถึงอยู่ที่นี่ได้" เมื่อทั้งสองมาถึง อัคนินก็อดสงสัยตำแหน่งที่ตั้งของที่ประทับอันบอกเหตุแด่พระอินทร์ไม่ได้ เมื่อคราวจัดงานไม่เห็นจะมาอยู่ที่ใต้ต้นปาริชาตเลยนี่นา
"ปกติงานแบบนี้ใครจะให้ทิพอาสน์มาตั้งไว้กันล่ะ เกิดใครเล่นพิเรนไปขึ้นนั่งได้ฟ้าผ่าตกสวรรค์ตายก่อนพอดี"
"ใครมันจะไปทำอย่างนั้น"
"เทวดาอวดดีมีถมเถไป เคยได้ยินมามีผู้ขึ้นไปนั่งจริงๆ  จบไม่สวยซะด้วยสิ"
"สหาย ระหว่างนั้นพระอินทร์ท่านวานให้มาตุลีช่วยย้ายไปยังเวไชยันต์อัมรินทร์น่ะสิ" นาคาบาดาลทักษิณเห็นอีกคนยังสงสัยจึงแจ้งให้กระจ่าง
"เข้าใจแล้ว " เขาก็ไม่ได้อยากจะรู้ขนาดนั้นสักหน่อย ที่อยากรู้จริงๆคือที่นั่งนี่น่ะมีผู้ที่ตามหาประทับอยู่ภายในนั้นรึเปล่า
"ทูลพระเทวีเบญจเนตร บัดนี้พระเทวาวิษุว้ตใกล้จะทำตาพระสงค์เสร็จสิ้นขึ้นไปทุกที แต่ในความสำเร็จนั้นพระองค์ก็อยากให้พระนางช่วยอำนวยชัย ได้โปรดเถิดพระเจ้าค่ะอย่าได้รออยู่แต่ในนั้นอีกเลย" ติณกฤตนั่งท่าเพบตรพลางพนมมือกล่าวเชิญ แต่นั้นดูท่าแล้วจะไม่ได้ผลแต่อย่างใดเลย
"ถ้าพระนางจะเสด็จมาคงมาให้เทพวิษุวัตพบไปนานแล้ว ไม่ต้องตามหากันนานขนาดนี้หรอก"ก็จริงดังโอรสเมืองคีรีมาศกล่าว ถ้ายอมร่วมมือแต่แรกจะหนีหายหลบซ่อนกันยาวนานถึงเพียงนี้เชียวหรืิอ
"เช่นนั้นหม่อมฉันคงต้องลงมือ" ว่าแล้วผู้ที่วันทาเมื่อก็ได้เรียกเอาศาสตราวุธคู่กายเข้าโจมตีที่ศิลาอาสน์อย่างไม่ลังเล
…………………….
“เสด็จพ่อพระเจ้าค่ะ!!”  บดิศรใช้เวลาอยู่พักหนึ่งถึงจะตามหาบิดาของตนพบ แน่นอนว่าเขาไม่ได้หนีไปคนเดียว มันต้องมีคนมีคอยคุ้มกันระหว่างทางด้วย
“บดิศร!!” นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ได้พบโอรสในรอบสิบกว่าปีนี้โดยที่ตนไม่ได้อยู่ในการครอบงำ แต่ครั้งนี้ไม่ใช่การพบอย่างยินดีปรีดาเท่าใดเพราะจะมีภัยมาถึงตัวเอาน่ะสิ
“เสด็จพ่อ หม่อมฉันมาเชิญเสด็จกลับเมืองพระเจ้าค่ะ ที่นั่นปลอดภัยที่สุดสำหรับพระองค์แล้ว”
“อย่ามาพูด คนหลอกลวงอย่างพวกเจ้าเราไม่มีทางเชื่อหรอกว่าจะพาเรากลับไปแล้วอยู่อย่างปลอดภัย”
“แล้วเสด็จพ่อจะเสด็จยังที่แห่งใดหรือพระเจ้าค่ะ ที่ใดจะปลอดภัยไปกว่าที่นี่กัน……ถ้าเสด็จพ่อคิดจะตามไปอยู่กับคนพวกนั้น หม่อมฉันขอทูลให้ทรงทราบเลยว่าพวกมันยังเอาตัวไม่รอด เมื่อไม่กี่วันก่อนยังหนีหัวซุกหัวซุนไม่รอผลแพ้ชนะด้วยซ้ำ เสด็จพ่อแน่ใจจริงๆหรือพระเจ้าค่ะว่าทางนั้นคุ้มกันเสด็จพ่อได้”
“ได้ไม่ได้ก็ช่าง ต่อให้เราต้องตายเราก็จะไม่กลับไปอยู่กับเจ้าอีกเด็ดขาด”
“เสด็จพ่อ..”
“เลิกเรียกเราเช่นนั้นสักที เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้าตั้งแต่เจ้าเลือกเข้าข้างความอยุติธรรมแล้ว!!” เขาตวาดใส่สายเลือดของตนอย่างไม่ใยดี ทำเหมือนว่าทั้งชีวิตนี้ไม่เคยรักหรือผูกพันกับลูกคนนี้เลย
“ท่านเป็นคนพูดเองนะว่าไม่เกี่ยวข้องกับเรา เดิมทีเราจะเชิญกลับไปในฐานะบิดา ในเมื่อท่านไม่ยินยอมก็จงไปเป็นตัวประกันให้เราซะ!!!” เสียงด้วยความโกรธปนกับความน้อยเนื้อต่ำใจพลางมองหน้าบิดาด้วยตาช้ำน้ำแดงก่ำ เขาผิดนักหรือที่เลือกเส้นทางนี้  ในเมื่อไม่เห็นว่าคนคนนี้ไม่ใช่ลูก ตนก็จะละทิ้งความสัมพันธ์มุ่งหาประโยชน์เสีย
“อย่านะพระเจ้าค่ะ!!” อำมาตย์เรืองรองชักเอาดาบออกมากันนายเหนือหัวของตนไว้อย่างห้าวหาญ ไม่เกรงกลัวผู้สวมใส่เกราะตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าคิดว่าดาบนี้จะสู้เราได้อย่างนั้นเหรอ”
……………………………
“กานดา เจ้ามาทำอะไรที่นี่น่ะ” ทหารชาวนาคาสงสัยในท่าทีของสหายร่วมงาน จึงถามดูเสียหน่อย
“พอดีว่าเรา ……เราเดินมาผิดทางน่ะสิ โธ่ก็เราอายุมากแล้วก็เลยหลงๆลืมๆน่ะ” จะผิดทางได้ยังไงกัน เธอนั้นรู้ดีว่าเสบียงมักจะเก็บไว้ด้านทิศประจิมของวังบาดาลนี้เสมอจึงมุ่งหน้ามายังที่ตรงนี้
“ก็แค่ร้อยปีเอง ยังไม่มากขนาดนั้นหรอกน่า” ส่วนตัวแล้วตนเห็นเหล่าญาติกาเผ่าพันธุ์เดียวกันมีอายุได้มากสุดถึงห้าร้อยปีเสียเป็นส่วนใหญ่ เหลืออีกตั้งสี่ร้อยปีถ้าเป็นตามนั้น อายุตอนนี้ก็ไม่เยอะเท่าไหร่หรอก
“เราได้ยินมาว่าศึกครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมที่หลากหลายเผ่าพันธุ์ อีกทั้งยังรับผู้มีฤทธิ์อาสาเข้าร่วมด้วย…...ไหนๆก็ผ่านมาที่นี่แล้ว เราก็อยากเห็นเสบียงที่อยู่ที่นี่สักหน่อยว่าจะหลากหลายถึงเพียงใด”
“เห็นทีว่าจะไม่ได้หรอกนะ นี่เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องดูแลจะให้ใครเข้าออกดูอย่างง่ายดายไม่ได้หรอกนะ”
“ก็ได้เราไม่เข้าไปก็ได้ เราไปล่ะ” เธอหันหลังทำท่าจะจากไป แต่ว่าไม่ทันไรเธอก็กำหมัดฟาดย้อนไปด้านหลังของตนจนถูกผู้เฝ้าจนแทบจะล้มทั้งยืน ยังไม่ทันจะสู้กลับก็ถูกถีบเข้าให้ที่กลางท้องเสียแล้ว ซ้ำเธอยังใช้มือกระชากดึงเส้นผมอย่างโมโหโทโส
“เราขอเข้าไปดีๆไม่ชอบ กลับชอบที่จะเจ็บตัว!!”
“กานดาเจ้าทำอะไรน่ะ!!” ทหารอีกตนได้เข้ามาเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าก็รู้สึกตกใจ ปกติสหายไม่ใช่เป็นพวกสายนักสู้อะไรขนาดนั้นนี่  ทั้งยังทำร้ายร่างกายชายชาตรีเสียจนช้ำเสียขนาดนั้น
"ก็ทำอย่างที่เจ้าจะถูกกระทำยังไงล่ะ"
……………………………
“เจ้าเป็นใคร ” คำถามของเทวดาผู้สวมชุดสีครามทำเอาอีกฝ่ายเริ่มมีสีหน้ากังวล
"เราจะเป็นใครได้ นอกจากธนิษฐตรีน่ะสิ" เขาไม่ยอมจำนนต่ออีกฝ่ายแน่ อยู่ดีๆก็จะมาพาตัวไปไหนไม่รู้ ทั้งยังมาจ้องจับผิดตนอีก
"หึ ดูก็รู้ว่าไม่ใช่ตัวจริง ที่อัคนินเคยเล่าให้เราก็ไม่ได้มีท่าทีแบบนี้" ธานินทร์ได้ยินสิ่งที่สหายเล่าจนรู้ลักษณะของตัวจริงหมดแล้ว ซ้ำยังสัมผัสได้ถึงไสยเวทในตัวอีกคนก็ยิ่งมั่นใจเข้าไปใหญ่
"อัคนินน่ะอาจจำสับสนก็เป็นได้ คนเราต้องเปลี่ยนนิสัยท่าทีอะไรพวกนี้ตามกาลเวลาอยู่แล้ว"
"ได้ ในเมื่อเจ้ายอมรับตัวตนไม่ใช่ใครอื่น เช่นนั้นเจ้าก็ไปกับเรา"
"ไม่!!" พอสิ้นสุดคำปฏิเสธ ผกากรองในร่างสวามีได้ใช้กริชเข้าแทงอีกฝ่ายทันที เดิมทีลูกของตัวเองก็เคยเล่าเรื่องสหายให้รับรู้บ้างก็จริง แต่เธอกับลูกไม่เคยไว้ใจบอกความลับที่ตนอยู่ร่างนี้ให้ทราบ จู่ๆจะพาตัวไปโดยไม่ทันรู้ข่าวจากอัคนินต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่
"ของแค่นี้คิดว่าทำร้ายเราได้ขนาดนั้นเชียวเหรอ" เขาคว้าจับข้อมืออีกคนได้ทัน ในขณะที่คว้าอยู่นั้นเถาวัลย์ก็ได้พันรอบตัวอีกฝ่ายเรียบร้อยแล้ว
"ปล่อยเรานะ"
"เราขอลองยุ่งเรื่องในครอบครัวของสหายสักหน่อยคงไม่เป็นไร" เขาให้นิ้วโป้งซ้ายกดลงไปที่กลางหน้าผากของร่างกษัตริย์เมืองคีรีมาศเพื่อค้นความลับภายในใจดู พวกนี้ต้องปิดบังอะไรแน่ๆไม่งั้นคงไม่ขัดขืนหรอก
"ที่แท้พวกเจ้าสองแม่ลูกก็ปิดบังเรื่องนี้ไว้นี่เอง แต่ไม่เป็นไรหรอก ยังไงร่างและวิญญาณที่หลับใหลก็ยังเป็นท้าวธริษตรี เป็นเหยื่อล่อได้ดีอยู่แล้ว" นี่เป็นสาเหตุที่เขาไม่ได้อยู่กับบดิศร เดิมทีก็คิดจะไปค้นหาที่กบดาน แต่พอไม่เจอแผนตัวประกันให้มาหาถึงที่ก็นับว่าเป็นเรื่องดี
"เหยื่อล่อ เจ้าจะล่อลวงลูกเราเหรอ ลูกเราไปทำอะไรให้"
"ลูกเจ้าเป็นคนยังไงเจ้าเดาการกระทำเขาได้ไม่ยากหรอก แต่ว่าพวกที่เราจะล่อลวงให้มาเป็นศัตรูของเข้าต่างหากล่ะ"
"ว่ายังไงนะ..อย่าบอกนะว่าพวกสังวาลย์มณียังไม่ตายกันน่ะ" ต้องใช่แน่ แก้วตาดวงใจของตนถูกเรียกตัวไปเพื่อช่วยแย่งชิงตำแหน่งพระอินทร์นี่ ถึงขนาดต้องตามตัวราชาที่ทายาทดูเหมือนจะสิ้นไปแล้ว ถ้าเพื่อให้เป็นตัวประกันแล้ว ใครกันล่ะที่ต้องว้าวุ่นใจถ้าไม่ใช่บุตรธิดา
"ถ้าเป็นอย่างนั้นก็อย่าห่วงเลย เราจะช่วยท่านเอง แต่ว่าต้องปล่อยเราก่อน" ถึงเธอจะพยายามใช้มนตราคาถาก็ดูจะสู้แรงมัดเถาวัลย์นี้ไม่ได้เลย อาจเป็นเพราะว่าใจเธอหลายวันนี้ไม่ค่อยมีสุขเนื่องจากทุกข์ที่ร่างตนถูกเผาสิ้น
"ปล่อยน่ะได้ แต่ไปพบกับอัคนินก่อนแล้วกัน ช่วยไม่ได้พวกเจ้าอยากปิดบังกันดีนัก"
………………………….
"บ้าจริง!!" อัคนินหัวเสียอย่างมากที่สุดท้ายแล้วทิพอาสน์ก็ไม่มีอะไรเลย ใช้พลังไปก็มาก ดีที่ไม่โดนฟ้าเพราะสร้างเกราะกำบังไว้แล้ว
"ช่างมันเถอะน่า ตอนนี้ไม่เจอพระนางก็ไม่เป็นไรหรอกนะ ดีซะอีกเราจะได้แน่ใจว่าพระนางต้องอยู่กับพวกนั้นจริง" ถึงจะตั้งใจทำลายอย่างหนักจนแทบไม่ได้พักอีกยังพบแต่ความว่างเปล่า แต่ตัวเขานั้นก็กลับไม่มีท่าทีที่จะโมโหเลยสักนิด
"ตอนนี้พวกเราไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าพวกมันอยู่ที่ไหน"
"เอาน่า ไว้ผ่านวันพรุ่งนี้ไปก่อนแล้วค่อยเร่งตามหา ยังไงก็เจอ"
"ให้มันจริงอย่างที่เจ้าพูดเถอะ"  เขาอยากจะเร่งทำผลงาน ไม่ใช่เพราะอยากได้หน้าอะไรหรอก ถ้ามีความชอบก็จะขอออกไปไม่ยอมยุ่งเรื่องพวกนี้ด้วยอีกแล้ว
"ไปเถอะ พวกเราไปพักผ่อนกัน" อีกคนทำท่าทีอย่างกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วจึงเสกเอาของออกมาเสียสักสองสามชิ้น ให้ถือว่าหาของจริงไม่ได้หลอกลวงเล่น
…………………………..
"เราสลบไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันน่ะ ในฝันเหมือนจริงมาก แต่ว่าพระธิดายังบรรทมอยู่เลยนี่นา" นางกำนัลนาคีฟื้นจากนิทราราวกับว่าอ่อนเพลียเสียมากโข ช่างไม่รู้ตัวเสียเลยว่าแท้จริงเกิดอะไรขึ้น
"เจ้านี่มันไม่รู้อะไรเลยจริงๆ" ในท่วงท่าที่นิทราของอีกตนนั้นแฝงไปด้วยความกระหยิ่มใจ เป็นเช่นนี้ก็ดี ตนจะได้ไม่ถูกสงสัยและยังยืดเวลาที่จะถูกจับได้ออกไปอีกด้วย
"พรุ่งนี้จะเป็นวันสร้างเขตรบ เห็นทีเราต้องใช้งานเจ้าแทนเราสักหน่อยนะกานดา"
...………………………
“เราไปไม่นานไม่ต้องห่วงเราหรอกนะ” อัญญานีกล่าวกับหิ่งห้อยและจั๊กแหล่น ตนจะไปร่วมอาสารบกับเขาเสียหน่อยในฐานะชายหนุ่มที่ตนตั้งใจแปลงกาย แต่วันนี้ค่อนข้างแปลก ทั้งๆที่อยู่ในฤดูหนาวแต่กลับร้อนระอุราวกับไฟแผดเผา หรือนี่อาจจะเป็นลางบอกเหตุอะไรสักอย่าง ผู้ออกเดินทางหวังว่านี่คงจะไม่ใช่เรื่องร้ายมากเกินไปหรอก อาจจะเป็นลางดีที่เตือนแบบผิดแผกจากลางดีแบบทั่วไปก็อาจเป็นได้
---_-------------------------------ชดเชยของสัปดาห์ที่แล้วค่ะ ส่วนของสัปดาห์ลงตามกำหนดการเดิมค่ะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ พฤษภาคม 01, 2022, 08:40:29 PM
“เราไปไม่นานไม่ต้องห่วงเราหรอกนะ” อัญญานีกล่าวกับหิ่งห้อยและจั๊กแหล่น ตนจะไปร่วมอาสารบกับเขาเสียหน่อยในฐานะชายหนุ่มที่ตนตั้งใจแปลงกาย
“พระธิดาระวังพระองค์ด้วยนะพระเจ้าค่ะ ทางนี้มีพี่หิ่งห้อยกับจั๊กแหล่นอยู่ จะทำหน้าที่ปกป้องทุกพระองค์อย่างสุดความสามารถพระเจ้าค่ะ” ส่วนตัวแล้วเขาเองอยากจะเดินทางไปเป็นเพื่อน แต่ถ้าไปทั้งอย่างนี้จะถูกทำร้ายได้ง่ายเพราะตนแปลงกายไม่ได้นี่เอง
“พระธิดาแน่พระทัยจริงๆเหรอเพคะว่าจะเสด็จคนเดียว” เธอถามย้ำอีกครั้งหนี่ง
ใจนึงก็เป็นห่วงอีกใจนึกก็อยากจะลองวิชาที่ท่านตาสอนไว้ เผื่อว่ารูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปอาจจะช่วยงานได้อีกทาง
“เราแน่ใจ ไม่เป็นไรหรอกน่า เราแค่ไปเข้าร่วมรับฟังข้อตกลงเพื่อตั้งกฎในการรบเท่านั้นเอง อีกอย่างอันติมะน่ะไม่เคยมีเรื่องบาดหมางอะไรกับฝั่งนั้นคงไม่ตกเป็นเป้าสายตาง่ายๆหรอก”
“งั้นก็ขอให้พระธิดาปลอดภัยนะเพคะ”
“ขอบใจ ทั้งสองต้องระวังด้วยเช่นกัน หวังว่าระหว่างนี้ยังจะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมากนักนะ” ว่าแล้วเธอจึงออกนอกมิติกระจกก่อนที่จะใช้อำนาจของแหวนวิเศษหายตัวไปยังวังบาดาลบูรพาในทันที
………………………………..
“บดิศร นี่ก็ผ่านมาคืนนึงแล้วนะลูก ทำไมต้องจองจำเสด็จพ่อไว้แต่ในตำหนักด้วยล่ะ ถึงลูกจะมีแผนการเรียกพวกมันออกมาแต่ก็ไม่น่าทำขนาดนี้เลย” พิมาลากระวนกระวายใจมาตั้งแต่ให้ลูกยาไปตามตัวสวามีกลับมาได้แล้ว แต่คราวนี้ลูกตนมีรับสั่งต่อข้าราชบริพารอย่างเด็ดขาดว่าจะไม่ให้อิสระแด่บิดาได้ออกไปไหนทั้งนั้น ด้วยท่าทีที่ดูเกรี้ยวกราดเหมือนว่าจะสังหารคนให้สิ้นถ้าขัดใจจึงทำให้เธอไม่กล้าห้ามตั้งแต่ทีแรก รอจนเปลี่ยนวันตนจึงได้เข้ามาพบลูกของตนอีกครั้ง
“นี่ถือว่าดีมากแล้วพระเจ้าค่ะ ลูกไม่ได้ให้องค์เหนือหัวไปอยู่ตะรางเหมือนพวกนักโทษเพื่อเป็นรักษาเกียรติขงพระองค์แล้วพระเจ้าค่ะ” เขาทำลงไปก็อาจจะผิดจริงในฐานะที่เป็นสายเลือดเดียวกัน แต่นี่เขาก็ไม่ได้หมิ่นเกียรติมากจนรับไม่ได้ที่ไหนกัน
“องค์เหนือหัว..ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาลูกไม่เคยเรียกพระองค์เช่นนี้เลยนี่ลูก ทำไมถึงได้เปลี่ยนคำเรียกไป ทั้งท่าทีก็ดูเหินห่างกว่าตอนก่อนๆที่กล่าวถึงพระบิดาเสียอีก”
“เพราะในพระทัยไม่ได้มีหม่อมฉันเป็นลูกอีกต่อไปแล้วน่ะสิพระเจ้าค่ะ ไว้พระองค์ทรงนึกได้ว่าหม่อมฉันเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขและสำคัญกว่าพวกไอ้ง่อยนั่นเมื่อไหร่ เมื่อนั้นลูกอาจจะใจอ่อนยอมมอบอิสระคืนแด่พระองค์… อีกอย่างตอนนี้พระองค์เป็นตัวประกันสำคัญที่ลูกจะเอาชนะพวกมันได้  ยังไงเสียตอนนี้ลูกคงให้ความสุขสบายอะไรอย่างที่พระองค์เคยรับแบบนั้นไม่ได้หรอกพระเจ้าค่ะ”
“บดิศร อย่าทำแบบนี้เลยนะลูก ยิ่งทำแบบนี้ตัวลูกเองจะยิ่งทุกข์ใจเข้าไปกันใหญ่” ตนเข้าใจดีว่าบุตรนั้นได้รับความรักจากเจ้าเมืองน้อยกว่าพวกฝั่งศัตรูมาเสมอ จึงพยายามสอนให้ทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะทั้งใจพ่อและเหนือกว่าลูกคนอื่นๆ แต่ไม่นึกเลยว่าลูกจะใช้วิธีนี้
“เรื่องนั้นหม่อมฉันไม่มีเวลามีคิดหรอกพระเจ้าค่ะ ตอนนี้ได้เวลาเดินทางไปสร้างเขตลบแล้ว หม่อมฉันทูลลา” เขาไม่รีรอให้มารดามาหยุดยั้งการกระทำหรอกในเมื่อมันเกิดขึ้นไปแล้ว
………………………………
“ท่านอาจารย์ ท่านคงลืมไปหมดแล้วว่ามีศิษย์อยู่อีกหนึ่ง ทำไมท่านเอาใจฝักใฝ่แต่พวกนั้น เพราะพวกนั้นมีของวิเศษหรือเพราะพวกนั้นมีกันหลายคน ทำไมท่านถึงเอาแต่ช่วยพวกนั้นไม่เห็นช่วยศิษย์เลย” ติณกฤตเข้ามายังป่าจินตภพเพื่อมาดูว่าพวกศัตรูนั้นได้มากบดานที่นี่หรือไม่ แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผลเลย เขาเชื่อว่าเป็นความช่วยเหลือจากอาจารย์ของตนที่เข้าข้างลำเอียงไปช่วยศิษย์ทางนั้นมากกว่า ส่วนตนก็จนหนทางอยู่แบบนี้ ไม่รู้ว่าจะหลุดพ้นจาการกระทำตัวเองได้อย่างไร
“นี่มันลิขิตนี่ ทำไมถึงวางตรงหน้าท่านอาจารย์ไม่ได้ปลิวตามลมไปไหน” เขาสงสัยจึงหยิบขึ้นมาดู กระดาษแผ่นนั้นระบุว่าต้องการให้ตนโดยตรงจึงรีบอ่านอย่างไม่รีรอ
“ติณกฤต เจ้าอาจจะรู้สึกโดดเดี่ยวและไร้หนทางที่จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมแล้ว แต่เจ้าจงจำไว้ ถึงแม้ว่านี่เป็นสิ่งที่ต้องประสบแต่เพื่อบรรลุเป้าหมายเจ้าก็อย่าได้ลังเลใจเลย ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม” เขาอ่านพลางมองไปที่ฤษีพักตร์สิงห์ สิ่งที่ต้องการจะสื่อเขานั้นเข้าใจดีแล้ว แต่ตนก็หวังจะได้รับการช่วยเหลือที่ตระเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้วเท่านั้น จนกระทั้งสังเกตดู ตนได้พบขวดโอสถสีขาวตั้งอยู่จึงรับรู้ความหวังดีของอีกฝ่าย
“ท่านอาจารย์ยังยอมรับในตัวศิษย์ ” ว่าแล้วเขาก็นึกถึงกำหนดการที่ต้องเดินทางไปยังเขตที่สร้างสนามรบ จึงไม่อยากจะมัวเสียเวลากับตรงนี้จากความฟุ้งซ่านของตนเอง
…………………………….
“เรามาอาสาร่วมรบน่ะ แล้วก็จะมาช่วยสร้างเขตรบด้วย”
“อ้าว นี่เจ้ายังไม่รู้หรอกเรอะนี่ว่าพวกเขาเดินทางไปสร้างเขตการรบที่ไหนกัน”
“ไม่ใช่ที่นี่หรอกเหรอ” เขาฉงนเล็กน้อย นึกว่าจะมาจัดที่นี่เสียอีก
“ไม่ใช่หรอกพ่อหนุ่ม พวกเขาไปจัดกันที่ตั้งเก่าของเมืองโกสุมพิสัยน่ะ ถ้าอยากช่วยต้องเร่งเดินทางหน่อยนะ เดี๋ยวเขาก็สร้างเสร็จกันหมดพอดี” นาคาผู้ดูแลประตูเมืองได้แจ้งให้ทราบในข้อนี้ นึกว่าจะรู้กันทั่ว ที่ไหนได้ยังมีคนตกหล่นไม่รู้ที่ตั้งแน่ชัดอีก
“อย่างนี้นี่เอง เราขอบใจท่านมาก ไว้โอกาสหน้ามาใหม่จะตอนแทนท่านนะ”
“ไม่ต้องเกรงใจไปหรอก”
   อันติมะไม่รอช้ารีบหาที่ลับตาใช้ธำมรงค์ศุภรหายตัวตามไปยังบ้านเกิดเมืองนอนของตนทันที พอถึงที่หมายในใจของเขาก็รู้สึกโหยหาถึงอดีตที่เคยสงบสุข หากเกลียวทองไม่ได้มาเป็นมเหสีคนใหม่ของที่นี่ ตอนนี้ตนกับพระบิดาน่าจะได้อยู่อย่างมีความสุข ประชาราษฎ์ก็จะไม่ได้สิ้นชีพหมดเมืองไปกับการกระทำของแม่มดร้ายนั่นหรอก
“เจ้าเป็นใครไม่เคยเห็นมาก่อนเลย” ผู้มีท่าทีน่าจะเป็นผู้วิเศษถามชายที่มาใหม่อย่างประหลาดใจ
“พอดีว่าเราจะมาร่วมเลือกฝ่ายอาสาแต่ช้าไปเลยมารวมตัวที่นี่น่ะ”
“อ๋อ จริงๆก็ไม่ช้านะ ก่อนสงครามจะเริ่มก็รับอาสาเรื่อยๆนั่นล่ะ ว่าแต่เจ้ามาเข้าฝั่งไหนกัน”
“ฝั่งวิทวัสนาคราชน่ะ”
“ดีเลย เช่นนั้นเราจะพาไปรวมกลุ่ม ก่อนสร้างเขตจะทำข้อตกลงไปร่วมฟังกันดีกว่า สหายเราชื่อศักติเจ้าล่ะชื่ออะไร”  เขาพาชายแปลกหน้าไปรวมกลามอย่างง่ายดาย ท่าทีไม่ไว้ใจไม่ออกผ่านสีหน้าเขาเลย
“เราอันติมะ ”

“ข้อแรกการรบจะเริ่มเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นและสิ้นสุดเมื่อพระอาทิตย์ตกลับขอบฟ้า ในยามวิกาลหรือช่วงเช้าที่แสงอาทิตย์ยังไม่สาดส่องห้ามทำการต่อสู้เด็ดขาด ” ฝ่ายของวิทวัสนาคราชเป็นฝ่ายเสนอข้อตกลงเพื่อนำไปตั้งกฎการรบก่อน
“ยอมรับ” อีกฝ่ายยอมรับ นี่เป็นเวลาที่เหมาะสมอีกทั้งจะได้พักผ่อนในยามวิกาลโดยไม่ต้องมีเรื่องกวนใจ
“ข้อสองผู้รบต้องใช้อาวุธประเภทเดียวกันในการต่อสู้กับอีกฝ่ายเท่านั้น”
“ยอมรับ”
  อันติมะตั้งใจฟังข้อตกลงทั้งหมดและจดจำเอาไว้ เขารู้ว่าอีกสิบวันสงครามจะเริ่ม นั่นแสดงว่าสหายตนน่าจะเข้าร่วมได้ทันเวลาพอดี น่าจะเป็นประโยชน์ต่อพวกขาไม่น้อย หลังจากที่สรุปข้อตกลงกันเรียบร้อย ทั้งหมดจึงช่วยกันสร้างเขตรบขึ้นมาตลอดจนเวลาล่วงเลยเข้าช่วงบ่ายแก่ๆแล้ว ความร้อนของแดดที่แทบจะกลืนวิญญาณของพวกเขาตอนนี้ก็ได้มีหมู่เมฆเข้ามาแทนที่แล้ว นั่นเป็นสัญญาณว่าฝนจะตกลงมาในวันนี้ด้วยน่ะสิ อีกประเดี๋ยวหลังฝนคงจะหนาวจับใจ วันเดียวนี่จะรวมฤดูทั้งสามเลยรึอย่างไรกัน

-----------------------------------------------------------------------------อัพเดตทุกวันอาทิตย์ ขอเปลี่ยนเวลาเป็น20.40น.ตั้งแต่นี้ไปด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ พฤษภาคม 08, 2022, 08:42:28 PM
“ได้เวลากลับแล้วสินะ อีกสิบวันจะเริ่มสงครามยังไงสหายเราคงเข้าร่วมทันอยู่แล้วล่ะ” ชายหนุ่มเดินชมรอบเขตสนามรบหลังจากที่ร่วมสร้างเสร็จแล้ว ถ้าไม่ได้ถูกไฟผลาญไปเสียก่อนก็คงไม่ได้เป็นแห่งลานกว้างที่เหลือแต่ซากปรักหักพัง’’เพียงไม่กี่ชิ้นเช่นนี้หรอก
“เสด็จพ่อเพคะ แม้ว่าบ้านเมืองของพวกเราจะสิ้นไปแล้วแต่เสด็จอย่าได้กังวลพระทัยเลยนะเพคะ หม่อมฉันเชื่อว่าเมืองนี้จะต้องเป็นสถานที่สำคัญทำให้ฝั่งที่หม่อมฉันเลือกได้รับชัยชนะและจะได้ตั้งราชธานีใหม่อย่างแน่นอน” ในขณะที่สำรวจรอบตนก็แอบลอบคิดในใจด้วยไม่อยากจะเผยตัวตนให้ใครทราบเท่าใดนัก
“เจ้าไม่ดูตาม้าตาเรือเลยเหรอ เดินเข้ามาฝั่งเราทำไม” อัคนินที่เห็นบุรุษผู้เลือกอยู่อีกฝั่งเดินเข้าเขตตน ใครเล่าจะยินดีได้
“เราก็แค่สำรวจเอง ไหนๆก็ช่วยกันสร้างมาแล้วแท้ๆ ขอชมสักนิดหน่อยจะเป็นอะไรไป อีกอย่างหนึ่งแค่เลือกฝั่งที่ตั้งฐานทัพยังไม่ได้จัดวางอะไรเลยด้วยซ้ำ ถ้าเจ้าอยากไปเดินดูข้างนู้นก็ทำได้เหมือนกันแหละ” อันติมะตอบโต้อีกฝ่าย เรื่องอะไรจะต้องหาเรื่องกันนักหนาแค่เดินข้ามมาอีกฝั่งนี่
“เอาน่า บางทีถ้าพวกเราทำดีด้วยให้เขามาดูสักหน่อย บางทีเขาอาจเปลี่ยนใจย้ายฝั่งมาอยู่กับพวกเราก็ได้” ติณกฤตกระซิบข้างกรรณของสหาย
“อันติมะ เจ้าก็มาสำรวจอีกฝั่งด้วยเหรอ” ศักติที่ทักทายคนสวมแหวนแก้วบริสุทธิ์ในคราแรกที่พบกันนั้นได้ตามมาสมทบเมื่อได้ยินเรื่องต่อว่าของอัคนิน
“ใช่ แต่ไม่คิดเลยนะว่าเราจะถูกต่อว่าอยู่คนเดียว เจ้ายังชื่นมื่นไม่ถูกว่าสักคำ”
“ที่เราไม่ถูกว่าอาจเป็นเพราะยังไม่ได้เจอกับคนนี้น่ะสิ ดูท่าแล้วเขาก็น่าจะปากเสียเป็นปกติอยู่แล้วหรอกมั้ง อย่าถือสาเขาเลย”
“นี่เจ้า!!” เขาได้ยินเช่นนั้นก็กำหมัดง้างมือเตรียมจะชกอีกฝั่งนึงเสียให้ได้
“ทำไมจะทำอะไรเรา”
“พอเลยเจ้าน่ะ อย่าทำตัวเช่นนี้สิ” สตรีไม่คุ้นหน้าเข้ามาห้ามคนที่พร้อมจะต่อยตีอย่างสนิทชิดเชื้อ เธอไม่ว่าเปล่ายังดึงเอามือที่กำหมัดนั้นให้ลดลงเสีย
“เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม” เธอคนนั้นได้หันถามอีกฝ่ายอย่างห่วงใย
“กัลยา นี่เจ้าเลือกอยู่ฝั่งนี้งั้นเหรอ” ดูท่าศักติจะรู้จักกับคนนี้มาก่อนด้วยสินะ
“ใช่ แล้วทำไมเจ้าถึงไม่เลือกฝั่งนั้นล่ะ”
“ฝั่งไหนก็เหมือนกันแหละ….อ้อนี่สหายใหม่เราอันติมะล่ะ”
“เราไม่กล้าเป็นสหายท่านหรอก ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้วเราขอตัว” ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะอยู่ต่อ เขามีสหายแท้จริงรออยู่ทิศอุดรเหมือนกัน นี่ก็อยู่มาเป็นวันๆแล้วควรจะกลับได้สักที
“อย่าเพิ่งไปเลย สหายเราอาจจะเป็นมิตรกับคนอื่นมากไป เห็นใครก็เป็นสหายไปหมด ท่านยังไม่วางใจก็เรียกขานอย่างสนิทสนมเสียแล้ว เราขออภัยแทนเขาด้วย” หญิงสาวจับข้อมืออีกคนยื้อไว้ไม่ให้ด้วนกลับไปเร็วนัก
“เราไม่ได้ติดใจเรื่องนั้นเลย เราเพียงยังไม่คุ้นชินต้องขออภัยด้วย เราต้องกลับไปหาสหายของเราแล้ว ลาก่อน ไว้พบกันใหม่” เขาไม่อยากเสียเวลาอีกจึงออกห่างไปในทันที ซึ่งตอนนี้เมฆครึ้มบนท้องฟ้าก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นหยาดพิรุณโปรยปรายลงมาแล้ว เมื่อหาที่ลับตาคนได้ อันติมะจึงใช้แหวนวิเศษพากลับไปยังหน้ามิติกระจกในทันที

“ดีที่ธานินทร์สังเกตเห็นแหวนที่อันติมะสวมใส่ ไม่อย่างนั้นเราก็คงปล่อยให้อัคนินจัดการซะให้จบๆไป” กัลยาพูดออกมาเมื่อแน่ใจว่าคนฝ่ายตรงข้ามไปพ้นจากพวกของตนแล้ว
“ทำไมกันล่ะ” บุรุษนาคาถามอย่างสงสัย มีแหวนแล้วยังไม่ สังหารไม่ได้หรอกหรือ
“ธานินทร์เห็นแหวนนี่ก็นึกถึงแหวนของอัญญานีที่สันต์สินีเคยเล่าน่ะสิ เห็นว่าครั้งแรกที่มาหอชิดดาราก็เห็นใส่ไว้ข้างกายตลอด  ตอนหลังนางก็ฝังใจคร่ำครวญถึงมันตลอดตั้งแต่เกลียวทองชิงไป บางทีแหวนนั่นอาจจะเป็นของวิเศษอย่างหนึ่งที่นางใช้อยู่ก็เป็นได้”
“แปลก ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วเกลียวทองนำแหวนวงนี้ไปให้อันติมะตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วทำไมนางถึงไม่เล่าอะไรเกี่ยวกับเจ้านั่นเลย” อัคนินอดสงสัยไม่ได้ ปกติแล้วอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อพวกพ้องเกลียวทองก็จะบอกโดยแทบไม่ต้องบังคับให้คายออกมาด้วยซ้ำ
“เว้นแต่ว่าเจ้าคนนั้นจะแย่งชิงเอามาน่ะสิ” ศักติออกความเห็น
“เราอ่านใจเขาแล้ว เห็นว่าเขาจะไปน้ำตกเจ็ดสี ที่นั่นมีคนนั่งขัดสมาธิท่องคาถาอยู่ น่าเสียดายที่เขาสะบัดแขนออก ไม่ทันเห็นชัดว่าเป็นใคร” กัลยากล่าวตามภาพที่เห็น
“เราได้ยินว่าเจ้านั่นจะพาสหายมารบด้วย นั่นคงจะเป็นสหายของเขาล่ะมั้ง” ชายหนุ่มที่อ้างว่าเป็นสหายใหม่กล่าวตามที่ได้เห็นมา
“สหายที่ว่านั่นไม่ใช่ว่าเป็นพวกเกราะกายสิทธิ์กับสังวาลย์มณีหรอกเหรอ” โอรสเมืองคีรีมาศคิดเชื่อมโยงไปถึงศัตรูของตน แม่มดเกลียวทองไม่น่ามีอริที่ไหนอีกนอกจากคนพวกนี้แล้วนะ
“อย่าเพิ่งด่วนสรุปไปสิ  แน่ใจได้ยังว่าจะเป็นพวกนั้น” นาคาบาดาลใต้ยั้งความคิดผู้ร่วมฝั่งไว้ก่อน ไม่อยากให้ปักใจเชื่อมากนัก ถ้าหาเจอช้าเพราะมัวแต่ไปตามพวกนั้นล่ะจะว่าอย่างไร
“ยังไงก็ช่าง ใช่ไม่ใช่ก็ต้องกำจัดทิ้งทั้งนั้น เป็นเราเราไม่เก็บไว้ให้เป็นกำลังเสริมฝั่งนั้นในวันรบหรอกนะ”
“แล้วจะไปจัดการยังไง รู้ทางไปเหรอ”
“ม..ไม่รู้สิ” เขาตอบเสียงเบาลงมา ถึงสมาชิกในกลุ่มตนจะอ่านใจได้แล้วยังไงล่ะ ถ้าไม่ได้แตะต้องตัวก็ไม่มีทางรู้หนทางไปหรอก
“เอาอย่างนี้แล้วกัน ไว้พรุ่งนี้เราจะเดินทางไปเขตแนวกั้นอสุราเอง จะได้ถามให้รู้เรื่องไป” ติณกฤตอาสาไปหาคำตอบเองดีกว่า ดีเสียอีกจะได้ไม่ค้างคาใจ
“ไปผู้เดียวถามได้ข้อเดียวน่ะสิ เราไปด้วยดีกว่า จะได้ถามไปเลยว่าพวกที่อยู่น้ำตกนั่นน่ะใช่อย่างที่อัคนินคิดมั้ย” ชายหนุ่มที่เลือกอีกฝั่งคนนี้ไม่ยอมติดตามฝั่งตนแต่กลับมาช่วยฝั่งนี้ซะได้
“เจ้าไม่คิดจะติดตามวิทวัสนาคราชกลับไปยังวังบาดาลบูรพาหรอกเหรอ” เขาถามย้ำกับอีกคน ตนเห็นว่าเลือกฝั่งอย่างโจ่งแจ้งแล้วไม่อยากให้มายุ่งเท่าไหร่ ถ้าฝั่งนั้นรู้เรื่องหนอนบ่อนไส้จะไม่เป็นตามแผนการน่ะสิ
“เรื่องนี้ก็ให้น้องสาวเจ้าช่วยสิ” เขาหันไปมองหญิงสาวที่ชื่อกัลยาเป็นการยกงานไปให้ในตัว
“ได้น่ะมันก็ได้ แต่เราเหลือผลแปลงกายน้อยแล้วนะ นางแปลงกายด้วยตนเองไม่ได้เหมือนเจ้า เจ้าก็รู้”
“เสด็จพร้อมนางเถอะเพคะ ทางนี้หม่อมฉันจะจัดการต่อเอง” ลีลาวดีที่ปลอมตัวเป็นกัลยาอยู่นั้นไม่คิดว่านั่นจะลำบากสักเท่าไหร่เลย
“ให้บดิศรใช้เกราะเหล็กช่วยสร้างภาพมายาทับซ้อนตัวตนไปก่อน น่าจะช่วยได้บ้าง”
“เรานึกว่าพวกเจ้าเป็นคนมาใหม่ซะอีก แล้วศักตินี่เป็นใครกัน” ผู้สวมสังวาลย์ศิลาฟังความก็พอจะรู้แล้วว่าคนหนึ่งน่ะเป็นลีลาวดีแต่อีกคนนี่สิ
“อ้าว เราก็นึกว่าเจ้ารู้แล้วซะอีก เห็นว่ารักนางนักหนาแต่แปลงกายก็จำไม่ได้ซะแล้ว”
“ฉันทนา เจ้าเองหรอกเหรอ”
“เราเอง…..เจ้านี่ก็นะ เหมือนจะฉลาดคิดขึ้นมากแต่ก็ไม่เลย” เธอแอบว่าเขาไปสักหน่อย มัวแต่จำไม่ได้อย่างนี้แล้วถ้าตนปลอมตัวเป็นคนอื่นไปอีกจะจำได้ยังไงกัน
“ถ้าอย่างนั้นให้เราไปกับเจ้าดีกว่า ไปกับติณกฤตน่ะเราไม่วางใจเลย”
“พวกเราไปทำงานกันนะอัคนิน เจ้าน่ะไปมาก่อนแล้วซ้ำใช้พลังตั้งมากมายควรจะพักรอกับมารดาเจ้าดีกว่านะ แน่ใจว่าดีขึ้นแล้วก็ช่วยบดิศรตามหาพวกนั้นด้วยก็ดี ถ้าไม่ใช่พวกเดียวกันกับที่น้ำตกจะได้ไม่เสียเวลามาก จัดการได้เลย”
“ท่านแม่น่ะเหรอ…. เจ้าพูดอะไรน่ะ ท่านเราแม่น่ะสิ้นแล้วนะ”
“คนเขารู้กันหมดแล้วว่าแม่เจ้าทำอะไรไว้” ติณกฤตกล่าวเสริม
“อะไรนะ!!”
……………………………….
“อย่างนี้พวกเขาจะไม่หนาวแย่เหรอ” อัญญานีที่กลับมาหลบฝนกับเหล่าสหายผู้พิทักษ์ได้ถามอย่างเป็นห่วงพวกคนที่นั่งใต้น้ำตกที่แสนจะดูเย็นยะเยือกนั่น
“ต่อให้หนาวเย็นหรือร้อนดังไฟลนก็ต้องทนเพคะ ท่านตาเตือนจั๊กไว้ว่าห้ามอ่อนไหวต่อเหตุที่เกิดตรงหน้าจนอาจไปขัดขวางหรือทำลายพิธีลงได้น่ะเพคะ”
“พวกเราช่วยอะไรพระโอรสกับพระธิดาไม่ได้สักนิดเลยเหรอ” หิ่งห้อยยักษ์เป็นห่วงเป็นใยมากเกรงว่าเป็นอย่างนี้ต่อจะอยู่ไม่ถึงเจ็ดวันน่ะสิ
“ใช่จ้ะ ที่ทำได้ก็คือคอยระวังภัยให้เท่านั้น ถ้าเข้าไปเกี่ยวข้องในพิธีจนผิดพลาดแล้วล่ะก็ แทนที่ทุกพระองค์จะได้แยกร่างออกจากกันถาวรจะกลับกลายเป็นการฉีกดวงวิญญาณแทน”
“ฝนหยุดแล้ว ยังดีนะที่ดวงอาทิตย์ยังไม่ลับขอบฟ้าไป” ธิดาแห่งโกสุมพิสัยกล่าว อย่างนั้นก็หมายความว่ามีโอกาสเป็นไปได้ที่จะเกิดรุ้งหลังฝนขึ้นตามเงื่อนไขสามประการน่ะสิ เวลาผ่านไปได้สักพักหนึ่งรุ้งกินน้ำก็ได้เกิดขึ้นมาครอบน้ำตกราวกับกะลาครบอย่างนั้นแต่พอสะท้อนลงน้ำนั้น มองดูแล้วราวกับมีรุ้งล้อมรอบน้ำตกเป็นรัศมีวงกลมเจ็ดสีเช่นนั้น
“ดูเหมือนว่ามีน้ำแข็งก่อตัวขึ้นมาเลยพระเจ้าค่ะ” หิ่งห้อยที่มองดูอยู่ก็พบเข้ากับน้ำแข็งที่ก่อตัวมาบนร่างกายของภูมินทร์และจินดาราวกับจะแช่แข็งร่างกายทั้งคู่ไว้อย่างนั้น
“อย่างนี้จะดีต่อพวกเขาแน่เหรอ ถ้าถูกทำให้แข็งตายล่ะจะทำยังไง” เธอร้อนใจขึ้นมาที่เห็นสหายเป็นเช่นนั้น นี่เพิ่งได้วันที่สามก็เป็นแบบนี้ไปเสียแล้ว
“พระทัยเย็นไว้ก่อนเถอะเพคะ ยังไงท่านตาของจั๊กก็ต้องคิดมาอย่างดีแล้วถึงได้ใช้วิธีนี้ ไม่ว่ายังไงก็ต้องอดทนรอเท่านั้นนะเพคะ”
“พี่หิ่งห้อยก็เห็นด้วยพระเจ้าค่ะ ฤษีท่านต้องคิดหาวิธีนี้มาอย่างดีแล้ว อีกอย่างเหล่าพระโอรสพระธิดาในนั้นต่างก็เป็นศิษย์ของตนกับสหายต้องคิดเรื่องที่เกี่ยวพันกับชีวิตอย่างใส่ใจไม่ให้คลาดเคลื่อนแน่พระเจ้าค่ะ”
“เราจะรอดูอยู่อย่างนี้ต่อไปนะ..ขอให้พวกเขาปลอดภัยด้วยเถอะ”
หลังจากที่ร่างกายของทั้งสองคนถูกน้ำแข็งครบคลุมร่างกายจนเข้าปฐมยามแล้วก็ได้มีน้ำแข็งก่อเกิดขึ้นมารวมสิบสองชิ้น น้ำแข็งเหล่านั้นค่อยๆเปลี่ยนรูปร่างไปเป็นคนขัดสมาธิและพนมมือเหมือนกันคนที่กำลังท่องคาถาอยู่ไม่มีผิด เพียงแต่ลักษณะภายนอกนั้นเหมือนถูกแกะสลักให้มีลักษณะเดียวกันกับคนที่เหลือ ซึ่งแต่ละรูปสลักน้ำแข็งนั่นมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง นั่นคงจะเป็นตัวแทนของแต่ละคน แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีดวงวิญญาณใดมาสถิตย์ประจำรูปสลักน้ำแข็งเหล่านั้นเลย
“แสดงว่าเริ่มจะแยกจากกันแล้วสินะ อย่างนี้ค่อยดีขึ้นมาหน่อย” จบประโยคของอัญญานีฝนฟ้านั้นได้เกิดคะนองขึ้นมาอีก คราวนี้ดูจะรุนแรงกว่ารอบแรกที่ตกเสียอีก
……………………………………
“ฝนตกหนักขนาดนี้ ไม่รู้ที่น้ำตกลูกๆของเรากับเหล่าสหายจะเป็นยังไงบ้าง” สไบทองที่มองฝนตกอย่างหนักในยามค่ำคืนก็อดห่วงไม่ได้ ลำพังถ้าทำพิธีในที่ร่มก็น่าจะหนาวมากพออยู่แล้วในฤดูกาลนี้ นี่ต้องทนทำพิธีท่ามกลางน้ำตกเช่นนี้ ร่างกายจะรับไหวได้จริงๆน่ะหรือ มิติที่ตั้งเรือนนี้นั้นถึงแม้จะไม่มีใครหาพบแต่ก็เชื่อมโยงกับภายนอกเป็นอย่างมาก สภาพอากาศก็เป็นแบบเดียวกัน จึงทำให้คนด้านในรับรู้ความเป็นไปเฉกเช่นเดียวกับโลกภายนอก
“อย่าได้กังวลพระทัยเลยเพคะ บัวเชื่อว่าพระโอรสพระธิดาจะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอนเพคะ” บัวแย้มกล่าวขณะที่นำน้ำมะตูมที่ต้มอุ่นกำลังดีมาถวาย
“เราก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น หวังว่าทุกคนจะต้องปลอดภัยได้เหมือนคราวที่น้ำท่วมใหญ่นั่น… ขอบใจมากนะบัวที่ช่วยดูแลพวกเรา” เธอหันมาพูดคุยกับอีกคนโดยมีรอยยิ้มจางๆ ตามจริงแล้วนอกจากจะห่วงเหล่าลูกยาของตนแล้ว เธอก็ยังมีห่วงในตัวภัสดาเป็นอย่างมาก แต่เธอเชื่อว่าฝ่ายนั้นจะดูแลดีอย่างแน่แท้ เพราะไม่มีปุโรหิตที่กุมบังเหียนแล้ว
“จริงสิบัว ช่วงนี้ที่อยู่ที่นี่ก็ไม่ต้องไปเฝ้าดูแปลงสวนอะไรทั้งวันหรอก อยู่เรือนกับพวกเราพูดคุยเรื่องต่างๆก็ดีเหมือนกันจะได้รับรู้เรื่องราวต่างๆซึ่งกันและกันมากขึ้น เราอยากรู้จักทุกคนให้มากขึ้นรวมถึงเจ้าด้วยนะ”
“เพคะ บัวจะทำตามพระเสาวนีย์ของพระมเหสีเพคะ” เธอยิ้มรับอย่างดีใจ ปกติถึงแม้จะได้อยู่ในสถานที่เดียวกันก็จริงอยู่ แต่ตัวเธอนั้นส่วนมากจะอยู่กับพระธิดาอัญญานีไม่ก็เหล่าผู้สวมใส่สังวาลย์มณีที่เป็นดั่งพื้นที่คุ้นเคยของเธอ การที่ออกจากพื้นที่มาเปิดใจคุยกันกับผู้อื่นที่ร่วมสุขทุกข์บ้างนั้นก็จะดีต่อตัวเธอเอง
-----------------------------------------------------------------------อัพเดตทุกวันอาทิตย์ประมาณ20.40น.นะคะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ พฤษภาคม 15, 2022, 08:47:09 PM
“เจ้าเป็นฝ่ายปิดบังความจริงยังมีหน้ามาทำขึงขังใส่เราอีกนะ” ธานินทร์ต่อว่าอัคนิน ทั้งๆที่เป็นอีกฝ่ายที่ผิดแต่กลับรู้สึกว่าพวกพ้องนั้นผิดที่ไปยุ่มย่ามเสียเอง
“ใครใช้พวกเจ้ามายุ่งด้วยล่ะ นี่มันเป็นเรื่องครอบครัวแท้ๆ” เขาไม่เข้าใจเลย เรื่องแค่นี้บอกไม่บอกมันจะสำคัญขนาดไหนกันเชียว
“เรื่องของครอบครัวเจ้าอย่างเดียวที่ไหนกัน ท้าวธริษตรีก็เป็นครอบครัวเดียวกับพวกสังวาลย์มณีนะ เรื่องที่ยึดร่างนี่เป็นประโยชน์ต่อพวกเราทุกคนแท้ๆแต่พวกเจ้าสองแม่ลูกกลับเก็บงำไว้ คิดจะทำอะไร”
“บอกตามตรงเลยนะ ที่เราเข้าร่วมกับนายของเจ้าเพื่อกำจัดไอ้พวกลูกนอกไส้นั่น เสร็จแล้วก็แยกทาง ไม่คิดว่ามันจะยืดเยื้อถึงขนาดนี้…. เพื่อไม่ให้พวกเราแม่ลูกต้องพัวพันไปมากกว่านี้เรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นต้องบอก ”
“เจ้านี่นะ รู้มั้ยว่าความคิดนี้นี่ล่ะจะทำให้เรื่องที่เกิดขึ้นมันจบยากกว่าเดิมน่ะ”
“ไม่รู้ ไม่สนใจด้วย” เขากล่าวพลางกอดอก กลางหน้าผากก็ย่นลงจนคิ้วแทบจะ’’ประสานเป็นเนื้อเดียวกันอยู่แล้ว
“พวกลูกนอกไส้ที่เจ้าว่ากลับมาแล้วนะ ใจคอเจ้าจะไม่คิดชำระความคับข้องขุ่นใจให้หายไปรึยังไง หรือว่าเจ้ากลัวว่าจะแพ้จนถึงขนาดไม่กล้าให้มารดาที่มีวิชาเข้าร่วมเพื่อกำจัดพวกนั้นกัน” บดิศรที่ร่วมดูอยู่ในเหตุการณ์กล่าวขึ้นบ้าง
“นี่เจ้า!!”
“พอแล้วลูก อย่างไรเสียลงเรือลำเดียวกันแล้วไม่แคล้วต้องช่วยกัน” ผกากรองไม่อยากให้บุตรต่อล้อต่อเถียงกับผู้อื่นอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องช่วย ไม่งั้นคงมีเภทภัยถึงตนกับลูกแน่
“ท่านแม่!! ”
“ตอนนี้ฝั่งพวกเรามีตัวประกันของพวกนั้นไว้ในมือแล้ว แต่ว่าต้องให้ทางนั้นรู้เรื่องนี้ไม่อย่างนั้นที่พวกเราทำก็สูญเปล่า” ธานินทร์กล่าว  ถึงจะได้ตัวประกันมาแต่ถ้าอีกฝั่งไม่รู้เรื่องนี้เลย ไฉนเล่าจึงจะมีคนมาช่วยจนติดกับได้
“ต้องกระจายเสียงลือเสียงเล่าเรื่องการทรมานตัวประกันไปให้ทั่วทุกทิศ พวกนั้นต่อให้แฝงตัวอยู่ที่ไหนก็ต้องรู้แน่ ถ้าไม่มาถือว่าใจแข็งเต็มทน”  ผู้สวมใส่เกราะเหล็กออกความเห็น นอกจากจะออกกระจายข่าวแล้วตนจะได้สืบเสาะหาแหล่งกบดานของพวกศัตรูไปด้วย
“เราเห็นด้วย …ตอนนี้ปัจจากลับมาดูแลเรื่องจัดทัพ พอเข้าลู่เข้าทางแล้วเราจะให้เขามาช่วยอีกแรง”
“ดีเลย ทิศทั้งแปดนี่พวกเราแยกกันไปคนละสองทิศก็แล้วกัน”
…………………………………………..
บ้างนะ” พีรเชษฐ์ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่ตนประสบก่อนที่จะถูกนำมาคุมขัง ทำให้ใจตนนั้นว้าวุ่นกลุ้มใจไม่หาย
“บดิศรหยุดเถอะอย่าทำร้ายเขาอีกเลย เรายอม..ยอมไปกับเจ้าแล้ว”  เขาเข้าห้ามผู้สวมเกราะให้หยุดการกระทำที่อาจจะทำให้คนธรรมดาคนหนึ่งต้องถึงกับตายทั้งเป็น
“ดูสิว่าความกล้าหาญของเจ้ามันเปล่าประโยชน์เพียงใด ดาบข้างกายเจ้าสู้เกราะเหล็กของเราไม่ได้ด้วยซ้ำยังกล้ามาอวดดี …….ท่านนี่ก็ยังไงต้องรอให้บริวารถูกทำลายดวงตาก่อนถึงจะยอมไปกับเรา” คนที่เหนือกว่าไม่วายจะต่อว่าอีกฝ่าย
“เรื่องนี้เป็นความความผิดของเราที่ไม่ยอมคิดให้ดีเอง ตอนนี้เราตกลงจะไปกับเจ้าแล้ว เจ้าก็ปล่อยเขาไปเสียเถอะ อย่างน้อยควรเห็นแก่ความชอบของเขา ตอนที่เจ้ายังปกป้องตัวเองไม่ได้ ก็เป็นเขาที่คอยอารักขามาตลอด”   เขาอ้างเหตุผลเพื่อจะให้ไว้ชีวิตคนที่อยู่เคียงข้างตนมาตั้งแต่วัยเยาว์ เมื่อกล่าวจบอีกฝ่ายจึงเงียบไปสักพักกว่าจะกล่าวได้ ตนก็คิดว่าจะไม่ยอมเสียแล้ว
“ได้เราจะปล่อยเขา ให้เขาอยู่กลางป่ากลางเขานี่ล่ะ” ว่าแล้วบดิศรจึงพาพีรเชษฐ์กลับเมือง จนตอนนี้ก็ยังไม่รู้ชะตาของคนที่จากมาเลย
“ไม่รู้ว่าตอนนี้อำมาตย์เรืองรองจะเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าเราไม่ดึงดันแล้วทำตามที่บดิศรต้องการ ดวงตาของเจ้าคงไม่ต้องมืดบอดลงทั้งสองข้างเช่นนี้หรอก”
“เราไม่น่าไปพูดอย่างนั้นกับบดิศรเลย”
……………………………………
“ฝนตกซะมืดฟ้ามัวดินแบบนี้มาตั้งแต่วันพฤหัส นี่เข้าวันเสาร์แล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย น่าเบื่อชะมัด” เจ้าสิงโตร้องบ่นท่ามกลางฟ้าฝนขณะที่ตนเก็บผลหมากรากไม้
“เบื่อแล้วจะทำยังไงได้ล่ะเจ้าตุ๊บเท่ง เรื่องฝนเรื่องฟ้าสิ่งมีชีวิตธรรมดาห้ามไม่ได้หรอก…..ดูสิมัวแต่ห่วงกินเนื้อตัวเปียกหมดแล้ว” ผีโครงกระดูกมาคุยเป็นเพื่อนสักหน่อย เห็นเก็บตั้งนานไม่เสร็จสักที
“ปืนป่ายต้นไม้ขนาดนี้จะให้เอาอะไรมาบังฝนล่ะ เจ้าเอาใบบัวมาทำร่มบังก็ไม่เปียกสิเออ”
“ก็จริงนะฮ่าๆ……..นั่นใครน่ะ นี่เจ้าสิงโตช่วยข้าดูหน่อยสิ” สิ้นเสียงหัวเราะได้ไม่นานตาหวานก็สังเกตเห็นเงาตะคุ่มท่ามกลางสายฝน จึงพูดหมายให้สหายช่วยตนดูอีกทีเผื่อว่าจะมองผิดไป
“ไหนๆ…จริงด้วยมีคนอยู่จริงๆ พวกเราไปแอบดูใกล้ๆกว่านี้หน่อยดีกว่า” ผู้นี้เป็นไปไม่ได้ว่าจะเป็นพวกที่ไปแยกร่างแน่เพราะยังไม่ครบเจ็ดวันเลย

“จนตอนนี้พวกนั้นก็ยังไม่ยอมปรากฏตัวเลย ไม่รู้ว่าไปซ่อนที่ไหน” ถึงฝนจะแรงมากเพียงใดแต่ปัจจานั้นยังมุ่งมองหาคนในบริเวณนี้ เดินสำรวจซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะยังไงป่าหิมพานต์ก็เป็นสถานที่ที่พวกเกราะกายสิทธิ์เคยมาร่ำเรียนวิชา ทางติณกฤตหาที่ป่าจินตภพไม่พบไปที่นึงแล้ว ตนก็หวังใจว่าจะได้พบที่นี่
“ปัจจานี่ ทำไมถึงได้มาใกล้ที่นี่ขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าเห็นพวกเราก่อนแล้วเหรอ พอเห็นแล้วก็แกล้งไม่เห็น ล่อให้พวกเรามาเนี่ย”  ตาหวานเกิดหวั่นใจขึ้นมา ถ้าเป็นอย่างนี้อันตรายก็มาถึงตัวพอดีน่ะสิ
“ไม่หรอกน่า ถ้าเห็นน่ะเจ้านี่ก็ตลบหลังพวกเราให้เสียท่าไปนานแล้ว”
“แปลก ทำไมเรารู้สึกว่าเหมือนมีใครอยู่ใกล้ตัวเรา” ในขณะที่พวกในมิติเห็นด้านนอกอย่างชัดแจ้ง แต่ผู้ที่อยู่ด้านนอกกลับมองไม่เห็นพวกที่อยู่ด้านในเลย
“หรือว่าจริงๆแล้วพวกนั้นกำลังใช้มายาพลางตาซ่อนที่กบดาน” เทพบริวารคิดในใจแล้วจึงใช้พลังเพ่งเล็งหวังมองให้เห็นสิ่งที่ซ่อนไว้ได้อย่างทะลุทะลวง แต่สุดท้ายแทนที่จะได้เห็นเรือนพักของพวกคนด้านในกลับถูกแสงสว่างจ้าเข้าสู่ดวงตาจนเห็นแต่สีขาวโพลนไปทั่วจนแสบตา
“ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไปเราต้องแย่แน่” เขาคิดได้ดังนั้นจึงหยุดใช้พลังมองเสีย เขาทั้งสูญเสียพลังไปส่วนหนึ่ง ซ้ำการมองเห็นก็ได้พร่ามัวลงตามอีก หากขืนอยู่ที่นี่ต่อตนอาจจะเสียเปรียบได้
“ดูเองตาบอดเองไหมนั่น แต่สมควรแล้วล่ะ” สุดหล่อกล่าวหลังจากเห็นการกระทำของปัจจาที่ทำภัยให้ตัวเอง
“สมควรน่ะใช่ แต่ตอนนี้พวกเราต้องรีบออกไปจากที่นี่แล้ว อีกเดี๋ยวต้องเรียกพวกยกโขยงมาทำลายที่นี่แน่ ไปเร็วอย่ามัวแต่ชักช้า”
“ได้ๆ”

“ว่ายังไงนะ ที่พวกเจ้าพูดน่ะมันเป็นเรื่องจริงเหรอ” ท้าวนวดลได้ยินเช่นนั้นจึงได้ถามเพื่อความแน่ใจ
“จริงพระเจ้าค่ะ ตอนนี้เขากลับไปแล้ว อีกไม่นานต้องกลับมาพร้อมกับพรรคพวกแน่” ผีโครงกระดูกทูลอีกครั้งเพื่อเน้นย้ำว่าสิ่งที่ตนพบนั้นเป็นความจริง
“แล้วอย่างนี้พวกเราจะหนีไปยังที่แห่งใดได้ล่ะ” มเหสีอมรินทร์ถามอย่างร้อนใจ ที่ที่คิดว่าปลอดภัยที่สุดกำลังจะไม่ปลอดภัยเสียแล้ว
“บัวคิดว่าพวกเราอยู่ที่นี่ดีที่สุดแล้วเพคะ” บัวแย้มทูลออกความเห็น
“ทำไมบัวคิดอย่างนั้น เรื่องเป็นเช่นนี้แล้วถ้าพวกเรามัวแต่รีรอจะไม่ทันกาลนะ” มเหสีสไบทองไม่เข้าใจในเรื่องที่อีกคนพูดแม้แต่น้อย ที่นี่จะเป็นที่ที่ดีที่สุดได้ยังไงในเมื่อศัตรูจะบุกทำลายแล้ว
“บัวเชื่อมั่นในพระโอรสพระธิดาว่าทรงใช้พลังสร้างมิติให้สามารถป้องกันได้เป็นอย่างดีแล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่วางพระทัยแล้วจากไปหรอกเพคะ”
“มันก็ไม่แน่นะบัว ถึงจะเชื่ออย่างนั้นพวกเราก็ไม่ควรจะเสี่ยง”
“เช่นนั้นพวกเราต้องพิสูจน์เพื่อให้แน่ใจสักหน่อยแล้วเพคะ”
………………………………
“เพิ่งจะพักไปได้เจ็ดวันก็มีคนเข้ามาถามคำถามเราอีกแล้วรึ” ศิลาพยากรณ์ที่ฟื้นจากการพักผ่อนพอรับรู้ว่ามีคนมาเฝ้าคอยตนก็ออกปาก นิทราเพิ่งตื่นต้องคืนไปหลับใหลอีกแล้วเหรอ
“ท่านล่ะก็ พวกเราน่ะอุตส่าห์เดินทางฝ่าฟันฟ้าฝนลงมาไม่ได้พักผ่อน ซ้ำยังต้องรอท่านตื่นขึ้นมากินเวลาเข้าปฐมยามที่สามแล้ว” ติณกฤตน่ะรู้มาบ้างว่าศิลาวิเศษนี่ต้องคิดเบื่อหน่ายอยู่บ้างจึงออกตัวบ่นให้อีกฝ่ายรู้สึกเห็นใจสักหน่อย
“เห็นหน้าพวกเจ้าก็รู้แล้วว่าจะถามอะไร แต่เราขอให้ถามที่เป็นประโยชน์ที่สุดนะ ถามสั้นๆเราก็ตอบสั้นๆ”
“จะเข้าไปยังน้ำตกสัตตะสีได้ยังไง” ฉันทนาถามก่อนคนแรก เธอไม่ถามว่าอยู่ที่ไหนเพราะมันจบแค่ที่ตั้ง ถ้าเกิดมีอันตรายรอพวกตนอยู่ล่ะจะแก้ทางยังไง
“เหลือสุดทิศอุดรเข้าทางมิติกระจกตอนที่ปรากฏภาพวาดน้ำตกเจ็ดสี”
“เข้าใจแล้ว ขอบใจท่านมาก”
“พวกที่อยู่น้ำตกสัตตะสีกำลังทำอะไร ” ส่วนตัวเจ้าชายนาคาเชื่อไปมากกว่าครึ่งแล้วว่าพวกสหายของอันติมะคือเหล่าศัตรูตน หากแต่ตนอยากรู้ว่าพวกนั้นกำลังเตรียมการอะไรอยู่จะได้คิดจัดการต่อไป
“พวกเขาทำพิธีแยกร่างถาวรในเวลาเจ็ดวันกันอยู่น่ะสิ”
“แย่ล่ะ ถ้าพวกนั้นทำสำเร็จขึ้นมาพวกนั้นจะไม่มีวันกลับมารวมเป็นหนึ่งอีก เท่ากับว่าสิบสี่คนนั้นจะได้เปรียบเรื่องจำนวนคนไปตลอด ไม่ใช่ชั่วคราวแล้ว”
“อะไรจะเกิดให้มันเกิด ใครก็ล้มเลิกไม่ได้” ศิลาพยากรณ์กล่าวแล้วจึงกลับสู่นิทราอีกครั้ง หวังว่าอีกเจ็ดวันข้างหน้าจะไม่มีใครมากวนใจตนจนหลับไหบอีกนะ
“อย่างนั้นพวกเราก็รีบออกไปกันเถอะ” ศิษย์หญิงของฤษีทมิฬกล่าวกับผู้ร่วมทาง ถึงแม้จะได้ยินประโยคของหินนั่นตนนั้นหาได้สนไม่ อย่างไรพวกตนจะต้องขัดขวางให้ถึงที่สุด
..............................................
"นึกว่าฝนจะไม่หยุดตกแล้วซะอีก" นับตั้งแต่คืนวันพฤหัสที่ฝนตกรอบหลังจนถึงคืนวันเสาร์นี่นับว่าผ่านไปสองวันสองคืนเลยที่ฝนไม่ยอมหยุดเลยสักนิด พอฝนหยุดได้มีหรือธิดาเมืองโกสุมพิสัยจะไม่ร้องว่า
“พวกเจ้าหนาวเหน็บขนาดไหนก็ยังทนได้   ยอมใจจริงๆ” พอออกมาจากที่หลบฝนได้เธอก็มุ่งสู่บริเวณด้านล่างของน้ำตก เมื่อแหงนหน้ามองดูสหายของตนที่ไม่มีน้ำแข็งเกาะทั่วร่างแล้วอีกทั้งยังมุ่งมั่นบริกรรมคาถาอยู่จึงพอจะวางใจลดกังวลไปได้บ้าง แต่ที่ยังอยู่นั่นก็คือรูปแกะสลักน้ำแข็งที่แทนแต่ละตัวคน เท่าที่สังเกตถ้าคนประจำวันนั้นๆปรากฏออกมา ประติมากรรมที่แทนตนก็จะเปลี่ยนรูปร่างเป็นคนในวันก่อนหน้าแทน ดูท่าจะยังไม่คงที่ในทีเดียวนักเพราะต้องรอปรากฏการณ์อีกสองอย่างเลยนี่นา
“แปลกจริงๆ คืนนี้เพิ่งจะขึ้นเจ็ดค่ำแต่ดวงจันทร์กลับปรากฏบนท้องฟ้าเต็มดวงราวกับเป็นวันเพ็ญเลย” จั๊กแหล่นมองท้องฟ้าได้สังเกตเห็นดวงจันทร์ผิดแปลกจากปกติไป วันนี้เมื่อเจ็ดวันก่อนเป็นคืนเดือนดับแท้ๆ ยังไม่ทันจะครบสิบห้าวันดวงจันทร์ไม่น่าจะเต็มดวงได้เลย
“เป็นไปได้นะว่าคืนนี้จะเกิดจันทคราสน่ะ เพราะปกติวิสัยจันทรคราสจะเกิดในวันเพ็ญ” หิ่งห้อยยักษ์ที่มองตามก็คิดถึงเงื่อนไขที่ต้องมีปรากฏการณ์สามอย่าง ตอนนี้เหลือแต่จันทรุปราคากับสุริยุปราคา ในเมื่อรูปร่างของดวงจันทร์กลมสมบูรณ์ไม่ขาดแหว่งเว้าในคืนนี้ สิ่งนี้จะหมายความเป็นอื่นไม่ได้แล้ว
“เช่นนี้นับว่าดีมากเลยทีเดียว” อัญญานียิ้มอย่างยินดีเมื่อได้ยินคำกล่าวของผู้มีแสงในตัว สิ่งนี้ยิ่งทำให้เธอมั่นใจว่าพิธีสวดปกีรณัมบทนี้จะสามารถสำเร็จลุล่วงดังประสงค์เป็นแน่แท้
“มื้อเย็นลูกไม้น้อยเหลือเกิน จั๊กหิ๊วหิวจังเลยเพคะ” สตรีผู้มีใบหน้าใบหน้าพาฬเกิดหิวขึ้นมาอีกรอบในยามวิกาล ถึงจะได้กินผลหมากรากไม้ไปบ้างแต่นั่นเป็นของกินที่เก็บมาเผื่อไว้เมื่อสองคืนก่อน ด้วยฝนตกหนักขนาดนี้เสี่ยงอันตรายไม่ไว้ใจจึงไม่ได้ออกไปด้านนนอกมิติกระจกนี่เลย
“งั้นจั๊กแหล่นออกไปหาเพิ่มเถอะ ทางนี้เรากับพี่หิ่งห้อยจะดูแลเอง”
“เพคะ จั๊กจะเก็บมาเผื่อนะเพคะ พี่หิ่งห้อยก็ด้วยเดี๋ยวจั๊กจะคัดเอาเกสรอย่งดีมาให้ด้วยนะจ๊ะ”
“ระวังตัวด้วยนะ” ทิ้งถ่วงร่างใหญ่ได้ยินเช่นนั้นจึงร้องบอกก่อนที่อีกฝ่ายจะจากไป
…………………………….
“ตรงนี้เหรอปัจจาที่เจ้าถูกทำให้ดวงตามองไม่ชัดน่ะ” ธานินทร์ที่ได้รับการเรียกผ่านทางจิตของสหายร่วมงานได้รีบกลับมา เมื่อทราบเรื่องที่เล่าจึงพาบริวารเข้ามายังป่าหิมพานต์มาหยุดยังบริเวณที่ไม่ไกลจากอาศรมฤษีอนุชิตกับสระกุณาละเท่าไหร่นัก
“ใช่” ถึงจะมองไม่ชัดมากแต่เขาไม่ได้ตาบอด อีกทั้งยังจำตำแหน่งที่ตั้งได้อย่างแม่นยำจึงชี้จุดยืนยันได้อย่างมั่นใจ
“เช่นนั้นพวกเราทั้งหมดอย่าได้รีรอ มาร่วมกันทำลายมิติลงเถอะ” จบคำพูดทั้งหมดจึงรวมพลังมุ่งเข้าทำลายมิตินี้ในทันที
“พวกนั้นกลับมาทำลายที่ตั้งของพวกเราจริงๆด้วย” สุดหล่อกล่าวขณะที่กำลังมองผ่านช่องว่างระหว่างดอกบัวที่เปิดเล็กน้อยเพื่อให้ผู้ที่อยู่ด้านในได้รู้เหตุการณ์ภายนอก ดีที่คราวนี้ดอกบัววิเศษได้มีขนาดปกติเหมือนดอกบัวอื่นๆจากคำชี้แนะของผู้สรรค์สร้างทำให้คราวนี้ไม่เป็นที่สะดุดตา

“นี่ผ่านไปได้สักพักนึงแล้วนะไม่เห็นพวกเขาจะจากไปเลย” สไบทองกล่าวขึ้นหลังจากที่เฝ้ามองเหล่าบริวารของวิษุวัตมุ่งทำลายมิติคุ้มภัยนั้นนับครั้งไม่ถ้วน
“อาจเป็นเพราะพวกเขาทำลายมิติไม่ได้สักทีน่ะพระเจ้าค่ะ เลยเฝ้าทำลายอยู่แบบนั้น” ตาหวานตอบความสงสัยนี้  สิ้นคำพูดไม่นานทางบกก็ได้มีแสงพลังเข้าโจมตีกลับไปยังผู้ทำลายดูเหมือนว่าจะเป็นพลังแบบเดียวกันที่พวกเจ้าตัวลงมือเมื่อไม่กี่เวลาก่อน
“มิตินี่สะสมพลังที่โจมตีให้ได้มากแล้วสะท้อนกลับ”ปัจจาที่รับรู้เหตุการณ์เช่นนี้ได้เข้าใจในทันที ตนยังดีที่พอหลบทันแต่ว่าผู้ร่วมทำลายนี่สิถูกพลังตัวเองจัดการก่อนจะไหวตัว
“ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปพวกเราจะไม่มีกำลังพอจะไปสู้ในสงครามแน่” ธานินทร์ไม่คิดจะดึงดันต่อไปอีกแล้ว เพราะพลังตนที่กลับมาทำร้ายตัวเองแบบนี้ทำลายต่อไปย่อมไม่ส่งผลดี
“ถึงพวกเราจะทำลายไม่ได้หรือพวกนั้นจะไม่ออกมาก็ช่าง แต่ยังไงพวกเราก็ยังมีบิดาของพวกเกราะกายสิทธิ์และสังวาลย์มณีเป็นตัวประกัน ในเมื่อพวกเขาไม่ออกมาศิโรราบ การทรมานตัวประกันคงเพียงพอจะทำให้พวกเราบันเทิงเริงใจได้บ้าง” ปัจจากล่าวขึ้นมาอย่างจงใจ บางทีวันดีคืนดีคนพวกนี้ก็ต้องตามเอาตัวคนสำคัญกลับไปแน่
“เช่นนั้นอย่าได้รอที่นี่อย่างหมองใจเลย กลับไปสร้างความบันเทิงชดเชยความเจ็บปวดของพวกเราดีกว่า” ว่าจบแล้วทั้งหมดจึงจากไปอย่างง่ายดาย

“มิตินี้ช่วยปกป้องคุ้มกันภัยได้อย่างดีเลยเพคะ” บัวแย้มที่ต้องการพิสูจน์ได้พบกับผลลัพธ์เช่นนั้นก็เกิดความพึงพอใจเป็นอย่างมาก
“เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้วล่ะ แต่ที่พวกเขาพูดเมื่อครู่ทำให้เราไม่สบายใจเลย”
“ลูกห่วงพีรเชษฐ์หรือ” มเหสีอมรินทร์ถามธิดาของตน
“เพคะ แต่ที่น่าห่วงไม่แพ้กันคือคราวนี้คนพวกนั้นจับเอาพระบิดาของเหล่าสหายของลูกหม่อมฉันด้วย พวกเขาต้องมารับทุกข์เพิ่มเช่นนี้หม่อมฉันไม่สบายใจเลยเพคะ ”
“แม่เข้าใจ แต่ถึงจะไม่สบายใจแต่ว่าพวกเราก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดีนะลูก ทางที่ดีต้องรอหลานๆและพวกเขากลับมาก่อน ปัญหานี่แม่เชื่อว่าต้องแก้ไขได้แน่”
___---------------------------------------------------------------------------อัพเดตทุกวันอาทิตย์ประมาณ20.40น.นะคะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ พฤษภาคม 22, 2022, 09:05:05 PM
“นี่เพิ่งจะขึ้นเจ็ดค่ำทำไมจันทร์ถึงเต็มดวงเร็วนัก” ฉันทนาที่เพิ่งจะได้พักเหนื่อยจากการเผชิญด่านก่อนจะกลับไปยังรัตนบุรีอันเป็นแหล่งรวมพลพรรคพวกของตนได้มองดูท้องฟ้ายามค่ำคืน กลับพบว่าลักษณะของดวงจันทร์แปลกไปจากเดิมจึงบังเกิดความสงสัย
“ท้องฟ้าของที่นี่คือใต้ทะเลตรงข้ามกับท้องฟ้าจริงๆจะเหมือนกันได้ยังไง มันคงเล่นหลอกตาพวกเราให้มัวแต่สนใจจนฝ่าด่านกลับไม่ไปน่ะสิ” ติณกฤตรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรืองที่ต้องมาสนใจเลยด้วยซ้ำจึงได้พูดออกไปตามที่คิด
“เหมือนไม่เหมือนเราไม่รู้หรอก แต่นี่เหมือนเป็นลางสังหรณ์เลยนะว่าพวกนั้นจะทำสำเร็จ”
“เหลวไหล ยังไงพวกเราต้องกลับไปทันทำลายพิธีอยู่แล้ว”
“ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ”
“เราเพิ่งสู้กับพวกนั้นเมื่อวันจันทร์ ไม่มีทางที่จะลงมืออย่างรวดเร็วในวันนั้นเลย แบบนี้ไม่ทันได้พักหรอก เร็วสุดไม่วันอังคารหรือวันพุธนี่ล่ะที่จะเริ่มทำพิธีนั่นน่ะ”  เล่นสู้กันเสียขนาดนั้นจนฝ่ายนั้นต้องล่าถอยไปก่อน คนพวกนั้นต่อให้ฟื้นตัวเร็วขนาดไหนยังไงก็ต้องหาเวลาพักผ่อนเสียราตรีหนึ่ง ไม่อย่างนั้นการทำพิธีแยกร่างหนึ่งสัปดาห์จะอ่อนล้าจนไม่สำเร็จเอาน่ะสิ
“อย่างนั้นก็แสดงว่าพวกเราพอมีเวลาถึงคืนวันจันทร์ไม่ก็วันอังคารน่ะสิ”
“ถูกต้อง อย่างเร็วพรุ่งนี้พวกเราจะได้อออกไปแน่นอน เพราะบดิศรกับคนรักของเจ้าใช้เวลาสามวันไปแล้วกลับออกมาพอดี”
“คนรักของเรา อัคนินไม่ใช่คนรักของเรานะ!!” ได้ยินคำกล่าวเช่นนั้นถึงขั้นอารมณ์ฉุนเฉียวออกมาในทันที เธอสุดแสนจะรำคาญใจทุกครั้งที่ได้ยินความสัมพันธ์ที่สุดแสนจะยัดเยียดของโอรสเมืองคีรีมาศ
“ไม่ใช่หรอกเหรอ เห็นเขาคุยว่าเจ้าเป็นคนรักเขาซะขนาดนั้น เอาเป็นว่าเมื่อครู่ที่เรากล่าวเจ้าก็ช่างมันเถอะนะ…….คืนนี้พวกเรานอนพักที่นี่กัน คืนนี้เจ้าก็หลับเถอะ เดี๋ยวเราดูแลความปลอดภัยให้”
“ไม่ดีกว่า เมื่อคืนเราอดหลับอดนอนได้ อีกสักคืนจะเป็นอะไรไป”
“ตามใจ” ว่าแล้วชาวนาคบาดาลทักษิณจึงลงนอนหลับอย่างว่าง่ายโดยหนุนก้อนหินแถวนั้น ไม่สนใจจะคุยกับอีกคนอีกต่อไปแล้ว
“เจ้าน่ะแปลกกว่าดวงจันทร์ที่เต็มดวงผิดคืนนั่นซะอีก ทำเป็นทีเล่นทีจริง ไม่น่าไว้ใจสักนิด” ศิษย์หญิงของฤษีทมิฬลอบคิดในใจ ภาพจำของผู้กระหายอำนาจยังติดตาเธออยู่เลย ที่เธอยอมติดตามมาเพราะกลัวว่าอัคนินจะถูกเลือกให้ไปแทนจะเผลอไผลไว้ใจจนเอาตัวไม่รอด ครั้งนี้ยังดีที่เขายังไม่คิดจะทำร้ายเธอหรือไม่ก็หาโอกาสเหมาะไม่ได้จึงได้รอดมาถึงตอนนี้ ไม่เช่นนั้นเธออาจมีชะตากรรมไม่ต่างกับวิชชุนาคราชแน่
……………………………………………….
“เจ้า!! เจ้าอยู่ที่นี่เองเรอะ!!” เสียงเรียกร้องดังมาจากด้านหลังผู้ที่มาหาเก็บผลเพิ่มเติมจนต้องเหลียวหลังกลับไปดู
“ค้างคาวผี!! เจ้า เจ้ามาที่นี่ได้ยังไงละเนี่ย!!”จั๊กแหล่นที่หันมองมองตามเสียงเรียกถึงกับตกใจในสิ่งที่เห็นตรงหน้า หรือว่าเหล่าศัตรูจะรู้ที่ซ่อนของพวกเธอกันแล้ว
“เจ้า เจ้ายังจะมาถามอีกนะ เป็นเจ้าแท้ๆที่หลอกล่อพาข้าทิ้งไว้จนหลงทางแท้ๆ”
“ข้านี่นะ เจ้าจำผิดแล้ว ที่ท้าเจ้าออกไปสู้ที่อื่นน่ะมันคือไอ้เจ้าตุ๊บเท่งต่างหากล่ะ”
“ว่ายังไงนะ”
“นึกสิ นึกดีๆ” ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้เพื่อให้สามารถเบี่ยงเบนความสนใจได้จึงให้อีกฝ่ายนึกคิดถึงอันพร่ามัวของตนเองสักหน่อย น่าจะพอถ่วงเวลาได้บ้าง
“นึก…นึก” เหตุการณ์วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ที่แล้วยามกลางวัน เจ้าค้างคาวที่ทำอันตรายอะไรดอกบัวยักษ์ไม่ได้ตั้งแต่คืนวันเสาร์จึงได้แต่อรอจนผ่านล่วงไปถึงอีกวัน อยู่ดีๆก็มีผู้ติดตามที่เป็นสิงโตของฝั่งศัตรูเข้ามาเรียกท้าให้ประลองเสียอย่างนั้น
“ไอ้ค้างคาวตากลวง แน่จริงมาสู้กันตัวต่อตัว อย่ามัวแต่โอ้เอ้ชมนกชมไม้” สุดหล่อที่ออกจากดออกบัวยักษ์มาได้ไม่นานก็ได้มุ่งหน้ามาท้าเจ้าค้างคาวผีโดยทันที
“อย่ามาปากดีหน่อยเลย วันนี้ข้าจะจับเจ้ากินซะให้เข็ด” เขาได้ยินคำท้าเช่นนั้นจึงรับคำท้า แต่นั่นในใจเขาไม่เรียกว่ารับคำท้าหรอก เพราะยังไงตนเชื่อว่าจะชนะอีกฝ่ายอยู่แล้ว
“อยากกินก็ตามมา ไม่ตามเป็นไอ้ขี้แพ้” ว่าแล้วเจ้าสิงโตได้หลอกล่อพาไปประลองฝีมือที่อื่น แต่ใครจะไปรู้ว่านั่นเป็นการหลอกให้หลงทาง แต่เจ้าตัวไม่ได้จะให้ไปไกลขนาดนั้นนี่นา
“ข้าไม่ได้ขี้แพ้!!!”

“อ๋อ จริงด้วย เจ้านั่นเป็นผู้ชายแต่เจ้าน่ะเป็นผู้หญิง อ้าวหายไปไหนแล้วเนี่ย” พอนึกทบทวนเรื่องราวได้ตนจึงเปลี่ยนความสนใจมายังผู้ที่อยู่ด้านข้าง แต่ใครมันจะอยู่ต่อให้เสียเวลากันล่ะ
“ฮั่นแน่เห็นอยู่หลังไวๆ คิดว่าจะหนีทันเรอะ” ดีที่ตอนนี้เป็นตอนกลางคืนเขาจึงได้ติดตามมาได้ทัน แต่ต้องพบกับความผิดหวังเสียแล้ว
“หุ่นไล่กา เอาหุ่นไล่กามาหลอกข้าเนี่ยนะ”
“อะไร ทำไมสลับซ้อนนัก หรือว่าจะเป็น เป็น เป็นเขาวงกต!!.......ร้ายนักนะคิดจะหลอกข้าเข้าไปข้างใน จ้างให้เข้าก็ไม่ไปเด็ดขาด” หลังจากเฝ่าติดตามเงาอีกฝ่ายมานอกจากจะได้พบหุ่นไล่กาที่แทนตัวคนจำนวนหนึ่งแล้ว เขายังได้พบเจอกับทางเข้าเขาวงกตกระจกที่มองดูยังไงก็สลับซับซ้อนเกินกว่าที่ค้างคาวที่หลงทางมานานไม่คิดจะเสี่ยงเข้าไปโดยเด็ดขาด


“พระธิดา พี่หิ่งห้อย!!” จั๊กแหล่นวิ่งเข้ามายังที่พำนักหลบฝนฟ้าอย่างรีบร้อน จนผู้ที่รออยู่นั้นต้องหันมามองอย่างรวดเร็ว
“หนีอะไรมาน่ะจั๊กแหล่น” หิ่งห้อยยักษ์เห็นท่าทีเช่นนั้นก็อดถามไม่ได้
“หนีไอ้ ไอ้ตัวค้างคาวผีน่ะสิจ๊ะ” เธอเล่าสิ่งที่พบเจอมาเมื่อครู่นี้ เล่าไปพลางหอบเหนื่อยไป
“ทำไมค้างคาวผีมาถึงที่นี่ได้ ”  อัญญานีได้ยินเช่นนั้นจึงเกิดความกังวลใจขึ้นมา เกรงว่าถ้าเจ้าตัวนี้รู้แล้ว อีกไม่นานพวกศัตรูที่เหลือจะต้องติดตามมายังที่นี่แน่ ถึงจะทำเขาวงกตกั้นไว้ขั้นหนึ่งแล้วแต่ไม่ควรจะวางใจ
“เจ้านั่นบอกว่าหลงทางมาน่ะเพคะ นอกจากจะตาถั่วยังหลงทางเป็นว่าเล่น ไม่รู้หลงอีท่าไหนจนมาถึงที่นี่”
“เป็นไปได้ว่าอีกไม่นานพวกนั้นต้องตามมาแน่ พวกเราก็ระวังตัวกันให้ดีนะ” ถึงจะกังวลแต่สิ่งที่สำคัญที่สุดจะต้องเตรียมตัวรับมืออย่างมีสติ เพราะสหายตนนั้นยังทำพิธียังไม่สำเร็จเสร็จสิ้น จะอย่างไรก็ต้องเฝ้าปกป้องให้สุดความสามารถ
“จันทรคราส จันทรคราสมาแล้วพระเจ้าค่ะ” พี่หิ่งห้อยสังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงของแสงจันทร์ก็ได้มองขึ้นไปยังท้องฟ้าจึงได้พบกับพระจันทร์สีเลือดเข้าพอดี
“พระจันทร์สีเลือดเช่นนี้ดีจริงๆนะจ๊ะพี่หิ่งห้อย แสดงว่าพวกเขาจะได้ทำสำเร็จไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว” ธิดาแห่งเมืองโกสุมพิสัยมองตามขึ้นไปก็ได้เป็นเช่นเดียวกัน สิ่งนี้สร้างความพอใจให้เธอเป็นอย่างมาก
“สวยมากๆเลย” เสือสาวตื่นตากับความงดงามของสีดวงจันทร์ในยามวิกาลนี้ ปรากฏการณ์นี้สร้างความประทับใจให้เธอมากมายนัก
“ครั้งนี้น่าจะเป็นการแบ่งแยกธาตุทั้งสี่ไปตามรูปสลักนั่นนะ” อัญญานีที่มองดวงจันทร์แล้วไม่เพียงแต่สนใจสิ่งที่อยู่บนท้องฟ้าอย่างเดียว ด้วยความสงสัยว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นจึงได้มองไปยังสหายตนเห็นลูกไฟวงแหวนหลายลูกที่มีขนาดเล็กกำลังกระจายออกจากตัวผู้ที่นั่งทำพิธีที่เป็นกายคนไปสู่รูปสลักน้ำแข็ง เมื่อลูกไฟเหล่านั้นเข้าไปยังภายในร่างสลักนั้นแล้วก็เกิดการวิ่งไหลเวียนไปทั่วร่าง ซึ่งเป็นสีสลับไปมารวมได้สี่ซึ่งเป็นตัวแทนธาตุต่างๆ โดยสีเขียวแทนธาตุดิน สีน้ำเงินแทนธาตุน้ำ สีขาวแทนธาตุลมและสีแดงแทนธาตุไฟ
“ธาตุทั้งสี่คือ ดิน น้ำ ลม และไฟใช่ไหมเพคะ”
“ใช่แล้วล่ะ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ วาโยธาตุและเตโชธาตุ ธาตุเหล่านี้เป็นองค์ประกอบดั้งเดิมของสรรพสิ่งทั้งปวง ” นั่นเป็นสิ่งที่ทุกสรรพสิ่งจะต้องมีกันอยู่ทุกตัวคนเป็นปกติ ถ้าจะแยกร่างถาวรก็ควรจะต้องมีร่างที่รับรองชีวิตที่จะอยู่จากนี้ไปจนสิ้นชีพอย่างสมบูรณ์เหมือนกับสิ่งอื่นบนโลกนี้
    เวลาผ่านไปสักพักรูปสลักน้ำแข็งที่มีดวงไฟแห่งธาตุทั้งสี่ที่วิ่งวนอยู่นั้นได้เปลี่ยนกายเป็นรูปปั้นสีทองซึ่งลงรายละเอียดของรูปพรรณสันฐานของแต่ละคนได้อย่างชัดเจนราวกับว่าทั้งหมดได้แยกร่างออกจากกันอย่างสมบูรณ์เพียงแต่มีร่างกายที่ถูกติดด้วยทองคำเปลวซึ่งดูเนียนแนบไปกับเนื้ออย่างนั้น
“เหมือนจะแยกจากกันสมบูรณ์อยู่แล้วเพียงแต่ว่ายังไม่มีชีวิตก็เท่านั้น รูปทองเหล่านี้น่ะ” เธอมองอย่างพินิจพิเคราะห์ไปยังเหล่าสหายของตน เวลาเหลือเพียงสองวันสองคืนทั้งหมดก็จะทำได้สำเร็จแล้ว คงไม่นานเกินรอนักหรอก
…………….
“ทำไมพิธาพิทูรถึงไม่อยู่เฝ้าสเบียงล่ะ” สองนาคทหารมหาดเล็กที่พักจากการตามนายเหนือหัวเดินทางไปสร้างเขตรบได้มาเยี่ยมเยือนสหายที่ทำหน้าที่ดูแลเสบียง แต่สิ่งที่พบกลับมีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีใครเฝ้าประตูคลังเก็บเสบียงเลย
“ได้กลิ่นอะไรแปลกๆมั้ย” นาคาอีกตนถามสหายถึงความผิดปกติที่สังเกตุได้อีกอย่างหนึ่ง
“นั่นสิ หรือว่าใครจับเอาพวกปลามากินเป็นๆอีกล่ะนั่น” จริงๆมันเคยมีเหตุการณ์ที่สหายร่วมงานมักจะไปหาจับปลามากินเป็นอาหารว่างโดยที่ไม่จัดการให้เสร็จสรรพตั้งแต่ในน้ำ เอามาทานด้านในทั้งๆที่ตนใช้ร่างแทนตตนเป็นมนุษย์อยู่นี่
“ใช่เหรอ กลิ่นแรงกว่าที่เคยสัมผัสเลยนะพลิศ”พลินกล่าวกับน้องชายฝาแฝดตนอย่างอดสงสัยไม่ได้
“กลิ่นอะไรของพวกเจ้ากัน” วิทวัสนาคราชที่ออกมาดูความเรียบร้อยในยามเช้ารอบๆวังบาดาลตะวันออก ได้คิดถึงเสบียงที่เก็บไว้เกรงว่าจะไม่พอแต่ไม่รู้ว่าขาดเท่าไหร่จึงเข้ามาดูเอง
“พวกหม่อมฉันได้เข้ามาเยี่ยมหาพิธากับพิทูรตอนนี้ยังไม่เห็นพวกเขาเลยพระเจ้าค่ะ แต่กลับมีกลิ่นราวกับมีอะไรมาตายแถวนี้ ครั้นจะว่าพวกเขานำปลามากินกันด้านในสดๆก็ไม่น่าจะใช่พระเจ้าค่ะ” พลิศรายงานสิ่งที่ตนได้พบ
“ตอนแรกที่มาเรายังไม่รับรู้ถึงกลิ่นนั่นจริงๆ แต่พออยู่สักพักก็รู้สึกเช่นเดียวกับพวกเจ้า” ว่าแล้วเขาจึงจับที่ประตูเตรียมที่จะผลักเข้าไปดูดก้านในด้วยตนเองแต่ดันถูกขัดจังหวะเสียก่อน
“องค์เหนือหัวเพคะ พระภาติยะลีลาวดีฟื้นคืนตื่นบรรทมแล้วเพคะ” ยังไม่ทันจะได้เข้าไปดูด้านในเลย มีเรื่องที่น่าสนใจเข้ามาในจิตใจแทนไปเสียแล้ว
“ดีเลย เราจะไปดูหลานเรา…อ้อ พวกเจ้าช่วยเราดูให้หน่อยแล้วกันว่าเกิดอะไรขึ้นที่ด้านในรึเปล่า” ถึงแม้จะยินดีจนแทบจะวิ่งไปดูอาการของผู้ที่ตนรักเหมือนธิดา แต่ตนนั้นไม่ลืมที่จะวานให้ผู้อยู่ใต้บัญชาช่วยจัดการธุระแทน
“พระเจ้าค่ะ” ทั้งสองรับปากที่จะกระทำต่อจากนายตน ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในนั้นนอกจากเสบียงหรือไม่ แต่ยังไงก็ต้องเข้าไปดูให้แน่ชัด

“เป็นอย่างไรบ้างลีลาวดี” เขาเข้ามานั่งด้านข้างแท่นบรรทมพลางถามหล่นของตนด้วยความห่วงใย
“หม่อมฉันรู้สึกดีมากแล้วเพคะ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเวลากี่คืนที่อยู่นิทราทำให้พระทัยพระปิตุลาขุ่นหมองไปเท่าไหร่แล้ว” ลีลาวดีที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาได้ยินคำถามที่แสดงน้ำเสียงห่วงใยจึงยิ้มตอบอย่างอ่อนโยน
“เรื่องนั้นไม่เป็นอะไรเลย ถึงลุงจะคิดวุ่นวายไปบ้างแต่เรื่องของหลานยังไงก็ต้องสำคัญที่สุดนะ”
“เพคะ ถ้าหากที่นี่มีเสด็จพ่อกับเสด็จแม่อยู่ด้วยก็คงดีนะเพคะ จะได้ไม่ต้องลำบากพระวรกายพระปิตุลามากจนเกินไป”
“อย่ากล่าวเช่นนั้นเลย ตอนนี้ทั้งสองไม่อยู่แล้วอีกทั้งวัศพล วิศรุต หรือแม้แต่ติณกฤตก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ ในเมื่อวงศาของพวกเราเหลือแต่เพียงเท่านี้ เช่นนั้นแล้วลุงจะทำไม่ไยดีต่อหลานเลยได้อย่างไรกันล่ะ”
“เสด็จพี่ของหม่อมฉันทรงทำอย่างนั้นได้ยังไง เขาช่างใจร้าย ใจร้ายเหลือเกินเพคะ” ยังไม่ทันไรเสียงสะอื้นไห้ได้เกิดขึ้นมา สร้างความเวทนาให้กับผู้ที่อยู่ด้วยยิ่งนัก
“หลานสงบจิตใจเสียก่อนเถิด เพลานี้สิ่งที่ควรทำที่สุดคือยืนหยัดมีชีวิตต่อไปและคิดหาวิธีรับมือกับเรื่องที่จะเกิดต่อจากนี้ดีกว่า ถ้าจิตใจหลานยังย่ำแย่อยู่อย่างนี้จะเป็นหลานที่ได้รับผลเสียมากที่สุด………หลานเพิ่งฟื้นกินอะไรสักหน่อยเถอะนะ” ท้าวท่านว่าอย่างนั้นแล้วจึงสั่งหาข้าบริวารไปเตรียมเครื่องเสวยมาให้ภาติยะของตน
“จำไว้ให้ดีนะหลาน เจ้าจงลอบชิงเอาตราบัญชารบมาให้ได้ แล้วกฎทั้งหมดที่ตกลงในสนามจะเป็นโมฆียะในทันที”  ลีลาวดีลอบคิดถึงคำของวัศพลนาคราชอยู่ในใจ เป็นไปได้ที่วิทวัสนาคราชจะพกติดตัวไว้ ครั้นจะเข้าใกล้เร็วเกินไปกลัวว่าจะไหวตัวทัน ต้องดูท่าทีให้แน่ใจก่อน
………………………………..
“พวกเจ้าว่าพวกนั้นกำลังทำพิธีแยกร่างถาวรอย่างนั้นเหรอ!!” อัคนินทวนคำที่สหายเล่าให้ทราบอย่างตกใจ
“ใช่” ติณกฤตตอบ เรื่องนี้ไม่ผิดคาดเท่าไหร่นัก
“อย่างนั้นพวกเราอย่าได้รออยู่เลยรีบไปกันเถอะ” เรื่องอะไรจะต้องรอ ในเมื่อรู้อย่างนี้ต้องรีบไปขัดขวาง ไม่เช่นนั้นพวกศัตรูจะต้องสมดั่งปรารถนาแน่
“ไม่รอปัจจาธานินทร์ก่อนเหรอ”
“รอทำไม ทั้งสองน่ะบาดเจ็บมาตั้งแต่เมื่อวานยังไม่ทันหายดีเลย”
“บาดเจ็บ ทำไมถึงบาดเจ็บได้ล่ะ” ฉันทนาถามอย่างสงสัย  อยู่ดีๆทำไมถึงทำให้ตัวตนต้องบาดเจ็บก่อนไปรบไปราด้วย
“เห็นบอกว่าเจอที่กบดานของพวกมันน่ะ ”
“ที่ไหน”
“ป่าหิมพานต์ แต่สร้างมิติขึ้นมาอีกชั้น”
“เข้าใจแล้ว จริงสิ บดิศรล่ะ” เมื่ออยู่มาถึงตรงนี้แล้วไม่ได้เห็นศิษย์ร่วมอาจารย์ เธอจึงได้ถามหาดู
“ไปปล่อยข่าวเรื่องตัวประกันที่มีอยู่ในมือ แล้วก็ไปสืบที่ซ่อนของพวกนั้นด้วย”
“เขายังไม่รู้เรื่องเลย ยังไงก็ต้องพาเขาไปนะ เพราะของวิเศษแบบเดียวกับพวกนั้นมีแต่เจ้าสองคนนี่นา”
“เจ้านั่นไปทิศเหนือน่ะ จะตามไปไหมล่ะ”
“ไป พวกนั้นทำพิธีที่ทิศนั้นพอดี”
“ไม่พักก่อนเหรอฉันทนา” หนุ่มถามสหายหญิงอย่างสงสัย คนอะไรไม่รู้เหน็ดเหนื่อย นี่ไม่ไม่ได้นอนมาตั้งสองคืนแล้วนะ
“ไม่เป็นไรหรอกน่า”
“อัคนินดูคนของเจ้าสิ นางไปกับเราตั้งสองคืนไม่ยอมหลับยอมนอนเลย ยังคิดจะเดินทางต่ออีก”
“แล้วทำไมเจ้าไม่ดูแลนางให้ดี” เขาฟังแบบนั้นก็รู้สึกไม่พอใจอีกตนเท่าไหร่นัก ไปด้วยกันแทนจะช่วยกันดูแล ที่ไหนได้เอาแต่พักผู้เดียว
“ก็นางดื้อไม่ยอมนอนเอง เจ้าจะต่อว่าก็ต่อว่านางสิ”
“ฉันทนาเราว่าเจ้าพักก่อนสักหน่อยเถอะนะ เราเป็นห่วง”
“ให้เราพักแล้วพวกเจ้าสองคนจะไปกันตามลำพัง เรื่องแบบนั้นเราไม่ยอมหรอกนะ” เธอกลัวว่าถ้าอยู่ลำพังอัคนินจะไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของติณกฤต เขาอาจเป็นอันตรายได้
“ทำไม กลัวเราจะฆ่าอัคนินทิ้งเหรอ” ทางนี้ก็ดูเหมือนจะอ่านใจได้อย่างนั้น กล่าวมาขนาดนั้นแต่เธอกลับไม่ตอบ เอาแต่เงียบไป
“เราขอบอกไว้ตรงนี้เลยนะ ถ้าเราจะสังหารใครสักคน คนๆนั้นก็ต้องให้ประโยชน์กับเราหลังที่ลงมือ ไม่อย่างนั้นจะเสียแรงไปเพื่ออะไร”
“นี่เจ้าจะสื่อว่าเราไร้ประโยชน์อย่างนั้นเหรอ”
“รับเองนะ เราไม่ได้พูด”
“อย่าเพิ่งทะเลาะกันเอง เอาเวลาติดตามไปยังน้ำตกสัตตะสีได้แล้ว ไปด้วยกันสามคนนี่ล่ะ” เธอไม่อยากเสียเวลาและไม่อยากไว้ใจเรื่องที่จะเกิดขึ้นด้วย การที่ไปด้วยกันทั้งสามเลยนั้น หากเกิดเรื่องขึ้นมาจริง อย่างไรเธอก็จะร่วมมือกับคนที่รักเธอข้างเดียวนั่นกำจัดผู้ที่คิดจะลอบกัดเสีย
………..
 วันอาทิตย์ได้เข้ามาแล้ว ถ้าทั้งสามผู้คอยพิทักษ์คิดไว้ไม่ผิดแล้วล่ะก็ วันนี้จะต้องเกิดสุริยคราสอย่างแน่นอน แต่รอมาตั้งแต่ดวงอาทิตย์ปรากฏนานเท่าไหร่ไม่เห็น
“นี่ก็เกือบจะเที่ยงแล้ว แต่ยังไม่เห็นแววว่าจะเกิดสุริยคราสเลย” จั๊กแหล่นบ่นอุบอิบ
“ใจเย็นหน่อยเถอะจั๊กแหล่น บางทีอาจเกิดเที่ยงวันตรงเป๊ะเลยก็ได้นะ” หิ่งห้อยว่าไปอย่างนั้น แต่ตนก็ไม่แน่ใจเรื่องเวลาที่จะเกิดเหมือนกัน
“นั่นสิ จะช้าเร็วอย่างไรก็อย่าได้ร้อนใจไปเลย” จบคำของอัญญานีไม่นานนักแสงรอบๆตัวได้หรี่แสงเรื่อยๆ เป็นสัญญาณบอกว่าใกล้จะเกิดสุริยคราสบนท้องฟ้าอย่างเต็มที่แล้ว
“อย่าแหงนหน้าไปจ้องมองด้วยตาเปล่านะ!!” สตรีสวมแหวนวิเศษห้ามไม่ให้เสือสาวที่กำลังจะมองไปยันดวงสุริยันตรงๆแบบนั้น
“ทำไมล่ะเพคะ”
“ไม่อยากตาบอดอย่าทำ สุริยคราสไม่ใช่มองแล้วจะปกติเหมือนจันทรคราส”
“จั๊กไม่มองก็ได้เพคะ ……โห มีวงแสงใต้ร่มเหมือนเสี้ยวพระจันทร์เลย” เธอเห็นนั้นก็เปลี่ยนความสนใจเข้าไปดูที่ใต่ร่มเงาไม้นั่นเสีย
“แสดงว่าอีกไม่นานแล้ว”ท้องฟ้าสลัวลงเสียยิ่งกว่าฟ้าครึ้มยามฝนใกล้ตกเสียอีก คราวนี้ละจะเกิดเหตุการณ์ขึ้นแล้วจริงๆ
  ผ่านไปสักพักเหมือนมีอะไรมาดลใจให้อัญญานีรู้สึกอยากลองมองดวงอาทิตย์ คิดว่าพลังจากแหวนเป็นม่านบังตาไว้อีกชั้นได้จึงเสี่ยงลองมองลอดแหวนดู มันช่างดูสบายตาได้เหมือนตอนชมจันทร์อย่างนั้นเลย
ด้านบนท้องฟ้าเห็นวงกลมสีดำค่อยเคลื่อนทับดวงอาทิตย์ปรากฏเกิดเป็นหัวแหวนเพชร จนสุดท้ายก็ซ้อนทับกันอย่างดีเกิดเป็นรัศมีขาวล้อมรอบวงกลมสีดำ เธอมองดูสลับกับสังเกตเห็นดวงจิตแยกออกจากร่างของสุริยะและแสงสุรีย์มาประจำยังรูปทองที่นั่งขัดสมาธิพนมมือกันอยู่ ผ่านไปสักพักก็ปรากฏเกิดเป็นหัวแหวนเพชรเป็นรอบที่สอง นั่นทำให้มีรัศมีสีขาวราวกับดวงดาวแยกไปประจำรูปปั้นเหล่านั้น สุดท้ายแล้วความมืดวงกลมนั้นได้เคลื่อนย้ายออกไป ทั้งหมดก็ได้แยกจากกันเหมือนตอนที่เกิดเหตุการณ์ทรงกลด คงจะเป็นร่างสมบูรณ์ตลอดชีพแน่แล้ว
“แยกร่างกันแล้ว!!” จั๊กแหล่นกับหิ่งห้อยยักษ์ดีใจที่ทั้งหมดออกมาสวดคาถาพร้อมหน้ากันขนาดนี้  นี่หมายความว่าใกล้จะแยกกันแบบถาวรได้จริงแล้วสินะ
“ดีจริงๆ ขอแค่ผ่านวันพรุ่งนี้ไปได้พิธีก็จะจบสมบูรณ์สักที” ถึงจะแยกร่างกันแล้ว แต่พิธียังต้องดำเนินนต่อไปเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด ไม่ว่าจะยังไงเธอจะต้องคอยดูแลจนกว่าจะเสร็จพิธี ถึงแม้ในอีกไม่กี่เวลาอาจจะมีใครก้าวล้ำเข้ามาก่อนจะเสร็จพิธีแล้วล่ะก็  เธอกับผู้พิทักษ์ที่เหลือจะคอยสู้ปกป้องพวกเขาไว้อย่างสุดกำลังแน่
…………..
ฝนตกสัญญาณไม่ค่อยดีจึงอัพโหลดช้า ขออภัยด้วยนะคะ  จักรกรดขอแจ้งงดอัพเดตนิยายสำหรับสัปดาห์หน้าด้วยนะคะ เพราะที่มหาลัยมีประกาศให้ไปเรียนออนไซต์จึงต้องเตรียมตัวเพื่อกลับหอค่ะ และจักรกรดจะอัพเดตอีกใครั้งในวันที่5มิถุนายนนะคะ ^^



หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มิถุนายน 05, 2022, 09:12:12 PM
"เมื่อคืนเกิดจันทรคราส วันนี้ยังเกิดสุริยคราสตามมาติดๆ มันต้องมีเรื่องอะไรที่ต้องอาศัยเหตุการณ์สองอย่างนี้แน่" บดิศรที่กำลังเดินทางอยู่อุดรทิศได้ครุ่รคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตลอดชีวิตเขาตั้งแต่จำความได้มันไม่เคยเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกันขนาดนี้มาก่อน มันจะต้องมีเงื่อนงำสักอย่างแน่
"หิว หิวจะแย่อยู่แล้ว ...เจ้า เจ้าอยู่นี่นี่เอง นึกว่าข้าจะหลงกลเข้าเขาวงกตน่ะซี้ ข้าจะจับเจ้ากินไม่ให้เหลือซากเลยสุริยะ" อยู่ๆดันมีเจ้าค้างคาวโผล่หน้ามาชี้หน้ากล่าวหาว่าอีกคนเป็นศัตรู ด้วยความที่ทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมบิดา มีบ้างที่คล้ายกัน เจ้าค้างคาวที่สายตาไม่ดีในตอนกลางวันจึงมั่นใจเสียเหลือเกินว่าทักถูกคน
"ค้างคาวผี เสด็จแม่ตรัสว่าเจ้าออกตามล่าพวกพระมเหสีสไบทองหลายวันไม่เห็นกลับ ที่แท้เจ้ามาอยู่ที่นี่เอง"
"เจ้าเป็นลูกนางแท้ๆก็เป็นพวกเดียวกันนี่ ทำไมถึงเรียกแยกพวกอย่างนั้น"
"ไม่เจอกันนาน ตาถั่วอย่าวเจ้าไม่เปลี่ยนเลยสักนิด"
"บังอาจนักนะเจ้าน่ะ!!"
"เจ้าต่างหากที่บังอาจกับข้า ต้องหักแขนขาสักทีจะได้หลาบจำ!!" เขาต่อว่าอีกตนด้วยประโยคที่มักพูดกับเจ้าค้างคาวบ่อยแต่ไม่เคยทำมันจริงสักครั้งพลางเข้าจับข้อมืออีกฝ่ายบิดให้รู้ถึงรสชาติความเจ็บปวด
"อ๊าก!! ป..ปล่อยข้า  ปล่อย!!" เขาขัดขืนการกระทำของอีกฝ่าย แต่จะพยายามอย่างไรก็สู้แรงอีกคนไม่ได้เลย
"เราจะปล่อยก็ต่อเมื่อเจ้ายอมขอขมาเรา"
"พระโอรส ข้าขอโทษ ข้าผิดไปแล้ว ปล่อยข้า ปล่อยข้านะ ข้าเจ็บ!!!"
"พระโอรสองค์ไหน!!"
"พระโอรสบดิศร ตัวข้าจำได้แล้ว จำได้แล้ว"
"ก็แค่นี้ล่ะ"โอรสเจ้าหยุดการกระทำ ถ้าทักเป็นคนอื่นตนจะไม่โมโหหรอก แต่นี่กลับเรียกว่าเป็นศัตรูของตนตั้งแต่เยาว์วัยก็ย่อมไม่พอใจเป็นธรรมดา
"แขนข้าเกือบหักจริงๆซะแล้ว...จริงด้วยสิ ทำไมพระโอรสถึงมาที่นี่ได้ล่ะ”
"เราออกมาปล่อยข่าวที่เรากักขังองค์เหนือหัวพีรเชษฐ์ไว้น่ะสิ นอกจากนี้เราตั้งใจจะมาตามสืบแหล่งกบดานของพวกศัตรู เมื่อครู่เจ้าพูดถึงเขาวงกต เกี่ยวอะไรกับพวกนั้น"
"ตัวข้านั้นถูกพวกนั้นหลอกให้หลงทางมาขึ้นเหนือหาทางกลับไม่ถูก แต่เมื่อคืนนี้ข้าพบกับนางสิงโตที่พาพวกมเหสีหนีมาหนีเข้าไปในเขาวงกตน่ะสิ"
"นางสิงโต..สตรีหน้าตาประหลาดที่อยู่กับพวกรั้นเป็นเสือต่างหากล่ะ แล้วทำไมเจ้าจึงมั่นใจนักว่าสุริยะยังมีชีวิตอยู่ พวกเราเพิ่งมารู้ภายหลังเมื่คราววันจันทร์นี่เอง" ในช่วงที่เจ้าค้างคาวไปตามล่าพวกสไบทองนั่นเป็นคืนวันเสาร์ ยังไม่ทันมีการปรากฏตัวให้ใครทราบแน่ชัดนี่
"นางเป็นเสือหรอกเหรอ... ตอนนั้นตัวหม่อมข้าตามไล่ล่าจนไปเจอดอกบัวยักษ์อยู่ริมบึง ซ้ำยังเห็นพวกนั้นขนพาตัวคนที่ใส่เกราะกับสังวาลย์วันเสาร์เข้าไปในดอกบัวก่อนจะหุบดอกไป จึงมั่นใจว่าพวกนั้นยังมีชีวิตอยู่แน่ เสียดายข้าโจมตีเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผลเลย" เขาเล่าตามที่พบ เขาปักใจเชื่ออย่างนั้น แต่น่าเสียดายตนไม่น่าไปรับคำท้าเจ้าสิงโตเลย ควรจะเอาข่าวไปแจ้งให้ใครสักคนทราบให้เร็วแท้ๆ
"ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง อย่างนั้นก็อย่าได้รอช้าเลย พวกเราไปเขาวงกตกัน"
"เขาวงกต ไม่เอาหรอก ที่แบนั้นมันซับซ้อน แค่พุ่มไม้ก็จะแย่แต่นี่ดันเป็นกระจกอีก"
"ยิ่งเป็นแบบนั้นพวกเราก็ต้องรีบเข้าไปแหล่งกบดานของพวกนั้นให้ได้.. ไปได้แล้วถ้าไม่อยากถูกหักแขน"
"เห้อ..ไปก็ได้"
หลังจากเดินทางมาได้สักพักพวกเขาก็ได้มาถึงหน้าทางเข้าที่มีหุ่นไล่กาตามที่เจ้าค้างคาวเล่าต่อระหว่างทาง มองดูขึ้นไปแล้วมีแต่กระจกเรียงรายซับซ้อน ซึ่งไม่อาจคำนวณได้แน่ชัดว่าปริมาณบานกระจกมีเท่าไหร่
"พวกนั้นเอาหุ่นไล่กามาวางไว้ทำไมกัน" บดิศรแปลกใจ ถึึงขั้นต้องสร้างเขาวงกตแล้วจะมีประโยชน์อันใดในการสร้างหุ่นไล่กากันล่ะ
"คงไล่กาจริงๆล่ะมั้งพระโอรส"
"ไม่ต้องไปยุ่งกับมันก็แล้วกัน.. ขอดูหน่อยเถอะว่ามันเรียงรายกันยังไง" เขาใช้พลังเหาะตัวขึ้นบนฟ้าเพื่อที่จะดูทางไป แต่ว่ากลับพบกระจกบังเป็นเพดานสะท้อนท้องฟ้าอยู่เสียอย่างนั้น เขาจึงปล่อยพลังจากเกราะเหล็กเข้าทำลาย แต่แทนที่กระจกจะได้รับความเสียหายกลายเป็นว่าเอาพลังไปเข้าสะท้อนตีสลับไปมา เพราะท้องฟ้านั่นก็เป็นกระจกมาสะท้อนกันกับส่วนที่เป็นเพดานอีก ทีนี้เลยกลายเป็นสายเชือกพลังที่ตีพลังกลับไปมาพร้อมที่จะถูกโดนตัวเขาที่อยู่ตรงกลางระหว่างกระจกสองแหล่งนี้
"ต้องเดินหาทางอย่างเดียว ขึ้นไปดูหรือทำลายไม่ได้เลย"
"อย่างนั้นก็รอพวกนั้นออกมาไหมพระโอรส"
"ไม่ได้ เจ้าว่าเจ้าเจอกับนางเสือนั่น พวกนั้นก็ต้องระวังตัวไม่ออกมาเพราะคิดว่าเจ้าคาบข่าวมาบอกพวกเราแล้วน่ะสิ" ว่าแล้วบดิศรก็ลากเอาตัวเจ้าค้างคาวเข้าไปในทันที พอเข้าไปได้ในตอนแรกก็เรียงทางให้ไปได้ทางเดียวอยู่หรอก แต่พอต้องแยกนี่สิ
"เจ้าไปซ้าย เราไปขวา"
"ทำไมไม่ไปด้วยกันล่ะพระเจ้าค่ะ"
"ไปด้วยกันก็หลงทางด้วยกัน ไม่สู้หลงทางนึงถูกทางนึงจะได้ถึงตัวพวกนั้นเร็วขึ้น" พอจากกันห่างกันเรื่อยก็ปรากฏเห็นคนที่น่าจะมีคนเดียวร่างเดียวกลับกลายเป็นหลายร่างเพราะมีเงาสะท้อนเต็มไปหมดเมื่อเดินผ่าน บางทีเป็นว่าเป็นช่องทางว่างแต่ก็กลายเป็นกระจกไม่มีทางไป ในนี้มีเพียงแสงสีแดงสลับกันเป็นลวดลายอยู่ที่พื้นเท่านั้น เพราะมองขึ้นเพดานก็เป็นกระจกอยู่ดี คงจะต้องใช้เวลาพักใหญ่เลยกว่าจะถึงที่หมาย
............
"พวกเจ้าบอกว่านางกำนัลกานดาสิ้นชีพอยู่ในคลังเสบียง และผู้ที่ก่อเหตุคือพิธากับพิํทูร แน่ใจจริงแล้วหรือ" วิทวัสนาคราชถามทวนสิ่งที่ได้ยินจากรายงานทหารทั้งสอง
"พระเจ้าค่ะ รอยแตกเปลือกหลากสีนี้ปรากฏอยู่ข้างตัวนางกำนัลกานดา พวกเขาทั้งสองสวมแหวนที่ประดับหัวด้วยเปลือกหอยหลากสีขนาดเล็กอันเป็นของขวัญแทนใจสหายที่พวกหม่อมฉันมอบให้ " พลิศกล่าวตอบ พร้อมเหล่าสิ่งที่พบ
"จากที่เกิดเหตุพบว่านางกานดาถูกบีบคอเข้าอย่างจังซึ่งขณะที่ถูกบีบนั้นมีพลังล้อมรอบคอยกเว้นแต่ตกที่มีแผลบาดอันเป็นรอยหยักของหัวแหวนเปลือกหอยนั้น อีกทั้งด้านหลังศีรษะถูกกระแทกอย่างจัง หม่อมฉันคิดว่านางน่าจะถูกบีบคอพร้อมทั้งกระแทกหัวลงกับพื้นห้องจนสิ้นใจ"พลินกล่าวข้อสันนิษฐานต่อ จากร่องรอยที่ได้พบ
"สาเหตุน่าจะมาจากการที่นางไปพบว่าทั้งสองกำลังแอบโยกย้ายขโมยเสบียงออกไปจึงถูกทำร้ายถึงแก่ชีวิตพระเจ้าค่ะ"ทั้งสองสรุปอย่างพร้อมเพรียงกัน
"เสบียงก็ถูกพวกเขานำไปด้วยรึ.. เราอุตส่าห์ไว้เนื้อเชื่อใจพวกเขามาตั้งหลายปี ไม่นึกเลยว่าพอถึงสงครามเลือกฝ่ายกัน เขากลับคิดที่จะช่วยอีกฝั่งอย่างไม่ลังเล" ได้ฟังเช่นนั้นตนก็รู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก นี่ยังเหลืออีกตั้งหกวันก่อนจะเริ่มสงคราม ไม่รู้ว่าจะมีใครแปรพักตร์ไปอีก หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ฝั่งของตนคงจะเสียเปรียบต่อฝ่ายเทพวิษุวัตเป็นแน่แท้
"เรื่องเป็นเช่นนี้เรามีส่วนต้องรับผิดชอบในชีวิตของนางกำนัลและเสบียงที่หายไป พวกเจ้าทั้งสองไปเชิญเหล่าสหายบัญชารบของเรามายังท้องพระโรง เราต้องแจ้งเรื่องนี้ให้พวกเขาทราบ"
"พระเจ้าค่ะ"
"ตอนนี้เชื่อใจใครเห็นจะเป็นเรื่องยากเสียแล้ว สองคนนั้นหนีไปก็จริงอยู่ แต่บางทีในนี้ยังเหลือบอนบ่อนไส้อยู่ก็ได้ เราต้องหาสืบเองอย่างลับๆไปก่อน"ท้าวนาคาคิดในใจ  เรื่องนี้คงต้องลงมือเองเพราะหากพูดออกมากไปจะกลายเป็นช่องให้ศัตรูตบตาตนก็เป็นได้
............
"น้องพี่ เหตุใดใจเจ้ายังไม่ปล่อยวาง รู้หรือไม่หากเป็นเช่นนี้ต่อไปตัวเจ้าเองที่ต้องรับเคราะห์ ต้องเสียใจในภายหลัง" เทวีกล่าวกับผู้ที่นั่งสมาธิในห้วงความคิด
"พระพี่นางไม่ต้องมากล่าวกับหม่อมฉันเสียให้ยาก อย่างไรเสียตำแหน่งเทวราชาจะต้องเป็นของหม่อมฉัน อินทราณีจะได้เป็นพระอัครชายาเคียงข้างหม่อมฉันแทนที่ตำแหน่งพระองค์" เทพวิษุวัตไม่อยากฟังอะไรจากเชษฐภคินีของตน เนิ่นนานหลายปีไม่เคยมาให้พบแม้แต่ในความฝัน แต่พอจะเกิดสงครามกลับมาพบในขณะที่ตนนั่งสมาธิสั่งสมพลังอยู่นี่
"เจ้าน่ะผิดสัญญาที่ให้ไว้กับพระบิดาทั้งยังปิดบังเป็นความลับนั่นนับว่าผิดหนหนึ่งแล้ว หนที่สองยังไปทำลายวิมานสวรรค์ สาปแช่งเทพบุตรเทพธิดาให้ประสบวิบากกรรมเมื่อคราวสูญเสียอินทราณี ยังจะทำความผิดหนที่สามอีก พี่ขอเตือนเจ้าเสียหน่อยเถิดเจ้าน่ะกำเนิดจากพระประสงค์ พระเมตตาของพระบิดาและพระมารดาให้เจ้ามีชีวิตเพื่อคอยขจัดโพยภัยทั้งปวง ดำเนินชีวิตอย่างสงบสุข แต่เจ้ากลับนำเภทภัยมาสู่ผู้อื่นเช่นนี้ เจ้าไม่เห็นทั้งสองพระองค์อยู่ในสายตาแล้วรึ"
"ยามอยู่พระบิดาและพระมารดาเห็นเพชราดีกว่าหม่อมฉัน แล้วเหตุใดหม่อมฉันจะต้องเห็นแด่พระองค์ทั้งสองที่ไม่อยู่อีกต่อไปแล้วด้วย"
"เจ้าไม่เห็นทั้งสองพระองค์อยู่ในสายตาแล้วก็ช่างเจ้า แต่เจ้าคิดดูเถิดว่าผู้อื่นที่บริสุทธิ์ไร้หนทางสู้จะเดือดร้อนเพียงใด แค่วิธีที่จะรับอำนาจเจ้ายังทำผิดคิดกบฏ ต่อไปตอนเจ้าปกครองจะต้องมีเรื่องวุ่นวายไม่เลิกราแน่ สุดท้ายตัวเจ้าก็จะถูกแย่งตำแหน่งไปเหมือนที่เจ้าจะกระทำต่อองค์เทวราชา"
"หม่อมฉันไม่สนใจ"
"ในเมื่อเจ้าตัดสินใจเช่นนี้ เจ้าก็อย่าหวังจะได้บังคับเราสังหารพระสวามีเลย เราจะปรากฏเมื่อเราต้องการ และเมื่อนั้นมาถึงแล้วเจ้ายังไม่คิดกลับใจ เมื่อนั้นเป็นจะคราวตายของเจ้า!!" จบคำแล้วพระเทวีเบญจเนตรจึงได้หายไปในทันที พระเทวาวิษุวัติจึงได้ลืมตาขึ้นพร้อมกับความไม่สบายใจ
"หลายปีไม่เคยมาพานพบ ทีอย่างนี้คิดจะมาสอนสั่งเรา ไม่ช่วยเราก็ช่าง แต่คิดสังหารเราเราไม่ยอมหรอก" เขาดื้อรั้นไม่ยอมคิดตามคำของพี่สาวตน อยากฆ่าก็ต้องใช้เกราะกายสิทธิ์กับสังวาลย์มณีร่วมด้วย ตนจะต้องชิงเอามาอยู่กับตัวให้ได้ ดูสิว่าจะมีปัญญาอะไรมาฆ่าตน
...................
"ในที่สุดก็เจอสักที ไอ้ง่อย ตายซะเถอะ!!"  บดิศรใช้พลังจากเกราะเหล็กเข้าสังหารพวกเกราะกายสิทธิ์ในขณะทำพิธีแยกร่าง สร้างความโศกเศร้าแก่สหายเป็นอย่างมาก ไม่นานอัคนินก็ใช้สังวาลย์ศิลามาสังหารพวกสังวาลย์มณีไปอีกจนไม่เหลือชีวิตรอด  ด้วยเพราะการตายเช่นนี้แลเห็นวิญญาณที่ฉีกขาดร้องโหยหวนจวนจะบาดจนขาดใจ
"ไม่นะ ไม่ ไม่!!!" สไบทองตกใจร้องลั่นจนคนที่นวดให้อยู่ถึงกับตกใจ
"พระมเหสีเพคะ ทรงเป็นอะไรไปเพคะ"บัวแย้มเห็นอาการอีกคนร้องลั่น สีหน้าก็ไม่สู้ดีเลย จึงถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
"มันเหมือนจริงมาก เราฝันมันเหมือนจริงเหลือเกิน"
"พระสุบินถึงสิ่งใดกันเพคะ"
"เราฝันว่าลูกของเราถูกสังหารจากบดิศรได้สำเร็จตอนที่ทำพิธี อีกทั้งสหายของลูกเราก็สิ้นใจตามกัน ผ่านไปหลายวันไม่เคยฝันเช่นนี้ แต่นี่วันที่หกแล้วกลับมาฝัน มันต้องเป็นลางบอกเหตุที่ไม่ดีแน่"
"โบราณบอกว่าฝันร้ายจะกลายเป็นดี อย่ากังวลพระทัยเลยเพคะ" เธอพยายามพูดไปให้ผู้ฟังสบายใจ แต่ตัวเธอที่ได้ยินคำเล่าก็อดห่วงคนที่นั่นไม่ได้
"ร้องเสียงดังลั่นเชียวเป็นอะไรหรือลูกพ่อ" ท้าวนวดลได้ยินเสียงก็เสด็จมาดูลูกยาพร้อมกับชายาตน
"หม่อมฉันฝันร้าย กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อลูกๆของหม่อมฉันและสหายของพวกเขาเพคะ"
"เช่นนั้นก็ให้ตาหวานกับสุดหล่อไปช่วยสมทบอีกแรงดีไหม เพราะที่นี่เป็นแหล่งคุ้มภัยที่ดีมากสำหรับพวกเราแล้ว " มเหสีอมรินทร์กล่าวเสนอความเห็น
"เพคะ ตาหวาน สุดหล่อเราขอรบกวนพวกเจ้าด้วยเถอะนะ" ทั้งสองที่ตามมาทีหลังหลังจากได้ยินเสียงพอจะฟังทันว่าห่วงใยคนทางนั้นมากจึงไม่คิดจะขัดใจ
"พระเจ้าค่ะ พวกหม่อมฉันจะไปถวายการอารักขาเพิ่มเองพระเจ้าค่ะ"ตาหวานกล่าวอย่างน้อมรับ
"สุดหล่อจะช่วยเต็มที่ แต่แต่แต่ แต่เด็จแม่ต้องสัญญากับสุดหล่อก่อนว่าช่วยแล้วสุดหล่อจะได้ครอบครองของวิเศษทั้งสอง" เจ้าสิงโตมิวายจะต่อรอง
"เรื่องนี้เราให้สัญญาไม่ได้ ทางที่ดีเจ้าไปทวงสัญญากับเจ้าของเอาเองเถอะ" เธอไม่อยากให้มัวแต่รีรอ ไม่สู้ให้ไปหาเจ้าตัวเองให้เร็วๆจะดีกว่า
"โธ่"
"บัวขอติดตามไปด้วยนะเพคะ" เธอก็มีคนที่ห่วงหลายคน จะให้รอฟังข่าวอย่างเดียวคงไม่ดีแน่
"อย่าเลยบัว ที่นั่นอันตราย ภัยอาจถึงตัวได้"อดีตเจ้าเมืองกล่าวด้วยความเป็นห่วง
"บัวไม่กลัวภัยใดๆหรอกเพคะ เพราะบัวมีแก้วบุษบากร บัวหวังว่าจะได้ใช้สิ่งนี้ช่วยปกป้องพระโอรสและพระธิดาได้
"ตามใจบัวเถอะเพคะ... เราขอโทษนะที่ไม่ได้ไปด้วยนะเรากลัวจะเป็นภาระให้ถูกจับเป็นตัวประกันเพราะต่อสู้ไม่เป็น" เธอกล่าวตามจริง แค่บิดาถูกขังทรมานก็แย่พอแล้ว หากตนพลาดท่าลูกยาได้คิดไม่ตกแน่
"พวกหม่อมฉันเข้าใจดีพระเจ้าค่ะ" ผีโครงกระดูกกล่าว
"เดินทางปลอดภัย ระวังตัวด้วยนะ"
"พวกหม่อมฉันขอทูลลาพระเจ้าค่ะ" ไม่รู้ว่าจะไปช่วยได้ทันหรือไม่แต่พวกตนก็จะเดินทางอย่างเร็วที่สุดที่จะช่วยเป็นกำลังในการต่อต้านศัตรู
..............
"น้ำเต้าอมฤต ทำไมถึงมาอยู่กับพระองค์ได้ล่ะเพคะ  สหายของหม่อมฉันเคยหาในอาศรมของพระโยคีอนุชิตแต่ก็ไม่พบแท้ๆ" อัญญานีถามเทพบุตรที่นำสิ่งนี้มาให้อย่างสงสัย
"คนที่ยืมไปเอามามอบให้เรา ตอนนี้ไว้กับป่าหิมพานต์ไม่ได้หรอก เพราะใครเป็นศิษย์ในสายของฤษีษัฑวัตทั้งลูกศิษย์หลานศิษย์ก็ใช้น้ำเต้านี้ได้ทั้งนั้น จึงไม่เหมาะจะถึงไว้ให้พวกศัตรูใช้"ชยทัตกล่าว น้ำเต้านี่ถึงจะเกิดจากสร้างของสามฤษีแต่เพื่อบูชาอาจารย์ตนจึงได้มอบให้ฤษีษัฑวัตใช้ก่อน โยคีท่านจึงประทานพรให้ศิษย์ผู้สืบวิชาตนใช้น้ำเต้านี้ได้ทุกคน ไม่จำเพาะเจาะจงว่าใครเป็นเจ้าของ นอกเสียจากในเวลานั้นใครเป็นคนใช้มันซึ่งต้องเข้าเงื่อนไขข้างต้นด้วย
"อย่างนี้นี่เอง หม่อมฉันจะเก็บไว้อย่างดีรอมอบให้สหายเองเพคะ"
"ดีแล้วล่ะ ตอนนี้บดิศรเข้ามายังเขาวงกตแล้ว ยังไงพวกเจ้าก็ต้องระวังตัวให้ดี เราไปก่อนนะ"
"เพคะ"

"ใครกัน" บดิศรพึมพำกับตนเองเมื่อเห็นเงาผ่านกระจกไปอยู่ไวๆ
"ทุกคนไปไหนกันหมด เราหลงจะแย่อยู่แล้วนะ!!!" เสียงโวยวายของชายคนหนึ่งทำให้คนที่ครุ่นคิดอยู่ต้องเปลี่ยนความสนใจไปหาต้นตอเสียง
"อัคนิน เจ้าเองเหรอ!!"เขาร้องถามเสียงที่คุ้นเคยนั้น
"ใช่ เราอัคนินเจ้าน่ะใคร!?!"
"เราบดิศร"
"ดีเลย เจ้าอยู่ที่นี่พอดี พวกมันน่ะเข้ามิติกระจกนี่ไปทำพิธีแยกร่างถาวรกัน"
"ว่ายังไงนะ ..เราว่าป่านนี้คงทำพิธีเสร็จไปแล้วแน่"
"ไม่หรอก ติณกฤตบอกใช้เวลาเจ็ดวันเจ็ดคืน ถ้าเร็วสุดก็จบพิธีเอาวันอังคารที่ดวงอาทิตย์ปรากฏบนฟ้านู่นน่ะ"
"แล้วมันต้องเข้ายังไง"
"เข้ากระจกที่แสดงภาพวาดน้ำตกสัตตะสี  แต่ที่นี่กระจกเยอะแยะเลย"
"อย่างนั้นก็เร่งหากระจกเถอะ เข้าได้ก็ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว" จบประโยคชาวรัตนบุรีแสงไฟที่พื้นก็ไม่สว่างสม่ำเสมอเหมือนตอนแรกกลับเดี๋ยวไฟดับเดี๋ยวไฟติด กระจกสะท้อนเงาก็สลับกับกระจกใสที่มองทะลุได้ทุกๆครั้งที่ไฟติด แค่หาทางยังยากยังจะมีเรื่องนี้มาอีก
"ฉันทนา!!" โอรสเมืองคีรีมาศเห็นสตรีที่พลีดพรากจึงได้เข้าหาอย่างดีใจแต่ก็ต้องพบว่านั่นเป็นเพียงเงาบนกระจก
"พวกเราทำลายกระจกพวกดีมั้ย!!" ชาวนาคาร้องถามสหายทุกคน
"ระวังตัวด้วยเราเคยลองปล่อยพลังไปมันสะท้อน ยิ่งอยู่ที่นี่ยิ่งมองยากไปใหญ่ ถ้ามันไม่แตกก็ไม่ควรเสี่ยง" ผู้มีประสบการณ์เตือน
"ก็ต้องหากระจกของจริงอย่างเดียวเลยสิ"ฉันทนากล่าวอย่างไม่ถูกใจกับสิ่งที่พบนัก
"ใช่ เอาอย่างนี้แล้วกัน ในเมื่อทำลายไม่ได้ก็ใช้พลังประทับสัญลักษณ์ไว้" บดิศรเสรอความเห็น
"ทำทำไม" อัคนินถามอย่างไม่เข้าใจ
"จะบอกอยู่นี่ เวลาไฟติดกระจกไหนใสก็ทำสัญลักษณ์ไว้เลย เพราะพวกนั้นไม่ใช่ของจริง เจ้าบอกเองว่ามันจะขึ้นภาพวาดน้ำตกถึงจะเข้าได้ ไฟเดี๋ยวดับเดี๋ยวติดมานานแต่กระจกตรงที่เราอยู่ไม่ขึ้นอะไรเลย"
"ถูกของบดิศร กระจกนี่จะเปลี่ยนภาพไปเรื่อยๆไม่มีทางจะใสทะลุเห็นน้ำตกของจริงแน่"ตอณกฤตเสริม
"อย่างนั้นก็ทำกันเลย" การกระทำคราวนี้ก็ถือว่าใช้ได้หากแต่เสียเวลาไปมากสักหน่อย เพราะกระจกมีหลายบานเกินไปจึงต้องตามหาล่วงเข้าสายอีกวันถึงจะได้พบ
"ในที่สุดเราก็เจอแล้ว!!"ผู้สวมสังวาลย์ศิลากล่าวอย่างดีใจ ไม่ต้องคอยมาทำสัญลักษณ์อะไรนี่แล้ว
"รออยู่ที่กระจกบานนั้นนะเดี๋ยวพวกเราตามไป ทำเสียงอะไรก็ได้เรียกไว้ตลอดนะ" ศิษย์หญิงของฤษีทมิฬบอกแล้วจึงหาทางติดตามไป
"มีไม้อยู่ตรงนี้ด้วย เขามองพื้นรอบๆแล้วเจอกิ่งไม้จึงเอามาเคาะข้างๆกระจกอย่างรัวๆ แต่ดูท่าสหายยังไม่ถึงสักที ตนจะค่อยๆตีทีละครั้งเพราะความเมื่อย พอครบห้าครั้งเท่านั้นล่ะ เขาวงกตกระจกก็หายไปในทันตาเลนทีเดียว
"ฉลาดมากเลยนะเจ้าน่ะ ดีเลยจะได้ไม่ต้องลำบากหาทางอีก"ชายนาคาชมสหายตน
"ของมันแน่อยู่แล้ว"
"ภาพวาดขึ้นมาแล้วพวกเราไปกัน"ฉันทนาเห็นดังนั้นจึงเรียกให้เหล่าสหายเข้าไปก่อนจะเปลี่ยนภาพ
"รอค้างคาวด้วย"เจ้าค้างคาวเห็นกลุ่มคนเข้ากระจกตนก็รีบเข้าตามไปในทันที


"ในที่สุดพวกเจ้าก็มาให้ข้าจับกินสักทีนะ" ร่างยักษ์หมอบรอหน้ากระจกอยู่สักใหญ่เลยกว่าเหยื่อจะเข้ามา
"ปัทมาสน์!! " อริร้องเรียกพลางชี้หน้าด้วยตกใจ พวกเขาพลาดซะแล้วหรือนี่
"นี่พวกเจ้าแยกร่างกันสมบูรณ์แล้วงั้นเหรอ"ศิษย์ร่วมสำนักถามเพื่อยืนยันสิ่งที่ตนคิด
"สมบูรณ์แล้วยังไง ไม่สมบูรณ์แล้วยังไง เราอยู่ตรงนี้แล้ว เตรียมตัวตายซะ!!" จบประโยคเธอได้ใช้มือไล่จับทั้งห้าอย่างจบเอาเป็นเอาตาย แต่ศัตรูทั้งหมดก็หลบกันเก่ง สุดท้ายก็มีผู้พลาดท่าให้จับจนได้
"ปล่อยเรานะ ปล่อย!!"ฉันทนาถูกจับได้ก็ทั้งดิ้นทั้งร้อง
"ปล่อยนางนะ!!" อัคนินร้องบอกกับนางยักษ์ร้ายในสายตาตน
"ไม่ปล่อยเจ้าจะทำอะไรเรา"
"เรา..นี่เจ้าเป็นใครกันแน่ นางไม่มีทางใช้คำแทนตัวแบบนี้กับข้าเด็ดขาด" ปกติไม่ได้เรียกตัวเองว่าเราเลยด้วยซ้ำเวลาที่อยู่กับศัตรูคู่แค้นอย่างนี้
"จับได้ทันควันเชียวนะ ....ต่อให้เราไม่ใช่นางเราก็นับเป็นศัตรูพวกเจ้าอยู่ดี" อันติมะกลับร่างเป็นบุรุษตามเดิม แต่ก็ไม่วายจะใช้เชือกรัดตัวตัวประกันเอาไว้ต่อรอง
"จะเข้ามาฝ่าด่านเพื่อกำจัดสหายเราแล้วล่ะก็ ข้ามศพนางก่อนเลย" เขาใช้มีดจี้คอของอีกคน
"ทำอะไรนางก็ทำไปสิ"
"ติณกฤต นี่เจ้า!!" คนสวมสังวาลย์ไม่พอใจอย่างแรง
"คิดว่าต่อรองแค่นี้พวกเราจะยอมงั้นเหรอ" นี่ก็อีกคนไม่คิดจะขอชีวิตศิษย์ร่วมอาจารย์เลย
ฉันทนาใช้ช่วงที่คิดว่าอีกคนเผลอจึงใช้ด้ายหมายจะส่งกระแสไฟทำร้ายคนที่จับตน แต่ผิดคาดไปเสียแล้ว
"ฮั่นแน่ จั๊กเห็นนะว่าเจ้าจะทำอะไร"จั๊กแหล่นใช้ความไวตัดเส้นด้ายที่จะไปพันตัวอันติมะได้ทันท่วงที
"ร้ายจริงๆ คิดลอบกัดซะได้"เขาเอาปลายมีดกดไปที่คอจนเลือดออก ดีที่ไม่ใช่จุดสำคัญจึงยังไม่ถึงกับเจ็บทุรนทุราย
"ปล่อยนางนะ"
"พูดเป็นอยู่แค่นี้เองเหรอ พูดสิว่าสัญญา สัญญาว่าจะไม่รบกวนสหายเรา เราถึงจะปล่อยนาง "
"ไม่ต้องสนกันหรอกลุยเลย!!"เจ้าค้างคาววิ่งไปยังหินตรงต้นไม้ใหญ่นั่นแต่ต้องพบกับเจ้าหิ่งห้อยมายิงพลังใส่
"เจ้า!! กล้าดีนักนะ!!"ตัวเองไม่ยอมถูกกระทำฝ่ายเดียว ถึงตาจะมองเห็นไม่มากแต่ว่าตนก็จะสู้ไม่ยั้งมือหรอก
"พวกอยู่บนน้ำตก พวกสองคนขึ้นไปจัดการทางนั้น ทางนี้เราจะจัดการเอง" ติณกฤตเรียกเอาทวนวงเดือนเข้าผ่าลงไหล่ขวาของอันติมะแต่เขากลับหลบทัน หลังจากหลบเขาได้ใช้ความไวนำเชือกมาผูกตนกับฉันทนาติดแนบหลังชนกัน
"แน่จริงก็เข้ามา!!" บุรุษสวมแหวนวิเศษเรียกท้าศัตรู แต่ตัวเขากลับดักหน้าบดิศรกับอัคนินไว้
"ไม่ต้องไปยุ่งเลยนะ!!" ติณกฤตกำลังวิ่งพุ่งจะไปฟันอีกรอบแต่ถูกกอดเอวจากจั๊กแหล่นเหวี่ยงตัวออกไปขณะที่ไม่ทันตั้งตัว
"อย่าชักช้าเสียเวลาลังเล" บดิศรเห็นอัคนินลังเลตนจึงกล่าวแล้วปล่อยพลังใส่อันติมะ แต่เขากลับหันหลังให้แล้วกระโดดหนี เกือบพลาดโดนฉันทนา
"เจ้าทำอะไรของเจ้า "
"จะรอให้มันทำตามใจอย่างเดียวไม่ได้หรอกนะ"
ขณะที่เถียงกันอยู่อันติมะก็ถีบทั้งคู่จากด้านหลัง
ทั้งสามเข้าต่อสู่โรมรันกัน ฉันทนาก็กุมแผลที่คอ เลือดไหลออกไม่หยุดสักที ขืนตนไม่ได้ลงจาหลังของศัตรูตนได้สิ้นใจตายแน่ จึงหยิบปิ่นที่ปักผมตนเหวี่ยงแทงอันติมะขณะที่สู้กันทั้งสองคน
"โอ๊ย!! นี่เจ้ากล้าลอบทำร้ายเราเหรอ" บุรุษตัวติดกับถูกกระทำเช่นนั้นก็จงใจวิ่งถอยหลังชนตัวลงไปยังหินใต้น้ำตกให้อีกคนเจ็บจนยอมป่อยปิ่นที่มาปักตน ได้ทีดังนั้นตัวเองจึงดึงออกมา  แต่ไม่นานตนก็ได้สลบไปเพราะปิ่นนั่นมียาพิษ
"ฉันทนา ฉันทนา!!"เขาเข้ามาจับแยตัดเชือกทั้งสองออกจากกัน แล้วจึงเรียกลกอีกคน แต่เท่าไหร่ก็ไม่ยอมฟื้น เพราะนางอ่อนแรงไม่ได้นานสามคืนแล้วทั้งยังถูกทำร้ายจึงสลบสไลเช่นนั้น
ลูกไฟสีขาวพุ่งเข้าใส่ทั้งสองเข้าอย่างจัง ติณกฤตทำอีท่าไหนถึงปล่อยนางเสือนี่เข้ามาทำร้ายทั้งสองได้ อัคนินจึงใช้พลังจากสังวาลย์ปล่อยพลังใส่จั๊กแหล่น ใครจะคิดว่าจั๊กแหล่นจะมีธำรงค์แก้วศุภรสวมดรรชนีอยู่กัน ต้านพลังได้ไม่นานคนที่แพ้ก็เป็นนางเสือเอง แต่จังหวะที่จะล้มตัวก็ใช้แสงสว่างวาบทำให้ทั้งหมดแสบตาเสียก่อน
"พระโอรสพระเจ้าค่ะ จั๊กแหล่นพาพระโอรสไปกันก่อนเถอะ"เจ้าหิ่งห้อยรีบพาหนีหายลับไป
"นึกว่าจะใจกล้าที่ไหนได้ ที่แท้รักตัวกลัวตายทิ้งคนของตัวเอง"
"ติณกฤตหายไปไหนกัน "บดิศรสงสัยขึ้นมา นี่มันแปลกเกินไป ถ้าไม่สู้ถึงที่สุดติณกฤตน่าจะไม่รามือ
"ช่างก่อนเถอะน่า ฆ่าพวกมันให้เสร็จแล้วพาฉันทนาไปรักษาตัว"
"ได้"
ทั้งสองคนได้ขึ้นไปยังน้ำตกแล้วจึงใช้พลังจะลงมือฆ่าคนที่ตนเกลียดฉันเป็นร่างต้นอย่างสุริยะกับแสงสุรีย์ แต่พอลงมือกับต้องพบกับความผิดหวัง นี่มันเพียงผ้าฉากกันขนาดใหญ่เท่านั้น พอพลังทำลายฉากกั้นนั้นก็ถูกทำลาย ปรากฏว่านี้ไม่ใช่ตอนกลางวันของวันจันทร์แต่นี่เป็นเวลาเช้าใกล้จะรุ่งสางของวันอังคารแล้ว
"รู้ว่าพวกเจ้าโง่ แต่ไม่คิดว่าจะโง่ขนาดนี้นะ" อันติมะเดินออกมาชมผลงานอย่างสำราญใจ
"สองคนนั้นกับค้างคาวนั่นไม่ได้เข้ามิติกระจกมาตั้งแต่แรกแล้ว"จั๊กแหล่นเสริม  คนที่แสร้งสลบอยู่ก็กลับร่างเดิมฟื้นขึ้นมาเป็นเจ้าสิงโตกับผีโครงกระดูก
"พวกเจ้าหลอกพวกเรา!!"อัคนินชี้หน้าต่อว่า
"ใช่ หลอก แล้วจะทำไม"
"วิธีสกปรก ภูมิใจกันมากนักเหรอ"บดิศรว่าบ้าง
"จ้าพ่อคุณสะอาด คนสวดมนต์ทำพิธีก็ยังคิดทำร้าย"จั๊กแหล่นฟังก็ย้อนกลับ
"ดวงอาทิตย์ยังไม่ออก จัดการตอนนี้ยังทัน"บดิศรลอบคุยผ่านใจกับอัคนิน
"จัดการเลย"
ทั้งคู่ไม่สนใจพวกที่พูดด้วยปาวๆได้หันไปทางน้ำตกเพื่อโจมตีแต่พบเพียงน้ำตกที่ว่างเปล่า
"อะไรมันจะง่ายขนาดนั้น อยากปล่อยพลังก็ปล่อย" เพชรราหูกล่าวอยู่เบื้องหลังทั้งสอง ปรากฏว่าหันกลับไปทุกคนได้ทำพิธีสมบูรณ์ไปเสียแล้ว
"เหนื่อยหน่อยนะ" พุทธรัตน์เปิดฉากต่อสู้ต่อด้วยการยิงศรใส่ศัตรูในทันที เห็นทีสองคนนี้จะพบเรื่องน่าลำบากเข้าให้เสียแล้วสิ
_______-------------------อัพเดตทุกวันอาทิตย์ปรับเปลี่ยนเวลาเป็นเวลาประมาณ21.00น.ค่ะ




หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มิถุนายน 12, 2022, 09:05:39 PM
"ดีแล้วล่ะ ตอนนี้บดิศรเข้ามายังเขาวงกตแล้ว ยังไงพวกเจ้าก็ต้องระวังตัวให้ดี เราไปก่อนนะ"
"เพคะ" ย้อยความหลังจากที่ฟังคำเตือนของเทพบุตรชยทัต อัญญานีได้แอบออกจากมิติกระจกเพื่อไปสังเกตการณ์ว่ามีใครบ้างที่เดินทางมายังที่แห่งนี้ เนื่องจากเธอเป็นหนึ่งในผู้ที่สร้างเขาวงกตนี้ขึ้นมาจึงปรับเปลี่ยนเส้นทางให้ไม่ต้องพบหน้ากับศัตรูโดยตรง
“ในนี้ยังมีแค่บดิศรกับค้างคาวผี แต่ไม่แน่ว่าจะไม่มีใครมาเพิ่มอีก” ธิดาแห่งโกสุมพิสัยไม่เพียงแต่ดูจำนวนคนที่อยู่ด้านในเขาวงกตนี่อย่างเดียวเท่านั้น เธอยังเดินไปดูที่ทางเข้าอีกด้วย เพื่อให้แน่ใจในจำนวนที่แท้จริงเพื่อเตรียมรับมือ
“พวกเจ้าสองคนแน่ใจนะว่าเป็นที่นี่น่ะ”อัคนินที่มองกระจกนับร้อยก็ไม่ค่อยจะแน่ใจเท่าไหร่นัก
“ดูจนทั่วก็เห็นแต่ที่นี่นี่แหละ ที่มีกระจกตั้งอยู่ท่ามกลางป่าดงพงไพร”ฉันทนาตอบคำถาม ตัวเองไม่เคยมาเหมือนกันไม่อาจรู้แน่ชัดได้ แต่จะให้ทำยังไงล่ะในเมื่อมันมีอยู่แห่งเดียว
“ยังไงก็ต้องเข้าไปดูก่อนนั่นล่ะ เสียดายที่หาบดิศรเท่าไหร่กไม่พบ ไม่อย่างนั้นคงเป็นกำลังให้พวกเราช่วยตามหาได้อีกแรง” ติณกฤตกล่าวอย่างอดเสียดายไม่ได้ ดูจำนวนกระจกแล้วถ้าได้พลพรรคมาช่วยตามหามิติกระจกของจริงเพิ่มก็คงจะดีอยู่หรอก
“ไม่รู้พวกมันคิดเล่นอะไรถึงได้ทำหุ่นไล่กามาวางไว้ตรงหน้าทางเข้านี่” โอรสเมืองคีรีมาศจับเข้าที่ตัวหุ่นที่ตัวเท่าคนจริงนั่นแล้วจึงผลักลงกับพื้น ใครจะไปคิดเล่าว่ามันจะมีฝูงกามายังที่แห่งนี้มากมายขนาดนี้
“อัคนินเจ้าทำทำไมเนี่ย!!” สหายหญิงโวยตัวต้นเหตุ ต้องมาถูกนกบินรุมจิกนี่เพราะมือใครกันล่ะ
“ใครจะไปรู้ว่าไล่กาจริงๆนี่ กาฝูงใหญ่อีกตะหาก”เขาพลาดไปแล้วกับการกระทำที่ชอบยุ่งชอบทำลายของคนอื่น คราวก่อนไม่เคยได้รับผลเสียที่ตามมา แต่คราวนี้ต้องรับมันบ้างแล้วล่ะ
“เลือดของพวกมันเป็นสีดำหมดเลย” บุรุษภุชงค์ที่ใช้อาวุธไล่ฟันปัดป้องตนจากภัยพบว่าลักษณะสีที่ออกจากสัตว์ชนิดนี้แปลกจากทั่วไปนัก
“ดูท่าทีไล่เหล่ากาแล้ว ลำพังสองคนนั้นยังสู้ต่อหน้าได้บ้างหรอก แต่อัคนินคงต้องซ้อนแผนบ้างเพราะเขาพกอาวุธที่ทัดเทียมกับสหายเรา ต้องจับแยกไปจัดการพร้อมกับบดิศร” อัญญานีที่สังเกตการณ์คิดอยู่ในใจได้ดังนั้นจึงไม่รีรอที่จะขยายอาณาเขตเขาวงกตไปพร้อมกับตอนที่ติณกฤตกำลังตรวจดูเลือดสีผิดแปลกนั่น
ชาวบาดาลทักษิณใช้มือสัมผัสพื้นผิวของเลือดนั่นแล้วนำเลือดที่ติดมือขึ้นมาดูโดยที่ไม่ทันได้สังเกตสิ่งรอบตัว
“อยู่ดีๆมีกระจกมาเพิ่มอาณาเขตเขาวงกตให้มากขึ้นซะได้…อัคนิน ติณกฤตพวกเจ้าได้ยินเสียงเรามั้ย!!!”เธอร้องเรียกสหายร่วมทางหวังว่าจะได้รับการตอบกลับมาบ้าง แต่ก็ไม่มีเลย
“อะไรเนี่ย!!! มันเป็นเขาวงกตแบบไหนทำไมถึงอยากให้คนเข้านัก!!” โอรสแห่งผกากรองโวยสิ่งที่เกิดขึ้น ทีนี้จะทำยังไงดีล่ะ
“ต้องเป็นฝีมือพวกนั้นแน่ที่อยากให้พวกเราเข้าด้านในไวๆจะได้แยกจากกัน”ผู้สำรวจเลือดละความสนใจจากสิ่งที่ทำจึงได้พบกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ในเมื่อเป็นนี้ตนคงต้องรีบตามหามิติกระจกที่เป็นทางเข้าสู่น้ำตกเจ็ดสีแล้วจัดการสังหารศัตรูโดยลำพัง เพราะถ้ามัวแต่ตามหากันแล้วเมื่อไหร่จะเจอสิ่งที่ปรารถนา

อัญญานีปรับสลับกระจกไปมาเพื่อให้แน่ใจว่าทั้งหมดจะหลงทางจนกินเวลาถ่วงเวลาให้ได้มากพอที่จะรับมือในขั้นถัดไป
“ยังไงก็ไว้ใจมากไม่ได้ เทวดาทั้งสองนั่นต้องขนพาบริวารตามมาต่อแน่ จำนวนผู้พิทักษ์ดูแลน่าจะไม่พอต้าน ต้องไปรับพรรคพวกมาเพิ่มสักหน่อยแล้วล่ะ” เธอว่าแล้วจึงใช้ฤทธิ์แหวนหายตัวไปยังมิติที่พำนักหลักของฝ่ายตน
“อัญญานี เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงมาที่นี่ ยังไม่ทันครบวันเลยนะ” สไบทองเห็นเช่นนั้นจึงไม่สบายใจเลย กลัวใจว่าจะเกิดเรื่องแบเดียวกับฝันบอกเหตุนั่น
“ทูลตามตรงเพคะ พวกศัตรูตามมาประชิดถิ่นที่ทำพิธี ในเวลานี้หม่อมฉันได้ยืดยื้อเวลาออกไป แต่หากพวกนั้นแก้ไขอุปสรรคได้ทันเวลาเกรงว่าจำนวนผู้รับมือที่มีฝีมืออาจจะไม่เพียงพอ หม่อมฉันจึงคิดมารับสุดหล่อ พี่ตาหวานและบัวแย้มเพื่อจะไปเสริมกำลังในแผนการขั้นต่อไป”
“อย่างนี้นี่เอง พอดีเราฝันว่าลูกของเราและเหล่าสหายจะได้รับอันตรายจึงได้วานให้พวกเขาเดินทางไปสมทบ พวกเขาเดินทางไปตั้งแต่ตอนบ่ายไม่รู้ว่าถึงไหนแล้วด้วยสิ”
“พระมเหสีอย่าได้กังวลพระทัยเลยเพคะ ฝันร้ายย่อมกลายเป็นดี พวกหม่อมฉันจะปกป้องดูแลให้พิธีสำเร็จได้อย่างแน่นอนเพคะ”
“ยังไงพวกเจ้าต้องระวังตัวเองให้มากนะ” เธอกำชับด้วยความห่วงใย อย่างไรเสียก็ร่วมเส้นทางนี้มาตั้งนานจะให้ห่วงแต่ลูกตนเหมือนครั้งก่อน ตนนั้นทำไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
“เพคะ พวกหม่อมฉันจะระวังตัวให้ดี ครั้งหน้าจะกลับมาอย่างพร้อมหน้า หม่อมฉันทูลลาเพคะ” เธอลาเสร็จแล้วจึงหายตัวไปยังพวกที่ออกเดินทาง หวังว่าแผนการที่คิดไว้จะสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

"ทุกคนไปไหนกันหมด เราหลงจะแย่อยู่แล้วนะ!!!" อัคนินที่เดินตามหานานเสียไม่รู้กลางวันกลางคืนก็จนปัญญา โชคยังดีที่ได้ยินเสียงเรียกถามและได้พูดคุยของบดิศรทำให้เขาอุ่นใจขึ้นมาบ้าง    แต่หารู้ไม่ว่าระหว่างนั้นพวกที่เป็นฝ่ายศัตรูกำลังสวมรอยเป็นพวกเพื่อนที่หลือของตนด้วย
"พวกเราทำลายกระจกพวกนี้ดีมั้ย!!" จั๊กแหล่นแสร้งแกล้งเป็นติณกฤตร้องถามจนผู้ที่ฟังทั้งสองได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้เกิดความสงสัยจึงได้ทีแสดงต่อ ทุกเหตุการณ์ที่ดูง่ายและได้ดั่งใจล้วนเป็นสิ่งที่อยู่ในแผนทั้งสิ้น สุดหล่อเล่นเป็นอันติมะ ฉันทนาสวมรอยโดยตาหวาน ส่วนเจ้าค้างคาวแค่ใช้ใบไม้มาเสกแทนตัว  อัญญานีก็ยกแหวนให้บัวแย้มสวมเป็นจั๊กแหล่นแทน ฝ่ายตัวเองขอหยิบยืมกำไลแก้วบุษบากรนำกลีบบัวยักษ์มาทำฉากกั้นสร้างภาพมายา พอฉากกั้นถูกทำลายทุกอย่างก็ได้เปิดเผย
"วิธีสกปรก ภูมิใจกันมากนักเหรอ" ประโยคออกมาจากปากศัตรูแสดงถึงความไม่พอใจต่อแผนตลบหลังนี้แต่อีกฝ่ายหาได้สนใจไม่ เรื่องแบบนี้มันขึ้นกับเล่ห์กลวิธีถึงจะได้เปรียบ ถ้าไม่เอาเปรียบอีกฝ่ายจนเกินไปก็ย่อมทำได้อยู่แล้ว ทั้งสองฝ่ายเข้าต่อสู้กันอีกครั้งโดยคนเกิดวันพุธเป็นฝ่ายเริ่ม
“คิดว่าแยกร่างถาวรแล้วจะรุมพวกเรายังไงก็ได้อย่างนั้นเหรอ” บดิศรใช้พลังจากเกาะเหล็กป้องกันตนจากอาวุธของฝั่งตรงข้าม พลางมีวาทีที่ทำให้ผู้ฟังเกิดการเปลี่ยนใจขึ้นมา
“ไม่รุมก็ได้ แต่ว่าต้องสู้หนึ่งต่อหนึ่งนะ”ศุภลักษณ์กล่าวกับอีกฝ่าย เขาเห็นมีกันแค่สองคนน่าเห็นใจ โดนหลอกมาก็ทีนึงเสียเปรียบพอแล้ว
“ได้อยู่แล้วหรอกน่า” อัคนินตอบคำของคนในวงศาเดียวกัน
“ดี พวกเราจะนั่งดู  ส่งตัวแทนไปพอ” ศนิวารกล่าวเช่นนั้นจบผู้ครอบครองสิ่งวิเศษฝั่งเดียวกับตนจึงได้หาที่นั่งชมการต่อสู้ ตัวแทนคงไม่ใช่ใครอื่น ต้องเป็นผู้ที่เปิดฉากต่อสู้อย่างคู่สหายวันพุธ
“เข้ามาได้เลย” คราวนี้เพชรราหูให้โอกาสอีกฝั่งได้โจมตีก่อน อัคนินใช้หมัดพลังเข้าชกที่หน้าของผู้ร่วมบิดาแต่อีกคนก็ตั้งรับโดยการเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อย มือหนึ่งปัดหมัด มืออีกข้างก็กระแทกไปที่หัวไหล่ของอีกฝ่าย พอได้จังหวะจึงเดินมวยเข้าเตะเหวี่ยงด้วยเท้าไปยังศีรษะของผู้สวมสังวาลย์ศิลา ทั้งคู่ประลองเชิงมวยกันไปอย่างสูสี
คู่ต่อสู้อีกคู่หนึ่งก็ไม่ได้อ่อนข้อต่อกัน ถึงแม้จะเป็นสายเลือดเดียวกัน แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่จะอ่อนข้อให้อีกฝ่ายเลยสักนิด พุทธรัตน์ตั้งรับหมัดของฝ่ายตรงข้ามโดยใช้มือซ้ายกดแขนขวาของบดิศรให้เบนลงต่ำแล้วรีบชกด้วยหมัดขวาตรงไปที่ใบหน้าอย่างรวดเร็ว หาจังหวะได้จึงหมุนตัวออกห่างแล้วจึงยิงศรใส่อีกฝ่าย ทางอีกฝ่ายก็ได้เรียกเอาอาวุธเสริมอย่างดาบหน้าหัวแหลมเข้าสกัดฤทธิ์ธนูไฟของฝ่ายศัตรู แล้วจึงวิ่งเข้าหมายจะฟันเสียให้สะบั้น แต่อีกคนนั้นหลบทันใช้คันศรลอบตีขากลับไปเสียทีหนึ่ง หลังจากนั้นจึงผลัดรับผลัดสู้
“สู้ตัวต่อตัวแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ ใช้ฝีมือได้เต็มที่ไม่ต้องผลัดกันสู้”ประกายพฤกษ์มองดูลีลาการต่อสู้ของทั้งสี่คนรู้สึกได้ถึงความตั้งใจและหัวพลิกแพลงในการสู้ตลอดเวลาที่กระทำอยู่ มันช่างน่าชื่นชมอยู่ไม่น้อย
“เราว่าทางที่ดีควรพอกันก่อนดีกว่า อีกไม่กี่วันก็จะมีสงครามแล้ว ควรให้พวกเขาพักผ่อนนะ” อันติมะออกความเห็น นี่ก็สู้มาได้สักพักแล้วไม่อยากให้เสียแรงเลย
“สงครามงั้นเหรอ” แสงสุรีย์ได้ยินคำสหายจึงอดสงสัยไม่ได้
“ใช่ สงครามนี้เป็นสงครามชิงบัลลังก์ปกครองสวรรค์น่ะ เทพวิษุวัตคิดจะครองบัลลังก์สั่งสมบริวาร พอพระอินทร์ท่านกลับมาก็ไม่มีความหมายแล้ว ”
“พระองค์เป็นถึงเทวราชา ทำไมจะทวงคืนสิทธิ์ตนไม่ได้ ตนพวกเรายังเด็กก็เป็นพระองค์ที่ช่วยยุติเรื่องให้ เทพวิษุวัตยังไม่กล้าต่อกรเลย” จันทลักษณ์สงสัยในสิ่งที่สหายกล่าว
“เพราะเป็นเทวราชานี่ล่ะที่ต้องให้ความสำคัญกับการปกครอง ถ้าปกครองไม่ได้ มีพระบุญญาอย่างเดียวก็ไม่ช่วย”
“จริงอย่างที่กล่าว แต่สิ่งที่เรากลัวที่สุดคือพระองค์ไม่ได้คิดเพียงชิงตำแหน่ง ยังจะคิดเอาชีวิตของสหายเก่าไปอีก” สุริยะกล่าวในสิ่งที่ตนกังวลมาตลอดตั้งแต่อดีตชาติ
“จริงสิ สงครามนี่มีข้อตกลงกฎในการรบอะไรบ้าง แล้วจะจัดขึ้นเมื่อไหร่”อังคาสที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเกิดคำถามขึ้นมา การถามเช่นนี้ก็ดี จะได้ชี้แจงให้ได้ทราบ
“วันเพ็ญที่จะถึงนี้ล่ะ ข้อตกลงเกิดขึ้นที่เขตการรบเป็นกฎสิบข้อให้ปฏิบัติร่วมกัน แต่ว่าทั้งสองฝ่ายสามารถนำตราบัญชารบมาประกาศโมฆียะยกเลิกกฎเหล่านี้ได้ รายละเอียดเราจะเล่าให้ฟังอีกที แต่ว่าตอนนี้กลับกันก่อนดีกว่า” เธอเล่าให้สหายได้ทราบส่วนหนึ่งแล้วจึงเสนอ เพราะไม่อยากให้เสียกำลังมากไปกว่านี้
“ยั้งมือก่อนพวกเจ้าทั้งสี่ อีกไม่กี่วันจะถึงสงครามแล้ว ไม่สู้เก็บแรงไว้ดีกว่า” อันติมะเข้าห้ามทั้งสี่เพราะกลัวว่าจะเสียเวลาไปมากกว่านี้
“ถูกต้อง อยากจะสู้ต้องสู้ให้สมศักดิ์ศรี เอาไว้วันประลองในสนามรบใช้ฝีมือครานั้นให้เต็มที่ดีกว่า” จินดาช่วยพูดเสริมอีกแรง
“ได้น่ะมันก็ได้ แต่เราว่าพวกเจ้าไม่กล้าแยกกันสู้ซะมากกว่า” อัคนินที่หยุดการต่อสู้แต่ปากนี่ไม่หยุดเอาเสียเลย
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกนะ ถ้าเจ้าอยากจะสู้จริงๆเนี่ย ฝึกปรือฝีมือให้มันชำนาญก่อนไม่ดีกว่าเหรอ ไม่กลัวเหรอว่าพอเข้าสนามรบไปถูกผู้อื่นพิชิตได้ก่อนไม่ทันได้สู้ตัวต่อตัวกับพวกเรา” เมธาวีตอบอีกฝั่งไป ไม่วายจะว่าอีกฝ่ายให้โมโห
“นี่เจ้า!!”
“ตกลง พวกเรายกเลิก” บดิศรไม่อยากมากเรื่องมากความอีกต่อไปแล้ว ถ้าขืนดึงดันจะสู้ต่อไปย่อมไม่เกิดผลดีต่อฝั่งตนแน่ ตัวต่อตัวในคราวนี้อาจดูยุติธรรมก็จริง แต่ว่าถ้าชนะสองคนนี้ได้แล้วยังไง ต่อไปก็ต้องสู้คู่อื่นอีก อย่างนี้จะต้องเสียเปรียบเนื่องจากกำลังที่อ่อนลง ชนะครบแล้วอย่างไรก็รู้กันแค่นี้ ไม่สู้ไปสู้ในสนามรบเสียยังได้รับการสรรเสริญแซ่ซ้องจนได้รับความวางใจจากนายตนไม่ดีกว่าหรือ
“ไว้เจอกันที่สนามรบนะ” ภูมินทร์ร่ำลาอีกฝ่าย
“ทั้งสามที่เป็นพวกเจ้า นอนสลบอยู่ที่ด้านนอก วันพรุ่งถึงจะพื้นไม่มีพิษ”อันติมะบอกทั้งสองก่อนจะจากไป ต่อจากนี้พวกเขาต้องเตรียมตัวรับมือกับศึกในอีกไม่กี่วันข้างหน้า หวังว่าคงจะไม่มีเรื่องอะไรมาเป็นอุปสรรคขัดขวางหรอกนะ

----------------------------------อัพเดตทุกวันอาทิตย์ประมาณ21.00น.นะคะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มิถุนายน 19, 2022, 08:35:49 PM
สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านด้วยนะคะ ตลอดช่วงทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมาจักรกรดจะต้องทำงานที่รับมอบหมายและเตรียมตัวสอบวัเความรู้รายเดือนจึงทำให้ไม่สามารถจัดการเวลามาเขียนเนื้อหานิยายให้มีรายละเอียดได้มากพอ จักรกรดจึงต้องของดอัพเดตนิยายในวันนี้แล้วเลื่อนการอัพเดตไปชดเชยในวันเสาร์ที่25มิถุนายนแทน และต่อตอนต่อไปในวันอาทิตย์ที่26ตามเวลาเดิมค่ะ จักรกรดต้องขออภัยทุกท่านเป็นอย่างสูงอีกครั้งค่ะTT
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มิถุนายน 25, 2022, 11:57:11 PM
“องค์เหนือหัวเป็นเช่นไรบ้างเพคะ พวกที่นำพระกระยาหารถวายพระองค์ทูลต่อหม่อมฉันว่าพระองค์เสวยน้อยลงนัก”  พิมาลาได้แอบหาพีรเชษฐ์ในตำหนักที่กุมขังภัสดาด้วยความห่วงใย เมื่อเห็นพระวรกายซูบผอมจากเดิมตนยิ่งไม่สบายใจ
“ไม่เป็นไรมากหรอก อย่าได้ห่วงเราเลย” เขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ได้อยากให้ติดมากจนเกินไป
“บดิศรเป็นอะไรไปก็ไม่รู้ ใจอ่อนใจแข็งผิดคนไปหมด”
“เขาไปใจอ่อนกับใครกัน”
“ก็พวกศัตรูบางคนในนั้นน่ะเพคะ คนละฝั่งกลับใจอ่อนแต่บิดาตนใจแข็ง  หม่อมฉันพยายามพูดให้ลูกยกเลิกสิ่งที่กระทำต่อพระองค์เสีย แต่เขาก็….”
“อย่าได้คิดต่อว่าลูกเลย เขาคงจะนึกน้อยใจในคำพูดของเรา…..เราผิดต่อเจ้าสองแม่ลูกนัก เป็นเราที่ไม่ดีเอง ถ้าเราดูแลชายาและลูกของเราอย่างใส่ใจเท่ากัน เรื่องพวกนี้คงไม่เกิดขึ้นหรอก” น้ำตาของเขาคลอเบ้าพลางนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ตนได้กระทำ ทั้งลำเอียงรักชายาและลูกอีกฝั่งมากกว่า พอมีคำทำนายผิดๆนั่นก็ใจร้ายทำกับฝั่งนั้นไม่แพ้กัน เท่าที่นึกดูแล้วตนนี่เองที่จิตใจไม่ดีพอ ไม่เช่นนั้นคงไม่เกิดเรื่องถึงเช่นนี้
“อย่าทรงโทษพระองค์เองเลยเพคะ หม่อมฉันถูกปฏิบัติต่างจากพระมเหสีสไบทองมาตลอดชีวิต สิ่งที่หม่อมฉันกระทำลงไปเพราะอยากเป็นที่หนึ่งที่คนนึกถึงก่อนนางบ้าง แต่เมื่อไม่อาจทำตรงนี้ได้เต็มที่บดิศรจึงต้องเป็นที่หนึ่งเสมอ ถ้าจะโทษในสิ่งที่ทำให้เรื่องที่เป็นเช่นนี้ ก็ต้องโทษความทะเยอทะยานของหม่อมฉันเองเพคะ” เธอสั่งสอนให้ลูกฝักใฝ่แบบเดียวกับความปรารถนาของเธอ ลูกชายจึงได้ทำทุกวิถีทางเพื่อชนะพี่ของตน จนสุดท้ายต้องมาเอาชนะบิดาด้วยวิธีที่ไม่เหมาะไม่ควรเช่นนี้
“บิดาเจ้าคงเป็นเช่นกัน คิดสอนกันมาเป็นรุ่นต่อรุ่นแล้วจะมีสุขแท้จริงที่รุ่นไหนกัน ถ้าเช่นนั้นพวกเรามาเริ่มต้นกันใหม่เถอะนะ ยุติความบาดหมางใจต่อกัน”
“ตรัสง่ายเสียเหลือเกินนะเพคะ ชีวิตที่ผ่านมาหม่อมฉันจะได้อะไรคืนมา ชีวิตที่สูญสิ้นของบิดาหม่อมฉัน ชีวิตที่ต้องทนทุกข์ของหม่อมฉันกับบดิศรที่ถูกลำเอียงและเนรเทศ…ตอนนี้ลูกต้องคอยรับใช้พระเทวาวิษุวัตแล้ว จะให้ยกเลิกแล้วอยู่เป็นพี่น้องกับพวกนั้นสนิทสนมกันมันไม่ได้หรอกนะเพคะ ทั้งความแคลงใจทั้งชีวิตที่เสี่ยงจะถูกทำร้ายเพราะเปลี่ยนข้าง ทั้งหมดมันล้วนทำยากทั้งสิ้น พวกเราเลือกทางนี้แล้วกลับไม่ได้แล้วล่ะเพคะ”
“หากไม่เปลี่ยนเส้นทางชีวิตของพวกเจ้าสองแม่ลูกแล้วภายภาคหน้าจะเป็นอย่างไร อดีตไม่ควรเป็นสิ่งที่จะทำให้พวกเจ้าอยู่ในวังวนแห่งความทุกข์เช่นนี้นะ ”
“………….ดูแลพระวรกายให้ดี หม่อมฉันทูลลาเพคะ” เธอฟังคำของอีกคนถึงกับเงียบไปเสียครู่หนึ่ง เพราะไม่รู้จะพูดต่อไปอย่างไร ไม่สู้ตัดจบเสียดีกว่า
“หวังว่าสักวันหนึ่งสไบแก้วกับบดิศรจะเปลี่ยนใจก่อนที่อะไรจะสายไป”
……
“กานดาดูแลหม่อมฉันเป็นอย่างดีทุกครั้งที่มาที่นี่ ถึงจะผ่านมาหลายวันแต่หม่อมฉันก็ยังไม่สบายใจเลยเพคะ” ลีลาวดีที่รักษาตัวนั้นอาการทางกายดีขึ้นแต่ว่าทางใจไม่ดีเลย ในเมื่อผู้ที่ผูกพันต้องจบชีวิตด้วยการถูกสังหารเช่นนี้ก็ยากที่จะทำใจ
“หักห้ามความเสียใจบ้างเถิดนะหลาน สิ่งมีชีวิตใดๆบนโลกนี้เวลาถึงฆาตแล้วก็ย่อมเลี่ยงไม่ได้ทั้งสิ้น” วิทวัสที่คอยเป็นห่วงหลานเป็นทุนเดิมอยู่แล้วยิ่งพลอยไม่สบายใจขึ้นไปใหญ่
“เรื่องอะไรต่อมิอะไรต่างประดังประเดเข้ามา ถ้าไม่รีบจัดการปัญหาพวกนี้หม่อมฉันคงไม่มีวันสบายใจได้เลยเพคะ”
“ลุงถึงได้บอกให้ละความโศกลง พอจิตใจเข้มแข็งจะได้จัดการเรื่องต่างๆได้ เชื่อลุงเถอะ อีกไม่กี่วันจะเข้าสู่สงครามแล้วต้องตั้งจิตตั้งใจฝึกฝนการต่อสู้ให้มาก”
“เพคะ หม่อมฉันจะตั้งใจฝึกปรือฝีมือเพื่อชำระแค้นให้กับเสด็จพ่อเสด็จแม่เพคะ…..หม่อมฉันของพระทัยพระปิตุลาเพคะที่ช่วยดูแลเสมอมา”เธอกำลังจะลงกราบที่บาทของผู้มีคุณ แต่อีกฝ่ายใช้สองมือประคองตัวขึ้นมาเสียก่อน
“ไม่ต้องถึงขั้นกราบกรานกันหรอก ขอแค่หลานใช้ชีวิตที่เหลือให้ดีก็เพียงพอแล้ว”
“เพคะ”
“พระปิตุลาไม่ได้พกตราบัญชารบไว้กับตัวหรอกเหรอ หรือว่าจะเก็บซ่อนแฝงกับเครื่องราชกกุธภัณฑ์” เธอที่ใช้โอกาสขณะที่จะกราบขอบพระคุณอยู่นั้นมองหาตราบัญชารบที่มีลักษณะตรงกับที่ตนได้เห็นผ่านการสื่อสารทางจิตกับลุงที่อยู่รอข่าวจากอีกฝั่ง แต่กลับไม่พบวี่แววว่าจะเจอเลยแม้แต่น้อย บางทีอาจจะซ่อนไว้กับ เครื่องใช้ที่แสดงถึงความเป็นพระมหากษัตริย์ก็เป็นได้
“ไปเดินเล่นสักหน่อยเถอะ หรือไม่ก็ขึ้นไปเที่ยวที่ด้านบนก็ได้จะได้เพลิดเพลินใจ ลุงไม่กวนแล้วนะ”
“ทูลลาเพคะ”
………………
“พวกนั้นแยกร่างถาวรสำเร็จแล้วอย่างนั้นเหรอ!!”  ธานินทร์ทวนสิ่งที่ได้ยินอย่างตกใจ ทำไมเรื่องนี้พวกของตนไม่คิดจะรีบแจ้งให้รู้เลยหรือ
“แทนที่จะบอกพวกเราให้ช่วยขัดขวางกลับปิดบัง พวกเจ้าคิดอะไรกันอยู่”ปัจจากล่าวหลังจากสหายกล่าวจบ ไม่เห็นผู้อาวุโสกว่าอยู่ในสายตาเลยรึยังไง
“ก็เห็นว่าบาดเจ็บอยู่นี่ ไปก็เป็นภาระเปล่าๆ”อัคนินไม่วายปากดีใส่
“ภาระ แล้วทำไมพอไม่มีภาระก็กลับมามือเปล่าอย่างนี้ล่ะ หรือว่าถูกรุมจนเอาตัวไม่รอด” ธานินทร์ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่พอใจจึงได้ยอกย้อนไป
“พวกนั้นไม่ได้รุมหรอกแต่ใช้เล่ห์กลมาถ่วงเวลาจนขัดขวางไม่ได้  แต่ยังไงพอถึงวันสงครามก็จะได้ใช้ฝีมือกันอย่างเต็มที่อยู่แล้ว” บดิศรกล่าวบอกผู้ที่มีรู้ไป ยังพอมีเวลาฝึกปรืออยู่อีกหลายวัน
“ในเมื่อทางนั้นใช้เล่ห์กลแล้วทำไมฝั่งเราไม่ใช้มนตราล่ะ” วัศพลนาคราชที่เพิ่งมาสมทบได้ยินที่บดิศรพูดพอดีจึงได้ออกความเห็น
“พระองค์แน่พระทัยนะพระเจ้าค่ะว่ามันจะได้ผลกับพวกนั้น” ชาวรัตนบุรีได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ค่อยจะแน่ใจ เพราะพวกนั้นสวมใส่สิ่งวิเศษที่เพิ่งผ่านพิธีมาอาจมีอนุภาคต้านทานสิ่งที่ผู้พูดก่อนหน้าคิดจะทำก็เป็นได้
“ทีตอนเกลียวทองยังลงอักสรสาปได้เลย”
“แต่นั่นมันก่อนพิธีที่น้ำตกสัตตะสีนะ ท่านก็รู้นี่ว่าที่นั่นช่วยเสริมความแข็งแกร่งของศาสตราวุธ แล้วนี่นั่งที่นั่นไม่ไปไหนเลยตั้งเจ็ดวันเจ็ดคืน” ธานินทร์ไม่ค่อยเห็นด้วยจึงแย้งไปด้วยเหตุผล
“พวกเราไม่ได้โจมตีที่กำลัง แต่ที่จิตใจ….เพียงรอเวลาให้เหมาะสม ให้พวกนั้นหายใจสักหน่อย แล้วก็เริ่มลงมือ”
………….
“กฎที่เราจดจำมามีทั้งหมดสิบข้อคือ
๑.   การรบจะเริ่มเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นและสิ้นสุดเมื่อพระอาทิตย์ตกลับขอบฟ้า ในยามวิกาลหรือช่วงเช้าที่แสงอาทิตย์ยังไม่สาดส่องห้ามทำการต่อสู้เด็ดขาด
๒.   ผู้รบต้องใช้อาวุธประเภทเดียวกันในการต่อสู้กับอีกฝ่ายเท่านั้น
๓.   ห้ามใช้ตัวประกันข่มขู่คู่ต่อสู้ขณะที่ทำการสู้รบ หากมีตัวประกันจะต้องทำการเจรจานอกเหนือเวลารบเท่านั้น
๔.   ห้ามทำร้ายคู่ต่อสู้จากด้านหลัง หากผู้ใดฝ่าฝืนต้องพักการรบไปอย่างน้อยห้าวันและรับการลงโทษจากผู้บัญชาฝ่ายตน
๕.   ห้ามทำร้ายคู่ต่อสู้ที่หมดสติ หากพบเจอจะต้องส่งสัญญาณแจ้งให้แพทย์อาสาเข้ารักษา
๖.   ห้ามทำร้ายเหล่าแพทย์อาสา  ซึ่งแพทย์ไม่มีสิทธิ์ในการสู้รบ นอกจากจะป้องกันตัวจากผู้ทำผิดกฎเท่านั้น
๗.   ห้ามทำพิธีปลุกเรียกผู้ตายในสงครามขึ้นมาทำการสู้รบเป็นครั้งที่สอง
๘.   เพื่อความปลอดภัย ห้ามพาผู้บริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับสงครามเข้ามาในเขตการรบโดยเด็ดขาดไม่ว่าจะเป็นการมาชมการต่อสู้หรือแม้แต่การเยี่ยมญาติมิตร
๙.   เมื่อมีคำประกาศเริ่มรบแล้วห้ามย้ายเปลี่ยนจากฝั่งที่ตนเข้าร่วม
สุดท้ายทั้งสองฝ่ายจะต้องดูแลผู้ที่อยู่ในฝั่งของตนเป็นอย่างดี ทั้งอาหารการกินรวมไปถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ควรพาไปพบกับคนสำคัญก่อนสิ้นใจ

ข้อพิเศษกฎทั้งหมดนี้สามารถยกเลิก จะเป็นโมฆียะได้ก็ต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายนำตราบัญชารบมาแสดงและประกาศให้ทราบทั่วกัน ซึ่งการใช้ตราเพื่อบอกเลิกกฎทำได้หลังจากสู้รบเก้าวันขึ้นไป” อัญญานีเล่ากฎทั้งหมดให้เหล่าสหายได้ฟัง เพื่อเป็นข้อมูลในการเตรียมการรบต่อไป
“ฝั่งนั้นต้องคิดแน่เลยข้อพิเศษน่ะ” ประกายพฤกษ์ฟังความก็ออกความเห็น นี่มันเป็นกฎไม่ควรตั้งขึ้นมาเลย
“ถูกต้อง แต่ฝั่งเราคิดทบทวนดูแล้วจึงตอบรับ”คนที่อยู่ในเหตุการณ์ยืนยันความคิดอีกคน
“แสดงว่าต่างฝ่ายต่างก็มีไส้ศึกอยู่ที่ฝั่งศัตรู จึงได้มีข้อเพื่อเกิดความถูกต้อง”เพชรราหูฟังแล้วเกิดความคิดนี้ขึ้นขึ้นมา
“ถูกต้อง?”พุทธรัตน์ถามอย่างสงสัย
“ถ้าเกิดไส้ศึกกลับฝั่งก็ผิดกฎ ทีนี้ล่ะฝั่งนั้นได้แพ้แน่นอน” ศนิวารกล่าว
“เหลี่ยมกันทั้งสองฝั่งแหละ”เมธาวีออกความเห็น
“พวกเรามาฝึกปรือฝีมือกันเถอะ พอถึงวันจริงก็จะได้ร่วมสู้กันอย่างเต็มที่”สุริยะกล่าวเชิญชวนเหล่าพี่น้องและสหาย
“เต็มที่กับการฝึกฝนฝีมือกันเถอะนะทุกคน”สุรีย์ช่วยเสริมด้วยรอยยิ้มที่สดใส
“ก่อนหน้าที่จะฝึกฝน พวกเราสองคนอยากจะขอให้พวกท่านทำสัญลักษณ์เตือนเคราะห์สามคราที่ข้อมือสักหน่อย”จินดากล่าวจบ เธอกับภูมินทร์ก็ใช้ข้อมือตนสัมผัสต่อข้อมือของคนที่เหลือแต่ว่าเหลือเพียงสองขีดเท่านั้น
“ไปแอบทำสัญลักษณ์กันตั้งแต่ตอนไหนน๊า” ศุภลักษณ์พูดเป็นเชิงแซวทั้งคู่ สองคนนี้ดูท่าความสัมพันธ์จะไม่ธรรมดาเสียแล้วมั้ง
“กลับมาพักเหนื่อยเสร็จก็คิดนัดทำกันน่ะ ไม่ได้แอบอะไรหรอก” ภูมินร์ตอบด้วยรอยยิ้ม ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยว่าอีกคนจ้องจะล้อตนหวังตีสนิทอยู่
“เหลือสองขีดแล้วอย่างนั้นเหรอ” อังคาสมองดูขีดสัญลักษณ์หายไปไม่เหมือนกับในจดหมายที่พระโยคีเขียนไว้ให้เลย
“คาดว่าน่าจะประสบเคราะห์ไปตอนที่พวกเรากระอักเลือดจากคำสาปพวกอสูรที่เคยปราบในอดีตชาติน่ะ” จันทราภาตอบผู้ที่มองข้อมืออยู่
“สำหรับวันนี้พวกเราพักผ่อนกันก่อน พรุ่งนี้ไปก็มาเต็มที่กันเถอะนะ”จันทลักษณ์กล่าวก่อนทุกคนจะแยกย้ายออกไป วันต่อๆมาทุกคนก็ซ้อมต่อสู้กันอย่างขันแข็งจนถึงวันจริงก็พร้อมจะสู้สุดกำลังแน่

“ใครต้องการย้ายฝั่งอีกมั้ย เราจะนับถอยหลังบอกเวลาหมดแล้วนะ เดินข้ามฝั่งไปได้เลย” ผู้สังเกตุการณ์ถามครั้งสุดท้ายก่อนจะเริ่มประกาศรบอย่างเป็นทางการเผื่อใครจะเปลี่ยนใจครั้งสุดท้าย
“ห้า สี่ สาม สอง …หนึ่ง!!”
“จันทลักษณ์ ปัทมาสน์!!” ตอนที่นับถึงหนึ่งทั้งสองก็ได้ก้าวเท้าย้ายฝั่งไปในทันที สร้างความสับสนให้ทั้งหมดเป็นอย่างมาก พวกนั้นทำอะไรกับสองคนนี้กันแน่ทำไมทั้งคู่ถึงเลือกเส้นทางที่จะเป็นศัตรูต่อพี่น้องและมิตรสหายกันนะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มิถุนายน 26, 2022, 09:21:55 PM
หลังจากที่ได้ทราบข้อกำหนดในการรบและจดจำเป็นอย่างดี ตลอดหลายวันมานี้หลายคนที่อยู่บริเวณอาศรมของฤษีอนุชิตได้มุ่งมั่นฝึกฝนการต่อสู้อย่างแข็งขันแต่ก็ไม่ได้หักโหมจนเกินไป ต้องรักษาสมดุลเอาไว้ให้ดีให้ได้พักผ่อนเพียงพอ จนเวลาผ่านไปถึงวันขึ้นสิบสี่ค่ำในยามเย็นทุกคนจึงก่อกองไฟนั่งล้อมรอบเพื่อพูดคุยถึงศึกที่เปิดฉากวันพรุ่ง
“พรุ่งนี้ก็จะได้ต่อสู้ในสนามแล้วเราอยากให้ทุกคนเต็มที่กันให้มากนะ” สุริยเอ่ยก่อนใครเพื่อน ส่วนตัวเขาก็ตื่นเต้นไม่น้อยเพราะไม่ได้ออกทัพจับศึกมานานตั้งแต่ชาติก่อน ที่ผ่านมาเพียงแค่ต่อสู้เป็นรอบๆไป
“เราขอให้ทุกคนปลอดภัย รักษาตัวให้ดีนะ”อัญญานีกล่าว พรุ่งนี้เธอจะร่วมสู้ด้วยหากแต่ในฐานะอันติมะไปก่อน เพื่อกันปัญหายุ่งยาก พอถึงเวลาเหมาะสมเธอจะสู้ในนามกำเนิดของเธออย่างแน่นอน
“ทุกคนสู้ๆนะ…อืม แต่เหมือนใครหลายคนในที่นี้จะมุ่งมั่นฝึกฝนจนลืมอะไรไปน๊า” ศุภลักษณ์พูดต่อ ยังมีเรื่องสำคัญอีกอย่างที่จะหลายคนจะลืมไปเสียแล้ว
“ลืมอะไรอย่างนั้นเหรอ” ศนิวารถามด้วยความใคร่รู้
“วันนี้เป็นวันขึ้นสิบสี่ค่ำ สิบสี่ค่ำเดือนอ้ายยังไงล่ะ”
“สิบสี่ค่ำเดือนอ้าย” จันทราภาทวนคำที่ได้ยิน
“ลืมจริงๆด้วย วันนี้เป็นวันเกิดของพวกเรา” เมธาวีพูดทันทีหลังคิดตามประโยคของคนทั้งสองก่อนหน้า
“อายุยี่สิบแล้วนี่นะ”จินดาที่มองดูเหล่าพี่น้องตนก็อดยิ้มไม่ได้ เติบโตด้วยกันมาจนถึงตอนนี้แล้วสินะ
“อย่างนั้นก็ดีเลย พวกเรามาจัดงานฉลองกันสักหน่อยดีกว่านะ”จันทราภาเสนอ ในเมื่อมีเรื่องน่ายินดีเช่นนี้ เห็นทีจะปล่อยผ่านเป็นวันธรรมดาไปไม่ได้
“เราเห็นด้วย พวกเราไปทำอาหารมื้อพิเศษกันเถอะ” พุทธรัตน์รู้สึกยินดีกับวันสำคัญของเหล่าสหายจึงเห็นด้วยกับความเห็นของตนก่อนหน้า
“ไม่เห็นต้องลำบากเลย รบกวนพวกเจ้าเปล่าๆน่ะ” จันทลักษณ์ทัดทาน ไม่เห็นจำเป็นอะไรมันก็เป็นวันที่นับอายุเพิ่มเท่านั้นเอง ไม่เห็นต้องวุ่นวาย
“อย่าขัดไปเลย ในเมื่อสหายจะจัดงานให้ขัดน้ำใจได้อย่างไรกัน ” เพชรราหูไม่อยากหักหาญน้ำใจอีกฝั่งจึงรับด้วยความยินดี
“น้ำใจอะไรกัน นี่เป็นสิ่งที่สหายควรทำให้กันอยู่แล้ว”อังคาสฟังที่พูดจึงกล่าวออกมา ในเมื่อผ่านร้อนหนาวด้วยกันมาไฉนเลยจะนับเป็นเรื่องของน้ำใจกัน
“ขอบใจทุกคนมากนะที่ยินดีต่อวันเกิดของพวกเรา เดิมทีเราจะพูดอวยพรกันตามประสาพี่น้องน่ะ” แสงสุรีย์ยิ้มอย่างเขินๆ ไม่นึกเลยว่าสหายจะใส่ใจขนาดนี้
“ก็ถ้าศุภลักษณ์ไม่พูดล่ะนะ สหายทั้งหลายก็คงไม่ต้องคิดที่จะจัดงานจัดการหรอก”  ปัทมาสน์ออกความเห็น ถ้าไม่รู้คงแยกย้ายกันไปพักผ่อนแล้วไม่ต้องวิ่งวุ่นตระเตรียมนู่นนี่ให้เสียเวลา
“เอาน่าๆ ไม่เป็นหรอก พวกเราจัดการตรงนี้เสร็จจะได้อิ่มหนำสำราญพร้อมสู้เต็มกำลังแน่นอน”จันทราภาพูดเช่นนั้นก็จูงมือพุทธรัตน์ไปยังห้องครัวทันที คนที่เหลือก็ต่างไปหาผลหมากรากไม้รวมถึงมวลบุปผามาตกแต่งรอบที่นั่งกองไฟเป็นสวนหย่อมๆ
“อ้าวบัว มาจัดเตรียมอาหารก่อนพวกเราเยอะแยะเลยนะ” พุทธรัตน์กล่าวทักทายบัวแย้มที่จัดเตรียมสำรับกับข้าวอยู่ก่อนหน้า ปกติไม่จัดเยอะขนาดนี้สักหน่อย
“เพราะว่าวันนี้เป็นวันคล้ายวันประสูติของพระโอรสพระธิดา บัวก็เลยเตรียมพระกระยาหารที่แต่ละพระองค์ชอบไว้น่ะเพคะ” เธอยิ้มรับ นี่เป็นสิ่งที่เธอตั้งใจทำเป็นอย่างดีเพื่อการนี้
“แต่บัวก็ยังไม่ลืมทำอาหารที่พวกเราชอบไว้ด้วย ให้ความสำคัญกับทุกคนจริงๆเลยนะ”จันทราภาลูบที่หลังของบัวอย่างเอ็นดู ก่อนจะช่วยทำอาหารอย่างอื่นเพิ่มเติมด้วยกันต่อให้เสร็จสิ้น
“น้าขอให้หลานๆพบเจอแต่สิ่งที่ดี ได้รับสิ่งที่มุ่งมาดปรารถนาทุกประการ สุขภาพกายใจแข็งแรงกันทุกคนนะ” สไบทองอวยพรให้กับทุกคนพร้อมกับเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวให้มีความสนิทสนมมากขึ้น ต่อจากนี้เธอจะไม่มองว่าคนพวกนี้เป็นสหายของลูกตนอย่างเดียว เธอจะมองทุกคนเหมือนกับเครือญาติในสกุล ผูกพันเหมือนดั่งสายเลือดเดียวกัน
“ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ ขอบพระทัยเพคะ” ทั้งหมดน้อมรับคำอวยพรเสร็จสิ้นแล้วจึงร่วมกันทานอาหารที่จัดเตรียมมาอย่างดี แต่ละคนย่อมมีอาหารที่ถูกใจต่างกัน  เมื่อฉลองกันเสร็จจึงแยกย้ายกันไปพักผ่อน เพื่อเตรียมร่างกายสำหรับวันพรุ่ง
“วันนี้อาหารอร่อยมาก ข้ากินจนอิ่มแปล้เลยแหละ” เจ้าสิงโตพูดอย่างสบายใจ รสชาติช่างถูกปากนัก เหมือนคราวที่พักในวังก็ไม่ปานเลย
“ข้าเห็นแล้ว เอ็งน่ะแย่งนางจั๊กแหล่นจนแทบจะกินไม่ทันอยู่แล้ว” ตาหวานกล่าวหลังจากฟังประโยคก่อนหน้าจบ
“ใช่จ้ะ เจ้าเนี่ยตะกละตะกลาม ข้าเห็นแล้วยังยอมแพ้เลย” จั๊กแหล่นแม้จะพอใจกับมื้ออาหาร แต่ก็ไม่พอใจกับการกระทำของสหายตนสักเท่าไหร่นัก
“โธ่ ข้าเนี่ยก็ไม่ได้ตะกละ แต่กลัวว่าเจ้ากินมากจนรูปร่างเปลี่ยน เดี๋ยวก็มาบ่นให้ข้าฟังอีกแหนะ ปกติก็ไม่ได้ผอมอยู่แล้ว”
“ไอ้ตุ๊บเท่ง!!” เธอเข้าทุบตีอีกตนเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขากะจะเอาคำว่าอ้วนมาวิจารณ์รูปลักษณ์ของเธอชัดๆ นี่มันถึงตอนไหนแล้วยังเอาคำบรรยายลักษณะมาเสียดสีอยู่นั่น
“พอเถอะทั้งสอง พรุ่งนี้ต้องใช้แรงสู้กันนะมาทะเลาะให้เหนื่อยเปล่าทำไมกัน”หิ่งห้อยห้ามปราม นี่จะมีบ้างไหมที่คุยไปคุยมาไม่ตีกัน หลังจากเดินเล่นด้วยกันสักพักทั้งสี่ก็ขอตัวแยกย้ายไปพักผ่อนเอาแรงกันต่อ

หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มิถุนายน 26, 2022, 09:23:55 PM
“เราไปหาซื้อสร้อยลายผ่าหวายตันมาให้ ท่านพอใจหรือไม่” ภูมินทร์นำสร้อยทองส่งมอบให้กับสหายด้วยมือของตนเอง เขาขอหยิบยืมแหวนของอัญญานีหายตัวไปหาซื้อมา ตั้งใจเลือกที่คิดว่าเส้นไหนเหมาะกับเธอที่สุด
“เราพอใจมาก ขอบใจมากนะที่มอบให้แก่เรา”จินดามองสร้อยทองที่ได้รับมาก็ยิ้มเบิกบานยินดี
“ถ้าเราขอเปลี่ยนเรียก “ท่าน” เป็น “เจ้า” จะได้หรือไม่ คำเรียกนี้ดูจะสนิทสนมกว่า แต่ไม่ใช่เราไม่ให้เกียรตินะ ” เขาพูดขอโดยหลบสายตาเล็กน้อย อยู่ๆก็มาขอเปลี่ยนคำเรียกเช่นนี้ตนนั้นทำตัวไม่ค่อยถูกเสียด้วยสิ
“ตามจริงเรียก “ท่าน” เราก็ไม่รู้สึกห่างเหินอะไร แต่ถ้าต้องการตามนั้นก็ย่อมได้” เธอยิ้มให้เขา มิตรที่ดีเช่นนี้ขออะไรเล็กๆน้อยย่อมไม่ติดขัดอยู่แล้ว
“นี่ก็ได้เวลาพักแล้ว พวกเราแยกย้ายกันเถอะนะ” เธอบอกเช่นนั้นก่อนจะหันหลังกลับไป
“หลับให้สบายนะ… เอ่อ เราหมายถึงหลับให้สบายทั้งกายและใจเลยนะ ฝันดีมีสุข พรุ่งนี้พบกับกันใหม่” เขาบอกอีกคน ประโยคแรกออกจะสั้นชวนเข้าใจผิดไปสักหน่อยจึงได้เพิ่มประโยคตามมา
“เจ้าก็เช่นกันนะ พรุ่งนี้พบกัน” เธอตอบกลับแล้วไปยังห้องของตนที่สร้างเพิ่มขึ้นในเรือนจากเดิมที่มีอยู่ไม่พอจำนวนคน ตอนนี้คงได้นอนอย่างสบายใจและเป็นส่วนตัวมากขึ้นแล้ว
“สองคนนั้นออกไปทำไมกันนะ”ก่อนที่โอรสวันพฤหัสบดีจะกลับที่พักของตนได้เห็นสองพี่น้องวันจันทร์กับวันอังคารออกนอกมิติคนก็เกิดความสงสัยขึ้นมา แต่นั่นก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของตนไม่ใช่เหรอ ไปคุยด้วยจะเป็นการจุ้นจ้านเกินไปมั้ยนะ
…………………….
“วันนี้เป็นวันเกิดของพวกสังววาลย์มณีด้วยไม่ใช่หรอกเหรอ” บดิศรกล่าวขณะที่กำลังรอวัศพลนาคราชยังจุดนัดหมาย
“ใช่ของฝั่งนั้นอย่างเดียวที่ไหนกัน ตัวเราก็เกิดวันนี้ แถมเกิดตอนกลางวันซะด้วย”อัคนินกล่าวตอบ วันนี้ก่อนมารวมตัวตนก็ไปหามารดาเพื่อฉลองอายุตัวเองมา หน้าตาก็ระรื่นชื่นมื่นนัก
“จะบอกว่าอายุเจ้ามากกว่าพวกนั้นน่ะสิ”
“ก็ใช่ ว่าแต่เจ้าเถอะรู้ได้ยังไงว่าพวกมันเกิดวันนี้ได้ล่ะ”
“เจ้าลืมง่ายจริงๆ ตอนนั้นเราเคยไปสานสัมพันธ์ระหว่างเมืองที่เมืองของเจ้า เรื่องอะไรที่เป็นข้อมูลก็ต้องจำไว้ ”
“จำไว้ทำไม”
“ซื้อใจคน”
“ทั้งสองคนมารอกันก่อนแล้วอย่างนั้นเหรอ” วัศพลนาคราชได้มาถึงในเวลาที่กำหนดไว้ ช่างเป็นนาคที่ตรงต่อเวลาดีเสียจริง
“พระเจ้าค่ะ”ทั้งคู่ตอบคำที่ถามมา
“ดีเลยพวกเราจะไปที่นั่นกัน ที่เราต้องพาพวกเจ้าทั้งสองก็เผื่อป้องกันความผิดพลาดน่ะ แต่เราเชื่อว่ามันจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน  พวกเราไปกันเถอะ” จบคำพูดทั้งสามก็เดินทางไปยังอาศรมของฤษีอนุชิตในทันที

“ขยันจังเลยนะจันทลักษณ์ อุตส่าห์มาเก็บดอกบัวหลากสีสันเพื่อเป็นของขวัญยามเช้าให้พวกพี่น้อง เอาเรามาเป็นเพื่อนอย่างนี้ตอนให้เราจะประหลาดใจได้เหรอ ไม่ค่อยตื่นเต้นเลยนะ” ปัทมาสน์พูดขณะที่มองอีกคนที่กำลังตั้งใจเลือกเก็บดอกบัวเป็นอย่างดี
“ไม่ได้ขยันหรอก แต่ว่าดอกบัวที่นี่สีสันสดใสงดงามมาก เหง้าของดอกบัวเหล่านนี้มีรสหวานปานน้ำผึ้งจนน้ำในสระมีรสหวานตาม คุ้มค่าที่จะเก็บให้อยู่แล้ว ..อีกอย่างหนึ่งใครใช้ให้เจ้ามามัวนั่งน้ำตาซึมคนเดียว พี่ชายอย่างเราก็ต้องพาเจ้ามาสูดอากาศสักหน่อยน่ะสิ”
“ก็เราคิดถึงเสด็จพ่อนี่นา”
“เราก็เหมือนกัน แต่ยังไงเราก็เชื่อว่าเสด็จพ่อปลอดภัยแน่…  เอ้า ลองดื่มน้ำจากสระกุณาละดูสิ”เขาใช้ใบบัวตักเอาน้ำส่งให้อีกคนได้ลิ้มรสหวานก่อนตน
“อร่อยมากเลย เจ้าก็ดื่มบ้างสิ” เธอป้อนกลับให้ถึงปาก แบ่งปันกันพี่น้องไม่มีใครได้มากกว่าใคร
“อ้าวภูมินทร์ออกมาทำอะไรน่ะ” ชายผู้อยู่ตรงสะพานร้องทักทายสหายที่อยู่ตรงหน้าอาศรม
“เราเห็นพวกเจ้าออกมาเลยตามมาดูความปลอดภัยน่ะ แล้วก็กะจะมากราบพระอาจารย์ก่อนจะกลับไปนอนด้วย” เขาร้องตอบสหาย
“ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงเจ้ากลับไปก่อนได้เลย” สตรีวันอังคารร้องบอก กลัวว่าจะรบกวนเวลาสหายเอาเสียเปล่าๆ
“ได้ เดี๋ยวเรากราบพระอาจารย์เสร็จจะล่วงหน้ากลับไปก่อนนะ”

“พวกมันออกมาจากมิติจริงๆด้วย แต่เสียดายออกมาแค่สอง” อัคนินที่มาพร้อมกับคณะพอถึงที่หมายก็พบศัตรูที่เป็นหนามยอกอกตน แต่มันน่าเสียดายที่มีจำนวนเพียงเท่านี้เอง
“ไม่เป็นไรหรอก เท่านี้ก็พอจะตัดกำลังได้บ้าง” เจ้านาคากล่าวขณะที่มองสองพี่น้องที่สะพานอยู่นั่นเอง
“ทำไมต้องเป็นเจ้าด้วย”บดิศรลอบคิดในใจขณะที่มองไปยังสะพาน สหายรักนักหนาดันมาอยู่ที่นี่ซะได้ กลยุทธ์โจมตีจิตอะไรนี่ตนก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดเท่าไหร่เลยด้วย จะเป็นอันตรายถึงเพียงใดกัน
“กลับกันเถอะ”จันทลักษณ์ชวนปัทมาสน์เดินกลับมาและยังพูดคุยสัพเพเหระมาตลอดทางเลยไม่ทันสังเกตพวกศัตรู
“พวกเจ้า!! ไหนรับปากแล้วว่าจะไปสู้ในสนามรบ ทำไมถึงมาที่นี่ยามวิกาล ต้องการอะไร” เมื่อถึงท่าน้ำเดิมและสะพานชั่วคราวได้หายไปนั้น ปัทมาสน์ได้มองเห็นเหล่าศัตรูคู่อริมายืนตรงหน้าก็เกิดความไม่พอใจ
“พวกเรามาดี ไม่คิดผิดสัญญาจะทำร้ายพวกเจ้าเลย” คนเมืองคีรีมาศผู้พี่กล่าวกับอีกฝ่าย
“มาดี หน้าอย่างเจ้านี่นะ”
“วัศพลนาคราชมายังที่แห่งนี้แท้ๆ ไม่ต้อนรับไม่ว่าแต่ไม่มีสัมมาคาราวะไหว้ทักทายผู้หลักผู้ใหญ่เอาเสียเลย” คนเมืองรัตนบุรีกล่าวหลังจากเห็นสีหน้าไม่พอใจของผู้อาวุโสที่มาด้วยจึงได้พูดให้อีกสองคนรู้ตัว
“พวกเรามัวแต่สนใจพวกเจ้าน่ะสิ…หม่อมฉันถวายบังคมองค์นาคราชพระเจ้าค่ะ” โอรสวันจันทร์ไหว้เคารพก่อนที่จะเงยหน้ามามองกับใบหน้าของผู้ที่ตนไหว้ ถึงจะเป็นศัตรูแต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นพี่ชายของวิชชุนาคราชผู้มีคุณ ไม่เคารพเลยเขาจะเคืองใจเอาเสียเปล่าๆ เขานิ่งไปสักครู่ไม่ยอมพูดจาท่าทีน่าสงสัยนัก
“ไม่รู้จะไปไหว้บูชาเคารพผู้ที่ทำให้เรื่องวุ่นวายทำไม ถ้าคนอยากจะไหว้เขาก็ไหว้ด้วยใจจริงนั่นล่ะ แค่ถืออาวุโสกว่าก็สำคัญตนดีกว่าผู้อื่นเสียเหลือเกิน” ธิดาวันอังคารไม่เพียงแต่ไม่ไหว้อีกทั้งยังพูดจาเช่นนี้สร้างความโมโหโทโสให้ผู้ฟังยิ่งนัก
“สามหาว!!”เขาชี้หน้าด้วยความไม่พอใจในตัวผู้เยาว์นี้เอาเสียเลย
“กี่ร้อยกี่พันหาวท่านจะว่าเราก็ช่างเถอะ วันนี้ไม่อยากมีเรื่องด้วย ถ้าอยากมีเรื่องพรุ่งนี้ค่อยมีก็ได้ จันทลักษณ์กลับ!!” เธอจูงมือคนที่ทำท่าครุ่นคิดด้วยความสับสนเพื่อจะกลับไปยังที่พำนักของตน แต่ก็ถูกขวางทางไว้เสียก่อน
“อย่างว่าล่ะผู้ที่ไม่มีบิดรมารดามาสั่งสอนก็เป็นเช่นนี้ล่ะ ยิ่งเป็นพวกยักษ์พวกมารก็ยิ่งไม่มีหลักการสอนใดๆอยู่แล้ว คนเป็นแม่ก็ผิดที่สิ้นใจไปก่อน ธริษตรีนี่ช่างหละหลวมเลี้ยงลูกมาน่าอดสูใจ พ่อประสาอะไร”
“เรื่องนี้เป็นความบาดหมางระหว่างเรากับท่าน อย่าได้เอ่ยวาจาบิดามารดาเราเช่นนี้!!” เธอหันกลับไปจ้องผู้ที่ใช้วาจาต่อว่าด้วยสายตาที่อาฆาต ลำพังจะต่อล้อว่ากล่าวตนยังพอรับได้ แต่มาว่าบุพการีย่อมรับไม่ได้เด็ดขาด ไม่นานดวงตาที่เธอจ้องมองไปของพญานาคตนนั้นจากดวงตาสีดำธรรมดาตามมังสาแบบมนุษย์เป็ฯสีเช่นเดียวกับศิลาสามสีที่เป็นสมบัติของอังคาสก็ไม่ปาน พลันถูกสะกดจิตใจให้ลืมเหตุการณ์หลายๆอย่างในชีวิตแล้วมีเหตุการณ์ที่แต่งเติมเสริมขึ้นมาซึ่งล้วนแต่เป็นคำโกหกทั้งเพ สิ่งเหล่านี้ได้เข้าสู่จิตใจของสองพี่น้องนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว
“อยู่ที่นี่ไปก่อน พรุ่งไปกับพวกนั้น แล้วค่อยมาหาพ่อนะ”วัศพลทิ้งคำลงท้ายไว้ก่อนที่จะพาบริวารกลับไป เท่านี้สิ่งที่วางไว้ก็ตรงตามเป้าหมายแล้ว
………………..
“ทั้งสองคนอยู่ที่นี่เอง ออกมาเตรียมตัวอยู่ก่อนแล้วสินะ” แสงสุรีย์ดีใจที่ทั้งสองออกมารอท่าที่อาศรม นึกว่าจะมีอันตรายอะไรแล้วเสียอีก
“กินอะไรก่อนเถอะแล้วเดินทางไปกัน”

“แปลกจัง วันนี้เจ้าไม่พูดกับเราเลยล่ะเราหงานะ” ศุภลักษณ์แปลกใจเหลือเกิน ตั้งแต่เช้าจนถึงสนามรบพี่สาวคนสนิทก็ไม่เห็นจะเอ่ยวาจาเลยสักนิด
“จันทลักษณ์คงคุยเล่นด้วยจนเบื่อแหละ ดูสิเบื่อจนเงียบทั้งคู่” เมธาวีแสดงความเห็น สงสัยคงตื่นเต้นเลยมุ่งมั่นที่จะสู้ล่ะนะ

“ศึกรบในครานี้เป็นการยุติข้อพิพาทของทั้งสองฝ่าย หากผู้ใดผ่ายแพ้แล้วล่ะก็ต้องฟังคำของฝั่งที่ชนะ ส่วนฝั่งที่ชนะก็ไม่ควรเอาเปรียนฝ่ายแพ้จนเกินไป ต้องรับฟังความเห็นซึ่งกันและกัน” พระอังคารกล่าวก่อนจะเริ่มการต่อสู้ พระองค์ได้ถูกคัดเลือกเชิญให้เป็นผู้นำเทพสังเกตการณ์ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด เป็นพยานตามที่เห็นจริง
“ใครต้องการย้ายฝั่งอีกมั้ย เราจะนับถอยหลังบอกเวลาหมดแล้วนะ เดินข้ามฝั่งไปได้เลย” ผู้สังเกตุการณ์ที่รับช่วงต่อถามครั้งสุดท้ายก่อนจะเริ่มประกาศรบอย่างเป็นทางการเผื่อใครจะเปลี่ยนใจครั้งสุดท้าย
“ห้า สี่ สาม สอง …หนึ่ง!!”
“จันทลักษณ์ ปัทมาสน์!!” ตอนที่นับถึงหนึ่งทั้งสองก็ได้ก้าวเท้าย้ายฝั่งไปในทันที สร้างความสับสนให้ทั้งหมดเป็นอย่างมาก
“พวกนั้นเล่นตลกอะไร กะจะเป็นไส้ศึกกันโท่งๆเลยเหรอ” พวกฝั่งเทพวิษุวัตต่างพูดคุยกันอย่างไม่ไว้วางใจถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
“ไม่เห็นต้องเรียกชื่อพวกเราเลย พวกเรามาอยู่ฝั่งเดียวกับเสด็จพ่อก็ถูกแล้วนี่” จันทลักษณ์ที่ไม่พูดอะไรมานานสุดท้ายก็ยอมพูดออกมา แต่นี่มันเรื่องอะไรกัน
“อะไรกันจันทลักษณ์เมื่อวานนี้เจ้ายังปกติอยู่เลยนะ อีกอย่างเสด็จพ่อเจ้าเป็นตัวประกันจะมาร่วมรบได้อย่างไรกัน”จันทราภาสับสนกับสิ่งที่เขาพูดยิ่งนัก
“ใครว่า เสด็จพ่อของพวกเราเป็นถึงองค์วัศพลนาคราชจะเป็นตัวประกันได้ยังไง” ปัทมาสน์สงสัยในคำพูดของอีกฝั่งนัก บิดาของตนก็ยืนอยาเคียงกันนี่
“เจ้านี่มันยังไงเดี๋ยวก็มีพ่อเป็นคน เดี๋ยวก็มีพ่อเป็นนาค” อังคาสได้ยินก็เกิดความไม่พอใจ หรือว่านี่คิดแปรพักต์มีพ่อสองแล้วอย่างนั้นหรือ
“หยุดปะทะคารมณ์กันเสียที อยากจะต่อสู้ก็ลงมือในการรบ ต่อจากนี้เริ่มการต่อสู้ได้อย่างเป็นทางการ ตะวันลับขอบฟ้าให้หยุดการต่อสู้ในทันที”พอสิ้นเสียงผู้สังเกตการณ์ทั้งสองฝ่ายก็เข้าปะทะต่อสู้กันในทันที ศึกครั้งนี้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
---------------------------------------------------------------------------ทุกวันอาทิตย์ประมาณ21.00น. เวลาอาจจจะไม่ตรงพอดีบ้างนะคะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กรกฎาคม 03, 2022, 09:11:24 PM
เมื่อสิ้นคำประกาศก็เกิดเสียงโห่ร้องอันฮึกเหิมกึกก้องไปทั่วสนามรบ ถึงแม้เหล่าผู้สวมใส่อาวุธวิเศษจะยังไม่ทันได้จัดการปัญหาค้างคาใจ แต่มันได้เวลาสู้แล้วก็ต้องสู้จะมามัวยืนจังงังอยู่เห็นทีจะไม่ได้หรอก
“ติณกฤต เจ้าต้องชดใช้!!” ลีลาวดีพุ่งตรงใช้หมัดเหวี่ยงเข้าสู่ใบหน้าของพี่ชายสุดแสนทรพีด้วยหัวใจที่เจ็บแค้น
“ชดใช้อะไร ถ้าเจ้าหมายถึงเรื่องที่เราทำกับบิดามารดาเจ้า ทั้งสองก็สมควรรับแล้ว” เขาไหวตัวยกแขนซ้ายป้องกันตนรับหมัดไว้ได้ทัน แล้วใช้อีกมือดึงเหวี่ยงมาด้านขวาตนแล้วบิดแขนอีกฝ่ายให้เสียการทรงตัวก่อนจะตอบกลับไป
“สมควรอย่างนั้นเหรอ พูดมาอะไรออกมา” เธอบิดตัวกลับพร้อมสะบัดแขนแล้วจึงเตะตวัดใส่อีกฝ่าย

“วิชชุเอ๋ยวิชชุ ดูตอนนี้สิว่าลูกเจ้าสู้กันยังไง ถึงจะไม่ได้อยู่คนละฝั่งกันก็จริงแต่เรารู้ว่าทั้งสองบาดหมางกันเนืองๆ สุมไฟให้หน่อยเดียวเรื่องที่สู้ตบตาเสด็จพี่ก็เป็นการสู้จริงได้ไม่ยากหรอก” วัศพลนาคราชเห็นการต่อสู้ของสองพี่น้องก็รู้สึกสะใจอยู่เหมือนกันที่ทายาทบัลลังก์รุ่นล่าสุดมาตีกันเอง เสียดายอย่างเดียวที่ผู้เป็นพ่อน่าจะเห็นตอนเป็นๆไม่น่ามาเห็นในคราบวิญญาณเลย
“ทำไมเสด็จพ่อถึงไม่ออกต่อสู้เลยล่ะพระเจ้าค่ะ” จันทลักษณ์ถามด้วยความสงสัย ในเมื่อบิดาไม่สู้ ตนหรือจะมีหน้าไปสู้ก่อนได้
“ยังไม่ถึงเวลา มันเพิ่งวันแรกเองนะ ว่าแต่เจ้าเถอะทำไมถึงไม่ไปก่อน”
“หม่อมฉันรอให้เสด็จพ่อออกรบก่อนน่ะพระเจ้าค่ะ เพื่อให้เป็นเกียรติเป็นขวัญแก่ตัวหม่อมฉัน”
“ไม่ต้องรอพ่อหรอก รีบไปสู้เถอะนะ เจ้าจะให้น้องเจ้าเอาความดีความชอบผู้เดียวรึยังไง” ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้เอง ก็ดีที่รู้จักประจบแต่มันก็ไม่ใช่เวลา ในสนามควรจะมุ่งหน้ารบไปก่อนสิ ไอ้เรื่องหน้าที่ลูกไว้ไปทำรอบนอกก็ได้
“พระเจ้าค่ะ” เขารับคำแล้วจึงไปขึ้นหลังม้าอาชาไนยเพื่อเข้าต่อสู้กองเหล่าพลทหารม้าที่นำโดยเพชราหูในทันที

“เจ้าเล่นแรงไปแล้วนะ” ติณกฤตท้วงผ่านการสื่อสารทางใจกับน้องสาวตน ไหนว่าแค่เล่นละครตบตาเองล่ะ
“แรงตรงไหน ไม่ไหวก็ถอยไปสิ ยอมแพ้เรา” เธอตอบอย่างอารมณ์ไม่ค่อยดีขณะที่กำลังตีศอกกระทุ้งใส่อีกฝั่ง
“เสด็จลุงบอกอะไรเจ้า ถึงดูไม่พอใจนัก”
“ไม่ได้บอกอะไร แค่ชื่นชมเจ้า”
“อิจฉาล่ะสิเจ้าน่ะ” พอหาจังหวะได้เขาได้เอาคืนด้วยการชกเข้าที่ใบหน้าอีกฝ่ายแต่ต้องออมแรงไว้บ้าง
“เราไม่ได้อิจฉา.. อย่างเจ้าน่ะพ่อแม่ยังสังหารได้ อนาคตเจ้าก็ต้องเป็นภัย เก็บไว้ไม่ได้ ” เธอตีเข่าใส่อีกคนอย่างเต็มแรงไม่มีออมมืออะไรทั้งนั้น
“ก็เลยจะถือโอกาสฆ่าเราในสนามรบซะเลย เจ้าน่ะพ่อแม่ตายยังไม่สลดเลยทำมาเป็นพูดดี สายเลือดเดียวกันไม่ต่างกันหรอก” ถ้าไม่ติดว่าเป็นสายชิงตราบัญชารบตนก็จะสังหารให้ตามอดีตครอบครัวไปเหมือนกัน
“พูดมาก”
“ใครกันที่พูดมาก ชิงตราสำเร็จหรือยังก็ไม่ เอาใจมาคิดฆ่าพวกเดียวกัน”
“เจ้า!!”เธอไม่พอใจจนเผลอพูดออกมา ดีที่พูดแค่คำนี่ ถ้าเป็นประโยคก่อนๆหน้าสงสัยคงต้องถูกศัตรูจับได้แน่

“จันทลักษณ์ อะไรดลใจให้เจ้าเปลี่ยนไป เรารู้ว่าเจ้าเคารพนอบน้อมผู้อื่นอยู่เป็นนิตย์ แต่ไม่ใช่ถึงขนาดนับใครเป็นพ่อคนที่สองแน่” เพชราหูที่คุมอัศวานึกเผชิญหน้ากับคนในครอบครัวที่แปรพักตร์ไปเมื่อตอนสาย ตนยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าไหร่นัก
“ไม่มีอะไรดลใจเราทั้งนั้น อ่อเรามีบิดาเพียงผู้เดียวเท่านั้นนั่นก็คือเสด็จพ่อวัศพล ไม่ได้มีสองอย่างที่เจ้าว่า” เขาพูดตอบกลับไปด้วยความเชื่อที่มีต่อความทรงจำอันแสนหลอกลวงที่อยู่ในห้วงความรู้สึกนึกคิดเหล่านั้น
“เมื่อคืนพวกนั้นต้องเล่นแง่ใช้มนตราอะไรสักอย่าง ไม่อย่างนั้นคงไม่พูดเช่นนี้แน่” โอรสพุธกลางคืนครุ่นคิดอยู่ในใจ ที่ตอนเช้าหาไม่เจอมันก็แสดงชัดแล้วว่าทั้งสองไม่ได้กลับเข้ามิติเลยตลอดทั้งคืน
“จะสู้ก็สู้มัวแต่มาคิดนู่นคิดนี่อยู่ได้” โอรสวันจันทร์เห็นท่าทีอีกฝ่ายก็เกิดความไม่พอใจ สงวนท่าทีคิดอะไรอยู่แบบนั้นแล้วจะได้ประลองฝีมือกันเหรอ
“ได้ ถ้าเจ้าอยากสู้เราก็จะสู้ แต่วันนี้เพิ่งจะเป็นวันแรก เราขอท้าให้เจ้าเรียกใช้อาวุธรองของเจ้าสู้ก่อน”
“อาวุธรอง เจ้าหมายถึงหอกปฐวีกานต์ของเราน่ะเหรอ”
“ถูกต้อง”
“กลัวฤทธิ์สังวาลย์เราล่ะสิไม่ว่า ถึงไม่ยอมสู้กับมันตรงๆ”
“ใครเขากลัวกันเราก็มีของเราอยู่เหมือนกันน่ะ แต่เจ้าคิดตามนะว่าวันนี้ลงทุนใช้อาวุธหลักไป วันหลังจะเปลี่ยนมาใช้อาวุธรองมันจะไม่ดูเป็นการลดฝีมือในภายหลังหรอกเหรอ”
“จริงอย่างที่เจ้าพูด   แต่การใช้หอกเพื่อประลองตัวต่อตัวกันบนหลังม้าไม่เหมาะเท่าไหร่ ใช้ทวนสู้ก่อนก็แล้วกัน” ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีปัญญาใช้เพื่อพิชิตศัตรู แต่ต้องใช้อาวุธให้ถูกลักษณะเพื่อประลองกับฝั่งตรงข้ามเสียก่อน และตนก็อยากจะลองฝีมือฝั่งตรงข้ามดูสักหน่อยเหมือนกัน ถ้าหากพลาดท่าเสียทีเขาก็พร้อมจะใช้หอกซัดกลับไปหาศัตรูอย่างแน่นอน
“ได้สิ” เขานำหอกจากพลทหารม้ามาถือไว้ในมือ มองอีกคนเป็นสัญญาณบอกใบ้ว่าให้อีกฝั่งเริ่มโจมตีก่อนตน อีกฝ่ายเห็นท่าทีเช่นนั้นจึงคว้าเอาทวนจากพลทหารฝั่งตนเข้าโจมตีอีกฝ่ายในทันที กองทัพม้าทั้งสองฝั่งเข้าโรมรันประลองฝีมือกันอย่างสุดกำลัง สองพี่น้องก็มีฝีไม้ลายมือทัดเทียมกัน พัดกันตีจ้วงแทงแต่ต่างฝ่ายต่างก็ตั้งรับอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี ถึงอีกฝ่ายจะแทงมาถูกตัวได้ทั้งสองนั้นก็ไม่ได้นึกขวัญเสียแต่อย่างใดเพราะถือว่ามีสิ่งวิเศษสวมใส่คุ้มกันตนเองอยู่

หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กรกฎาคม 03, 2022, 09:13:15 PM
“บดิศร เจ้าคงไม่ได้กักขังเสด็จพ่อไว้ในพระตำหนักอย่างที่ธานินทร์พูดหรอกใช่มั้ย”สุริยะที่ใช้ดาบคู่สู้กับพวกคนอื่นมา ได้มาประมือกับน้องต่างมารดาเสียที แต่ก่อนที่จะได้เข้าต่อสู้กันก็อยากจะถามเพื่อให้แน่ใจว่ามันจะเป็นเพียงข่าวลือ
"ถ้าใช่แล้วจะทำไม" อีกฝ่ายตอบสิ่งที่คาใจของศัตรู ไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องปิดบังอยู่แล้ว
"เจ้าทำแบบนี้มันไม่ถูกต้องนะ เสด็จพ่อเป็นพระบิดาของเจ้า ตัวเจ้าเองก็รักและเทิดทูนพระองค์มาตลอด เหตุใดถึงทำเช่นนั้นโดยไม่ใยดีเลยล่ะ" เมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาก็ไม่สบายใจเป็นอย่างมาก ลำพังถ้าเป็นคนอื่นทำอย่างนี้ก็จะถือซะว่าเป็นคนอื่น แต่นี่เป็นลูกแท้ๆกลับลบลืมความผูกพันกักขังผู้บังเกิดเกล้า นี่มันจะมากเกินจากปกติวิสัยของอีกฝ่ายแล้วนะ ถึงเขาจะร้ายกับตนยังไงก็ไม่เคยร้ายต่อพ่อ แต่บัดเดี๋ยวนี้มันเกิดอะไรขึ้นกัน
"ก็ทำไปแล้ว เรื่องอะไรจะต้องใยดีกับคนที่ไม่เคยเห็นเราอยู่ในสายตาด้วย" เขาใช้ดาบเข้าฟันอีกคนอย่างไม่ยั้งมือ อีกฝ่ายก็ต้องคอยแก้คอยกันอันตรายที่เกิดจากตัวเขา
"แต่พระองค์เป็นพ่อเจ้านะ!!"
"พ่อ พ่องั้นเหรอ พ่อที่เนรเทศแม่ของเราไปอย่างไม่ใยดี พ่อที่ตัดขาดลูกเพียงเพราะเราขอติดตามแม่เราไปน่ะเหรอ พ่อที่ไม่เคยเห็นเราเป็นลูก คนแบบนั้นเราไม่เรียกว่าพ่อหรอกนะ" เขาได้จังหวะก็ชกเข้าที่ใบหน้าโอรสสุดที่รักของคนที่ตัวเองคิดน้อยเนื้อต่ำใจอยู่
"เราก็เคยถูกเนรเทศเหมือนกันกับเจ้ายังกลับมาเป็นครอบครัวเดียวกันกับเสด็จพ่อได้ เจ้าก็ต้องทำได้สิ" เขานำสองดาบมาไว้ที่มือข้างหนึ่งแล้วจึงใช้หมัดเหลี่ยมขวาตอบโต้กลับไป
"เจ้ากับเรามันไม่เหมือนกัน อย่ามาพูดหน่อยเลย" โอรสพิมาลาถีบอีกฝ่ายถลาออกห่างตัวไป ตนไม่สนใจคำพูดของศัตรูที่ตนเกลียดชังหรอก สิ่งที่ตนตัดสินใจจะไม่เปลี่ยนแปลง เพราะคนที่ได้ชื่อว่าพ่อใจแข็งใส่ก่อน เขาแค่ใจแข็งตอบก็ไม่เห็นจะผิดอะไร
"จริงอยู่ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเสด็จพ่ออาจจะผูกพันกับพวกเรามากกว่า แต่เจ้ารู้มั้ยว่าเสด็จพ่อน่ะยังรักและคิดถึงเจ้าตลอดเวลาเลยนะช่วงสิบปีที่ไม่ได้เจอกัน"
"อย่ามาพูดจาให้เราใจอ่อนหน่อยเลย รักและคิดถึงแล้วทำไมถึงไม่คิดจะตามหาเรา "
"ตามกลับได้ก็แต่เจ้าคนเดียวเท่านั้น เจ้าจะยอมกลับรึยังไง"
เขาฟังคำอีกคนก็เงียบไป ถึงมาหาแล้วยังไง ในเมื่อสุดท้ายถ้าจะให้ทิ้งครอบครัวอีกฝั่งตนก็ทำไม่ได้
"แน่นอนว่าไม่ แล้วสิ่งที่ตาของเจ้ากลับมาทำในรอบสิบปีล่ะ ดูสิขนาดไม่ตามเขายังมาราวีถึงบ้านเมืองเราจนวุ่นวายไปหมด"
"อย่างนั้นคนของเจ้าก็เลยสังหารท่านตาของเราอย่างไม่ลังเลเลยล่ะสิ" ฟังถึงคำของคนฝ่ายตรงข้ามตนก็รู้สึกโกรธยิ่งนัก ถึงเวลาจะผ่านมาเป็นเดือนๆแล้วแต่มันก็ทำใจลำบากที่คนในครอบครัวต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ วันนี้ยังต้องมาฟังคำต่อว่าของศัตรูพวกเดียวกับคนที่ฆ่าอีกเหรอ
"เดิมทีศนิวารไม่ได้อยากทำถึงขั้นนั้น แต่ท่านตาของเจ้าคิดจะเสื่อมเกียรติมารดาเราด้วยการให้แต่งงานกับเขา เจ้าเคยรู้เรื่องนี้บ้างมั้ย อีกอย่างยังดื้อดึงจะต่อสู้ จะให้คนของเราทนเป็นเบี้ยล่างให้อย่างเดียวรึยังไงกัน"
"เจ้าว่ายังไงนะ"เขาหยุดการประลองฝีมือ แล้วถามทวนสิ่งที่ได้ยินอีกครั้ง
"ตาของเจ้าที่เป็นท้าวนรราชบังคับแต่งงานกับมารดาของเรา"
"ไม่จริง เจ้าเอาอะไรมาพูด" ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ว่าเขาก็เชื่อไปบ้างบางส่วนแล้วเหมือนกัน เพียงแต่ไม่ยอมรับ
"เรากล่าวตามจริง พยานรู้เห็นในวังเต็มไปหมด" จะไม่ให้รู้ได้อย่างไร คนที่ซักถามเรื่องราวจากมารดาก็เป็นตนนี่เอง
"ใช่ ไม่เชื่อก็ไปถามพวกทหารรักษาการ นางกำนัลใดก็ได้ เขารู้กันทั่วทั้งนั้น แต่จะกล้าพูดรึเปล่านะมันอีกเรื่อง
ศนิวารตามมาสมทบตอนที่ได้ยินประโยคเน้นย้ำของสุริยะถึงพฤติกรรมตาเฒ่าหัวงูอย่างอดีตปุโรหิตสิระ
"แต่นอกจากพวกในนั้น เจ้ารู้รึเปล่าว่ายังมีผู้ที่จะช่วยตาของเจ้าได้อีกมากแต่ไม่คิดช่วยเพราะตัณหาของตาเจ้าเอง"
"เลิกว่าท่านตาของเราสักที"
"เลิกว่าก็ได้ แต่เราจะบอกอะไรให้นะว่าที่นั่นมีปัจจากับธานินทร์ดูสิ่งที่เราทำตลอด แต่เขาไม่ช่วยตาของเจ้าเลย"
"พอเถอะศนิวาร อย่าพูดถึงอีกเลย เท่านี้พวกเราก็ผิดมากเกินแล้วนะ"สุริยะคิดได้ว่ายิ่งพูดก็ยิ่งเสียไปกันใหญ่ อย่างนี้คงมองหน้ากันไม่ติดแน่ ลำพังสังหารก็ร้ายเหลือแสนแล้ว  นี่ยังมากล่าวาจาให้อีกฝั่งแตกสามัคคีกัน ตนไม่เห็นด้วย
 "ไม่จริง พวกเจ้าโกหก พวกเจ้ามันโกหก!!" บริศรฟังคำก็ไม่อาจยอมรับได้ มันเหมือนตนโดนหัก ไม่จริงหรอกมันต้องเป็นอุบาย อุบายของพวกนี้แน่ๆ เขาใช้พลังจากเกราะเหล็กเข้าโจมตีทั้งสองพี่น้องฝั่งตรงข้ามด้วยใจที่ไม่มั่นคง ทั้งสองร่วมกันรับพลังและต่อต้านได้ไม่ยากด้วยสภาพที่อ่อนแอของอีกฝั่งเช่นนี้
"กลับไปพักเถอะ เราไม่อยากสู้กับคนที่อ่อนแอหรอกนะ"โอรสวันเสาร์กล่าวกับคู่อริ
"ศนิวารอย่าเพิ่งไป ช่วยทำตามคำขอเราสักครั้งเถอะนะ"โอรสวันอาทิตย์ฉุดรั้งน้องชายตนให้กลับมาก่อน
"ก็ได้ ...บดิศร เรื่องในวันนั้นเราขอโทษจริงๆ เพราะเราบันดาลโทสะมากไป เรื่องนี้เรายอมรับผิด วันหลังค่อยมาสู้กันอย่างสมศักดิ์ศรีเถอะ" ถึงเรื่องสังหารนี้เขาจะมีส่วนผิดและรับผิดแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมก้มหัวให้กับความอยุติธรรมเช่นกัน อย่างไรเสียก็ต้องสู้กันอย่างสมศักดิ์ศรีต่อไป อย่าให้เรื่องนี้เรื่องเดียวมาทำให้เขาตกเป็นรองคนอื่นเลย
"ออกไปกันให้พ้น ออกไป" เขาหมดเรี่ยวแรงจะสู้ต่อแล้ว ความผิดหวังนี้มันอะไรกัน จิตใจเขาอ่อนแอได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ
"รักษาตัวด้วย เราขอโทษที่พูดเรื่องปุโรหิตสิระขึ้นมาอีก"สุริยะไม่คิดสู้ต่อด้วยรู้สึกผิด เขาไม่น่าพูดเรื่องนั้นเลยจริงๆ
"อาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว หมดเวลาทำการรบวันที่หนึ่ง โปรดจงวางมือกลับไปพักผ่อน ห้ามก่อศึกจนกว่าจะถึงอีกวัน" เสียงเป่าสังข์ส่งสัญญาณหมดเวลาพร้อมกับคำประกาศผู้สังเกตการณ์ ทั้งหมดจึงแยกย้ายไปยังที่พักที่จัดเตรียมไว้
"เจ้า เจ้าเป็นอะไรไปน่ะ กลับก่อนเถอะ"ปัทมาสน์เข้าไปประคองคนใจเสียที่นั่งกองกับพื้นให้ลุกขึ้นมาก่อนจะพาไปพักผ่อนในกระโจมที่เตรียมไว้ให้ อย่างน้อยในวันที่หมดหวังก็ยังพอมีสหายอยู่บ้างสินะ
"ยังดีที่วันนี้ไม่มีใครล้มตายไปเสียก่อน"แสงสุรีย์พูดอย่างวางใจ ก็ยังดีที่ศึกวันแรกยังไม่ได้คร่าชีวิตของใครไปแม้แต่คนเดียว
"ถึงไม่มีใครล้มตายแต่มีคนล้มลง เราเพิ่งเห็นบดิศรอ่อนแอแบบนี้เลยนะ" อันติมะกล่าว ตอนอยู่ศาศวัตบุรีเขาก็แอบสังเกตตัวคนที่กล่าวถึงอยู่มาตั้งเป็นสิบๆปี  ทั้งยังเห็นเวลาที่ต่อสู้มาแล้วอย่างแน่วแน่ ไม่น่าจะจิตใจบอบบางขนาดนั้นได้นะ
"เขาคงจะผิดหวังเสียใจ"สุริยะตอบเสียงเศร้าด้วยความรู้สึกผิด จิตใจก็อ่อนแอไม่แพ้กัน
"ไม่เห็นจะต้องไปใส่ใจคนฝั่งนั้นเลย เจ้าจะเสียใจไปทำไมกัน " อังคาสกล่าวหลังจากเห็นท่าทีของคนก่อนก่อนหน้า
"นั่นสิ ทีฝั่งเรามีปัญหา ฝั่งนั้นก็พร้อมจะหัวเราะทุกเมื่ออยู่แล้ว"ประกายพฤกษ์ก็เห็นด้วยกับคำของโอรสวันอังคาร
"ยังไงเขาก็เป็นสายเลือดเดียวกับพวกเรา จะไม่ให้ให้ห่วงเลยก็คงจะไม่ได้"
"เอาเถอะ เจ้าจะเสียใจก็ไม่ว่า แต่อย่าให้มันมากเกินล่ะ" อันติมะลูบหลังปลอบใจสุริยะ เธอไม่รู้ว่าทำไมคนที่ถูกเกลียดอย่างเขาถึงต้องผูกพันกับอีกฝ่ายขนาดนี้ อาจจะมีเรื่องฝังใจอยู่แต่ยังเล่าไม่ได้ คงต้องรอเวลาเขาทำใจก่อน จากนั้นค่อยถามย้อนหลังเอาก็แล้วกัน
"จินดา กินอะไรสักหน่อยเถอะนะ" ภูมินทร์ห่วงคนของตนก็ห่วงแต่ก็มีคนรุมล้อมบ้าง แต่อีกคนที่ตนห่วงไม่แพ้กันก็คือสหาย ถึงเธอจะไม่ร้องไห้ แต่เธอก็ทุกข์ใจจนกินไม่ได้เลยนี่สิ
"ไม่ดีกว่า เราไม่หิว" เธอไม่สนใจอาหารที่เตรียมมาให้ของสหายเลยสักนิดแต่กลับครุ่นคิดถึงเรื่องพี่ๆทีาแปรเปลี่ยนไปจากเดิม
"อย่าทำทรมาณตัวเองเลย เรารู้ว่าเจ้าทุกข์ใจ แต่อย่าได้พากายทุกข์ไปด้วยเลยนะ" เขาไม่ยอมแพ้ซ้ำยังตักข้าวมารอป้อนตรงหน้า คะยั้นคะยอจะให้กินให้ได้ เพื่อไม่ให้เขาไม่สบายใจไปมากกว่านี้ธิดาวันพฤหัสบดีจึงยอมกินข้าวที่เขาป้อนให้
"ดูท่าแล้วทั้งสองคงโดนมนต์สะกด อย่าได้ร้อนรนใจไปเลยนะ เราเชื่อว่ายังไงก็ต้องมีทางแก้" เพชรราหูมาดูน้องสาวด้วยใจเป็นห่วง ถึงปกติจินดาจะมีสติที่สุดในบรรดาพี่น้องก็ตาม แต่พอถึงเวลาเสียใจจิตใจของเธอก็ไม่อาจข่มให้นิ่งได้หรอก
"ขอเพียงเจ้ารักษาสุขภาพกายใจให้ดี พวกเราจะร่วมมือกันพาพวกเขากลับมาให้ได้" จันทราภาเข้ามาช่วยดูใจ ถ้าสองคนนี้ไม่ไหวก็แย่น่ะสิ ทั้งหมดก็อดห่วงคนจิตใจอ่อนแอไม่ได้เลย พากันว้าวุ่นไปหมด ขอเพียงสักราตรีนี้ให้เสียใจส่วนวันต่อไปจะเช่นเช่นไรก็พร้อมจะน้อมรับ เมื่อปลอบใจคนทั้งสองเสร็จทั้งหมดจึงแยกย้ายไปพัก อย่างไรเสียวันพรุ่งทั้งสองคนจะต้องกลับมาเป็นปกติดังเดิมได้แน่
“เป็นอะไรไปดูท่าไม่ดีเลยนะเจ้าน่ะ”อัคนินเข้ามาดูอาการของสหายร่วมเป็นตาย แต่คราวนี้ดูท่าสหายจะดูอิดโรยคล้ายจะตายไปก่อนตนอย่างนั้น
“ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของเรา”
“ตามใจ นี่เห็นว่าอารมณ์ไม่ดีเราถึงยอมอ่อนให้ไม่ต่อล้อต่อเถียง แต่ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปเราจะมาหัวเราะเยาะเจ้าไม่เว้นวันแน่..ไปหาฉันทนาดีกว่า”
“เจ้าน่ะ กินอะไรสักหน่อยสิ” สหายยักษิณีนำอาหารมาให้เพราะเห็นว่าไม่ยอมกินตั้งแต่กลับมา แต่ทำไมท่าทีมันดูห่างเหินจังนะ
“ไม่ล่ะ”
“อะไรของเจ้า… เจ้า บดิศรใช่มั้ย เราไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าไปฟังคำอะไรพวกนั้นถึงสะเทือนใจมา แต่ว่าเราอยากให้เจ้าคิดถึงตัวเองให้มากหน่อย ดูสิเนี่ยปล่อยเนื้อตัวเป็นแผลที่คออยู่ได้” เธอไม่พูดเปล่ายังใช้มือมาจับยังแผลเป็นสายฟ้าที่ข้างคออีกคน
“แผลเป็นหรอกเหรอ..  นี่เจ้าดูแลตัวเองหน่อยสิ จะรอให้ใครมาดูแลกัน ข้าวปลาหัดกินซะบ้าง” พอรู้ว่าเป็นแผลเป็นเธอก็เปลี่ยนเรื่อง เอาอาหารมาส่งให้กับมือ
“กินเถอะน่าไม่ใส่ยาพิษหรอก รักษาตัวให้ดี ถ้าไม่ไหวพรุ่งนี้ก็ไม่ต้องสู้เข้าใจมั้ย” เธอวางอาหารข้างๆคนบนแท่นบรรทม ตัวเองไม่ใช่ผู้จะมาง้องอนใครอยู่แล้ว ไม่คิดตอบอะไรตัวเองก็ไปดีกว่า ไม่มีเหตุผลต้องอยู่นี่

“เสด็จพ่ออยากให้หม่อมฉันกับน้องชิงเอาดวงตาของหญิงที่ชื่อสไบทองเหรอพระเจ้าค่ะ” จันทลักษณ์ทวนสิ่งที่ได้ยินอีกครั้ง
“ถูกต้อง พ่อจะใช้ดวงตานางมาทำเนตรสะกดใจให้เจ้าสองพี่น้อง และทำให้พวกนั้นบาดหมางกันด้วย” เพิ่งจะผ่านศึกไปวันเดียวนาคผู้นี้ก็คิดจะก่อความวุ่นวายเสียแล้ว หรือว่านี่จะเป็นเรื่องที่ฤษีมฤคินทร์เตือนเอาไว้กันนะ

------------------------------------------------------------------------------------------อัพเดตทุกวันอาทิตย์ช่วงเวลาประมาณ21.00น.โดยประมาณนะคะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กรกฎาคม 10, 2022, 09:24:59 PM
“เสด็จพ่ออยากให้หม่อมฉันกับน้องชิงเอาดวงตาของหญิงที่ชื่อสไบทองเหรอพระเจ้าค่ะ” จันทลักษณ์ทวนสิ่งที่ได้ยินอีกครั้ง
“ถูกต้อง พ่อจะใช้ดวงตานางมาทำเนตรสะกดใจให้เจ้าสองพี่น้อง และทำให้พวกนั้นบาดหมางกันด้วย”
“แต่ว่า….” ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปราวกับว่าจะไม่กล้าทำเรื่องเช่นนี้เลย
“แต่ว่าอะไร” ท้าวนาคาได้ยินคำว่าแต่ก็เริ่มไม่พอใจ
“แต่ว่าเรื่องแค่นี้ทำไมต้องให้ลูกทำด้วยล่ะพระเจ้าค่ะ” ที่แท้ก็แค่อิดออดไม่อยากทำ ไม่ได้เกิดความกลัวไม่กล้าแต่อย่างใดเลย
“ก็แค่มนุษย์ผู้หญิงธรรมดาคนนึงไม่เห็นจะต้องให้ถึงมือของพวกหม่อมฉันเลยนี่เพคะ พวกลิ่วล้อก็ทำให้ได้สบายๆอยู่แล้ว” ปัทมาสน์ที่เข้ามาสมทบพอที่จะได้ยินที่ทั้งสองคุยกันเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความคิดเห็น
“ถ้าเป็นเรื่องอื่นคงให้พวกลิ่วล้อจัดการอยู่หรอก แต่เรื่องนี้มันสำคัญมาก เพราะผู้ที่จะใช้เนตรสะกดใจต้องเป็นผู้ที่ช่วงชิงดวงตาด้วยมือตนเองน่ะสิ หรือว่าพวกเจ้าเกียจคร้านจนยอมให้ผู้อื่นได้ใช้เนตรวิเศษแทนกันล่ะ”
“แล้วทำไมเนตรสะกดใจจะต้องชิงมาจากผู้หญิงคนนั้นด้วยล่ะพระเจ้าค่ะ”
“พ่อบอกเจ้าไปแล้วว่าจะทำให้พวกนั้นบาดหมางกัน ถ้าเอาดวงตาผู้อื่นแล้วพวกนั้นจะแตกสามัคคีได้ยังไง พวกเจ้าสองพี่น้องแฝงตัวไปอยู่กับพวกมันตั้งนานก็ย่อมเกิดความผูกพัน ทีนี้ล่ะทางนั้นจะแบ่งเป็นสองฝ่าย แน่นอนว่าฝ่ายหนึ่งจะแก้ต่างหาเหตุผลการกระทำให้พวกเจ้า” เขาเล่าสิ่งที่คาดการณ์เอาไว้ มันไม่น่าผิดคาดเท่าไหร่นักหรอกถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมา
“เสด็จพ่อทรงปรีชาสามารถมากเลยเพคะ พรุ่งนี้ไปชิงดวงตามาเลยดีมั้ยเพคะ จะได้ทำเนตรสะกดใจให้เร็วขึ้น” ธิดายักษ์ยิ้มอย่างพอใจเมื่อได้ยินในสิ่งที่บิดานาคาพูด เห็นทีจะต้องรีบไปนำมาเสียแล้ว
“ถ้าทำสำเร็จพวกเราก็จะมีเนตรสะกดใจสี่ดวงเลย หม่อมฉันดวงนึง ปัทมาสน์ดวงนึงและเสด็จพ่ออีกสองดวง” โอรสมนุษย์คิดถึงเรื่องนี้แล้วจึงกล่าว ยิ่งมีจำนวนดวงตาเพิ่มขึ้น การสะกดใจก็สามารถสะกดได้หลายคนขึ้นน่ะสิ
“ไม่ถูกเสียทีเดียวหรอก พ่อก็มีเพียงหนึ่งเหมือนพวกเจ้า”
“แต่ปกติเสด็จพ่อมีถึงสองดวงนี่เพคะ” เธอก็ว่าไปตามความจำที่ตนมีอยู่ มิได้รู้ตื้นลึกหนาบางอะไร
“แต่ก่อนน่ะใช่ แต่เพราะมีครั้งหนึ่งพ่อได้สู้กับพวกครุฑ มันจิกเอาดวงตาพ่อออกไป ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ป่าไหนหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ”
“ป่านนี้ไม่เป็นหินอัญมณีอยู่ที่ไหนแล้วหรือพระเจ้าค่ะ”
“พ่อก็ไม่แน่ใจ แต่เชื่อได้ว่าอยู่ดีแน่นอน….. นี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่พวกเจ้าต้องรู้ไว้ อย่าให้ใครทำลายเนจรสะกดใจของพวกเจ้าได้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นตาเจ้าจะบอดและเรื่องที่ไปสะกดผู้อื่นจะเข้าตัวจนสติวิปลาสได้” วัศพลนาราชพูดข้อนี้ให้ฟังเป็นสำคัญเพราะคนไม่อยากเสียกำลังพลไป ถึงแม้จะเป็นจุดอ่อนตนแต่ก็ไม่คิดจะปิดบังพวกที่ตนสะกดเอาไว้หรอก เพราะผู้ที่ถูกสะกดจะไม่มีวันทำร้ายผู้ที่สะกดแน่นอน หากเว้นว่างจากเรื่องสงครามตนก็กะจะตามหาสิ่งสำคัญของตนดูบ้างเหมือนกัน
“พระเจ้าค่ะ พวกหม่อมฉันจะระวังดวงตาให้ดี”
“เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ก่อนตะวันตกดินพวกหม่อมฉันจะไปชิงดวงตาของสไบทองได้เพคะ เสด็จพ่อวางพระทัยได้เลย”
………………………………………………..
“ไม่นะ!!” แสงสุรีย์สะดุ้งตื่นขึ้นมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางด้วยความตกใจสิ่งที่เกิดในความฝัน
“เป็นอะไรไปน่ะแสงสุรีย์” เมธาวีได้ยินเสียงร้องก็รีบเข้ามาดูและประคองผู้ที่เพิ่งฟื้นจากนิทราด้วยความเป็นห่วง
“เราฝันร้าย ฝันว่าจันลักษณ์กับปัทมาสน์ควักเอาดวงตาของตัวเองมาคนละข้างแล้วเอาใส่ในกองเพลิง จากนั้นทุกอย่างก็ดับลงราวกับว่าดวงตาของเราบอดไปแล้ว  เรากลัวเหลือเกินว่าสองคนนั้นจะเกิดอันตราย”
“ไม่ต้องห่วงไปหรอก บางทีที่เจ้าฝันแบบนี้อาจเป็นเพราะเจ้าอาจจะคิดสับสนที่สองคนนั้นไปอยู่กับพวกศัตรูก็ได้” เพชราหูกล่าวเช่นนี้เพราะไม่อยากผู้ที่ตื่นนิทราจากฝันร้ายคิดมากจนเกินไป
“เราก็หวังว่ามันจะเป็นแค่ความฝัน อย่าให้มันเป็นลางร้ายอะไรเลย” จินดาที่ได้ฟังเช่นนั้นก็ไม่สบายใจเท่าไหร่นักเพราะนี่อาจเป็นลางบอกเหตุก็ได้ แต่ยังไงก็อยากให้เป็นแค่ฝันไม่สลักสำคัญอะไร
“ฝันร้ายก็แค่ฝันอย่าคิดมากเลยนะ”ศุภลักษณ์เข้ามาจับมือพี่สาวคนโตเพื่อให้กำลังใจ ตัวเองเชื่อว่ายังไงเรื่องร้ายๆจะต้องผ่านไปได้แน่ แค่ต้องรอเวลา
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ มีใครเป็นอะไรรึเปล่า” อันติมะเข้ามาดูสหายที่พักอยู่อีกกระโจมเพราะเกรงว่าจะเกิดอันตรายจากพวกคิดไม่ซื่อก็เป็นได้
“ไม่มีอะไรหรอก เราแค่ฝันร้ายน่ะ”
“ฝันร้ายเดี๋ยวก็กลายเป็นดี ช่างมันเถอะนะ พวกเราเตรียมตัวกันให้เรียบร้อยดีกว่า พอฟ้าเริ่มสางก็ต้องเตรียมรบอีก”
“หวังว่าจะจบลงไวๆนะ”โอรสวันศุกร์กล่าว
“เราก็อยากให้จบแต่ว่าเทพวิษุวัตไม่ยอมเข้าร่วมให้เร็วน่ะสิ ไม่อย่างนั้นก็คงจะสามารถเอาความสนใจรวมกำลังแรงมุ่งไปต่อกรกับพระองค์พอ”ชายหนุ่มร่างแปลงหนักใจไม่น้อย นี่ก็หลายวันแล้วที่เทพต้นเรื่องบำเพ็ญเพียรเพิ่มกำลังให้ตนแล้วไหนจะถ่วงเวลาเพื่อรอให้สหายตนอ่อนกำลังลงอีก หรือว่าตนควรจะต้องทำอะไรที่สั่นคลอนจิตใจให้สมาธิของเทพวิษุวัตไขว้เขวกัน ถึงจะทำให้เรื่องมันจบสักที

“พระธิดา พระโอรส!!” จั๊กแหล่นมาถึงก็เข้ากอดทักทายทุกคนอย่างดีใจ เมื่อวานอยู่ซ้อมวิชาเพิ่มอีกสักหน่อยจึงได้ตามมาสมทบภายหลัง
“จั๊กแหล่นมาแล้วเหรอ พี่ศุเนี่ยคิดถึ๊งคิดถึง” ศุภลักษณ์เห็นสหายรักก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งจึงได้เข้ากอดราวกับว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นน้องสาวของตนอีกหนึ่ง
“พี่ศุเนี่ยคิดถึ๊งคิดถึง” ประกายพรึกพึมพำถึงประโยคก่อนหน้าด้วยความหมั่นไส้ ดูท่าเจ้าของประโยคจะชอบทำนิสัยเจ้าชู้จนเป็นนิสัยไปแล้ว จึงไม่เขอะเขินเลยที่จะสวมกอดผู้หญิงแบบนั้น
“แล้วพระโอรสจันทลักษณ์กับพระธิดาปัทมาสน์อยู่ที่ไหนกันพระเจ้าค่ะ”ผีตาหวานถามด้วยความสงสัย เพราะมันจะได้เวลาออกรบแล้วน่าจะมารวมกันครบได้แล้วนี่
“คงไปอู้อยู่ที่ไหนสักที่ล่ะมั้ง” สุดหล่อว่าไปตามความเห็น นี่ถ้าไม่ใช่ว่าเพิ่งมาถึงล่ะก็ ตนก็จะแอบอู้ไม่ไปช่วยให้เหนื่อยจนเกินตัวหรอก
“ทั้งสองน่ะเปลี่ยนฝั่งไปอยู่กับพวกนั้นแล้วล่ะพี่ตาหวาน” อังคาสตอบความสงสัยให้ทราบ ถึงจะอนุมานได้ว่าถูกมนตราแต่มันก็น่าโมโหอยู่เหมือนกันที่ไม่ระวังตัวให้ดี จนเรื่องมันวุ่นไปใหญ่
“หมายความว่ายังไงกันพระเจ้าค่ะ อยู่ดีๆจะเปลี่ยนฝั่งไปได้อย่างไรกัน” หิ่งห้อยฟังความก็เกิดความสับสนขึ้นมา แค่ไม่อยู่ด้วยวันเดียวมันเกิดเรื่องอะไรกัน
“พวกเขาเปลี่ยนฝั่งก่อนจะเริ่มสงครามและเรียกวัศพลนาคราชว่าเสด็จพ่อน่ะจ้ะพี่หิ่งห้อย”  จันทราภาช่วยตอบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นให้กับผู้สมทบได้ฟังความก่อนหน้า
“พวกเขาน่าจะต้องมนตราถึงได้ทำเช่นนั้นลงไปน่ะจ้ะพี่หิ่งห้อย” สุริยะช่วยเสริม อย่างไรเสียสหายทั้งสองก็ไม่มีทางไปเป็นพวกเดียวกับพวกนั้นเด็ดขาดถ้าไม่มีเรื่องของเล่ห์กลมนตราของอีกฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้อง

“สงครามวันที่สองเริ่มต้นขึ้นแล้ว ขอให้ทุกท่านต่อสู้กันอย่างเต็มกำลังและปฏิบัติตนตามข้อตกลงอันเป็นกฎของสงครามอย่างเคร่งครัดด้วย” เสียงประกาศจากพระพุธซึ่งเป็นหนึ่งในผู้สังเกตุการณ์เป็นสัญญาณให้เริ่มทำการต่อสู้ในวันที่สองอย่างเป็นทางการ

“ใช้ร่มสู้นี่นะ เจ้าจะดูถูกสติปัญญาข้ามากไปแล้วนะ!!” อัคนินกล่าวอย่างไม่พอใจเมื่อเห็นแสงสุรีย์ที่เพิ่งจะเผชิญหน้ากับตนก็ใช้เพียงร่มมาประลองเสียอย่างนั้น
“เจ้านี่ยังไงกัน ต้องคิดเสมอเลยเหรอว่าคนอื่นเขาจะดูถูกตัวเองตลอดเวลา หรือว่าเจ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ”
"ข้าไม่ใช่คนไร้สติปัญญาสักหน่อย"
"ถ้าไม่ใช่ก็มาประลองเลยดีกว่า อย่ามัวแต่โวยวาย"
"แล้วจะให้ข้าใช้ร่มมาสู้กับเจ้าเนี่ยนะ"
"ท่านผู้เจริญปัญญา ถ้ามีฝีมือจริงแค่ใช้ร่มก็เพียงพอแล้วล่ะ"
"ก็ได้ๆ ...เข้ามาเลย" ถึงจะขัดใจแต่ก็คงปฏิเสธมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นคงถูกหัวเราะเยาะแน่ที่ไม่ยอมสู้กับของง่ายๆอย่างร่มนี่
"ตั้งรับไว้ให้ดี" เธอว่าแล้วก็ใช้ร่มแทงพุ่งไปยังใบหน้าของอีกฝ่าย ดีที่อีกฝ่ายหลบทันไม่อย่างนั้นคงต้องถูกจิ้มเข้าให้ที่ลูกตาแน่ เมื่อหลบได้แล้วเขาก็ไม่รีรอที่จะตอบโต้ จึงใช้มือฟันไปยังต้นคอของอีกฝ่าย แต่แล้วศัตรูผู้นั้นก็ดันหลบทันได้เสียก่อน
ทั้งคู่ใช้ร่มปะทะกันราวกับว่ามันเป็นดาบ เมื่อพลัดกันโจมตีอยู่สักพักทั้งสองคนนี้ก็ได้ประจันหน้ากันโดยมีร่มขั้นกลางไขว้ทับกันเป็นกากบาท
"สู้ไม่รู้จักบันยะบันยังเลยนะ เจ้าไม่กลัวว่าตัวข้าจะไม่พอใจจนไปลงกับเสด็จพ่อแทนหรอกเหรอ"
"ถ้าจะขี้แพ้จนไปพาลกับคนไม่มีทางสู้แบบนั้น ก็เชิญทำตามความภูมิใจอันน้อยนิดของเจ้าเถอะ" เธอก็ไม่ได้กังวลในคำพูดของพี่ต่างแม่เท่าไหร่นักหรอก
เพราะเธอรู้ดีว่าในร่างบิดาก็มีวิญญาณมารดาของอีกฝ่ายอยู่ในนั้นเหมือนกัน ถ้ากล้าทำทั้งพ่อทั้งแม่ตัวเองก็ทำไป
"พูดมากนัก!"เขาได้ยินวาจาเช่นนั้นจึงบันดาลโทสะใช้หน้าผากของตนโขกเข้ากับของอีกฝ่ายจนเลือดไหล
"แผลเก่ายังไม่ทันหายอยากได้แผลใหม่เพิ่มแล้วอย่างนั้นเหรอ"ธิดาวันอาทิตย์เช็ดเลือดที่หน้าผากตนมาดูแต่ก็ไม่มีทีท่ากังวลต่อบาดแผลตนแต่อย่างใด กลับเห็นแต่อีกฝั่งที่มีแผลเป็นบนแก้มขวาแล้วยังไม่พอ ดันหาเรื่ิองจะสร้างแผลเพิ่มอีก
"แล้วจะทำไม เราทำให้เจ้าเจ็บตัวได้ก็พอแล้ว"ดูท่าจะไม่สนวิธีการเอาเสียเลยซะด้วยสิ
"เราเจ็บตัวเจ้าก็เจ็บตัวมันคุ้มค่าพอแล้วเหรอ" 
"คุ้มไม่คุ้มเดี๋ยวก็รู้กัน"ว่าแล้วเขาใช้พลังจากสังวาลย์ส่งไปยังร่ม จากร่มธรรมดาที่ประกอบด้วยผ้ากับไม้ไผ่กลายเป็นร่มโครงเหล็กที่ปูด้วยคมมีดแทนผ้าทั่วไปเสียแล้ว เมื่อทำเช่นนั้นเสร็จก็มุ่งหน้าเข้าทำร้ายอีกฝ่ายโดยการหมุนร่มเป็นวงกลมพร้อมกับฟาดเข้าไปที่ศัตรู โชคยังดีตรงจุดที่เขาฟาดลงไปนั้นตรงกับตำแหน่งของสังวาลย์ของแสงสุรีย์จึงพอจะต้านความรุนแรงไม่ให้เลือดตกยางออกได้ แต่ก็ได้รับความเจ็บช้ำที่ภายในอยู่พอสมควร
"ทำไมล่ะ เงียบไปเลยล่ะสิ เจ้าบอกให้ใช้ร่มก็จริงแต่ไม่ใช่แค่ร่มธรรมดานี่   ร่มเจ้าก็พังแล้วจะเอายังไงต่อไปดีล่ะ"เขามองไปยังร่มของอีกฝ่าย ด้วยความเร็วของเขาทำให้อีกฝ่ายตั้งรับแทบไม่ทัน ร่มก็พังไปเพราะตั้งรับนั่นเอง แต่มันน่าเสียดายที่เอาเลือดเอาเนื้อส่วนลำตัวไม่ได้อย่างที่ใจนึก
"ในเมื่อเจ้าไม่คิดใช้ร่มธรรมดามีหรือว่าเราจะทนใช้แบบธรรมดาต่อไปได้อีก" เธอทนเก็บความเจ็บปวดภายในไว้ก่อน เอาสถานการณ์ตรงหน้าให้ผ่านพ้นไปได้ดีกว่า
"มีอะไรก็ใช้มาเลยสิ" สิ้นคำของอริร้ายร่มของธิดาแห่งคีรีมาศก็ได้กลายเป็นเหล็กเช่นเดียวกันกับของอีกฝั่งไม่ผิดเพี้ยนจากกันมากนัก แต่อย่างไรเสียมันก็ต้องมีข้อแตกต่างอยู่แน่
"นี่ผู้เจริญด้วยสติปัญญา กับแค่เปลี่ยนร่มเนี่ยยังจงใจลอกเอาของคนอื่นไปใช้เอง ช่างเป็นคนที่เลิศล้ำฉลาดสุดสมกับเป็นพี่คนโตของบรรดลูกนอกไส้จริงๆ"
"มันช่วยไม่ได้นี่ กฎก็บอกอยู่ว่าต้องใช้อาวุธประเภทเดียวกัน การที่เราใช้ของแบบเจ้าก็ไม่ได้ผิดอะไร"
"เอาเถอะๆ ดูสิว่าเปลี่ยนของมาเหมือนเราแล้วเนี่ยจะมีปัญญาพอมาสู้กับเรารึเปล่า" ว่าแล้วเขาก็เหวี่ยงร่มไปปะทะกับอีกฝ่าย แต่หารู้ไม่ว่าอีกฝ่ายนั้นคิดหาวิธีที่จะรับมือตนได้ตั้งแต่เปลี่ยนรูปแบบอาวุธแล้ว
"เกรงว่าจะไม่เหมือนเท่าไหร่นะ"ระหว่างที่ใช้อาวุธฟาดฟันกันอยู่เธอก็ใช้พลังจากสังวาลย์มณีส่งไปยังร่มเหล็กของตน ด้วยความร้อนของพลังที่ราวกับเตโชทำให้ร่มเหล็กนั้นแดงเหมือนดาบที่กำลังถูกตีขึ้นรูป นั่นส่งผลให้ร่มของอีกฝ่ายได้รับความร้อนนี้ไปเช่นกัน แต่ในเมื่อยังดึงดันจะใช้ร่มตีปะทะซึ่งกันต่อไปแบบนี้ก็ไม่มีใครห้ามได้หรอก จนสุดท้ายที่ฟาดร่มใส่กันร่มที่ใช้ก็ได้แตกออกจากกัน จนทั้งสะเก็ดไฟและเศษที่แตกของเหล็กกระเด็นใส่ทั้งสองฝ่ายจนต้องล่าถอยออกจากกัน ยังดีที่ไม่ได้เข้าตาใครจนบอดแต่ก็สร้างความเจ็บปวดให้ทั้งคู่ไม่น้อยจนกระทั่งทั้งคู่ได้สงบไป
  ธงน้ำเงินถูกชูขึ้นเพื่อเป็นสัญญาณเรียกแพทย์อาสาให้เข้ามาช่วยเหลือทั้งสองคนที่สลบไปจากอาการบาดเจ็บ เมื่อเหล่าหมอมาถึงก็แบ่งกันพากลับไปกระโจมตามฝั่งของผู้สลบก่อน เพราะในท้องสนามที่รบรากันหลายชีวิตอาจไม่ทันสังเกตจนเผลอไปขวางการรักษาโดยที่ไม่รู้ตัวเลยก็เป็นได้
"แสงสุรีย์บาดเจ็บงั้นเหรอ" ติณกฤตสังเกตเห็นเหล่าแพทย์อาสามาพาตัวศิษย์ร่วมสำนักกลับไปยังที่พำนัก ตนก็อดที่จะสนใจไม่ได้ แต่มันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขานี่

"ได้เวลาแล้วจันทลักษณ์" สองพี่น้องที่หลีกเลี่ยงปะทะกับฝั่งศัตรูระดับฝีมือเดียวกันมาทั้งวัน เห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้วที่ต้องแอบเดินทางไปยังป่าหิมพานต์บริเวณอาศรมของฤษีอนุชิต จึงเรียกคุยกันผ่านการสื่อสารทางใจ
“ไปกันเลย” เมื่อตกลงได้ดังนั้นทั้งคู่จึงทำเป็นกลับไปในกระโจมเพื่อดูอาการของอัคนิน แต่ที่จริงก็จะเข้าไปจัดการกับคนที่ไม่มีทางสู้ก็เพียงแต่เท่านั้น

“แปลก วันนี้จันทลักษณ์ไม่มาสู้ตามคำท้าของเรา เมื่อวานสู้กันได้แต่เสมออยู่เลย”
“เมื่อวานเขาดูเลือดร้อนอยากจะสู้กับเจ้าด้วยสังวาลย์ให้รู้แล้วรู้รอดขนาดนั้นแท้ๆ” พุทธรัตน์เข้ามาเพื่อจะดูพวกพี่น้องปะทะฝีมือกันเหมือนที่ฟังจากเพชราหูสักหน่อย วันนี้กลับไม่ได้เห็นเสียแล้ว
“วันนี้ไม่สู้ ไม่แน่พรุ่งนี้อาจสู้ พวกเราแยกย้ายไปดูทางอื่นต่อดีกว่านะ”
“ได้ ดูแลตัวเองด้วยนะ”
“จินดาจะไปไหนน่ะ!!” โอรสวันพุธเห็นน้องสาววิ่งผ่านอย่างร้อนใจก็อดสงสัยไม่ได้
“แสงสุรีย์สู้กับอัคนินจนสลบ เราไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นยังไงบ้าง เราต้องไปดูนางก่อน”
“ว่ายังไงนะ” เขาได้ยินอย่างนั้นก็อดห่วงไม่ได้จึงตามไปดูใจทันที ปกติที่สู้กันไม่เห็นจะถึงขั้นสลบเลย หรือว่าอาจเป็นเพราะเป็นช่วงจิตใจสับสนว้าวุ่นด้วยรึเปล่า
…………….
ในขณะที่ทางนั้นกำลังวุ่นกับการรบบ้างดูคนเจ็บบ้างก็ไม่ทันได้สังเกตเท่าไหร่ว่าสองตัวปัญหาได้หายไปแล้ว
“พระโอรสพระธิดา เสด็จกลับมาแล้วเหรอเพคะ” บัวเข้ามาต้อนรับด้วยความดีใจ ไม่คิดเลยว่าในเวลาไม่ครบสองวันจะได้ข่าวดีเร็วขนาดนี้
“สไบทองอยู่ไหน” จันทลักษณ์เรียกชื่อคนที่ต้องการตัวอย่างห้วนๆผิดกับนิสัยดั้งเดิมของตนนัก
“พระมเหสี พระมเหสีกำลังประทับอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งทางนั้นน่ะเพคะ” เธอผายมือบอกไป แต่ก็แปลกใจว่าทำไมคำพูดน้ำเสียงดูแข็งกระด้างกว่าแต่ก่อนนัก
“สไบทอง!!” ปัทมาสน์เดินรุดหน้าไปยังที่ประทับของมเหสีไร้บัลลังก์ด้วยสีหน้าจริงจัง พอถึงที่หมายก็เรียกชื่อด้วยเสียงที่ดังคำราม ทำเอาคนที่ถูกเรียกตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“จันทลักษณ์ ปัทมาสน์ เกิกอะไรขึ้นทำไมดูไม่พอใจเราขนาดนั้น”
“ไม่ต้องพูดมาก” ว่าแล้วนรางยักษิณีก็เข้าบีบคอคนที่เป็นเป้าหมายทันที
“พระธิดาอย่าทรงทำเช่นนี้เลยนะเพคะ ปล่อยพระหัตถ์เถอะนะเพคะ” บัวแย้มเข้ามายื้อดึงแขนให้หยุดการกระทำแต่มันไม่ได้ผลเพราะเธอไม่มีแรงพอที่จะสู้
“น่ารำคาญ” เธอเปลี่ยนมืออีกข้างมาบีบแทนแล้วจึงเหวี่ยงแขนข้างที่คนห้ามจับอยู่
“อย่าช้าเลย เริ่มดีกว่า” คนสวมสังวาลย์บุษราคัมกล่าวไม่นานทั้งสองก็ใช้มือนคนละข้างชิงเอาดวงตาแต่ละดวงของสไบทองทองไปอย่างรวดเร็ว
“ไม่นะ!!” ภาพตรงหน้าทำเอาผู้ที่ล้มไปกองกับพื้นร้องลั่น ไม่นึกเลยว่าเวลาสั้นๆจะเกิดเรื่องขนาดนี้
“พวกเจ้าทำอะไรกันน่ะ” ท้าวนวดลวิ่งมาดูตามเสียงด้วยห่วงอันตรายที่จะเกิดขึ้น แต่นี่มันเกิดขึ้นไปแล้ว
“พวกเจ้ามันบ้าไปแล้ว แม้เราตายก็จะฆ่าเจ้าให้ได้” ชายชราให้มีดเข้าแทงหมายจะเอาชีวิตทั้งสองจึงถูกทำให้ทรมาน ฝ่ายหญิงชราก็รีบเข้าไปประคองบุตรีรีบพาหนีไปก่อนจะเล่นถึงชีวิต
“จะไปไหนกัน” ชายหนุ่มเห็นแบบนั้นก็อดจะตามไปไม่ได้ ขืนปล่อยไปง่ายๆก็แย่น่ะสิ
“พระโอรสพระธิดาช่วยด้วยเพคะ ช่วยด้วยเถอะเพคะ” บัวที่คิดได้ก็เรียกผ่านกำไลแก้วบุษบากรที่สามารถเรียกขอความช่วยเหลือไปถึงจินดาได้
“ทางนู้นเกิดเรื่องขึ้น บัวเรียกให้พวกเราไปช่วย” จินดาที่ห่วงพี่สาวเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากสตรีที่ดูแลเหล่าเชื้อกษัตริย์ในมิติก็วุ่นวายใจไปหมด
“มีคนบุกเข้าไปในมิติได้แล้วงั้นเหรอ” เมธาวีถามอย่างร้อนใจ มันเรื่องอะไรกัน
“พวกเราไปช่วยกันเถอะ จินดาเจ้าอยู่ที่นี่เถอะนะ”  ว่าแล้วเพชราหูก็ได้พาอังคาส ภูมินทร์ สุริยะ เมธาวีหายตัวไปยังมิตินั้นทันที
พอไปถึงเรื่องราวที่อยู่ตรงหน้าก็จบไปด้วยรอยยิ้มของผู้ถือชัยทั้งสอง พอทั้งหมดมาถึงทั้งคู่จึงออกจากมิติในทันทีโดยไม่ลืมจะทิ้งรอยยิ้มเยาะเย้ยไว้เป็นแผลในใจของบุตรของผู้ถูกกระทำอย่างไม่มีความรู้สึกละอายใจอยู่ในสายตาเลยสักนิด

----------------------------------------------------------------------------ทุกวันอาทิตย์ขอเปลี่ยนเวลาเป็น21.30น.แทนนะคะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กรกฎาคม 17, 2022, 08:35:31 PM
สวัสดีค่ะ จักรกรดขอแจ้งงดอัพเดตนิยายไปก่อนนะคะ เนื่องจากช่วงนี้มีปัญหาด้านสุขภาพประกอบกับต้องเตรียมตัวสำหรับการสอบกลางภาคจึงไม่อาจจะสร้างสรรค์เนื้อหาให้เพียงพอได้ ดังนั้นจักกรดจึงของดอัพเดตนิยายไปสักพักนะคะ แล้วจะกลับมาอัพเดตตอนต่อไปในวันอาทิตย์ที่14สิงหาคมเวลา21.30น.ค่ะ  ขออภัยท่านผู้ท่านทุกท่านด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ สิงหาคม 14, 2022, 09:34:03 PM
“จะไปไหนกัน” จันทลักษณ์เข้ามาดักหน้าสองสตรีที่กำลังหนีอยู่อย่างร้อนใจ
“ปล่อยพวกเราไปเถอะนะ เราไม่เข้าใจทำไมพวกเจ้าสองพี่น้องถึงได้เลือกเข้ามาทำร้ายผู้ไม่มีทางสู้เช่นนี้เลย หากมีสิ่งใดไม่พอใจก็ควรจะพูดคุยกันดีๆก่อนได้แท้ๆ” เมื่อถูกตามทันอย่างนี้ มเหสีอัมรินทร์รู้ว่าหนียังไงคงจะหนีไม่พ้นจึงคิดเจรจาเสียคงจะดีกว่า
“เราขออภัยจริงๆ ถ้าเรื่องที่พวกเจ้าแค้นเคืองเราเป็นเรื่องวันนั้นที่เราเลือกชีวิตลูกเรามากกว่าก็ทำร้ายเราเพียงคนเดียวเถอะ อย่าได้ทำร้ายผู้อื่นเลย” สไบทองคิดว่ามีคงมีเรื่องบาดหมางกับตนไม่กี่เรื่องหรอก ไม่เช่นนั้นทั้งสองคงไม่มาช่วงชิงดวงตาของตนแน่
“ไม่มีทางสู้หรือมีทางสู้ ถ้าเราพอใจจะทำเราก็ทำร้ายใครก็ได้อยู่ดี แล้วที่เราทำแบบนี้มันไม่ใช่เพราะความแค้นเคืองอะไรนั่นหรอกนะ แต่ว่ามันเรียกอะไรนะ...อ้อ ความสำราญ” พูดจบแล้วบุรุษหนุ่มจึงใช้พลังช่วงชิงความสามารถในการได้ยินของหญิงชราเสีย ไม่เพียงแต่เท่านั้นเขายังฉุดกระชากลากถูสตรีทั้งสองให้ไปยังชายชราที่ถูกยักษิณีสาปให้ส่งเสียงออกมาไม่ได้ด้วย
“พระโอรสพระธิดา อะไรมาดลพระทัยทั้งสองพระองค์ให้กระทำเช่นนี้เพคะ ได้โปรดเถอะนะเพคะ ยุติการกระทำพวกนี้แล้วแก้ไขให้เป็นเหมือนเดิมเถอะเพคะ ทั้งสามพระองค์ต้องทนทุกข์ทรมานขนาดนี้ได้โปรกเห็นพระทัยด้วยเถอะเพคะ” บัวแย้มเข้ากอดขาอ้อนวอนพระโอรสพระธิดาที่ตนเคารพ เรื่องมันเกิดขึ้นแบบนี้ตนก็ไม่ค่อยจะเข้าใจนัก บางทีมันอาจเป็นอารมณ์ชั่ววูบ ตนจึงคิดใช้ความผูกพันมาเปลี่ยนใจทั้งสองให้เลิกการกระทำอันเลวร้ายแล้วรักษาอาการบาดเจ็บของคนทั้งสามนั้นคนจะดีกว่า
“บัว บัวแย้มงั้นเหรอ” ปัทมาสน์กล่าวเหมือนนึกขึ้นได้ แต่ก็ไม่ได้สนเรื่องที่ถูกร้องขอก่อนหน้านี้เลย
“เพคะ บัวเองเพคะ..เหตุใดพระธิดาถึงเหมือนไม่รู้จักบัวเลยล่ะเพคะ ” คำพูดคำจาของอีกฝ่ายเปลี่ยนไปอย่างน่าฉงน หรือว่านี่จะถูกควบคุมอยู่ถึงได้จำตนไม่ได้ รวมถึงเรื่องพวกนี้ด้วย
“เป็นนางที่บดิศรมีใจใฝ่ผูกพันนี่เอง พวกเราจับนางไปให้บดิศรดีกว่า เผื่อเจ้านั่นจะได้นึกฮึกเหิมอยากกลับมาสู้กับคนอื่นเขาซะบ้าง” บุตรชายกำมะลอของวัศพลนาคราชออกความเห็น เขาแน่ใจว่าผู้ที่ตนเชื้อเชิญก็กำลังคิดแบบเดียวกับตน
“เราเห็นด้วย ยังไงก็ใกล้จะตะวันลับขอบฟ้าละ เอาอะไรกลับไปคงไม่เสียหายหรอก แล้วก็ไม่มีกฎข้อไหนไม่ให้จับตัวประกันเพิ่มนี่” เมื่อได้ยินเช่นนั้นบัวแย้มก็ไม่คิดที่จะอ้อนวอนต่อไปเพราะอย่างไรก็เป็นสิ่งที่เปล่าประโยชน์ เธอจึงได้เรียกคนที่เหลือให้มาช่วยเห็นจะดีกว่า
“พระโอรสพระธิดาช่วยด้วยเพคะ ช่วยด้วยเถอะเพคะ” บัวที่ได้เรียกผ่านกำไลแก้วบุษบากรที่สามารถเรียกขอความช่วยเหลือไปถึงจินดาได้ คราวนี้พวกที่เหลือจะต้องรีบตามมาช่วยเหลือแน่ ซางตัวเธอไม่ได้รู้เลยว่าอีกฝั่งก็กำลังวุ่นวายเรื่องอาการของแสงสุรีย์อยู่เช่นเดียวกัน
“จนได้สิ แทนที่จะยินยอมไปกับพวกเรา นางกลับเรียกให้พวกนั้นมาช่วย” จันทลักษณ์รู้สึกหงุดหงิดไม่น้อยที่คนไร้สามารถที่จะต่อสู้อย่างสาวชาวป่าคนนี้ช่างกล้าเรียกคนมาไม่แม้แต่จะกลัวความตายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเลย
“จะคิดมากไปทำไมกัน ยังไงพวกเราก็ได้ดวงตาของนางมนุษย์สไบทองนี่แล้ว อีกอย่างพวกมันมาก็ดีจะได้เยาะเย้ยสักหน่อย” 
พวกศัตรูเดินทางมายังมิติแล้วนั้นผู้ถือชัยทั้งสองก็ได้ยิ้มอย่างชอบใจในการกระทำของตนพลางเยาะเย้ยสักหน่อยพอขำขันแล้วจึงรีบพาตัวประกันออกจากมิติไป ตามจรองก็อยากจะสู้ด้วยอยู่หรอก แต่เวลาเหลือน้อยมากแล้ว ถ้าเวลาหมดไปแล้วสู้กันยาวคราวนี้คงจะแพ้เพราะเรื่องผิดกฎในขณะที่ยังไม่ถึงเก้าวันก็ดูไม่ดีกับพวกตนเท่าไหร่นักหรอก
เพชราหู อังคาส ภูมินทร์ สุริยะ และเมธาวีที่ได้หายตัวมายังมิติพบเจอกับเหตุการณ์ตรงหน้าจิตใจก็พลันระส่ำระส่าย ใจนึงก็ห่วงอาการคนทั้งสาม อีกใจก็โกรธแค้นชิงชังพวกศัตรูที่กระทำการอุกอาจแล้วยังมีหน้ามาเยาะเย้ยพวกตน
“เสด็จแม่ พระอัยกา พระอัยกีทรงเป็นเช่นไรบ้างพระเจ้าค่ะ” สุริยะที่ห่วงมากกว่าแค้นเคืองใจเลือกที่จะเข้าไปดูอาการของสามอาวุโส
“ลำพังแค่แม่เสียดวงตาคนเดียวไม่เป็นไรหรอกลูก เพียงแต่พระอัยกา พระอัยกีของลูกต้องถูกช่วงชิงการได้ยินอีกทั้งถูกสาปพูดไม่ได้นี่สิ ลูกต้องช่วยทั้งสองพระองค์นะลูก”
“ทำไมพวกเขาต้องมาช่วงชิงสื่อสัมผัสออกไปด้วยล่ะพระเจ้าค่ะ มีเหตุผลคืออะไรกัน” ภูมินทร์ไม่อยากจะเชื่อภาพตรงหน้าว่าจะเป็นความจริงที่คนที่ตนนับเป็นสหายทั้งสองจะทำได้ถึงเพียงนี้
“พวกเขาเข้ามาในมิติมาหาแม่ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้ชิงดวงตาแม่ไป ทีแรกแม่คิดว่าพวกเขาคงจะคับแค้นใจที่แม่เลือกขอให้อัญญานีช่วยพวกลูกๆก่อน แต่เขาพูด พูดแต่เพียงว่ามันเป็นความสำราญ น่าจะเป็นเหตุผลอื่นแล้ว”
“ความสำราญอย่างนั้นเหรอ ได้เราจะเอาความสำราญที่ว่าไปมอบให้พวกเจ้าบ้าง” อังคาสที่ได้ฟังคบอกเล่าของมารดาก็คิดที่จะติดตามทั้งสองไปยังที่พำนักในสนามรบ กล้าดียังไงมาทำร้ายคนสำคัญของตน
“พวกเราไปด้วยกันนี่ล่ะ” เพชราหูรีบพาอังคาสกับเมธาวีหายตัวไปในทันทีเพราะยังไงพวกตนก็ต้องมีส่วนในการรับผิดชอบความผิดของพี่ๆ

“บดิศรเลิกคร่ำครวญแล้วมาดูตัวประกันเร็วเข้า นางแก้วของเจ้าที่ชื่อบัวแย้มอยู่ที่นี่แล้ว” เมื่อมาถึงที่พำนักฝั่งตนแล้ว นางยักษิณีก็เหวี่ยงร่างสตรีบอบบางกองลงกับพื้นพลางเรียกสหายให้ออกมาราวกับว่าที่นำมาเป็นเพียงสิ่งของจะทิ้งเหวี่ยงทิ้งโยนอย่างไรก็ได้
“เจ้าว่ายังไงนะ!!”พอได้ยินแบบนั้นเขาก็ไม่อาจจะอยู่เฉยได้ ไม่ใช่เพราะดีใจอะไรเถือกนั้นหรอก หากแต่เป็นห่วงคนที่ตนรักเพราะสองสหายนี่ต้องมนตราทำท่าทางดูแล้วก็ไม่น่าจะปรานีใครเท่าไหร่ด้วย
“นี่ไงนางแก้วนางสวรรค์ของเจ้า ที่นี้เจ้าก็เลิกคิดมากได้แล้ว พรุ่งนี้จะได้ออกทำศึกต่อ” ชายผู้เกิดวันจันทร์ชี้ไปทางสตรีที่นั่งอยู่บนพื้นน้ำตาก็อาบนหน้าไร้คำจะพูดอะไรทั้งนั้น
“พวกเจ้าทำร้ายนางทำไมกันน่ะ” บดิศรเข้ามาดูอย่างเป็นห่วง เห็นท่าทีสตรีผู้นี้แล้วก็อดสังเวชใจไม่ได้
“ทำร้ายอะไรกันจับเหวี่ยงนิดๆหน่อยเอง  นางฟูมฟายมาก่อนหน้าที่พวกเราจะจับเป็นตัวประกันด้วยซ้ำ” ฟังความสหายตนก็ไม่ค่อยจะพอใจเท่าไหร่นัก ทำดีด้วยกลับเห็นเป็นอื่น แย่จริงๆ
“พวกเจ้าทำนางร้องไห้ขนาดนี้ยังไม่เรียกทำร้ายอีกเหรอ ถึงจะไม่ถึงทางกายพวกเจ้าก็ถือว่าทำร้ายนางทางจิตใจอยู่ดี”
“เอ๊ะนี่เจ้า!!”
“ถ้าเจ้าไม่กันตัวนางไว้เองจะมาหาว่าพวกเราใจร้ายไม่ได้เด็ดขาด ไม่อยากได้พวกเราก็ไม่ฝืน เอาไปขังรวมไว้กับเสด็จพ่อเจ้าก็ได้” จันทลักษณ์กล่าวเมื่อทนฟังคำพูดของคนเมืองรัตนบุรีจนเบื่อเต็มทน
“พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์พาบัวไปไหนทั้งนั้น!!” อังคาสที่เข้ามายังหน้าพลับพลาได้ยินคำพูดของผู้ที่อยู่ตรงหน้าก็ยิ่งทวีความโมโหโกรธาของเขาให้มากขึ้นไปอีก
“อะไรกัน ตะวันจะลับขอบฟ้ามิดดวงอยู่แล้ว ยังคิดจะตามมาสู้อีก หน้าไม่อายจริงๆ”
“พวกเจ้านั่นแหละที่หน้าไม่อาย ลอบเข้าไปช่วงชิงสื่อสัมผัสของผู้ที่ไม่มีทางสู้ในตอนที่คนอื่นกำลังต่อสู้อยู่ในสนามรบนี่”เมธาวีฟังคำของชายผู้ต้องมนตราก็ต้องย้อนกลับเสียบ้าง ถึงจะรู้ว่าถูกควบคุมก็เถอะ แต่การกระทำพวกนี้มันก็เกินไป
“แล้วจะทำไม” สตรีผู้ต้องมนต์เนตรสะกดจิตตอบกลับอย่างไม่แยแส ก็ตนไม่ผิดนี่ ใครจะว่ายังไงก็ว่าไปสิ แต่ใครมันจะไปคิดว่าอยู่ดีตนก็ถูกพระขรรค์ของอีกฝั่งฟันเข้าที่แขนซ้ายตนเข้าอย่างจัง
“แล้วทีอย่างนี้เจ้าจะทำไมรึเปล่าล่ะ” ไม่ต้องพูดพร่ำก่อนจะลงมือให้มากความเพราะสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามทำกับมารดาตนมันก็ไม่ต่างกัน ออกจะมากกว่าที่ตนทำเสียด้วยซ้ำ ผู้ที่ถูกทำร้ายโดยไม่ทันตั้งตัวไม่เอ่ยคำใดๆออกมาทำได้เพียงแต่จ้องมองไปยังดวงตาของผู้กระทำ เดาไม่ออกเลยว่าเจ็บปวดหรือโกรธจนน้ำตาแทบไหลกันแน่ดวงตาถึงได้แดงก่ำแบบนั้น
“พระธิดา พระธิดาทรงเป็นอย่างไรบ้างเพคะ” บัวแย้มที่หยุดสะอื้นไห้ดูเหตุการณ์อยู่นั้นก็รีบลุกขึ้นมาดูร่องรอยบาดแผลอย่างเป็นห่วงเป็นใย แม้ว่าก่อนหน้านี้เธอจะถูกทำร้ายก็ตามที
“ไม่ต้องมายุ่งกับเรา” ความโมโหโกรธาปรากฏบนหน้ายักษาอย่างเห็นได้ชัด ในช่วงเวลานี้เธอไม่ได้อ่อนโยนกับสตรีที่สวมใส่กำไลเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไปแล้ว
“ตะวันก็ลับฟ้าไปเรียบร้อยแล้ว ถ้ามีเรื่องอะไรไว้ค่อยจัดการพรุ่งนี้ก็แล้วกัน”บดิศรกล่าวกับอีกฝ่าย มันไม่ใช่เวลาที่จะมาทำผิดกฎทั้งสองฝ่ายก่อนถึงกำหนดเก้าวันเลย
“เจ้าพูดง่ายดีนี่ แม่เจ้าไม่ได้ถูกควักดวงตาก็พูดได้” สตรีวันเสาร์พูดถึงเรื่องนี้ ถ้าจะกลับไปอย่างน้อยก็ต้องได้อะไรคืนสิถึงจะถูก
“ถ้าอยากได้ดวงตาเราไม่คืนแน่ คิดว่าฟันแขนของน้องเราแล้วจะยอมง่ายๆนักสิ”
“แล้วนางเป็นน้องเจ้าคนเดียวรึยังไง”เพชราหูกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ทั้งสองนี้ก็เป็นพี่ตนทั้งนั้น เห็นเจ็บก็รู้อยู่แล้วแต่ว่าครอบครัวของสหายน่ะไม่สำคัญหรอกเหรอ
“ก็ใช่น่ะสิ”
“เอาอย่างนี้แล้วกัน พวกเจ้าพาบัวแย้มกลับไปพร้อมกับเอาดวงตาของเราไปแทน” ผู้สวมเกราะเหล็กเสนอทางยุติ ในเมื่อต่างฝ่ายต่างใยอมเห็นทีตนต้องสละเองเสียแล้ว
“อย่ามาโง่เง่าให้มันมากหน่อยเลยเจ้าน่ะ” เขาค้านอย่างไม่พอใจ
“แล้วคนฉลาดทำอะไรบ้างล่ะ ไม่ยอมคืนก็ต้องหามาให้ใหม่นี่ล่ะ”
“ข้อเสนอแรกรับ แต่อีกข้อไม่ เราไม่อยากให้ดวงตาของเจ้ามาทำให้เสด็จแม่เราแปดเปื้อน” เขาต้องการให้ตัวประกันปลอดภัยอยู่แล้ว แต่เรื่องดวงตาถ้าไม่ใช่ของมารดาตนก็ไม่ยินยอมที่จะรับมันเด็ดขาด
“อยากได้นักก็ไปหาเอาเองเถอะ เราถือว่าคืนแล้ว” ปัทมาสน์ฟังความอีกฝั่งอย่างนั้นก็บันดาลโทสะใช้มือขวาขว้างปาดวงตาทั้งสองข้างขึ้นไปยังท้องฟ้ายามราตรีราวกับว่าดวงตาจะไปอยู่รวมกับดวงดาวพวกนั้น เธอไม่รีรอให้อีกฝ่ายตอบโต้รีบเข้ากระโจมของตนในทันที
“รอเราด้วย” บดิศรกับจันทลักษณ์ก็ติดตามเข้าไป ปล่อยให้คนอีกฝั่งฝักใฝ่ไล่หาดวงตาไปก็แล้วกัน
“พวกเจ้า!!” เสียงทั้งสามคนร้องเรียกฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่พอใจครั้นจะบุกเข้าไปยังข้างในก็ไม่ใช่เรื่อง มันจะกลายเป็นการบุกรุกเข้าไปน่ะสิ
“ปฐมยามแล้วพวกเจ้ามาทำอะไรกันที่นี่”พระพุธท่านเข้ามาถามด้วยความห่วงใย กลัวว่าจะเกิดการทำผิดกฎเพราะอารมณ์โทสะจึงเข้ามาดู
“พวกหม่อมฉันมาเจรจาเรื่องตัวประกันกับสิ่งที่ถูกช่วงชิงไปพระเจ้าค่ะ” เพชรราหูทูลต่อเทพท่าน อย่างไรเสียก็เป็นหนึ่งในผู้สังเกตการณ์คงไม่คิดเอนเอียงไปฝ่ายหนึ่งอยู่แล้วจึงทูลให้ทราบไป
“ตัวประกันก็ได้กลับไปแล้ว ส่วนสิ่งที่ถูกช่วงชิง..ควรจะหาวิธีแก้ไขกันต่อไป อย่าเอาใจไปผูกกับพวกเขาให้มาก มีเรื่องอีกหลายอย่างที่ต้องทำ ไม่ใช่เพียงเรื่องของพวกเจ้าอย่างเดียว” ท่านกล่าวเสร็จก็จากไปไม่ได้กล่าวสิ่งใดเพิ่ม เหมือนเขาจะรู้เรื่องดวงตานั่นเป็นอย่างดีแต่อาจเป็นเพราะถือสถานะเป็นกลางจึงไม่สามารถที่จะไปบอกอะไรมากไปกว่านี้ คงต้องรอตามแต่โชคชะตาจะพาไป

“พระองค์ไม่เคยจะคิดถึงหม่อมฉันเลยแม้แต่นิดเดียว พระองค์ทรงคิดถึงแต่ตัวเอง พระองค์ทำเรื่องพวกนี้เพียงเพื่อพระองค์เพียงผู้เดียว” สตรีอันเป็นที่รักต่อว่าเขาอย่างไม่ลดละ เขาผิดนักหรือที่ทำเรื่องพวกนี้
“ไม่อินทราณี เราทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้านะ อินทราณีอย่าไป อินทราณี!!”
-------------------------------------อัพเดตทุกวันอาทิตย์ประมาณ21.30น.นะคะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ สิงหาคม 21, 2022, 09:21:30 PM
สวัสดีค่ะจักรกรดขอแจ้งเลื่อนวันอัพเดตนิยายไปก่อนนะคะ เนื่องจากสัปดาห์นี้ต้องฝึกซ้อมและเตรียมงานสานสัมพันธ์ให้ความรู้กับรุ่นน้องเรื่องการออกค่ายจึงจัดสรรเวลามาให้กับการเขียนนิยายได้อย่างไม่เพียงพอ จักรกรดจึงขอเลื่อนการอัพเดตนิยายไปยังสัปดาห์หน้าแทนค่ะ โดยจะอัพเดตชดเชยในส่วนของสัปดาห์นี้ในวันเสาร์ที่27สิงหาคม และอัพเดตตอนต่อไปในวันอาทิตย์ที่28สิงหาคมตามเวลาเดิมค่ะ ขออภัยในความไม่สะดวกด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ สิงหาคม 27, 2022, 11:57:16 PM
"ทำไมเจ้าถึงปล่อยให้ตัวเองเลือดไหลไม่หยุดแบบนั้น เจ้าควรรักษาให้หายก่อนพักสิ"บดิศรถามสหายด้วยความเป็นห่วง ขืนไม่รักษาบาดแผลเดี๋ยวก็ได้หมดเรี่ยวแรงจนถึงขั้นสิ้นชีพกันพอดี
"บางทีบาดแผลที่เป็นอยู่นี้มันคงจะดีกว่าความรู้สึก...ช่างมันเถอะ" ผู้ที่บาดเจ็บที่แขนซ้ายเลือกที่จะนอนหันหลังให้กับสหายไม่อยากตอบอะไรอีกแล้ว และก็ไม่อยากจะรักษาบาดแผลที่มีอยู่ด้วย
"เจ้าเอาดวงตาที่ชิงมาคืนให้พวกนั้นไปอย่างนั้นเหรอ!!" วัศพลนาคราชที่ได้ยินเรื่องนี้จากผู้อยู่ฝ่ายเดียวกันที่เห็นเหตุการณ์ก็เร่งรุดเข้ามายังที่พักของธิดากำมะลอของตนด้วยความโมโห ในเมื่อตนสั่งแล้วเธอก็ควรที่จะทำตามโดยไม่มีข้อยกเว้นสิ แต่นี่กลับตัดสินใจคืนดวงตาให้แบบนั้น ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่กันแน่
"เสด็จพ่อ นางก็แค่โยนขึ้นฟ้าไปเองนะพระเจ้าค่ะ ไม่ได้คืนดวงตาให้พวกนั้นเลยแม้แต่น้อย" จันทลักษณ์ปกป้องน้องสาวตัวเอง ลำพังแค่เจ็บตัวไม่ยอมรักษาก็แย่อยู่แล้ว ถ้าถูกบิดามาทำร้ายจิตใจเพิ่มอีก คราวนี้เธอคงไม่อยากมีชีวิตต่อเป็นแน่
"แค่โยนขึ้นฟ้าอย่านั้นเหรอ เจ้าเห็นด้วยกับการกระทำของนางรึยังไง"
"พระทัยเย็นก่อนเถอะพระเจ้าค่ะ" เขาต้องช่วยปรามอารมณ์ผู้ที่อยู่ตรงหน้า ไม่แน่ว่าถ้าโกรธจนเกิดอารมณ์ชั่ววูบขึ้นมาทั้งสองที่ไม่ใช่ลูกแท้ๆก็คงถูกสังหารได้ง่ายๆแน่
"เสด็จพ่อทรงคิดว่าหม่อมฉันจะโง่เง่าจนถึงขนาดยอมโยนดวงตาจริงๆขึ้นฟ้าไปเลยเหรอเพคะ"  ปัทมาสน์ลุกขึ้นจากเตียงแล้วจึงใช้มือขวาส่งมอบดวงตาทั้งสองที่ชิงมากับบิดาตน ใครที่ไหนจะคืนให้ง่ายๆในเมื่ออุตส่าห์ลดตัวไปรังแกผู้ที่อ่อนแอเพื่อชิงมา ซ้ำยังถูกฝั่งศัตรูทำร้ายแบบนั้น
"พ่อนึกว่าเจ้าจะใจอ่อนจนไม่ทำตามที่พ่อบอกซะแล้ว" ใจจริงที่กลัวคือวิชาตนจะไม่อาจควบคุมเธอได้อีกต่อไปมากกว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นความสามารถของตนก็นับว่าใช้ไม่ได้เลยน่ะสิ
"ใครจะใจอ่อนกันเพคะ เสด็จพ่อสัญญากับพวกเราสองพี่น้องว่าจะทำเนตรสะกดใจให้ พวกหม่อมฉันก็ต้องเก็บไว้ทำพิธีอยู่แล้ว"
"ดีมาก คืนนี้พ่อจะทำพิธีให้พวกเจ้า แต่เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ พ่อว่าเจ้าควรรักษาสมานแผลให้ดีเสียก่อน ขืนปล่อยไว้แล้วดึงดันจะทำพิธีตัวเจ้าเองจะเป็นอันตรายได้"
"เพคะ"
"พักก่อนสักหน่อยก็ได้ สองยามแล้วค่อยมาทำพิธีที่พลับพลา" ว่าแล้วเขาก็ออกจากกระโจมไปเพื่อเตรียมข้าวของสำหรับพิธีที่จะเริ่มในอีกไม่นานนี้
"เรารักษาแผลให้เจ้าแล้วกัน ดูท่าเจ้าคงไม่มีสมาธิพอจะใช้พลังจากสังวาลย์มารักษาเท่าไหร่นักหรอก"บดิศรไม่รอให้ผู้บาดเจ็บได้โต้ตอบอะไรตนก็ใช้พลังจากเกราะเหล็กช่วยรักษาบาดแผลในทันที
"ขอบใจแต่คราวหลังไม่ต้อง เราไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณใคร" เมื่อสมานแผลได้แล้วเธอก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยคำขอบคุณ แต่ถ้ามีครั้งต่อไปตนก็ไม่สบายใจเหมือนกัน
"หนี้บุญคุณอะไรกัน แต่ถ้าเจ้าจะถือว่าเป็นหนี้บุญคุณแล้วล่ะก็  ครั้งนี้ก็ให้ถือว่าเราตอบแทนที่เมื่อวานนี้เจ้าอุตส่าห์หาข้าวหาน้ำให้เราก็แล้วกัน"
"เจ้าทำใจได้แล้วใช่ไหม เรื่องที่ทุกข์ใจอยู่น่ะ" ชายวันจันทร์ถามสหายดูสักหน่อย นี่ถึงขนาดยอมปล่อยให้นางในดวงใจกลับไปกับศัตรูไม่เก็บไว้ข้างตัวแบบนี้ ไม่ใช่ว่าทำแล้วจะทุกข์กว่าเก่าหรอกเหรอ
"ได้ อย่างน้อยๆปัจจาก็เลือกที่จะมาอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นกับเรา ถึงความจริงข้อนั้นเราจะไม่อยากยอมรับแต่มันก็เป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว"
"แล้วเจ้ายอมปล่อยให้ผู้หญิงที่ชื่อบัวแย้มจากไปง่ายๆแบบนั้น เจ้าไม่เสียดายหรือยังไง ไหนจะเรื่องยอมสละดวงตาอะไรนั่นอีก"เขาอดสงสัยไม่ได้ ทำไมถึงต้องทำแบบนั้นด้วย ทั้งๆที่เป็นฝ่ายได้เปรียบกลับเลือกที่จะยอมเสียเปรียบแบบนั้น
"เราไม่เสียดายหรอก เราคงเสียใจมากกว่าถ้าหากนางมาอยู่กับเราด้วยความไม่เต็มใจ ส่วนเรื่องดวงตาเรา..เราก็พูดไปอย่างนั้นเอง"
"เราเชื่อว่าเจ้าพูดไปอย่างนั้นเพราะคงมีกลอุบายไว้อยู่แล้ว แต่เราว่ามันยุ่งยากไปก็เลยเลือกจะโยนดวงตาปลอมๆนั่นขึ้นฟ้าไปซะเลย" เธอยิ้มภูมิใจในสิ่งที่ได้ทำลงไป
"นักตัดปัญหาให้พ้นตัวจริงๆนะเจ้าน่ะ"
"นิสัยเราก็เหมือนพี่แบบเจ้านั่นล่ะ"
"ฮ่าๆ เห็นเจ้ายิ้มออกเราก็พอใจแล้ว เราขอตัวไปนอนพักสักหน่อยแล้วกัน สองยามเมื่อไหร่เจอกันเมื่อนั้น"
"เราก็ต้องกลับที่พักเราแล้วเหมือนกัน ไว้มาสู้ด้วยกันพรุ่งนี้นะ"  เขาก็ลาสหายไปเช่นเดียวกัน ไม่คิดจะอยู่นอนค้างอ้างแรมในกระโจมของผู้อื่นเขาหรอก
"รู้แล้วน่า" จบประโยคนั้นเธอก็ลงนอนพักผ่อนกายาไป โดยไม่คิดคำนึงถึงคนฝั่งตรงข้ามเลยแม้แต่อย่างใด

"พระโอรสอังคาสทรงลงมือเกินไปแล้วนะเพคะ" บัวแย้มที่อดห่วงผู้ที่ตนผูกพันไม่ได้ก็ได้ต่อว่าคนที่เป็นเจ้าของพระขรรค์เล่มนั้นที่ฟาดฟันลงไปในตัวผู้ที่เธอห่วงยิ่งชีวิต
"เกินไปอย่างนั้นเหรอ แล้วที่พวกนั้นทำกับเสด็จแม่ พระอัยกา พระอัยกีของเราไม่นับว่ามากเกินไปรึยังไงกัน"
"หม่อมฉันรู้เพคะว่าพระโอรสไม่พอพระทัยขนาดไหน แต่ยังไงพระโอรสก็ไม่ควรจะทำแบบนี้กับพระธิดานะเพคะ มันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย"
"แล้วจะให้เราทำยังไง จะให้เรายินดีกับการกระทำของพวกนั้น ยินดีที่ฝั่งพวกเราต้องสูญเสียอย่างนั้นเหรอ สุดท้ายไม่ว่าทางไหนที่เราทำก็ไม่อาจช่วยเหลือทั้งสามพระองค์ได้เลย" เขาเหนื่อยเต็มทนแล้ว  ที่เขาทำใช่ว่าจะสบายใจแต่มันก็ย้อนไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว
"พระโอรส.." บัวแย้มลงนั่งข้างๆลูบหลังอีกคนเพื่อปลอบใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ตัวเองก็ยอมรับว่าตนก็เห็นแก่ความผูกพันมากเกินไปจริงจนเกือบลืมนึกถึงจิตใจผู้ที่อยู่ตรงหน้าว่าเจ็บปวดไม่แพ้กัน อาจจะเจ็บที่ใจกว่าเจ็บจากแผลบาดแผลของฝั่งตรงข้ามเสียด้วยซ้ำ
"เรายอมรับว่าเป็นความผิดของเราเอง เราใจร้อนเกินไป ใจร้อนจนไม่ได้คิดเรื่องที่ทั้งสองถูกมนต์สะกดอยู่ เราทำเกินไปจริงๆ"
"ไม่มีคำว่าเกินไปสำหรับการกระทำของเจ้าหรอก พวกนั้นต่างหากที่ทำเกินไป"เมธาวีเข้าข้างการกระทำของโอรสวันอังคารเห็นว่าสมควรดีอยู่แล้ว
"มีอย่างที่ไหนจะถูกมนต์สะกดได้สมบูรณ์ขนาดนั้น พื้นเพคงไม่ได้ดีเด่นอะไรนักหรอก มันคงกับความต้องการส่วนลึกของสองคนนั้นนั่นล่ะ"
"เราว่าอย่าคิดอย่างนั้นเลย ยังไงสิ่งที่พวกเขาทำก็ไม่รู้เลยว่ามันผิดยังไง เพราะฝั่งนั้นพ่อใหม่เขาก็สอนมาให้ลงมือแบบไม่ต้องลังเลอยู่แล้ว" เพชรราหูไม่อยากให้อีกคนคิดกับพี่ๆร่วมสายเลือดของตนเช่นนั้น ตนรู้ดีว่าถ้าไม่ถูกมนต์สะกดต่อให้เอาชีวิตเข้าแลก ทั้งสองคนนั้นก็ไม่ยอมทำร้ายคนสำคัญของสหายตนเด็ดขาด
"เราเห็นด้วยกับเพชรราหู เรื่องนี้ถ้าไม่ถูกสะกดด้วยมนตราแล้วล่ะก็ สองคนนั้นต้องเลือกไม่ลงมืออย่างแน่นอน" สุริยะเสียใจก็จริงแต่เขาไม่อยากจะถือโทษโกรธเคืองสหายที่ต่างก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตลอดแบบนั้น
"แม่ฟังเรื่องราวจากที่ภูมินทร์เล่าแล้ว แม่ว่าฝั่งนั้นก็น่าเห็นใจไม่น้อยเลยนะลูก ดวงตาของแม่หายไปแล้วก็ให้หายไปเถอะ ยังไงพวกเขาก็คงไม่คิดจะมาช่วงชิงอะไรจากแม่รวมถึงพระอัยกาอัยกีของลูกๆได้อีกแล้ว คิดเสียว่าเป็นเวรกรรมของพวกเราก็แล้วกัน"
"อย่าคิดเช่นนั้นเลยพระเจ้าค่ะ ทุกปัญหาต้องมีทางออก ยังไงลูกก็จะต้องหาวิธีรักษาพระอาการของทั้งสามพระองค์ให้ได้พระเจ้าค่ะ" โอรสวันอาทิตย์ให้คำมั่นสัญญา อย่างไรเสียตนก็จะหาวิธีทำให้ทุกอย่างกลับมาปกติได้อย่างเร็ววัน

"แสงสุรีย์ฟื้นแล้ว ยังดีที่นางไม่เป็นอะไรมาก นางคงจะไม่สบายใจมากในช่วงนี้ก็เลยอ่อนกำลังลงจนสลบไปง่ายๆ" ศุภลักษณ์ออกมาคุยกับภูมินทร์ที่กลับมาเยี่ยมดูอาการสหาย  ลำพังจะให้ห่วงแต่ครอบครัวตัวเองอย่างเดียวก็ไม่ได้ ในเมื่ออีกฝั่งก็แทบจะนอนไม่หลับอยู่เหมือนกัน
"ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่น่ะภูมินทร์ที่บัวแย้มร้องเรียกเราแบบนั้น"จินดาถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ระหว่างที่ตนคอยดูแลพี่คนโตอยู่ไม่ห่าง เหล่าสหายก็ใช้เวลาไปช่วยทางนั้นนานอยู่พอสมควรเลย
"คือว่า.. สองคนนั้นไป..ไปช่วงชิงดวงพระเนตรของเสด็จแม่ เสียงของพระอัยกาและการได้ยินของพระอัยกี" เขาไม่ใช่พวกโกหกเก่งอะไรจึงเลือกที่จะบอกไปตามนั้น ทำเอาเสียผู้ที่ฟังแทบจะล้มทั้งยืน  จนเขาต้องรีบเข้าไปประคองเธอเอาไว้ไม่ให้ล้มไปกับพื้น
"สองคนนั้นทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ เราไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น แล้วตอนนี้ทั้งสามพระองค์เป็นยังไงบ้าง"โอรสวันศุกร์ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่สบายใจ แต่ยังไงก็ไม่ลืมที่จะถามถึงอาการของผู้ที่ถูกทำร้าย
"ทั้งสามพระองค์สูญเสียสิ่งเหล่านี้ก็จริงแต่ว่า ตอนที่สูญเสียกลับไม่ได้เจ็บปวดทรมานอะไร เพียงก็แต่ตกพระทัยที่สูญเสียสิ่งเหล่านี้ไป"
"หมายความว่ายังไง"
"ตอนที่เรากับสุริยะดูพระอาการว่าจะช่วยรักษาความเจ็บปวดทรมานแต่มันกลับไม่มีตรงไหนที่จะเป็นบาดแผลจนเลือดตกยางออกเลยแม้แต่น้อย พอปลอบขวัญทั้งสามพระองค์ได้ทั้งสามพระองค์ก็ไม่มีความทรมานจากบาดแผลอะไรเลย นอกจากจะปวดใจที่ต้องสูญเสียสามสิ่งนั้นไป"
"แปลก ปกติต้องถึงขั้นเลือดตกยางออก หรือว่าพวกนั้นแค่จะข่มขู่ให้กลัวไม่คิดจะลงมืออะไรมากไปกว่านี้" สตรีวันพฤหัสบดีฟังความก็รู้สึกแปลกใจกับเรื่องนี้ หรือว่านี่จะมีเงื่อนงำอะไรแอบแฝงอยู่กันแน่
"ถ้าอิงจากนิสัยของวัศพลนาคราชแล้วล่ะก็นะ ทางนั้นก็ไม่เห็นว่าการรังแกผู้อ่อนแอกว่าจนเลือดตกยางออกเป็นเรื่องน่าภูมิใจตรงไหน ทำให้เกรงให้กลัวตัวเองจนหัวหดมันคงดีซะกว่า ถ้าถึงกับทำร้ายร่างกายขนาดนั้นก็ต้องเป็นผู้มีฝีมือสูสีกับตนถึงจะเหมาะสม"
"แบบนี้ก็เลยส่งผลต่อมายังผู้ที่ถูกสะกดใจด้วยสินะ"
"ถูกต้อง เราคิดว่าเป็นอย่างนั้นล่ะ"
"ทางที่ดีเรื่องนี้อย่าเพิ่งให้แสงสุรีย์รู้เลยดีกว่า แค่นี้นางก็แทบจะเอาตัวเองไม่รอดแล้ว" ศุภลักษณ์ออกความเห็น ยังไงเรื่องนี้ยังไม่ควรให้รู้ในตอนนี้ ให้สภาพจิตใจเข้มแข็งมากกว่านี้ค่อยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ได้รับรู้
"เราเห็นด้วย ถ้าอย่างนั้นเราขอตัวไปตามพี่น้องคนอื่นๆของเราไปเข้าเฝ้าทั้งสามพระองค์ก่อนนะ"
"ดูแลจิตใจของพวกเจ้าให้ดีด้วยนะ อย่าห่วงแต่พวกเราอย่างเดียวเลย" จินดากล่าวกับสหาย ต่อตนไม่สบายใจถึงเพียงใดตนก็ไม่ลืมที่จะห่วงความรู้สึกของเหล่าสหายเช่นกัน
"เราสัญญาว่าจะดูแลจิตใจของเรากับพี่น้องเราให้เข้มแข็ง เจอกันพรุ่งนี้นะ"จบคำกล่าวภูมินทร์ก็จากไป คืนนี้พวกเขาต้องไปอยู่เป็นเพื่อนกับผู้ที่เพิ่งประสบเหตุการณ์เลวร้ายมาเสียก่อน แต่อย่างไรตนก็จะกลับมาเข้าร่วมสงครามทำหน้าที่ในวันถัดไปอย่างแน่นอน


หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ สิงหาคม 28, 2022, 09:50:21 PM
"ชัดเลยว่าพวกนั้นจงใจสร้างสถานการณ์ให้พวกเราหมดกำลังใจที่จะสู้ต่อ" อัญญาณีที่อยู่ในร่างชายหนุ่มจำแลงฟังเรื่องเล่ากล่าวความของสหายจบตนก็กล่าวตามที่ตนคิด ที่ทำกันอย่างนี้คงไม่มีจุดประสงค์อื่นนอกจากจะตัดกำลังใจคนฝ่ายตน
"อีกอย่างหนึ่งบัวคิดคือฝ่ายนั้นต้องการให้เหล่าพระโอรสพระธิดาขัดแย้งกันเองเพคะ เพราะคิดว่าไม่ยังไงก็ต้องปกป้องคนในครอบครัวก่อนจึงเกิดการถกเถียงขัดแย้งขึ้นมาก็เป็นได้เพคะ"
"จริงอย่างที่พวกเจ้าพูด ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้วพวกเราก็ควรที่จะเล่นตามน้ำสักหน่อยน่าจะดีกว่า ถ้าได้ดั่งใจพวกนั้นล่ะก็จะได้หาจังหวะตลบหลังคืนไปบ้างก็ดี"โอรสวันศุกร์ออกความเห็น ถ้าเป็นไปตามความประสงค์ฝั่งตรงข้ามคงได้ใจจนประมาทก็เป็นได้
"เราเห็นด้วย แต่พรุ่งนี้ต้องให้พวกสุริยะรู้เรื่องก่อน ไม่อย่างนั้นอาจจะเข้าใจผิดกันได้"
"เรื่องง่ายๆแค่นี้เองไม่ต้องห่วงหรอก เห็นว่าพรุ่งนี้เทพวิษุวัตจะเสด็จมา เจ้าคิดจะทำอะไรต่อไปดีล่ะ"
"ในเมื่อฝั่งเราระส่ำระส่ายสับสนวุ่นวายอยู่อย่างนี้ จะให้เป็นอยู่เพียงฝั่งเดียวมันยังไงอยู่น่ะสิ" ใจจริงเธอก็อยากจะยื้อเวลาอีกสักหน่อย แต่ถ้าไม่ทำให้ฝ่ายนั้นจิตใจอ่อนแอลงเสียบ้าง เห็นทีฝ่ายเสียเปรียบคงจะเป็นฝั่งตนอย่างเดียว
...........
"หม่อมฉันมาลาเพคะ" อดีตและว่าที่พระชายามาเข้าเฝ้าด้วยท่าทีที่ดูนิ่งเฉย แต่ก็แฝงอารมณ์ขุ่นข้องใจจนผู้ที่ได้พบก็รู้สึกได้ไม่ยาก
"อินทราณีเจ้าจะลาไปที่ใดกัน มีเรื่องอะไรที่ขุ่นข้องหมองใจหรือ ทำไมถึงไม่คิดบอกเราให้แก้ไข จะมาลาหนีหน้ากันเพื่ออะไร"
"เรื่องที่ขุ่นข้องหมองใจ พระองค์เองทรงทราบดี" เธอเบือนหน้าหลบสายตาไม่อยากมองผู้ที่อยู่ตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย
"หมายความว่ายังไงกัน ขืนเจ้ายังดึงดันไม่ยอมชี้แจ้งแถลงไขเช่นนี้ ต่อให้เป็นสวรรค์ชั้นฟ้าก็ไม่อาจคาดเดาจิตใจได้หรอก" เขาเข้าหาสตรีที่รักใกล้ๆ มีเรื่องน้อยใจอะไมทำไมไม่คิดบอกกล่าว จะให้คิดทายก็ไม่ใช่เรื่อง ไม่สู้ให้เจ้าตัวบอกความจริงในใจออกมาเลยดีกว่า
"เป็นเพราะสงครามที่กำลังเกิดขึ้นน่ะสิเพคะ สงครามครั้งนี้ต้องมีผู้ต้องสูญเสียไปเท่าไหร่กันถึงจะได้มาซึ่งสิ่งที่ปรารถนา..เดิมทีหม่อมฉันคิดจะทูลขอพระองค์ให้ยุติเรื่องพวกนี้ แต่หม่อมฉันรู้ดีว่าคงเป็นไปไม่ได้ เพื่อไม่ให้หม่อมฉันมองเห็นเรื่องราวพวกนี้อีกต่อไป เช่นนั้นแล้วหม่อมฉันจึงขอทูลลาพระองค์ไปยังที่ที่มีแต่ความสงบ"
"อย่าคิดเช่นนั้นเลยน้องพี่ เจ้าก็รู้ดีว่าที่ตัวเรานี้กระทำอยู่ก็เพื่อเจ้า  เพื่อที่จะไม่มีใครมาดูถูกดูแคลนเจ้าได้อีก"
"แต่หม่อมฉันไม่ต้องการ สิ่งที่หม่อมฉันต้องการอย่างเดียวคือการได้อยู่อย่างสงบสุข"
"การที่เจ้าจะอยู่อย่างสงบสุขได้ก็ต้องกำจัดเสี้ยนหนามที่มันทิ่มแทงให้มันสิ้นซากเสียก่อน สงครามที่ไหนไม่มีการสูญเสีย ถ้าไม่แลกพวกเราทั้งสองก็ไม่มีวันที่จะอยู่อย่างสงบได้หรอกนะ"
“พระองค์ไม่เคยจะคิดถึงหม่อมฉันเลยแม้แต่นิดเดียว พระองค์ทรงคิดถึงแต่ตัวเอง พระองค์ทำเรื่องพวกนี้เพียงเพื่อพระองค์เพียงผู้เดียว”  เธอฟังคำกล่าวของว่าที่สวามีก็รู้สึกเสียใจ เรื่องนี้เขาตั้งใจทำเพื่อเธอจริง หรือว่าแค่อำนาจศักดิ์ศรีที่กำลังค้ำคออยู่กันแน่ กล่าวเสร็จแล้วเธอจึงรีบลุกขึ้นเดินจากไปไม่หันกลับมามองผู้ที่ตนรักเลยแม้แต่น้อย
“ไม่อินทราณี เราทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้านะ อินทราณีอย่าไป อินทราณี!!” ภาพตรงหน้าที่สตรีอันเป็นที่รักจากไปอย่างรวดเร็วทำให้เทพวิษุวัตร้องเรียกจนลืมตาหลุดออกมาจากภวังค์ที่ตนประสบพบเจอขณะที่นั่งบำเพ็ญเพียรอยู่
"มันต้องเป็นลางบอกเหตุแน่.. อินทราณี เจ้าอยู่ที่ไหน อินทราณี" ถึงแม้เรื่องที่เพิ่งเจอจะไม่ใช่เหตุการณ์จริงแต่ตนก็ไม่อาจวางใจได้ จึงได้รีบออกตามหานางอันเป็นที่รักของตนทันที เผื่อมีเหตุการณ์ใดขึ้นมาจริงๆตนจะได้แก้ไขได้ทัน

ในขณะเดียวกันนั้นเองอันติมะก็ได้เข้ามาหาเจรจาอยู่กับอัญญานีร่างจำแลงนี้อยู่เพื่อยุติหน้าที่ของเธอลงเสีย
"เราขอร้องเจ้าล่ะ ขอให้เราอยู่กับพระองค์ต่อไปไม่ได้เหรอ เจ้าไม่รักพระองค์แล้วก็แค่ไม่ข้องเกี่ยวกันก็พอ"
"เจ้าพูดง่ายจริงๆ เจ้าคิดจะอยู่ในสถานะนี้ไปถึงเมื่อไหร่กัน ยังไงสักวันเราก็ต้องกลับมาเป็นเราตามเดิมอยู่ดี เจ้าก็เป็นเราไปไม่ได้ตลอดหรอกนะ" ใจจริงเธอไม่อยากหักหาญน้ำใจผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นตัวปลอมตัวแทนเท่าไหร่นักหรอก แต่จะให้ใครมาปลอมเป็นตัวเองตลอดชีวิตมันก็ไม่ดีแน่
"เรารู้ว่าเราเป็นเพียงเส้นเกศาของเจ้า แต่ว่าเจ้าก็เอาความเป็นเจ้าความทรงจำต่างๆมาหลอมรวมจนกลายเป็นเรา เราผูกพันกับพระองค์เหมือนเจ้าที่ผูกพันมาตั้งแต่ปางก่อน เรากำเนิดเกิดขึ้นมาแล้วจะให้เราจากไปทั้งที่ใจยังรักแบบนั้นเราทำไม่ได้ เราไม่ได้ไร้หัวใจแบบเจ้า" เธอไม่พูดเปล่าคิดจะเข้าทำร้ายชายหนุ่มที่มาเยือนเข้าให้เสียด้วย เพราะว่าร่างที่ได้มามันไม่ใช้เพียงเกศายังมีพลังงานวิชาบางส่วนที่ตัวจริงส่งมอบมาเพื่อปลอมแปลงกายให้สมจริงที่สุด แทนที่จะใช้ตบตาอย่างเดียวกลับตัดสินใจใช้ทำร้ายตัวจริงเอาเสียได้
"ใช่ เรามันไร้หัวใจ แต่ก็ไม่เท่าเทพที่เจ้าหลงรักบูชาอยู่หรอก ถ้าพระองค์ดีบริสุทธิ์ใจต่อนางอันเป็นที่รักจริงคงไม่มัวคิดไขว่คว้าหาอำนาจและอยู่อย่างสงบสุขไปนานแล้ว" ยังดีที่รับมือได้ทัน เลยทำให้ไม่ได้รับอันตรายใดๆ แม้จะแบ่งวิชาให้ไปก็ใช่ว่าจะยอมให้จนตนไม่มีทางรับมืออะไรเลย
"เจ้าไม่เคยเข้าใจในพระทัยของพระองค์เลย"
"ไม่เคยอยากเข้าใจอยู่แล้ว เจ้าไม่ได้เป็นเราเลยด้วยซ้ำจะไปรู้อะไร"
"เจ้าเป็นใคร!!"เทพวิษุวัตที่เห็นภาพชายหนุ่มตรงหน้ามาระรานว่าที่ชายาของตนก็รู้สึกไม่พอใจ ตนก็ไม่เคยรู้จักกับชายผู้นี้มาก่อนด้วยซ้ำ ทำไมต้องมายุ่งกับคนของตน
"หม่อมฉันเป็นใครไม่เห็นสำคัญเลย แต่เรื่องสำคัญที่สุดก็คือนางผู้นี้จะต้องหายไปตลอดกาล" กล่าววาจาไม่ว่าให้เสียเปล่า เขาได้จับตัวสตรีที่เป็นเป้าหมายของตนพลางใช้กรรไกรทองตัดเข้าที่เกศาของนางผู้นั้นเสีย
"เจ้าจำไว้ว่าเจ้าเป็นตัวแทนเราเพื่อทำงานตบตาเทพวิษุวัตแต่เพียงเท่านั้น เมื่อใดที่เราไม่ต้องการให้เจ้าทำหน้าที่แล้ว เราจะใช้กรรไกรทองตัดผมของเจ้า เท่ากับว่าเจ้าจะหายไปตลอดกาล" ในห้วงสุดท้ายก่อนจะจากไป เจ้าเกศาสาวก็หวนนึกถึงคำที่อัญญานีเคยบอกตนไว้ สุดท้ายตนก็เป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งที่ไร้ความหมายเท่านั้น หากเลือกได้ตนก็อยากเป็นตัวจริงสักครั้งเหมือนกัน
  หลังจากที่อันติมะตัดเกศาของนางลงเพื่อยุติหน้าที่ ร่างกายนั้นก็ถูกไฟแผดเผาไปต่อหน้าต่อตาของเทวาผู้นั้น ความรู้สึกสูญเสียกลับมาเยือนอีกครั้ง นี่เขาต้องจากคนรักอีกแล้วอย่างนั้นหรือ
"หม่อมฉันก็แค่มาทำหน้าที่ที่ควรทำอย่าได้ถือโทษโกรธเคืองเลยนะพระเจ้าค่ะ ถ้าไม่มีนางที่เป็นต้นตอของปัญหาสักคนนึงเนี่ย บางทีพระเนตรพระกรรณของพระองค์คงจะชัดแจ้งพอจะนำไปสู่การพิจารณายกเลิกสงครามที่ก่อความสูญเสียไปเลยก็ได้ ถ้าไม่อยากเสียนางไปเรื่อยๆอย่างนี้แล้วล่ะก็ ทางที่ดีอย่าฝืนโชคชะตาเลยพระเจ้าค่ะ" ทั้งๆที่เพิ่งสังหารคนไปแท้ๆยังมีหน้ามาพูดต่อได้อย่างไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรได้
"เราไม่ไว้ชีวิตเจ้าเด็ดขาด!!" เทพผู้รักษาการแทนพระอินทร์ได้ใช้ขวานเพชรปาเข้าใส่ชายแปลกหน้าคนนั้น แต่เรื่องอะไรเขาจะอยู่ให้เสี่ยงชีวิต เขาน่ะไหวตัวทันอยู่แล้ว จังหวะที่ขวานถูกปามานั้นตนก็ใช้ธำมรงค์ศุภรทำให้ตนหายตัวกลับยังที่พักในทันที
"ชายผู้นี้จะต้องเป็นหนึ่งในฝ่ายนั้นแน่ ..อินทราณี เราไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะตาย นี่จะต้องเป็นอุบายชิงตัวเจ้าไปก่อนแล้วถึงได้จงใจตบตาเรา รอวันพรุ่งนี้เราจะตามเจ้ากลับมาอย่างสมเกียรติ รอเราก่อนนะ" ถึงจะคาดเดาได้ว่าเป็นฝั่งศัตรูแต่การที่ตนไปทวงคนของตนยามวิกาลเช่นนี้คงไม่ดีแน่ ไม่สู้ต่อสู้ให้ชนะแล้วรับนางคืนมาเห็นจะดีกว่า นางไม่ต้องเสี่ยงอันตรายอะไรเลยด้วย
...............
"มัวแต่มุดหัวที่ไหนกันหมด หรือว่าหมดใจจะสู้แล้วกันแน่ ก็อย่างว่าล่ะพวกเจ้ามันไม่ได้เรื่องนี่นา" จันทลักษณ์ที่มารอท่าร้องเรียกศัตรูเมื่อไม่เห็นหน้า แทนที่จะได้สู้ตัวต่อตัวกับพวกที่ฝีมือสูสีกันกลับต้องอดสนุกเสียแล้วหรือนี่
"จะพูดจะจาอะไรก็คิดให้มันดีๆก่อนพูด ใครเขาจะหมดใจไม่สู้ต่อเหมือนสหายเจ้ากัน"จันทราภาออกมาประจันหน้ากับเขาเป็นคนแรก เรื่องเมื่อวานทำไว้แบบนั้นดูท่าฝั่งนั้นจะไม่ได้รู้สึกผิดอะไรเลยสินะ
"ถ้าเจ้าหมายถึงบดิศรล่ะก็ตัดไปได้เลย สหายเราน่ะกลับมามีแรงใจเต็มเปี่ยมแล้ว วันนี้ถ้าต้องการจัดการพวกเจ้า ก็ทำได้ไม่ยากนักหรอก เจ้าเถอะคิดวิธีรับมือไว้แล้วรึยัง ระวังนะจะกลายเป็นผักเป็นปลา แต่ถ้าไม่อยากยุ่งยากก็ยอมเป็นตัวประกันของเราซะ เราจะใช้ความเมตตาปรานีขอชีวิตเจ้าไว้และดูแลเจ้าอย่างดี"
"เจ้าคิดว่าเราจะยอมแพ้ง่ายๆอย่างนั้นเหรอ ต่อให้เราต้องตายเราก็จะตายอย่างสมศักดิ์ศรี"
"ศักดิ์ศรีกินไม่ได้หรอกนะเราจะบอกให้ เสียดายที่เจ้ามีเกราะเป็นอาวุธ ไม่อย่างนั้นเราจะทำให้เจ้ารู้ว่าอาวุธใดที่มีพลานุภาพทำลายชีวิตที่หยิ่งผยองอย่างเจ้าได้" ถึงอยากจะต่อสู้ด้วยขนาดไหนก็ต้องเคารพกฎเกณฑ์ไปเสียก่อน รอครบเก้าวันตนจะจัดการดั่งที่คิดไว้แน่
"เราบอกเจ้าแล้วใช่มั้ยว่าไม่ใช่ความผิดของสองคนนั้น!! เจ้ามันไร้เหตุผลที่สุด!!" เสียงดังเอะอะดังมาจากกระโจมจนสุดท้ายเจ้าของเสียงก็ได้ออกมาพร้อมกับคนที่ต่อล่อต่อเถียงกันอยู่
"เราไร้เหตุผลเหรอ คนที่แย่งเอาสื่อสัมผัสไปแบบนั้นเจ้าคิดว่ามันไม่ใช่ความผิดได้ยังไงกัน!!" ศนิวารตอบโต้ขึ้นเสียงใส่เพชรราหูที่เอาแต่แก้ต่างให้กับพวกพี่ๆตน
"เราว่าไม่ผิดก็ไม่ผิดสิ"
"เราว่าผิดก็คือผิด ในเมื่อเจ้าเห็นดีเห็นงามด้วยแบบนี้แสดงว่าเจ้าต้องการจะเป็นพวกเดียวกับพวกนั้นใช่มั้ย"
"ใช่หรือไม่เจ้าคิดไม่เป็.."ไม่ทันจบประโยคก็โดนหมัดสวนเข้าให้ในทันที ทีนี้ล่ะคนฝั่งเดียวกันมาวางมวยต่อหน้าศัตรูเข้าให้แล้ว
"เอาเลยต่อยกันให้ตายไปเลย !!" โอรสวันจันทรร้องส่งเสียงให้กำลังใจอย่างสนุกสนาน นึกๆไปก็ขำพิลึกที่ศัตรูมาตีกันต่อหน้าตัวเองแบบนี้
"ไม่ต้องออกแรงแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ" เขาภูมิใจเหตุการณ์ที่เกิดตรงหน้า ดีแล้วที่ไม่ต้องออกแรงให้ศัตรูปะทะกันเองแบบนี้ล่ะดี ต่อไปก็คงหมดเสี้ยนหนามแบบไม่ต้องลงแรงอะไรเลย
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กันยายน 04, 2022, 10:14:52 PM
"พวกเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ อย่าทะเลาะกันเองสิ!!"จันทราภาเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าก็ไม่รีรอที่จะร้องห้ามปรามคนฝ่ายตนให้หยุดการกระทำนั้นลงเสีย เวลานี้ควรทำอะไรทำไมไม่รู้จักแยกแยะเอาเสียเลย
"ให้เพชราหูโดนซะบ้างก็ดี พูดแก้ต่างให้สองคนนั้นทั้งคืน แถมยังโทษบัวแย้มอีกว่าไม่ดูแลให้ดีอีก คนแบบนี้ถ้าไม่สั่งสอนต่อไปก็ต้องพูดพล่ามไม่หยุดแน่" ประกายพฤกษ์พูดค้านไม่ให้พี่หญิงของตนเข้าไปห้ามโดยอ้างเหตุผลจากความไม่พอใจนั้น คนแบบนี้ถูกหมัดอัดเข้าให้ก็ดีโดนสักทีจะได้หลาบจำ
"เราเห็นด้วย ในเมื่อเขาไม่ยอมให้คิดเอาคืนสองคนนั้นก็ให้พวกพี่น้องที่เหลือรับกรรมไปแทนก็แล้วกัน" พุทธรัตน์เจ้ามาสมทบ ปล่อยให้สองคนนั้นแลกหมัดกันไปไม่คิดจะปราม
"อย่างนี้มันไม่ถูกต้องนะ พวกเจ้าปล่อยให้ทำร้ายกันแบบนี้ก็เท่ากับช่วยฝั่งศัตรูกำจัดพวกเรากันเอง" สตรีวันจันทร์พูดสิ่งที่คิดออกมา ซึ่งมันก็เป็นความจริง ขืนยังทำอย่างนี้ต่อไปฝั่งตนนี่ล่ะที่จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
"ไม่หรอก ถ้าเพชราหูสำนึกเร็วเราก็รับรองได้เลยว่าทั้งเพชรราหูและศนิวารต้องหยุดแน่นอน" สตรีวันพุธฟังความก็พอรู้ในความคิดของผู้กล่าวประโยคก่อนหน้าอยู่ แต่ยังไงตนนั้นก็ยังคิดว่าผู้ที่ลงมือไม่เล่นกันถึงชีวิตหรอก ขอแค่สำได้ก็ถือว่าจบ
"แต่ว่า..."
"อย่ามัวแต่เสียเวลาถกเถียงกันนักเลย ใครใคร่สู้กันเองก็ให้เขาสู้ไป ใครใคร่สู้กัยเราก็เข้ามาอย่าชักช้าลีลา"  คนตรงข้ามเริ่มที่จะไม่สนุกเท่าไหร่แล้วกับสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ การที่ตนไม่ได้ลงมืออะไรเลยมันช่างรู้สึกขาดหายอย่างบอกไม่ถูก ถ้าขืนปล่อยให้พวกนั้นไม่สนใจตนต่อไปคงลงแดงตายเพราะไม่ได้ลงมือแน่ อย่างนี้จะไปเอาผลงานที่ไหนอวดเทวาวิษุวัตได้กันว่าตนพิชิตฝั่งตรงข้ามด้วยฝีมือตัวเอง
"เจ้าควรค่าให้สู้นักรึยังไง คนอย่างเจ้าก็ดีแต่ลอบทำร้ายคนอื่น"พระธิดาวันศุกร์ตอบถ้อยคำกลับไป ตนนั้นไม่อยากมาประลองฝีมือกับคนแบบนี้หรอก เพราะไม่สูสีกับตนเลยสักนิด
"ช่วยไม่ได้คนของเจ้ามันไม่มีปัญญาสู้เอง ไม่อย่างนั้นคงไม่ต้องสูญเสียเสียง การได้ยิน รวมถึงดวงตาไปง่ายๆหรอก" ในเมื่อชวนธรรมดาไม่มาก็เล่นประเด็นที่เกิดขึ้นเมื่อวันวานเห็นจะดีกว่า ฝั่งตรงข้ามจะได้มีน้ำโหมาสู้กับตัว
"เจ้า!!"สตรีทั้งสามเรียกพลางชี้หน้าคนที่กล่าววาจาเมื่อครู่อย่างไม่พอใจ มันใช่เรื่องที่จะมาพูดด้วยสีหน้าเย้ยหยันเช่นนั้นหรือ
"โมโหโกรธาเราแล้วล่ะสิ อย่างนั้นก็เข้ามาระบายความโกรธให้เต็มที่ จะใช้หมัดใช้มวยกับเราก็ไม่ผิดกฎอะไรอยู่แล้ว" จริงอย่างที่เจ้าตัวว่า ถึงจะมีกฎกำหนดว่าห้ามใช้อาวุธต่างประเภทสู้กัน แต่ไม่มีข้อไหนที่ห้ามไม่ให้ใช้เชิงมวยเข้าสู้
"เจ้าคิดจะสู้กับแค่หมัดมวยเองหรอกเหรอ ทางที่ดีเจ้ามาสู้กับเราดีกว่า" ศุภลักษณ์ที่ออกมาจากกระโจมหลังจากเตรียมตัวเสร็จได้ยินคำกล่าวท้าของจันทลักษณ์เข่นนั้น ตนหรือจะอยู่เฉยได้
"เจ้ายุ่งอะไรด้วย" ประกายพฤกษ์เห็นพวกเดียวกับเพชราหูก็ไม่สบอารมณ์ดท่าไหร่นัก
"ทำไมจะยุ่งไม่ได้ล่ะ ในเมื่อเพชราหูผิดจริงตามที่เจ้าว่า เราก็ควรจะรับผิดชอบด้วยจริงไหมล่ะ แล้วคนที่ต้องถูกจัดการก็เป็นจันทลักษณ์กับปัทมาสน์อยู่แล้ว"
"คนที่จะถูกจัดการต้องเป็นเจ้าต่างหาก" คนฝั่งตรงข้ามได้ยินคนกล่าวว่าตนต้องถูกกำจัดมีหรือที่จะพอใจได้
"แน่จริงก็เข้ามาก่อนเลย" โอรสวันศุกร์ร้องท้าให้เข้าหาก่อนอย่างนี้ โอรสจอมปลอมของวัศพลนาคราชก็ไม่รีรอให้สิ้นเสียเวลาเปล่าจึงได้เร่งฝีเท้ามุ่งเข้ากะจะทะลวงตรงท้องตรงไส้อีกฝ่ายให้ได้รับความเจ็บปวด แต่อีกฝั่งก็รู้หลบรู้หลีกเพราะก็ชินกับการต่อสู้ของพี่ชายตนพอตัว
"อย่าเอาแต่ชกต่อยสิ พวกเราควรจะใช้อาวุธสิถึงจะถูก"
"พูดได้ดี" จบประโยคทั้งคู่ก็นำสังวาลย์มาถือไว้ในมือแล้วจึงปล่อยพลังปะทะกันไปมาจนเกิดทะเลเพลิงลุกไปทั่วบริเวณที่ต่อสู่กัน
"ระวังตัวด้วยนะศุภลักษณ์" ประกายพฤกษ์ร้องบอกคนในกองเพลิงด้วยความเป็นห่วง ไม่คิดเลยว่าเขาจะยอมปะทะกับพี่ตัวเองด้วยอาวุธหลักตรงๆแบบนี้ ยังดีที่ที่นี่เป็นสนามรบที่ถูกร้างมาเพื่อทำการรบโดยเฉพาะจึงไม่ลามไปสร้างความเดือดร้อนให้พวกสิงสาราสัตว์ผู้บริสุทธิ์เหมือนเมื่อคราวก่อน
"เล่นละครดีหนิ แต่ยังไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่เลยนะพวกเจ้าน่ะ" ปัทมาสน์ที่ไปสู้ที่อื่นมาเพิ่งจะปลีกตัวมาสมทบคนของตนก็เห็นเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าเช่นนั้นก็อดทุกทายไม่ได้ ฝ่ายตรงข้ามสู้กันน่ะมันปกติดีอยู่ แต่ที่ตีกันทั้งๆที่ฝั่งเดียวกันมันดูฝืนจนน่าขำ
"ในที่สุดเจ้าก็มา เมื่อคืนที่เจ้าว่าคืนดวงตาเจ้าไม่ได้พูดจริงทำจริงเลยด้วยซ้ำ" เมธาวีกล่าวเมื่อการรอคอยได้เสร็จสิ้นลง ตัวเธอเฝ้ามองเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดแต่ก็ไม่คิดที่จะห้ามอะไร เพราะผู้เดียวที่เธอสนใจคือนางยักษ์ตนนี้ต่างหาก
"แล้วใครขอให้พวกเจ้าโง่เง่ามาหลงเชื่อการกระทำของเรากัน ถ้าเจ้าโกรธเราก็อย่ามัวแต่เก็บความไม่พอใจไว้สิ"
"เราไม่คิดเก็บไว้อยู่แล้ว" ว่าแล้วธิดาวันเสาร์ก็เข้าประชันฝีมือกับเป้าหมายตนทันที เรื่องพวกนี้ตนไม่อยากให้เกิดซ้ำอีกแล้ว ต่อให้ต้องแลกชีวิตของพี่ๆตนก็ตามที
"เจ้าคิดว่าลูกไม้สู้จนเกิดทะเลเพลิงจะทำอะไรเราสองพี่น้องได้อย่างนั้นสิ"โอรสวันจันทร์กล่าวกับอีกฝ่ายขณะที่ดวงตาประสานกับศัตรูเข้าให้อย่างจััง
"เพวกจ้าคิดจะเผาพวกเราให้ตายในกองเพลิงพวกนี้มันง่ายมากเลยเหรอ หรือคิดจะตายไปด้วยกัน" ธิดาวันอังคารก็พูดกับคู่ต่อสู้ตนด้วยเช่นกัน
"ใครจะบ้าไปตายกับพวกเจ้ากันล่ะ" โอรสวันศุกร์ได้ทีถีบคู่ตนเพื่อหาจังหวะผละตัวออกมาจากกองเพลิงจนคลาดจากสายตาที่จับจ้องของจันทลักษณ์ไป
'เมธาวีออกมาเร็วเข้า"
"เจ้าขี้ขลาดตาขาวจนคิดจะตามพี่ายเจ้าไปเลยรึไง นิสัยเจ้าไม่ต่างกับพ่อของเจ้าเลยสักนิด"
"เราไม่ได้ขี้ขลาดตาขาวนะ เสด็จพ่อก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น!!"สตรีวันเสาร์จ้องตาคู่ต่อสู้อย่างไม่พอใจในสิ่งที่ได้ยิน ตนไม่ใช่พวกเจ้าเล่ห์แบบคนที่ออกไป จะให้มาเย้ยแบบนี้ตนก็ทำเป็นหูทวนลมไม่ได้หรอก
"อ้อเหรอ งั้นก็พิสูจน์ความกล้าหน่อยเป็นไง..ตายให้เราดูสิ ตายไปต่อหน้าเราแล้วเราจะยอมรับว่าเจ้ามันกล้าหาญกว่าใครๆ" เธอไม่พูดปล่าวดวงตาข้างซ้ายที่จับจ้องฝ่ายตรงข้ามก็แสงประกายราวกับอัญมณีที่ต้องแสงเข้าบีบคั้นสะกดจิตใจของอีกฝ่ายทำตามที่ตนประสงค์
"ได้ เราจะตายให้เจ้าดู" ถึงจะรู้ว่าดูโง่เง่าที่ทำตามคำพูดของศัตรู แต่เหมือนว่าตัวเธอจะควบคุมตัวเองให้ไม่สนใจคำของอีกฝ่ายไม่ได้เลย ในห้วงความคิดก็คิดแค่ว่าถ้าหากไม่ตายล่ะก็ฝ่ายตรงข้ามตนนั้นต้องเย้ยหยันตนจนขาดใจตาย อย่างนั้นแล้วไม่สู้ลงมือเองจะเสียศักดิ์ศรีน้อยกว่าหรอกหรือ
ฝ่ายผู้ใช้มนตรานั้นรู้สึกพอใจกับสิ่งที่เกิด ไม่คิดเลยว่าใช้ครั้งแรกก็ส่งผลต่ออีกคนได้แบบนี้ ถึงแม้จะควบคุมใจไม่ได้เต็มร้อย แต่ก็คอยก่อกวนใจให้ว้าวุ่นได้ไม่น้อยเลย
"เมธาวี อย่าทำแบบนั้นเด็ดขาดนะ" ศนิวารวิ่งเข้ากองไฟอย่างเร่งรีบเพราะได้ยินประโยคนั้นจากปากสหาย ตนหรือจะสบายใจได้ ยังดีที่กริซที่กำลังจะปักกลางใจสตรีวันเสาร์ถูกมือเขายื้อไว้ได้ทัน
"ไม่ต้องมาห้ามเรา" เธอขัดขืนคนที่ห้ามอย่างรุนแรง ไม่ว่ายังไงเธอก็จะแทงตัวตายให้ได้
"เป็นตัวเองหน่อยสิ อย่าไปเชื่อคำสั่งของนาง"
"อย่ามายุ่ง" เธอใช้ตัวกระแทกอีกคนจนถลาไปห่างจากตนพร้อมที่จะแทงตนให้ตายอีกครั้ง โอรสวันเสาร์ไม่ยินยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้นเด็ดขาด ในช่วงที่แทบจะไม่ทันนนั้น เขาเข้าอ้อมโอบด้านหลังสหายและสละมือของตนกันรับกริซที่กำลังจะแทงลงใจของเธอ ไม่นานร่างที่ถูกแทงก็สลายหายไปในพริบตาราวกับว่าในที่แห่งนี้ไม่เคยมีคนที่ชื่อศนิวารมาก่อน
"ศนิวาร!!" เมธาวีร้องเรียกสหายดังลั่น ตนนั้นลืมสิ้นแล้วซึ่งเรื่องความคิดสังหารตน สิ่งที่ปวดใจที่สุดไม่ใช่การตายอย่างทรมานใจแต่เป็นการสูญเสียสหายไปตลอดกาลโดยไม่ทันได้ลาต่างหาก
"ไม่จริง เป็นไปไม่ได้" พุทธรัตน์ที่ยิงศรดับไฟได้พบเหตุการณ์ที่น้องชายตนสลายไปกับตาก็ำใจไม่ได้ เรื่องมาถึงขั้นนี้ได้ยังไงกัน
"อย่างนี้แหละถึงจะเป็นของจริง ที่คนฝั่งเดียวกันฆ่ากันจริงๆ" รอยยิ้มสะใจของผู้ใช้เวทย์ไม่มีแม้แต่ความสะทกสะท้านอะไร เพราะสิ่งที่เกิดนั้นตนตั้งใจ ที่แสร้งทำทะเลาะกันนั่นมันไร้สาระ อย่างนี้สิที่ตนต้องการให้เกิด
"เจ้าหาจังหวะได้ดีนี่ เสียดายเราเสียท่าเสียจังหวะให้คนวันศุกร์นั่นจนได้"
"ไว้โอกาสหน้าค่อยลองใหม่ก็ไม่สาย มีเวลาให้สนุกเยอะแยะไป"


หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กันยายน 11, 2022, 07:26:07 PM
สวัสดีค่ะท่านผู้อ่านทุกท่าน จักรกรดขอแจ้งงดอัพเดตนิยายไปก่อนนะคะและจะกลับมาอัพเดตตอนต่อไปในช่วงปิดเทอมค่ะ เนื่องจากจะต้องเตรียมความพร้อมในการสอบเก็บคะแนนรวมไปถึงการสอบปลายภาคด้วย ซึ่งเหลือเวลาอีกไม่นานแล้ว จึงไม่มีเวลาในการเขียนนิยายต่อให้คืบหน้ากว่าเดิม จักรกรดจึงขอพักการเขียนเรื่องนี้ไปก่อนนะคะ เมื่อจัดสรรเวลาให้มีช่วงที่ว่างได้แล้วจะกลับมาเขียนต่ออย่างแน่นอนค่ะ โดยจักรกรดจะกลับมาอัพเดตนิยายอีกครั้งในวันอาทิตย์ที่16ตุลาคม2565เวลา21.30น.ค่ะ ต้องขออภัยในความไม่สะดวกด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ตุลาคม 16, 2022, 09:23:25 PM
จักกรดขอเลื่อนเวลาในการอัพเดตนิยายไปก่อนนะคะ เนื่องจากโน้ตบุ๊กที่มีเนื้อหานิยายที่แต่งเนื้อหาเพิ่มนั้นได้ส่งซ่อมอยู่ค่ะ หากซ่อมเสร็จได้รับเรียบร้อยแล้วจะรีบนำเนื้อหามาอัพเดตนะคะ ขออภัยในความไม่สะดวกด้วยนะคะ