ยินดีต้อนรับสู่บ้านอบอุ่นของคนรัก บอย สพล ชนวีร์

:::FICTION ZONE :::นวนิยาย มุมนักเขียน => มุมนักเขียน => ข้อความที่เริ่มโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 26, 2015, 11:38:38 PM

หัวข้อ: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 26, 2015, 11:38:38 PM
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเกราะกายสิทธิ์กับสังวาลย์มณีมาอยู่ในเรื่องเดียวกัน ........
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 27, 2015, 12:14:25 AM
ก่อนอื่นก็ขอฝากเรื่องนี้ด้วยนะคะ  เป็นนักแต่งมือใหม่แฮะๆ  ถ้ามีการใช้ภาษาผิดก็ขออภัยด้วยนะคะ มีอะไรแนะนำติเตียนได้คะ

แนะนำตัวละครหลัก
ฝั่งเกราะกายสิทธิ์= สุริยะ/ จันทราภา/ อังคาส/พุทธรัตน์/ภูมินทร์/ประกายพฤกษ์/ ศนิวาร
ฝั่งสังวาลย์มณี=แสงสุรีย์/จันทลักษณ์/ปัทมาสน์/เพชรราหู/จินดา/ศุภลักษณ์/เมธาวี
ตัวร้าย= เทพวิษุวัติ/ อัคนิน/บดิศร/ฉันทนา/ ลีลาวดี

และที่แน่ๆขาดไม่ได้เลยก็คือ ตุ้บเท่งกับจั๊กกะแหล่น
เนื้อเรื่องจะเป็นเช่นไรนั้นต้องติดตาม!!
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 27, 2015, 11:05:06 AM
ณ เมืองรัตนบุรี พระมเหสีฝ่ายขวาได้ประสูติกาพระโอรสซึ่งใช้เวลานานถึง7วัน7คืน ตลอด7 วัน7คืนนี้ได้เกิดเหตุฝนตกหนักมรสุมโหมกระหน่ำเมืองรัตนบุรี ทำความเสียหายเป็นอย่างมาก แต่ที่น่าตกใจนั่นก็คือพระโอรสที่ออกมานั่นพระหัตถ์หงิกงอพรโอษฐ์บิดเบี้ยวน่าเวทนายิ่ง พระราชาก็ทรงกริ้วเป็นอย่างมากแต่โหราได้ห้ามไว้พร้อมบอกว่าในกาลอันหน้าพระโอรสจะทำคุณยิ่งใหญ่ให้แก่เมืองอย่างแน่แท้จึงไม่ไดัทำโทษอันใด.  จนเวลาผ่านไป 9 ปี  พระโอรสได้เจริญพระชันษาขึ้น ก็ยิ่งน่าเวทนาจะไปไหนมาไหนก็ลำบากซ้ำยังไม่มีพระสหายสักคนเดียว แล้ววันไหนโชคร้ายก็จะมีพระโอรสนามว่า"บดิศร" มากลั่นแกล้งสารพัด วันนี้ก็คงโชคร้ายอีกเช่นกัน
"ไอ้ง่อยอยู่ที่ไหนออกมาเดี๋ยวนี้นะ"
"มีอะไรกับเราอีกบดิศร " พระโอรสพูดด้วยความยากลำบาก
" เจ้ามันเป็นไอ้ง่อยที่น่าแกลังที่สุดในชีวิตข้า ฮะๆฮ่า" พระโอรสบดิสรได้ผลักพระโอรสคนโตจนล้มลงแล้วเอาเท้าเหยียบที่กลางอก
"เจ้าจะทำอะไรลูกเรา" พระมเหสีสไบทองเข้ามา รีบตรงไปที่พระโอรส
" ทำไมเจ้าต้องรังแกลูกของเราด้วย ลูกเราผิดอะไร"ทรงเข้ากอดพระโอรสที่กำลังร้องด้วยความเจ็บปวด
" พระมเหสีไสบทองก็น่าจะรู้ดีนะเพคะว่าพระโอรสทรงเป็นอย่างไร ตั้งแต่ประสูติจนบัดนี้บ้านเมืองแห้งแล้งไปหมดไม่ใช่หรอกหรือเพคะ" พระมเหสีสไบแก้วพระมารดาของพระโอรสบดิสรเดินเข้ามาพูด
"สไบแก้วทำไมเจ้าว่าหลานแบบนี้ได้"
" ก็คือความจริงนี่เพคะ ออกไปกันเถอะบดิศรแม่ว่าอยู่ที่นี่นานๆจะติดอะไรที่ไม่ดีไปก็ได้นะ"
" พระเจ้าค่ะเสด็จแม่" ทั้งสองพระองค์ทรงจากไปพร้อมทิ้งคำเสียดสีไว้ในใจของพระโอรส
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 27, 2015, 11:50:48 AM
พระราชาเกิดระแหงแคลงใจว่าจนป่านนี้แล้วเหตุุใดปัญหาบ้านเมืองแห้งแล้งจึงมีมายาวนานเช่นนี้ จึงได้เรียกโหรมาเข้าเฝ้าเพื่อไต่ถามและทำนายดวงชะตา
" ท่านโหรจนป่านนี้แล้ว บ้านเมืองยังแห้งแล้งอยู่เพราะเหตุใดกัน  ดวงชะตาบ้านเมืองเป็นอย่างไรทำไมถึงโชคร้ายเช่นนี้"
" เหตุนี้เป็นความผิดพลาดของโหรคนก่อนพระเจ้าค่ะ"
" ผิดพลาดอะไร"
"ที่ทำนายว่าพระโอรสจะทำคุณอันยิ่งใหญ่แก่บ้านเมือง แต่จึงๆแล้วดวงชะตาของพระโอรสนี่เองพระเจ้าค่ะที่ทำให้บ้านเมืองเป็นเช่นนี้"
" เป็นความจริงหรือ"
" จริงแท้แน่นอนพะยะค่ะ"
"เจ้าทั้งสองออกไปจากนอกเมือง อย่าได้กลับมาอีก" ทรงมองมายังพระมเหสีสไบทองและพระโอรส
" องค์เหนือหัวเพคะ สุริยะไม่ได้ทำอะไรผิดนะเพคะ ทรงไตร่ตรองอีกทีด้วยเพคะ"
" เราไตร่ตรองดีแล้วไปเถอะ"
"เสด็จพ่อพะยะค่ะ"พระโอรสพูดด้วยความยากลำบากในน้ำเสียงมีปนสะอื้น
" ข้าบอกให้พวกเจ้าไปก็ไปสิ!!!!!!"
"องค์เหนือหัว"
" ทหารเอาสองคนนี้ออกไปอย่าให้ข้าหน้าอีก!!!!"
"พระเจ้าค่ะ" ทหารรับคำสั่งเอาทั้งสองพระองค์ออกจากนอกวังไป
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 27, 2015, 12:55:55 PM
พระมเหสีสไบแก้วได้สั่งให้อำมาตย์ตามไปสังหารทั้งสองพระองค์ในป่า ได้เกิดการไล่ล่ากันจนสุริยะไปต่อไม่ไหวได้ล้มลงไปแล้วอำมาตย์ทั้ง2ก็ตามมาทัน
" พวกท่านอย่าทำอะไรเรากับลูกเลย ปล่อยเรากับลูกไปเถอะนะ"สไบทองอ้อนวอนขอร้องอำมาตย์ทั้งสอง
" ถ้าไม่ทำข้าก็หัวขาดหละสิ " อำมาตยง้างดาบขึ้นจะฟัน  จากนั้นเองก็มีตัวประหลาดมากระโดดถีบอำมาตย์ทั้งสองเข้าอย่างจัง แล้วก็ได้พาทั้งสองพระองค์เข้ามาในถ้ำ
"พวกเจ้าไม่เป็นอะไรแล้วนะ" ตัวประหลาดท่าทางเหมือนเป็นหัวหน้าพูดขึ้น
" พวกท่านเป็นใครกัน" สไบทองถามด้วยความตื่นตระหนกตกใจ
"พวกข้าคือราชสีห์ ข้าอยู่มาหลายปีเพื่อรอพวกเจ้า "
" ราชสีห์หรือ แล้วพวกท่านรอพวกเราทำไมกัน"
" ข้าก็จะให้สิ่งวิเศษสิ่งหนึ่งแก่ลูกเจ้า มันคือกำหนดของฟ้าดิน. " จากนั้นก็ไปนำของวิเศษออกมา
" สิ่งนี้คือเกราะกายสิทธิ์"
" เกราะกายสิทธิ์!!"
" ให้ลูกเจ้าสวมสิ" จากนั้นสไบทองก็ได้นำเกราะมาสวมให้สุริยะก็ได้เกิดอัศจรรย์ สุริยะไม่มีรูปร่างพิการเข็ญใจกลายเป็นเด็กที่มีสง่าราศีน่าเกรงขาม
"เสด็จแม่"
" สุริยะ ลูกแม่ เจ้าไม่เป็นเหมือนก่อนแล้ว" สไบเข้ากอดลูกด้วยด้วยความปลื้มปิติ
" เจ้าจะไม่ได้มีลูกคนเดียวแล้วเจ้าจะมีลูก7คนหมุนเวียนพลัดเปลี่ยนกันไป อ้อพวกเจ้าควรไปที่ที่ดีกว่านี้เถอะ"
" ขอบคุณท่านราชสีห์"
"ขอบคุณท่านลุงราชสีห์"
"พ่อ ข้าขอไปกับเกราะกายสิทธิ์นะ"
"ไม่ได้"
"ทำไมจะไม่ได้เกราะนี่เป็นของเรานะ"
"เจ้าไปก็มีแต่ปัญหา พวกเจ้าไปเถอะนะ"
"ขอลาท่านราชสีห์"
" ขอลาท่านลุงราชสีห์"
"โชคดี'.    ทั้งสองเดินทางในป่าดงพรงไพรกันต่อเพื่อไปพึ่งบารมีท้าวทิศพล. จนถึงเวลารุ่งขึ้นเป็นอีกวันปรากฎเด็กน่าตาน่ารัก
"ลูกมีนามว่าจันทราภาเพคะ"
"นามของเจ้าเพราะจริงๆเลยนะ"สไบทองยิ้มแล้วลูบหัวลูกด้วยความรักและเอ็นดู ในขณะที่เดินทางไปก็เจอสิ่งหนึ่งกระโดดตัดหน้าเข้า


หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 27, 2015, 06:01:58 PM
"จ๊ะเอ๋ แฮ่!!"  ปรากฏร่างอันคุ้นเคยขึ้น
" เจ้ามาได้ยังไงกันพ่อเจ้าไม่ให้มาไม่ใช่เหรอ"
"พ่อข้าไม่ให้มา ข้าก็หนีมาได้ ที่สำคัญเกราะนี่ก็เป็นของข้าด้วย"
"เกราะนี่เป็นของลูกเรา ฟ้าดินก็กำหนดมาให้  เจ้าไม่มีสิทธิ์"
"เจ้านี่ ฮื่อ!!" ง้างมือขึ้น
"อย่าทำอะไรเสด็จแม่นะ!!!"
" คิดว่าเจ้าเก่งนักหรือไงกัน"
"เก่งไม่เก่งเราไม่รู้แต่ทำร้ายเสด็จแม่เราไม่ยอม"
"ฮ่าๆฮะฮ่ะ อะอะไรเนี่ย"  แล้วก็เกิดแผ่นดินก็เกิดสั่นไหว จนภูเขาเริ่มทลายลงมา
"เกิดอะไรขึ้น"
"รีบหนีก่อนเถอะเพคะ"จันทราภาพาสไบทองหนีเหล่าภูเขาที่ถล่มถลายพังลงมา
"ช่วยข้าด้วย!!!" ตุ๊บเท่งขอความช่วยเหลือหลังจากโดนหินและก้อนดินทับร่างไว้  จากนั้นจันทราภาก็ได้เข้าไปช่วยจนออกมาได้ แต่แล้วก็เจอกับหิ่วห้อยยักษ์ตาสีแดงก่ำออกมา
" หนีเร็ว!!!!" ทั้งสามได้วิ่งหนีจนสไบทองล้มลงไปต่อไม่ไหว
" เสด็จแม่"
" จันทราภาหนีไป อย่าห่วงแม่"
" ไม่เพคะ" จนกระทั่งหิ่งห้อยตามมาทัน
"เราจะไม่ยอมให้เจ้าตามล่าเราอีกแล้ว"จันทราภาลุกขึ้นประจันหน้ากับหิ่งห้อยยักษ์ ทันใดนั้นก็เกิดแสงสีบุษราคัมประกายออกมาสาดส่องหิ่งห้อยยักษ์  จนตกลงมานอนกับพื้น จันทราภาเข้ามาดูและลูบที่ตัวหิ่งห้อย
"จันทราภาระวังนะ"
"เพคะ"
"โอย~"  มีเสียงดังขึ้นมาจากหิ่งห้อย
"เป็นอะไรไหม"
" นี่เราเป็นอะไรไปนี่"
"หน๋อยๆ เจ้าอย่ามาทำไขสือหน่อยเลย เจ้าจะฆ่าพวกเราอยู่ทนโธ่"
"เกราะกายสิทธิ์สุดท้ายก็เจอแล้วผู้สวมใส่เกราะกายสิทธิ์"
" มีอะไรเหรอ"
" ขอติดตามพระธิดาด้วยได้ไหมพระเจ้าค่ะ"
" เจ้ารู้ด้วยเหรอว่าลูกเราเป็นใคร"
" รู้พระเจ้าค่ะพระมเหสีสไบทอง"
" ขอเรียกพี่หิ่งห้อยได้ไหมจ๊ะ"
"ได้อยู่แล้วพระเจ้าค่ะ"
" นี่ก็เย็นแล้ว เราไปหาที่พักกันดีกว่า"
"เพคะเสด็จแม่"
" หิ่งห้อยจะพาไปพระเจ้าค่ะ" เมื่อถึงที่พักก็ไต่ถามว่าเหตุใดถึงเป็นหิ่งห้อยร้ายไปได้ หิ่งห้อยก็ได้เล่าให้ฟัง จนถึงยามกลางคืนทุกคนก็หลับกันหมด
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 27, 2015, 10:00:46 PM
ในวันรุ่งขึ้นทั้งสองพระองค์และหิ่งห้อยยักษ์ยังหลับอยู่  ตุ้บเท่งก็ได้ตื่นก่อนแล้ว
"เกราะกายสิทธิ์ถ้าขืนยังอยู่กับมันข้าก็ไม่ได้ครอบครองกันพอดี ตอนนี้หละ" ตุ้บเท่งได้ลอบเข้าจับเกราะกายสิทธิ์กำลังจะดึงออกก็มีมือมาจับที่มือของตุ้บเท่ง แล้วก็จับมือของตุ้บเท่งไปตีหน้าเข้าอย่างจัง
"เจ้า กล้าดียังไงขโมยเกราะกายสิทธิ์!!!!" 
" เกิดอะไรขึ้น"
" ก็ไอ้เจ้าตัวประหลาดนี่/สิพระเจ้าค่ะ จะขโมยเกราะกายสิทธิ์จากลูกพระเจ้าค่ะเสด็จแม่"
" โธ่ๆ ข้าก็แค่ดูความเรียบร้อยให้เฉยๆ"
"เจ้าโกหก!!!"
" ลูกแม่อย่าถือสาเขาเลยนะ มาหาแม่เถอะ"
" พระเจ้าค่ะเสด็จแม่"
" เจ้าชื่ออะไรไหนบอกแม่มาสิ"
"ชื่ออังคาสพระเจ้าค่ะเสด็จแม่"
" ดีจริงๆ"
" เสด็จแม่ไม่ต้องลำบากหรอกพระเจ้าค่ะ เดี๋ยวลูกจะไปเก็บไม้ผลและนำน้ำมาถวายนะพระเจ้าคะ"
" พี่หิ่งห้อยดูแลเสด็จแม่ดีๆนะ"
" พระเจ้าค่ะ พระโอรส"
" อังคาสลูกไปคนเดียวมันอันตรายนะ"
" ไม่เป็นไรพระเจ้าค่ะ ลูกมีเกราะคุ้มกายอยู่ ลูกไปนะพระเจ้าค่ะ"
" ระวังตัวดีๆนะอังคาส"  อังคาสได้ไปหาไม้พืชไม้ผลในป่าเพียงลำพังจนไปที่น้ำเพื่อนำน้ำใส่กระบอกไม้ไผ่ไปให้สไบทองผู้เป็นแม่
" เจ้ามีสิทธิอะไรมาตักน้ำที่นี่!!!". อังคาสหันไปมองตามเสียง
" ก็ที่นี่ใครจะมาใช้ก็ไม่ผิด" อังคาสเดินมาประจันหน้ากับเด็กหญิงที่มีอายุไล่เลี่ยกัน  แล้วก็เห็นหน้าตาเด็กคนนี้ที่คิ้วเป็นหยักไม่เหมือนคนทั่วๆไป แล้วก็ยังสวมใส่สังวาลย์มณีสีชมพูอีกด้วย
" แต่ที่นี่เป็นที่ของข้าถิ่นข้าถ้าไม่ได้รับอนุญาตก็ห้ามตัก!!!"
" เจ้านี่เป็นใครมาแต่ไหน แม่น้ำนี่เจ้าสร้างนี่ไง แหล่งน้ำที่ไหนธรรมชาติก็สร้างทัังนั้น"
" เจ้า!!!" เด็กหญิงชี้หน้าอย่างสุดจะทน จากนั้นก็กระทืบเท้าอย่างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ว
" ข้าเป็นยักษ์  วันนี้ข้าจะกินเจ้าให้ไม่เหลือเลย!!!!!" จากนั้นก็เนรมิตรตัวเองให้ใหญ่ขึ้น จับตัวอังคาสที่ตะลึงงันอยู่ขึ้นมาหมายจะกิน แต่อังศาสก็ใช้พระขรรค์ออกมาจะสู้กับยักษ์เด็กตนนี้  ทันใดนั้นหิ่งห้อยยักษ์ก็บินมารับอังคาส ยักษ์น้อยก็ไล่เอามือคว้าให้วุ่น
" พระธิดาปัทมาสน์หยุดนะเพคะ"
" บัวแย้มเจ้าห้ามเราทำไม"
" อย่าทำร้ายชีวิตผู้อื่นเลยนะเพคะ จะเป็นบาปติดตัวได้นะเพคะ"
" ก็ได้ ข้าจะปล่อยให้เจ้าตักน้ำไปก็ได้" ปัทมาสน์พูดเสร็จก็กลับสู่ร่างเท่าเดิม แล้วมองไปที่อังคาสแล้วสังเกตุเก
ห็น
" เกราะกายสิทธิ์เหรอ อืมไว้คราวหน้าดีกว่า เราไปกันเถอะบัวแย้ม"
" เพคะ"
" ขอบใจมากนะหนูบัว" หิ่งห้อยขอบใจด้วยเสียงอันเป็นไมตรี
" จ๊ะ"  ปัทมาสนน์ก็จูงมือไปทางอื่นจนลับตา อังคาสเห็นบัวแย้มก็สงสัยแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก หิ่งห้อยพาอังคาสกลับไปหาสไบทองทานไม้ผล แล้วเดินทางต่อไป


หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 28, 2015, 11:36:39 AM
ทางฝั่งปัทมาสน์ก็จูงมือบัวแย้มมาส่งที่กระท่อมกลางป่า
" บัวแย้ม เราไปก่อนนะว่างๆแล้วจะมาหาใหม่"
"เพคะ พระธิดา" ปัทมาสน์ก็กลับไปยังเมืองคีรีมาศ เมืองของพระบิดา
" เสด็จพ่อ  ลูกกลับมาแล้วเพคะ" ปัทมาสน์เข้ามาหาชายมนุษย์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นกษัตริย์เมืองคีรีมาศที่กำลังเป่าปี่บรรเลงเพลงที่ฟังแล้วน่าสลดใจยิ่ง ปัทมาสน์เห็นท่าไม่ดีจึงรีบแย่งปี่ออกจากพระบิดา
" อีกแล้วนะเพคะเสด็จพ่อเป่าปี่นี่อีกแล้ว ทรงเศร้าก็อย่าเป่าปี่เลยเพคะ รังแต่จะให้ตรอมใจตายปล่าวๆ"
" เสด็จแม่เจ้าเสีย พ่อจะมีความสุขได้หรือ"
"ได้สิเพคะ ราษฎรยังต้องการพระองค์อยู่นะ เพคะ"
 " นั่นสินะ เราเป็นกษัตริย์นี่ จะทิ้งราษฎรได้อย่างไร"
" งั้นลูกขอเก็บปี่นะเพคะเสด็จพ่อ" ว่าแล้วก็รีบวิ่งนำปี่ไปเก็บในที่ลับตาทันทีไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหนนอกจากปัทมาสน์ตนเดียวเท่านั้น พอจะกลับตำหนักก็ไปชนกับเด็กคนหนึ่งเข้า
" โอ้ย!!! เดินยังไงไม่มองทิศมองทาง มาชนข้า"
" คิดว่าข้าอยากจะชนเจ้านักสิไอ้ลูกนอกไส้"
" ใครกันแน่ลูกนอกไส้ พูดให้มันดีๆนะ!!"
" เจ้าไง เสด็จพ่อเป็นมนุษย์ แม่เจ้าก็เป็นมนุษย์ แต่เจ้าเป็นยักษ์"
"  ข้าเป็นยักษ์แล้วยังไง ยังไงข้าก็เป็นลูกเสด็จพ่อ ไม่เหมือนเจ้าลูกแท้ๆรึปล่าวก็ไม่รู้!!" แล้วปัทมาสน์ก็ผลักให้พระโอรสต่างพระมารดาหลีกทางกลับไปสู่ตำหนัก หวนคิดเรื่องต่างๆในหัวเกี่ยวกับชาติกำเนิดของตนแต่แล้วก็ปลงเพราะคิดได้ว่าล้วนแต่สวรรค์กำหนดว่าใครเป็นใครเมื่อสวมใส่สังวาลย์มากกว่า จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนหลับไปนาน.....
วันรุ่งขึ้นแล้วแสงปรากฎสาดส่องมายังสังวาลย์ที่สวมใส่เปลี่ยนจากสีชมพูเป็นสีเขียวมรกตสดใสพระธิดายักษ์ก็เปลี่ยนไปเป็นพระโอรสท่าทางนิ่งแต่แฝงด้วยความคมเมื่อเห็น   เช่นเดียวกันกับเกราะกายสิทธิ์ที่เปลี่ยนจากพระโอรสเป็นพระธิดาน่าตาจิ้มริ้มพริ้มพราวน่ารักยิ่ง ทั้งสองสิ่งดำเนินชีวิตอย่างคู่ขนานกันไป อีกวันเปลี่ยนคนสลับกันไปมาหมุนเวียนจนครบกลับมาที่จุดเริ่มต้นคนแรกอีกครั้ง บัดนี้สุริยะกับสไบทองได้มาถึงเมืองทิศพลเมืองแห่งพระบิดาของสไบทองทัังคู่ได้ไปเข้าเฝ้าท้าวนวดล
" สไบทองเหตุใดเจ้ากับลูกถึงได้ระเหเร่รอนมาถึงที่นี่ได้"
" เป็นเพราะคำทำนายใส่ร้ายสุริยะจึงถูกขับออกจากเมืองเพคะเสด็จพ่อ"
" พระสวามีเจ้าก็เชื่อหรือ สไบแก้วไม่ช่วยแก้ต่างเจ้าเลยเหรอไง"
"ไม่ได้ช่วยเพคะ"
" หูเบาที่สุด!! เรื่องแค่นี้ก็เชื่อเหรอ ชักจะลองดีกับเราซะแล้ว!!"
" เสด็จพ่อพระทัยเย็นก่อนเพคะ อย่าได้บาดหมางกันเลย ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกันอีกเลยเพคะ"
" ได้  ดีเราจะเลี้ยงหลานเราให้ดีไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับเมืองรัตนบุรีอีก!!". พออยู่ได้สักพักก็มีข่าวคราวของเมืองรัตนบุรีเข้ามาถึงเมืองทิศพล
 
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 28, 2015, 04:26:43 PM
" เกิดเรื่องขึ้นแล้วพระเจ้าค่ะ พระโอรสภูมินทร์"
" เรื่องอะไรหรือจ๊ะพี่หิ่งห้อย"
" ที่เมืองรัตนบุรี องค์เหนือหัวพีรเชษฐ์โดนครอบงำตอนนี้บ้านเมืองระส่ำระส่ายไปหมดเลยพระเจ้าคะ"
"เสด็จพ่อโดนใครครอบงำจ๊ะพี่หิ่งห้อย!!!!"
" ปุโรหิตและพระโอรสบดิศรแห่งรัตนบุรีพระเจ้าค่ะ" เมื่อได้ความว่าเช่นนั้นพระโอรสก็ไม่รอช้า รีบไปหาสไบทอง เล่าเรื่องให้ฟัง และได้ขอไปช่วยท้าวพีรเชษฐ์ด้วย ด้วยความที่สไบทองสองจิตสองใจว่าจะให้พระโอรสไปช่วยดีหรือไม่ก็ได้ไปปรึกษากับพระมเหสีอมรินทร์ผู้เป็นพระมารดา พระมเหสีอมรินทร์ก็ให้คิดตัดสินใจระหว่างรักกับชังสิ่งไหนมีค่ามากกว่าในจิตใจก็เลือกสิ่งนั้น สไบทองเกิดความสับสนขึ้นมาสุดท้ายแล้วก็ใจอ่อนยอมให้พระโอรสไปช่วยเหลือพระบิดา โดยมีตุ้บเท่งกับหิ่งห้อยยักษ์ติดตามไปด้วย แต่เนื่องจากท้าวนวดลไม่ยอมให้ไป จึงต้องหาวิธีหนีออกมาจนสำเร็จให้สไบทองอยู่ที่เมืองทิศพลก่อนเพื่อความปลอดภัย
ทั้งหมดได้เร่งรีบไปเมืองรัตนบุรีไม่ได้พัก2วัน2คืน ก็ได้เดินทางไปถึงเมืองรัตนบุรี ไม่เห็นผู้คนแต่ยังแน่ใจว่ามีคนอยู่  ศนิวารมุ่งหน้าเข้าวังเพื่อไปหาท้าวพีรเชษฐ์ผู้เป็นพระบิดาแต่ก็มีกับดักตกลงมากุมตัวพระโอรสศนิวารเอาไว้  ตุ้บเท่งก็บอกว่าจะช่วยแต่ต้องแลกด้วยเกราะกายสิทธ์ถึงจะช่วย พระโอรสก็ตกลงว่าจะให้เมื่อหมดเรื่องแล้ว ตุ้บเท่งก็ได้ใช้กรงเล็บข่วนตัดบ่วงจนขาด
" ที่นี่มีกับดัก อันตรายจริงๆ ต้องระวังตัวให้มากว่านี้"  เดินเข้าไปก็พบกับชายผู้หนึ่งนั่งอยู่ตั่งท่าทางเลื่อนลอย ศนิวารจึงเข้าไปดูใกล้ๆพร้อมกับหิ่งห้อย โดยให้ตุ้บเท่งรอดูอยู่ข้างนอก

หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 28, 2015, 07:50:35 PM
" องค์เหนือหัวพระเจ้าค่ะ องค์เหนือหัว"
" เสด็จพ่อนี่เสด็จพ่อหรือจ๊ะพี่หิ่งห้อย"
" ใช่แล้วพระเจ้าค่ะ พระโอรส" ศนิวารเข้าไปหาท้าวพีรเชษฐ์ แต่แล้วก็ถูกจับตัวได้ พระโอรสคิดได้ว่ามีเกราะกายสิทธิ์จึงได้ปล่อยพลังออกมาส่องแสงสีม่วงไปทั่ววัง แล้วพาท้าวพีรเชษฐ์หนีออกมาได้  แต่หารู้ไม่ว่าเป็นแผนยึดเมืองรัตนบุรี แต่อะไรจะสำคัญเท่าชีวิตของพระบิดาผู้บังเกิดเกล้า ศนิวารบอกให้หิ่งห้อยเร่งความเร็วเพื่อพาพีรเชษฐ์ไปยังเมืองทิศพลให้ถึงที่โดยเร็วเพื่อความปลอดภัยโดยที่พีรเชษฐ์สติยังเลื่อนลอยไม่รับรู้อะไรเลยสักอย่างเดียว
ในขณะเดียวกันกษัตริย์เมืองคีรีมาศก็เดินทางมาเยี่ยมเยือนเมืองทิศพลตามประสาเมืองที่มีไมตรีต่อกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรโดยมีพระธิดาตามเสด็จมาด้วย การที่มีกษัตริย์มาเยือนท้าวนวดลจึงไม่มีเวลามาหาพระธิดาและพระนัดดาของตนเองเลยไม่รู้ว่าพระนัดดาหนีไปช่วยพีรเชษฐ์ผู้เป็นพระบิดาที่เมืองรัตนบุรี ต่อมาในวันรุ่งขึ้นพระโอรสสุริยะก็กลับมาถึงทันเวลา แต่ต้องซ่อนพีรเชษฐ์ไว้ก่อน ท้าวนวดลมาหาถึงที่ตำหนัก
"สุริยะหลานตา วันนีช่วยพาพระธิดาต่างเมืองชมเมืองต่อทีนะ"
" ได้พระเจ้าคะ"
" ปะ ไปกับตา" หลังจากที่ท้าวนวดลออกไป สไบทองก็ไปหาพีรเชษฐ์มองด้วยความสงสารและรู้สึกเห็นใจพีรเชษฐ์อย่างมากที่สติเลื่อนลอย ยังต้องเสียเมืองไปอีก...


หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 29, 2015, 02:30:07 PM
สุริยะไปกับท้าวนวดลเพื่อพบกับแสงสุรีย์ หลังจากเจอกันก็พาไปชมเมืองให้ทั่วจากนั้นก็พาส่งกลับตำหนักที่รองรับ
" สุริยะ". สุริยะหันมามองตามเสียงของแสงสุรีย์
" มีอะไรหรือปล่าว"
" คราวหน้าชมเมืองกันอีกนะ" แสงสุรีย์ส่งยิ้มอันมีไมตรีจิตให้สุริยะ
" ได้ เราสัญญา" สุริยะก็ยิ้มตอบ จากนั้นก็กลับไปยังตำหนัก ตุ้บเท่งก็กระโดดเข้ามาตัดหน้า
" พระโอรส. ไหนบอกหมดเรื่องหมดราวแล้วจะให้เกราะสิทธิ์แก่ข้าไง ป่านนี้ยังไม่ให้อีก"
" เราไม่ได้สัญญาสักหน่อยนี่ หรือว่าเราสัญญาตอนไหน"
"ก็เมื่อวานนี้ไง พระโอรสศนิวารให้คำสัญญากับข้า"
" แล้วเราชื่ออะไร"
" พระโอรสสุริยะ"
" นั่นหละ ศนิวารตะหากที่ให้สัญญาแก่เจ้า จะมาบอกว่าเราให้สัญญาแก่เจ้าไม่ได้"
" เอ๊ะ!! "
" เราว่ารอถึงวันที่ศนิวารปรากฎตัวก่อนดีกว่าแล้วไปคุยเรื่องนี้กับเขา"
" ก็ได้ๆ ข้ายอมก็ได้ ข้าขอตัวก่อนนะ"
" จะไปไหน? เหรอตุ้บเท่ง"
" เรียกข้าว่าสุดหล่อสิเหมาะกับข้า ออแล้วข้าจะไปไหนมันก็เป็นเรื่องของข้า"
" ก็ได้สุดหล่อก็สุดหล่อ". ทั้งสองแยกย้ายกัน สุริยะเดินเข้าไปในตำหนักแต่ก็หยุดอยู่ที่หน้าประตูมองเห็นพระมารดาสไบทองกำลังป้อนข้าวป้อนน้ำให้พีรเชษฐ์ผู้ที่สติเลื่อนลอย สุริยะมีความรู้สึกเห็นใจทั้งพระมารดาสไบทองและพระบิดาพีรเชษฐ์ที่ต้องเป็นเช่นนี้  สุริยะตัดสินใจเดินเข้าไปหาแล้วนั่งข้างล่าง แล้วเรียกพระบิดา
" เสด็จพ่อพระเจ้าคะ" พีรเชษฐ์มีท่าทางเลื่อนลอยไม่รับรู้เสียงเรียก
" เสด็จพ่อพระเจ้าค่ะ เสด็จพ่อ" แต่ก็ยังไม่มีการตอบสนองใดๆเกิดขึ้นเลย
" สุริยะอย่าได้เรียกเขาเลย เรียกไปก็เท่านั้นเขาไม่รับรู้อะไรอีก" แต่แล้วก็เหมือนจะมีปฏิหารเกิดขึ้น พีรเชษฐ์หันมาทางสุริยะ
" เสด็จพ่อรู้สึกพระองค์แล้วหรือพระเจ้าค่ะ" พระโอรสถามด้วยน้ำเสียงที่ดีใจเหลือล้น
" สุริยะลูกพ่อ"
" ไปหาเสด็จพ่อสิสุริยะ" สุริยะเข้าไปหาพีรเชษฐ์  พีรเชษฐ์ลูบศีรษะของสุริยะ และลูบที่หลังของสุริยะ สุริยะมองตาพระบิดา และพระบิดาก็มองตาสุริยะ ทันใดนั้นเอง!!!
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 29, 2015, 03:50:13 PM
พีรเชษฐ์ก็ได้ดึงเกราะกายสิทธิ์ออกจากตัวสุริยะ สุริยะกลับไปเป็นร่างไม่สมประกอบอีกครั้ง
" ฮ่าๆๆๆ" พระบิดากับพระมารดาหัวเราะลั่น
" เสด็จพ่อ เสด็จแม่พระเจ้าค่ะทำไม.." พระโรสพูดด้วยความยากลำบากก่อนจะถามให้จบคำ
" ก็พวกเราไม่ใช่พ่อแม่ของเจ้าหละสิ ฮ่าๆ" ทั้งสองเปลี่ยนไปจากเดิมกลายเป็นชายหนุ่มที่ค่อนข้างจะไม่เป็นคนดีสักเท่าไหร่นัก
" หน้าโง่จริงๆแค่รู้สึกอะไรนิดหน่อยก็หลงเชื่อไปหมด"
"ใช่หน้าโง่จริงๆ"
" เสด็จพ่อเสด็จแม่เราอยู่ที่ไหน"
" พ่อแม่เจ้าก็น่าจะอยู่ที่ไหนสักแห่งที่หละ ฮ่าๆ"
" เจ้าเอาเสด็จพ่อเสด็จพ่อไว้ที่ไหนแล้วเจ้าเอาเกราะกายสิทธิ์ไปทำไม"
" ก็เกราะกายสิทธิ์นี่เป็นของเทพวิษุวัติน่ะสิ เราก็แค่มาเอาคืนให้เท่านั้นแหละ"
" แล้วทำไมต้องจับเสด็จพ่อเสด็จแม่เราไปด้วย"
" ก็พ่อแม่เจ้าก็มีความผิดด้วยไง ถ้าอยากได้นักก็ไปเอาเองสิ"
" เราทำอะไรผิดนักหนาถึงต้องทำกับเราเช่นนี้ด้วย เกราะก็ได้ไปแล้วคืนเสด็จพ่อเสด็จแม่ให้เราเถอะนะ เราจะไม่ยุ่งกับเกราะนี่อีก"
" ไม่มีทาง!!"
" เราขอร้องหละปล่อยเสด็จพ่อเสด็จแม่มาเถอะนะ"
"ไม่"
"ปล่อยเสด็จพ่อเสด็จแม่เรามาเถอะนะ"
" บอกว่าไม่ก็ไม่ไง" ข้ารับใช้เทพวิษุวัติถีบสุริยะจนล้มลงกองไปกับพื้น จากนั้นก็มีแสงสีแดงวาบเข้ามาจนแสดตาไปหมด
" หนีเร็วพระเจ้าค่ะพระโอรส"
" หนีเร็วเข้า" หิ่งห้อยกับตุ้บเท่งรีบพาสุริยะหนีออกมาจากตำหนักไปหาท้าวนวดลโดยเร็ว ปรากฎเหลือเด็กผู้หญิงอยู่ในตำหนักประจันหน้ากับข้ารับใช้เทพวิษุวัติ
" พวกท่านมีฤทธิ์มีเดชแต่มารังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าคิดว่าทำถูกแล้วงั้นหรือ" เด็กผู้หญิงคนนั้นก็คือแสงสุรีย์นั่นเอง
" พวกเรามีหน้าที่ต้องทำ เจ้าเป็นเด็กมีสิทธิอะไรมายุ่ง!!"
" มีสิมีอยู่แล้ว คุณธรรมค้ำจุนจิตใจคนให้ทำดี พวกท่านเป็นถึงข้ารับใช้ของเทพ มีฤทธ์มีเดชแต่มาทำร้ายคนทำไมข้าจะยุ่งไม่ได้"
" หน๋อยเด็กนี่ช่างกล้านักนะ"
" ใช่เรากล้า คืนเกราะมาดีกว่าถ้าไม่อยากเจ็บตัว"
" ไม่ ถ้าเจ้าอยากได้นักก็เข้ามาเอาเองสิ!!"
"ได้"  ทั้งสองได้ต่อสู้กันโดยมีอีกหนึ่งถือเกราะกายสิทธิ์ไว้อยู่ จนกระทั่งเริ่มจะสู้แสงสุรีย์ไม่ไหวเลยคิดจะหนีนำเกราะไป. แสงสุรีย์ได้ปลดสังวาลย์ออกมาถือส่องแสงประกายใส่ทั้งสอง จนตกลงมาแต่กระนั้นก็ยังคิดจะหนีต่อ แสงสุรีย์จึงใช้สังวาลย์ส่องไปอีกแต่คราวนี้ไม่ใช่แสงแต่เป็นไฟแทน ทั้งสองทรมานเจ็บปวดแสบร้อนไปหมด แสงสุรีย์ได้ทีไปคว้าเอาเกราะกายสิทธิ์ได้ แล้วจึงดับไฟ
" ไปบอกกับเทพที่เป็นนายของท่านด้วยนะว่าอย่าสั่งใครมาล่อลวงและทำร้ายคนไม่มีทางสู้อีก" พูดจบก็มุ่งหน้าไปหาท้าวนวดล ท้าวธีรชัย และสุริยะ นำเกราะไปสวมให้ดังเดิม
" เราขอบใจมากนะแสงสุรีย์"
" ไม่เป็นไรหรอก"
" เสด็จตาหลานขอไปช่วยเสด็จพ่อเสด็จแม่ก่อนนะพระเจ้าค่ะ""
" เจ้าจงช่วยเสด็จแม่เจ้าอย่าช่วยพ่อเจ้า"
" ทำไมหละพระเจ้าค่ะ"
" เจ้าก็รู้ดีเขาไล่เจ้าออกจากเมืองปล่อยให้เจ้ากับแม่ของเจ้าลำบากแค่ไหน"
" เสด็จตา"
" ท้าวนวดลเพคะ หม่อมฉันว่าพ่อนั้นลูกมีพระคุณต่อลูกต่อลูก หากไม่ช่วยเพราะความผูกพันธ์ก็ควรให้ช่วยเพื่อตอบแทนพระคุณเถอะนะเพคะ"
" ก็ได้ๆ"
"ขอบพระทัยพระเจ้าคะเสด็จตา"
" เราไปด้วย"
" ไม่เป็นไรหรอกนะเราไปกับพี่หิ่งห้อยกับสุดหล่อ กันเองก็ได้"
" ใช่มีข้าอยู่ไม่ต้องกลัว"
"ให้เราไปด้วยก็ดีแล้ว มีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน"
" แล้ว.."
" เสด็จพ่อกลับไปเมืองก่อนนะเพคะแล้วลูกจะตามไปนะเพคะ"
" อย่านานักนะแสงสุรีย์"
" เพคะ ทูลลาเสด็จและท้าวนวดลเพคะ"
" ทูลลาเสด็จตาและท้าวธีรชัยพระเจ้าค่ะ" ทั้งคู่มุ่งหน้าเพื่อไปสู่เมืองรัตนบุรีโดยมีอันตรายต่างๆรออยู่อีกมาก..
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 30, 2015, 02:52:37 PM
ทางด้านฝั่งของเทพวิษุวัติ ข้ารับใช้ทั้งสองกลับไปหาร่างกายเต็มไปด้วยรอยไหม้ซ้ำยังมามือปล่าวไม่มีเกราะกายสิทธ์มาด้วย สร้างความไม่พอใจให้แก่เทพวิษุวัติเป็นอย่างมาก
" ไม่ได้เรื่อง!!!!! แค่เด็กตัวนิดเดียวแถมยังเป็นผู้หญิงอีกแค่นี้พวกเจ้าก็จัดการไม่ได้!!!"
"ตอนแรกก็จะสู้ได้แล้วพระเจ้าค่ะ"
" แต่ว่าเด็กคนนั้นมีของวิเศษพระเจ้าค่ะ"
" ของวิเศษอะไร"
" สังวาลย์พระเจ้าค่ะ. สังวาลย์นี่ไม่ได้ธรรมดาเลยนะพระเจ้าค่ะ"
" สังวาลย์งั้นเหรอ "
" พระเจ้าค่ะ สังวาลย์นั่น.."
"ไปได้แล้ว"
" อะไรนะพระเจ้าค่ะ"
" ออกไปได้แล้วเราจะอยู่คนเดียว"
" พระเจ้าค่ะ"
" สังวาลย์ที่เป็นของวิเศษงั้นหรือ". เทพวิษุวัติครุ่นคิดอยู่แล้วก็ได้ยินเสียงในหัวเหมือนคิดขึ้นได้ว่า : นอกจากเกราะวิเศษกายสิทธิ์แล้วยังมีสิ่งวิเศษอีกอย่างนึงก็คือสังวาลย์มณีมีฤทธิ์เดชพอกันแต่ถ้ามาอยู่ด้วยกันจะทรงอนุภาพมากที่สุดเลยก็ว่าได้ แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าสิ่งวิเศษนี้อยู่ที่ไหน:
" สุดท้ายเราก็รู้เสียทีว่าสิ่งนี่อยู่ที่ไหน" เทพวิษุวัติยิ้มเหมือนชนะอะไรสักอย่าง. จากนั้นเทพวิษุวัติก็ไปสังเกตุการณ์สุริยะกับแสงสุรีย์ที่กำลังจะถึงเมืองรัตนบุรี
" ไม่ได้การณ์แล้วสิ" เทพวิษุวัติบรรดาลให้เกิดพายุซัดพวกสุริยะไปทางอื่นจนถึงเมืองเมืองหนึ่งที่เหมือนร้าง
" ที่นี่ที่ไหน"
" นั่นสิที่นี่ที่ไหนกัน"

 
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 30, 2015, 08:46:14 PM
" ที่นี่มันร้างแปลกๆนะข้าว่า"
" ดูนั่นสิมีวังด้วย"
" ไปดูกันดีไหมพระเจ้าคะพระโอรสพระธิดา"
" ดีสิพี่หิ่งห้อย ไปกันเถอะสุริยะ"
" ไปกันเถอะ" ทั้งสามเดินไปทางเข้าวัง
" นี่ไม่คิดจะชวนข้าไปเลยนะ" ตุ้บเท่งวิ่งตามไป
ที่ท้องพระโรงเต็มไปด้วยใยแมงมุมและใบไม้เกลื่อนไปหมด มีเงาปรากฎผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทั้งสี่หันมองกันให้วุ่น
"พี่หิ่งห้อยหายไปไหนแล้วหละ"
" อ๊ะ!!!" สุริยะหันมองตามเสียงไปแต่ไม่พบอะไร
"  ตุ้บเท่งก็หาย"  ขณะที่ทั้งสองหันหาอยู่นั้นควันก็พวยพุ่งออกมาปกคลุมไปทั่วทั้งสองก็สลบไป...
.
.
.
.
.
.
" สุริยะ สุริยะลูกแม่" สุริยะมองไปมาตามเสียงเรียก
" เสด็จแม่พระเจ้าค่ะ" สุริยะวิ่งไปสไบทองหายไป
" เสด็จแม่!!!!". สุริยะตกใจลืมตาขึ้นมา พบว่าตนเองถูกมัดอยู่
" เจ้าคิดถึงเสด็จแม่เจ้างั้นสิ"  มีผู้หญิงหน้าตาสวยงามดูไม่มีอายุเยอะเท่าไหร่นักพูดพร้อมเข้ามา
" พี่สาวท่านเป็นใครแล้วทำไมเราถึงโดนมัด"
" ไม่ต้องรู้หรอกว่าเราเป็นใคร เอาเกราะกายสิทธิ์แลกกับแม่เจ้าดีไหมหละ"
" ถ้าช่วยเสด็จแม่ได้เกราะนี่ก็ไม่สำคัญอะไร แล้วแสงสุรีย์ สุดหล่อ และพี่หิ่งห้อยหละ"
" พวกเขาก็สบายดีอยู่ เราขอแล้วกันนะ" ไม่รอช้ารีบใช้มืจับเกราะกายสิทธิ์ แต่ก็ไหม้มือ
" โอ้ย!! หึย" เขาได้ใช้มือจับอีกครั้งแต่ก็เผาไหม้มือดังเดิม
" หน๋อย แค่นี้ก็ร้อนได้นะทำไมคนอื่นจับไม่เห็นจะร้อนเลย"
" ก็เจ้าเป็นแม่มดไงหละเกลียวทอง" มีเด็กหญิงออกมาพูดจาฉะฉานใส่เกลียวทองอย่างไม่เกรงกลัว
" อัญญานีเจ้ามาทำไม. ทำไมไม่อยู่ในตำหนัก!!"
"ก็นี่เมืองเสด็จพ่อเรา เราจะไปไหนมาไหนเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์มาห้ามเรา"
" ปากดีนักนะ" ฝ่ามือของเกลียวทองตบหน้าของอัญญานีอย่างไม่หนักแรงมากแต่ทำให้อัญญานีกระเด็นไปได้ ในตอนนั้นนั่นเองแสงอาทิตย์ก็สาดส่องมายังเกราะกายสิทธิ์ทำให้สุริยะกลายเป็นจันทราภาทันที


หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: ✡ K.N.K ✡ ที่ มกราคม 03, 2016, 09:50:54 AM
ไอเดียดีนะเนี่ย เจ๊งอ่ะ w8
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มกราคม 28, 2016, 10:02:49 AM
@ต้องขออภัยที่ไม่ได้มาแต่งต่อซะนานเลยนะคะ ช่วงที่ผ่านมาติดธุระเยอะจริงๆคะ. w25 ขอบคุณคุณ K.N.K คะ^^


จันทราภารู้สึกว่าตนเองไม่ได้อยู่เมืองทิศพลของท้าวนวดลผู้เป็นพระอัยกาแต่อย่างใดกลับพบสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือเกลียวทองกับอัญญานีในที่รกร้างแห่งหนึ่งเท่านั้น
"ที่นี่ที่ไหน แล้วท่านจับเรามัดไว้ทำไมกัน"
"เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้หรอก รู้แค่ว่าแม่ของเจ้าตอนนี้ก็โดนจับอยู่เช่นกัน" เกลียวทองพูด สายตาจับจ้องที่จันทราภา
"เสด็จแม่ ท่านเอาเสด็จแม่เราไว้ที่ไหน"
"เราไม่บอกเจ้าหรอก แต่เราจะช่วยให้เจัาเจอกับแม่เจ้าไวๆ ดีไหมหละ"
"ดีสิ แล้วพี่หิ่งห้อยหละ"
"พี่หิ่งห้อยก็เหมือนแม่เจ้านั่นแหละถ้าอยากได้พวกเขาคืนมาก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนกันหน่อย"
"อะไร"
" เอาเกราะกายสิทธิ์มาแลกไงหละ"
-----------------++-
ทางด้านฝั่งของหิ่งห้อย ตุ้บเท่ง และเจ้าของสังวาลย์มณีแน่นอนว่าวันเปลี่ยนก็เปลี่ยนคนได้เช่นกันจากแสงสุรีย์เด็กหญิงกลายเป็น จันทลักษณ์เด็กชายขึ้นมา เขาค่อยๆลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าตนเองอยู่ในห้องขังแห่งหนึ่ง หันมองซ้ายขวาเจอหิ่งห้อยยักษ์ กับสิ่งมีชีวิตที่ประหลาดหลับไหลไม่ได้สติเลย ด้วยความที่รู้วิชาทำนายหยั่งรู้มาบ้างจึงได้นั่งสมาธิถึงเรื่องราวต่างๆมากมาย พอรู้เรื่องราวก็ได้ช่วยให้ทั้งสองฟื้นขึ้นมา
+++++++------+++++------
"เกราะกายสิทธิ์หรือ"
"ใช่เกราะกายสิทธิ์   แต่เจ้าต้องถอดออกมาให้แก่เรา"
"แล้วเราจะถอดได้อย่างไร ในเมื่อถูกจับมัดเช่นนี้" จันทราภาเกิดคิดบางอย่างขึ้นมาในหัว
" เราจะแก้มัดให้" เชือกหลุดออกมาอย่างง่ายดายราวกับไม่ได้มัดไว้
จันทราภาจับที่เกราะทำท่าจะถอดออกมา แม่มดเกลียวทองตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อ ทันใดนั้นเองเกราะก็ได้ส่องแสงสีเหลืองส่องประกายออกมาเข้าตาเกลียวทองอย่างจัง จันทราภาไม่รอช้ารีบพาอัญญานีที่บาดเจ็บหนีออกมาแล้วก็เจอกับ.........
"พี่หิ่งห้อย ตุ้บเท่งพวกท่านไม่เป็นอะไรนะ"
"ไม่เป็นไรพระเจ้าค่ะ พระธิดาหละพระเจ้าค่ะ"
"เราไม่เป็นไร แล้วนี่..."
"เราจันทลักษณ์  เราว่าอย่าช้านักเลยเดี๋ยวจะไม่ทันการ"
"ดีเราไปกันเถอะ"
"รอข้าด้วยสิ!!!"  ตุ้บเท่งวิ่งตามมา
หลังจากออกนอกบริเวณเมืองได้แล้วทั้งหมดจึงพักที่ป่าเสียก่อน แล้วช่วยกันรักษาอัญญานี
"เจ้าเป็นอะไรกับแม่มดนั่น!!!"ตุ้บเท่งถาม
"ลูกเลี้ยง เมืองนั่นก็เมืองของเสด็จพ่อเรา"
"เหตุุใดเมืองจึงร้างเช่นนั้น เจ้าช่วยเล่าให้เราฟังหน่อยได้หรือไม่"
"ได้เราจะเล่าให้ฟัง" อัญญานีเล่าให้ฟังถึงความหลังแต่ก่อนเก่าของเมืองร้างแห่งนั้น



หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กุมภาพันธ์ 14, 2016, 09:43:19 AM
*แต่งต่อตอนปิดเทอมคะ. ขอบคุณคะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มีนาคม 24, 2016, 07:51:12 PM
"แต่เดิมเมืองนี้คือเมืองโกสุมพิสัยเป็นเมืองของเท้าทรงพลบดีซึ่งเป็นเสด็จพ่อของเรา  หลายปีที่เมืองนี้อยู่อย่างสงบสุขแล้ววันหนึ่งเสด็จพ่อก็ได้รับเกลียวทองมาเป็นพระสนม ต่อมาไม่นานนักเสด็จแม่ก็ทรงประชวร พระอาการก็หนักขึ้นเรื่อยๆจน...จนเสด็จแม่สิ้นพระชนม์..จากนั้นเกลียวทองก็เลื่อนจากตำแหน่งพระสนมขึ้นเป็นพระมเหสีแทนเสด็จแม่
หลังจากนั้นซักประมาณ1ปี ราษฎรก็เป็นโรคล้มตายกันเป็นจำนวนมากแม้แต่คนในวังก็เป็นลามไปจนถึงเสด็จพ่อก็ประชวรด้วยโรคนั้นเช่นนั้น ที่น่าแปลกคือราษฎรที่ล้มตายไปนั้น ศพของพวกเขาก็หายไปจนน่าตกใจ สุดท้ายแล้วเสด็จพ่อก็สิ้นพระชนม์แต่ก่อนสิ้นพระชนม์ก็ทรงมีรับสั่งให้เกลียวทองดูแลเรา ซึ่งนางก็ทำตาม นางก็ออกจะร้ายกับเราอยู่แล้วเราก็ไม่คิดอะไร ช่วงเวลาสั้นๆเพียงไม่กี่เดือนก็พรากชีวิตคนทั้งเมืองไปหมดเหลือเพียงเรากับเกลียวทองเท่านั้น. จนกระทั่งวันหนึ่งเราก็พบศพคนจำนวนมากที่ตำหนักของนาง ซึ่งตอนนั้นนางกำลังเอาเลือดของศพพวกนั้นเอามารดให้แก่ต้นไม้เป็นเสมือนอาหาร นางก็เห็นเราแต่นางไม่ฆ่าเรา มีหลายครั้งที่เราพยายามหนีแต่ก็หนีไม่พ้นเสียทีจนมาเจอพวกเจ้านี่หละ" อัญญานีเล่าให้ฟังจนหมดแล้วก็หันมองไปที่จันทราภาและจันทลักษณ์
"เราน่าสงสารเ2รึสียจริงอัญญานี เราเสียใจด้วยนะ"จันทราภาพูดพร้อมจับมืออัญญานี
"เราขอบใจเจ้ามาก"
"แล้วพวกเราจะทำยังไงต่อไปดีหละ จะให้อัญญานีไปด้วยก็คงไม่ปลอดภัยเท่าไหร่นักนะ"
"ควรให้อัญญานีไปที่เมืองของเสด็จตาก่อน พี่หิ่งห้อยจ๊ะ.!!"
"พระเจ้าค่ะ พระธิดา"
"พี่ช่วยพาอัญญานีไปอยู่กับเสด็จตาก่อนนะจ๊ะ เราจะมุ่งหน้าไปรัตนบุรีกันก่อน"
"ได้พระเจ้าค่ะ พระธิดาแล้วพี่หิ่งห้อยจะรีบตามไปพระเจ้าค่ะ"
"พระธิดา แล้วข้าหละ ข้าสุดหล่อหละ"
"จันทราภาให้สุดหล่อไปกับพวกเราเถอะ ถ้าเกิดพรุ่งนี้เรากลัวว่าปัทมาสน์จะอาละวาดจนเสียเรื่อง มีคนห้ามบ้างก็ดี"
"เราก็ว่าดีเหมือนกันเพราะพรุ่งนี้เป็นอังคาสเจ้าอารมณ์เสียด้วย ให้สุดหล่ออยู่ก็ดีเหมือนกัน"
"อัญญานีเราไปก่อนนะ แล้วเจอกันอีก"
"ลาก่อนจันทราภา ลาก่อนจันทลักษณ์"
"เราไปกันเถอะพระเจ้าค่ะพระธิดาอัญญานี"
"เจอกันที่รัตนบุรีนะจ๊ะ พี่หิ่งห้อย"
"พระเจ้าค่ะพระธิดา". หิ่งห้อยยักษ์ก็บินพาอัญญานีไป
"พวกเราไปกันเถอะ"
"ไปกัน" จากนั้นทั้งสามก็มุ่งหน้าไปยังรัตนบุรี

"
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กันยายน 18, 2016, 07:12:32 PM
จักรกรดต้องอภัยที่หายหน้าไปเสียนานนะคะ ไม่ค่อยว่างจริงๆในชีวิตตอนม.3นี่ กำลังจัดเรื่องให้เข้าลู่เข้าทางอยู่ค่ะ
สอบเสร็จแล้วจะมาเขียนต่อแน่นอนค่ะ จักรกรดยังรักในงานเขียนและละครพื้นบ้านหรือละครจักรๆวงศ์ๆเสมอค่ะ
ขอบคุณทุกท่านที่มาอ่านเรื่องนี้มากๆนะคะ  แล้วเจอกันแน่นอนค่ะ ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Pridezero ที่ สิงหาคม 11, 2017, 02:54:32 PM
อ่านได้ความรู้เยอะเลย
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 10, 2017, 07:53:45 PM
ขอบคุณ คุณ Pridezero ที่มาแสดงความคิดเห็นนะคะ จักรกรดไม่ได้มานานนับปีแล้ว ยอมรับเลยค่ะว่ามีเทจริงๆเพราะงานกับไม่มีเวลาเลยคิดไปว่าคงจะไม่มาแล้ว แต่ก็เข้ามาเพราะคิดถึง อ่านแล้วอยากแต่งต่อ จักรกรดจะพยายามแต่งให้จบไม่ทอดทิ้งแล้ว ณ จุดๆนี้คิดถึงมากจริงๆ ต่อจากเม้นนี้ก็จะแต่งต่อแล้วค่ะ w15 w15 w15
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 10, 2017, 10:27:29 PM
ในวันต่อมาทั้งสองได้เปลี่ยนเป็นอังคาสกับ ปัทมาสน์ โดยมีตุ้บเท่งนั่งดูอยู่
" ต่างเป็นเจ้าอารมณ์กันทั้งคู่ ดีล่ะข้าจะทำให้แตกคอกัน จากนี้จะไม่มีใครมาคุ้มกันเกราะกายสิทธิ์แล้ว " ตุ้บเท่งคิดอยู่ในใจแล้วยิ้มกรุ่มกริ่ม
" ที่นี่ที่ไหน เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน " ปัทมาสน์ลืมตาตื่นขึ้นมาพบตนเองไม่ได้อยู่ในตำหนักจึงพึมพำกับตัวเอง
" ที่นี่ก็คือป่ายังไงล่ะพระธิดา " ตุ้บเท่งตอบเมื่อได้ยินเสียง
" ข้ารู้แล้วว่าที่นี่เป็นป่า ข้าอยากรู้ว่าข้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง !!!! " ปัทมาสน์ลุกขึ้นท้าวเอวถามตัวประหลาดที่พอเจอ
" ถามสุดหล่อ สุดหล่อจะรู้ได้ไง นู่น ถามพระโอรสอังคาส นู่น " ตุ้บเท่งพูดพร้อมหันหน้าไปทางอังคาสที่กำลังหลับอยู่ใต้ต้นไม้อีกต้น
" นี่มันเจ้าคนที่มันบุกรุกที่ของข้านี่....ตื่นขึ้นมาคุยกับข้าเดี๋ยวนี้นะ!!! " ยักษ์น้อยพูดขึ้นพร้อมกับกระทืบเท้าลงแผ่นธรณี สนั่นไหวไปทั่วทุกทิศ
 " โอ้ย!!! นี่เจ้า!! ครั้งที่แล้วเจ้าก็จะฆ่าเรา ยังตามมาฆ่าเราอีกเหรอ " อังคาสตื่นขึ้นเพราแรงสะเทือน แล้วพบกับยักษ์ที่จะทำร้ายมื่อก่อนเก่าก็จำได้
" ใช่ๆพระโอรส ยักษ์น้อยตนนี่กำลังจะจับพระโอรสกิน " ตุ้บเท่งได้จังเติมไฟไป
" นี่เจ้าพูดอะไรระวังปากด้วย คนแบบนี้ข้าไม่กินหรอกนะ!!! " 
"สุดหล่อเห็นจริงๆ สุดหล่อเป็นพยายานได้"
" ไม่จริง!! ข้าตื่นมาก็พบตัวประหลาดนี่ก่อนแล้ว ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิด"
" อย่ามาโกหก !!!" อังคาสตอบกลับ
" ตัวประหลาดอะไรกัน เรียกสุดหล่อตะหากล่ะ สุดหล่อดีกว่าเยอะ "
" อเวจีล่ะสิไม่ว่า!!!" อังคาสและปัทมาสน์ตอบเป็นเสียงเดียวกันอย่างพร้อมเพรียง
" ทีอย่างนี้สามัคคีว่าสุดหล่อจริงนะ เมื่อคืนนี้ยังตีกันจะตายอยู่เลย "
" เมื่อคืนอะไรกันเราเพิ่งจะเถียงกันเมื่อไม่นานมานี้เองนะ " อังคาสกล่าว
" ก็เมื่อคืนพระโอรส พระธิดาก็ตีกันแทบตายดีนะที่ห้ามไว้ทันไม่งั้นก็...."  ตุ้บเท่งได้ยุแยงขึ้นอีกครั้ง
" หมายความว่าเมื่อคืนคนของเจ้าก็ทำร้ายคนของข้าล่ะะสิ " ปัทมาสน์กล่าว
" อย่ามาว่าจันทราภานะ คนของเจ้าล่ะสิไม่ว่า!!! " อังคาสกล่าวปกป้องผู้เป็นพี่
" จันทลักษณ์ไม่เคยหาเรื่องใครก่อน ห้ามว่าคนของข้า!!! " ปัทมาสน์ก็ตอบกับเช่นกัน
" จำได้ว่าบาดเจ็บกันด้วยนะ " ตุ้บเท่งเติมประโยคลงไปอีก
" บาดเจ็บเหรอ... ข้ายอมไม่ได้ เจ้าต้องชดใช้แทนคนของข้า!!! " ปัทมาสน์พูดแล้วเนรมิตกายให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม
"เราก็ยอมไม่ได้ เจ้าก็ดีแต่แปลงกายให้ใหญ่ เจ้าอย่าคิดนะว่าเราจะสู้เจ้าไม่ได้เหมือนครั้งก่อน !! " อังคาสเรียกพระขรรค์ออกมา
" แล้วเจ้าจะรู้ว่าข้าไม่ได้เก่งแค่ตัวใหญ่อย่างเดียว !!! " พระธิดายักษ์กล่าวแล้วจึงใช้มือไล่คว้าตัวพระโอรสมนุษย์ให้ทั่ว แต่ไม่ทันจับได้เหมือนครั้งก่อน เหตุเพราะอังคาสมิได้เผลอตัวแล้ว
" ดี ตีกันให้ตายไปเลย " ตุ้บเท่งหลบอยู่หลังต้นไม้แล้วดูเหตุการณ์ไปคิดไป
________

" พระโอรส พระธิดา หยุดเถอะพระเจ้าค่ะ" เสียงห้ามปรามที่ดังมาแต่ไกลทำให้ทั้งสองหยุดการต่อสู้
" พี่หิ่งห้อย ห้ามเราทำไม!?! " อังคาสถามหิ่งห้อยยักษ์ที่เขามาห้าม
" เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาห้ามข้า!!!! " ปัทมาสน์มองไปยังหิ่งห้อย
" ทั้งสองพระองค์จะทรงสู้กันมิได้พระเจ้าค่ะ เพราะทั้งสองพระองค์เป็นมิตรกัน " หิ่งห้อยกล่าวตอบ
" เอ๊ะ!! ข้าเป็นมิตรกับเจ้านี่ตอนไหนกัน" ปัทมาสน์กล่าวถามแล้วลดตนเป็นขนาดปกติ
" ตั้งแต่พระธิดาแสงสุรีย์กับพระโอรสสุริยะพระเจ้าค่ะ " หิ่งห้อยยักษ์ตอบคำถามอีกครั้ง
" นี่มันเรื่องอะไรกันแน่? "
" เรื่องเป็นอย่างนี้พระเจ้าค่ะ ........." หิ่งห้อยยักษ์ได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้กับสองบุตรกษัตริย์ฟัง

" แล้วข้าจะแน่ใจได้ยังไงว่าแสงสุรีย์กับจันทลักษณ์เต็มใจ แล้วข้าจะต้องช่วยต่อ? " ปัทมาสน์ถามอย่างเคลือบแคลงใจ
" หม่อมฉันไม่มีหลักฐาน มีแต่คำที่พระธิดาแสงสุรีย์ทรงตรัสไว้ว่า หากพระธิดาปัทมาสน์ช่วยเหลือคนก็ควรช่วยให้ทั่วถึงด้วย พระเจ้าค่ะ "

ปัทมาสน์ได้ยินดังนั้นจึงครุ่นคิดสักพักหนึ่งจึงนึกได้ว่ามีแต่พวกสังวาลย์กับพระบิดาเท่านั้นที่รู้คำกล่าวนี้ของแสงสุรีย์ จึงไว้ใจ
" ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะช่วยพวกเจ้าเอง" พระธิดากล่าว
"คำก็ข้าสองคำก็ข้า พูดดีๆไม่เป็นหรอกหรือยังไง?" อังคาสกล่าวขึ้นหลังจบคำพูดของปัทมาสน์
" ก็ได้ ข้า...เราพูดดีก็ได้ เราจะพูดข้ากับคนที่เราไม่พอใจเท่านั้นล่ะ " ปัทมาสน์ตอบเสร็จก็หันหน้ามองตุ้บเท่ง
ตุ้งเท่งจึงหลบหน้าหันมองอังคาส
" พระโอรสคงไม่ว่าสุดหล่อใช่ไหม " ตุ้บเท่งยิ้มเฟื่อนๆ
" ไม่หรอก " อังคาสตอบ
ตุ้บเท่งยิ้มอย่างดีใจ
" แต่เราจะทำให้เจ้าพูดไม่ได้อีกตลอดชีวิต " อังคาสพูดเสร็จเตรียมจะลงโทษตุ้บเท่ง
" พอๆ พวกเราไปกันได้แล้ว ชักช้าจะไม่ทันกาล เจ้าตัวประหลาดไว้ทีหลัง" ปัทมาสน์ปรามไว้แล้วชวนให้เดินทางต่อ
" ได้ " อังคาสตอบแล้วทั้งหมดจึงเดินทางไปยังเมืองรัตนบุรีต่อไปโดยไม่รู้ว่าจะมีอันตรายใดๆรออยู่
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 12, 2017, 04:36:53 PM
ณ เมืองรัตนบุรี
สไบทองได้ลืมตาขึ้นมาในห้องบรรทมของตนเมื่อครั้งยังเป็มเหสีฝ่ายขวาอยู่
" ท...ทำไมเราถึงมาอยู่ที่นี่ " สไบทองลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปรอบๆห้อง พลางนึกทบทวน
" เราจำได้ว่าตอนนั้นเราไปหาเสด็จพี่พีเชษฐ์นี่" สไบทองนึกได้เพียงเท่านี้มิอาจจะคิดต่อไปได้เพราะหลังจากนั้นก็มีแต่ความมืด

เสียงประตูเปิดเข้ามาในห้องนี้ทำให้สไบทองหันตามเสียงไปแล้วพบกับสตรีนางหนึ่ง
" สไบแก้ว!! " อดีตมเหสีรู้สึกตกพระทัยเป็นอย่างยิ่งเมื่อพบว่าสตรีนางนั้นคือพระมเหสีฝ่ายซ้ายของอดีตพระสวามี
" ใช่ เราเอง " สไบแก้วตอบรับเสียงที่เรียกชื่อของตน
" ทำไมเราถึงมาอยู่ที่นี่ แล้วท้าวพีรเชษฐ์ล่ะ" สไบทองถามขึ้นเพราะจำได้ว่าเมืองนั้นน่าจะถูกยึดครองแล้ว
"เสด็จพี่ทรงบรรทมอยู่ที่ห้องของเรา" สไบแก้วตอบคำถามของสไบทอง
" แสดงว่าเขายังอยู่ดีกินดีใช่ไหม" สไบทองถามขึ้นเพื่อความแน่ใจ
" ใช่เสด็จพี่ยังอยู่ดี" สไบแก้วตอบอีกครั้งพร้อมกับยิ้มอย่างพอใจ
" เหตุใดเจ้าถึงจับเรามา เราไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขาอีกแล้ว" สไบทองถามในสิ่งที่ตนไม่เข้าใจ
" ไม่มีก็แค่นั้น ที่เราจับเจ้ามาเพราะเกี่ยวข้องกับลูกของเจ้า"
" เจ้าจะทำอะไรทำไมต้องมายุ่งกับลูกของเราอีก"
"เราจับเจ้ามาเพื่อให้ลูกของเจ้านำเกราะกายสิทธิ์มาให้กับพ่อของเรา" สไบแก้วแก้ความกังขาให้กับสไบทอง
" เจ้ารู้เรื่องเกราะกายสิทธิ์ได้ยังไง!!"
" เรื่องนี้ออกจะแพร่หลายไปทั่วทุกแห่งหนใยเล่าเราจะไม่รู้ "
" สไบแก้วเราไม่คิดเลยว่าเจ้าเป็นคนเช่นนี้ เรารักเจ้าเหมือนน้องแท้ๆ  เจ้าไม่รักเราบ้างเลยเหรอ"
" รัก? เราจะรักเจ้าทำไมในเมื่อเจ้าไม่ใช่พี่ของเรา"
"  ใช่สิ เสด็จพ่อรับเจ้าเป็นลูกคนหนึ่ง เราก็ต้องเป็นพี่ของเจ้า "
" อย่าพูดดีเลย ตลอดชีวิตนี้เราเคยได้อะไรเท่าเจ้าที่เป็นลูกแท้ๆบ้าง ดีที่เรายังมีท่านพ่ออยู่ ไม่อย่างนั้นเราคงเสียเปรียบไปตลอดแน่"
" เราให้เจ้าตลอดยังเสียเปรียบอยู่อีกเหรอ"
" เจ้าไม่รับรู้ความเจ็บปวดของเราหรอก ฉะนั้นแล้วเจ้าจะต้องเจ็บปวดเสียบ้าง จะได้รู้ว่าความทรมานเป็นยังไง !! "
สไบแก้วพูดจบจึงรีบเดินออกจากห้องไปด้วยความโมโห สไบทองพยายามวิ่งออกตามแต่ไม่ทันประตูที่ปิดลง
" ลูกแม่..เจ้าอย่ามาช่วยแม่นะเจ้าจะเป็นอันตราย " สไบทองร่ำไห้ไม่อยากให้ลูกมาช่วยตนแล้วจึงกลับไปนั่งที่บรรทมดังเดิม
__________________
" ท่านพ่อเราจะทำยังไงต่อไปจ๊ะ " สไบแก้วถามปุโรหิตซึ่งเป็นพ่อแท้ๆของตน
" เราจะต้องรอให้เด็กนั่นมาถึงแล้วเราจะได้ชิงเอาเกราะกายสิทธิ์" ผู้เป็นพ่อตอบคำถามของลูกสาว
"  ถ้าเรารออยู่อย่างนี้แล้วเมื่อไหร่จะถึงล่ะจ๊ะ ข่าวคราวเรื่องเกราะนี่ก็รู้กันไปทั่วแล้ว "
" มันต้องมาถึงเร็วนี้แน่ๆ องค์วิษุวัติบอกเราขนาดนี้แล้ว ระหว่างนี้เจ้าจะทำอะไรกับพระมเหสีสไบทองก็ได้ทั้งนั้น"
" จะ ท่านพ่อ "
" เจ้ารีบไปเถอะ พระสวามีของลูกคงตื่นพระบรรทมแล้ว"
"จะ ท่านพ่อ แล้วลูกจะมาหาท่านพ่ออีก "
กล่าวจบแล้วไสบแก้วก็กลับไปยังพระตำหนักของตน
______

" บดิศรแม่ของเจ้าหายไปไหน" ท้าวพีรเชษฐ์ถามพระโอรสเมื่อตื่นบรรทมแล้วไม่เห็นพระชายาของตน
" เสด็จแม่เสด็จไปเยี่ยมท่านตาพระเจ้าค่ะ " บดิศรตอบคำถามพระบิดา
" แล้วจะกลับเมื่อไหร่ล่ะ? "
" หม่อมฉันกลับมาแล้วเพคะ " สไบแก้วกลับเข้ามาในพระตำหนักแล้วได้ยินเสียงถามถึงตนจึงตอบ
" ทำไมเจ้าไปนานนักล่ะสไบแก้ว" พีรเชษฐ์ถามด้วยความสงสัย
" ไม่นานหรอกเพคะ หม่อมฉันเพียงไปปรึกษาหารือเรื่องหนึ่งก็เท่านั้น "
" เรื่องอะไรกัน" พีรเชษฐ์ขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างกังขา
" เรื่องของวิเศษ เกราะกายสิทธิ์เพคะ " สไบแก้วคลายความกังขาลง
"ของวิเศษ !!" เหล่านางกำนัลพูดกันอย่างสนใจ
" พวกเจ้าออกไปก่อน นี่ไม่ใช่ธุระของพวกเจ้า " สไบแก้วให้เหล่านางกำนัลออกไปเพื่อจะไม่ให้ใครรู้เรื่องเกราะกายสิทธิ์มากนัก
" เสด็จแม่เรื่องนี้ท่านตาไม่ให้บอกใครนะพระเจ้าค่ะ " บดิศรแย้งขึ้นมาหลังจากเหล่านางกำนัลออกไปหมดแล้ว
" ไม่เป็นไรหรอก ทรงเป็นสด็จพ่อของลูก ยังไงรู้ไว้ก็ดีแล้วนี่ " สไบแก้วตอบกลับผู้เป็นลูก
" แล้วเกราะกายสิทธิ์นี่คืออะไรกันสไบแก้ว " พระสวามีถามขึ้นมา
"เป็นเกราะที่มีอานุภาพมากเพคะ หากใครได้สวมใส่ก็จะมีอิทธิฤทธิ์เป็นอย่างมาก"
สไบแก้วกล่าวตอบ
" แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหนล่ะ "
" อยู่ที่พระโอรสสุริยะเพคะ "
" เด็กกาลีบ้านเมืองนั่นไม่ใช่ลูกของเราอย่าพูดแบบนี้อีก!!" พีรเชษฐ์รู้สึกอารมณ์ไม่ดีเมื่อได้ยินชื่อของอดีตพระโอรส
"ขอพระราชทานอภัยเพคะ หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจ" สไบรีบกล่าวขออภัยที่ทำให้พระสวามีอารมณ์เสีย
" ไม่เป็นไร แล้ว เราจะทำยังไงให้ได้มันมาล่ะ " พีรเชษฐ์ถาม
" ต้องรอให้สุริยะมาถึงแล้วเสด็จพ่อก็ทรงดึงเกราะกายสิทธิ์ออกตอนมันเผลอสิพระเจ้าค่ะ" บดิศรตอบคำบิดาแทนมารดาของตน
" แล้วจะมาหาเราได้ยังไงกัน ? "
" ได้สิเพคะ สุริยะต้องมาแน่ " สไบแก้วตอบไปยิ้มไป
...
" องค์เหนือหัวพระเจ้าค่ะ ท่านเสนาอำมาตย์มีเรื่องจะกราบทูลพระเจ้าค่ะ "
เสียงทหารเข้ามารอหน้าประตูกราบทูลให้พีเชษฐ์ไปยังท้องพระโรง
" วันนี้เราไม่ว่าง ให้ท่านปุโรหิตออกว่าราชการแทนเรา " พีเชษฐ์ตอบทหารของตน
" แต่ว่า..."
"ไม่มีแต่!!!! ไปได้แล้ว !! " กษัตริย์ออกปากไล่ทหารให้กลับไปโดยไม่สนใจอะไรเลย
-------
" ท่านอำมาตย์ขอรับ องค์เหนือหัวทรงให้ท่านปุโรหิตออกว่าราชการแทนอีกแล้วขอรับ " ทหารคนเดิมได้บอกกับอำมาตย์เรืองรองเจ้านายของตน
" แปลกจริงๆ นี่ก็ตั้งนานแล้วทำไมองค์เหนือหัวยังไม่ทรงออกว่าราชการเองอีก "
อำมาตย์เรืองรองกล่าวขึ้นเมื่อได้ทราบเรื่องที่ปฏิเสธเช่นเดิม
" ให้ปุโรหิตเฒ่านั่นออกว่าราชการแทนจนจะขึ้นเป็นเจ้าเมืองได้อยู่แล้ว " อำมาตย์พิชัยกล่าวขึ้น
" นี่เมืองใครกันแน่นะ เห้อ..." อำมาตย์เรืองรองทอดถอนหายใจ
.............






หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ ธันวาคม 13, 2017, 08:15:30 PM
ทางฝั่งของอังคาสกับปัทมาสน์  ทั้งหมดเดินทางไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งในยามที่ใกล้จะมีแสงอาทิตย์ ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากเขตเมืองรัตนบุรีเท่าไร
" สุดหล่อไม่ไหวแล้วพระโอรส เดินทางมาทั้งวันทั้งคืนไม่พักเลย " ตัวประหลาดที่เรียกตนเองว่าสุดหล่อพูดด้วยความเหนื่อยที่ประสบมาตลอดจนจะครบวัน
" อะไรกัน ถ้าเราไม่เร่งเดินทางจะมาถึงขนาดนี้เรอะเจ้าตุ้บเท่ง " หิ่งห้อยยักษ์กล่าวตอบคำแทนผู้เป็นนาย
" นี่ก็ใกล้เช้าแล้วเราพักกันสักหน่อยก็คงไม่เป็นอะไรหรอก " พระธิดายักษ์กล่าวขึ้นมาเพราะไม่อยากให้อ่อนล้าเกินไป
" แล้วเสด็จแม่เราล่ะ เรามาถึงขนาดนี้ ไปอีกหน่อยเราก็จะถึงรัตนบุรีแล้ว " พระโอรสมนุษย์กล่าวตอบด้วยเพราะเป็นห่วงพระมารดา
" เถอะน่านี่ก็จะเปลี่ยนวันแล้ว เจ้าไม่นึกถึงตัวเจ้าเจ้าก็น่าจะนึกถึงคนที่เปลี่ยนต่อจากเจ้าบ้างสิ " ปัทมาสน์พูดตอบอย่างรู้ดี
" เจ้าก็รู้เรื่องนี้หรือด้วย? " อังคาสถามขึ้นเพราะไม่เคยสงสัยมาก่อน
" ตอนเถียงกันนึกว่าจะรู้ซะอีก เรารู้อยู่แล้วว่าคนสวมใส่เกราะกายสิทธิ์ต้องเปลี่ยนตัวกันตลอดเจ็ดวัน แต่ไม่ใช่แค่พวกเจ้า พวกเราก็เป็นเหมือนกัน " ปัทมาสน์คลายความสงสัยให้
" เจ้ารู้ได้ยังไง แล้วนี่ทำไมเจ้าเหมือนกับเรา " อังคาสยังคงกังขาอยู่
" เราเคยได้ยินมาแต่เราจำไม่ได้หรอกว่าที่ไหน ออที่เราเหมือนเจ้าเพราะเรามีสังวาลย์มณี " ปัทมาสน์คลายกังขาให้อังคาสอีกครั้ง
" สังวาลย์มณี พี่หิ่งห้อยไม่เคยได้ยินเลยนะพระเจ้าค่ะเห็นแต่พระธิดาเปลี่ยนวันกันจริงๆ " หิ่งห้อยช่วยเสริมเล็กน้อยว่าเห็นจริง
" แล้วมันมีฤทธิ์เหมือนกับเกราะกายสิทธิ์ไหมพระธิดา " สุดหล่อถามอย่างตาวาวเพราะตนไม่ได้สังเกตว่าสังวาลย์จะวิเศษ นึกเพียงว่าเป็นเครื่องประดับอย่างเดียว
" ไม่มีสำหรับตัวประหลาดอย่างเจ้า!!" พระธิดายักษ์เริ่มเคืองเมื่อมีคนถามถึงความวิเศษ
" เราว่าเจ้าไปพักเถอะ เราจะเดินทางไปก่อน " อังคาสออกความเห็นเพราะตนไม่อยากให้เสียเวลา
" ก็ได้แล้วเราจะตามไป " ปัทมาสน์ตอบ

ทั้งสองจึงแยกทางกันไปโดยแสงอาทิตย์ได้ลงมาสาดส่องลงสู่ด้านล่าง เป็นสัญญาณบอกว่าวันใหม่ได้เข้ามาแล้ว

" เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง.....หรือว่าปัทมาสน์มาเที่ยวเล่นอีกแล้ว จริงๆเลยเชียว" ร่างที่เปลี่ยนจากเด็กผู้หญิงกลายเป็นเด็กผู้ชายโดยเด็กชายคิดว่าคนก่อนหน้านี้มาเที่ยวเล่นไกลๆเหมือนเคย เพชรราหูได้มองดูไปรอบๆก็เห็นต้นไม้ต้นหนึ่งสลักอักษรไว้จึงได้อ่านดู
" เพชรราหูตอนนี้มีเรื่องที่เจ้าต้องทำต่อจากเราคือติดตามพวกเกราะกายสิทธิ์ที่มีผู้ติดตามเป็นตัวประหลาดหนึ่งและหิ่งห้อยยักษ์อีกหนึ่ง ไปยังเมืองรัตนบุรี เพื่อช่วยเหลือผู้คน "  พระโอรสน้อยอ่านดูก็รู้ว่าเป็นเรื่องจริงจังหาใช่เรื่องเล่นของพระธิดายักษ์ไม่ ได้ความดังนั้นเพชรราหูจึงรีบเดินทางตามไปโดยทันที
อีกทางหนึ่งพระโอรสอังคาสก็เปลี่ยนเป็นพระธิดาพุทธรัตน์ซึ่งหิ่งห้อยยักษ์ได้เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง
" พี่หิ่งห้อยจ๊ะแล้วคนที่ใส่สังวาลย์เขาจะตามมาเมื่อไหร่ล่ะจ๊ะ " พระธิดาน้อยถามขึ้น
" คงไม่นานหรอกพระเจ้าค่ะ หากพระธิดาเหนื่อยก็ทรงพักผ่อนก่อนได้นะพระเจ้าค่ะ " หิ่งห้อยยักษ์กล่าวด้วยความห่วงใยเพราะร่างกายนี้เมื่อวานก็ไม่ได้ำพักเลย
" ไม่เป็นไรหรอกจะพี่หิ่งห้อย เราไปต่อเถอะ น้องเป็นห่วงเสด็จแม่ " พุทธรัตน์กล่าวตอบแล้วเร่งเดินทางต่อจนถึงเขตเมืองรัตนบุรี
" พระธิดาถึงแล้วๆ นี่ใช่เมืองรัตนบุรีใช่ไหมเจ้าหิ่งห้อย " สุดหล่อได้ถามหิ่งห้อยเมื่อเดินทางมาพบเมืองที่มีกำแพงขาวตั้งตระง่านอยู่
" ใช่แล้วล่ะ " หิ่งห้อยยักษ์ตอบ
" แต่แปลกนะพระเจ้าค่ะพระธิดา ครั้งที่แล้วพี่หิ่งห้อยกับพระโอรสศนิวารมาที่นี่ไม่เห็นมีผู้คนแต่ตอนนี้กลับเห็นผู้คนยังอยู่กันดี " หิ่งห้อยเล่าให้ฟังด้วยความสงสัย
" อาจจะเป็นครั้งที่แล้วที่มาช่วยไปเป็นตัวปลอม เมืองนั่นอาจเนรมิตขึ้นมา แต่เมืองนี้ก็ไม่ควรประมาทเหมือนกันจะ " พุทธรัตน์กล่าวตอบหิ่งห้อยแล้วจึงเดินไปยังหน้าประตูที่ทหารเฝ้ายามอยู่ โดยหิ่งห้อยยักษ์และตุ้บเท่งยังหลบอยู่
" เสด็จแม่เราอยู่ที่ไหนกัน " พระธิดาถามหาพระมารดากับทหาร
" เสด็จแม่อะไรกันล่ะหนู ข้าไม่รู้จัก " ทหารยามถามขึ้นเพราในวังนี้ไม่เคยมีพระธิดาเลยสักคน
" เสด็จแม่สไบทอง " พุทธรัตน์ตอบคำถามพร้อมกับมองหน้าทหาร
" อะไรกันพระมเหสีสไบทองมีแต่พระโอรสหนำซ้ำยังโดนเนรเทศไปแล้ว อย่าเหลวไหลหน่อยเลย " ทหารบอกเด็กผู้หญิงที่เรียกอดีตมเหสีฝ่ายขวาว่าแม่ได้อย่างเต็มปาก
" เราไม่เชื่อ เสด็จแม่ต้องอยู่ในนี้แน่ ให้เราเข้าไปนะ " พุทธรัตน์พูดแล้วจึงพยาพยามจะวิ่งเข้าไปแต่ทหารดักไว้พร้อมชักดาบออกมา
"  อย่าทำร้ายพระธิดานะ " หิ่งห้อยยักษ์รีบบินออกจากที่ซ่อนแล้วมาห้ามเหล่าทหาร
" น..นี่มันหิ่งห้อยยักษ์นี่ พวกเจ้ารีบไปตามท่านอำมาตย์มาเร็ว!! " ทหารที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าเวรยามสั่งให้ทหารคนอื่นไปตามอำมาตย์มา
" เราไม่ได้จะทำอะไรพวกเจ้า เราแค่ต้องการจะพบเสด็จแม่ของเราเพียงเท่านั้น เราไม่ได้อยากทำร้ายพวกเจ้า" พุทธรัตน์พูดแสดงเจตจำนงของตนต่อเหล่าทหาร
"ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอกดูสิเจ้ามีหิ่งห้อยยักษ์ตัวนี้อยู่ พวกเราไม่เชื่อว่าจะปลอดภัย " หัวหน้าทหารยามพูดขึ้นด้วยความไม่ไว้ใจที่เด็กน้อยคนนี้มีสัตว์ข้างกายที่แสนใหญ่โต
" มีเรื่องอะไรกัน !!" เสียงอำมาตย์วัยกลางคนดังขึ้นมาหลังจากที่หัวหน้าทหารพูดได้ไม่นาน
" ท่านอำมาตย์เด็กหญิงคนนี้มาพร้อมกับหิ่งห้อยยักษ์อ้างว่าเป็นลูกของพระมเหสีสไบทองขอรับ " หัวหน้าทหารได้บอกเรื่องที่ตนพบเจอ
" พระมเหสีสไบทองออกจากเมืองนานแล้ว ที่สำคัญพระองค์มีพระโอรสพระองค์เดียว กลับไปเสียเถิด " อำมาตย์เรืองรองกล่าวด้วยความอ่อนโยนเมื่อพบเห็นพุทธรัตน์
" เราเป็นลูกอีกคนของเสด็จแม่ให้เล่าคงยาว ท่านอำมาตย์ให้เราเข้าไปเถอะ " พุทธรัตน์อ้อนวอนด้วยเหตุตนต้องการจะพระมารดาเป็นที่สุด
" กลับไปเถอะ " อำมาตย์พูดเสียงแพ่ว ไม่รู้จะหาคำใดมาพูดให้เด็กน้อยใจอ่อน
" ในเมื่อให้เข้าไปง่ายๆไม่ได้ เราคงต้องใช้วิธีแล้ว......พี่หิ่งห้อย" พุทธรัตน์รู้ดีว่ายังไงคงจะยอมไม่ได้จึงเรียกหิ่งห้อยยักษ์สหายร่วมทางคู่ใจของตนแล้วขึ้นขี่บนหลัง
" พวกเราต้องบินไปแล้วล่ะจะพี่หิ่งห้อย" พระธิดาน้อยกล่าวบอกกับหิ่งห้อย ซึ่งหิ่งห้อยก็รับรู้ในคำนี้ดี จากนั้นหิ่งห้อยยักษ์จึงบินพาข้ากำแพงไปยังด้านใน
" มันเข้าไปแล้ว !!! " ทหารต่างตกใจที่ทั้งคู่ตัดสินใจบินข้ามกำแพงวังไป
" อ้าวพระธิดาไปไม่ชวนสุดหล่อบ้างเลย" ตุ้บเท่งที่คอยมองอยู่ตรงที่ซ่อนนึกเสียดายที่ตนไม่ได้เข้าไปข้างในกับทั้งสอง
" รออะไรอยู่ล่ะ ไปกราบทูลองค์เหนือหัวเร็วเข้า " อำมาตย์เรืองรองรีบสั่งทหารให้กราบทูลเจ้าเมืองเพื่อจะได้ทราบว่ามีผู้บุกรุก
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: NingM ที่ มกราคม 10, 2018, 01:36:31 AM
สนุกมากเลยค่ะ อยากให้บัวกับอังคาส เจอกันบ่อยๆจัง รออ่านทุกวันนะค่ะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มิถุนายน 21, 2018, 09:48:08 AM
ขอขอบคุณคุณ  NingM ที่ติดตามนะคะ จักรกรดไม่ได้มาเป็นเดือนๆเลย w15  ขออภัยด้วยนะคะ ช่วงนี้ตารางชีวิตเริ่มคลายความยุ่งอีกครั้งแล้ว จักกรดมีแพลนจะแต่งต่อค่ะ ส่วนของพระโอรสอังคาสกับบัวแย้มจะได้พบเจอบ่อยเมื่อเติบใหญ่แน่นอนค่ะ คิดว่ากลับมารอบนี้จะแต่งตอนเด็กให้จบ แล้วจะเริ่มตอนโตอย่างเป็นทางการค่ะ w8 w8
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มิถุนายน 21, 2018, 10:46:27 AM
ที่ตำหนักพระมเหสีสไบแก้ว

"องค์เหนือหัวพระเจ้าค่า องค์เหนือหัว" เสียงของทหารคนหนึ่งดังมาแต่ไกล ไม่นานเจ้าของเสียงก็มาถึงอย่างเหนื่อยหอบเพราะด่วนวิ่งมากเกินไป
" มีอะไร ทำไมถึงด่วนมาบอก เกิดอะไรขึ้น? " ท้าวพีรเชษฐ์ถามขึ้นเมื่อเห็นคนส่งข่าวมาถึงอย่างร้อนรน
" คือ..ม.ม....มี..มีผู้..ผู้บุกรุกพระเจ้าค่ะ  " นายทหารรีบกราบทูลเจ้าเมืองเสียงปนหอบยังไม่หายเหนื่อยดี
" มีผู้บุกรุก? แล้วทำไมไม่จัดการเสียหละ มาบอกเราทำไม " องค์เหนือหัวถามขึ้นอีกครั้งด้วยความสงสัย
" ผู้บุกรุกนี้ไม่ใช่คนธรรมดา เป็นเด็กวิเศษขี่หิ่งห้อยยักษ์บินเข้ามาพระเจ้าค่ะ " ทหารตอบอย่างไว
" เด็ก...เด็กนี่ใส่เกราะรึเปล่า " พระมเหสีกล่าวขึ้นอย่างสนใจ พลางนึกถึงพระราชบุตรของอดีตพระมเหสีจะมาช่วยพระมารดา
" ใส่พระเจ้าค่ะ "
"ดี..องค์เหนือหัวเพคะ หม่อมฉันขอเชิญพระองค์เสด็จยังท้องพระโรงเพคะ " เมื่อแน่ใจสไบแก้วจึงทูลพระสวามีอย่างมีเลศนัย
" ทำไมล่ะ " ท้าวพีรเชษฐ์ไม่อยากไปถึงได้ถามขึ้น
" เด็กคนนั้นมีเกราะกายสิทธิ์เพคะ หากพระองค์ทรงรับเป็นพระบิดาแล้วเราจะได้ชิงเกราะได้เพคะ " สไบแก้วกระซิบทูล
" ดี เช่นนั้นเราไปกันเถอะ "
" เสด็จก่อนเถิดเพคะ แล้วหม่อมฉันจะตามไป " สไบแก้วกล่าว เพราะตนต้องทำเรื่องหนึ่งก่อน
" อย่าช้านะ เราไปหละ "  เจ้าเมืองกล่าวเสร็จจึงเสด็จไปยังท้องพระโรง
--------------------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มิถุนายน 21, 2018, 11:44:27 AM
ฝ่ายพระธิดาพุทธรัตน์เมื่อเข้ามาด้านในได้แล้วก็ตามหาพระมารดา แต่หาสักเท่าใดก็ไม่พบเวลาก็จวบจะย่ำค่ำเต็มทน
" เสด็จแม่เพคะ เสด็จแม่ประทับอยู่ที่ไหนเพคะ " พระธิดาส่งเสียงเรียกพระมารดาหวังให้มีเสียงตอบกลับมาบ้างในบริเวณตำหนักริมสระอันแสนเงียบงัน
อดีตพระมเหสีสไบทองได้ยินเสียงก็จำได้ว่าเป็นพระลูกยาจึงจะเปล่งเสียงตอบรับ แต่ยังไม่ได้จะได้พูดก็มีมือคู่หนึ่งมาปิดพระโอษฐ์แน่นทำให้สลบแล้วเจ้าของมือคู่นั้นจึงนำร่างคนสลบไปอีกที่อย่างรวดเร็ว

" พระธิดาพระเจ้าค่ะ " หิ่งห้อยยักษ์กล่าวขึ้นเมื่อตนสังเกตเห็นบางอย่าง
" มีอะไรหรือจ๊ะพี่หิ่งห้อย "
" ตรงข้างซ้ายของตำหนักมีแสงเป็นวงอยู่พระเจ้าค่ะ "
พระธิดาวันพุธรู้เช่นนั้นจึงรีบไปดู เมื่อพินิจแล้วจึงตัดสินใจบอกกับหิ่งห้อยยักษ์
" พี่หิ่งห้อยจ๊ะ น้องว่าสิ่งนี้จะต้องเป็นมิติเชื่อมไปที่ใดที่หนึ่งแน่จะ เราลองเข้าไปดูก่อนดีไหมจ๊ะ "
"ดีพระเจ้าค่ะ " หิ่งห้อยกล่าวเสร็จแล้วทั้งสองจึงเข้าไปในมิตินั้น เมื่อเข้ามาจึงพบว่าเป็นตำหนักว่างเปล่าธรรมดาๆเพียงเท่านั้น
" หรือว่าเสด็จแม่จะไม่อยู่ที่นี่กันจ๊ะ" พระธิดากล่าวพลางถอดถอนใจที่ไม่ได้เจอผู้เป็นมารดาของตนเสียแล้ว หิ่งห้อยยักษ์ไม่รู้เช่นกันแต่ไม่ได้กล่าวอะไรในใจก็นึกสงสารพระธิดาน้อยองค์นี้จับใจ

ไม่นานประตูตำหนักก็เปิดออกหาใช่มีลมหรือมหัศจรรย์ใดแต่เป็นการเปิดของนางกำนัลคนหนึ่ง ทำให้ทั้งคู่ตกใจเป็นอย่างมาก ยังไม่ทันสิ้นความตกใจนางกำนัลก็ได้กล่าวขึ้นมา
" หม่อมฉันทูลเชิญพระธิดาเสด็จยังท้องพระโรงเพคะ"
" แต่เราบุกรุกมานะ ไม่เป็นความผิดหรือจ๊ะ" พุทธรัตน์กล่าวถามอย่างกลัวความผิด
" ไม่หรอกเพคะ องค์เหนือหัวทรงปรารถนาที่จะเห็นพระพักต์พระธิดามากเพคะ"
"เสด็จพ่ออยากพบเรางั้นเหรอ หรือว่าทรงให้อภัยเสด็จแม่กับเราแล้ว ไปกันเถอะจะพี่หิ่งห้อย " พระธิดาได้ยินเช่นนั้นก็ดีพระทัยอย่างมากที่จะได้พบหน้าพระบิดาจึงรีบตามนางกำนัลไปยังท้องพระโรงในทันที
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มิถุนายน 23, 2018, 09:16:16 AM
ครั้นเมื่อถึงท้องพระโรงแล้ว ท้าวพีรเชษฐ์ทรงทอดพระเนตรเห็นเกราะที่มีแสงสีมรกตแล้วเกิดความปรารถนาที่จะได้สัมผัสสักครั้งก็ยังดี มองได้ไม่นานก็ต้องทำตัวปกติเพื่อกันไม่ให้เจ้าของเกราะวิเศษสงสัย ทรงให้เหล่าข้าราชบริพารอออกไปแล้วกล่าวปราศรัยกับพระธิดา
" ลูกพ่อทำไมมาถึงที่นี่ได้แล้วสุริยะหละ " เจ้าเมืองแกล้งคุยอย่างสนิทสนมเหมือนพ่อลูก ด้วยรับรู้ว่าเด็กหญิงคิดว่าตนเป็นบิดา
" ลูกมาตามหาเสด็จแม่เพคะ สุริยะจะปรากฏในวันอาทิตย์เพคะ "
" ยังไงกัน " ท้าวเธอรู้สึกฉงนกับคำพูดของพุทธรัคน์
" เพราะว่าการสวมเกราะกายสิทธิ์จะมีลูกมีทั้งหมดเจ็ดคน จะผลัดเปลี่ยนกันมาในแต่ละวันเพคะ "พระธิดาแก้ข้อกังขาแห่งพระบิดา
"ออ...แล้วที่บอกว่าตามหาเสด็จแม่ ทำไมถึงมาที่นี่หละ "
" ลูกคิดว่าเสด็จแม่อยู่ที่นี่เพคะแต่ไม่พบ ดังนั้นลูกจะออกไปตามหาเสด็จแม่ที่เมืองอื่นเพคะ "
"( แปลกจริง สไบทองก็จากเราไปแล้วจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน) " พระราชาครุ่นคิดอยู่ในใจแต่ไม่ได้ตรัสอันใด
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มิถุนายน 23, 2018, 01:10:50 PM
" จะไปเลยเหรอ นี่ก็เริ่มมืดแล้ว น้าว่าพักที่นี่ก่อนดีกว่า " สไบแก้วกล่าวขึ้นกันไม่ให้เกราะกายสิทธิ์นั้นหายไปไกลจากตน
" คงจะไม่ได้เพคะ หม่อมฉันจะต้องพบเสด็จแม่ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะมีอันตรายหรือไม่ "
" ไม่หรอกน่า พักก่อนนะ " นางกล่าวอย่างรู้ดี จะไม่ให้รู้ดีได้อย่างไรในเมื่อนางเป็นคนจับขังสไบทองไว้เอง
" เอาเถอะ พักที่นี่สักคืน ถือว่าพ่อขอเถอะนะ" พระบิดากล่าว
" ไม่ได้เพคะ " พระธิดายืนยันคำเดิมอย่างหนักแน่น
" เช่นนั้นก็ได้ แต่ก่อนไปพ่อขอกอดลูกสักครั้งนึงเถอะ " ท้าวพีรเชษฐ์กล่าวเช่นเพื่อให้ลูกตนมาใกล้เพื่อจะได้สัมผัสเกราะแล้วช่วงชิงมา
"เพคะ " พระธิดารับคำขอของพระบิดาแล้วเข้าไปสู่อ้อมกอด
เมื่่อพระราชากอดพระลูกยาเกิดรู้สึกรักใคร่ผูกพันแสนท่วมท้น แต่ทว่ากอดไม่นานท้าวเธอก็ผลักออกทันทีด้วยตกใจระคนกับสับสนในความรู้สึกของตนเอง ทั้งที่ในตอนแรกตนนั้นอยากได้เกราะวิเศษแต่เหตุใดกลับรู้สึกอาลัยไม่สนใจเกราะกายสิทธิ์แทน พุทธรัตน์รู้สึกตกใจและฉงนในการกระทำของบิดาแต่ไม่ได้กล่าวอันใดจึงไดตัดสินใจลา
"ทูลลาเพคะเสด็จพ่อ " กล่าวเสร็จจึงเดินกลับไปพร้อมกับหิ่งห้อยยักษ์ สไบแก้วเห็นดังนั้นจึงทูลให้พระสวามีทัดทานแต่ไม่เป็นผล

" พระธิดาจะเสด็จไหนพระเจ้าค่ะ!!!"เสียงอันดังของคนที่เพิ่งเข้ามาทำให้พุทธรัตน์หันกลับไปมอง แล้วจึงเห็นพระมารดาตนอยู่กับคนผู้นั้น
" เสด็จแม่!!!!"
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มิถุนายน 23, 2018, 04:24:53 PM
" พุทธรัตน์หนีไปลูก ไม่ต้องห่วงแม่ "  สไบทองพูดให้ดวงใจหนีไปด้วยกลัวว่าจะเป็นอันตราย
" นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมสไบทองถึงมาอยู่ที่นี่ได้ " ท้าวพีรเชษฐ์กังขากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
" คือว่า..." สไบแก้วไม่อาจจะสรรหาคำพูดใดมาตอบองค์ภัสดา
"กระหม่อมจับมาเองพระเจ้าค่ะ " ชายชราที่จับตัวสไบทองทูลต่อเจ้าแผ่นดิน
" ไม่เห็นจะต้องทำขนาดนี้ เราขอให้ท่านปล่อยสไบทองเถอะ อย่าได้ทำร้ายนางเลยนะท่านปุโรหิต "  ท้าวเธอยังรู้สึกห่วงอดีตพระมเหสีอยู่บ้างจึงได้ออกคำสั่งกับคนที่จับพระนางไว้
"ไม่พระเจ้าค่ะ กว่าเกราะนี่จะมาไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะพระเจ้าค่ะ " ปุโรหิตยืนกราน
" ท่านปุโรหิต ปล่อยเสด็จแม่เราเถอะนะ ท่านอยากได้อะไรเราจะให้ท่านทุกอย่าง พุทธรัตน์อ้อนวอนต่อบิดาของสไบแก้ว
" ได้พระเจ้าค่ะ แต่พระธิดาจะต้องยกเกราะกายสิทธิ์ให้กับกระหม่อม" ผู้เฒ่าเสนอข้อต่อรอง
" เรายอมแล้ว ขอเพียงปล่อยเสด็จแม่ของเราก็พอ"
" อย่านะลูก!! " พระมารดาได้ค้านความคิดของพระบุตรี
หิ่งห้อยยักษ์เห็นท่าไม่ดีจึงคิดเข้าไปช่วยแต่มิอาจทำได้ด้วยเหตุเพราะมีมนต์ดำคุ้มกันไว้ไม่ให้เข้าไปใกล้
" ทหารมาเร็วเข้า ทหาร!! " เจ้าเมืองเรียกทหารอย่างร้อนรน ในขณะที่เจ้าเมืองเรียกอยู่นั้นพระธิดาได้ถอดเกราะกายสิทธิ์ออกปรากฏร่างอันพิการน่าสงสารของพระโอรสสุริยะมาแทนที่
" ปล่อยเสด็จแม่เราเถอะนะ แล้วเราจะให้เกราะกายสิทธิ์แก่ท่าน " พระโอรสพูดอย่างทุลักทุเล
"ไม่ได้พระเจ้าค่ะ พระโอรสต้องส่งเกราะมาให้กระหม่อมก่อนแล้วกระหม่อมจะปล่อย"
ท้าวพีรเชษฐ์ร้อนใจนัก เรียกหาทหารสักเท่าใดไม่เห็นใครมา ใครเล่าจะมา ในเมื่อมีคนของปุโรหิตขัดขวางอยู่ ท้าวเธอจึงตัดสินใจลงมาห้ามภอีกครั้ง
"หยุดนะ !!จะทำอะไรไม่สนเราเลยเหรอ ท่านไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้ ปุโรหิต "
" สนพระเจ้าค่ะแต่เกราะนี้ก็สำคัญไม่แพ้กัน " ชายชรากล่าวตอบพลางจับสไบทองไว้แน่นกว่าเดิม
" รับเกราะของเราไปเถอะ " พระโอรสส่งเกราะกายสิทธิ์ให้กับเฒ่าเจ้าเล่ห์ผู้นั้นอย่างมีหวังให้ปล่อยพระมารดา  แต่ทว่าเมื่อปุโรหิตได้เกราะวิเศษมาก็มิได้ปล่อยสไบทองแต่อย่างใดกลับมีจิตคิดสังหารเจ้าของเกราะด้วยซ้ำไป
"ฮ่าๆ เจ้ามันหน้าโง่ไม่เปลี่ยนแปลง วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าให้ตายซะ" พูดจบทันใดเฒ่าปุโรหิตก็ใช้เกราะกายสิทธิ์ทำร้ายพระโอรสในทันที พระบิดามิอาจทนเห็นพระโอรสวายชนม์จึงนำตนเองมากำบังทำให้สิ้นพระชนม์อย่างรวดเร็ว




หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มิถุนายน 23, 2018, 05:28:43 PM
"เสด็จพ่อ !! / เสด็จพี!! " พระโอรสสุริยะและพระมเหสีสไบทองร้องเรียกท้าวพีรเชษฐ์อย่างตกใจระคนกับเสียใจเป็นอย่างมาก 
สไบแก้วรีบวิ่งเข้ามาโอบกอดร่างอันไร้วิญญาณของพระสวามีอย่างใจแทบแหลกสลายน้ำตาไหลนองหน้า
" พวกเจ้าทำให้พระสวามีเราต้องตาย...ท่านพ่ออย่าได้ไว้ชีวิตพวกมัน " สไบแก้วบอกพ่อของตนเสียงสั่นสะท้าน
ปุโรหิตได้ยินดังนั้นจึงใช้เกราะกายสิทธิ์ทำการสังหารพระโอรสอีกครั้งเพราะคิดว่าไม่มีผู้ใดจะสามารถขัดขวางได้อีก
แต่ผิดคาด  ในขณะที่ใช้เกราะวิเศษอยู่นั้นมีแสงสีโกเมนสาดส่องมาต้านพลังของเกราะกายสิทธิ์ให้หายไป ซึ่งแสงนั้นมาจากสังวาลย์ของพระโอรสเพชรราหูแห่งท้าวธีรชัย ช่วงที่แสงสาดส่องสร้างความเจ็บแสบในดวงตาของผู้คนในท้องพระโรงอยู่นั้น เพชรราหูได้ชิงเกราะกายสิทธิ์จากปุโรหิตและนำพรรคพวกของตนออกมายังป่าบริเวณรอบเมืองรัตนบุรีในเพลาใกล้รุ่ง
" พวกเรารอดปลอดภัยแล้ว ต่อไปก็กลับกันเถอะ " พระโอรสแห่งเมืองคีรีมาศพูดพลางส่งเกราะกายสิทธิ์ให้พระโอรสสุริยะสวม แต่พระโอรสสุริยะไม่สวมเกราะกลับกอดไว้กันแสงพร้อมกับพระมารดา
" อะไรกัน จะร้องไห้ไปทำไมนัก..เอ่อ..พระเจ้าค่ะ ปลอดภัยก็ดีแล้วจะได้เกราะคืน ..เอ๊ย!!...กลับเมือง" ตุ๊บเท่งถามขึ้นอย่างสงสัยในกริยาของสองเชื่อกษัตริย์
" เสด็จพี่ปกป้องเรากับลูกให้พ้นอันตรายจนถึงแก่ชีวิต เราจะดีใจได้ยังไงกัน " สไบทองอาลัยองค์ภัสดาเป็นอย่างมาก
" เราไม่ดีเองที่เกิดมาพิการเป็นง่อย รังแต่จะทำให้เสด็จแม่กับเสด็จพ่อต้องลำบากพระวรกายและพระทัย มีเกราะกายสิทธิ์แล้วยังไง เราก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี "  สุริยะกล่าวโทษเป็นความผิดของตนอย่างเจ็บปวด
" อย่าพูดอย่างนี้เลยลูกแม่ ลูกไม่ผิดอะไร " สไบทองกอดลูกสะอื้นไห้ไม่หยุดหย่อน  สุดหล่อทนฟังเสียงร้องไห้ต่อไปไม่ไหวจึงเดินหนีไปไกลๆ หิ่งห้อยนิ่งเงียบไม่รู้จะปลอบอย่างไร เพชรราหูเห็นเช่นนั้นก็สังเวชทำได้ถอดถอนใจที่ไม่อาจช่วยคลายความเศร้าใจได้ ผ่านไปสักเพลาหนึ่ง แสงจากดวงอาทิตย์ได้สาดส่องลงมากระทบสังวาลย์มณีทำให้พระโอรสเปลี่ยนเป็นพระธิดาในอีกวัน...
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: NingM ที่ มิถุนายน 28, 2018, 03:31:15 AM
สู้ๆนะค่ะเอาใจช่วยอยู่เสมอ  w26
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กรกฎาคม 05, 2018, 09:11:35 AM
ขอบคุณคุณ NingM มากค่ะ เว้นมาเป็นอาทิตย์แล้วยังไม่ได้แต่งต่อเลยวันนี้พอมีเวลาว่างจะแต่งต่อค่ะ  w8 w8
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กรกฎาคม 05, 2018, 09:46:05 AM
" เกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกท่านถึงได้ร้องไห้กันขนาดนี้ " พระธิดาจินดาผู้ใส่สังวาลย์สีบุษราคัมถามขึ้นเมื่อพบกับคนสองคนกันแสงไม่หยุดหย่อน
ทางฝั่งพระมเหสีสไบทองและพระโอรสสุริยะได้ยินเสียงถามไถ่ก็มิอาจทำใจตอบได้ยังคงกันแสงต่อไป หิ่งห้อยยักษ์จึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้จินดาฟัง เมื่อจินดาฟังดังนั้นจึงนึกได้แล้วกล่าวกับสองแม่ลูก
" ได้โปรดหยุดกันแสงเถอะเพคะพระมเหสี พระโอรส กันแสงไปก็ไม่สามารถจะทำให้พระพีรเชษฐ์ฟื้นคืนมาได้หรอกนะเพคะ "
" เจ้าจะเข้าใจอะไรพวกเรา เจ้าไม่เคยสูญเสียเหมือนกับพวกเราทั้งสอง" สไบทองกล่าวตอบเสียงปนสะอื้นแล้วกอดลูกร้องไห้ต่อ
พระธิดาจินดามีหรือจะไม่เข้าใจความสูญเสียในเมื่อตนนั้นสูญเสียพระมารดาตั้งแต่ยังไม่รู้ความ ถึงจะไม่ใช่การสูญเสียที่รับรู้ในคราวแรกแต่เป็นการสูญเสียระยะยาวเสมอมาตลอดชีวิต
" หม่อมฉันอาจจะไม่เข้าใจแต่ว่า..หม่อมฉันยังพอมีวิธีที่จะทำให้พระพีรเชษฐ์ฟื้นคืนชีพมาได้เพคะ " จินดากล่าวขึ้นมาทำให้สไบทองหยุดร้องไห้หันมาด้วยความฉงนระคนกับดีใจ
" จะทำได้จริงเหรอ....แต่ว่าองค์เหนือหัวสิ้นไปแล้วจะกลับมาได้ยังไง "
" ทำได้เพคะ หม่อมฉันได้ดูดวงพระชะตาของพระองค์ยังไม่ถึงฆาต ตราบใดที่พระวรกายและพระวิญญาณยังอยู่ก็สามารถทำพิธีเรียกพระวิญญาณคืนสู่พระวรกายได้เพคะ "
"จริงเหรอช่วยเสด็จพ่อได้จริงๆใช่ไหม " สุริยะได้ยินสิ่งที่จินดาพูดจึงถามอีกครั้งให้แน่ใจ
" จริงสิ เราไม่โกหกหรอก สวมเกราะก่อนดีกว่าจะได้ช่วยพระองค์ต่อไป " พระธิดากล่าวพร้อมกับส่งเกราะกายสิทธิ์ให้พระโอรสสวม พระโอรสสุริยะรับเกราะมาสวมเปลี่ยนร่างจากพิการสู่ร่างที่สมบูรณ์ของพระโอรสอีกพระองค์คือพระโอรสภูมินทร์ผู้มีรัศมีแห่งความเมตตา   
 จากนั้นทั้งหมดยกเว้นตุ้บเท่งจึงได้ร่วมกันคิดวางแผนที่จะนำพระวรกายแห่งท้าวพีรเชษฐ์มายังป่านี้ต่อไป

หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กรกฎาคม 05, 2018, 10:52:04 AM
 ด้านฝั่งในวังเมืองรัตนบุรี เหล่าขุนนางและข้าราชบริพารทั้งน้อยใหญ่ได้ทราบข่าวการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์ผู้ครองเมืองสร้างความเสียใจและความแปลกใจแก่ทุกคนเป็นอย่างมาก แต่ถึงกระนั้นเหล่าขุนนางตัดสินใจที่ยังจะไม่บอกกล่าวแก่ประชาชนชาวเมืองที่อยู่นอกวังให้รับรู้การจากไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้
  ปุโรหิตเฒ่าไม่ต้องการให้เสียตำแหน่งจึงรีบกล่าวกับเหล่าขุนนางให้รีบแต่งตั้งพระโอรสบดิศรหลานของตนขึ้นครองราชย์ในทันที แต่ทว่าบดิศรยังไม่ต้องการเพราะยังเสียใจในการจากไปของพระบิดาที่ตนเพิ่งรู้ข่าวเมื่อตอนรุ่งเช้าเท่านั้น   
  ในขณะเดียวกันอำมาตย์เรืองรองนึกเคลือบแคลงสงสัยในตัวปุโรหิตว่าสาเหตุการสิ้นพระชนม์คราวนี้คงต้องเกี่ยวกับปุโรหิตเป็นแน่แท้ แต่มิอาจแสดงออกมาได้ต้องคอยดูท่าทีไปเสียก่อน
................................................
ในพระตำหนักใหญ่ที่มีพระวรกายของท้าวพีรเชษฐ์อยู่นั้น  มีแมลงภู่สองตัวบินมายังที่แห่งนี้เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีผู้ใดอยู่ในตำหนักจึงได้เปลี่ยนจากแมลงภู่กลับคืนสู่ร่างมนุษย์ดังเดิม พระโอรสภูมินทร์เมื่อคืนร่างได้กราบพระบาทของพระบิดาแล้วมองดูพระพักตร์ของพระบิดาตน ขณะเดียวกันกับสองตาหลานได้เดินมาและพูดคุยกันอยู่ด้านหน้าประตู
" ท่านตา ทำไมเสด็จพ่อถึงได้สิ้นพระชนม์ได้ในเมื่อในวังนี่แน่นหนาขนาดนี้ " บดิศรได้ถามขึ้นด้วยเพราะรู้สึกติดข้างอยู่ในใจ
" ก็พระโอรสสุริยะน่ะสิเป็นคนสังหารองค์เหนือหัว " ปุโรหิตตอบคำถามผู้เป็นหลาน
" ไอ้ง่อยน่ะเหรอท่านตา มันง่อยขนาดนั้นหลานก็รังแกมันตลอดมันจะทำอะไรใครได้กัน " หลานนึกฉงน
" ก็พระโอรสง่อยน่ะเป็นภูติผีปีศาจที่ยอมเพราะกลัวบารมีหลานน่ะสิ แต่เพราะแค้นองค์เหนือหัวจึงมาหลอกล่อแล้วฆ่าเสีย " ปุโรหิตนั้นรู้อยู่แก่ใจว่าอะไรเป็นอะไรแต่คิดจะหลอกให้หลานเชื่อใจจึงได้ตอบสิ่งเท็จเช่นนั้น
 ฝั่งพระธิดาจินดาได้ยินเช่นนั้นจึงเตือนพระโอรสภูมินทร์ ทั้งหมดจึงแปลงกายตนและเจ้าเมืองเป็นแมลงภู่พากันบินหนีไปเป็นเวลาเดียวกับที่บดิศรเปิดประตูมาแล้วพบกับความว่างปล่าวบนแท่นบรรทมแลเห็นแต่แมลงภู่ที่บินออกหน้าต่างไปจึงได้กล่าวออกมา
" เสด็จพ่อหายไปไหน ทำไมมีแต่แมลงภู่บินตัวติดกันออกไป"
ปุโรหิตได้ยินดังนั้นก็แจ้งใจในทันทีว่ามีคนแปลงกายมาพาพระวรกายท้าวพีรเชษฐ์ไป จึงได้สั่งเหล่าบริวารให้ตามจับแมลงภู่ แต่มิอาจจับได้เพราะแมลงภู่ได้บินสูงเสียดฟ้าเข้าในม่านเมฆไป แมงภู่ได้แปลงเปลี่ยนเป็นนกแก้วคาบผลองุ่นบินไปยังที่ที่ได้นัดหมายไว้ในป่าแล้วกลับกลายร่างเป็นคนดังเดิม ปุโรหิตเจ็บใจที่ไม่อาจขัดขวางได้แม้แต่แมลงภู่แต่ไม่จนหนทางเพราะรู้ว่าใครเป็นคนทำจึงได้ใช้มนต์ดำตรวจดูว่าอยู่กันที่ใดแล้วจึงตามไปพร้อมกับบดิศร
สไบทองเมื่อเห็นร่างของภัสดามีจึงได้กอดร่างอย่างอาลัย จินดาไม่รอช้ารีบบอกให้พากันไปอยู่ในถ้ำเพื่อให้ปลอดภัย
" แล้วพวกเราจะทำยังไงกันต่อไปล่ะท่าน " พระโอรสได้ถามกับพระธิดา
" เราจะสอนมนต์เรียกพระวิญญาณให้แก่ท่าน แล้วพวกเราก็แยกย้ายกันตามหาพระวิญญาณให้เข้าสู่พระวรกายภายในยามสอง " พระธิดากล่าวตอบ เมื่อสอนมนต์เสร็จจึงได้แยกย้ายกันออกตามหาพระวิญญาณโดยให้พระมเหสีและหิ่งห้อยยักษ์เฝ้าร่างในถ้ำ ก่อนแยกย้ายพระโอรสและพระธิดาได้ใช้มนต์มิติปิดหน้าถ้ำไม่ให้เข้าไปทำอันตรายได้...
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ เมษายน 20, 2020, 12:15:10 PM
ฝ่ายบรดิศรได้เดินทางออกตามหาก็พบกับถ้ำที่คาดว่าเป็นแหล่งพักพิงและกบดานของมนุษย​์ได้เป็นอย่างดี​ เขาไปที่ปากถ้ำแต่พบว่ามีมนตรากำบังปิดเอาไว้ด้วยความที่รีบร้อนจึงใช้มนตราและกำลังที่ตนได้ฝึกฝนกับผู้ให้กำเนิดมารดาเข้าทำลาย​มนต์​มิตินั้น​ แทนที่จะถูกทำลายกลับทำให้บดิศรต้องไปติดอยู่ในมิตินั้นแทน​
"นี่มันอะไรกัน!! ทำไมข้าถึงติดอยู่ที่นี่​ ปล่อยเราเดี๋ยวนี้นะ!!" เขาใช้มือทุบตีมิติที่แข็งราวกระจกกั้นแต่ไม่แตกง่ายดายเช่นนั้น​ ออกแรงไปได้สักพักต้องหยุดเสียเพราะอ่อนแรง
ด้านฝั่งของพระโอรสภูมินทร์ที่ตามหาวิญญาของพระบิดาได้มายังบริเวณกลางป่าที่อยู่ระหว่างทางเข้าเมืองได้เห็นแสงพระจันทร์​สาดส่องสว่างไสวแจ่มชัดเป็นที่สุดพลางคิดในใจว่า"หากเป็นเสด็จพ่อคงจะอยู่แถวนี้เป็นแน่" เพราะความสว่างคือหนทางที่ทุกผู้คนต่างต้องการ​ คิดดังนั้นแล้วจึงได้ตั้งจิตอฐิษฐาน​ให้ได้พบพระบิดาแล้วกล่าวออกมาว่า
"เสด็จพ่อเจ้าค่ะ ได้โปรดมาพบลูกเถิด​ ชะตาพระองค์ไม่ได้ถึงฆาต​ หากทันเวลาเราจะสามารถช่วยประชาราษฎร์​ให้พ้นภัยได้นะพระเจ้าค่ะเสด็จพ่อ" ในขณะที่​กล่าวสายตาของพระโอรสก็ได้มองหาพระบิดา
"ลูก.. ลูกของพ่อ.. เจ้าคือลูกของพ่อใช่หรือไม่"  เสียงของผู้เป็นบิดาดังขึ้นมาพร้อมความใกล้ชิดที่เข้ามาข้างกายผู้เป็นบุตร
" พระเจ้าค่ะเสด็จพ่อ​ " ภูมินทร์​ดีใจเป็นอย่างมากที่ได้พบกับพระบิดาแต่เมื่อรู้สึกตัวได้ว่ามีเวลาไม่มากสำหรับการคืนชีพจึงได้รีบพาวิญญาณ​ไปยังถ้ำที่ไว้ร่างนั้น​ เมื่อมาถึงจึงได้พบกับร่างสะท้อนในมิติที่เป็นของบดิศรนั่งอ่อนแรงอยู่
"เจ้าเป็นใคร​ ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!! "เมื่อทันทีที่ได้้เห็นคนผ่านมาหมายจะเข้าไปด้านในถ้ำจึงคำนวณได้ไม่ยากว่ามิตินี้เป็นฝีมือของใคร​ เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่พยายามทุบมิติเพื่อเรียกร้องการปลดปล่อยตนจากพันธนาการเสีย
"ภูมินทร์.. กับพระองค์​" จินดาพูดพลางมองไปด้านข้างกายอีกคน​สร้างความไม่เข้าใจให้กับผู้ถูกคุมขัง​ เขาเห็นอยู่กันแค่สองคนแล้วพระองค์​นี่หรือคือใครกัน
"ดีแล้วที่หาพบทันแต่เราไม่มีเวลามากนักคงต้องรีบเสียแล้วล่ะ" พูดพลางผ่าช่องมิติเปิดทางให้ได้เข้าไปด้านในกันทั้งสาม
" ไว้เสร็จ​กิจแล้วเราจะมาคุยด้วยนะบดิศร"กล่าวเสร็จก็รีบรุดเข้าไปทันทีสร้างความไม่พอใจเป็นอย่างมากต่อผู้ถูกเรียกทั้งที่ตนไม่รู้ว่าเขาเป็นใครแต่อีกฝ่ายกลับรู้จักตนเสียนี่
" เสด็จ​แม่​ ลูกมากับเสด็จพ่อแล้วพระเจ้าค่ะ"
"ไหนล่ะเสด็จพ่อของลูก แม่ไม่เห็นเลย" ดวงตาของนางมองหาอดีตภัสดาด้วยอาลัย
" ผู้ที่ใช้จิตตามอัญเชิญ​พระวิญญาณ​จะสามารถเห็นได้เพคะ​ เห็นทีต้องรีบทำพิธีแล้ว.. ภูมินทร์ท่านจำบทเรียกพระวิญญาณที่เราสอนให้ขึ้นใจดีแล้วใช่หรือไม่"จินดาตอบพระมารดาของสหายเฉพาะกิจแล้วถามอีกคนเพื่อความแน่ใจ
" เราจำได้ท่านไม่ต้องกังวล"
"ขอเชิญ​องค์เหนือหัวพีรเชษฐ์​ทรงประทับบนพระวรกายของพระองค์​เพคะ​ ตั้งจิตอฐิษฐาน​ตั้งมั่นแน่วแน่​ เริ่มสวดเรียกพระวิญญาณ​สู่ร่างได้"ท้าวเธอทำตามคำเชิญแล้วพนมมือตั้งจิตมั่นพร้อมกับโอรสาที่ท่องบทสวด  ส่วนผู้นำทำพิธีได้นำใบสรรพชีวีมาโรยรอบพระวรกายราวกับดอกไม้ร่วงงามยามสุขสันต์​แล้วทำการเจิมที่กลางหว่างคิ้วของพระราชาส่งผลให้ร่างกายและวิญญาณ​เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอีกครั้ง​ บัดนี้ทรงได้ฟื้นคืนชีวีมาแล้วนั่นเอง​ สไบทองดีใจและพอใจที่คนที่ตนรักยังไม่สิ้นสูญสลายไป​
"สำเร็จแล้วพระเจ้าค่ะพระโอรส" หิ่งห้อยยักษ์​กล่าวด้วยความยินดีต่ออีกผู้เป็นนาย
"สไบทอง..พี่กลับมาแล้ว" ทันทีที่รู้สึกตัวตนได้เข้าโผกอดหญิงอันเป็นที่รักโดยอีกฝ่ายได้รับความรู้สึกนั้นโดยวางความช้ำชอกจิตเมื่อคราก่อนไว้แล้วกล่าวกับสวามี
"เสด็จ​พี่ทรงกลับมาแล้ว​.. ภูมินทร์ได้ช่วยเสด็จพี่ไว้เพคะ" พลางมองมองไปยังพระบุตรตนที่​สรวลด้วยใจปิติ
"ไม่ใช่ลูกหรอกพระเจ้าค่ะ หากแต่เป็นพระธิดาจินดาที่่ได้ช่วยพระชนม์เสด็จพ่อไว้"
"เอาเป็นว่าเราร่วมมือกันจะเหมาะสมกว่าเพคะ" จินดาธิดาน้อยกล่าว
"จริงสิ.. แล้วบ้านเมืองเราล่ะ​ จะทำอย่างไรดี" เมื่อนึกขึ้นได้ท้าวเธอจึงรีบปรึกษาหาหนทางต่อ
"เท่าที่ลูกไปยังเมืองเพื่อนำพระวรกายเสด็จพ่อมา พบว่าบ้านเมืองยังสงบสุขอยู่พระเจ้าค่ะ ท่านปุโรหิตรอแต่ให้บดิศรขึ้นครองราชย์​เท่านั้น​" เมื่อกล่าวตอบพระบิดาพลันให้นึกถึงผู้ที่ถูกกล่าว​ ตัวเขายังอยู่ในมิติอยู่เลย
" จริงด้วย​ บดิศรยังอยู่ในมนต์มิติ​ เสด็จพ่อ​ เสด็จแม่​ ลูกขอไปนำบดิศรออกมาก่อนนะพระเจ้าค่ะ" ไม่ว่าปล่าวตัวก็รีบรุดไปทันที​ โดยมีจินดาและพี่หิ่งห้อยตามออกไป
" บดิศรตามเรามาถึงนี่เลยหรือ" สไบทองพึมพำออกมาด้วยความประหลาดใจ
"พี่ว่าบดิศรคงมาตามหาพี่​ อย่างไรเสียพี่ก็เป็นพ่อเขาคนนึงเช่นกัน"พีรเชษฐ์​กุมมืออีกฝ่ายแล้วตอบอีกฝ่ายเพื่อคลายกังวล
อีกด้านของถ้ำ​ทั้งสามได้มาพบกับบดิศร
"เราเสร็จกิจธุระแล้วบดิศร​" ภูมินทร์ปรากฏตัวต่อหน้าโอรสาผู้เป็นน้อง
"นี่มันอะไรกัน​ เสด็จพ่อข้าอยู่ไหน​ แล้วรู้ชื่อข้าได้ยังไงกัน!! "น้ำเสียงของอีกฝ่ายมีความโกรธาที่ปะทุอยู่รู้สึกได้ชัดเจน
"เราเป็นพระโอรสของเสด็จพ่อ​ เราอยู่ร่างเดียวกันกับสุริยะ​ เราพอจะรู้เกี่ยวกับท่านเพราะท่านเป็นน้องของเรา"
"ร่างเดียวกัน​ อะไรกันเจ้าพล่ามอะไร​ ไอ้ง่อยมันจะมีพี่น้องร่างเดียวกันได้ยังไง​ ที่สำคัญข้าน่ะไม่ใช่น้องไอ้ง่อยและก็เจ้าด้วย!!"
"มันเกิดจากเกราะกายสิทธิ์​ที่สวมใส่​ ช้ามากคงไม่ทันเล่าหรอก​ เอาเป็นว่าเรากับจินดาจะปล่อยท่านไปก่อนพระอาทิตย์​จะขึ้น"
" คนเช่นนี้เราไม่อยากปล่อยเลย​ ดูพูดกับท่านสิไม่ให้ความเคารพกันอีก" พระธิดาต่างเมืองกล่าวขึ้นมาด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย
" เอาเถอะยังไงเขาก็เป็นลูกคนนึงของเสด็จพ่อ​ เราไม่อยากบาดหมางใจด้วย​" อีกฝ่ายส่งสายตาขอความเห็นใจเพราะมนตรานี้จะต้องแก้ด้วยคนสองคนถึงจะหายไปได้​
" ได้เราตกลง" จากนั้นทั้งสองคนได้​บริกรรม​พระคาถาแต่ทว่าแสงจากดวงอาทิตย์​ได้สาดส่องมาทำให้วันนั้นเปลี่ยนไปกายคนก็เปลี่ยนตาม
" พระธิดาประกายพฤกษ์​พระเจ้าค่ะ" หิ่งห้อยยักษ์เรียกอีกคนเมื่อลืมตามองมายังมิติ
"นี่มันอะไรกันจ๊ะพี่หิ่งห้อย​ ทำไมบดิศรถึงได้ติดอยู่ในนั้น​ " พระธิดารัตนบุรีถามขึ้นด้วยความสงสัย
"จินดาขังใครไว้อีกล่ะนี่" เสียงเด็กชายพูดออกมาหลังจากรู้สึกตัว
"พระธิดาจินดากับพระโอรสภูมินทร์ทรงสร้างมนต์​มิติกันไม่ให้ใครล่วงล้ำไปในถ้ำเพื่อหาองค์เหนือหัวกับพระมเหสีพระเจ้าค่ะ" แมลงส่องแสงตัวใหญ่อธิบายให้สองเชื้อไขกษัตริย์​ฟัง​
"จินดา.. แล้วเขาไปไหนล่ะจ๊ะ"
" นางก็พักผ่อนน่ะสิ​ ออแล้วนี่คงเป็นเกราะกายสิทธิ์​ที่ร่ำลือกันล่ะสิ​ พวกเราก็เหมือนกับเจ้านั่นล่ะที่เปลี่ยนกันไปตามวัน" ศุภลักษณ์​ตอบแทน
" เปลี่ยน.. หมายถึงสังวาลย์​นี่น่ะเหรอ" พระธิดานึกสงสัยขึ้นมา
"ใช่.. สงสัยว่าจินดาคงนึกช่วยคนอีกตามเคยน่ะสิ​ ที่ขังไว้นี่ก็คงไม่ใช่คนดีเท่าไหร่มั้ง" เขาพูดพลางมองไปยังมิตินั้น
บดิศรที่ได้เห็นร่างที่เปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตาจึงประจักษ์​เกราะกายสิทธิ์ที่ว่าเมื่อถูกแสงดวงอาทิตย์​ของอีกวันสาดส่องมาจะทำให้เปลี่ยนคนได้อย่างน่าอัศจรรย์​โดยสังวาลย์นั้นก็ไม่ต่างกันเลย
" เมื่อไหร่จะปล่อยข้าไปสักทีล่ะ" บดิศรอดทักท้วงเสียมิได้เพราะตนถูกจองจำมานานแล้ว
"เราไม่รู้มนต์​อะไรนั่นของภูมินทร์หรอกนะ​ ถึงเรารู้เราก็ไม่ปล่อยเจ้าหรอก​ เท่าที่เรารู้เจ้าน่ะชอบรังแกสุริยะตลอด​ จ้างให้เราก็ไม่ทำ​... พี่หิ่งห้อยเราไปกันเถอะจะพี่หิ่งห้อยน้องอยากพบเสด็จพ่อเสด็จแม่​" ว่าแล้วก็เข้าไปพบบิดรมารดาทันที
"เจ้านี่ไม่ธรรมดาเลยนะชอบรังแกคนซะด้วย  ตอนแรกก็อยากจะช่วยนะ​ แต่เราเปลี่ยนใจดีกว่า​" ว่าแล้วก็กำลังจะจากไป​ แต่เสียงห้ามอีกคนก็ดังขึ้น
" หยุดนะ​!! ปล่อยข้าไปเดี๋ยวนี้!! " มือก็ทุบด้านหน้าอย่างแรงอีกครั้งแต่ไม่เป็นผลให้เสียหายได้เลย
" ถ้าเราปล่อย​เราจะได้อะไรล่ะ" อยู่ๆอีกฝ่ายได้หยุดแล้วสนใจขึ้นมา
" เจ้าอยากได้อะไรข้าจะให้ทุกอย่าง"  เขาเพียงบอกไปเช่นนั้นเอง​ หากออกไปได้คนคนนี้จะถูกจัดการเป็นคนแรกอยู่แล้ว
" งั้นเป็นข้ารับใช้ติดตามเราสิ  เราจะหาคนอีกคนมาช่วยแก้มนต์" ศุภลักษณ์​ยื่นข้อเสนอให้กับบดิศรด้วยความคึกคะนอง​ อีกฝ่ายมีทีท่าจะไม่ยอมตนจึงจะไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด
" ได้ได้ได้ข้ายอม​ จะใช้งานข้ายังไงก็เชิญ" เขารับปากเสียดื้อๆให้มันรู้แล้วจะหลอกตลบหลังเสีย
"เจ้านี่นะจริงๆเลย​ เพียงแค่อยากออกจากมิตินี่ถึงกับต้องยอมทุกอย่างเลย​ ข้าจะบอกอะไรให้นะมนต์​นั่นน่ะมีแต่จินดาที่รู้​ ถึงเรารู้เราก็ไม่ช่วยคนใจคดหรอกฮ่าๆ" ว่าแล้วก็จากไปยังลำธารโดยทันทีทิ้งไว้ให้อีกคนร้องตะโกนด้วยความโมโห
"ถ้าข้าออกไปได้นะ​ข้าจะหักคอเจ้า!! "เสียงเกรี้ยวกราดนั่นทำให้ผู้เป็นตามาพบ
" บดิศรหลานตาทำไมถึงโดนขังอย่างนี้"
" ก็พวกไอ้ง่อยน่ะสิท่านตา​ ใช้กลอุบายร่ายมนต์​ปิดปากถ้ำทำให้หลานต้องมาอยู่ในนี้"
" มนต์​นี่คือมนต์​อะไรกันแน่"
"มันคือมนต์​มิติไงล่ะ.." เสียงคนวัยชราผ่านมาทางนี้พอดี​ เมื่อพิศดูจะรู้ได้ว่าเป็นฤๅษี​อย่างแน่แท้
"ถ้าเช่นนั้นได้โปรดช่วยหลานข้าด้วยเถอะท่านฤาษี"
" ได้สิ.. ไม่ว่ายังไงข้าก็ต้องช่วยเราต่างก็เป็นข้ารับใช้พระเทวาเช่นกัน​ เอาล่ะท่องมนต์​ตามข้า" ว่าแล้วก็ได้สวดคาถาแก้ให้บดิศรหลุดจากพันธนาการได้สำเร็จ
"ท่านตาพวกมันเอาเสด็จพ่อไปไว้ในถ้ำ​ เราต้องไปเอาร่างเสด็จพ่อคืนมานะท่านตา" ว่าแล้วก็รีบไปในถ้ำนั้นทันที
"ท่านปุโรหิต​ บดิศร!!! " ท้าวพีรเชษฐ์​เรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความตกพระทัย
" เสด็จพ่อ​ เสด็จพ่อฟื้นแล้วเหรอพระเจ้าค่ะ​" บดิศรดีใจที่บิดาตนฟื้นคืนชีพแต่ต้องหยุดดีใจเมื่อพบอดีตพระมเหสีอริของมารดา

" เสด็จพ่อ​ พวกนี้สังหารเสด็จพ่อนะพระเจ้าค่ะ​ กลับมากับลูกเถอะนะพระเจ้าค่ะ" ตนก็ว่าไปตามที่รู้มาจากคำโป้ปดของผู้เป็นตา
"ไม่ใช่หรอก​ตาของลูกนั่นล่ะที่ผิด​ เขาใช้เกราะกายสิทธิ์ที่ชิงมาจะฆ่าพี่ของลูก  พ่อเลยต้องกำบังเอาไว้เลยถึงแก่ความตาย" ฝ่ายพ่อได้อธิบายแทนเพราะลูกของตนไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์​
"ถึงยังไงมันก็สมควรตายแล้วนี่พระเจ้าค่ะ​ กาลีบ้านกาลีเมืองเก็บไว้ก็รังแต่จะทำให้เดือดร้อน" เขาอ้างเหตุผล​เข้าข้างตาด้วยการทำนาย
" พ่อด่วนตัดสินใจไปเอง​ พ่อมันเห็นแก่ตัวเพราะกลัวลำบาก​จากภัยแล้ง พี่เขาก็ร่างกายไม่สมประกอบยังได้รับความลำบากมากถ้าไม่มีเกราะวิเศษเขาก็คงไม่รอด​ พ่อตัดสินใจผิดพลาดเองมันไม่ใช่ความผิดของสุริยะที่บ้านเมืองแห้งแล้งเลยสักนิด​ ยังไงซะเขาก็เป็นลูกเราทั้งสุริยะและอีกหกคน"
"เสด็จพ่อ​ .. "ประกายพฤกษ์เรียกด้วยประหลาดใจทั้งที่ท้าวนวดลผู้เป็นตาได้ว่ากล่าวเช่นนั้น​ ทำไมต่างกันเช่นนี้
" ไม่ได้​ ลูกเป็นลูกคนเดียวของเสด็จพ่อเท่านั้นพระเจ้าค่ะ..... เจ้า.. ตายซะเถอะ!! ​ " ว่าแล้วก็เข้าต่อสู้กับประกายพฤกษ์ทันที​ ในขณะที่ทั้งคู่ได้ต่อสู้กันฤๅษทมิฬก็ได้นำองค์​เหนือหัวหายตัวหนีไป
"เสด็จพี่!!  เสด็จพี่หายไปแล้ว" เจ้าตัวคว้าสวามีมิทันจึงได้ร้องเรียก​ ปุโรหิตได้ทีจึงจับตัวนาง​ นางพยายามสู้กับอีกคนแต่ไม่ไหวจึงร้องเรียกบุตรี
" ประกายพฤกษ์หนีไปลูก" เสียงนั้นเองทำให้สมาธิของประกายพฤกษา์สั่นคลอนจึงถูกบดิศรทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ​ หิ่งห้อยใช้ทีเผลอของปุโรหิตเข้าโจมตีชิงตัวมารดาผู้เป็นนายมาได้แล้วส่งแสงวาบทำให้มองไม่เห็นตัว​ แล้วจึงพาพระธิดากับพระมารดาหนีมายังลำธารอีกฟากกับศุภลักษณ์​ที่กำลังพักผ่อนอยู่
" นี่มันอะไรกันเหรอ​ พวกท่านยังปลอดภัยดีไหม" ศุภลักษณ์​ส่งเสียงถามคนที่อยู่อีกฝั่งของลำธารเมื่อเห็นทีท่าว่าไม่ดีเสียแล้ว
"พระโอรส.. เอ่อ..​ตอนนี้บดิศรสามารถออกมาจากมิติได้แล้วพระเจ้าค่ะ​ เกิดเรื่องใหญ่อีกด้วยที่องค์​เหนือหัวถูกฤๅษีพาหนีหายไปพระเจ้าค่ะ" หิ่งห้อยทูลต่ออีกฝั่ง
" ประกายพฤกษ์ลูกแม่​ ลูกเจ็บตรงไหนบ้าง" น้ำเสียงคนเป็นแม่สั่นคลอนที่ลูกตนถูกทำร้ายเช่นนี้
"ลูกไม่เป็นไรเพคะเสด็จแม่"ทั้งที่มีอาการบอบช้ำอยู่แต่บุตรีก็เลี่ยงที่จะบอกไปเพราะห่วงมารดาจะวิตก​ คนอีกฝั่งก็ได้ข้ามมาถึงอีกฝั่งพอดี
" บดิศรหลุดออกมาได้ยังไงกัน​หรือฤๅษี​นั่นจะเป็นคนช่วยกันนะ.. เอ่อพระมารดากับพระธิดาเสวยผลจุลภัยเสียก่อนเถอะ​ จะได้บรรเทาการอาการเจ็บปวดได้บ้าง" พระโอรสต่างเมืองไม่พูดปล่าวอีกทั้งยังส่งผลไม้ที่เล็กเท่าเม็ดมะยมแต่ส่องแสงประกายออกมา​
"ขอบใจมากนะ..เอ่อ.. เจ้าชื่ออะไรเหรอ"ประกายพฤกษ์รับผลพืชมาแล้วหวังขอบน้ำใจแต่หารู้ชื่อคนอีกฝ่ายไม่
" เราศุภลักษณ์​... ตกลงแล้วเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ทำไมถึงดูเป็นเรื่องใหญ่ซะขนาดนี้" เจ้าตัวตอบคำถามเสร็จแล้วจึงถามหาเรื่องราว​ เจ้าหิ่งห้อยยักษ์​ได้เล่าเหตุการณ์​ที่ผ่านมาให้ได้เข้าใจถึงเรื่องราว
"จินดาชุบชีวิตคนแบบนี้ยิ่งจะทำให้อายุสั้นลง​ เฮ้อจริงๆเลยเชียว" พระโอรสพูดถึงอีกคนในร่างที่มักจะตัดสินใจช่วยคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ
" อายุสั้นลงงั้นเหรอ​ เช่นนั้นแล้วเราขออภัยแทนพระสวามีของเราด้วยนะ​ เราไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นเลย" เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูด​ ตนก็อดละอายใจไม่ได้จึงได้กล่าวขอโทษไป
" ไม่ต้องหรอกพระเจ้าค่ะ​ ชีวิตเพียงหนึ่งปีที่สูญหายเทียบไม่ได้กับคนทั้งบ้านเมืองหรอกพระเจ้าค่ะ" เขากล่าวตอบพลางคิดในใจว่าไม่ควรพูดออกมาอย่างนั้นเลยแท้ๆ
" พระธิดา​ เสด็จแม่" เสียงตะโกนเรียกหานั้นทำให้รู้สึกไม่วางใจทั้งหมดจึงระวังตัว
"ใครน่ะ" ประกายพฤกษ์ถามอีกฝ่ายที่มองไม่เห็นตัว
" สุดหล่อเองพระเจ้าค่ะ​ น..เหนื่อยจังเล้ย" ไม่ว่าปล่าวยังล้มตัวลงนอนแอ้งแม้งด้วยเพราะเหนื่อยล้า
"นี่เจ้าหายไปไหนมาทำไมเพิ่งจะมาเอาวันนี้"หิ่งห้อยยักษ์​ถามตัวประหลาดขึ้นมา
"ไม่ได้ไปไหนมาหรอกก็ข้าน่ะพักกับพระธิดาปัทมาสน์​  ก่อนนอนพักข้าก็ไปหาผลไม้กิน​ แต่เจ้าผลไม้นี่สิกินไปคำเดียวก็สลบไปตั้งนาน​ เมื่อฟื้นข้าก็ตามมาเพราะ..เพราะเป็นห่วงเสด็จแม่และพระธิดานะพระเจ้าค่ะ" คำพูดสุดท้ายนั่นทำให้รู้สึกแปลกประหลาดในน้ำเสียงขึ้นมาเสียอย่างนั้น
" เจ้าห่วงเกราะกายสิทธิ์น่ะสิไม่ว่า"พระธิดาเธอรู้ดีว่าอเวจีน่ะจะมีสักกี่อย่างที่เขาห่วงกัน
" โถโถโธ่พระธิดา​ มีเรอะสุดหล่อจะไม่ห่วงเกราะกายสิทธิ์​ แต่สุดหล่อน่ะก็ห่วงเสด็จแม่และพระธิดาไม่แพ้กัน" คำพูดที่ออกมามีความจริงปนอยู่บ้างแต่ก็แฝงด้วยความปากหวานก้นเปรี้ยวไม่น้อย
" ฟังแล้วจะอ้วก​ อย่างเจ้าน่ะเหรอจะห่วงใครนอกจากของวิเศษ" หิ่งห้อยทนไม่ได้จึงพูดขัดคอ
" ของวิเศษมีประโยชน์อยู่แล้วใครจะไม่สนล่ะ"พูดถึงของวิเศษเขาก็มองหาสังวาลย์มณีสิ่งวิเศษ
" ไม่ต้องมองหานักหรอกของวิเศษที่เจ้าหมายปองก็อยู่ครบดี" ศุภลักษณ์​พูดขึ้นมาเพราะรู้ถึงความต้องการที่ตัวประหลาดมีชัดเจนดี
" แฮะๆ​ แหมพระโอรสล่ะก็​ สุดหล่อไม่ได้หวังแค่ของวิเศษหรอกพระเจ้าค่า" เขาพูดแสร้งตีหน้าเขินเข้าใส่
"อ.. โอ๊ย​ ปวด.. เราปวดเหลือเกิน" อยู่พระอาการของมเหสีเจ้าก็กำเริบขึ้นมาจุกเสียดที่หน้าอกเข้าอย่างจัง
"เสด็จแม่เพคะ​ เสด็จแม่ทรงเป็นอย่างไรบ้างเพคะ" พระธิดาเข้าประคองพระมารดา
"ประกายพฤกษ์​ แม่.. แม่ปวดอกเหลือเกิน" ความเจ็บปวดเข้าเล่นงานทรวงในจนต้องถึงกับกุมดวงใจไว้แน่นขนัด
" นี่มันอะไรกัน​ พระโอรสทรงให้เสวยผลจุลภัยแล้วนี่พะยะค่ะ" หิ่งห้อยถามขึ้นมาด้วยสงสัยถึงอาการเจ็บปวดนั้น
" หรือว่านี่จะเป็นคำสาปที่เกิดจากแม่มดเกลียวทองกัน" พระโอรสกล่าวขึ้นมาเนื่องจากปะติปะต่อเรื่องราวได้จากเหตุการณ์​ที่ฟังมาประกอบกับที่ผลจุลภัยไม่สามารถจะแก้อาการบาดเจ็บจากคำสาปได้
จึงอนุมานได้เป็นเช่นนั้น
" น่าจะ.. ใช่.. เพราะนางเคยบอกเราว่า.. ว่าต่อให้เราหนีไปไกลแค่ไหนก็.. ต้องกลับไป.. หานาง" เสียงของสไบทองกล่าวระคนความเจ็บปวดอย่างสาหัส
"ไม่ได้การแล้วล่ะ​ อย่างนี้พวกเราต้องกลับไปยังโกสุมพิสัยก่อนแล้วค่อยหาวิธีช่วยเหลือท้าวพีรเชษฐ์​ทีหลัง" พระโอรสต่างเมืองกล่าว
" พวกเเราจะรอช้าไม่ได้แล้ว.. ​ ไปกันเลยเถอะจะพี่หิ่งห้อย"พระธิดาเจ้าเมืองได้พาระมารดาขึ้นบนหลังหิ่งห้อยยักษ์แล้วมุ่งหน้าไปยังเมืองที่แม่มดได้ครอบครอง
" สุดหล่อไปด้วยพระโอรส​"เพราะตัวขึ้นหิ่งห้อยยักษ์​ไม่ทันจึงขอร้องอีกคนแทน
" ได้สิ​ จับขาเราไว้ให้ดีๆล่ะ" กล่าวแล้วก็เร่งรุดใช้เมฆนำพาเหาะตามกันไป​  ทั้งหมดเดินทางกันไปยังเมืองโกสุมพิสัยแล้วถึงในเวลาค่ำ​เพื่อพบกับแม่มดเกลียวทอง
"แม่มดเกลียวทองเจ้าอยู่ไหนออกมาเดี๋ยวนี้นะ"เสียงเรียกของพระธิดาแสดงความไม่พอใจต่อคนที่ตนหาอยู่เป็นอย่างมาก
" เราอยู่นี่​  ครั้งที่แล้วมาทำเราเสียสายตาหมด​ ดีนะที่เราร่ายคำสาปใส่แม่ของเจ้าแล้ว​" เกลียวทองเดินออกมายิ้มชอบใจในความคิดของคำสาปที่ให้ไว้ซึ่งเป็นผลดีกับตนก็คราวนี้
" จันทราภาทำอย่างนั้นก็สมควรแล้วล่ะ​ รีบแก้คำสาปให้เสด็จแม่ของเราเดี๋ยวนี้ก่อนที่จะไม่มีดวงตาไว้ดูโลกอีกเลย" ประกายพฤกษ์บอกไปเพื่อที่จะได้ช่วยแม่ของตนให้พ้นจากความทรมานนี้
" ดูพูดขู่เข็ญเราเข้าสิ​ หึ  นี่เหรอผู้ขอแก้คำสาป​ ทางที่ดีนี่นะรีบนำเกราะกายสิทธิ์​มาให้เราดีกว่า​ ไม่เช่นนั้นเราจะทำให้เป็นยิ่งกว่านี้" แม่มดสาวว่าพลางใช้ฤทธิ์ของตนเข้าทำร้ายวรกายมเหสีหมายมุ่งให้ทรมานร้าวรานไปทั้งกายา
"เสด็จแม่!! แม่มดเกลียวทองเจ้าทำร้ายเสด็จแม่ของเรา​ เราจะทำให้เจ้าแก้คำสาปให้เสด็จแม่" พระธิดาเข้าสู้กับแม่มดร้าย​ นางใช้เล่ห์เพทุบายร่ายมนตราให้เห็นตนมีหลายร่าง​หวังหลอกล่อให้อีกฝ่ายสับสนแล้วโจมตีทวีความทรมานให้กับพระมารดา
"เจ้าน่ะมีปัญญาแต่รังแกเด็กผู้หญิง​ กับคนที่ไม่มีทางสู้งั้นเหรอแม่มดเกลียวทอง" เสียงจะศุภลักษณ์​กังวานขึ้นมาแต่กลับไม่เห็นตัว
"ไม่ใช่แค่นั้นหรอก​ แม้แต่เจ้าก็ด้วย​ เจ้าเป็นเด็กไม่มีทางสู้ล่ะสิถึงได้เอาแต่หลบอยู่อย่างนั้น" ร่างทุกร่างของนางแม่มดได้พูดพร้อมกัน
" อ้าวๆจะว่าอย่างนี้ก็ไม่ถูกสิ​ เราก็สู้คนนะ​ ลองผงนี่หน่อยเป็นไง" กล่าวแล้วเขาก็โยนผงพิษไปยังร่างทั้งหมดของนาง​ ทำให้นางร้อนดวงตามอดไหม้เพราะนั่นเป็นฤทธิ์จากยาพิษที่ตนคิดขึ้นเอง​ จนเหลือแต่ร่างจริงปรากฏอยู่
" เจ้า​ เจ้าเอาผงยามาได้ยังไงกัน​ " นางหันหน้าหาเสียงให้ทั่วแม้ดวงตาจะมองไม่เห็นก็ตาม
" ห้องเจ้าน่ะหายากนักเหรอ​ ขอโทษนะ​ เรามันพวกชอบหาของเล่นพอดี​ เรามียาแก้ด้วยนะจะเอาไหมล่ะ" พระโอรสกล่าวกับอีกฝ่าย
"เอายาแก้มาให้เราถ้าไม่อยากตาย!!!" นางขู่อีกคนหวังให้อีกคนกลัวตนเหมือนที่เคยทำมา
" เอาใหม่สิ.. แก้คำสาปให้พระมเหสีแล้วเราจะให้ยาแก้ผงนี่​ ออ​ ได้ข่าวว่ามีแค่ขวดเดียวนี่นาอีกไม่นานคงบอดสนิท" เขาไม่ลดละยื่นเงื่อนไขใหม่ให้กับอีกฝ่าย
" รีบแก้คำสาปให้กับเสด็จแม่เราเดี๋ยวนี้ถ้าไม่อยากตาบอดสนิท"พระธิดารีบเสริมให้อีกฝ่ายยอมรับ
"คำสาปนั่นนะต้องใช้เลือดเราเท่านั้นล่ะมาแก้​ แต่แก้ได้ยังไงล่ะ​ ก็เรามองไม่เห็นอย่างนี้"  นางก็ยังคงยืนยันคำเดิม
เสียงขวดโหลแก้ว​ตกแตกหลายชิ้นเนื่องจากศุภลักษณ์​จงใจทำมันตกเช่นนั้นเพื่อให้อีกฝ่ายยอมรับข้อเสนอ
" ต่อไปขวดไหนดีล่ะ​ เอาขวดสีมรกตนี่ดีกว่ามั้ยนะ​ จะได้หมดเรื่องไป"
" เจ้าทำลายยาของเราไม่ได้นะ​ ถ้าทำอย่างนั้นเราจะไม่ให้เลือดเราเลย"
"ยอมดีๆก็จบแล้วลีลาอยู่ได้​ เอากริชรีดเลือดออกมาเดี๋ยวนี้เลย" เสียงที่เล่นอยู่ก็ค่อยเปลี่ยนเป็นเสียงจริงจังของพระโอรสที่ส่งสิ่งมีคมให้​พร้อมเอาภาชนะมารองรับ
" เร็วเข้าสิ​ เสด็จแม่เราจะทนไม่ไหวแล้วนะ" ประกายพฤกษ์รีบทวงเมื่อเห็นว่าอีกคนชักช้าไม่ทันใจ








หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ เมษายน 20, 2020, 12:17:13 PM
" รู้แล้ว  เราก็ทำอยู่นี่ไง"เกลียวทองเมื่อกรีดเอาโลหิตตนออกมาแล้วนั้นร่างที่สาวสะพรั่งก็กลับกายเป็นร่างหญิงชรามีอายุมากแต่ยังคงเค้าโครงเดิมของรูปร่างอยู่บ้าง
"แล้วทำยังไงต่อล่ะ" พระธิดาเมื่อได้รับเลือดแม่มดได้ถามขึ้นเพราะไม่รู้วิธีแก้
"เอาเลือดเราไปสัมผัสกับมือนางแค่นี้คำสาปก็หายแล้ว" เมื่อได้ยินดังนั้นพระบุตรีได้ประคองพระมารดานำพระหัตถ์​ลงยังภาชนะรองโลหิตแล้วนั้นคำสาปที่มีอยู่ในวรกายได้หายเป็นปกติ
"เรา.. เราหายปวดแล้ว​ ประกายพฤกษ์แม่หายเจ็บปวดแล้วลูก" เมื่ออาการนั้นได้หายไปเธอก็โอบกอดลูกยาด้วยความดีใจ
" พวกเราไปกันเถอะพระเจ้าค่ะพระมเหสี​ พระธิดา" หิ่งห้อยยักษ์​ได้บอกให้นายตนรีบไปยังที่แห่งอื่นจะได้ไม่เกิดอันตรายถึงตัวอีก
"ไปกันเถอะเพคะเสด็จแม่" ว่าแล้วก็ได้พากันเดินทางออกจากเมืองไปโดยศุภลักษณ์​ยังคงอยู่กับเกลียวทอง
"แล้วยาเราล่ะ​ ไหนล่ะจะให้ยาแก้แก่เรา" แม่มดร่างชราถามหายาแก้พิษ​ร้ายต่อดวงตาที่มองไม่เห็น
"อยู่นี่" พระโอรสยื่นโอสถให้ตรงหน้านางแต่ยังไม่ส่งให้
"เอามาให้เรานะ" มีนาง​ขวักไขว่​ไปทั่วเพื่อจะคว้าเอายา
"รับดีๆนะ" เขาจงใจปล่อยขวดยาสุดท้ายนี้ลงเข้ากับพื้นเสียงแตกกระจายดังพร้อมๆกับไฟที่ลุกโชนมาจากฝั่งห้องยาของนาง
"เจ้า.. เจ้ามันไร้สัจจะ​ ถ้าเรารอดไปได้เราจะไม่ไว้ชีวิตเจ้า!!!" นางว่ากราดไปตัวก็พยายามตะเกียกตะกายหนีความร้อนของอัคคี
"ถึงวันนั้นแล้วค่อยว่ากันนะ​ เราไปล่ะ​ สุดหล่อเราไปกันเถอะ" ว่าพลางเรียกเมฆามาพาเหาะขึ้นฟ้า
"พระเจ้าค่ะ.. ฮ่าๆสมน้ำหน้านักมายุ่งกับของวิเศษข้า​โดนดีเข้าแล้วสิ" อเวจีได้จับที่ข้อพระบาทตามติดไป​ ตามจริงแล้วศุภลักษณ์ได้วางแผนการที่จะตลบหลังแม่มดเกลียวทองโดยตนมุ่งหน้าไปยังพระตำหนักเก่าที่กลายเป็นห้องยาและสมุนไพรเพื่อหายาพิษและยาแก้พิษนั้นแล้วให้ตุ้บเท่งรอสัญญาณเพื่อที่จะได้เผาเมืองไปพร้อมกับนาง
.....
ทางฝั่งเมืองรัตนบุรีบดิศรกับตาได้กลับมายังพระราชวังเมื่อพบกับความผิดคาดที่ฤๅษี​คนนั้นเอาองค์เหนือหัวพีรเชษฐ์​ไป
"ท่านพ่อ​ เป็นอย่างไรบ้าง​จ๊ะ ทำไมถึงกลับมาแบบนี้แล้ว.. แล้วพระวรกายองค์เหนือหัวล่ะจ๊ะ" นางถามหาร่างสวามีด้วยใจห่วงหาแม้เหลือแต่กายาเท่านั้น​ นางเห็นท่าทีดูแล้วรู้สึกว่าพวกนางกำนัลอยู่ด้วยแล้วล้วนขัดหูขัดตานางจึงให้พวกข้ารับใช้ออกไปยังด้านนอก
"เสด็จพ่อทรงฟื้นพระชนม์ชีพแล้วพระเจ้าค่ะเสด็จแม่" บดิศรตอบแทนผู้เป็นตาที่มีอารมณ์​ค่อนข้างเสียและมัวแต่ครุ่นคิดอยู่
"จริงเหรอบดิศร.. แล้วนี่ลูกทำไมถึงรอยช้ำตามตัวแบบนี้" นางได้เข้าไปดูลูกชายของตนใกล้ๆด้วยความเป็นห่วงของแม่
"จริงพระเจ้าค่ะเสด็จแม่​ แถมเสด็จพ่อยังเข้าข้างพวกไอ้ง่อยนั่นอีก​ ทรงรักมันไม่เห็นใจลูก ลูกเลยสู้กับมันแต่มันก็มีแรงไม่น้อยเลยพระเจ้าค่ะ" ไม่ตอบปล่าวยังฟ้องร้องว่าตนนั้นรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอีกด้วย
" องค์เหนือหัวไม่น่าทำกับลูกเช่นนี้เลย​ ตอนนั้นไล่มันไปแล้วแท้ๆอีกทั้งสัญญาว่าจะรักลูกยิ่งกว่าใคร​ ลูกเป็นลูกคนเดียว"
" มันก็น่าโมโหยิ่งกว่าที่ฤๅษี​ตนนั้นทำทีว่าจะมาช่วยพวกเราแต่ลักพาเอาองค์พีรเชษฐ์​ไปจนได้" ปุโรหิตพูดแล้วตนก็รู้สึกเจ็บใจอย่างยิ่งยวด
"ฤๅษี​ตนนั้นทำไมเหรอจ๊ะท่านพ่อ​ ท่านถึงได้วางใจ"
" มันช่วยบดิศรมาจากมนต์มิติและมันก็บอกพ่อว่าพวกเรารับใช้พระเทวาเหมือนกัน​ สงสัยว่าคงหมายถึงเทพวิษุวัติพ่อเลยวางใจ"
" แล้วอย่างนี้เราจะทำยังไงกันต่อไปดีล่ะจ๊ะ" สไบแก้วถามขึ้นมาด้วยความร้อนใจ
"เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน​  มีลางร้ายก็ยังปรากฏลางดี​ นี่ล่ะเป็นโอกาสแล้วที่บดิศรจะขึ้นครองบัลลังก์​"
" แต่ว่าเสด็จพ่อยังทรงไม่สิ้นแล้วหลานจะทำแบบนั้นได้ยังไงล่ะจ๊ะท่านตา​"หลานไม่แน่ใจนักกับความคิดนี้ด้วยเห็นพ่อสำคัญ
" แต่ชาววังเขาก็รู้กันว่าสิ้นแล้วแต่ไม่รู้ว่าฟื้นนี่​ บดิศรเจ้าลองตรองให้ดีสิ​ ระหว่างอำนาจบัลลังก์​กับเสด็จพ่อที่รักพระนางสไบทองและพระโอรสธิดาฝั่งนั้นมากกว่าเจ้า​ เจ้าไม่เห็นประโยชน์จากสิ่งไหนมากกว่ากัน"เขาใช้สองมือจับบนไหล่หลานรักเพื่อเพิ่มส่งต่ออารมณ์​คำพูดนั้น
" ได้จะท่านตา​ หลานจะครองบัลลังก์​นี้เอง"เมื่อคิดดูแล้วตนก็ตัดสินใจทำตามแม้จะขัดแย้งอยู่บ้างก็ตาม
" พรุ่งนี้​เตรียมตัวประกาศกำนดพิธีขึ้นครองราชย์ได้เลย​ ชักช้าไปกว่านี้คงไม่ได้แล้ว​ "ปุโรหิตพูดขึ้นด้วยสีหน้าพอใจต่อคำตอบรับของพระโอรสองค์รองของเมืองรัตนบุรีแล้วตระเตรียมทำธุระต่อไปในวันรุ่งขึ้น
---
ที่พนาไพรไม่ใกล้กับเมืองโกสุมพิสัยแต่ไม่ไกลจากเมืองรัตนบุรีทั้งหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์​แลข้ารับใช้ได้มาพำนักอยู่
" ศุภลักษณ์​ทำไมถึงมาช้านักล่ะ" ประกายพฤกษ์ถามขึ้นมาหลังจากอีกคนเพิ่งจะตามมาถึง
"เราก็เอายาแก้พิษ​ให้แม่มดเกลียวทองนั่นล่ะ​ แล้วระหว่างทางก็เก็บผลไม้กับสุดหล่อมาฝากเจ้ากับเสด็จน้าด้วย" เขาพูดพร้อมกับยกยิ้มอย่างสบายใจ
"นี่พระเจ้าค่ะเสด็จแม่​ พระธิดา" อเวจีว่าแล้วก็นำผลไม้มาถวายให้ทั้งสองแต่กลับไม่ให้หิ่งห้อยยักษ์​กินจึงได้ตีกันเหมือนทุกครั้งไป​ แต่พระธิดาก็แบ่งส่วนของตนเองให้พอที่จะปรามให้หยุดทะเลาะกัน
"ขอบใจมากนะสุดหล่อ​และเราก็ขอบพระทัยพระโอรสด้วยนะที่ช่วยเหลือเรา"สไบทองรับผลไม้มาแล้วกล่าวขอบใจในน้ำใจผู้ที่ช่วยเหลือ
"ไม่เป็นไรหรอกพระเจ้าค่ะ​ หม่อมฉัน​เต็มใจ"
"เอาล่ะเราว่าเรารีบกินแล้วก็นอนเอาแรงหน่อยดีกว่าวันนี้เจอเรื่องมาทั้งวันแล้ว" มเหสีออกความเห็นแล้วทั้งหมดจึงทำตามที่กล่าวพักผ่อนกันจนถึงรุ่งเช้า
แสงสุริยันผันผ่านมาถึงอีกวันหนึ่งแล้วนั้นพระธิดากลายกลับเป็นโอรส​ พระโอรสก็ได้เปลี่ยนเป็นพระธิดาเช่นกัน
" ที่นี่ที่ไหนกัน​ เจ้าตัวแสบพาตัวมาถึงนี่เลยเหรอ"ทันนทีที่ตื่นบรรทมพบว่าตนไม่ได้อยู่ในตำหนักเลยแต่หากเป็นป่าใหญ่เสียแทน
"อื้อ..หลับสบายจังเล้ย..อ๊ะ!! พระธิดา​เหรอ​ ตื่นบรรทมแล้วเหรอพระเจ้าค่ะ" ตัวประหลาดตื่นขึ้นมาก็เข้าทักทายอีกคนที่ตื่นมาก่อนหน้านี้ทันที
" เจ้าเป็นใคร​ แล้วทำไมมีคนอื่นอยู่ด้วยล่ะ รู้ได้ยังไงว่าเราเป็นพระธิดาน่ะ" เธอถามด้วยความสงสัยขึ้นมาจากคำเรียก
"ก็ก็..พระโอรสแห่งคีรีมาศน่ะร่างเดียวกับพระธิดานี่นาทำไมล่ะสุดหล่อจะไม่รู้"ตัวก็ตอบไปตามจริงที่รู้
"ใช่แล้วล่ะพระเจ้าค่ะพระธิดา" หิ่งห้อยยักษ์​ตอบด้วยเสริม
" หิ่งห้อยตัวใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ​ เราเพิ่งเคยเห็นแหะ"เธอมองแมลงตัวนั่นด้วยความสนใจ
"ตัวมันก็ใหญ่อย่างนี้นะพระเจ้าค่ะ​ กินเยอะอีกตะหาก"อเวจีได้ทีก็หยอดลงไป
" กระหม่อมก็ตัวใหญ่เช่นนี้ล่ะพระเจ้าค่ะพระธิดาเพราะต้องคอยดูแลหิ่งห้อยตัวอื่น​ แต่เท่าที่เห็นมาทำไมพระธิดากับพระโอรสไม่เห็นจะดูประหลาดใจกับเจ้าอเวจีเลยนะพระเจ้าค่ะ" หิ่งห้อยก็ทูลถามด้วยสงสัยมานานแล้ว
" สุดหล่อตะหากเล่าเรียกให้ถูกสิโธ่"เขาทักท้วงกับคำเรียกที่แปลกไปจากที่ตนชอบ
" ออราชสีห์นี่น่ะเหรอ​  พวกเราเคยเห็นแล้วล่ะไม่ใช่แค่เคยเห็นหรอกนะแต่พวกเราเป็นศิษย์​ของฤๅษี​ราชสีห์​หน้าตาเช่นนี้ด้วย.. ว่าแต่เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่น่ะ​ ศุภลักษณ์ถึงได้มาอยู่ที่นี่กับพวกเจ้า" เธอตอบแล้วถามถึงสาเหตุที่ผู้ร่วมร่างได้มาอยู่กับคนแปลกหน้าได้
หิ่งห้อยยักษ์​ได้เล่าเรื่องราวให้พระธิดาต่างเมืองฟัง​ ขณะเดียวกันพระโอรสศนิวารและพระมเหสีสไบทองก็ได้ตื่นพระบรรทมแต่ไม่อยากให้ขัดจังหวะพระนางจึงพากันกับพระบุตรไปหาเก็บผลไม้มาให้
" ฮั่นแน่พระโอรสลืมสัญญาของสุดหล่อรึปล่าว" จู่ๆเจ้าตัวประหลาดก็โผล่หน้ามายังพุ่มไม้ที่ศนิวารเก็บอยู่ทำให้เผลอตีหน้าไปด้วยความตกใจ
"โอ๊ยพระโอรสน่ะใจร้ายนัก​ แค่ทวงของแค่นี้ถึงกับตีสุดหล่อเลยเหรอ" เขาออกมาจากพุ่มไม้แล้วถามอีกคน
"เราปล่าวนะ​ เจ้านั่นล่ะผิดอยู่ๆก็ออกมาใครบ้างจะไม่ตกใจ"
"โถโธ่โธ่​ สุดหล่อแค่อยากล้อเล่นบ้างเท่านั้นน่าไม่เห็นต้องลงมือเลย"
"ก็สมควรอยู่หรอกเห็นเราเป็นเพื่อนเล่นอยู่ได้"เด็กน้อยบอกพลางเก็บผลไม้
" ตายๆอย่าเปลี่ยนเรื่องสิน่า​พระโอรสสัญญาแล้วนี่จะจบเรื่องแล้วจะคืนเกราะกายสิทธิ์​ให้น่ะ"เจ้าตัวเริ่มทวงสัญญาทันที
" นี่เรียกว่าหมดเรื่องเหรอ​ เสด็จแม่ก็ทรงลำบาก​ เสด็จพ่อยังถูกลักพาตัวไปอีกนี่นะ​ คุยวันหลังเถอะ" ศนิวารเริ่มอารมณ์​ไม่ดีขึ้นมาเมื่อนึกถึงเรื่องที่แม่ตัวเองเล่าแล้วยังต้องมาฟังคำทวงไร้สาระสำหรับเขาเสียอีก
" ก็ได้ๆ​ เสด็จ​แม่สุดหล่อช่วยถือเถอะนะพระเจ้าค่ะ" ว่าแล้วก็เข้าช่วยอีกคนหวังเอาใจเวลาคืนเกราะวิเศษจะได้ไม่ยุ่งยาก​ แล้วทั้งหมดก็มาถึงได้รวมตัวกันกินผลไม้ที่หามา
"เอานี่ไปกินสิเจ้า.. " โอรสตัวไม่รู้ชื่ออีกฝ่ายเลยเอาวางผลไม้ลงมืออีกคนอย่างเสียดื้อๆแทนที่จะเรียกชื่อ
" เราเมธาวี​ ขอบใจนะ​ ว่าแต่เจ้าชื่อ.. " อีกคนรู้ท่าทีจึงบอกชื่อก่อนแล้วค่อยถามอีกฝ่าย
"เราศนิวาร รีบเถอะจะได้ไปช่วยเสด็จพ่อ" ตัวเองกลัวเสียเวลาจึงไม่อยากพูดให้มากความแต่กลับพูดห้วนเกินไปจึงทำให้อีกคนไม่สบอารมณ์
"เราก็กินเร็วอยู่แล้วไม่ต้องมาสั่งหรอก​ เรามาช่วยนะไม่ได้มารับคำสั่งใคร"เธอตอบแล้วจึงรีบเสวยโดยเร็ว
"เราก็ไม่ได้ขอนี่.." เขาตอบยังไม่ทันเสร็จมารดาก็ไว้เสียก่อน
" ศนิวารไม่เอาสิลูก​ อย่าทำอย่างนี้เราต้องถนอมน้ำใจกัน​"นางพูดพลางลูบศีรษะ​บุตรเป็นเชิงสั่งสอน
"พระเจ้าค่ะเสด็จแม่"
"ฤๅษี​ที่ว่านั่นหม่อมฉันว่าน่าจะเป็นฤๅษี​ทมิฬเพคะ"เมธาวีทูลต่อมเหสีต่างเมือง
"ฤๅษี​ทมิฬ​เขาเป็นใครกันเหรอ" พระนางสนใจขึ้นมาจึงได้ถามขึ้น
"เท่าที่หม่อมฉันทราบนะเพคะ​ ฤๅษี​ทมิฬเป็น​ฤๅษี​ศิษย์​ร่วมสำนักกับพระอาจารย์​ของหม่อมฉันเพคะ​ เขาเป็นคนที่บูชาเทพวิษุวัติมากหวังว่าจะได้รับใช้สักวัน​ แต่หารู้ว่าจะมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร" พระธิดาต่างเมืองก็ได้เล่าเรื่องที่ตนรู้มา
"แล้ว​อาศรม​ของฤๅษี​ทมิฬ​นั่นอยู่ที่ไหนกันล่ะ"ศนิวารถามขึ้นด้วยร้อนใจกลัวภัยจะถึงบิดาสาหัส
" ฤๅษี​ทมิฬ​น่ะชอบเปลี่ยนที่อยู่ตลอดมีก็แต่ท่านตาที่รู้​ เอาเป็นว่าเราไปหาท่านตาที่อาศรมป่าจินตภพกันจะได้ถามให้รู้เรื่อง"
ธิดาเธอแนะถึงวิธีที่ดีที่สุด
"ป่าจินตภพเหรอ​ แล้วมันอยู่ที่ไหนกันล่ะ" โอรสเขาถามต่อด้วยเพิ่งได้รู้จักป่านี้
"มันหาไม่ได้แค่ตาเปล่าหรอก​ ที่ไหนก็ไปถึงได้ถ้าใจสื่อถึงน่ะ" อีกคนอธิบาย
"เจ้าหมายความว่ายังไง" อีกคนฉงนในคำพูด
"เราหมายความว่าต้องตั้งจิตประสานกันไปที่อาศรมท่านตาแล้วก้าวเข้าสู่ทิศบูรพาเจ็ดก้าวก็ถึงที่พักของท่านตาแล้ว" ธิดาเธออธิบายต่อไปจนจบ
"มันมีวิธีเข้าอย่างนี้ด้วยเหรอ" ศนิวารค่อนข้างสับสนกับสิ่งที่ได้ยินว่าเป็นความจริงหรือไม่
"มีสิป่าจินตภพน่ะ​อยู่ทุกหนแห่งแต่ต้องใช้จินตภาพร่วมด้วยในการจะเข้าไป​ จะว่าเข้าง่ายก็ง่ายแต่ถ้าจิตไม่นิ่งพอและไม่รู้วิธีก็อย่าหวังจะได้เข้าเลย​ มิหนำซ้ำอาจจะได้แผลมาไม่น้อยด้วย" พระโอรสได้ฟังดังนั้นจึงทำจิตใจเย็นลงเพื่อจะได้เข้าไปถามข้อมูลเพื่อตามหาพระบิดา
"เอาล่ะเราพร้อมแล้ว" ศนิวารบอกพร้อมกับเตรียมตัวหันไปทางด้านทิศตะวันออก
" ศนิวารระวังตัวนะลูก" สไบทองเตือนลูกด้วยห่วงใย
" พระเจ้าค่ะเสด็จแม่" พระโอรสรับปากพระมารดา
" พนมมือแล้วหลับตานึกถึงพระอาศรมพร้อมกับเรานะ" เมธาวีพูดพร้อมทำดังคำพูด​ และแล้วอาศรม​พระฤๅษี​ได้ปรากฏในสายตาทั้งสองคู่นั้น
"เราไปกันเถอะ" ว่าแล้วทั้งคู่ได้เดินทั้งเจ็ดก้าวจนหายวับไปต่อหน้าต่อตาพระมเหสีและบริวารทั้งสอง
" ลูกเราจะไม่เป็นอันตรายใช่ไหม" เกิดความกังวลใจในหัวอกคนเป็นแม่ขึ้นมา
" มีพระธิดาเมธาวีอยู่ด้วยคงไม่เป็นอันตรายหรอกพระเจ้าค่ะ" หิ่งห้อยทูลตอบเพื่อให้เจ้านายคลายกังวลแต่ตนก็อดห่วงไม่ได้​ เช่นเดียวกันที่อเวจีห่วงของวิเศษจะเป็นรอยเอาได้
..........
ขณะเดียวกันด้านฝั่งเมืองรัตนบุรีก็ได้มีการเตรียมจัดทำพระราชพิธีราชาภิเษก​ให้กับพระโอรสบดิศรที่นับว่าเป็นองค์ทายาทผู้เดียวที่เหลืออยู่แม้จะผ่านวันสิ้นพระชนม์​ของกษัตริย์​องค์ก่อนได้ไม่ทันครบเจ็ดวัน
"ตาให้โหราจารย์​ดูฤกษ์ที่เร็วที่สุดให้​ เขาบอกว่าพรุ่งนี้ดีที่สุดเพราะเป็นวันพระอาทิตย์​ทรงกลด​เหมาะแก่การเฉลิมชัยยิ่ง" ปุโรหิตได้พูดกับหลานตนพลางมองเหล่าข้ารับใช้ในวังเตรียมงานกันขันแข็ง
"วันเฉลิมชัย​ ท่านตาหมายความว่ายังไงกัน​ เราจัดการพวกไอ้ง่อยได้ไม่ราบคาบเลยนะจ๊ะ" บดิศรฉงนกับคำกล่าวของผู้เป็นตา
" นี่ล่ะจะเป็นวันจัดการทุกอย่างให้จบสิ้น​ เทพวิษุวัต​ได้บอกกับตาเมื่อคืนนี้ว่าฤๅษี​ทมิฬคือข้ารับใช้ที่จับตัวองค์เหนือหัวไว้เพราะต่อรองกับพวกมัน​ พอจัดการได้แล้วเมืองนี้ทั้งเมืองจะเป็นของเรา​ เกราะกายสิทธิ์​ก็จะเป็นของเทพวิษุวัติ"
" อย่างนี้ก็เท่ากับว่าเราทรยศเสด็จพ่อน่ะสิท่านตา"
"นี่หลานจะใจอ่อนไม่ได้นะ​ ยังไงซะองค์เหนือหัวกลับมาก็ต้องยกเจ้าพระโอรสนั่นขึ้นเป็นยุพราชแน่​ ทุกอย่างที่ตากับแม่เจ้าทำมาก็จะสูญเปล่า​ เจ้าทนดูได้เหรอ​ แลกกับพ่อที่ไม่รักเจ้าแล้วยังไงก็ต้องคิดให้ดี  ไม่มีใครมาว่าเราได้เมื่อเราขึ้นเป็นเจ้าเหนือหัว​ เข้าใจมั้ย"
" เข้าใจจะท่านตา"เขาตอบรับพลางคิดแล้วก็เจ็บใจที่พ่อนั้นสนใจรักลูกคนอื่นอีกครั้งทั้งยังเพิ่มมาอีกหกคน​ ตนคงไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วจริงๆ
..........
ที่ป่าจินตภพทั้งสองเนื้อหน่อ​กษัตรา​ได้เข้ามายังหน้าอาศรมนี้เมื่อลืมตามองไปรอบๆ​จะพบพืชพรรณ​แปลกตามากมายรวมถึงสัตว์ที่ไม่คุ้นตาเอาเสียเลย พิศได้ครู่ฤๅษี​เจ้าของอาศรมก็ได้ออกมาต้อนรับขับสู้โดยปรากฏหน้าค่าตาหลายเป็นเผ่าเดียวกันกับตุ้บเท่งตามที่เล่าไว้
"ท่านตา​ หลานมีเรื่องให้ช่วยเจ้าค่ะ" ธิดาน้อยพนมมือกล่าวกับอาจารย์​ตน
"ฤๅษี​ทมิฬ​น่ะเหรอเขาน่ะอยู่อีกฟากของรัตนบุรีนั่นล่ะ"
"ท่านรู้.." ศนิวารพูดขึ้น
"รู้สิพระโอรสศนิวาร แล้วเราก็รู้ด้วยว่าจะเกิดศึกอาทิตย์​ทรงกลดขึ้นด้วย" ฤๅษี​เฒ่าตอบพลางยิ้มด้วยรู้ดีถึงเหตุการณ์​ที่กำลังจะเกิดขึ้น
" ศึกอาทิตย์​ทรงกลด... คืออะไรหรือเจ้าคะท่านตา"
" พรุ่งนี้เทพวิษุวัติจะใช้รัตนบุรีเป็นสถานที่​ทำศึกเพื่อนำสิ่งวิเศษที่พวกท่านสวมใส่ไป"
" แล้วเทพวิษุวัต​จะมาเอาเกราะกายสิทธิ์​ไปทำไมล่ะ​ท่านฤๅษี​ ไหนจะสังวาลย์​มณีนี่อีก" ศนิวารอดสงสัยไม่ได้
"เขาก็มีเหตุผลเขานั่นล่ะ​ อยากรู้ก็ถามเขาสิ​ เอาล่ะหมดเวลาแล้วกลับไปได้"
" เดี๋ยวสิท่านตา​ ท่านตา!! "  นักบวชมิฟังได้ร่ายคาถาด้วยไม้เท้าให้ลมพัดมาทั้งสองออกจากจินตภพนั้น​จนเซล้มลงตรงหน้าพระพักตร์​มเหสีผู้เฝ้ารอ
" ศนิวาร​ เมธาวี​ เป็นยังไงบ้าง" ตนเห็นดังนั้นจึงเข้าไปดูทั้งสอง
" ไม่เป็นไรพระเจ้าค่ะ/เพคะ"ทั้งสองคนตอบพร้อมกัน
" ดีนะเนี่ยที่ของไม่เป็นรอย"สุดหล่อพูดขึ้นเมื่อมองสิ่งวิเศษทั้งสอง​ ทำให้เจ้าของมองอย่างไม่พอใจ
"ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะเจ้าอเวจี​ หัดห่วงคนอื่นบ้างไม่ใช่แค่ของวิเศษ"หิ่งหัอยยักษ์​สั่งสอนอีกตนให้รู้จักอะไรเสียบ้าง
" เป็นยังไงบ้างลูกข่าวคราวของเสด็จพ่อ" สไบมองเริ่มถามอีกครั้งเมื่อพบว่าบุตรยังปลอดภัยดี
"เสด็จพ่ออยู่กับฤๅษี​ทมิฬที่ป่าอีกฟากของเมืองพวกเราพระเจ้าค่ะ"
" อย่างนั้นเรารีบไปช่วยเสด็จพ่อกันเถอะศนิวารอย่าช้าเลย" มารดาเร่งรุดให้ไปเสียทันทีก่อนมิทันการแล้วทุกคนก็เดินทางมายังป่าอีกฟากพบกับอาศรมของฤๅษี​ทมิฬ​
"ฤๅษี​ทมิฬ​ ปล่อยเสด็จพ่อเรามาเดี๋ยวนี้นะ" ศนิวารได้พูดออกมาเมื่อมาอยู่หน้าอาศรมฤๅษี​เฒ่า
" ฮ่าๆ​ คิดว่าบอกให้เราปล่อย​ เราจะยอมปล่อยให้ง่ายๆงั้นเหรอ"เสียงชายชรากล่าวตอบมาแต่ไร้ซึ่งร่างปรากฏ​
"จะหลบอยู่ทำไมน่ะ​ ไม่ออกมา​เพราะไม่กล้าอย่างนั้นเหรอ" พระโอรสท้าทายอีกฝ่าย
" ตัวเจ้าก็แค่นี้​ ถ้ากลัว​เราน่ะก็ไม่ใช่ข้าพระเทวาแล้ว"
"มาสู้กับเราสิอย่าเอาแต่หลบ"พระโอรสเข้าไปดูด้านในอาศรมแต่ไม่พบฤๅษี​แต่แล้วลำแสงก็พุ่งมาจากบนต้นไม้ลงมายังอาศรม
"ศนิวารระวังลูก!! " มารดาเห็นเช่นนั้นจึงเตือนภัยแก่ลูกยาทำให้เขารู้ตัวหลบทัน
"อยู่ไหนนะ" เมธาวีพยายามมองหาจากต้นกำเนิดแสงแต่ไม่พบ​แต่กลับมีหุ่นพยนต์​ที่เสกจากฟางข้าวรูปคนนับสิบกระโดดลงมาจากต้นไม้นั้น
"ท่าไม่ดีแล้ว​ พี่หิ่งห้อยพาเสด็จแม่ไปหลบก่อนเถอะ" พระโอรสบอกขณะที่หุ่นพยนต์​ทั้งสิบมาล้อมตนเองกับพระธิดาต่างเมืองไว้เป็นวงกลม
"พระเจ้าค่ะพระโอรส​ พระมเหสีพระเจ้าค่ะไปกันเถอะพระเจ้าค่ะ" หิ่งห้อยยักษ์​มารอรับพระมารดาเพื่อจะนำพาพระนางไปยังที่ปลอดภัย
"ไม่​ เราไม่ไปไหนทั้งนั้น​ ลูกเรายังอยู่นี่ทั้งคนน่ะเราจะไปได้ยังไง" สไบทองคัดค้านความคิดที่จะทิ้งบุตรตนให้เจออันตรายลำพัง
"ไม่ไปก็ไม่ไปสิ​ งั้นมาอยู่ในนี้ก็แล้วกัน​  จงเข้าไปน้ำเต้าอมฤต​!! " โยคีเฒ่าปรากฏ​ตัวพร้อมกับใช้น้ำเต้าดูดกลืนร่างของพระมารดา​ หิ่งห้อยยักษ์​และตัวราชสีห์​หน้าประหลาดนี่ไปด้านในทันที
" เสด็จแม่!!! "  ศนิวารพยามยามเข้าไปช่วยแต่ไม่อาจช่วยได้เพราะหุ่นพยนต์​ไปยอมปล่อยไปง่ายๆ​ จึงต้องเข้าต่อสู้ต่อยตีฟัดเหวี่ยงเสียให้วุ่น
"พระฤๅษี​ท่านไม่เห็นจะต้องทำอย่างนี้เลยนี่ คุยกันดีๆไม่ได้เหรอ" เมธาวีช่วยอีกคนสู้เหล่าบริวารปลุกเสกพร้อมกับถามดาบสผู้นี้ไปพลาง
" เรารับใช้พระเทวาวิษุวัต​ ไม่ว่าอะไรที่เราช่วยได้เราก็จะช่วย​ อย่าคิดมาขวางเราเลย  ของวิเศษนั้นน่ะเจ้าใช้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์​หรอก​  พรุ่งนี้​เทพท่านจะมายังเมืืองรัตนบุรีแล้วจะคืนสู่พระองค์ตามสมควรแล้ว" ชายชราตอบอีกฝั่ง
" เทพวิษุวัตอะไรนั่นน่ะ​ ถ้าจะหาคนมารุมรังแกกันขนาดนี้นะ​ อย่าได้เรียกตัวเองว่าเทพเลยเถอะมันน่าละอายนัก!! " พระโอรสพูดประชดอีกฝ่ายขณะสู้กับหุ่นพยนต์​ที่ไม่ว่าจะล้มกี่ครั้งก็กลับมาสู้ได้อยู่ดี
" เจ้าอย่ามาปากดี​ ชีวิตพ่อแม่เจ้าอยู่ในกำมือเราแล้ว​ ระวังเถอะจะไม่เหลืออะไรเลย" คนมีใจบูชาต่อเทพผู้นี้ไม่สบชะตาเข้าไปอีกเมื่อได้ยินคำพูดประชดส่อเสียดต่อเทพเหนือเกล้าตน
" ศนิวาร​ ขืนยังเสียเวลาสู้กับพวกนี้อยู่พวกเราจะหมดแรงเอาได้นะ" เธอพูดกับสหายร่วมสู้ของตน
" งั้นเราอย่าเสียเวลาเลย​ ไหนๆแล้วสิ่งวิเศษก็อยู่กับเราก็ต้องใช้ประโยชน์​อย่าให้ใครมาว่าเราได้" ว่าแล้วทั้งสองพระอง​ค์จึงใช้สิ่งวิเศษ​คู่กายทั้งสองปลดปล่อยพลังทำลายล้างจนเกิดระเบิดไฟลั่นไปทั้งบริเวณ​ ส่งผลให้หุ่นพยนต์​ทั้งหมดเสียหายไม่อาจสู้ได้อีก​ ทั้งสร้างความเจ็บปวดย้อนกลับไปยังเจ้าของอีกด้วย
" ร้ายนักนะเจ้าเด็กพวกนี้!! "ดาบสเฒ่าใช้พลังจากไม้เท้าเข้าหมายทำร้ายทั้งสองศัตรูแต่ทั้งสองได้ร่วมมือกันใช้พลังจากสิ่งวิเศษสองสิ่งพร้อมกัน​ รวมแล้วได้พลังที่มากกว่าหลายเท่าจนท้ายสุดฤๅษี​ทมิฬ​ก็​เพลี่ยงพล้ำ​ จนร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส​ส่งผลให้หมดเรี่ยวแรงจะต่อกรต่อไปได้
" เสด็จพ่อเสด็จแม่​ พี่หิ่งห้อย​ ตุ้บเท่ง" ศนิวารเมื่อสู้เสร็จได้รีบปรี่ไปเข้าไปเอาน้ำเต้าออกมาจากข้างกายของโยคีที่นอนไร้แรงอยู่​ แล้วได้เปิดฝาน้ำเต้าออก
"จงออกมาทั้งหมด​น้้ำเต้าอมฤต!! " กล่าวจบร่างทั้งสี่ก็หลุดจากที่คุมขังออกมายังภายนอก
"โอ๊ยปวดตัวจริงๆเล้ย"อเวจีออกมาก็ออกปากบ่นทันที
" จะบ่นอะไรนักหนาแทนที่จะขอบพระทัยพระโอรสศนิวารกับพระธิดาเมธาวีน่ะเจ้านี่หนิ" หิ่งห้อยติเตียนอรกตน
"เสด็จพ่อเสด็จแม่พระเจ้าค่ะ" ด้วยความดีใจที่พระบิดาและพระมารดายังคงปลอดภัยดีจึงได้เข้าไปหาแล้วกอดบุพาการีอย่างไม่เขินอาย
" ศนิวารลูกไม่เป็นอะไรใช่มั้ย​ บาดเจ็บตรงไหนรึปล่าว"เมื่อผละจากการกอดได้ผู้เป็นแม่ก็ได้ถามไถ่ลูกด้วยความเป็นห่วง
"ลูกไม่เป็นอะไรเลยพระเจ้าค่ะ" ลูกยาแย้มสรวลส่งไปให้มารดาสบายใจ
"ลูกไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วล่ะ​ แล้วนี่เป็นใครกัน" ผู้เป็นพ่อได้ถามขึ้นเมื่อเห็นคนไม่คุ้นตาคนหนึ่งกับตัวประหลาดอีกหนึ่งเพิ่มมาด้วยเนื่องจากตอนอยู่ในน้ำเต้าตนได้สลบอยู่รู้ตัวอีกทีก็ออกมาอยู่ด้านนอกพร้อมกับชายา
" หม่อมฉันเมธาวีเพคะ​ หม่อมฉันมาช่วยตามประสงค์​ของแสงสุรีย์​เพคะ"เมื่อได้ยินดังนั้นตนก็แนะนำตัวไม่ให้ผู้ใหญ่กว่ารอนาน
"ข้ากระหม่อม​มีชื่อว่า​ สุดหล่อ​ พระเจ้าค่ะ​ "ราชสีห์​หนุ่มไม่รอช้ารีบแนะนำตัวตามมาติดๆ
"เราว่าเราหาพักเอาแรงก่อนดีไหม​ พรุ่งนี้ค่อยกลับวังกัน"พีรเชษฐ์​กล่าวเสนอข้อคิดเห็น











หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ เมษายน 20, 2020, 12:20:18 PM
"เห็นสมควรตามนั้นเพคะ​ เพราะพรุ่งนี้เทพวิษุวัตจะมาที่เมืองรัตนบุรี​ ไม่ใช่เรื่องดีแน่" พระธิดาต่างเมืองทูล
"เทพวิษุวัต​มีอะไรกับพวกเราถึงว่าไม่ดีล่ะ" ท้าวเธอฉงนกับคำกล่าวจากเด็กผู้หญิงคนนี้
"ก็เทพวิษุวัตน่ะสิเพคะ​ เป็นคนที่อยากจะได้เกราะกายสิทธิ์​จึงส่งคนมาหมายจะทำร้ายพระองค์เพื่อจะแลกกับสิ่งนั้น"
" ตอนแรกที่ได้ยินคำทำนายของพระฤๅษี​ที่ป่าจินตภพลูกก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งหรอกพระเจ้าค่ะ" พระโอรสกล่าวเสริมแล้วกล่าวต่อไปว่า"แต่พอมาผเชิญหน้ากับฤๅษี​ทมิฬ​ที่พูดเรื่องการมาในวันพรุ่งของพระวิษุวัต​ ทำให้มีน้ำหนักด้านความเป็นจริงขึ้นมา"
" พระอาจารย์​ของหม่อมฉันมักทำนายทายทักแม่นยำเสมอเพคะ​ พรุ่งนี้จะเป็นวันสำคัญที่พระอาทิตย์​จะทรงกลดด้วยเพคะ"
" วันสำคัญที่พระอาทิตย์​ทรงกลด​ สำคัญยังไงกันน่ะ"สไบทองถามขค้นมาด้วยสงสัยในท่าที
" วันพระอาทิตย์​ทรงกลดจะทำให้ร่างทั้งเจ็ดได้แยกออกจากกันหนึ่งวัน​ พอหมดแสงอาทิตย์​จะกลับสู่ร่างเดียวตามเดิมเพคะ​ หม่อมฉันนึกว่าทรงทราบแล้วเสียอีก"พระธิดาตอบไปก็ประหลาดใจพลางนึกไปว่าพวกเขานั้นไม่ได้รู้เรื่องนี้ด้วยงั้นหรือ
" เราไม่รู้หรอกพระธิดา​ ลูกเราเพิ่งจะได้เกราะกายสิทธิ์​มาใช้เมื่อไม่ถึงเดือนนี่เอง" นางได้ไขกังขาให้เด็กน้อยได้ฟัง
" อ๋อ.. อย่างนี้นี่เอง​ พระอาจารย์​ยังเคยบอกว่าหากเกิดสุริยคราส​ ร่างทั้งเจ็ดจะสามารถแยกออกจากกันได้ถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนเพคะ​ แต่ว่า.. ทางที่จะแยกออกจากกันอย่างถาวรยังเป็นที่กังขาอยู่เพคะ" เมธาวีก็รู้อยู่เพียงเท่านี้เอง
" แสดงว่าพรุ่งพวกเราทั้งเจ็ดคนจะออกมาพร้อมกันงั้นเหรอ"ศนิวารถามย้ำเพื่อให้แน่ใจ
" เรื่องนี้เราก็ไม่แน่ใจเกี่ยวกับเกราะกายสิทธิ์​นั่นเท่าไหร่หรอก​ เรารู้แต่ส่วนของเราน่ะ​ คงต้องดูกันอีกที" เธอตอบด้วยเพราะยังไม่รู้ของอีกฝั่งว่าจะมีปรากฏ​การณ์เช่นเดียวกับสังวาลย์​มณีหรือไม่
" ยังไงพรุ่งนี้ไม่ว่าพวกเราจะสามารถแยกร่างกันได้เหมือนพวกเจ้าหรือไม่​ ยังไงซะพวกเราทั้งหมดก็ต้องร่วมมือกันต้านทานอันตรายจากเทพวิษุวัต​ที่ไม่รู้ว่าจะมาแบบไหนด้วย"  เขาตอบด้วยเชื่อใจในสุริยะ​ หากแม้ว่าจะไม่ได้ออกมาแต่เชื่อว่าจะต้องสู้จนสุดใจเช่นเดียวกับตน
อรุณรุ่งขึ้นเวียนวนครบบรรจบขึ้นมาเป็นวันอาทิตย์​ทั้งสองสิ่งวิเศษเปลี่ยนสี​ เช่นเดียวกันกับที่บุคคลเปลี่ยนไป
" วันนี้คงต้องเสด็จเข้าเมืองรัตนบุรีเร็วเสียหน่อยพระเจ้าค่ะพระโอรส​ พระธิดา" เสียงเจ้าหิ่งห้อยบอกกล่าวให้เตรียมตัวเดินทางเร็วขึ้นกว่าเดิม
" มีอะไรเหรอจ๊ะพี่หิ่งห้อย​ ทำไมถึงต้องเดินทางเร็วด้วยล่ะ  เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ก็ปลอดภัยดีแล้ว" สุริยะถามด้วยตนเห็นว่าบิดรมารดาก็อยู่ดีไม่เห็นต้องรีบร้อนเลย
" แต่ว่ารัตนบุรีอาจจะไม่ปลอดภัยนะพระเจ้าค่ะ​ เพราะองค์เทพวิษุวัต​จะเสด็จมา" หิ่งห้อยกล่าวตอบ
"จะเสด็จ.. แล้วไม่ดีตรงไหนเหรอจ๊ะพี่หิ่งห้อย"
" พระโอรสศนิวารและพระธิดาเมธาวีทรงพบกับพระฤๅษี​ที่ป่าจินตภพ​ ท่านทำนายไว้ว่าจะเกิดศึกอาทิตย์​ทรงกลดในวันนี้พระเจ้าค่ะ​ ซึ่งศึกนี้นำโดยพระวิษุวัตพระเจ้าค่ะ"
" ศึกอาทิตย์​ทรงกลด​ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่นะ​ ทำไมต้องทรงทำเช่นนี้ด้วยล่ะ​ " พระโอรสกล่าวด้วยความวิตกเล็กน้อย
" รู้แต่เพียงว่าทรงต้องการเกราะกายสิทธิ์​เท่านั้นพระเจ้าค่ะ​ ส่วนเหตุผลที่ทรงต้องการนั้นไม่มีใครรู้เลยพระเจ้าค่ะ" แมลงตัวใหญ่ตอบ
" พวกเราออกเดินทางกันเลยดีกว่านะ​ จะได้ให้ชาวเมืองและทหารเตรียมการณ์รับมือได้"พีรเชษฐ์​เสนอเพราะตนไม่อยากเห็นชาวประชาล้มตายโดยไม่รู้เรื่องใดด้วยเลย
" พระเจ้าค่ะเสด็จพ่อ​ " ว่าแล้วทุกคนก็มุ่งเดินทางสู่เมืองรัตนบุรีทันที
.....​
ฝ่ายด้านในวังรัตนบุรีนั้นปุโรหิตได้จัดแจงแต่งกายและเตรียมตัวให้กับหลานชายเพื่อเข้าพิธีขึ้นครองราชย์​ ​์โดยมีองค์วิษุวัติมาร่วมอำนวยอวยชัย
"ท่านตา​หลานไม่สบายใจเลยจะ" บดิศรกล่าวพลางถอนหายใจหนักหน่วงหลังจากที่แต่งกายเสร็จแล้ว
"หลานไม่สบายใจเรื่องอะไรกันล่ะ​ วันนี้เป็นวันที่ดีนะ​ เจ้าจะมีอำนาจเหนือผู้คนทั้งหลาย​ ไม่ต้องกลัวอาญาถึงตาย​ ใครก็หมายรับใช้พวกเรา" ผู้เป็นตาพูดขึ้นเมื่อหลานได้มีท่าทีไม่สบายใจเอาเสียมาก
" เสด็จพ่อจะทรงคิดเช่นไรที่หลานรับบัลลังก์ต่อโดยพละการเช่นนี้​ ทั้งหลานยังกังวลใจเหลือเกินว่าเรื่องปกครองจะทำได้ไม่ดีพอ"พระโอรสองค์รองนึกกังวลขึ้นมาเสียอย่างนั้น
" จะทรงคิดเช่นไรก็ทรงคิดไปสิ​ เมื่อทำพิธีแล้วเจ้าก็เป็นใหญ่เหนือทุกคน​ ถึงเวลานั้นพระองค์ก็ไม่อาจทัดทานอำนาจที่เจ้ามีไปได้หรอกนะหลานตา" ปุโรหิตพูดให้หลานตนนั้นสบายใจ​ แต่นั่นไม่ได้ทำให้สบายใจเท่าใดนักด้วยเพราะบดิศรยังรักและห่วงหาพระบิดาเสมอ​และคิดเกี่ยวกับตนเองว่าไม่พร้อมก็ไม่ควรขึ้นครองบัลลังก์​ เขาฟังคำผู้เป็นตาแล้วได้แต่พยักหน้า​ไม่พูดอะไรต่ออีก​ เพียงแค่รอเวลาที่จะได้เช้าพิธีราชาภิเษกเท่านั้น
..
"เจ้าว่าอะไรนะ​ วันนี้จะมีพิธีราชาภิเษกเรอะ!!" เจ้าตัวประหลาดที่เอาผ้าปิดหน้าตนไปพูดคุยกับชาวบ้านกลับได้รับข่าวที่น่าประหลาดใจ
"ก็ใช่น่ะสิ​ นี่ล่ะนะในวังตีกลองให้รู้กันว่าพระราชาองค์​ก่อนน่ะสิ้นแล้วและมีประกาศแจ้งมาว่าทรงสิ้นนานแล้วแต่เพิ่งประกาศเพื่อความมั่นคง​ วันนี้พระโอรสบดิศรจะทรงเข้าพิธีราชาภิเษกเพื่อเป็นกษัตริย์​องค์ต่อไปของรัตนบุรี" ชาวบ้านก็ตอบตามคำถาม
เจ้าสุดหล่อได้ไปดูลาดเลามาแล้วจึงทูลเล่าเรื่องราวที่ได้ยินมาให้องค์เหนือหัวฟัง
" อะไรนะ​ บดิศรจะขึ้นครองราชย์!! "ท้าวเจ้าเมืองกล่าวด้วยตกพระทัย​ เหตุใดหนาพระโอรสที่เชื่อใจจึงได้ทำ เช่นนี้
" เรายังไม่ตายและก็ยังไม่สละราชสมบัติ​ ทำไมถึงได้ทำกับเราเช่นนี้นะ" เขากล่าวต่อไปด้วยความสับสน
"เสด็จพี่เพคะ​ หม่อมฉันว่าควรเข้าไปเขตพระราช​ฐาน​แล้วถามให้รู้เรื่องกันเสียก่อนดีไหมเพคะ" สไบทองแนะพระสวามี
"ดี​ พวกเราไปกันเถอะ" ท้าวเธอก็ตอบรับ
"เสด็จพ่อเสด็จแม่พระเจ้าค่ะ​ เสด็จไปกับพี่ห้องหิ่งห้อยก่อนเถอะพระเจ้าค่ะ​ ไว้ลูกเตือนชาวเมืองแล้วลูกจะรีบตามไป" สุริยะกล่าว
" เราไปด้วย" แสงสุรีย์พูดหลังจากที่เงียบมาเสียนานเพราะกำลังคิดถึงการเกิดของอาทิตย์ทรงกลดอยู่
"เช่นนั้นแล้วพ่อกับแม่จะไปกับพี่หิ่งห้อยของลูกก่อน​ ระวังตัวด้วยนะลูก​ พระธิดา" สไบทองตอบรับ
" พระเจ้าค่ะ/เพคะ"ทั้งสองก็ตอบรับที่จะระวังตัว​ อย่างน้อยๆก็พกอเวจีไปคงไม่น่าเป็นปัญหาอะไร​ สิ้นการสนทนาลงก็แยกย้ายเป็นสองฝั่ง
"วันนี้เป็นวันดีไม่ใช่เรอะ​ องค์​เทวาจะมาอวยพรด้วยหนิ​ จะให้พวกเราระวังภัยอะไรล่ะพูดจาแปลกๆ" ชาวบ้านถามขึ้นเมื่อได้ยินเสียงประกาศเตือนกลางเมืองนั้น
"เอาเถอะน่า​ พวกข้าบอกให้หลบก็หลบไปก่อน" ตุ้บเท่งเจ้านึกรำคาญขึ้นมาบ้างแล้ว​ ตนทั้งต้องเตือนทั้งที่ผ้าปิดหน้า​อากาศร้อนแล้วยังมาเจอคนที่ไม่เห็นด้วยลำบากสาธยาย
" ถือว่าพวกเราขอเถอะนะทุกท่าน"พระธิดาต่างเมืองช่วยพูดเสริมเพราะไม่อยากเห็นใครต้องมาร่วมเจ็บปวดสูญเสียจากสงคราม
" ไม่รับคำขอหรอกนะ​ พวกเราจะรอชื่นชมพระบารมีตอนเสด็จเลียบพระนคร" ชาวบ้านก็ไม่ยอมเอาเสียเลย
"หนอยนึกว่าสำคัญนักเหรอ​ อุตส่าห์​มาเตือนยังจะเถียงอีกนะ" สุดหล่อเริ่มขึ้นเสียง
" พอเถอะสุดหล่อ​... เอาเป็นว่าหากเกิดเหตุการณ์​ร้ายแรงขึ้นขอทุกท่านรีบหลีกหนีให้เร็วที่สุดนะ" เขาปรามตัวประหลาดปิดหน้าก่อนที่อารมณ์​จะปะทุไปกว่านี้​แล้วจึงกล่าวให้เตรียมพร้อมอันว่าพอก่อน​ ไม่เช่นนั้นจะ
ถูกต่อต้านคำเตือนเอาเสีย
" ถ้าเกิดเรื่องเช่นนั้นจริงพวกเราจะไม่อยู่เฉยหรอก"
ชาวบ้านต่างตอบพลางเออออกันไป
" สุริยะ​ สุดหล่อ​ พวกเราไปกันเถอะ" จบเรื่องเธอก็ชวนสหายมุ่งสู่วังทันทีโดยติดตามเจ้าถิ่นคนเมืองนี้ไป
...
"บดิศรนี่มันเรื่องอะไรกันแน่" หลังจากที่หิ่งห้อยพาบินลับตาคนเข้าวังมาได้ท้าวพีรเชษฐ์​ก็มุ่งหน้าไปยังท้องพระโรงแล้วพบกับพระโอรสจึงได้ถาม
"เสด็จพ่อ​ คือว่า.. "บดิศรยังไม่ทันได้ตอบดี​ เหล่าบริวารขององค์เทพได้พากันมาก่อนเสด็จแล้วขัดจังหวะเสีย
"ดีจริงๆเลยนะ​ อุตส่าห์​หนีจากฤๅษี​ทมิฬมาได้แล้วยังจะมาหากันซึ่งๆหน้าด้วยอีก" บริวารผู้ที่มีแผลเป็นไหม้ที่ใบหน้ากล่าว
"อย่ามาพูดจาเช่นนี้ใส่องค์เหนือหัวนะ" หิ่งห้อยยักษ์​กล่าวอย่างไม่พอใจ
"ทำไมล่ะ​ องค์เหนือหัวเจ้าใหญ่เท่าไหร่ก็ไม่ใหญ่เท่านายพวกเราหรอก​ ฮ่าๆ" บริวารที่มีแผลอีกคนก็เสริมแล้วหัวเราะขบขันอย่างชอบใจ
" นี่อย่ามาว่าเสด็จพ่อเราอย่างนี้นะ" บดิศรเขาไม่ชอบให้ใครมาพูดเกี่ยวกับบิดาเช่นนี้เลย
" กล้าดีนักนะ​ ทหารมาจับสองคนนี้เร็วเข้า!!" เจ้าเหนือหัวสั่งแต่กลับไร้ซึ่งคนกล้าเผชิญเพราะพอรู้ว่าตนไร้แรงเท่ากันเสียทั้งนั้น
" แค่ปัญญาสั่งคนยังไม่มีเลย​ จะทำอะไรได้" พวกเขาต่างพูดอย่างสนุกปาก
" ข้าให้หยุดพูด​ เอาแต่พูดอยู่ได้!! " บดิศรเธอทนไม่ได้จึงเข้าถีบทำร้ายพวกปากดีจนออกนอกท้องพระโรง​ แค่นั้นยังไม่พอ​ ตนยังออกไปกะจะสั่งสอนเพิ่มเสียให้เข็ดหลาบ​
"บดิศร.."พีรเชษฐ์​เรียกลูกยังไม่ทันได้พูดต่อปุโรหิตและพวกก็ได้เข้าจับกุมตัวทั้งสองพระองค์​ หิ่งห้อยจึงปล่อยลำแสงก่อระเบิดวุ่นวายไปทั่ววังหลวง​ แต่ด้วยฝุ่นตลบอบอวลเกินไปทั้งสองพระองค์​จึงหลีกหนีอย่างยากลำบากส่งผลให้ถูกจับได้ไล่ทัน​ ทั้งคนและหิ่งห้อยก็โดนบ่วงรัดตัวจากบริวารคนที่สามของเทพท่านเสียแล้ว
"บดิศร​กล้าดีนักนะ​ นึกว่าตัวเองวิเศษวิโสนักเหรอที่ทำอย่างนี้" บริวารที่ถูกกระทำได้เปิดฉากสาดน้ำลาย
"ข้าไม่วิเศษอะไรทั้งนั้นล่ะ​ แต่ว่ามาว่าเสด็จข้า​ ข้าไม่ยอม" เขาตอบพลางวิ่งไปกะจะกระทืบอีกคนให้มิดพสุธาแต่ทว่าเทวดารับใช้นี้ใช้มือรับเท้าไว้ได้ทัน
"เสด็จพ่อ​ เสด็จแม่​ พี่หิ่งห้อย!! " เสียงเรียกที่ตกใจของสุริยะทำให้บดิศรหันกลับไปมองพลางใช้เท้าเตะคนที่ตนสั่งสอนทีเพลอเสียเข้าเต็มๆ
" พวกนี้อีกแล้วเหรอ​ ระวังเถอะจะเสียใจที่มาที่นี่" พระโอรสองค์รองว่า
"ไว้ก่อนเถอะ​ ตอนนี้ใกล้เพลาองค์ท่านเสด็จแล้ว​  พวกเรามาร่วมมือกันจัดการมัน​ก่อนดีกว่า"บริวารผู้ที่ใช้บ่วงมัดได้ออกความเห็น
"มาเลย" สุริยะท้าทายแล้วเริ่มเข้าต่อสู้โรมรันกับบดิศร​ ซึ่งเหล่าทหารที่ดูเหตุการณ์​ก็เข้ามาร่วมหมายจะตะลุมบอน​ แต่ทายาทเจ้าแห่งสิงสาก็ดักหน้าจัดการ
" ครั้งที่แล้วพวกท่านยังไม่รู้สำนึกอีกเหรอ" แสงสุรีย์​ดักทางเจ้าบริวารทั้งสองที่เป็นอริก่อนเก่าเมื่อคราวเมืองทิศพล
"สำนึกอะไรล่ะ​ เกราะนั่นเป็นของพระวิษุวัต​ เรามาเอาคืนให้ก็ถูกแล้ว" เขาเถียงเด็กหญิงพลางนึกถึงเหตุการณ์​ที่เกิดแล้วนึกแค้นที่โดนเผาอย่างนั้น
"ของใครเราไม่รู้ด้วยหรอก​ เรารู้แต่ว่าถ้าเอาโดยวิธีทำร้ายเช่นนี้ก็ถือว่าผิด" เธอตอบแล้วทั้งสองก็เข้าต่อสู้ด้วยทันที
" ยอมซะเถอะบดิศร​ เราไม่อยากใช้พลังทำร้ายเจ้า"สุริยะพูดขณะที่กำลังฟัดเหวี่ยงพลัดปล้ำกับอีกฝ่าย
"ไม่ต้องพูด​ไอ้ง่อย" เขาไม่พูดปล่าวยังจะใช้มือยื้อดึงเกราะเสียให้ได้​ แต่เจ้าของไม่ยอมง่ายๆจึงสู้ด้วยความลำบาก​
" พระวิษุวัตเจ้าเสด็จแล้ว!! " บริวารกล่าวดังขึ้นเพื่อหยุดการต่อสู้เสีย​ ทั้งสองฝ่ายผละจากกันแล้วมารวมตัวกันไว้
"สุริยะ​ เจ้าจงคืนเกราะกายสิทธิ์​ให้แก่เราเสียเถิด​ แล้วเราจะปล่อยพ่อกับแม่ของเจ้าไป" ลงมาได้ไม่นานพนะเทวาก็กล่าวเอาเงื่อนไขเข้าแลกเสียแล้ว
"ไม่นะลูก​ ไม่ว่าแม่จะเป็นยังไงก็อย่าให้เกราะกายสิทธิ์​เด็ดขาด" พระมารดาบอกพระบุตรเพราะตนไม่อาจทนเห็นลูกในสภาพที่พิการเข็ญใจได้อีกแล้ว
" เจ้าก็คิดดูเถอะว่าอะไรสำคัญ" เทพเธอก็เสริมไปอีก
" ที่พระองค์​บอกว่าคืน​ หมายความว่าอะไรเพคะ" แสงสุรีย์​ถามด้วยสงสัย​ เมฆาบนฟ้าก็คลาเคลื่อนใกล้เวลา
" เกราะกายสิทธิ์​เป็นของเรา​ แต่เจ้าเทพบุตรโกวิท​กลับลักขโมยหยิบเอาของของเราไป" เขาพูดพลางชี้ไปยังเด็กที่ใส่ชุดเกราะวิเศษพลางสังเกตเห็นสังวาลย์​ที่คล้องตัวเด็กที่ถามตน
" แต่นี่คือสุริยะนะเพคะ​ พระองค์​ทรงแน่ใจได้ยังไงว่าเป็นเขาจนมาราวีกัน" แสงสุรีย์​มิลดละที่จะถามหาเหตุผล
" รู้สิก็เราให้เขาลงมาเกิดเอง​ แต่ว่าเจ้าโกวิทไม่บอกแหล่งเก็บเกราะนี่จนมาใช้งานนี่ล่ะ​ เจ้าเถอะไปได้สังวาลย์มณีมาจากที่ไหนล่ะ" เทพท่านได้ถามกลับบ้าง​   สีรุ้งเริ่มปรากฏ​ข้างดวงอาทิตย์​ใกล้เป็นวงเข้าทุกที
" หม่อมฉันได้มายังไงก็ไม่ใช่ของของพระองค์หรอกเพคะ" ตอบเช่นนี้มีหรือเทพท่านจะพอพระทัย
" ยังไงซะ​ สิ่งวิเศษพวกนี้ก็ไม่ใช่ของที่พวกเจ้าจะใช้ประโยชน์ได้หรอก​ เราว่าจะใช้เงื่อนไขแลกเปลี่ยน​แต่ตอนนี้เราเปลี่ยนใจแล้ว" ว่าแล้วเทพวิษุวัต​ก็ใช้พลังประจำพระองค์ลงมาหมายจะเอาสิ่งวิเศษทั้งสองแต่ทว่าเมฆที่บดบังดวงสุริยันได้เคลื่อนคลายไปทำให้แสงอาทิตย์​ทรงกลดสาดส่องยังสิ่งวิเศษทั้งสองบังเกิดแสงประหลาดแสบเนตรนัยน์จนหายไป​ แล้วปรากฏ​เป็นเด็กที่แยกออกมาเป็นร่างทั้งสิบสี่คน​
" นี่มันอะไรกัน" เทพเธอฉงนได้พูดไปแต่แล้วไม่นานตนก็ต้องนคกถึงผลเสียที่จะตามมาจะได้จงใจปล่อยลูกไฟประลัยกัลป์​ลงมาเป็นห่าใหญ่เข้าหมายโจมตีเด็กที่สวมใส่สิ่งวิเศษเสียให้ราบคาบ​  ร่างที่ออกมายังไม่ทันตั้งตัวดีจึงพากันหลบหลีก
"พระฉายส่องสิทธิ์​!!" พระโอรสภูมินทร์ใช้พลังจากเกราะกายสิทธิ์​เข้ากันทุกคนไว้เป็นแนวกระจกสะท้อนลูกไฟกลับไป
"จันทราภา​ พุทธ​รัตน์​ ประกายพฤกษ์​ฝากไปช่วยเสด็จพ่อเสด็จแม่​และพี่หิ่งห้อยทีนะ​ " สุริยะเริ่มบอกแบ่งหน้าที่ทันทีที่มีโอกาส​ พวกบริวารเริ่มเห็นท่าไม่ดีจึงเข้าต่อสู้กับพวกเกราะกายสิทธิ์​และสังวาลย์​มณีทันที
"คิดว่ากระจกสะท้อนแล้วเราจะทำลายไม่ได้เหรอ" เทพวิษุวัตจึงจำขวานเพชรเข้าจามพระฉายส่องสิทธิ์
" แก้วทวาราสันตี!! " จินดาใช้พลังจากสังวาลย์​มณีสร้างประตูแก้วกั้นเพดานฟ้าเมืองไว้
"ปัทมาสน์ช่วยกั้นขวางประตูให้ทีอย่าให้พระวิษุวัตเข้าทำลายได้" แสงสุรีย์บอกกับธิดาอสุรา
"ได้!! " ปัทมาสน์ตอบรับแล้วแปลงกายใหญ่พร้อมนำพลังจากสังวาลย์ขึ้นมาช่วยต้านพลังทำลายของเทพท่าน
"เราไม่มีความแค้นต่อกัน​ ปล่อยเสด็จพ่อกับเสด็จแม่เรานะ" ประกายพฤกษ์ต่อรองกับอีกฝ่ายที่มัดร่างพระบิดามารดาไว้
" ไม่ได้​ เรารับใช้องค์เทพ​ จะไม่ยอมปล่อยคนให้อริเด็ดขาด" แล้วบริวารก็เข้าสู้กันกับทั้งสามพระธิดา​
จันทลักษณ์เข้าแก้บ่วงให้ทั้งสองพระองค์และหิ่งห้อยยักษ์​จนหลุดจากพันธนาการ
" คนเราน้อยกว่า​ อาจต้านไม่ไหวนะธานินทร์" บริวารของพระวิษุวัตพูดกับสหายตัวขณะต่อสู้
" บดิศรตามาช่วยเจ้าแล้ว" ปุโรหิตโร่เข้ามาใช้หุ่นพยนต์​นับร้อยเข้ามาช่วยสู้
"กะจะใช้วิธีนี้มารุมเหรอ​ อย่าคิดว่ามีคนเดียวเลย" ศุภลักษณ์​ก็ใช้วิชาเสกหุ่นพยนต์​มาสู้อีกฝ่ายด้วยเช่นกัน
" อีกนานไหม​ เราจะต้านไม่ไหวแล้วนะ" ปัทมาสน์ท้วงเมื่อแรงโจมตีของขวานเพชรนี้หนักขึ้นหลายเท่าทวีคูณ
" เราก็อยากให้จบเร็วๆอยู่หรอก" อังคาสตอบแล้วเข้าพลัดรับพลัดสู้กับดิศร
" เพชรราหูสร้างพันธนาการเถอะอย่างนี้ไม่ไหวแน่" แสงสุรีย์กล่าว
"เรากำลังเร่งอยู่​ ทนไว้ก่อนนะ" เพชรราหูใช้พลังสร้างกรงขังที่อยู่ใต้พสุธา​แต่ยังไม่ทันเสร็จดีเพราะมีคนเข้าขวาง​ การต่อสู้วุ่นวายหาทางหลบหลีกช่างยากเย็นต่อผู้ที่ต่อกรไม่ได้อย่างเจ้าเมืองและมเหสี​
" เสด็จพ่อ​ เสด็จแม่มาอยู่ในนี้ก่อนนะพระเจ้าค่ะ​ จงนำพระบิดามารดาเราเข้าไปน้ำเต้าอมฤต" ศนิวารใช้น้ำเต้าที่เก็บมาจากโยคีเฒ่ามาใช้เก็บรักษาพระบิดามารดาไว้ก่อน
" พุทธรัตน์​" จันทราภาเรียกอีกคนที่ถูกบ่วงบาศก์เข้ารัดแน่นก่อนจะเข้าช่วยแก้ไข​ แต่ไม่ทันระวังตัวจึงจะถูกหุ่นพยนต์​ทำร้ายแต่เมธาวีมาช่วยได้ทัน​ จากนั้นก็เข้าสู้กันต่อ
" โอมไพรีจงเข้าที่พันธนาการ"เพชรราหูสร้างกรงขังใต้พสุธาเสร็จก็ใช้พลังดึงคนอีกฝ่ายลงสู่ธรณีสูบ​แต่คนเยอะไปจึงยังค้างคาไม่ลงถึงใต้ธรณี​
"เราช่วยนะ" อังคาสเข้าช่วยเพิ่มพลังให้กับพันธนาการจนสามารถสูบคนเข้าพันธนาการได้ แต่ทว่าขณะเดียวกันยักษ์​เฝ้ากันประตูไม่สามารถทนแรงทำลายต่อไปได้​ ทวาราจึงแตกแยกและขณะเดียวกันปัทมาสน์ก็กลับสู่ร่างปกติด้วยอาการบาดเจ็บ
"เราเสียเวลามามากพอแล้ว​  ให้มันจบลงตรงนี้เถะ"ว่าแล้วก็ใช้พลานุภาพส่งต่อพลังสู้ขวานเพชรหมายจะจัดการทุกคนในคราวเดียว
"พวกเรารวมพลัง" สุริยะพูดแล้วเกราะกายสิทธิ์​ทุกคนก็รวมกำลังเข้าเป็นโล่พลังกั้นแล้วโต้ตอบกลับไปโดยพลังยังคงต้านทานกันคนละครึ่งทาง​  ฝ่ายสังวาลย์มณีก็ช่วยเอาพลังเข้าช่วยอีกแรงจนพลังมาก​เกินส่งผลให้เสียการควบคุมจนทั้งสองฝ่ายต้องผละออกจากกัน​  เทพวิษุวัตและอีกฝ่ายก็ต่างเจ็บกับเสียระบม
"พระโอรส​ พระธิดาพระเจ้าค่ะ" หิ่งห้อยยักษ์​ที่เฝ้าดูเหตุการณ์​อยู่ได้ปรี่เข้าไปดูเหล่าเชื้อไขกษัตราทันที​ ทันใดนั้นเองมีแสงสีมรกตประกายแก้วสาดส่องลงมายังพื้นที่เมืองรัตนบุรีท่วนทั่วกัน​ ปรากฏ​พระเทวราชาองค์อินทร์​แห่งแดน​ดาวดึงส์​ประจักษ์​สู่สายตาประชาชาวมนุษย์​และเทพเทวัญ
" วิษุวัต​ เหตุใดเล่าท่านจึงได้กระทำการเช่นนี้" ท้าวมรุตวานท่านถามถึงเทวาในการปกครอง
"ข้าพุทธ​เจ้าได้รับทุกขเวทนาจากการกระทำของเทพบุตรโกวิทย์​ บัดนี้เพียงมาขอสิ่งของของข้าพุทธ​เจ้าคืนเท่านั้น​พระเจ้าค่ะ"เทพวิษุวัตทูลตอบพระเทวราชา
"เรื่องนั้นเราว่าเขาก็ได้รับโทษทัณฑ์​จากท่านแล้ว สิทธิ์​ในเกราะกายสิทธิ์​นั้นเป็นของเทพบุตร​โกวิท​ตามสมควร​ แต่ท่านใช้กำลังทำร้ายผู้เยาว์และต้องการสังวาลย์​มณีด้วยนั้นเราเห็นว่าไม่สมควร​ เช่นนี้แล้วเราขอให้ท่านละจากการดูแลโลกมนุษย์​เป็นเวลาหนึ่ง​ทศวรรษ​เพื่อที่จะได้บำเพ็ญเพียรให้จิตบริสุทธิ์​มากยิ่งขึ้น​ เราให้เวลาท่านจัดการเรื่องที่ดูแลที่ยังไม่แล้วเสร็จภายในเจ็ดวันแล้วเริ่มการบำเพ็ญโดยทันที" พระโกสีย์เธอมอบหมายให้ตามเห็นสมควร
" ข้าพุทธ​เจ้าขอน้อมรับพระบัญชา
เป็นพระมหากรุณาธิคุณ​พระเจ้าค่ะ​" วิษุวัตเทพกล่าวตอบรับกับข้อมอบหมายแห่งองค์เจ้าเทวัญ
" ส่วนพวกท่าน​ เราจะช่วยรักษาอาการทุกข์​ยากแล้วเราจะคืนสู่วิมาน" กล่าวแล้วทรงดลบันดาลให้เกิดพิรุณร่วงลงสู่พื้นปฐพีรัตนบุรีที่แห้งแล้งมีร่วมเก้าปี​ นอกจากจะเป็นน้ำฝนที่ช่วยให้ความแห้งแล้งกลับกลายเป็นความอุดมสมบูรณ์​แล้วนั้น​ ยังรักษาอาการบาดเจ็บจากการต่อสู้แลบูรณะสิ่งก่อสร้างที่เสียหายได้อย่างน่าอัศจรรย์​ใจ
" เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่ง​พระเจ้าค่ะ/เพคะ" เหล่าพระโอรสพระธิดาต่างล้วนซาบซึ้ง​ในองค์อินทร์
"เราขอให้ท่านทั้งหลายประพฤติ​ชอบอยู่ในความดี​ ขจัดทุกข์​ยากให้ผู้คน​ เราไม่สามารถจะช่วยใครได้ทั่วถึง​ ถือว่าคือคำขอของเราเถิด​ ได้เพลาแล้วเราลาก่อน" พูดจบแสงมรกตประกายแก้วหายไปพร้อมกับร่างขององค์อินทร์นั่นเอง
.......
พระโอรสศนิวารได้นำพระปิตุรงค์​และพระมาตุเรศออกมาจากจากน้ำเต้าอมฤตแล้วเหล่าปรัตยาทั้งหมดรวมถึงพระสหายได้เข้าเฝ้าถวายบังคมพระกษัตริย์​ในท้องพระโรง
" บัดนี้บ้านเมืองเราได้กลับคืนสู่ซึ่งความสุขไร้อาเพศ​แล้ว​ ทั้งนี้เป็นเพราะพระมหากรุณาธิคุณ​ของพระองค์อมเรศวร  เราเห็นควรว่าลดการเก็บส่วยแลอากรลดเสียหนึ่งปีตลอดจนบริจาคทานเพื่อเป็นการช่วยสร้างขวัญกำลังใจให้เหล่าประชาทำการต่อไปได้" ท้าวพีรเชษฐ์​ได้พระบัญชาตามเห็นชอบ
" รับด้วยเกล้าพระเจ้าค่ะ"อำมาตย์เรืองรอง​รับพระบัญชาของพระมหากษัตริย์​เพื่อจะได้กระทำการต่อไป
" อีกทั้งเราต้องขอบพระทัยพระโอรส​ พระธิดาของเรารวมถึงพระสหายที่มาช่วยป้องกันรัตนบุรีอย่างสุดกำลัง​ อีกทั้งยังช่วยชีวิตเราและพระมเหสีให้พ้นโพยภัย" ท้าวเธอกล่าวพร้อมแย้มพระโอษฐ์​
" พวกหม่อมฉันยินดีพระเจ้าค่ะ/เพคะ" ผู้ที่ได้รับคำขอบใจต่างตอบด้วยความยินดี​
"วันนี้รบกวนพวกท่านมากพอแล้ว​ พักผ่อนกันก่อนเถอะนะ"กล่าวแล้วก็ถือว่าการประชุมได้สิ้นสุดลง​ เหล่าข้าในวังได้พาเหล่าอาคันตุกะมายังพระตำนักรับรอง










หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ เมษายน 20, 2020, 12:23:02 PM
"วันนี้เหนื่อยจังเลยนะ​ เฮ้​อ" ศุภลักษณ์​พูดพลางนอนลงยังพระแท่นบรรทม
"อย่างนี้เราช่วยสำเร็จแล้วสินะ" เมธาวีกล่าวต่อ
"ใช่แล้วล่ะ​" แสงสุรีย์​ตอบ
"เช่นนี้พวกเราก็กลับบ้านกลับเมืองกันได้แล้วล่ะสิ" ปัทมาสน์กล่าวขึ้น
"ใช่​ แต่เวลานี้ก็ใกล้ค่ำแล้ว​ วันนี้พักที่นี่เสียก่อน​แล้ววันพรุ่งเราจะเดินทางต่อให้" จันทลักษณ์​บอกพลางมองยังแสงสุรีย์​
"เราขอบใจมาก"แสงสุรีย์รับรู้ได้ถึงน้ำใจอีกคน
" แล้วผู้คนที่ถูกจองจำในกรงใต้ดินล่ะจะเป็นอย่างไร" จินดาถามกับเพชราหู
"ผู้คนที่อยู่ในนั้นยังมีชีวิตอยู่อย่าห่วงเลย​ ทางเข้าสู่ด้านล่างก็คือทิศหรดีของวังนั่นล่ะ​ ไว้พรุ่งนี้ก็ทูลให้ทรงทราบด้วยแล้วกันนะจันทลักษณ์" เพชรราหูกล่าวตอบพลางบอกเจ้าของวันพรุ่ง
" ได้​ เราตกลง"
"เสียดายอยู่ด้วยเดี๋ยวเดียวก็ต้องรวมกันกัน​แล้ว​"ศุภลักษณ์พูดเชิงบ่นเล็กน้อย
"เอาน่าอาทิตย์​ทรงกลดเกิดขึ้นได้ไม่ยากหรอก​ ไว้มีอีกเมื่อไหร่คิดอยากทำอะไรก็ทำได้" เมธาวีพูดตอบ
" เฮ้อ" เสียงทอดถอนหายใจประสานคู่ของปัทมาสน์และศุภลักษณ์​ดังขึ้นบอกถึงความเหนื่อยใจอย่างยิ่งยวด
..
ด้านฝั่งเจ้าเมือง​  ชายา​ บุตรธิดา​ของเมืองก็ได้เข้าพูดคุยกันเป็นการส่วนพระองค์
" ลูกของพ่อ​ พ่อขออภัยลูกจริงๆที่พ่อทำการไล่เจ้าไปเพราะคำทำนายเพียงไม่กี่คำ​ ทำให้พวกลูกกับแม่ต้องลำบากอยู่ในพงไพร" พีรเชษฐ์​กล่าวด้วยจิตสำนึก
"ไม่เป็นไรหรอกพระเจ้าค่ะ​ เดินทางไม่นานหม่อมฉันกับเสด็จแม่ก็ถึงเมืองพระอัยกาแล้วพระเจ้า" สุริยะกล่าว​ เขาเข้าใจที่บิดาทำไปนั้นเพียงเพราะเพื่อบ้านเมือง
"แต่ว่าเสด็จตาคงพระราชทานอภัยยากอยู่นะพระเจ้าค่ะ"ศนิวารกล่าวทูลพระบิดา
" จริงสิเพคะ​ เสด็จพ่อทรงทราบแล้วพระพิโรธมาก​ เป็นเช่นนี้คงไม่ดีแน่" สไบทองกล่าวเสริม
" เอาเช่นนี้ไหมเพคะ​ ทรงมีลายพระหัตถ์​เรขาถึงพระอัยกา​ แล้วพวกหม่อมฉันนำไปถวายและจะกราบทูลพระองค์​ให้พระราชทานอภัย"จันทราภาเสนอแนวคิด
" อะไรกัน​ พ่อควรจะเป็นคนขอพระราชทานอภัยด้วยตนเองสิ​ ลูกจะลำบากทำไมกัน"บิดากล่าวเพราะไม่เห็นด้วย
" ตอนนี้เสด็จพ่อเพิ่งจะกลับเข้าสู่พระตำแหน่ง​ ยังถือว่าไม่มั่นคงดีอย่าเสด็จไปเลยพระเจ้าค่ะ"ภูมินทร์กล่าวช่วยแจง
" จริงด้วยเพคะ​ จันทราภากับภูมินทร์​กล่าวตามเห็นสมควรแล้ว"พุทธ​รัตน์​กล่าวเสริม
" พ่อยอมก็ได้​พ่อจะเขียนให้​ "
" แต่ว่าไม่ทันไรก็จะเดินทางอีกแล้วเหรอ​ พวกเราเพิ่งอยู่ด้วยกันไม่นานเองนะ"มเหสีรู้สึกไม่สบายใจ
" เสด็จพ่ออย่าทรงวิตกเลยเพคะ​ เมื่อเสร็จธุระแล้วพวกหม่อมฉันจะรีบกลับมาอย่างปลอดภัยเพคะ"ประกายพฤกษ์กล่าวมิให้มารดาหม่นหมอง
"หากลูกต้องการเช่นนั้น​ แม่ก็คงห้ามไม่ได้"
" แล้วเรื่องพวกปุโรหิตกับบดิศรจะทรงทำเช่นไรหรือพระเจ้าค่ะ"อังคาสถามขึ้น
"พวกเขานั้นก็ควรได้รับโทษที่ก่อไว้​ แต่ความชอบแต่ก่อนเก่าก็มีอยู่​ จะให้โทษถึงประหารไม่ได้​ อย่างไรเสียพรุ่งนี้พ่อจะให้โทษแก่พวกเขาตามสมควร" ท้าวเธอตอบพลางมองดวงอาทิตย์​ที่ลาลับไป​ ร่างทั้งหมดก็เหลือแต่พระโอรสเพียงพระองค์เดียวเพราะหมดซึ่งแสงตะวันแล้วนั่นเอง

" เอามาอีกๆ​ สุดหล่อยังไม่อิ่มเลย  เร็วๆสิ" อีกตำหนักรับรองได้มีเจ้าตัวประหลาดและหิ่งห้อยอาศัยอยู่ก็ได้อิ่มหนำจากอาหารที่มาจากห้องเครื่อง
"นี่เจ้าตุ้บเท่งอย่าใช้คนมากนักสิ  เขาก็กล้าๆกลังอยู่แล้วยังจะไม่เร่งเร้าขู่เข็ญอีก" หิ่งห้อยยักษ์เตือน
"เอ๊ะ​ เจ้านี่หนิ  ข้าพอใจจะสั่งก็สั่งเถอะ​ อีกไม่นานน่ะนะเกราะกายสิทธิ์​ก็จะเป็นของข้าฮ่าๆ​ เป้าหมายต่อไปก็จะเป็นสังวาลย์​มณีที่ข้าจะติดตาม​"
"เจ้านี่คิดแต่จะเอาของคนอื่นอยู่ได้​ ถ้าได้คืบจะเอาศอกอีก​ โตมายังไงกัน"เขาต่อว่าอีกฝ่าย
" โตมาอย่างคนเอ๊ยราชสีห์หล่อนั่นล่ะ​ อย่าว่านักเลยน่าเกิดมาทั้งทีต้องได้ของดีติดตัวกันบ้าง"เขาพูดไปก็กินไปไม่รู้จักหยุดหย่อน
" เอาเถอะ​ ไม่อยากจะยุ่งด้วยแล้ว"หิ่งห้อยระอาที่เจ้าตัวประหลาดเอาแต่ได้สอนไม่ได้เต็มทนจนเลิกต่อว่าไป
ในกลางดึกคืนนั้นเองมีแสงเปล่งประกายแก้วทางประจิมทิศของพระราชวังทำให้คนที่นอนไม่หลับทั้งสองต้องไปดูเสียให้รู้ว่าเป็นสิ่งใด
" สุริยะ​ ท่านก็เห็นแสงประกายแก้วเหมือนกับเราเหรอ" ธิดาต่างเมืองถามเพราะอีกฝ่ายมาคงด้วยเหตุผลเดียวกัน
"ใช่แล้วล่ะ​ แปลกจริงๆเลย​ กลางคืนดึกดื่นแต่มีแสงประกายมากได้น่าพิศวงนัก" โอรสเจ้าเมืองตอบอักฝ่าย
"เช่นนี้แล้วพวกเราไปตามหาต้นกำเนิดแสงกันเถอะ" แสงสุรีย์เชิญชวนแล้วทั้งสองได้ช่วยกันตามหาจนเจอต้นกำเนิดแสง
"นี่คือธำมรงค์​แก้วล่ะ​ แต่เมื่ออยู่ในมือแล้วไม่มีแสงมากจนชัดเมื่อตอนยังไม่พบเลย"สุริยะเจอแหวนแก้วแล้วได้บอกอีกคน
" ตรงนี้.. เป็นที่ที่เราต่อสู้กับพระเทวาวิษุวัต​ก่อนพระเทวราชาจะเสด็จนี่​ ไม่แน่ว่าธำรงค์วงนี้อาจจะเกิดจากปะทะของพลังก็เป็นได้นะ" เธอพูดตามที่เข้าใจ
" เช่นนั้นแล้วเราขอยกธำรงค์นี้ให้ท่าน"เขาพูดพลางยื่นแหวนให้อีกฝ่าย
" อย่าเลย​ เก็บไว้ให้คนที่คู่ควรจะใช้เถิด​ นี่ก็ดึกมากแล้ว​ เราว่าไปพักผ่อนต่อเถอะ​ พรุ่งนี้อีกคนของพวกเราจะได้มีแรง" ว่าแล้วทั้งสองต่างแยกย้ายไปพักต่อไป
..
วันต่อมา​ องค์เหนือหัวรัตนบุรีมีรับสั่งให้นำตัวพระมเหสีฝ่ายซ้ายมายังท้องพระโรง
"องค์เหนือหัวเพคะ​ พระราชทานอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ​ หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ"สไบแก้วทูลขออภัยจากพระสวามีหวังให้เห็นใจตน
" เสด็จแม่"บดิศรเข้าไปหามารดาด้วยใจห่วงหาหลังจากได้รับการปล่อยตัวจากที่คุมขังโดยจันทลักษณ์​เป็นคนพาเหล่่าทหารไปนำตัวเหล่าปุโรหิตและพระโอรสมายังที่แห่งนี้
" กระหม่อมขอพระราชทาน​อภัยพระเจ้าค่ะ​ ทั้งหมดเป็นความผิดของกระหม่อมเพียงคนเดียว" ปุโรหิตเฒ่าทูลบอกให้ความผิดตกแต่ตนเท่านั้น
"เราเห็นควรลงโทษท่านอยู่แล้ว​ แต่จะละเว้นบุตรีของท่านเห็นจะไม่ได้​ ความผิดที่ท่านจะตั้งพระโอรสบดิศรแทนเรา​ เราถือว่าไม่ใช่ความผิดของบดิศร​ แต่เห็นเมื่อครั้งก่อนที่ท่านทำคุณให้เรากับบ้านเมือง​ เราจะให้ท่านปุโรหิตและบุตรีออกจากเมืองของเราไปเสียอย่าได้กลับมาอีก​ ส่วนบดิศรเราจะดูแลเอง"ท้าวพีรเชษฐ์​รับสั่งเพื่อตัดปัญหาที่อาจตามมาถ้าอภัย
" เสด็จพ่ออย่าให้ท่านตากับเสด็จแม่ไปเลยนะพระเจ้าค่ะ​ หากไปแล้วหม่อมฉันจะอยู่ได้อย่างไร"บดิศรค้านพระบัญชา
" ไม่ได้หรอก​ เพียงเราไม่ให้โทษประหารก็ดีพอแล้ว​ ส่วนเจ้าก็อย่าอาลัย​เลย​  บ้านเมืองนั้นสำคัญกว่านักนะ"พระบิดากล่าวตอบข้อค้าน
"เช่นนั้นแล้ว  หม่อมฉันจะขอติดตามท่านตาและเสด็จแม่ไปด้วยพระเจ้าค่ะ"
" บดิศรไม่นะลูก"สไบแก้วกล่าวเพราะไม่อยากให้ลูกต้องทนระกำลำบากไปกับตน
" บดิศร​ เจ้าว่าเช่นนี้​ ไม่เห็นว่าเราเป็นพระบิดาเจ้าแล้วรึถึงได้เลือกอีกฝั่งได้ไม่ลังเล"ท้าวเธอเริ่มกริ้วเสียแล้ว
"ไม่ใช่นะพระเจ้าค่ะ​ หม่อมฉันเลือกติดตามเพื่อที่จะดูแลด้วยรักและแทนคุณ​ตามที่สมควรทำ​ หากไม่ได้กระทำหม่อมฉันคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต" พระโอรสกล่าวแจงเหตุผล
" จริงอย่างที่พระโอรสบดิศรกล่าวนะเพคะ​ คุณธรรมกตัญญู​สำคัญมาก​ ไม่กระทำคงไม่ดีเท่าใดนักนะเพคะ" สไบทองช่วยพูดด้วยสงสาร
" เอาเถอะ​ ถ้าอยากทำตามใจนักเราไม่ห้าม​ แต่ห้ามไม่ให้เจ้ามาพบหน้าเราอีกเลยบดิศร​ ไปได้แล้ว​ ทหารนำตัวไป" เจ้าเมืองออกโอษฐ์ทันทีเสียให้จบเรื่องราว​ เหล่าทหารจึงนำตัวไปในทันที
" พระโอรสจันทลักษณ์​ท่านจะกลับบ้านเสียวันนี้แล้วหรือ​ ไม่พัักที่เมืองเราหลายวันก่อนล่ะ" จบเรื่องก็ตรัสถามพระโอรสเมืองคีรีมาศต่อ
" หามิได้พระเจ้าค่ะ​ หากแต่หม่อมฉันจากเมืองมาหลายวัน​ เห็นสมควรจะต้องเดินทางกลับเสียทีพระเจ้าค่ะ"
"เสียดาย​จริง​ ท่านช่วยเหลือพวกเราเสียมากหากแต่ไม่อาจตอบแทนได้เท่า​ เราขอยกสมบัติที่มีอยู่ให้กับท่านตามเห็นสมควร" ข้าราชบริพาร​นำเพชรนิลจินดาพร้อมเครื่องทองมากมายมาถวายให้
" ขอพระราชทาน​อภัย​ หม่อมฉันมิอาจรับไว้ได้พระเจ้าค่ะ​" จันทลักษณ์​ไม่อยากได้ของมีค่าใดเลยเพียงแค่อยากช่วยเท่านั้น
" เรารู้ว่าท่านลำบากใจ​ ถ้าเช่นนั้นนำสิ่งใดไปสิ่งหนึ่งเถิดหนา​ ถือว่าไม่เสียน้ำใจกัน" พีรเชษฐ์​กล่าวเช่นนั้นอีกฝ่ายคงปฏิเสธไม่ได้แล้วจึงขอเพียงพันธุ์​แวววิเชียรดอกไม้ประจำเมืองที่เก็บไว้รอสิ้นภัยแล้งส่วนหนึ่งไปเพื่อทำการปลูกตามความชอบของตน
"เสด็จพ่อเพคะ​ หม่อมฉันขอร่วมทางไปส่งจันลักษณ์​และไปยังเมืองทิศพลด้วยนะเพคะ"จันทราภาทูลขอ
" เราเพิ่งอยู่ด้วยกันได้ไม่นาน​ จะออกเดินทางอีกแล้วหรือ​ เอาเถอะ​อย่างไรก็ตามพ่อคงห้ามไม่ได้​ ระวังตัวด้วยนะลูก"
"เพคะเสด็จพ่อ​ ลูกจะกลับมาอย่างปลอดภัยเพคะ"
"อย่าไปลำพังเลยนะลูก​ ให้ตุ้บเท่งกับหิ่งห้อยไปเป็นเพื่อนด้วยนะ​ พอกลับจะได้มีเพื่อน" สไบทองใจหายแต่คิดดูคงไม่มีใครมาปองร้ายลูกของตนได้อีกแล้วเพราะอริราชศัตรูต่างก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้อีกจึงปล่อยไปทำตามใจ
ทั้งหมดลาแล้วเดินทางกันต่อไป
" พระธิดาจันทราภาจบเรื่องแล้ว​ ขอเกราะคืนให้สุดหล่อนะนะนะ"สุดหล่อขอร้อง
" เราสัญญากับสุดหล่อด้วยเหรอจ๊ะ"ธิดาฉงน
" ถ้าถอดออกจะให้เดินทางยังไงล่ะ" โอรสต่างเมืองถาม
"ก็พระโอรสศนิวารสัญญาไว้นี่พระเจ้าค่ะ​ ถอดแล้วก็เดินทางเหมือนเช่นเคยๆล่ะพระเจ้าค่ะพระโอรส"
"ศนิวารไม่ใช่เรา​ อยากทวงสุดหล่อก็ไปทวงกับเขาเถอะนะ​ อย่าทวงกับเราเลย"
"อีกแล้วนะพระเจ้าค่ะ​ พูดเหมือนพระโอรสสุริยะเหมือนเดิมไม่ผิดเลย"
แต่แล้วต้องพบกับพญาไกรสรราชสีห์​บิดาของตุ้บเท่ง
" เจ้าตุ้บเท่งเอ๊ย​ ไม่ยอมกลับอยู่บ้าน​ เกราะนั่นมิใช่ของเจ้าหรอกอย่าติดตามอีกเลย​" เขากล่าวกับบุตรชาย
"ไม่นะท่านพ่อ​ เกราะนี่เป็นของพวกเราอยู่กับพวกเรามานานกว่าอีกจะเป็นของมั...พระธิดาได้ยังไงล่ะ" อเวจีมิฟังทัดทานของพ่อ
"ไม่ต้องมาเถียงเลยกลับไปเดี๋ยวนี้!! " เขาดุดันใส่ผู้เป็นลูกเสียจนขวัญเสีย​ เขาต้องกลับไปแม้จะไม่เห็นด้วยก็ตาม
" พระธิดา​ พระโอรส​ เจ้าหิ่งห้อยคงไม่สบายใจแย่เลยที่ลูกข้าคอยเอาแต่ติดสอยห้อยตายเสมอ​ ทั้งยังเอาแต่ทวงของที่ไม่ใช่ของตนเองอีก" เขากล่าว
"ไม่เป็นไรหรอกท่าน​ สุดหล่อก็ช่วยพวกเราไว้มากเหมือนกัน" จันทราภาตอบ
"ข้าถือว่ารบกวนล่ะนะ​ เอาล่ะพวกเราต้องลากันตรงนี้แล้ว​  ข้ากับลูกขอตัวก่อน​ ขอให้พวกท่านโชคดี​" ว่าแล้วจึงแยกทางที่ต่างมีจุดมุ่งหมายต่างกันไป
วันเปลี่ยนไปจนถึงศุกร์จึงถึงทิศพลนคร
" ถวายบังคมเพคะ/พระเจ้าค่ะ" ประกายพฤกษ์​และศุภลักษณ์เข้าเฝ้าเจ้าเมืองนวดลทันทีที่ถึง
"จำเริญๆกันเถิดหนา​ ประกายพฤกษ์​เสด็จแม่ของหลานไม่เห็นมาด้วยเลย  หรือมันเกิดอะไรขึ้น" พระอัยกาไถ่ถามพระนัดดาอย่างใคร่รู้
"เสด็จแม่ประทับที่รัตนบุรีกับเสด็จพ่อเพคะ"
"ว่ายังไงนะ​  คนอย่างพีรเชษฐ์​น่ะถ้าอยู่ด้วยแล้วก็จะประสบเรื่องไม่เป็นเรื่อง​เหมือนอย่างที่แม่กับหลานเจอมาแล้วนี่​ ตาไม่ให้ข้องเกี่ยวกันอีกไม่ใช่หรือ​ หรือว่าลืมคำเราหมดสิ้นกัน"ท้าวเธอได้ฟังเช่นนั้นก็รู้สึกหงุดหงิดอยู่เนืองๆที่เป็นมันไม่เป็นดั่งใจ
" เสด็จพ่อกับเสด็จแม่เข้าพระทัยกันแล้วเพคะ​ หลานยังเห็นว่าพวกเราควรให้อภัยกันนะเพคะ​ เสด็จยังทรงอักษรลงในสานส์มาขอขมาเสด็จตาด้วยนะเพคะ"เธอพูดพลางส่งสานส์ให้กับอัยกาของตน
" ถึงจะมีสิ่งนี้มามอบให้เรา​ แล้วมีเหตุผลอะไรที่จะเชื่อว่าจริงใจไม่ทอดทิ้งพวกเจ้าอีกครั้งล่ะ" เจ้าเมืองไม่ยอมยกโทษให้เสียง่ายๆ
" สุริยะเล่าให้หลานฟังว่าเสด็จพ่อทรงนำพระวรกายของพระองค์​เข้าป้องกันไม่ใช่เขาโดนทำร้ายจนถึงพระชนม์​ชีพ​ ถ้าไม่ได้รับการช่วยจากพระธิดาจินดาแห่งคีรีมาศ​ ป่านนี้พวกเราคงไม่ได้อยู่ร่วมกันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้วเพคะ" นัดดาเธอแจงให้ฟัง
"องค์เหนือหัวเพคะ​ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว​พวกเราควรให้อภัยแก่เขาเถอะนะเพคะ"พระอัยยิกา​ทูลขอกับภัสดา
" เอาเถอะๆ​ ถือว่าครั้งนี้พลาดผิดไป​ หากมีครั้งต่อไปเราจะไม่ให้โอกาสอีกเลย" ท้าวนวดลยอมรับแม้จะยังคัดเคืองอยู่มิน้อย
" ขอบพระทัย​เพคะ​เสด็จ​ตา" ประกายพฤกษ์​ดีใจที่ท่านยอมยกโทษให้
" พระโอรส.. องค์ธริษตรีแห่งเมืองคีรีมาศเสด็จกลับก่อนแล้ว อย่างไรเสียท่านพักที่นี่ก่อนเถิดไว้วันต่อไปจึงเดินทาง" ท้าวเธอกล่าวชวนอาคันตุกะน้อย
" ไม่เป็นไรหรอกพระเจ้าค่ะ​ เดินทางต่อไปไม่หนักกว่าแรง​ หม่อมฉันมิขอรบกวนจะดีกว่าพระเจ้าค่ะ" ศุภลักษณ์​กล่าวตอบ
"ตามใจเถิด​ เรารู้ว่าห้ามไปท่านคงมีเหตุผลมาแย้งอีก"นวดลเธอพูดพร้อมยิ้มอย่างอ่อนโยน
" องค์เหนือหัวพระเจ้าค่ะ​ มีผู้ขอเข้าเฝ้าพระเจ้าค่ะ​ พวกท่านนั้นบอกว่าเป็นพระญาติขององค์หญิงอัญญานีด้วยพระเจ้าค่ะ​ " นายทหารคนหนึ่งเข้าบังคมทูล
" งั้นหรอ​ เช่นนั้นก็เชิญพวกเขาเข้ามา​ ไปเชิญอัญญานีมายังท้องพระโรงด้วย"เจ้าเมืองรับรู้จึงให้เชิญมา
"ถวายบังคมเพคะหม่อมฉันเป็นปิตุจฉาของพระธิดาอัญญานีเพคะ" หญิงสาวและบริวารมาเข้าเฝ้า​ น้ำเสียงนั้นดูคุ้นเคยสำหรับผู้เยาว์ทั้งสองแต่รูปกายกลับมิคุ้นเลย
"ท่านเป็นพระญาติแล้วเหตุ​ใดถึงเพิ่งมาตามหากันเล่า​ ปล่อยให้องค์หญิงต้องเดียวดายเสียเช่นนี้​ ทั้งยังตามหาถูกเมืองเสียด้วย" ท้าวเธอฉงนเสียจริง
" หม่อมฉัน​เพิ่งได้มาเยี่ยมเยือนเสด็จพี่และหลานที่โกสุมพิสัยกลับพบแต่เพียงวังร้างที่ถูกเผาไหม้เหลือให้เห็นแต่โครงสร้างเพียงเท่านั้นเพคะ​ จากนั้นหม่อมฉันได้ขอให้พระสวามีให้ทรงมีรับสั่งให้ตามหา​ ได้ข่าวว่าพระองค์รับดูแลองค์​หญิง​เมื่อสอบถามจึงรู้ว่าเป็นอัญญานีเพคะ" นางชี้แจงแถลงไข
" ออ​ องค์หญิง​อัญญานีมาแล้ว​ นี่ใช่พระญาติของท่านหรือปล่าว"ท้าวท่านถามผู้ในอุปถัมภ์​
" หม่อมฉันไม่เคยเห็นเขามาก่อนนะเพคะ" อัญญานีมองดูอีกคนแต่ไม่คุ้นหน้าเอาเสียเลย
" โถ​ อาจากเมืองไปเสียตั้งนานหลานคงจำไม่ได้​ อาคือทรรศนีย์ ขนิษฐา​ขององค์​ทรงพลบดีแห่งเมืองโกสุมพิสัยไงล่ะหลานอัญญานี " เธอพูดพลางมองผู้ที่ถูกเอ่ยชื่อ​ เจ้าตัวก็ครุ่นคิดในขณะครุ่นคิดเสียงที่ได้ยินจากใจหาใช่กรรณไม่
"อัญญานียอมไปกับเราเสียเถอะ​ เจ้าน่ะเป็นคู่ขององค์เทพวิษุวัต​ เมื่อเติบใหญ่จะได้ไปอยู่ด้วยกับพระองค์​ ทรงให้เรามารับเจ้าไปเลี้ยงดู" เธอสื่อในใจให้องค์หญิงได้ยิน
"ทำไมเราต้องไปด้วยล่ะ  คู่อะไรอีก​ นึกอะไรถึงจะเอาเราเป็นชายายยามโตล่ะ​ ไม่ยอมหรอก" อัญญานตอบในใจกลับไป
" เจ้าอยากให้คนทั้งเมืองต้องมาตายเพราะเจ้าคนเดียวงั้นเหรอ​ อย่าคิดว่ามีพวกที่มีสิ่งวิเศษอยู่ด้วยแล้วจะปากดี​ เจ้าพวกนี้น่ะสู้องค์เทพวิษุวัตยังไม่ชนะเลยจะเอาอะไรมาประกัน​ ตามใจเถอะนะถ้าอยากเห็นบ้านเมืองคนอื่นที่อาศัยต้องพินาศย่อยยับเพราะเจ้า" เธอตอบกลับไปพร้อมกับแสร้งถามเร่งเร้าอีกคนให้ยอมรับ
" ว่ายังไงล่ะ​ จำอาได้หรือไม่"ทรรศนีย์ถาม
" เสด็จอา.. เสด็จอาเองหรือเพคะ​ หม่อมฉันความจำไม่ดีเองเพคะ" อัญญานีตอบในใจก็พลอยบอกอีกฝ่าย
" ยอมก็ได้​ แต่จำไว้เลยว่าเราจะไม่ยอมเป็นชายาของเทพพวกเจ้าแน่"
" เช่นนั้นแล้วนับเป็นเรื่องดีมากเลยล่ะ" ท้าวนวดลกล่าวอย่างพอใจ
" เก่งให้ตลอดเถอะอัญญานี​ เอาล่ะพวกเราต้องรีบไปแล้ว" เธอตอบในใจอีกฝ่ายเช่นกัน
" เช่นนั้นหม่อมฉันขอพาอัญญานีกลับไปอยู่กับเมืองของพระสวามีหม่อมฉันนะเพคะ" ทรรศนีย์กล่าวกับราชา
" จะไปเสียเดี๋ยวนี้เลยรึ​ มิพักก่อนล่ะท่าน​ อัญญานีก็ยังเล็กอยู่​ อยู่ๆจะเดินทางไปมาก็กระไรอยู่นะ"ราชาท่านถามด้วยสงสัย
" ไม่เป็นไรเพคะ​ หม่อมฉันมิอาจรบกวนพระองค์​ต่อไปได้หรอกเพคะองค์เหนือหัว"อัญญานีทูลจะได้จบปัญหา
" เจ้าจะไปแล้ว​ แบบนี้จันทราภาคงเสียใจแย่เลย"ประกายพฤกษ์กล่าว
" เอาเถอะ​ หากเรามีวาสนาต่อกันต้องได้เจอกันอีกแน่"องค์หญิงต่างเมืองกล่าวตอบ
" เช่นนั้นแล้วได้โปรดรับธำมรงค์​แก้วศุภร​ของเราไว้ด้วยเถอะนะ" ว่าแล้วจึงส่งแหวนให้กับสหาย
"ธำมรงค์แก้วศุภรงั้นเหรอ" อัญญานีรับแล้วจึงทวนชื่อ
" จันทราภาตั้งใจจะมอบให้เจ้านะ​ ไม่คิดว่าจะจากกันเสียแล้ว"
" ขอบใจมากนะ"
และแล้วทางด้านพระโอรสและองค์หญิงต่างเมืองก็ทูลลาจากเมืองไป​ ชีวิตทุกคนก็ดำเนินไปตามทางของตนเอง
" บดิศร​ เรามาช่วยแล้ว" บริวารเทพวิษุวัตชื่อธานินทร์​ที่หนีออกมาโดยร่างแปลงจากที่คุมขังเดียวกันตามหากันจนพบ
" ช่วย​ ช่วยยังไง" บดิศรถามอีกคนด้วยสงสัย
" ไม่ต้องทนลำบากทนระกำตามพงไพรหรอกนะ​ ก่อนพระเทวาจะไปบำเพ็ญเพียรไปให้เมืองใหม่กับพวกเจ้า​ ต่อจากนี้นับอีกสิบปีจึงจัดการเรื่องกันต่อไป"
" เมืองใหม่แล้วนี้จะเป็นเมืองของพวกเราแน่หรือ" สไบแก้วถาม
"ใช่​ แต่ว่าพวกเจ้าต้องเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามรวมถึงรูปกายด้วย เพื่อไม่ให้ใครจำได้จะได้ดำรงอยู่ยืนยาว"ธานินทร์​ตอบ
" ไม่ล่ะ​ เราไม่ขอเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนหน้าหรอก​ อีกหน่อยโตแล้วไม่มีใครจำเราได้​ อีกอย่างคนชื่อซ้ำกันถมไปใครจะรู้"บดิศรไม่อยากเปลี่ยนชื่อเพราะชื่อนี้คนที่ตั้งให้เรียกคือบิดาของตน
" ถ้าไม่ทำจะวุ่นวายน่ะสิหลานตา" ปุโรหิตออกความเห็น
" ไม่เป็นไรหรอกจะ​ ยังไงเสียหลานจะระวังตัวอยู่"
" ตามใจหลานเถอะท่านพ่อ​ บดิศรน่ะต้องการเพียงเท่านี้คงไม่มากมายอะไร"สไบแก้วเข้าข้างลูกตน
" ออ​ ที่สำคัญพระคู่หมั้นของพระเทวาจะพำนักอยู่ด้วยยังในส่วนพระตำหนักบุษบากร​  อย่าได้ไปกวนพระทัยให้ทรงขุ่นข้องหมองใจเป็นอันขาด" ธานินทร์​ออกเตือนแล้วพาทั้งหมดไปยังเมืองที่เนรมิตขึ้นใหม่นาม​ ศาศวัตบุรี
วันหนึ่ง​ ณ​ เมืองรัตนบุรี​ พระโอรสสุริยะคิดคำนึงถึงคำแนะนำจากพระอัยกาเรื่องการฝึกฝนวิชาไว้ให้มีความรู้ติดตัวกับฤๅษี​อนุชิตที่ป่าหิมพานต์​ แต่การที่จะเข้าสู่ป่าแห่งนั้นจะต้องตั้งจิตคำนึงพร้อมกลั้นหายใจเดินถอยหลังสามก้าวจึงเข้าไปได้​ คิดมาได้สักพัก​ ทำตามแล้วจึงได้พบกับฤๅษี​อนุชิตที่รอพบอยู่​ ตนจึงทำความเคารพอีกฝากฝั่งป่าจินตภพแสงสุรีย์​ได้เข้าพบฤๅษี​มฤคินทร์อาจารย์ของตนเช่นกัน
"โชคดีที่ท่านได้มีสิ่งวิเศษติดตัวไว้​ หากแต่ว่าจิตใจนั้นยังไม่มั่นคงพอ" อนุชิตโยคีกล่าว
"ฉะนั้นแล้วก็ควรฝึกวิธีให้พลังประสานกับจิต" มฤคินทร์ดาบสก็กล่าวเช่นกัน
"เพื่อจะได้ใช้งานต่อไปในภายภาคหน้าเพื่อผดุงคุณธรรมให้ดำรงต่อไป" ทั้งสองกล่าวพร้อมในปนะโยคเดียวกัน
ทั้งหมดจึงฝึกฝนวิชากับอาจารย์์ของตนอย่างขันแข็งรอวันที่จะเติบใหญ่ไปผดุงธรรมดำรงดั่งที่ได้ฟังคำกล่าวของพระอาจารย์​ไว้




หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ เมษายน 20, 2020, 12:30:14 PM
สวัสดีค่ะท่านผู่อ่านทุกท่านที่เข้ามาอ่านผลงานของจักกรดนะคะ
จักรกรดต้องขออภัยที่ไม่สามารถจัดแจงเวลามาแต่งเรื่องต่อได้จนเป็นเวลานานนับหลายปี
เกิดจากความไม่รับผิดชอบของจักรดจริงๆค่ะ
 w6 w6 w6
จักรกรดได้มีเวลามาแต่งต่อจนจบตอนเด็กแล้วนำมาลงค่ะ​ ส่วนตอนโตจะขอลงทุกๆวันเสาร์ต่อจากนี้นะคะ​ จะไม่สัญญาที่จะไม่หายไปแล้วค่ะ​ แต่ถ้าวันไหนต้องหายไปจะแจ้งทราบนะคะ​ หวังว่าจะแต่งเรื่องนี้จนจบไปได้ด้วยดีค่ะ​ ขออภัยอีกครั้งนะคะ
 w8 w8 w15
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ เมษายน 25, 2020, 09:08:42 AM

          .... ."  อันว่าเข้าทศปีที่ผันผ่าน
                  จะคิดอ่านสิ่งใดสมมาดหมาย
                  สิ่งวิเศษพระเวทย์อยู่ข้างกาย​ 
                  มิห่างหายหากเจ้าเฝ้าคำนึง
                     รวมสัตตะชำนาญการต่อสู้
                  หามิรู้ใครเล่าจะเข้าถึง
                  มีอาเพศเหตุร้ายขอเจ้าจึง
                  ใช้ฤทธิ์​ซึ่ง​เข้าช่วยอำนวยธรรม".....​

  เวลาผันผ่านไปจากเหตุการณ์​ที่เผชิญมาล่วงเข้าสู่วันอาทิตย์​ทรงกลดปีที่สิบเหล่าผู้ถือครองมหาศาสตราวุธทั้งสองได้เติบใหญ่แลสำเร็จวิชาที่ถนัดเหมาะสมเกี่ยวกับพลังจากพระอาจารย์​ของตน​ ทั้งด้านการใช้พลังส่งเสริมเวทย์มนตร์​อาคม​รวมถึงการสร้างศาสตราวุธสุดตามแล้วแต่ใจปรารถนา​เพื่อรอเพลาสามารถใช้ผดุงธรรมสักวัน​ ส่วนวันนี้จะขอทำตามใจสักวัน​คงไม่มีปัญหา​อะไร
"วันนี้พวกเรามาประลองกันดูไหมว่าใครจะเก่งกว่าใคร"
ศุภลักษณ์​กล่าวขึ้นมาขณะที่กำลังพักผ่อนร่วมกับพี่น้อง​ ณ​  พระราชอุทยานในเขตพระราชวังเมืองคีรีมาศ
"เราไม่ประลอง​เห็นจะดีกว่า" จินดาผู้ชอบทำสมาธิมากกว่าใช้พลังฟุ่มเฟือยกล่าวตอบ
"เราก็ไม่ล่ะ​ เราจะไปด้านนอกเสียหน่อยว่าจะมีอะไรเปลี่ยนไปในรอบสิบปีนี้บ้าง"แสงสุรีย์​เตรียมตัวจะไปยังพนาดรรอบๆเมืองเพราะพวกตนได้สัญจรเพียงพระราชวังกับป่าจินตภพตลอดสิบปีนี้
" จริงสิ​ วันนี้เรายังไม่ได้รดน้ำให้แวววิเชียรเลย" จันทลักษณ์​กล่าวขึ้นมาพลางนึกได้
"ไม่ต้องเลยนะจันทลักษณ์​ รดน้ำดอกไม้น่ะให้ข้าในวังทำให้ก็ได้​"ศุภลักษณ์​ท้วง​
"ไม่เอาน่า​ นานๆออกมาวันอื่นทั้งที​ เราไปดูดอกไม้ของเราก่อนดีกว่า" ว่าแล้วเขาก็จากไปไม่รอให้อีกคนท้วงอีก
" เอาล่ะสามคนนี้จะประลองกับเราไหม" ผู้อยากลองวิชาโดนปฏิเสธไปแล้วสามจึงถามกับคนที่เหลือ
" ไม่กลัวเกิดทะเลเพลิงเหรอ​ ท่านตาเคยเตือนแล้วนี่ว่าถ้าเราต่อสู้กันเองจะเกิดทะเลเพลิงแดงฉานไปทั่วบริเวณน่ะ"เพชรราหูพูดเตือน
" ไม่เห็นจำได้เลย" เขาน่ะรู้ดีแต่แค่ดื้อด้านเท่านั้นเอง
" จำไม่ได้​แต่ว่าเพชรราหูก็บอกแล้วนี่ไง​ อยากให้บ้านเมืองวอดวายเพราะอยากลองวิชาน่ะเหรอ​ ไม่เอาด้วยหรอก" เมธาวีช่วยเสริม
" เอาเถอะๆ​ ศุภลักษณ์​วันนี้อย่าลองวิชาที่นี่เลยเถอะ​ ไปเที่ยวเล่นกับเราดีกว่า" ปัทมาสน์กล่าวชวน​เพื่อตัดปัญหา​
"จริงๆเลยนะ​ พร้อมใจกันจริงๆ​ ก็ได้ๆเราไปกับเจ้าก็ได้เผื่อว่าจะดีขึ้นมาบ้างล่ะนะ"เจ้าตัวก็ยอมเสียแต่โดยดีแล้วจึงเดินทางไป
แปลงดอกแวววิเชียรงามสะพรั่งด้วยความเอาใจใส่ของพระโอรสวันจันทร์​ เขามาพิศดูพลางนึกถึงคนเมืองรัตนบุรี​ ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้างหนา
เมืองเจ้าของพันธุ์​ดอกไม้​ ธิดาวันจันทร์ก็ได้ชมแวววิเชียรอ​ยู่เช่นกัน
" จันทราภา​มาชมดอกไม้อยู่นี่เอง​ เราก็นึกว่าไปไหนเสียอีก" พุทธรัตน์​เข้ามาหาพร้อมเก็บดอกไม้ไปพลาง
"ใช่แล้วล่ะพุทธ​รัตน์​ แล้วนี่เข้ามาชมดอกไม้เหมือนกันเหรอ"  เธอก็ถามกลับไป
"ไม่ใช่แค่มาชมดอกไม้หรอก​ เรากะจะเก็บดอกไม้ไปร้อยพวงมาลัยถวายเสด็จแม่" เธอพูดพลางยิ้ม
" งั้นก็ดีเลยสิ​ เราจะทำด้วยคน"ธิดาวันจันทร์กล่าวแล้วจึงหาดอกไม้
" แล้วมาดูกันว่าของใครจะสวยกว่าใคร"ธิดาวันพุทธกล่าวพลางยิ้มสรวลอย่างชอบใจแล้วก็เก็บดอกไม้ต่อ​ เมื่อได้ปริมาณที่พอใจแล้วนั้นทั้งสองจึงพากันไปร้อยมาลัยภายในพระตำหนัก​ อีกฝากฝั่งหนึ่งมีหญิงสาวกับชายหนุ่มรุ่นเดียวกันประลองดาบกันอย่างแข็งขัน
"ศนิวารอย่าออมมือสิ" ประกายพฤกษ์เข้าใช้อาวุธโรมรันอีกฝ่าย
"ถ้าเจ้าเจ็บขึ้นมาใครจะรับผิดชอบล่ะ​" อีกฝ่ายตอบ
"เรารับผิดชอบเอง​ หรือว่าเจ้ากลัว" เธอพูดขึ้นด้วยความท้าทาย
"ไม่กลัว" เขาว่าแล้วจึงต่อสู้สุดกำลัง​ ทั้งสองนั้นฟาดฟันกันดูแรงทั้งที่ไม่ได้ใช้พลังเสียจนเหมือนไม่ใช่การฝึกธรรมดาจนดาบหลุดมือทั้งคู่
"เล่นกันแรงไปหน่อยหรือปล่าว"สุริยะที่ผ่านมาเข้าเก็บดาบให้ขณะที่เหล่าข้าราชบริพารกำลังอกสั่นขวัญแขวนอยู่
"ไม่นะไม่แรงเท่าไหร่" ศนิวารกล่าวตอบ
"เอาเถอะๆ​ อย่าฝึกเล่นมากก็แล้วกัน​ ถ้าเสด็จแม่ผ่านมาเห็นคงมิพอพระทัย" เขาเตือนทั้งสองด้วยความหวังดี​ แล้วเดินจากมาหาภูมินทร์ที่กำลังทบทวนพระเวทย์เหมือนอยู่ในภวังค์​เสียอย่างไรอย่างนั้น
"ขยันซะจริงเลยนะภูมินทร์" เขามาทักทายสักหน่อย
" ขยันอะไรกันล่ะ​ อีกประเดี๋ยวเราก็ไปนั่งสมาธิแล้ว"เขาพูดตอบเสียอีกคนอดยิ้มไม่ได้
" เอ.. เราแยกร่างกันมาสักพักแล้ว​ยังไม่เห็นอังคาสเลยนะ​ เจ้าเห็นบ้างหรือปล่าว" สุริยะเห็นไม่ครบก็ห่วงบ้างเป็นธรรมดา
"อ๋อ.. อังคาสน่ะไปป่าตั้งแต่แสงทรงกลดออกแล้วล่ะ" ภูมินทร์พูดตามที่เห็น
" ขอบใจมากนะ​ เราไม่กวนแล้วล่ะ"เขาพูดเสร็จจึงจากไปเฝ้าพระ​บิดาแลพระมารดร
" สุริยะมีอะไรหรือปล่าวลูก"ท้าวพีรเชษฐ์เธอถามพระโอรส
" เสด็จพ่อ​ เสด็จแม่พระเจ้าค่ะ​ ลูกขอลาเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ไปเฝ้าพระอัยกานะพระเจ้าค่ะ"
" อ้าว.. แล้วลูกบอกกับคนที่เหลือหรือยังล่ะ​ จะไปก็ไปเลยมันไม่ดีต่อหลายฝ่ายหรอกนะลูก" มเหสีสไบทอง​กล่าว
"อาทิตย์​ทรงกลดคราวที่แล้วลูกตกลงกับทุกคนไปแล้วพระเจ้าค่ะว่าลูกจะเริ่มเดินทางไปก่อน​ พอรวมร่างกันแล้วก็จะเดินทางต่อๆกันไป"
" ไม่ได้เจอกับพระอัยกาถึงสิบปี​ไปเฝ้าก็ดีอยู่หรอก​ แต่ว่าแม่กลัวอันตรายจะมาถึงลูกอีก"เธอกลัวเหลือเกินแม้เวลาจะผ่านมานานแล้ว
"ไม่เป็นไรหรอกสไบทอง​ ลูกเราน่ะเรียนวิชามาจากท่านฤๅษี​อนุชิตแล้วนะ​ อีกทั้งยังมีเกราะกายสิทธิ์​อยู่​ ไม่มีใครจะทำอันตรายลูกเราได้อีกแล้วนะ"ท้าวเธอกล่าวให้พระชายาขวัญชื้นฟื้นใจเสีย
" เอาเถอะ​ ขอให้ลูกเดินทางอย่างปลอดภัยนะ​ ระวังตัวด้วยนะลูก" ผู้เป็นแม่นางยอมก็จริงอยู่แต่ใจก็อดห่วงไม่ได้
" ขอให้ลูกโชคดี​ ไร้อันตรายนะ" ผู้เป็นพ่อจึงได้ให้พรอีกคน
" ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ​ ลูกจะรีบกลับมา​ หม่อมฉันทูลลา" ว่าแล้วเขาก็ได้ออกเดินทางไปต่างเมืองพร้อมกับพี่หิ่งห้อยคู่ใจทันที

" เอาเถอะ​ ถ้าอยากทำตามใจนักเราไม่ห้าม​ แต่ห้ามไม่ให้เจ้ามาพบหน้าเราอีกเลยบดิศร​" ประโยคนี้นึกทีไรก็ใจหาย​ ถึงจะอยู่เมืองใหม่สุขสบายแต่ไม่หายคิดถึงเรื่องผ่านมา​ บดิศรพลันนึกถึงเหตุการณ์​คราวนั้นอีกตามเคย​ เขาอยากรู้ว่าพระบิดาจะเป็นอย่างไรบ้าง​ จะเคยนึกถึงลูกอย่างตนบ้างไหม​ หรือว่าไม่เคยเลย เขาถอนหายใจได้ครู่เดียว​มารดาก็เข้ามา
" เป็นอะไรไปลูก​ ถอนหายใจเสียดังเชียว" แม่เขาถามด้วยความเป็นห่วง
"ไม่เป็นอะไรหรอกพระเจ้าค่ะเสด็จแม่​ ลูกแค่คิดอะไรไปเรื่อยๆเท่านั้น" เขาตอบเพราะไม่อยากเอ่ยหาบิดาให้มารดาช้ำใจ
"เช่นนั้นหรอกรึ​ แล้วนี่พวกเราจะไปเยือนเมืองคีรีมาศเมื่อไหร่กันดีล่ะ​ จะได้มีพันธมิตรกัน​ เขาว่ากันว่าเหล่าพระโอรสธิดาของเจ้าเมืองนั้นมีวิชามาก​ ดีไม่ดีเราจะได้มีคนช่วยเราทำงานใหญ่ได้ลุล่วง"
" น่าจะเป็นพรุ่งนี้พระเจ้าค่ะ​ "
" ดี​ แม่เห็นว่าเราต้องเตรียมไว้บ้างเพราะ​ว่าเกราะกายสิทธิ์​น่ะมีฤทธานุภาพมาก​​ ไหนจะพวกที่มีสังวาลย์​จากไหนไม่รู้อีก​ ถ้าเรามีพวกด้วยเยอะๆจะดีไม่น้อย"เธอพูดไปใครจะรู้ล่ะว่าเมืองที่จะผูกพันธมิตรก็คือมิตรก่อนเก่าของศัตรูตนนั่นแล
ที่พระตำหนักบุษากรในศาศวัตบุรีนั่นเอง​ พระธิดาอัญญานีแสร้งเป็นชมดอกไม้ร่วมกับหญิงสาวอีกคนที่ชื่อบัวแย้มเพื่อที่จะหาช่องว่างสู่การหลบหนีเพราะตนพอจะทราบมาว่าอีกไม่นานนี้เทพวิษุวัตจะมารับไปเข้าพิธีวิวาห์​โดยไม่เต็มใจ
"เราอยากอยู่กับบัวแย้มสองคนน่ะ​ ไว้พรุ่งนี้​มาเฝ้าเราแล้วกัน" อัญญานีบอกนางกำนัลทั้งสองที่กำลังถวายงานพัดวีให้อยู่
"แต่ว่าพวกหม่อมฉัน..." นางกำนัลจะกล่าว​ แต่เธอห้ามไว้เสียก่อน
"แต่ว่าอะไรนักล่ะ​ ถ้าเราต้องการอะไรบัวก็ทำให้เราอยู่แล้ว​ ถ้าขัดเราอีก​ล่ะก็จะลงโทษเสียให้เข็ด"เจ้าหญิงทำหน้าขึงขังใส่เสียจนนางกำนัลต้องยอมถอยไปแต่โดยดี​ เธอจัดแจงแต่งผ้าลำลองแล้วจึงจับที่ข้อมืออีกคน
" เราไปกันเถอะบัว" อัญญานีบอกเตรียมที่จะไป
"พระธิดาแน่พระทัยแล้วหรือเพคะที่จะเสด็จโดยธำมรงค์วงนี้"บัวแย้มกล่าวถามด้วยความไม่แน่ใจ
" แน่ใจสิ​ แหวนศุภรน่ะ​เราเพิ่งพบเมื่อคืนว่าสามารถพาเราไปที่ไกลๆได้​ ไม่รู้หรอกว่าที่ไหน​ แต่เราแน่ใจว่าไกลจากที่นี่มาก​ เราไปกันเลยเถอะ"
"เพคะ" ว่าแล้วแหวนก็ได้นำพาทั้งสองมายังป่าที่อยู่ระหว่างอดีตเมืองโกสุมพิสัยและเมืองทิศพล
"มีเสียงลำธารอยู่แถวนี้ด้วยเพคะพระธิดา​ พระธิดารอบัวอยู่ตรงนี้นะเพคะ​ บัวจะไปหาปลากับผลไม้มาถวาย"
" เราไปด้วยไม่ได้เหรอบัว"
" พระธิดาทรงพักผ่อนรอตรงนี้จะดีกว่าเพคะ​ บัวจะรีบหาอาหารและกลับมา"
"ตามใจก็ได้​เราจะรอตรงนี้ล่ะ​ กลับมาไวๆนะ" ว่าแล้วจึงได้นั่งพักอยู่ใต้ร่มไม้และอีกคนจึงเดินทางไปยังลำธารทันที

" เมฆา​ เมฆา"เสียงเรียกของผู้หญิงแต่ไกลทำให้ธิดาอสุราฉงน
" ช่วยด้วยสิ​ ช่วยเราที" พระโอรสวันศุกร์วิ่งขอมาให้ช่วยไม่นานนักเจ้าของเสียงเรียกก็มาถึง
" เมฆาหนีเราทำไมเนี่ย.. อ๊ะ!! .. แล้วนี่ใครน่ะ" หญิงสาวเห็นผู้หญิงที่ควงแขนอยู่กับคนที่เรียกหาก็สงสัยทั้งที่ไม่เห็นหน้า
" อ๋อ... นี่น่ะเหรอ​ นางคือนภาพร  นภาพรหันมาทักทายฉันทนาหน่อยสิ"ว่าแล้วทั้งคู่ก็หันกลับไป
"ย.. ยักษ์!!  นี่มันอะไรกันน่ะเมฆา​ ทำไมถึงมาควงแขนยักษ์แบบนี้ล่ะ"ฉันทนาตกใจแต่ก็สงสัยนัก
" เราต้องถามเจ้ามากกว่า​ว่าเจ้าเป็นใคร​ มายุ่งอะไรกับคนรักของเรากันล่ะ" ยักษีตอบพลางควงรัดแขนอีกคนแน่นกว่าเดิม
" เบาๆหน่อย​เจ็บนะ"คนที่ใช้นามว่าเมฆากระซิบอีกคนเพราะลงแรงมากไปเสียหน่อยกลับกลายเป็นภาพบาดใจอีกคน
" คนรักเหรอ​ เจ้าพูดมาหน้าไม่อาย​ ยักษ์​อย่างเจ้านี่นะ​ เราตะหากล่ะที่เป็นคนรักของเมฆาน่ะ" เธอพูดทำเสียอีกคนแทบปาดเหงื่ิอ
"คนรัก​ โธ่ๆเจ้านี่ไม่รู้อะไรเล้ย​ พวกเราน่ะคู่สร้างคู่สมกัน​ ขนาดชื่อนี่นะยังคล้องจองแถมคู่กันอีก​ เจ้ามีดีอะไรล่ะที่เมฆาจะชอบ" ยักษ์​อ้างชื่อนภาพรกล่าวพลางยิ้มชอบใจที่ได้แกล้งอีกฝ่าย
"หึย.. มีสิ  เราเป็นคน​ สวยก็สวยกว่า​ ผมก็ตรงงาม​ เมฆาก็บอกว่าชอบจนอยากตัดผมเราไปเก็บเสียด้วยซ้ำ" ฉันทนาพูดทำให้นภาพรมองหน้าเมฆาอย่างอดสงสัย​ไม่ได้​ แต่ก็ต้องช่วยเล่นไปก่อน
"เจ้าเจอเมฆาเมื่อไหร่ล่ะ​ เราน่ะดูใจมาสองปีล่ะหนา" เธอพูดกะจะทับถมอีกฝ่าย
"เราอยู่กับเมฆาสามปีแล้ว"อีกคนตอบอย่างมีชัย​ เมฆาไม่พูดอะไรแต่ก็หายใจติดขัด
" งั้นเหรอ​ แสดงว่าเราก็แย่งเจ้างั้นสิ"
"ใช่"
"ว้าย!!.. ตายละ​ เขามีแต่แย่งยัก​ นี่โดนยักษ์แย่ง​ ไปกันเถอะเมฆาอย่าไปสนใจเลย"ว่าแล้วก็รีบพากันควงออกไปปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นอัดอั้นตันใจอยู่​ ไม่นานก็ตัดสินใจตามไปแต่ตามไม่ทันพบแต่อีกาคู่เกาะอยู่บนกิ่งไม้เท่านั้น​ พาลพาให้อารมณ์เสียจนเอาไม้ไล่ตีนกผู้ไม่รู้ประสาจึงหนีไปจนถึงอดีตกระท่อมที่พักของบัวแย้มแล้วกลับสู่ร่างเดิม
" ฮ่าๆ​ ผู้หญิงคนนั้นน่าสนุกดีนี่​ ทำไมล่ะถึงได้หลบหน้าหรือว่าจะเป็นคนรักจริงๆ" ปัทมาสน์จ้องมองอีกคนแบบแกล้งเค้นความจริง
"ไม่ใช่หรอก​ นางน่ะคิดไปเอง​ แค่ชมว่าสวยนิดสวยหน่อยก็หลงเรา​ เราไม่รู้ด้วยนะเออ" ศุภลักษณ์​บ่ายเบี่ยง
"แล้วใช้ชื่อปลอมทำไมล่ะ​ กะจะทิ้งงั้นสิ"
" ไม่ใช่ๆ​ เราแค่ไม่อยากบอกชื่อจริงให้คนแปลกหน้าน่ะ"
" สามปียังจะแปลกหน้าอีกเหรอ"
" ใช่น่ะสิ"
"ปัทมาสน์ศุภลักษณ์​ พวกเจ้าสองคนก็มารำลึกความหลังที่กระท่อมบัวกันเหรอ" แสงสุรีย์เข้ามาด้านหลังทำให้ทั้งคู่ตกใจ​ เมื่อหายแล้วจึงได้ตอบ
" ใช่แล้วล่ะ​ ปัทมาสน์พามา" ศุภลักษณ์​บอก
" นี่เจ้ายังคิดถึงบัวแย้มไม่ลืมเลยล่ะสินะ"ธิดาวันอาทิตย์ถามพลางมองอีกคนอย่างห่วงๆ
" ใครจะไปลืมลง​" นั่นน่ะสิ​ ธิดายักษ์น่ะไม่มีทางลืมหรอกเพราะเธอออกจะรักเหมือนน้องสาวเสียขนาดนั้น
พลางคิดย้อนไปในอดีตที่เจอครั้งสุดท้ายก็สิบปีมาแล้ว
"พระธิดา​ บัวต้องไปแล้วนะเพคะ" เธอตระเตรียมของพร้อมบอกลา
" ไปไหนล่ะบัว" พระธิดาไม่เข้าใจ
"มีคนมารับบัวกับยายไปอยู่ด้วยเพคะ​ บัวต้องตามไปดูแลยาย" เสียงไอทรมานของผู้เป็นยายดังเป็น​ละลอก​
"เฮ้อ​ เราน่ะอยากดูแลมากกว่าอีก​ ถ้าไม่ติดว่ามีอัคนินสักคน​ เสด็จพ่อคงให้เราพาบัวกับยายไปอยู่ด้วยแล้ว"
"ไม่เป็นไรหรอกเพคะ​ ตอนนี้ยายกับบัวก็จะอยู่อย่างที่พระธิดาหวังไว้แล้ว"
" จะดีจริงเหรอ"
" เพคะ​ ยายของบัวไม่เคยอยากให้บัวลำบาก​ ตอนนี้มีคนมาช่วย​ยายด้วย บัวก็สบายใจเพคะ"
" เอาเถอะ​ เราคงห้ามไม่ได้​ ยังไงก็ดูแลตัวเองดีๆนะบัว​เราเชื่อว่าสักวันพวกเราจะได้เจอกันอีก"เธอพูดพลางกุมมืออีกฝ่าย
บัวแย้มดับยายจึงเดินทางไปยังเมืองศาศวัตที่ยายได้ช่วยชีวิตคนคนหนึ่งที่เป็นคนเมืองนั้นไว้
ภาพความทรงจำมีในขณะที่บัวแย้มกำลังหาปลา​ เมื่อพอใจกับปริมาณที่หาแล้วจึงจะไปหาผลไม้ต่อ​ แต่ต้องหยุดเมื่อได้ยินเสียงเหมือนมีคนมาเล่นน้ำ​ ตนจึงลอบมองพบว่าเป็นชายหนุ่มรูปงามสวมเกราะชมพูกำลังใช้มือสาดน้ำไปทั่วๆอย่างสบายใจ​ ตอนนี้เจ้าตัวรู้แล้วล่ะว่ามีคนมาแอบมองอยู่จึงแกล้งพูดออกไป
"ไม่เล่นดีกว่า​ น่าเบื่อจริงๆ" อยู่ดีๆก็ทำท่าเบื่อแล้วเผลอครู่เดียวก็หายตัวไป
"อ้าว​ เมื่อกี้ยังอยู่ตรงนี้อยู่เลยนี่นา" บัวแย้มออกมาดูพลางพูดอย่างสงสัย
"อะไรอยู่ตรงนี้" อังคาสลอบถามจากข้างหลัง
"ก็ผู้ชายที่เล่นน้ำนี่ไง.."เธอพูดพลางหันหน้ามาแบบลืมตัวแล้วพบกับเจ้าตัวเข้าให้
"นี่​มาแอบดู​เราเหรอ" เขาถามพลางขมวดคิ้วมอง
"ป่าวนะ​ เราแค่ผ่านมาเห็นคนมาเล่นน้ำก็แค่มอง​ดูว่าเป็นใคร" เธอพูดให้อีกคนเข้าใจ
"แล้วก็พบว่าเป็นเรา​ ถามหน่อยเถอะเป็นผู้หญิงอยู่ในป่าถ้ามีผู้ชายมาเล่นน้ำจะดูทุกคนเลยไหมล่ะ" เขาถามซะจนผู้ฟังเริ่มไม่สบอารมณ์
"นี่จะบ้าเหรอ​ เราไม่ได้เป็นแบบที่เจ้าถามนะ​ เจ้าน่ะสิอิท่าไหนถึงมาเล่นในป่าดงดูแล้วก็เป็นคนเมืองนี่นา​"
" นั่นมันก็เรื่องของเรา"
" เราผ่านมาเห็นแล้วมองก็เรื่องของเราเหมือนกัน"เธอยอกย้อนอีกฝ่าย
" ย้อนเราเหรอ"อังคาสจับข้อมือบัวแย้มพลางมองอีกฝ่าย
"ย้อนไม่ย้อนก็คิดเอาเองเถอะ​ แต่ปล่อยเราเดี๋ยวนี้นะปล่อย!! "เธอขัดขืนแต่สู้แรงอีกคนไม่ได้
" ไม่ปล่อยจนกว่าจะขอโทษเรา" เขาจับแน่นกว่าเดิมอีก  คนโดนจับเลยคิดที่จะหาทางเลี่ยงความสนใจ
" ย.. ยักษ์!!" เธอร้องพลางมองไปด้านหลังของอีกฝ่ายพลางทำหน้าหวาดกลัวอย่างมาก​อีกคนจึงหันไปดู​ อาศัยทีเผลอสะบัดข้อมือวิ่งหนีไปในทันที
" นี่เจ้า.. เจ้า!!" เขารู้ตัวจึงวิ่งตามไปแต่ไม่รู้ทำไมอีกคนถึงวิ่งเร็วนัก​ แปลกจริงไม่น่าจะวิ่งเร็วขนาดนี้​ แต่ป่าวหรอกเธอแค่หลบไปอีกทางเฉยๆ​ เขาน่ะวิ่งหาไปอีกทาง​ บัวแย้มจึงไปหาผลไม้ต่อไป
อัญญานีรอนานแล้วแต่อีกคนไม่มีทีท่าที่จะกลับมาเลย​ จึงจะตามไปดู​แต่แล้วต้องพบกับอสรพิษร้ายอย่างงูเจ้ากรรมเข้าให้​ เธอไม่อยากทำร้ายมันจึงวิ่งหนีไปเสียดีกว่า​ นั่นทำให้เธอหลงทางเสียจนได้​ สุริยะกับหิ่งห้อยยักษ์​ผ่านทางมาพอดีจึงลงไปดู
"ท่าน​ ทำไมถึงมาเดินป่าคนเดียวล่ะ​ ดูเหมือนท่านจะมีอันตรายเลย" สุริยะถามอีกคน
"เรา​ เราไม่ได้เดินคนเดียวหรอก​ เรามากับภริยาแต่พลัดหลงกัน​ อันตรายน่ะเราไม่มีหรอก​ กลัวแต่หิ่งห้อยยักษ์​ที่มากับท่านเสียมากกว่า" เธอพูดตอบอีกคน​ ถึงจะเคยเห็นหิ่งห้อยยักษ์​มาก่อน​แต่ตัวเองก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นตัวเดียวกันหรือไม่ เขามองเห็นแหวนศุภรพลางมองกับหิ่งห้อยยักษ์​เป็นเชิงว่าอย่าเพิ่งถามจะดีกว่า
"ไม่เป็นไรหรอกจะ​ พี่หิ่งห้อยน่ะไม่ทำร้ายใครแล้ว"หิ่งห้อยยักษ์กล่าวอย่างเป็นมิตร
" เราจะช่วยหาภริยาท่านอีกแรง​ เราสุริยะนะ​ ท่านชื่ออะไรหรือ"เขาแนะนำตัว
" เราอัญ.. อันติมะ" อัญญานีเกือบพลั้งบอกชื่อจริงไปเสียแล้ว
"อันติมะ​ ภริยาท่านชื่ออะไรหรือ​ เราจะช่วยเรียกหาถูก​"เขาถามข้อมูลเพื่อจะช่วยตามหาให้ง่ายขึ้น
"บัวแย้ม​ นางชื่อบัวแย้ม" สิ้นคำตอบไม่ทันไรฝนก็ตกมาเสียอย่างนั้น​ ทั้งหมดจึงต้องหาที่หลบฝนก่อน​ บัวก็ต้องหาที่หลบฝนเหมือนกัน​ แต่ทว่ามาหลบเจอคนที่ทำเจ็บข้อมือเสียซะอย่างนั้น
" นี่เจ้า​ อิท่าไหนล่ะถึงมาหลบฝนที่เดียวกับเรา" อังคาสที่ตอนแรกเหมือนจะขึ้นเสียงแต่ลดเสียงให้คล้ายแกล้งถามไป
"ใครจะไปรู้ล่ะว่าจะมีคนอยู่ในนี้​ เราไปก็ได้" ว่าแล้วเธอจะเดินไปแต่อีกคนก็คว้าข้อมือไว้
"ปล่อยนะ​เราเจ็บ" อีกคนขัดขืนอีก​ แต่นั่นมันจะทำให้เจ็บกว่าเดิมน่ะสิ
" ปล่อยน่ะได้​ แต่ต้องหลบฝนด้วยกันที่นี่นี่ล่ะ​ ส่วนข้อมือนี่เราจะช่วยให้หายเจ็บ​ ฝนตกแรงขนาดนี้​ออกไปจะเปียกไม่น้อยเลย"ว่าแล้วเขาก็คลายมือออก​ อีกคนไม่ได้หนีไปไหนตัวเองเลยเป่ามนต์​ที่เรียนมาให้ข้อมืออีกคนหายเจ็บ
"หายเจ็บแล้ว.. งั้นเหรอ" เธอพึมพำอย่างประหลาดใจ​ อาการหายเหมือนไม่เคยเจ็บเลย
" แทนที่จะขอบใจ​ กลับพึมพำอะไรก็ไม่รู้"
" ไม่ล่ะ​ เราถือว่านี่เป็นสิ่งที่เจ้าต้องทำให้อยู่แล้ว​ เพราะว่าเจ้าทำเราเจ็บตัว"
"พูดอย่างนี้อยากเจ็บตัวอีกล่ะสิ"
"ไม่อยาก​"
"เอ้อนี่​ เจ้าหาปลากับผลไม้ไปกินกับใครน่ะ​ ลักษณะ​อย่างนี้คงไม่กินหรอกคนเดียวหรอก" เขาพูดพลางมองไปที่อาหารที่เก็บมาได้ของอีกคน
"เราหาไปกินกับ.. สามี​ สามีเรา"เธอพูดเพราะคิดได้ว่าอัญญานีกำชับให้แสดงตนเป็นสามีภรรยากันจะได้ไม่มีคนสงสัย
" เจ้ามีสามีแล้ว​ สามีเจ้าไม่ได้เรื่องเลยนะ​ ให้เจ้ามาหาอาหารคนเดียว" เขาพูดพลางบ่นเล็กน้อย
" อย่าว่าสามีเรานะ"
"แตะต้องไม่ได้เลยงั้นสิ"
"ใช่.."สิ้นสุดคำทั้งสองก็ไม่ได้พูดกันอีก​ มีแต่ความเงียบท่ามกลางฝนกระหน่ำ​ เวลาผ่านไปจนค่ำแล้วฝนจึงหยุด​ ตอนนี้ไม่อีกคนซะแล้วสิ​ บัวแย้มก็ได้แต่แปลกใจ​ แต่ไม่ได้การล่ะ​ ตนต้องไปถวายอาหารให้พระธิดานี่​ ป่านนี้คงรอแย่แล้ว​ คิดได้จึงเร่งเดินทาง
" จะทำอย่างไรดีล่ะ​ ค่ำแล้วฝนเพิ่งจะหยุด​ บัวจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้​  "  เธอพร่ำด้วยความเป็นห่วงอีกคน
"อย่างนั้นก็อย่าช้าเลย​ เราไปหากันต่อดีกว่า" ว่าแล้วทั้งหมดจึงไปตามหา
"จะ.. จะไปไหนเหรอน้องสาว" เสียงน่าขนลุกพิลึกดังขึ้นมาหลังบัวแย้ม​ เมื่อหันหลังกลับไปจึงพบกลับผีโครงกระดูก​ มีแต่หัวกับแขน
"ผ.. ผี"เธอตกใจ​แต่พยามยามไม่กลัวมาก​ ต้องตั้งสติเข้าไว้
"ก็ผีน่ะซี​ ช่างเถอะน่า​ตาหวานน่ะไม่ทำอะไรไรเราหรอก​ แค่อยากช่วย​ เหมือนหลงทางเลยนี่"เขาพูดกับอีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร​ ดูท่าจะเป็นผีดีเสียด้วย​ ตนจึงอุ่นใจขึ้นมา
"ไม่ได้หลงทางหรอกจะ​ บัวกำลังจะไปหาสามีของบัว​ แต่ว่าหาไม่พบนี่สิ​" มาที่เดิมแท้ๆแต่ไม่พบน่าฉงนจริง​
" เดี๋ยวพี่ตาหวานจะช่วยหาอีกแรงแล้วกัน"ว่าแล้วทั้งคู่จึงออกตามหาแล้วไปพบกันพอดี
"บัว​ บัวเป็นอะไรรึปล่าว​ เราเห็นว่าบัวไปนานแล้วเราเป็นห่วง​ เราเลยออกตามหา" อัญญานีเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วงพลางจับที่ตัวของบัวดู
" บัวไม่เป็นไรหรอกจะพี่อัน​ พี่ไม่น่าออกตามหาบัวเลย"บัวแย้มเห็นมีคนอื่น​อยู่ด้วยจึงแสร้งเรียกเสมือนภริยา
"ออ.. นี่คือสุริยะกับพี่หิ่งห้อยน่ะ  แล้วนั่นมันผีหนิ  ทำไมถึงอยู่กับผีได้ล่ะ"
" ก็บัวเดินทางมาเจอ​พี่ตาหวาน​ พี่ตาหวานเป็นห่วงเลยมาส่งน่ะจะ"
"นั่นมันเกราะกายสิทธิ์​นี่หว่า​ นี่จะเป็นบุญของเราแล้วกระมัง" ผีตาหวานชี้ไปยังสุริยะ
"คิดจะไรทำอะไรน่ะเจ้าผี" หิ่งห้อยยักษ์​ถามเพราะกลัวจะมาเป็นอีหรอบเดิมเดียวกับเจ้าตัวประหลาดนั่น
" ป่าวๆ​ นี่ท่านน่ะ​ พี่ตาหวานขอติดตามไปด้วยนะ​ มีคนเคยบอกไว้ว่าถ้าตาหวานช่วยทำคุณกับคนที่สวมเกราะกายสิทธิ์​ล่ะก็​ ตาหวานจะไปสู่สุขคติ"
"ได้สิพี่ตาหวาน​ น้องชื่อสุริยะ​ มีอะไรต้องรบกวนด้วยนะ" สุริยะได้ยินยอมพร้อมกับฝากตัวด้วย
"เอาล่ะเรามาหาฟืนก่อไฟกันดีกว่าเถอะ​ มืดมากแล้ว" ผู้อ้างชื่ออันติมะกล่าว​แล้วทุกคนจึงช่วยกันหาก่อไฟกันจนได้คุยกัน
" เราขอถามท่าน​ ธำมรงค์ศุภรที่ท่านสวม​ ท่านไปได้จากไหนมา"สุริยะเปิดประเด็นที่ค้างคาใจมาถาม
" เรา​ เราได้มาจากผู้หญิงคนหนึ่ง" เธอพูดตอบ​ เธอไม่ได้โกหกนี่ก็ได้จากผู้หญิงจริงๆน่ะนะ
" ใครงั้นเหรอ" เขาถามพลางขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความฉงน
"เราจำไม่ได้หรอก​มันนานมาแล้ว​ ว่าแต่เจ้าเถอะรู้จักแหวนวงนี้ได้ยังไง
"เราเคยเจอมาก่อนน่ะ" เขาก็พูดตามจริง
"งั้นเหรอ​ แต่ตอนนี้แหวนี้เป็นของเรา​ ขอเจ้าอย่าถามอีกเลย" เธอตอบ​ ดูท่าแล้วก็ไม่เหมือนผู้ชายเท่าใดเลยนี่  หรือว่าจะเป็นอัญญานีสหายเก่าของจันทราภากันนะ​ เลือกจะไม่เซ้าซี้ดีกว่า​ ไว้พรุ่งนี้ให้เขาคุยกันเอง
"ได้​ เราจะไม่ถามท่านแล้วก็ได้" ทั้งหมดจึงคุยสัพเพเหระเสร็จแล้วจึงนอนหลับพักผ่อนไป
..
" ขยันจริงๆ​เลยนะอัคนิน" แสงสุรีย์เข้ามาทักอีกคนที่ซ้อมดาบจนค่ำแล้วยังไม่หยุด
"เราไม่ได้ขยัน​ มีอะไรรึปล่าว" เขาตอบกลับและถามอย่างห้วนๆ
"เราไม่มีหรอก​ เราแค่อยากมาทักทาย​ เราเห็นเจ้าฝึกซ้อมดาบอย่างนี้เราก็สบายใจ​ ดีแล้วล่ะจะได้เป็นเป็นกำลังพลให้บ้านเมืองต่อไปได้​ อย่าหักโหมนักนะ​ เราไปล่ะ" ว่าแล้วเธอจึงเดินจากไป​ คำพูดที่จะเป็นกำลังพลนั้นมันแทนที่จะให้กำลังใจแต่ว่ากลับเป็นการตอกย้ำในความคิดคนฟังว่าเขาควรเป็นเพียงทหารไม่ใช่คนปกครอง​ ตัวจึงฟาดฟันคู่ซ้อมที่เป็นข้ารับใช้ตนเสียปางตาย
" ดูถูกข้านักเรอะ​ ตายซะเถอะ!! "ว่าแล้วตนก็ใช้ดาบจะฟันอีกคนเสียให้สิ้นถ้าไม่มือมีสตรีมาจับระงับไว้
"อัคนิน  ลูกจะทำอะไรน่ะ​ เจ้าจะฆ่าคนของตัวเองงั้นรึ" ผกากรองมราดาถามลูกที่ทำการอุกอาจเช่นนี้​ เขาถอนหายใจก่อนจะลงมือลง
"อย่าลืมสิ​ พวกเรามีคนแค่หยิบมือ​ ถ้าสังหารพวกข้าใช้สิ้นแล้วใครจะอยู่ข้างพวกเราล่ะ​ เจ้าต้องใจเย็นอดทนรออีกสักนิด" เธอพูดให้บุตรได้คิดตาม
"รอ​ อีกเมื่อไหร่ล่ะท่านแม่​ อีกเมื่อไหร่กัน​ ลูกรอมานานมากแล้วนะ" เขาทำท่าไม่พอใจ
"เชื่อแม่เถอะ​ อีกไม่นานจะเป็นวันของเรา​ แม่เตรียมการใกล้เสร็จสิ้นแล้ว " ลูกที่ได้ฟังก็หุนหันพลันแล่นไม่อยากฟังอีกจึงไปเสียให้พ้นมารดา
..
" อีกไม่นานนี้​เราจะกลับมาอยู่ด้วยกันแล้ว​ อินทรานี"เทพวิษุวัตพูดถึงนางอันเป็นที่รักขณะอยู่ที่หอชิดดาราที่สูงเสียดฟ้าพอที่จะเก็บดาวและความทรงจำเมื่อครั้งก่อนเก่าไว้ได้​ ท่านนึกถึงอดีตครั้งแรกที่พบกันจนถึงวาระสุดท้าย​ นึกแล้วก็พาลให้โกรธเทพบุตรโกวิทหรือนามรองศรุตเทพ​ที่ตนนั้นได้เคยใช้เป็นบริวารที่ไว้ใจมากที่สุด​ แต่ความไว้ใจนั้นกลับถูกทรยศ​เมื่อเขาได้ใช้ให้นำเกราะกายสิทธิ์​มารักษาพระชายา​
กลับนำหนีไปซ่อนไว้จนไม่อาจรักษานางมันจนสิ้นชีพ ถึงจะสาปให้เป็นคนพิการเข็ญใจเท่าใด​ ก็ไม่เท่ากับความแค้นในใจได้​ บัดนี้เขาได้เจอนางจากคำบอกล่าวของฤๅษี​ทมิฬที่รอดมาได้ก็อุ่นใจขึ้นมาบ้าง​ แต่ว่าพระเชษฐภคินีที่สำคัญเท่าชีวิตตนยังหาไม่พบเสียเลย
"พระพี่นางไปอยู่หนแห่งใดกัน​ ป่านฉะนี้แล้วยังไม่พบเลย​" ทำไมกันหนาทั้งทีเป็นพระเทวีเคียงข้างองค์อินทร์ถึงได้หายไปแบบใครก็ตามไม่พบ​ หรือพระนางไม่อยากให้พบกัน​ คงต้องติดตามเสาะหากันต่อไป
..
ที่ถ้ำไม่ไกลจากเมืองรัตนบุรีมากนัก​ เจ้าตัวประหลาดตุ้บเท่งเตรียมตัวจะเดินทางเข้าเมืองในวันพรุ่งซะแล้ว
" ข้ารอมาถึงสิบปี​ ท่านพ่อสิ้นไปแล้ว​ ต่อจากนี้ไม่มีใครจะห้ามข้าได้อีกต่อไป​ เกราะกายสิทธิ์​ต้องเป็นของข้า​ และ​ และสังวาลย์​มณีก็ต้องเป็นของข้าฮ่าๆ" สุดหล่อหัวเราะอย่างชอบใจแล้วจึงจะเดินทางไปในวันพรุ่งเพื่อจะทำสิ่งที่ตนปรารถนาคือครอบครองสิ่งเวษไว้ข้างกาย










หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ เมษายน 26, 2020, 06:13:41 PM
"ขอให้ท่านอยู่และมีเหตุแห่งการสิ้นเฉกเช่นเรา​__ เทพบุตรโกวิทจงไปนำเกราะกายสิทธิ์​มาให้เรา​__ไม่ได้เราจะนำเหตุแห่งสิ้นขององค์ท่านไปให้ไม่ได้​ __ศรุตเทพ​ เสียแรงที่ไว้ใจเจ้า​  เราขอสาปให้เจ้าพิการเป็นง่อย​เข็ญใจจนกว่าจะได้สวมเกราะกายสิทธิ์" ภาพเหตุการณ์​ที่พระอินทร์​ตรัส​-เทพวิษุวัตให้ไปหาเกราะ​- ตนเองอีกคนไม่ยอมนำไปให้-สุดท้ายจึงโดนคำสาป​ ภาพเหล่านี้ตีสลับซ้ำๆไปมาในห้วงฝันของสุริยะ​จนเขาตกใจตื่นในเวลารุ่งสางที่แสงอาทิตย์​ยังไม่ออกชัดดี​ ใบหน้าชุ่มเหงื่อ​ดูท่าไม่ดีเอาเสียเลย  ความฝันนี้เหมือนจริงมากจนน่ากลัว​ กลัวว่าจะเป็นความจริงนี่สิ​ เขามองไปที่เหลือยังไม่เห็นใครจะตื่น​ ตนจึงปลีกวิเวกไปล้างหน้าที่ลำธารคนเดียวก่อนเห็นจะดีกว่า​
"พระโอรสสุริยะ​ มาทำอะไรคนเดียวน่ะพระเจ้าค่ะ" เจ้าผีโครงกระดูกถามอีกคนด้วยความสงสัย
"ก็มาล้างหน้าตามปกติน่ะจะ​ พอดีวันนี้น้องตื่นเช้ากว่าเดิมเลยไม่อยากรบกวน" เขายิ้มให้อีกฝ่าย
"พี่ตาหวานจะรบกวนพระโอรสเสียหน่อน่ะพระเจ้าค่ะ"
"รบกวนอะไรหรือจ๊ะพี่ตาหวาน"
"เวลากลางวันแดดร้อน​ พี่ตาหวานขออยู่ในย่ามให้พระโอรสช่วยให้ได้ไหมพระเจ้าค่ะ"
"ได้สิพี่ตาหวาน"
" ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ​พระโอรส" ผีโครงกระดูกส่งย่ามให้อีกฝ่ายแล้วตนจึงเข้าไปอยู่ในย่ามนั้น​ เสร็จแล้วเขาจึงไปยังที่รวมพล​ พลางคิดก็วิตกไม่หายจึงได้พึมพำไป
" เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่นะ" สิ้นคำไม่นานแสงวันใหม่ได้สาดส่องมายังเกราะกายสิทธิ์​ทำให้คนเปลี่ยนไป
" เรื่องอะไรพระเจ้าค่ะ​ ตรัสเรื่องอะไร" ผีตาหวานถามทั้งๆที่ร่างอยู่ในย่ามนั้น
"เสียงอะไรน่ะ​ แล้วสุริยะสะพายย่ามอะไร" จันทราภาเธอจึงดูในย่ามว่ามีอะไรอยู่ในนั้น
" มีตาหวานพระเจ้าค่ะ​พระธิดา" เขาตอบเมื่อได้ยินเสียงที่เปลี่ยนไปก็พอจะรู้อยู่บ้างว่าไม่ใช่พระโอรสสุริยะแล้วสิ​ เมื่อจันทราภาเห็นก็ตกใจ
"พระธิดาอย่าเพิ่งกลัวเลยนะพระเจ้าค่ะ.." เขาอธิบายเหตุผลให้ฟังเหมือนกับที่บอกกับคนก่อนหน้า​ ทำให้อีกคนสบายใจขึ้นมาเดินมาไม่นานก็ถึงจุดรวมพลเสียที
ซึ่งทุกชีวิตก็ได้ฟื้นคืนตื่นมากันหมดแล้ว​  รอท่าก็แต่อีกคนกับหนึ่งผีเท่านั้นเอง
"อ้าว​ท่าน​ มากินอาหารเช้ากันเร็ว"อันติมะกล่าวเรียกอีกคน​ เพราะตอนนี้มีผลไม้และเหล่าปลาที่ช่วยกันหาของเธอกับภริยากำมะลอระหว่างรอ
"ท่านคงคือผู้ที่เป็นสามีชื่ออันติมะสินะ" จันทราภายิ้มให้อีกคนอย่างมีไมตรีจิต​ แต่เมื่อพิศดูแล้วคนคนนี้เป็นหญิงนี่นา
"ใช่แล้วล่ะ"
" เราจันทราภานะ​ อย่าว่าเราอย่างนั้นอย่างนี้เลย​ ท่านเป็นหญิงทำไมถึงแอบอ้างเป็นชายมีคู่รักล่ะ" อีกคนได้ยินก็ถึงกับผงะ​ ไม่รู้ต้องตกใจที่ได้พบกันกับสหายเก่า​ หรือต้องตกใจที่อีกฝ่ายมองตนออกดี
"ท่านรู้.." เธอคิดอะไรไม่ออกเลยถามไป
"ใช่​ เราเป็นผู้หญิงด้วยกันนะ​ ทำไมจะดูไม่ออกล่ะ... ธำมรงค์​แก้วศุภร ท่านได้มาจากที่ไหน"เธอพูดบอก​ไม่นาน​ก็เห็นแหวนวงนี้ที่คุ้นเคยนี้ที่นิ้วอีกของนาง
"เราได้มาจากประกายพฤกษ์​ เราคืออัญญานี" ว่าแล้วเธอได้แก้ผ้าโพกศีรษะออกทำให้เกศาลงยาวมา​ ส่งผลให้เห็นหน้าคล้ายกับอัญญานีเมื่อวัยเยาว์ไม่มีผิดเพี้ยน
" อัญญานี.. เจ้าจริงๆด้วย​ ทำไมถึงมาเดินป่าแบบนี้ล่ะ​ แล้วบัวแย้มเป็นใครกันน่ะ" จันทราภาถามอย่างอดสงสัย​ไม่ได้​ ถึงขนาดต้องปลอมตัวก็ต้องมีเรื่องเข้าให้แล้ว
"เมื่อสิบปีก่อนหน้านี้​ แม่มดเกลียวทองแปลงกายมาหลอกว่าเป็นเสด็จอาของเรา​ นางว่าถ้าไม่ยอมไปเมืองทิศพลจะพังพินาศ​ ขนาดพลังของสิ่งวิเศษที่พวกเจ้าสวมใส่ยังเอาชนะเทพวิษุวัตไม่ได้​ เราไม่มีทางเลือกเพราะเราไม่อยากให้มีปัญหาเกิดกับผู้บริสุทธิ์​จึงติดตามไปเพื่อหาลู่ทางหนีเมื่อเติบใหญ่ต่อไป​ ส่วนบัวแย้มเป็นคนที่เกลียวทองนำมาเลี้ยงเพื่ออยู่กับเรา​ แต่ว่าบัวเป็นคนดีมากนะ" เธอเล่าให้อีกคนฟัง
" แม่มดเกลียวทอง​ นางยังรอดมาทำเรื่องนี้อีกเหรอ​ ประกาย​พฤกษ์​เคยบอกว่านางกลายเป็นคนชราไร้พิษสงแล้วนี่" พระธิดาวันจันทร์นั้นสบสน
" ตอนนั้นนางหนีมาพบกับยายของบัวเข้าเพคะ​ ยายของบัวจึงช่วยชีวิตนางไว้เพราะสงสาร​ ไม่นึกกว่าเรื่องจะกลายเป็นแบบนี้" บัวแย้มพูดให้ฟังแล้วตนก็นึกถึงยายตนที่เสียไปเมื่อไม่นานนี้เอง
" ที่เราหนีมาได้เพราะแหวนวงนี้ล่ะ​ พาพวกเรามาที่นี่​ แต่บางครั้งเรารู้สึกว่าเหมือนเป็นเพียงแหวนธรรมดาเลย" อัญญานีพูดต่อ
" คงเป็นเพราะไม่ได้ลองใช้จริงจังมากเท่าตอนหนีหรือปล่าวนะ" จันทราภาพูดแล้วทุกคนต่างก็คิดไปอยู่อย่างนั้น
...
"เสด็จแม่​ เสด็จแม่จะบอกสุดหล่อ​ว่าพวกพระโอรสพระธิดาเสด็จไปเมืองทิศพลแล้วงั้นรึ"เจ้าตัวประหลาดเดินทางมาเข้าเฝ้าพระมเหสีเมื่อพบจึงได้ถาม​ ความก็ได้ดั่งที่พูด
" ใช่แล้วล่ะสุดหล่อ​ พระอัยกาน่ะไม่ได้พบกันนับสิบปีแล้ว พวกลูกๆของเราจึงไปเยี่ยมเยือนสักหน่อย"
" อ้าว​ แล้วอย่างนี้จะไปกันสักกี่วันล่ะพระเจ้าค่ะเสด็จแม่"
" ก็แล้วแต่ลูกๆของแม่จะพอใจนั่นล่ะสุดหล่อ" พระนางก็มิอาจรู้ได้เช่นกัน
"ไม่ได้ๆ​ สุดหล่อจะต้องตามไปซะหน่อยแล้ว" เขาเตรียมตัวจะไปหา
" เดี๋ยวสิสุดหล่อ​ ทำไมถึงต้องรีบไปตามหาด้วยล่ะ  พักรอที่นี่ก็ได้"
" ก็สุดหล่อห่วงเกราะ...ห่วงพระโอรสพระธิดาจะมีอันตราย​ บางทีอาจจะมีศัตรูคนใหม่ก็ได้พระเจ้าค่ะ"
" อยากตามไปเราก็จะไม่ห้ามแล้ว​ แต่ว่ากินอะไรเอาแรงหน่อยดีไหมล่ะสุดหล่อ​ แม่เห็นเจ้ามาแต่เช้าน่าจะยังไม่ได้กินอะไร"
" ก็.. ก็ดีพระเจ้าค่ะ" เขานึกถึงอาหารอันโอชาของเมืองนี้จึงตอบตกลงก่อนจะเดินทางต่อไป
...
" องค์​เหนือหัวพระเจ้าค่ะ​ พระอาคันตุกะจากศาศวัตบุรีเสด็จถึงแล้วพระเจ้าค่ะ" นายทหารเข้ามาบังคมทูลยังกษัตริย์​แห่งเมืองคีรีมาศที่ออกว่าราชการแต่เช้า
" เชิญพระอาคันตุกะเข้ามาเถิด"ท้าวธริษตรีกล่าวตอบแล้วทหารจึงไปเชิญมา
"ถวายบังคมพระเจ้าค่ะ​ หม่อมฉันบดิศรจากศาศวัตบุรี​" กล่วทูลแล้วจึงให้เหล่่าบริวารที่ตามมาขนสิ่งมีค่ามาถวายให้
"ยินดีต้อนรับท่านราชทูต​จากศาศบุรีวัตสู่เมืองของเรา​ เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ผูกสัมพันธไมตรีกับเมืองของท่าน" ท้าวเธอกล่าวต้อนรับด้วยความยินดี​ บดิศรจึงยิ้มตอบอีกฝ่าย
" เมืองของหม่อมฉันเพิ่งเป็นเมืองเปิดได้ไม่นาน​ ได้ยินเกี่ยวกับพระบารมีของพระองค์​จึงได้ขอเข้ามาผูกสัมพันธ์​ หวังว่าจะช่วยอำนวยความสบายให้กับเมืองของพระองค์ไม่มากก็น้อยนะพระเจ้าค่ะ"
" อย่าว่าเช่นนั้นเลย เมืองเราต้องรบกวนท่่านหลายเรื่องแน่ในภายภาคหน้า​ ท่านเป็นพระนัดดาของเจ้าเมืองใช่หรือไม่"
" ใช่พระเจ้าค่ะ"
" ดีจริงๆเลยนะที่มีหลานคอยช่วยดูแลงาน​ ท่านก็มีรุ่นราวคราวเดียวกับบุตรเรา​ ช่วงที่พักอยู่ที่นี่เราอยากจะให้เป็นสหายกัน​ จะเป็นการขอมากไปหรือไม่"
" ไม่เลยพระเจ้าค่ะ​ หม่อมฉันยินดี" หลังจากที่คุยกันเสร็จแล้วเจ้าเมืองได้มีรับสั่งให้เชิญพระโอรสทั้งสองมาพบกับบดิศร​  บดิศรเห็นสังวาลย์​จึงต้องคอยดูว่าใช่สังวาลย์มณีที่ช่วยศัตรูตนแต่ก่อนเก่าหรือไม่​ ฝ่ายจันทลักษณ์​ก็สงสัยว่าชื่อน่าจะซ้ำกันมากกว่า​ ป่านนี้ผู้ถูกลงโทษคงอาศัยป่ายังชีพอยู่กระมัง
เจ้าเมืองมีพระดำรัสให้พระบุตรพากันประพาสป่าใกล้ๆพลางล่าสัตว์
" ข้าไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเสด็จพ่อให้เรามาพร้อมกับจันทลักษณ์​ด้วย​ ทำไมไม่เลือกให้มาคนใดคนหนึ่งไปเลย" อัคนินบ่นกับข้าติดตาม
"ถ้าเลือกคนใดคนหนึ่ง​ก็คงเลือกพระโอรสจันทลักษณ์​พระเจ้าค่ะ" บริวารพูดตอบนาย
"พูดอะไรฟังไม่เข้าเรื่อง" เขากำลังจะง้างมือตบปากพล่อยๆของลูกน้อง​แต่มีเสียงเรียกของคนที่ปล่าวถึงเสียก่อน
" อัคนิน เราจะพาบดิศรไปทางไหนดีล่ะ"เขาถามอีกคนเพื่อขอความเห็น
"ไปทิศอาคเนย์​ดูสิ  แถวนั้นสัตว์เยอะดีไม่ใช่เหรอ... เอ... เราว่าพวกเราทั้งสามคนนี่ไปตามลำพังแบบลูกผู้ชายกันดีกว่า​ ให้บริวารตามอย่างนี้ก็ออกจะเกะกะสักหน่อย" เขาออกความเห็น​ กะจะหาเรื่องแกล้งเทำร้ายเสีย
" เราเห็นว่าไปกันตามลำพังก็ดีเหมือนกัน​ แต่การว่าคนอื่นเกะกะนี่ไม่มากไปหน่อยเหรอ"บดิศรเห็นด้วยแต่ว่าก็ขัดอยู่บ้าง​
" ไม่มากไปหรอก​ ไปกันดีกว่า"ว่าแล้วจึงพากันมุ่งหน้าสู่ป่าอาคเนย์​ทิศทันที
...
" พระธิดา​ พระธิดาเพคะ" นางกำนัลที่มาถวายงานเคาะประตูเรียกแต่ไร้คนตอบ
" หรือว่าจะยังไม่ตื่นบรรทม"นางกำนัลอีกคนถาม
" บ้าน่า​สายแล้วนะ  อย่างน้อยคนที่บัวก็น่าจะตื่นแล้ว"
"งั้นก็ดันประตูกันเถอะ​ มันผิดสังเกตแล้ว" ว่าแล้วนางกำนัลทั้งสองจึงดันประตูจนปนะตูเปิดออกก็พบแต่คงามว่างเปล่า​
"ตายแล้ว!! พระธิดาหาย!!" ทั้งสองตกใจจึงรีบไปบอกให้นางแม่มดรู้ข่าว
" หายไปไหน!! " เกลียวทองถามคาดคั้น
" พวกหม่อมฉันก็ไม่ทราบเพคะ"
" ไม่ทราบเหรอ​ ถวายงานกันประสาอะไรถึงได้ปล่อยให้หายตัวได้น่ะ"
"ก็.. ก็พระธิดาสั่งให้พวกหม่อมฉันออกมา​ ถ้าขัดจะลงพระอาญาเพคะ"
"เจ้ากลัวงั้นรึ"
" กลัวเพคะ"
"เพราะว่ากลัวนี่ล่ะถึงได้พลาด​ รับโทษไปซะเถอะ" แม่มดเกลียวทองนางใช้พลังเผาผลาญร่างนางกำนัลจนเป็นจุลแล้วคิดหาทางตามหาคนหลบหนีต่อไป
...
" โอ๊ยยย!! "เสียงร้องดังลั่นของผู้หญิงที่ถูกศรจากบดิศรพลาดใส่เข้าให้
" แม่นางท่านเจ็บมากไหม​"จันทลักษณ์​ลงมาจากหลังม้าก็เข้าประคองคนที่ถูกยิงเธอหันหน้ามาปรากฏ​เป็นตัวประหลาดหน้าเสือเหมือนเจ้าสุดหล่อเลย
"ตัวประหลาดนี่" อัคนินกล่าวเมื่อเห็น
"จั๊กเจ็บ​ เจ๊บเจ็บที่ขาเหลือเกินเจ้าค่ะ" จั๊กกะแหล่นกล่าวพร้อมท่าที่เจ็บมากจนคนที่ประคองอดช่วยไม่ได้​
" แม่นางทนเจ็บหน่อยนะ" ว่าแล้วเขาก็ดึงศรออกมาจากขานางแล้วนำสมุนไพรที่พกมาทาสมานแผลให้ อัคนินสบโอกาสจึงเล็งศรยิงเข้าที่จันทลักษณ์​ทันทีแต่บดิศรยิงตัดปัดธนูไปได้ทัน
" ทำอะไรกันน่ะ"จั๊กแหล่นถามเมื่อเห็นการยิงศรทั้งสองเกิดขึ้น​ จันทลักษณ์​ที่รักษาเสร็จแล้วจึงหันมาดู
" อัคนินจะยิงงูตัวนั้นที่จะฉกจันทลักษณ์​แต่น่าจะพลาด​  เราเลยช่วยยิงน่ะ" เขาอธิบาย​ คนเกือบถูกยิงจึงไปดูพบงูถูกศรปักหัวอยู่จึงโล่งใจ
"เราขอบใจมากนะอัคนิน บดิศร"เขาหันมายิ้มให้ทั้งสอง
"เรายินดี" บดิศรกล่าวตอบ
"ไม่ต้องขอบใจหรอก​ อีกไม่นานก็จะเพล​แล้ว​ จะรีบล่าสัตว์​ก็รีบเถอะจะได้กลับ" อัคนินว่าแล้วจึงล่วงหน้าไปก่อน
"เราต้องขออภัยที่ทำท่านบาดเจ็บนะ"
"ไม่เป็นหรอกเจ้าค่ะ​ จั๊กน่ะไม่เป็นอะไรมากอยู่แล้ว​ ดีซะด้วยซ้ำที่จั๊กได้เจอเนื้อคู่" เธอพูดพลางเขินบิดม้วน
"เนื้อคู่" จันทลักษณ์​มองแล้วก็งงใจนัก
" ใช่เจ้าค่ะ​ ก็พี่จันไงเจ้าคะ​ พี่จันน่ะสวมสังวาลย์มณีแสดงว่าพี่จันก็คือศิษย์ของท่านตา​เป็นเนื้อคู่ของจั๊ก"
"นี่ท่านคือหลานของท่านตาที่ชื่อจั๊กแหล่นล่ะสินะ" ทั้งสองพูดกันเช่นนี้ก็พอจะอนุมานได้แล้วว่าเป็นพวกที่ช่วยอริตนวัยเยาว์นั่นเองในความคิดของบดิศร
"งั้นก็ไปกับเราเถอะนะ​ พวกเราก็เป็นหลานท่านตาเหมือนกัน... บดิศรท่านล่วงหน้าไปก่อนได้เลยนะ"ว่าแล้วเขาจึงประคองอีกตนขึ้นม้าไปแล้วตัวจูงเดินเอา
" เช่นนี้แล้วเมื่อไหร่จะถึงล่ะ" บดิศรถาม
"อย่าห่วงเลย​ ล่าสัตว์ให้สนุกเถิด" เขาจึงล่วงหน้าไปยังทิศทางที่อัคนินไป
"ทำไมมันต้องมาขัดขวางข้าด้วยนะ"อัคนินบ่นเสียไม่สบอารมณ์
" ถ้าเราไม่ขัดขวางก็คงเห็นคนลอบกัดกันซะแล้ว​ ดีไม่ดีนี่คงจะโทษเป็นความผิดเราน่ะสิ" บดิศรที่ตามมาได้ยินเข้าจึงตอบ
" เจ้าว่าข้าเป็นพวกลอบกัดหรือไง!! "เขาเริ่มโมโหอีกคน
"ก็ไม่ใช่อย่างนั้นทีเดียวหรอก​ นับว่าเป็นกลยุทธ์​ทีเผลอแต่ออกจะไร้ชั้นเชิงเสียหน่อย... เราน่ะเคยพลาดมาก่อนจึงอยากเตือนไว้" เขาตอบอีกคนอย่างใจเย็น
" ไม่ใช่เพราะว่าเจ้าน่ะอยากเป็นเพื่อนกับเจ้านั่นรึไง"
"เราก็อยากเป็นเพื่อนกับทุกคนนั่นล่ะ​ ดูท่าเจ้าจะไม่ชอบพี่น้องคนนี้เอาเสียเลยนี่  อยากกำจัดขนาดนั้นเชียว"
" ใช่​ ข้าน่ะอยากกำลังจัดพวกมันทุกคน"
" งั้นก็มารับใช้เทพวิษุวัตซะสิ​ ลำพังเราคนเดียวคงกำจัดไม่ไหวหรอก"
" ไหนว่าเจ้าอยากเป็นเพื่อนกับเจ้านั่นด้วยไม่ใช่เหรอ​ รับใช้เทพอะไรนั่นแล้วจะกำจัดพวกนั้นยังไง"
" เดี๋ยวเจ้าก็เข้าใจเองล่ะถ้าเจ้าตกลง" บดิศรยิ้มเล็กน้อยก่อนจะไปหาอะไรติดไม้ติดมือก่อนกลับ
.....​
" ลองทำตามที่เราสอนแล้วเป็นยังไงบ้าง​ ใช้พลังงานจากแหวนได้ไหม" จันทราภาถามสหายที่ตนช่วยลองสอนวิธีที่น่าจะใช้งานได้ เพื่อจะได้ใช้งานอย่างจริงจัง
" เรารู้สึกว่าแหวนจะช่วยตามที่เราต้องการมากขึ้นนะ"อัญญานีตอบกลับ
" ดีแล้วล่ะ​ พระอาจารย์​เคยสอนเราว่าหากต้องการใช้สิ่งวิเศษก็ต้องให้สิ่งวิเศษเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับใจเสียก่อน"เธอยิ้มพลางมองสหายอย่างเชื่อมั่นในความสามารถ​ อัญญานีลองใช้แหวนมุ่งไปยังพุ่มไม้พุ่มหนึ่งแล้วลำแสงก็พุ่งเข้าทำลายพุ่มไม้ทันที
" แบบนี้ก็ดีน่ะสิ​ จะได้ป้องกันตัวได้"อัญญานีพูดอย่างพอใจที่แหวนเป็นไปตามปรารถนา
" พระธิดาทรงพระปรีชายิ่งเพคะ"บัวแย้มให้กำลังใจ
ทั้งหมดพักทานอาหารเสร็จจึงเดินทางกันต่อ
" พอจะรู้ไหมว่าที่ที่เจ้าไปอยู่กับแม่มดเกลียวทองน่ะเป็นที่ไหนกัน" จันทราภาถามขึ้นมาเพราะตอนที่เล่าไม่ได้บอกชื่อเมืองให้รู้
" นางให้เราอยู่แต่ด้านตำหนักบุษบากรตลอดนี่ล่ะเลยไม่รู้ว่านี่เป็นเมืองไหน​ บัวพอจะรู้ไหม​ อย่างน้อยบัวก็ได้ออกไปยังด้านนอกบ้าง" อัญญานีตอบแล้วถามอีกคนเพื่อช่วยตอบเผื่อจะรู้
" บัวเคยออกไปครั้งนึงเพคะ​ คนที่ไม่ใช่ฝ่ายพระตำหนักนี้เรียกเมืองนี้ว่าศาศวัตบุรีเพคะ" บัวแย้มก็ช่วยตอบตามที่รู้
" ดีล่ะ​ เราจะได้ระวังตัวไว้และบอกพระอัยกาด้วย" คนถามเมื่อรู้คำตอบจึงบันทึกไว้เผื่อคนต่อไปมาจะได้รู้เรื่องด้วย
"แต่ว่าเรากลัวพรุ่งนี้มากกว่า" จันทราภานึกขึ้นได้จึงพูดขึ้นมา
" พรุ่งนี้? "อัญญานีทวนคำ
" ใช่​ อังคาสคนพรุ่งนี้น่ะมีอารมณ์​โมโหง่าย​ กลัวว่าถ้าทำอะไรให้ไม่ถูกใจขึ้นมาจะยุ่งน่ะสิ"เธอพูดพลางกังวลใจ
" ไม่เป็นไรหรอกพระเจ้าค่ะ​ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่หิ่งห้อยจะช่วยทูลและดูแลเองพระเจ้าค่ะ"หิ่งห้อยยักษ์กล่าว
"พี่ตาหวานก็จะร่วมด้วยช่วยกันพระเจ้าค่ะพระธิดา" ผีโครงกระดูกในย่ามพูดเสริมอีก
" ขอบใจพี่ทั้งสองมากนะจ๊ะ.. แต่ถึงอย่างนั้นพวกเจ้าก็ต้องระวังด้วยนะ​ อัญญานี  บัว" เธอขอบใจแล้วเตือนคนที่เหลือ
" ได้ๆ​ ถ้าไม่มากไปเขาก็น่าจะเป็นคนมีเหตุผลล่ะน่า" อัญญานีพูดให้สบายใจ
"เพคะพระธิดา​ บัวจะระวัง"บัวตอบรับพร้อมยิ้มให้โดยไม่รู้เลยว่าคนคนนั้นน่ะเป็นคนเดียวกับที่เจ้าอารมณ์​ใส่เธอ​ ทั้งหมดจึงมั่งหน้าสู่เมืองทิศพลต่อไปโดยไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
...
"รับใช้เทพวิษุวัตงั้นเหรอ"ผกากรองพูดทวนคำที่ลูกกล่าวบอกเธอ
"ใช่จะ​ ลูกไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่นักแต่มันก็อดคิดไม่ได้" อัคนินพูดตามที่ได้ยินมา
"รับใช้เพื่อจะกำจัดพวกนั้นแสดงว่าต้องเกี่ยวข้องกับสังวาลย์​เปลี่ยนคนที่มันใส่แน่​ ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นเทวดาหรือปีศาจแม่ก็เห็นว่าเป็นโอกาสเหมาะแล้วที่จะร่วมมือกันกำจัดพวกมันให้พ้นทาง"
" แต่ว่าลูกน่ะไม่ชอบเจ้าบดิศรอะไรนั่นเลย​ มันน่ะขัดลูก" เขาพูดเป็นเชิงฟ้อง
"ก็ให้มันขัดเจ้าไปก่อน​ ไว้กำจัดพวกมันสำเร็จแล้วจะจัดการมันต่อแม่ก็ไม่ห้าม"
" งั้นก็ตกลงตามนั้นก็ได้ท่านแม่"  ว่าแล้วเขาก็ไปหาคนที่กล่าวถึงเพื่อรับข้อเสนอและฟังเงื่อนไขร่วมกัน
..
ตกกลางคืนของวันนี้ไม่เห็นรู้มาก่อนเลยว่าที่นี่จะมีค้างคาวผีเสียด้วย มันกำลังจ้องมองเหยื่อที่เดินทางทางมาจะหาที่พักพิง
" เราว่าน่าจะพักที่นี่ก็น่าจะดีนะ" จันทราภาออกความเห็น
" เราก็เห็นด้วย" อัญญานีกล่าวตอบ
"เดี๋ยวหม่อมฉันจะหาฟืนมาก่อไฟนะเพคะ" บัวแย้มอาสา
"พี่ตาหวานไปด้วยสิ​ ช่วยๆกันจะได้เสร็จงานไวๆ" ผีโครงกระดูกตามไปช่วยด้วยเพราะตอนนี้ตนเป็นอิสระจากแสงอาทิตย์แล้ว
"เราไปช่วยด้วยสิ"อัญญานีกล่าว
" ไม่ต้องหรอกพระเจ้าค่ะ​ มีตาหวานอยู่ด้วยสบายใจหายห่วง"  จากนั้นทั้งสองจึงเดินทางออกไป
"ปลีกไปแล้วล่ะสิ​ ไปกับผีที่มีแค่โครงกระดูกนี่นะจะทำอะไรได้​ ฮ่าๆ​ คืนนี้ล่ะเจ้าจะเป็นอาหารอันโอชะของข้า"ค้างคาวผีว่าแล้วจึงบินโฉบมาหมายจะเข้ากัดหญิงสาวแต่เธอไหวตัวทัน
"ค้างคาวผี!! "บัวแย้มพูดเสียงดังพลางหยิบไม้ไว้ป้องกันตัวฟาดเจ้าตัวดูดเลือดแต่ดันคว้าทัน
"เอ๊ยเจ้าผีดิบนี่คิดจะทำร้ายหนูบัวข้าเรอะ​ นี่แน่ะ"ผีตาหวานโยนกองไม้ใส่เจ้าผีค้างคาวแต่มันไม่สะทกสะท้านเลยนี่
"ของแค่นี้จะทำอะไรเราได้เรอะ​ ไอ้เจ้ากระดูกกิ๊กก๊อก" ว่าแล้วมันจึงโยนกองไม้ขนาดหนักกว่าทับกระดูกเคลื่อนที่ไม่ได้​ บัวเห็นท่าไม่ดีรู้ตัวว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ควรจะใช้ของวิเศษมากำราบดีกว่าจึงวิ่งไปขอความช่วยเหลือ​
" พระธิดา​เพคะ​ พี่หิ่งห้อยช่วยบัวด้วย"นางวิ่งไปส่งเสียงไปเผื่อไม่ทัน​ ไม่ทันไรเจ้าผีดูดเลือดก็ขวางหน้าเธอไว้
"จะหนีไปไหนล่ะ​ วันนี้มาเป็นอาหารของข้าซะดีๆ" เจ้าค้างคาวผีเข้าใกล้จะจับกินแต่ก็มีเสียงห้ามซะก่อน
"หยุดนะเจ้าผีร้าย!!" อัญญานีและพวกตามมาดูเพราะได้ยินเสียงบัวขอให้ช่วย​ ได้ทีบัวจึงรีบวิ่งไปดูเจ้าผีที่โดนไม้ทับอยู่
"เจ้ามายุ่งอะไรด้วยห๊ะ!! แห่กันมาขนาดนี้​คืนนี้ข้าจะกินไม่ให้เหลือเลย"ว่าแล้วก็ตรงไปจะเข้าทำร้าย​ อัญญานีจึงใช้พลังจากธำรงค์แก้วศุภรสร้างไฟล้อมรอบเจ้าผีดูดเลือดนั่น​ เห็นว่าอีกฝ่ายมีฤทธิ์ท่าไม่ดีแล้วจึงบินหนีขึ้นฟ้าไป
"เราตามไปกันเถอะจะพี่หิ่งห้อย" จันทราภาจึงขึ้นหลังเจ้าหิ่งห้อยยักษ์​บินตามไป
" พี่ตาหวานไม่เป็นอะไรนะจ๊ะ"บัวนำไม้ที่ทับออกมาทำให้ผีโครงกระดูกหลุดมาได้
"ไม่เป็นอะไรหรอกหนูบัว"
"บัวเป็นอะไรมั้ย" อัญญานีตามมาดูด้วยความเป็นห่วง
"ไม่เป็นไรเพคะพระธิดา​  แล้ว.." บัวมองหาที่เหลือ
" พวกนั้นตามเจ้าค้างคาวผีไป​ เราว่าหาที่ปลอดภัยหลบก่อนเถอะ" ว่าแล้วทุกคนจึงไปหาที่ปลอดภัยพักรอ
ฝ่ายค้างคาวผีที่คิดว่ารอดแล้วผ่านไปเจอนายพรานพอดีตัวเองจะลงไปหาของกิน​ จันทราภาก็ตามมาทันทีที่ผีดูดเลือดจะทำอันตรายนายพราน
" เจ้าจะมาหากินแบบนี้้ไม่ได้นะ" จันทราภาค้านเจ้าค้างคาว
" โอ๊ย​ ข้าไม่กินพวกเจ้ายังตามมารังควานอีก​ พูดไม่รู้เรื่องใช่ไหม" เขาโมโหจึงซัดพลังเข้าใส่หารู้ไม่ว่าอีกฝ่ายก็มีฤทธิ์มิด้อยกว่าคนเมื่อครู่เลย​ จันทราภาใช้พลังจากเกราะกายสิทธิ์​ต้านพลังศัตรูเปล่งแสงประกายเหลืองสว่างสไวไปทั่ว​ เจ้าค้างคาวทนไม่ได้กับแสงจ้าที่เหมือนจะแผดเผาตนให้มอดไหม้จึงยอมแพ้​ และสัญญาว่าจะไม่ทำอีก​ จบเรื่องแล้วจันทราภากับหิ่งห้อยจึงกลับไปรวมกับพวกที่เหลือแล้วจึงพักผ่อนต่อ
"ป่านี้มีอันตรายมากขึ้นจากสิบปีที่แล้วนะ​ สงสัยว่าคงต้องจัดเวรยาม" จันทราภาเสนอ
"พี่ตาหวานจะช่วยดูให้พระเจ้าค่ะ​ พี่ตาหวานเป็นผี​ ผีก็ต้องอยู่กลางคืนได้อยู่แล้ว" เขาอาสา
"พี่หิ่งห้อยก็จะอยู่ยามเป็นเพื่อน​ตาหวานเองพระเจ้าค่ะ​ บรรทมให้สบายเถิด" เขาก็ช่วยอาสาอีกแรง
" อย่างนี้ไม่รบกวนแย่เหรอจ๊ะ​ ผลัดกับบัวก็ได้นะจ๊ะ"บัวพูดเพราะกลัวการเฝ้ายามจะเปลืองแรงทั้งสอง
" ไม่เป็นไรหรอกจะหนูบัว​ หนูบัวคอยหาอาหารหาฝืนมาตลอดแล้วนี่นา​ ไม่ต้องลำบากแล้วนะหลับให้สบายเถอะ" หิ่งห้อยกล่าว
" เอาอย่างนี้เราพักกันก่อนก็ได้​ ไว้พอมีแรงปัจฉิมยามค่อยมาผลัดเวรนะ"อัญญานีเสนอ
" ตกลงตามนี้ล่ะ"จันทราภาว่าแล้วทุกคนก็หลับเอาแรงกันก่อนที่เวลาจะเปลี่ยนเวรมาถึง​ และรอคอยวันใหม่ถัดไป











หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ พฤษภาคม 02, 2020, 12:00:42 PM
 วันที่รอก็มาถึงแต่แสงอาทิตย์​ยังไม่สาดส่องมา​ คนที่ผลัดเวรมาก็ตกลงไปหาอาหารจะได้เดินทางได้เร็วยิ่งขึ้นเมื่อเก็บเสร็จแล้ว​อัญญานีจึงไปอาบน้ำเป็นคนแรกเพราะตนชอบอาบน้ำคนเดียว​ผิดกับอีกสองคนที่ชอบอาบน้ำไปเล่นไป​ จันทราภาจึงชวนบัวแย้มอาบน้ำพร้อมกัน​ หลังจากที่อัญญานีเธอสรงน้ำเสร็จจึงผลัดให้ทั้งสองไปยังน้ำตก
"บัวลงไปก่อนนะเดี๋ยวเราหาที่วางบันทึกก่อน" จันทราภากล่าวกับอีกคนพร้อมนำ
"เพคะพระธิดา" บัวลงไปเป็นคนแรก​ น้ำเย็นมากจริงๆใครที่ลงไปได้เลยก็สบาย​ คนไม่ชินก็ต้องปรับตัวเสียหน่อย
"พระธิดา​น้ำเย็นมากเลยนะเพคะ​ ลงมาสรงเถอะเพคะ" บัวที่กำลังเพลินไปกับน้ำที่เล่นอยู่กล่าวชวนอีกคนที่ยังไม่ยอมลงมาเสียที
" รอก่อนนะบัว​ น้ำเย็นมากเราขอเพลาสักหน่อย" เธอนำมือไปสัมผัสน้ำเพื่อจะปรับให้ชินได้ที่แล้วก็จะลงไป​ แต่ไม่ทันไรเลยแสงอาทิตย์​ได้สาดส่องลงมากระทบเกราะที่ใส่จนเปลี่ยนเป็นอีกคนเป็นที่เรียบร้อย
"พระธิดาทำไมยังไม่เสด็จล่ะเพคะ" นี่ก็นานแล้วหนาทำไมอีกคนไม่ลงมาสักที​ ตนเองจึงหันไปดู
" เจ้า!! " ทั้งสองเจอกันแล้วจึงพูดขึ้นมาพร้อมกันด้วยความตกใจ
"หรือว่าจะเป็นพระโอรสอังคาส" เธอนึกขึ้นมาเขาอยู่ตำแหน่งเดียวกันกับคนเมื่อครู่​ อีกทั้งแสงอาทิตย์​มาแล้วก็น่าจะเดาไม่ยาก
" รู้ชื่อเราได้ยังไง" เขาฉงนนัก​ เจอครั้งที่แล้วยังไม่รู้จักเลย​แต่ครั้งนี้กลับรู้เสียอย่างนั้น
" พระโอรสหันหลังไปก่อนเพคะ​ บัวจะขึ้นแล้ว" เธอตัดสินใจบอกเขา​ จะให้พูดคุยทั้งอย่างนี้ก็ยังไงอยู่
"ก็ได้​ รีบๆหน่อยก็แล้วกัน" เขาหันหลังให้เธอจึงเจอบันทึกรวมของพวกเขาที่จะได้รู้ความเป็นไปของคนก่อนๆ​วางอยู่ใต้ต้นไม้ตนจึงเดินไปเก็บมาไว้กับตัว
"เจ้าเป็นขโมยรึไงกันน่ะ"เขาถามขณะที่กำลังเปิดบันทึกดู
" ไม่ใช่นะเพคะ​ บัวไม่ได้เป็นขโมย" เธอตอบหลังจากแต่งตัวเสร็จจึงเข้ามาดู
" แล้วบันทึกของเรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงล่ะ" เขาถามอีกครั้ง​ เจอแต่บันทึกว่าให้ระวังเมืองศาศวัตอย่างเดียว
"ก็พระธิดาจันทราภาทรงวางไว้น่ะสิเพคะ"
" ของสำคัญอย่างนี้จันทราภาไม่มีทางจะวางไปทั่วแบบนี้หรอก"
" อ้าวก็จะสรงน้ำ​ เอาบันทึกไปด้วยก็เปียกน่ะสิเพคะ"
"ไม่ต้องมาพูดเลย"เอาอีกแล้วเขาจับข้อมือเธอไปจากน้ำตกแล้วร้องหาเจ้าหิ่งห้อยยักษ์​
"ปล่อยนะเพคะ​ ปล่อยบัว" เธอขัดขืนการกระทำอีกฝ่าย
" พระโอรสพระเจ้าค่ะ​ ปล่อยหนูบัวแย้มเถอะพระเจ้าค่ะ"เจ้าหิ่งห้อยที่ได้ยินเสียงเรียกจึงออกตามหามาพบพอดี
" บัวแย้ม.. คนคนนี้ชื่อบัวแย้มงั้นเหรอ​ แล้วมันยังไงกันกันแน่ล่ะ" เขายอมปล่อยน่ะได้แต่ต้องรู้เรื่องด้วย​ หิ่งห้อยเล่าให้ฟังพลางพาไปที่พัก
"งั้นเรื่องสามีเจ้าก็โกหกน่ะสิ"อังคาสฟังเสร็จแล้วสรุปได้จึงถามเจ้าตัว
"ใช่เพคะ​หม่อมฉันโกหก​ แต่คนเราต้องรู้จักเอาตัวรอดมันก็ช่วยไม่ได้" บัวแย้มตอบคำถาม
" เป็นคำขอเราเอง​ อย่าว่านางเลย" อัญญานีช่วยพูดให้เพราะดูเหมือนว่าจะตีกันไม่หยุด
"อ้อเราจำได้แล้ว​ชื่อบัวแย้มนี่น่ะ​ เจ้าเป็นพวกเดียวกันกับยักษ์​นั่นน่ะสิ​ มิน่าล่ะถึงได้นิสัยเสียเหมือนกัน" เขาพูดต่อไป
" อย่าว่าพระธิดาของหม่อมฉันนะเพคะ​ ว่าแต่พระโอรสเถอะไปทำอะไรให้พระธิดาไม่พอพระทัยได้  คงไม่ได้เป็นเรื่องดีเท่าไหร่หรอกสินะเพคะ" เธอปกป้องยักษ์​ที่ถูกกล่าวถึง​แม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้วแต่ความผูกพันธ์ฝังลึก​ การจะมาว่ากันมันไม่มากไปหน่อยหรือ
" นางพาลเองตะหากล่ะ​ นี่นะถ้าตอนนั้นเจ้าไม่มาขวางล่ะก็​ คงเขี้ยวหักไปแล้ว"เขาพูดความจริงที่เข้าใจ​ ทำให้เธอเข้าใจรู้แล้วว่าเขาก็คือเด็กคนนั้นนั่นเอง
" ถ้าบัวรู้ว่าจะต้องเจอพระโอรสแบบนี้ล่ะก็​ ตอนนั้นจะไม่ห้ามเลย"
"พอเถอะๆ​ ทะเลาะกันไปก็ไม่ได้อะไรดีขึ้นมาหรอก​ "อัญญานีต้องปรามอีกครั้งเมื่อทั้งสองเริ่มต่อล้อต่อเถียงกัน​ ทั้งคู่ยอมหยุดให้​ จึงชวนทานอาหารเอาแรงกันเสียหน่อยจึงคิดเดินทางต่อไป
....
"พี่อังคารเจ้าขา​ จั๊กมาหาแล้วเจ้าค่ะ" จั๊กแหล่นหายเจ็บขาเพราะยาขนานดีในคืนเดียว​ เธอรู้ว่าต้องเปลี่ยนวันน่าจะเปลี่ยนคนเธอจึงอดไม่ได้ที่จะมาชมโฉมหน้าเทพบุตรในร่างมนุษย์​คนต่อไป
"นี่น่ะเหรอหลานท่านตา" ปัทมาสน์หันมามองเมื่อมีคนมาหาตนที่ตำหนัก​
"ย.. ยักษ์!!" เธอตกใจอีกตนสะดุ้งโหยงแล้ว
" ใช่​เราเป็นยักษ์​  แล้วมันยังไงล่ะ"
"นี่เจ้า.. เจ้ากินพระโอรสวันอังคารไปแล้วเหรอ​ เจ้าใจร้ายที่สุดกินเขาแล้วยังเอาสังวาลย์​มาใส่อีก" จั๊กแหล่นฟูมฟายเหลือประดา​พาอีกตนรำคาญ
"เรานี่ล่ะคนวันอังคาร  พระโอรสต้องพรุ่งนี้กับวันศุกร์นู่น​ เห็นเราเป็นยักษ์​ใช่จะกินตามใจได้นักสิ  สังวาลย์​นี่ก็เป็นของเรา​ " 
" ว่าไงนะ​ ท่านตาไม่เคยบอกเลยนะว่ามีลูกศิษย์​เป็นยักษ์​ด้วย"
" ทีตาเจ้าเป็นสิงโตยังมาเป็นฤาษี​ได้เลย​ ว่าแต่เจ้าเป็นเสือนี่เป็นตาหลานกันได้ยังไง"
" ก็... ก็ท่านยายจั๊กเป็นเสือไง​"
" รวมกันไม่ได้เป็นพยัคฆ์​ไกรสรเหรอ"
"ก็ออกมาอย่างนี้แล้วนี่นา.. ต้องรอพบพระโอรสพรุ่งนี้อีก"ท่าทีเหี่ยวเฉาออกนอกหน้าเห็นได้ชัด
"รอไปเถอะไม่ตายหรอก​ ไปหาอะไรกินดีกว่าฟังเจ้าพูด"ได้ทีตนก็ไปเสียดีกว่า​ ไม่ชอบดูใครคร่ำครวญ
....
"​นี่ท่านว่าพระคู่หมั้นหายไปงั้นรึ"ธานินทร์​บริวารองค์เทพทวนคำที่ได้ยินจากแม่มดเกลียวทอง
"ใช่​ มั.. พระนางหนีไป​ เราตามหาแล้วแต่ยังไม่พบจึงมาแจ้งข่าวให้ท่านช่วย"เกลียวทองเธอพูดอย่างจริงจังเกือบหลุดคำไม่เหมาะสมเสียแล้ว
"หนีไปได้ยังไงกัน​ อยู่มาสิบปีไม่เคยหนีได้​  ทำไมครางนี้ถึงปล่อยให้หนีไปได้​ ท่านดูแลยังไงกัน" เขาเริ่มจะต่อว่าเธอ
"เราไม่รู้​ คนก็หายไปแล้วจะทำยังได้ล่ะ​ ถ้าท่านไม่ช่วย​ พวกเราทุกคนจะถูกลงโทษกันหมด​ ถ้าพระเทวาเสด็จจากบำเพ็ญเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นล่ะ" นางพูดตัดบทดื้อๆ​ เถียงกันไปไม่ได้ออกตามหากันพอดี
" ช่างเถอะตอนนี้ต้องหาตัวพระนางก่อน​ ท่านก็หาที่ป่าทางด้านประจิมทิศของเมือง​ ส่วนบูรพาทิศเรากับธาราจะไปหาเอง"  เมื่อตกลงกันเสร็จ​แล้วจึงได้ออกตามหา
...
" ปัทมาสน์ไปไหนมาเหรอ​ นี่คือบดิศรฑูตจากเมืองศาศวัตล่ะ" อัคนินมากับบดิศรพร้อมพูดจาดีกับอีกตนอย่างไม่เคยมาก่อน
"คำพูดแปลกไปนะ​ หาความจริงใจเท่าแต่ก่อนไม่ได้เลย"เธอตอบ
" เจ้า!!... เราพูดแบบนี้มันไม่ดีรึไง" เขาโกรธน่ะดูออกแต่ก็พยายามพูดดี
"พูดดีก็ดี​ แต่ไม่จริงใจอย่าพูดเลย" พูดอย่างนี้อยากจะเข้าไปปะทะเสียแล้วให้รู้กันไปแต่อีกคนห้ามไว้จึงไม่ได้ทำ
"พระโอรสอัคนิน  พระสนมมีรับสั่งให้หาพระเจ้าค่ะ"มหาดเล็กเข้ามาทูลพอดี​ เขาจึงต้องจากไปให้ทั้งสองอยู่ด้วยกันตามลำพัง
"เขาอารมณ์​ร้อนเช่นนี้อย่าได้ถือสาเลยนะท่าน"บดิศรได้ช่องจึงพูดคุย
" พูดดีจังนะเพื่อนที่คบกันได้วันเดียวนี่น่ะ​ แต่ก็นะถ้าไม่มีประโยชน์​จะใจเย็นคุยกันได้จนป่านนี้หรอก"เธอพูดพลางมองหน้าอีกฝ่าย
"ประโยชน์​อะไรกัน​ เราไม่เข้าใจ"
"ประโยชน์​ต่อพระเทวาของพวกเจ้าน่ะสิ​ อย่าคิดนะว่าเหตุผลชื่อซ้ำกันแล้วจะดูไม่ออก เจ็ดวันก่อนบำเพ็ญทำอะไรได้ตั้งเยอะ"
"เราไม่.." เขารู้สึกประหลาดใจ​ เธอไปเอาอะไรมามั่นใจนักหนาถึงได้ตัดสินฉับไวขนาดนั้น
" พอเถอะไม่ต้องแก้ตัวหรอก​ เราไม่คิดมากเรื่องคบสหาย​ พวกเราเป็นเพื่อนกันได้นะแต่ฝ่ายใครฝ่ายมัน"เธอพูดอย่างนี้ก็แย่น่ะสิ​ มีอย่างที่ไหนคนละฝ่ายกันจะคบเป็นเพื่อนได้
" ว่ายังไงนะ​ ถ้ารู้แล้ว​ทำไมถึงยังจะเป็นเพื่อนกับเราอีกล่ะ" เพราะสงสัยจึงไม่อยากจะปิดอีกต่อไป
" ดูท่าแล้วเจ้าก็ไม่ได้ร้ายกาจมากกว่าอัคนินหรอก​ หน้าที่ก็คือหน้าที่​ อยากจะทำหน้าที่เจ้าก็ทำไปสิ​ เราอยากคบเพราะอยากเป็นเพื่อนจริงๆ​ พวกเรามีเพื่อนที่จริงใจกันสักครั้งคงไม่ตายหรอกมั้ง" พูดมาแบบนี้อีกคนจะทำตัวถูกไหมล่ะ​
......
"นั่นไง" ธาราชี้คนที่ตามหาให้ธานินทร์​ขณะอยู่บนเมฆ​ ด้วยเพราะเป็นเทวดาด้วยล่ะมั้งที่ทำให้พวกเขาเดินทางเร็วกว่าคนเป็นปกติ
" อย่ารอช้าเลย​ รีบไปจัดการกันดีกว่า"ธานินทร์​กล่าว
" เดี๋ยวก่อน​ ไม่เห็นรึยังไงว่ามากับใคร" เขาทัดทานอีกคนเมื่อมองไปที่คณะเดินทางครบทุกคน
" คนสวมเกราะกายสิทธิ์อีกแล้ว"
"การที่เราจะไปพาพระนางมาน่ะ​ จะพามาตรงๆเห็นจะไม่ได้​ เจ้าก็รู้แล้วนี่ว่าพลังมันเยอะขนาดไหน"
" อย่างนั้นก็ต้องลงทุนกันหน่อย​"  ทั้งสองรู้กันดีจึงสร้างทางวงกตขึ้นมาในระหวางทางที่เดินอยู่รู้ตัวอีกทีป่านี้ก็ซับซ้อนขึ้นมา  ตอนนี้ก็เกิดการพลัดกันเป็นสองกลุ่ม​ โดยอัญญานีอยู่กับเจ้าหิ่งห้อยยักษ์​
"อะไรกันน่ะ​ ทำไมอยู่ดีๆถึงกลายเป็นป่าวงกตไปได้"อัญญานีกล่าวพลางมองสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น
" พระธิดาอย่ากังวลเลยพระเจ้าค่ะ​ เดี๋ยวพี่หิ่งห้อยจะบินขึ้นไปดูด้านบนให้นะพระเจ้าค่ะ" เจ้าหิ่งห้อยยักษ์​บินขึ้นไปหมายจะสำรวจแต่กลับมีเพดานสายฟ้ากั้น​ เจ้าตัวบินไปถูกเข้าอย่างจังทำไมร่างอันใหญ่โตได้รับบาดเจ็บแปรสภาพขนาดตัวเล็กเท่าหิ่งห้อยทั่วไปตกลงมายังพื้น​
" พี่หิ่งห้อย!! " อังคาสที่เห็นเหตุการณ์​เมื่อครู่ร้องออกมาด้วยความตกใจ
" พวกเราต้องรีบหาทางไปแล้วล่ะเพคะ​ พระโอรสไปด้านซ้าย​ แล้วบัวจะไปด้านขวา" บัวแย้มยังพอคุมความตกใจตัดสินใจบอกอีกคนจะได้ช่วยกันแก้ไข
"อย่าไปเลย​ ถ้าหลงกันจะวุ่นกว่าเดิม​ ไปด้วยกันหมดนี่ล่ะ"เขาจูงมืออีกคนเดินไปแต่คราวนี้ไม่รุนแรงออกจะนุ่มนวลเสียมาก
"พี่ตาหวานก็เห็นอย่างนั้นพระเจ้าค่ะ​ รวมตัวกันไว้ดีกว่า"ผีในย่ามเห็นด้วย
" พี่หิ่งห้อย" อัญญานีเข้าดูเจ้าหิ่งห้อยเหลือตัวน้อยนิดบาดเจ็บแล้วนำมาไว้ในฝ่ามือตน​
" พระธิดา​ พี่หิ่งห้อยเป็นอย่างไรบ้างเพคะ" บัวแย้มเข้ามาช่วยดู
"เมื่อครู่นี้พี่หิ่งห้อยบินขึ้นไปถูกสายฟ้าฟาด​ อาการไม่ดีเลยบัว" เธอเริ่มใจไม่ดีเสียแล้ว
" บัว​ เมื่อครู่​พูดรึปล่าว" อังคาสได้ยินเสียงเลยสงสัย
"ไม่นะเพคะ​ บัวยังไม่ได้พูด"
"เราได้ยินเสียงเหมือนเจ้าพูด"
" หรือว่าจะเป็นบริวารของเทพวิษุวัตมากันเพคะ" บัวได้ยินดังนั้นคงประมวลผลไม่ยาก​ ทั้งป่าวงกตทั้งเสียงที่เหมือนตน
" ไม่ได้การแล้ว" อังคาสใช้พลังจากเกราะกายสิทธิ์​เรียกพระขรรค์์วิเชียรชัยชาญด้ามประดับตามภาภรณ์ แล้วใช้ผ่าพุ่มไม้เวทย์มลายสิ้นปรากฏ​ให้เห็นพวกที่เหลือทันที
"บัวแย้มอยู่นั่นแล้วเจ้าเป็นใคร" เห็นดังนั้นเธอจึงรู้ทันทีว่าข้างกายตนไม่ใช่คนสนิท​ อีกคนเมื่อรู้ว่าหลอกไม่ได้แล้วจึงเข้าจับตัวเธอเสีย
"ปล่อยตัวนางเดี๋ยวนี้นะ" อังคาสที่เห็นเหตุการณ์​ร้องห้ามการกระทำของอีกฝ่าย
"ไม่มีหน้าที่อะไรที่ต้องปล่อยหนิ  เรามีหน้าที่ตามกลับไป" ธานินทร์​ที่เปลี่ยนร่างกลับมาตามปกติได้ตอบโต้อีกฝั่ง
"เช่นนั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องเจรจาหรอกนะ" พระโอรสวันอังคารใช้พระขรรค์​ฟาดฟันพลังไปในแนวเส้นตรงสู่บริวารเทพนั้น​ โชคยังดีสำหรับเขาที่หลบได้ไม่ถึงแก่ความตายแต่โชคร้ายขาซ้ายดันขาดสะบั้น​ จนเขาล้มลงไปพร้อมกับว่าที่พระแม่เจ้า​ เธอกำลังจะหนีออกมาทันแล้วเชียวถ้าเกิดเจ้าเทพบาดเจ็บนั่นไม่ใช้พระเวทย์​บ่วงบาศมารัดกายเสียแน่น  ไม่นานนักเหล่ารากไม้ใต้ดินก็ดึงร่างของอริที่ขัดขวางนายตนลงจมสู่ใต้พื้นปฐพี
"ปล่อยเรานะ!!" ดิ้นเท่าใดอัญญานีก็ไม่หลุดพ้นบ่วงนั่นกลับรัดแน่นเข้าไปอีก
"แข็งใจไว้นะธานินทร์​  พาพระนางหนีไปก่อน​ เราจะจัดการต่อเอง" ธาราเข้าคลายความบาดเจ็บให้พร้อมเรียกเมฆเหินฟ้ามารับทั้งสอง​ ธานินทร์​ไม่รอช้ารีบพาไปทันที​ ธาราเข้าจับบัวแย้มที่พยายามหนีจากการจับของรากไม้​ พอดีกับที่รากไม้และแผ่นดินแตกแยกจากพลังของเกราะกายสิทธิ์​จนอังคาสสามารถขึ้นมาได้ต้องพบกับบัวที่กลายเป็นตัวประกันเสียแล้ว​ คราวนี้ตัวเขาไม่ได้อยู่ข้างๆลำตัวเหมือนตัวประกันคนก่อนแต่หากยืนด้านหลังไว้เพื่อเป็นดั่งเกราะกำบังการโจมตีของอีกฝ่าย
"เอาสิ​ อยากใช้พลังนักก็ใช้เลย​" ธารากล่าวท้าทายอีกฝ่ายอย่างได้เปรียบ
"พระโอรสใช้พลังเลยเพคะ​" บัวแย้มกล้ารับเพราะไม่คิดว่าจะมีอะไรต้องเสียแล้ว
"เรารู้หรอกว่าเจ้าไม่กล้า" บริวารนั่นกระหยิ่มยิ้มชอบใจ
"ใครว่าเราไม่กล้า..บัวระวังตัวด้วย" เขาใช้พระขรรค์​ที่เกิดจากพลังซัดเข้าไปยังทั้งสอง​ แต่เจ้านั่นก็พาหลบได้
"มีดีเท่านี้เองรึ" ถามจบประโยคไม่ทันไร​พระขรรค์​เข้ากรรมก็ได้ย้อนมาแทงด้านหลังธารา​ แรงของเขาสิ้นบัวจึงรอดพ้นแล้ววิ่งไปหาพระโอรส
"ไม่เป็นอะไรนะบัว" เขาถามด้วยความเป็นห่วง
" บัวไม่เป็นไรเพคะ" เธอตอบ​ เมื่อสบายใจแล้วเขาจึงเรียกเก็บพระขรรค์​เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเกราะวิเศษเหมือนเดิม
"บอกเรามาว่านำอัญญานี​ไปไว้ที่ไหน" เขาถามผู้บาดเจ็บ
"ต่อให้เราตาย​ เราก็ไม่บอกเจ้าหรอก" เจ็บแล้วยังปากแข็ง​ได้อีก  เขาไม่บอกหรอก​ จงรักภักดีขนาดนั้น
" เจ้า!!" อังคาสเริ่มโมโหเข้าจับตัวอีกฝ่าย
"พวกเจ้าไม่มีวันขัดขวางเรื่องที่จะเกิดต่อจากนี้.. ได้หรอก" สิ้นคำกล่าวเขาสิ้นใจลงในทันทีร่างกายได้สูญสลายไปแล้ว
"พี่หิ่งห้อยเป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ"บัวเห็นหิ่งห้อยอยู่กับพื้นจึงเข้าไปดู​ ช่างน่าเป็นห่วงและน่าสงสารเสียที่สุด​ เสียงสะอื้นเกิดขึ้นมาแบบมิรู้ตัว
"เจ้าหิ่งห้อยอย่าเป็นอะไรนะ​"ผีในย่ามพูดขึ้นมา
" พี่หิ่งห้อยบาดเจ็บแต่ยังไม่ถึงตาย​ เราจะช่วยเอง" ว่าแล้วพระโอรสได้ใช้พระเวทย์เข้ารักษา​ เจ้าหิ่งห้อยพอจะฟื้นคืนชีพได้แล้วนั้นจึงขอบพระทัยเสียใหญ่​ แต่ทว่าร่างกายนี่สิยังไม่สามารถกลับมามโหฬารได้เท่าก่อนเก่า
"แล้วพระธิดาอัญญานีจะทำกันอย่างไรต่อไปดีเพคะ"
" เอาเป็นว่าเราจะช่วยตามหา​ แต่ก่อนหน้านั่นเราต้องเร่งเดินทางพาบัวกับพี่หิ่งห้อยไปอยู่กับพระอัยกาก่อน​ ไม่อย่างนั้นจะเป็นอันตรายกันหมด" เมื่อพูดดังนั้นแล้วทั้งหมดจึงเร่งเดินทางต่อโดยทันที
....
"ปัทมาสน์​ เรากลับเมืองก่อนนะ" หลังจากที่ตกลงเป็นเพื่อนใช้เวลาร่วมกัน​ มันก็คงถึงเวลาแล้วที่ต้องจากกัน
" อะไรกัน​เพิ่งจะผ่านไปเดี๋ยวเดียวเอง​ คิดจะกลับเสียแล้ว" เธอทำเป็นท้วง
"ไม่เป็นไรหรอก​ อย่างไรแล้วเราจะมาอีก" บดิศรกล่าวพลางยิ้มอย่างเป็นมิตร
"มาพร้อมกับเทพวิษุวัต​น่ะเหรอ​ ไม่ต้องมาหรอก" เธอแกล้งพูด​เพราะเหตุการณ์​ไม่น่าจะเดายาก
"ไม่หรอก"
"ก็ได้​ เราเชื่อใจเจ้า​ กลับดีๆล่ะ" ว่าแล้วเธอจึงกลับตำนักของตน​ ความเชื่อใจที่พูดน่ะเป็นจริงก็ดีน่ะสิ​เพราะบดิศรไม่เคยเชื่อใจใครและไม่ได้รับความเชื่อใจเท่าใดนัก​ คงต้องดูยาวๆไปว่ามิตรภาพน่ะสำคัญกว่าฝั่งฝ่ายหรือไม่​ เขาจึงเข้าเฝ้าทูลลากษัตริย์​คีรีมาศกลับบ้านเมืองตนต่อไป
....
"​ท่านธานินทร์​ ทำไมถึงได้บาดเจ็บเช่นนี้ล่ะ" บริวารหญิงเข้าดูแลทันทีที่พากันมาถึง
"ช่างเถอะ​ พาพระนางไปยังห้องพระบรรทมก่อน" ว่าแล้วพวกนางจึงรีบพาร่างอัญญานีที่ถูกบ่วงรัดไปทันทีเมื่อเสร็จแล้วจึงใส่กุญแจ​ไว้กันไม่ให้คนข้างในออกมาเมื่อยังไม่ถึงเวลา
"จัดการแล้วนะธานินทร์​  ทีนี้เจ้าก็คลายบ่วงได้แล้ว​ พระนางคงเจ็บพระวรกายมาก"
"เราคลายให้แล้วล่ะสันต์สินี​ ไม่เจ็บเท่าไหร่หรอกแค่ความรู้สึกมายาเท่านั้น"
"พวกเราทำแบบนี้จะดีเหรอ​ พรุ่งนี้พระเทวาวิษุวัติจะบำเพ็ญครบสิบปีมนุษย์​แล้ว​ ให้พระนางมาอยู่ที่นี่เลย​ จะไม่เป็นการรบกวนพระองค์​หรอกหรือ"
" ช่างเถอะ​ ไว้พรุ่งนี้​เราจะทูลเอง"
" ก็ได้​ งั้นเราจะช่วยพยุงแล้วกัน"
..
" ทำไมแหวนนี่ใช้งานไม่ได้แล้วล่ะ​"อัญญานีวุ่นกับการใช้ธำมรงค์แก้วศุภรเมื่อนึกขึ้นได้​ อย่่างไรเสียนางก็ไม่อยากอยู่ที่นี่เลยแม้แต่ครู่เดียว​ แต่แหวนเจ้ากรรมไม่ตอบสนองความต้องการเอาเสียเลย
" หรือว่าจิตใจเราไม่นิ่งพอนะ" เธอพึมพำกับตัวเองพลางเดินไปมองด้านนอกที่หน้าต่าง​ ปรากฏว่าด้านล่างเป็นมหาสมุทรเสียรอบๆ​ เข้าทุติยยามมองรอบๆห้องนี้ไม่มีแสงสว่างจางหายเลย​ ดูสว่างเหมือนมีแสงอาทิตย์สาดส่องผิดกับด้านนอก​ เธอมิประสงค์​จะอยู่ที่แห่งนี้อีกต่อไป​ ไม่มีทางเลือกแล้ว​ ในเมื่อแหวนใช้การยังไม่ได้​  คนใจเด็ดตัดสินใจกระโดดจากหน้าต่างลงสู่ห้วงมหาสมุทรทันที​ ขณะเดียวกันเสียงมัจฉาวาฬแหวกว่่ายดังเช่นทุกวันเกิดขึ้นกับอีกฝากอย่างเสียงดัง​ นับเป็นความโชคดีอย่างยิ่ง​ เธอว่ายน้ำข้ามสมุทรมาถึงปลายตติยยามได้เห็นเกาะที่เธอจะได้พักสักครู่จึงว่ายต่อไป​ แต่ทว่าอยู่ดีๆน้ำนั้นกลับหมุนวนเป็นวงกลม​ เธอพยายามที่จะว่ายหนีแต่กระแสน้ำแรงเป็นเกลียวอย่างรวดเร็วจนทำให้อัญญานีเข้าสู่กระแสน้ำวน

"ไม่ว่าพระเทวีจะอยู่ที่แห่งใด​ หม่อมฉันจะคอยอภิบาลพระองค์​เสมอไปเพคะ_เร่งไปช่วยอัญญานีให้พ้นภัย​ ตื่นเสียเถิดอย่ามัวหลับใหล​ จะไม่มีเราอีกต่อไป เร็วเข้า" ภาพปัทมาสน์กล่าวต่อหญิงสาวชาวสวรรค์​ที่มีแทนกันว่าพระเทวีสลับกับเทวีนั้นเข้ามาบอกให้ตนช่วยเหลือสลับไปมาจนตกใจตื่น​
"อะไรกันน่ะ" ทันทีที่ตื่นมาเธอต้องปวดเศียรเวียนเกล้าที่พยามนึกเรื่องราว​ แต่ไม่ทันไรเลยแสงสว่างวาบพาเธอไปยังเกาะที่ใกล้สถานการณ์​น้ำสมุทรวนนั้น​ ผู้หญิงคนนั้นกำลังจะไม่รอดแล้ว​ ขืนมัวแต่สงสัยอยู่ได้สิ้นชีพกันพอดี​ จึงแปลงกายให้ใหญ่ยักษ์​คว้าจับคนขึ้นมาบนเกาะได้​
" เรา... เราขอบใจท่านมาก" อัญญานีที่รอดมาอย่างหวุดหวิดกล่าวอย่างทุลักทุเลแต่ยังฟังได้ศัพท์​อยู่
"ไม่เป็นไรหรอก​ แต่ว่านะ..." ยังไม่ทันจบประโยคเลยมีมารมาผจญเสียแล้ว
"เจ้าบังอาจนัก!! ​ พวกข้าจะเอาสตรีนางนี้มาอยู่ด้วย​ คิดทำการขัดขวางเช่นนี้​ เจ้าจะไม่ได้ตายดี​" มวลน้ำวนเมื่อครู่รวมตัวกันเป็นรูปร่างมนุษย์​ราวกับประติมากรรมใสขนาดใหญ่กล่าวว่ายักษีที่มาขัดขวางตน
"เจ้าดีนักเหรอ​ เป็นภูตดูแลสมุทรแท้ๆกลับทำตัวระรานผลาญเอาชีวิต" เธอพอจะรู้อยู่บ้างเพราะคุ้นเคยแหล่งน้ำต่างมาไม่น้อย
" เป็นสิทธิ์ของเรา​ จงรับโทษทัณฑ์!! "น้ำในมหาสมุรซัดวนแรงปานไหลหลากกระชากตัว​นางได้ก็จริงแต่เพียงเซครู่เดียวจึงมั่นคงตามเดิม
"เจ้าน่ะสิรับโทษทัณฑ์!! "ว่าแล้วหญิงชาติอสุราเข้าโรมรันอีกฝ่าย​ เจ้าภูตเหล่านั้นไม่ยอมจึงนำมือเข้าประสานมืออีกฝ่ายเพื่อฉุดยื้อไว้​ เธอใช้แรงผลักออกไปจนสำเร็จแล้วนั้นจึงชกด้วยหมัดซ้ายตรงพร้อมกับก้าวเท้าซ้ายไปข้างหน้าเพื่อที่ถีบยันรูปร่างเนรมิตนั่น​  ​ เซซังยังไม่ทันไรเธอตามด้วยการดึงอวัยวะแขนศัตรูกลับมาชกหมัดซ้ายไปยังบริเวณใบหน้าของอีกฝ่าย
แต่เจ้าพวกนั้นเล่นไม่ซื่อ​ มวลน้ำที่เหลือในบริเวณนั่นเข้าจับรัดกุมคล้องแขนและขาของนางยักษ์​ราวกับโซ่ตรวน
"ไม่นะ" อัญญานีที่ดูเหตุการณ์​โดยที่ร่างกายยังไม่สู้ดีรู้สึกเป็นห่วงผู้ช่วยชีวิตเหลือเกิน
"เราให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้งเดียวจะยอมหยุดดีๆไหม" ร่างยักษ์​ใหญ่กล่าวทั้งๆที่ตนอยู่ในพันธนาการ
"เจ้านะสิที่ต้องหยุดฮ่าๆ" เหล่าภูตพวกนี้เยาะเย้ยจนอีกฝ่ายมิยอมทนแล้ว
"กงจักรพิราลัย​สูญ!! " ปัทมาสน์เรียกอาวุธจากพลังในสังวาลย์เพทายขึ้นมาเข้าตัดกระแสน้ำที่รัดกุมเธอไว้อย่างมิน่าเชื่อแต่ได้เกิดขึ้นแล้ว  เมื่อหลุดพ้นนางจึงชี้นิ้วสั่งการจักรของตนให้เข้าทำลายเหล่าภูตที่รวมอยู่กับมวลน้ำที่เป็นรูปตัวคนเสียทันทีมิฟังเสียงร้องขอแต่อย่างใด​ เสร็จแล้วนางจึงคลายกายตนให้มีขนาดปกติดังเดิม
"ท่านไม่เป็นอะไร" คนที่เกือบสิ้นเพราะน้ำวนดีใจที่ยักษ์​ตนนี้รอดมาได้
"ใช่... เจ้าคืออัญญานีใช่ไหม" หมดเรื่องต้องถามสักหน่อย
"ใช่​ ว่าแต่ท่านรู้ได้ยังไง​ เราไม่เคยพบท่านมาก่อน" พูดถึงเรื่องนี้ก็แปลกใจจริงทั้งชีวิตไม่เคยเจอ
"พระเทวีอะไรไม่รู้​บอกให้เราช่วย​ เจ้ารู้จักกับพวกเทพเทพีรึป่าว"
"ไม่​ เราไม่รู้จัก" เธอตอบไปพลันตัวก็รู้สึกหนาวสั่นขึ้นมา  คงเป็นเพราะช่วงเกิดมหาสมุทรวนนั้นเจ้าภูตพวกนั้นเพิ่มความหนาวเย็นให้นางขาดใจเร็วขึ้น
" ช่างเถอะ​... ตอนเรามาแสงสว่างวาบนั่นพามา​ ตอนกลับไม่มีแสงนั่นจะกลับถูกยังไงนะ​ อยู่ตรงไหนก็ไม่รู้"เธอเห็นออาการหนาวสั่นอีกคนจึงปัดเป่าน้ำที่ยังเปียกผ้าสวมให้แห้ง​แต่ว่าอีกคนหนาวจนถึงภายในแล้วนี่สิ​ ตอนนี้เป็นเวลาปัจฉิมยามแล้ว​ ถ้าไม่รีบกลับอีกคนคงได้ลำบากกว่านี้แน่




หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ พฤษภาคม 02, 2020, 12:03:50 PM
"จิตของท่าน..น่าจะ..มั่นคง​ ใช้แหวนนี้​พา.. กลับไป"​ อัญญานียื่นแหวนให้
"ธำมรงค์แก้วศุภร นี่มันอะ..." ไม่ทันไรผู้ให้แหวนนั้นก็สลบลง
"ไม่ใช่เวลาถามแล้ว​.. ธำมรงค์​แก้วศุภร​ หากเจ้าของยังมีวาสนาพอที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ​ ช่วยนำพวกเราไปยังเมืองคีรีมาศของเราด้วย" ปัทมาสน์อธิษฐานจิตในใจแล้วแสงสว่างวาบเพียงครู่ทั้งคู่ได้กลับมาในห้องบรรทมของพระบุตรแห่งคีรีมาศแล้ว​ เธอรีบวางร่างของอัญญานีลงที่แท่นบรรทมแล้วหายาสมุนไพรสำหรับรักษาที่จันทลักษณ์​เก็บรักษาไว้นำมาป้อนให้​ อาการจึงทุเลาลง
" เกือบตายแล้วไหมล่ะ​" สมุนไพรเหล่านี้รักษาได้ชั่วคราว​อาการจะย้อนกลับมาอีก​ ถ้าได้สมุนไพรเป็นยาดีจากป่าหิมพานต์​ก็เห็นจะช่วยได้  คงต้องพึ่งเพชรราหูที่หายตัวได้ดั่งใจมาช่วยในวันถัดไปเสีย​ ตอนนี้จึงได้เฝ้าอาการไปพลางๆก่อน
.....
วันต่อมาที่ฟ้ากำลังสาดแสง​  ขณะที่คณะเดินทางร่วมเกราะกายสิทธิ์​ได้เร่งเดินทางอยู่นั้นมีสิ่งผิดปกติตามมายังด้านหลังแต่เมื่อหันกลับไปกลับมองไม่เห็น​ พอหันกลับมาทางเดินก็เจอกับตัวประหลาดปรากฏ​ตัวออกมาจากการดำดิน
"สุดหล่อมาได้ยังไงกัน!! " พุทธรัตน์​ผู้สวมเกราะวันพุธถามขึ้นมาหลังจากที่เจ้าตุ้บเท่งมาจากใต้พื้นดินได้ไม่นาน
"ดำดินมาน่ะสิพระเจ้าค่ะ.. พระธิดาพุทธ​รัตน์​หรือนี่​ สวยขึ้นเยอะเลยนะ​ เกราะก็สวยขึ้นด้วย" เขาพอจะเดาบุคคลได้ไม่ยากจากการแต่งกายและสีของเกราะวิเศษที่เขารักหวงหนักหนา
"ใครมาอีกล่ะนั่น​ จากน้ำเสียงพูดประจบประแจงเก่งจริง" ตาหวานที่อยู่ในย่ามกล่าวเมื่อได้ยินประโยคที่ดูไม่จริงใจเอาเสียเลย
" ใคร​ ใครพูดจาว่าร้ายข้า " เขามองหาต้นเสียงก็ไม่พบ
" ไม่ได้ว่าร้ายนะ​ แต่มันรู้สึกจริงๆ" เจ้าผีในย่ามสั่นตอบอีกฝ่ายจึงรู้ว่ามีสิ่งที่พูดได้อยู่ในนั้น
" อะไรในนั้นเหรอพระธิดา" ตุ้บเท่งถามพลางใช้สายตามองไปยังสิ่งที่ขยับเมื่อครู่
"อ๋อนี่พี่ตาหวานน่ะ" ว่าแล้วเธอจึงส่งให้ดู
" สุดหล่อช่วยถือให้นะพระเจ้าค่ะ" เธอตามใจให้ช่วยแต่ไม่รู้เลยว่าเจ้าตัวประหลาดนี่คิดจะทำอะไร
"อ้อ.. นี่คือบัวแย้มนะ​เป็นสหายเราเอง​ ส่วนนี่คือสุดหล่อนะเขาเป็นผู้คุ้มครองน่ะ" เธอแนะนำให้ทั้งสองนั้นรู้จักกัน​
"เอ.. ไม่เห็นเจ้าหิ่งห้อยยักษ์​เลยนะพระเจ้าค่ะ​ หรือจะจะ.. จะตายไปแล้ว!! "ถึงจะพูดแบบตกใจก็เถอะแต่ตัวน่ะดีใจออกจะตายที่จะไม่มีใครขัดคอ​ แต่กับตาหวานก็ไม่แน่​
" พี่หิ่งห้อยได้รับบาดเจ็บน่ะ.. "และเ
พุทธ​รัตน์​ได้เล่าเหตุการณ์​ที่รู้มาให้เจ้าตัวประหลาดฟัง​ เรื่องก็เป็นเช่นนี้แล
เมื่อเดินทางสักพักได้ผ่านมายังสระบัวจึงหยุดพักผ่อนเสียก่อน
" พวกเราพักตรงนี้กันก่อนดีกว่า" ว่าแล้วทั้งหมดจึงพากันหุงหาอาหาร​ เจ้าตุ้บเท่งได้ทีก็โยนย่ามลงสระไปแกล้งว่าทำตกเสียอย่างนั้น
" อ้าวๆ​ ข้าขอโทษนะตาหวาน​ ไม่ได้ตั้งใจ๊ไม่ได้ตั้งใจ" เขาทำทีเป็นขอโทษแต่ก็นั่นล่ะดูจะพอใจผลงานมิน้อยเลย
"เหวยๆ​ เล่นทำข้าตกมาอย่างนี้ก็ถูกแดดส่องเกลี้ยงสิ​เอ็งนี่" เขาผุดมาใต้ใบบัวนั้นแล้วพบว่ามันสามารถกับร่างโครงกระดูกได้จึงเก็บใช้ใบบัวทำเป็นร่มเงากำบัง
เมื่อเมื่อรวบรวมปรุงอาหารเสร็จแล้วจึงได้รับประทาน
ไม่นานนักอาการเจ้าหิ่งห้อยเริ่มไม่ดีเกิดการไอเป็นโลหิตขึ้นมา
" อย่างนี้ไม่ดีแน่เลยเพคะพระธิดา​ จะทำอย่างไรดีเพคะ"บังแย้มกล่าวเมื่อเห็นอาการมิสู้ดีของแมลงตัวนี้
"จริงสิ​ เรามัวแต่เดินทาง​จนลืมไปว่าอาการน่ะแค่ทุเลาแต่ไม่หายขาดดี.. พี่หิ่งห้อยพอทนไหวไหมจ๊ะ" เธอถามด้วยความเป็นห่วง​
"หม่อมฉัน​ไม่เป็นอะไรมากหรอกพระเจ้าค่ะ​ เท่านี้พอทนได้"แมลงน้อยน่าสงสารตอบไปให้สบายใจแต่อาการก็ดูแย่นัก
"เอาอย่างนี้นะ​ เดี๋ยวน้องจะไปนำสมุนไพรจากป่าหิมพานต์​มาช่วยรักษาพี่หิ่งห้อยนะจ๊ะ"
" ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะพระธิดา"
" พวกท่าน​ เราต้องรบกวนแล้ว  รออยู่ที่นี่กับพี่หิ่งห้อยนะ​ ระวังภัยด้วย"
" อ้าวแล้วพระธิดาจะเสด็จอย่างไรรึพระเจ้าค่ะ" ผีโครงกระดูกถือใบบัวถาม
"ไปในแบบของน้องนี่ล่ะ​ ไม่นานเกินรอหรอกจะ​ เราไปนะ​ บัวก็ระวังตัวดีๆ"
" เพคะพระธิดา"  เมื่อจบการสนทนาพุทธรัตน์​จึงกลั้นใจนึกถึงป่าหิมพานต์​แล้วถอยหลังสามก้าวหายไปต่อหน้าทุกคนราวกับหายตัวได้อย่างนั้น
........
" พระโอรสวันพุธ​เจ้าขา" จั๊กแหล่นมาเยี่ยมเยือนที่ตำหนักตั้งแต่รู้สึกได้ว่าเปลี่ยนวันแล้ว แต่แล้วต้องตกใจที่เห็นพระโอรสรูปงามกำลังดูแลสตรีแปลกหน้าที่นอนอยู่บนพระแท่นบรรทมจึงเกือบที่ได้โวยวายแล้วถ้าไม่มีพระหัตถ์​ของพระโอรสมาปิดปากไว้เสียก่อน
"จั๊กกะแหล่น​ชอบเราไหม"อยู่ดีๆถูกถามอย่างนี้ตนจึงผงะบ้างแต่ก็พยักหน้ารับ
"ดีเลย​ ถ้าชอบเราจริงห้ามโวยวายนะ​ ไม่ว่าเราจะบอกอะไรต้องเชื่อและทำตามที่เราบอก" เขาจงใจใช้วิธีพูดดีมาให้เรื่องไม่บานปลาย​ เมื่อเธอตกลงจึงได้ปล่อย
"หูย พระโอรสรู้จักจั๊กด้วยเหรอเพคะ​ จั๊กยังไม่รู้จักชื่อพระโอรสเลยนะเพคะ" เธอเขินตัวบิดหมดแล้ว​ รีบบอกดีกว่าจะได้ตัดปัญหาให้หมดไป
" เราเพชรราหู.. ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สตรีนางนี้​ นางชื่ออัญญานี​ นางได้รับการช่วยเหลือจากปัทมาสน์แต่อาการไม่ดีขึ้นเลย​ จั๊กแหล่นมาได้เพลาพอดี​ เราจะขอให้ดูแลนางระหว่างเราไปนำสมุนไพรจากป่าหิมพานต์​ อย่าเพิ่งให้ใครเข้ามาในตำหนักของเรา​"
"จั๊กก็.. ก็เต็มใจอยู่นะเจ้าคะ​.. แต่ว่าจะไปยังไงล่ะ​ ป่ามันไม่ใช่ใกล้ๆนี่"ถึงจะบอกอย่างนั้นแต่ตัวเองอยากอยู่กับบุรุษ​เนื้อคู่ฟ้าประทานมากกว่าอีก
" ไม่ยากหรอก​ ดูแลนางกับตัวเองดีๆนะจั๊กแหล่น​ เราไปล่ะ"ว่าแล้วตนจึงหายตัวไปยังป่าหิมพานต์​ทันที

เมื่อมาถึงแล้วเพชรราหูจึงเข้าเก็บเทียนสัตตบุษย์ทันที​ พอดีกับที่พุทธรัตน์​มาถึงได้ตักน้ำในสระน้ำอโนดาตไปใช้ในการต้มและสมานแผล​ด้วย​ เมื่อตักน้ำเสร็จตนจึงเข้าเก็บสังกรณีที่อยู่ริมสร​ะ​ แต่ทว่าดึงเท่าใดก็ยังมิออกเสียทีจึงออกแรงขั้นสุดจึงพลาดหงายไปเกือบถึงผืนน้สระนั้น​ ถ้าไม่มีคนที่หมายตักน้ำในสระมาช่วยดึงขึ้นมาจนเผลอสบตาเข้าอย่างจัง​ ฝ่ายชายเผลอยิ้มเอ็นดูอย่างลืมตัว​ ฝ่ายหญิงเธอรู้สึกประทับใจที่ช่วยอยู่แต่ถ้านานกว่านี้คงไม่ดีแน่จึงผละออกจากกัน
"เราขอบใจท่านมาก" พุทธรัตน์​กล่าวต่อคนที่ช่วยเหลือ
"ไม่เป็นไร​ เราเต็มใจช่วย" เพชรราหูตอบรับแต่ใบหน้าระเรื่อสีแดงขึ้นมาเล็กน้อย​ เมื่อพิศดูอีกฝ่ายซึ่งกันดีๆแล้วจึงจำสิ่งวิเศษที่อีกฝ่ายสวมใส่ได้
"เกราะกายสิทธิ์"
"สังวาลย์​มณี"
"หรือว่าท่านคือ..!!" ทั้งสองพูดพร้อมกันแล้วจึงหยุดให้อีกฝ่ายกล่าวก่อน
"ท่านคือเพชรราหูนี่เอง"เธอจำสหายที่ร่วมเดินทางกับเธอครั้งสุดท้ายได้แล้ว
"ท่านก็คือพุทธรัตน์​.. ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอท่านที่นี่"
"นั่นสิ​ ท่านสบายดีหรือ"
"เราสบายดี​ แล้วท่านล่ะ"
" เราก็สบายเช่นกัน​ แต่ตอนนี้ลำบากใจ​ เราต้องรีบไปช่วยพี่หิ่งห้อยของเราที่บาดเจ็บ"เธอเริ่มพูดเมื่อนึกได้​ จะมัวแต่ดีใจเรื่องพบสหายเก่าก็กระไรอยู่
"พี่หิ่งห้อยบาดเจ็บเหรอ​ เราขอให้หายไวๆ​ ทางเราก็มีคนเจ็บไข้เหมือนกัน"เขาได้ฟังดังนั้นจึงพลันนึกถึงคนที่นอนสลบอยู่ในห้องตน
" เช่นนั้นแล้วจะต้องขอลาก่อน​ ไว้มีโอกาสพวกเราน่าจะได้เจอกันอีกนะ" พุทธรัตน์ยิ้มให้อีกคน
"ถ้ามีวาสนาจะได้เจอกันอีก​แน่​ ลาก่อน" เพชรราหูยิ้มตอบอีกฝ่าย​ แล้วทั้งสองจึงแยกย้ายไปยังที่ของตน
.......
ที่หอชิดดารา​ องค์เทพวิษุวัตที่ได้บำเพ็ญตนครบสิบปีตามพระบัญชาของพระอินทร์​ จึงได้ออกจากที่พำนักมายังด้านนอกแล้ว​ปัจจาจึงขอเข้าเฝ้าทันที
"ปัจจา​ เมื่อปลายตติยยามที่ผ่านมาเรารับรู้ถึงการมีอยู่ของพระเชษฐ​ภคินี​ เจ้าได้พบพระเทวีหรือไม่" พระเทวาถามบริวารที่มาเฝ้า
"ขอพระราชทานอภัยพระเจ้าค่ะ​ หม่อมฉันเดินทางไปตามหาแล้วแต่มิพบเลยพระเจ้าค่ะ" เขาทูลไปก็กลัวจะโดนอาญา
"ช่างเถอะ​ นี่เป็นเวลานานเกือบยี่สิบปีมนุษย์​แล้วที่เจ้าเฝ้าตามหาพระเทวี​ การที่เรารับรู้ได้ถึงการมีอยู่นับว่าเป็นสัญญาณอันดี​ เราจะเปลี่ยนให้ผู้อื่นไปแทน​ แล้วเจ้ามาช่วยงานเราดีกว่า"
" เป็นพระมหากรุณาธิคุณ​พระเจ้าค่ะ.... ก่อนหน้านี้หม่อมฉันได้ไปพบธานินทร์​กับธารามาพระเจ้าค่ะ​ แต่ว่าพบแต่ธานินทร์​ได้รับบาดเจ็บอยู่แต่เพียงผู้เดียวพระเจ้าค่ะ"  เมื่อได้ยินดังนั้นด้วยความเป็นห่วงจึงเดินทางไปยังที่พักของบริวารทันที
" ธานินทร์​เกิดอะไรขึ้น" องค์​เทพถามขึ้นหลังจากที่เดินทางมาถึง
" ถวายบังคมพระเจ้าค่ะ​ คือว่าหม่อมฉัน.... "และผู้ที่ถูกถามได้เล่าเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด
" เราจะช่วยรักษาให้เจ้าเอง"ว่าแล้วพระเทวาจึงใช้มนตราสร้างขาด้านซ้ายของธานินทร์​กลับมาปกติดังเดิม
"ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ"
" ถือว่าเป็นการตอบแทนที่เจ้าช่วยพาอินทรานีกลับมา​ เราว่าได้เพลาสมควรที่จะไปพบกับบดิศร​ ปัจจาไปกับเรา​ ธานินทร์​ดูแลพระแม่เจ้าดีๆแล้วเราจะกลับมา"
" พระเจ้าค่ะ"ทั้งสองรับคำแล้วจึงต่างทำหน้าที่ของตน
......
หลังจากที่กลับมาได้แล้วนั้น​ พุทธรัตน์ก็เข้าใช้สมุนไพรรักษา​เจ้าหิ่งห้อยจนอาการดีขึ้น​ เมื่ออาการดีขึ้นมากแล้วร่างกายได้กลับมาใหญ่ดังเดิม​ สร้างความปิติอย่างยิ่ง​ แล้วทั้งหมดจึงเดินทางกันต่อไป
" พี่หิ่งห้อยรู้ไหมจ๊ะ​ว่่าตอนที่น้องไปป่าหิมพานต์​ได้พบกับใคร" เธอพูดขึ้นมาแล้วยิ้มอย่างพอใจ
"ใครหรือพระเจ้าค่ะ​พระธิดา"
"เพชรราหูแห่งสังวาลย์มณีจะ"
"พระโอรส!!" บัวแย้มที่ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามจึงร้องเรียกออกมาอย่างอดเสียไม่ได้
"มีอะไรเหรอบัว​ บัวรู้จักเขาด้วยเหรอ" อีกคนสงสัยจึงถามไป
" รู้จักเพคะ​ ก่อนหน้านี้ที่บัวจะไปอยู่ศาศวัตบุรี​ บัวอาศัยอยู่ในป่ากับยายเพคะ​ ตอนนั้นมีวาสนาได้พบกับพระธิดาแสงสุรีย์​  และพระโอรสพระธิดาให้ความเมตตาบัวกับยายมาตลอดเพคะ"
"อ๋ออย่างนี้นี่เองน่ะ​ รู้อย่างนี้ก่อนล่ะก็​ เราจะบอกเขาให้รู้เลย​ ไว้พวกเราเดินทางถึงเมืองทิศพลแล้วพักผ่แนให้ดี  พวกเราจะพาไปหานะบัว" เธอจับมืออีกคนยิ้มให้กันและกันแล้วจึงเดินทางต่อไป
...
เมื่อเพชรราหูกลับมาใช้สมุนไพรรักษาแล้วนั้น​ อัญญานีได้ฟื้นตื่นขึ้นมา
"ท่านแล้วนาง..นางไปไหนล่ะ"เธอถามถึงผู้ที่ช่วยชีวิตไว้เมื่อไม่พบ
"นางพักแล้วล่ะ​ วันนี้เป็นวันของเราเอง" เขาตอบคำถาม
"ก็พระโอรสน่ะสลับสับเปลี่ยนกับพระธิดาไปในแต่ล่ะวันตามสังวาลย์​มณีไงจ๊ะ" จั๊กแหล่นช่วยเสริม
"เราขอบใจท่านมากนะ... ท่านเป็นสหายของพวกเกราะกายสิทธิ์​หรือป่าว"
" จะเรียกว่าสหายก็จะดูไม่สนิทถึงขนาดนั้นนะ​ ท่านรู้จักได้อย่างไร​ แล้วเรื่องเป็นยังไงกันแน่" เขาตอบแล้วถามอย่างสงสัย
" เราเป็นเพื่อนกับจันทราภา.... "เธอจึงเริ่มเล่าเรื่องให้ฟัง
"เช่นนั้นแล้วถ้าอาการท่านหายเป็นปกติ​ เราจะพาท่านไปพบกับพวกเขาที่เมืองทิศพลนะ  นี่ธำมรงค์แก้วศุภร"
ว่าแล้วจึงยื่นแหวนให้
" เราขอบใจท่านอีกครั้ง"
" เราเต็มใจ​ ได้เพลาเข้าเฝ้าเสด็จพ่อแล้ว​ เราขอตัวก่อนนะ"ว่าแล้วจึงจากไปยังท้องพระโรง
"อ้าวอัคนินไปไหนเสียล่ะ" เขาถามกับมหาดเล็กคู่ใจที่รอเข้าเฝ้าแทน
" พระโอรสอัคนินประชวรพระเจ้าค่ะ​"
" แปลกจริง​ เราไม่เคยเห็นอัคนินป่วยเลย.." เขาได้แต่สงสัยแล้วเจ้าเมืองเสด็จยังท้องพระโรงจึงทำการเข้าเฝ้าต่อไป
.....
" ถวายบังคมพระเจ้าค่ะ" ทั้งบดิศรและอัคนินที่แอบติดตามมาได้เข้าเฝ้าพระเทวาวิษุวัต
"ตามสบายเถอะบดิศร.. คนผู้คือ.." พระองค์​มองหน้าคนที่ไม่ได้อยู่ในความดูแลของตนมาก่อน
" หม่อมฉันอัคนินพระเจ้าค่ะ"
"เขาจะมาช่วยหม่อมฉันกำจัดอริของพระองค์​พระเจ้าค่ะ​ เขาเป็นผู้ร่วมวงศากับผู้ครองสังวาลย์​มณีพระเจ้าค่ะ"
"เช่นนั้นก็ดี​ เอาล่ะเราจะมอบหมายให้พวกเจ้าทำลายเกราะกายสิทธิ์​และสังวาลย์​มณีเสีย​ ไม่ต้องกังวลไป​ เรามีเกราะเหล็กและสังวาลย์​ศิลาที่สามารถต่อกรกับของพวกนั้นได้​ ถ้าหากทำลายได้ไม่ว่าสิ่งใดที่พวกเจ้าปรารถนาเราจะให้ทุกอย่าง" ว่าแล้วปัจจาจึงนำสิ่งวิเศษใหม่ยกให้ทั้งสอง
" ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ"เมื่อรับแล้วเทวดาทั้งสองจึงหายตัวไป​ ทั้งสองจึงทำข้อตกลงในการทำลายศัตรูตนต่อไป















หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ พฤษภาคม 09, 2020, 06:33:13 PM
 ในปฐมยามที่สองวันนั้นเองที่เมืองทิศพล​ เหล่าคณะเดินทางได้มาถึงเป็นที่เรียบร้อย​ เจ้าเมืองจึงได้ต้อนรับพระนัดดาและพระสหายยังท้องพระโรง​ เหล่าข้าราชบริพารที่ได้พบกับพระสหายที่ไม่ใช่มนุษย์​ที่คุ้นเคยอย่างเจ้าตุ้บเท่งกับหิ่งห้อยยักษ์​นั้นพอจะทำใจให้ชินได้บ้าง​ แต่เจ้าผีโครงกระดูกที่มีแต่ศีรษะ​กับแขนนี่สิน่าขนลุกขนพองเพลาที่อยู่ในท้องพระโรงนัก
"ถวายบังคม​เพคะ/พระเจ้าค่ะ" เหล่าคณะเดินทางได้เข้าถวายบังคมกษัตริย์​นวดลและมเหสีอัมรินทร์
"ขอให้จำเริญๆ​เถิด​  หลานตาโตขึ้นมากเลยนะ​ ​พวกหลานสำเร็จวิชาจากฤๅษี​อนุชิตแล้วหรือ​ ถึงได้มาเยือนเมืองของตาได้น่ะ" ท้าวเธอถามขึ้นมาเพราะสาเหตุที่ไม่พบกันเพราะติดร่ำเรียนวิชานานมาสิบปี​ไม่มีทางที่ดาบสจะให้กลับมาได้แน่ถ้ามิจบการศึกษาวิชา​ นี่ถ้าไม่มีเกราะกายสิทธิ์​อยู่กับตัวคงจะจำหลานมิได้
"สำเร็จวิชาแล้วเพคะเสด็จตา​ พวกหลานจึงเดินทางมาเข้าเฝ้าเพคะ​ ระหว่างทางพวกหม่อมฉันได้พบกับพวกเขา... "เธอตอบพลางผายมือไปทางผู้แปลกหน้าทั้งสองแล้วเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พระอัยกาฟัง​ เมื่อฟังได้ความดังนั้นแล้วจึงคิดต่อว่าตนเองที่เป็นเหตุที่ทำให้อัญญานีต้องไปอยู่กับแม่มดใจร้ายที่แปลงกายมาหลอกล่อ
" อย่าทรงเป็นกังวลเลยนะเพคะ​ ไม่เช่นนั้นพระวรกายไม่แข็งแรงอีกจะประชวรได้" พระมเหสีตรัสให้นึกขึ้นได้
"เสด็จตาเพคะ​ ตลอดสิบปีมานี้เสด็จตาประชวรหนักหรืือเพคะ" พระธิดาวันพุธ​ถามอย่างเป็นห่วง
"ก็ธรรมดาของคนมีอายุนั่นล่ะหลานอย่าไปสนใจเลย​ เสด็จยายเจ้าก็เหมือนกันน่ะห่วงมากเกินไป​ ไม่ห่วงตัวเองบ้างเลย" ท้าวเธอปฏิเสธแต่กลับบอกว่าพระชายาเสียอีก
" โธ่​ หม่อมฉันมิได้เป็นอะไรนี่เพคะ​ อย่าตรัสให้หลานห่วงพวกเราเลยจะดีกว่านะเพคะ"พระนางมิต้องการให้หลานห่วงไปกว่านี้แล้ว​ ยิ่งพูดยิ่งไม่ใช่เรื่องดี
" ถึงจะว่าอย่างนั้น​ อย่างไรเสียหลานก็อดห่วงไม่ได้เพคะ" คนห่วงไปแล้วจะเลิกห่วงก็กระไรอยู่
"ช่างเถอะน่า​ ตอนนี้เดินทางกันมาเหนื่อยๆพักผ่อนกันก่อนดีกว่านะ​ ไว้พรุ่งนี้​มาช่วยกันคิดหาทางช่วยเหลืออัญญานีกันต่อ" ท้าวเธอว่าแล้วจึงพากันแยกย้ายไปตำหนักต่างๆเพื่อพักผ่อน
" บัวทำไมสีหน้าไม่ดีเลยล่ะ" พุทธรัตน์​ที่เข้ามาดูความเรียบร้อยให้เห็นความเศร้าหมองในตัวอีกคน
" บัว..บัวคิดถึงพระธิดาอัญญานีเพคะ​ จริงอยู่ที่จะกลับไปอยู่สุขสบายกาย​แต่เท่าที่หม่อมฉันทราบ​ พระธิดาไม่สบายใจแน่เพคะ" ความกังวลใจชัดขึ้นหลังจากที่ตอบคำถามอีกฝ่าย
"เราเข้าใจนะบัว​ การพลัดพรากน่ะไม่ดีหรอก​ เพียงแต่เราต้องตั้งสติไว้ก่อน​ ทำใจให้สบาย​ ค่อยๆคิดค่อยๆแก้ปัญหา​ บางทีพรุ่งนี้ภูมินทร์​อาจจะช่วยได้มากขึ้นก็ได้" เธอพูดหวังให้ใจอีกฝ่ายสงบบ้าง
" เพคะ​ บัวจะตั้งสติแล้วทำใจให้สบายเพคะ" เธอยิ้มให้อีกคนไม่ใช่เพราะหายกังวลแล้วหากแต่ไม่อยากรบกวนใจอีกฝ่ายไปมากกว่านี้
....
"​ท่านอยู่พักในตำหนักนี้ก่อนนะ​ ไว้พรุ่งนี้พวกเราจะเดินทาง​ ส่วนเราจะไปพักที่อาศรมพระอาจารย์​"เพชรราหูกล่าวบอกหญิงในการช่วยเหลือเมื่อเห็นว่าอาการดีมากแล้ว
" เรารบกวนท่านมากไปหรือป่าว​ ที่ทำให้ท่านต้องไปพักที่อื่น" อัญญานีกล่าว
"ไม่หรอก​เราเต็มใจ​ อีกอย่างที่นี่นอกเหนือจากพวกเรา​มีเสด็จพ่อเท่านั้นที่รู้ว่ามีท่านอยู่​ ถ้าจัดตำหนักรับรองให้​ เรื่องต้องถึงหูอัคนิน"
" อัคนินเกี่ยวอะไรหรือ​ ทำไมถึงได้ต้องปิดบัง"
" เขาเป็นคนของเทพวิษุวัต​ไปแน่แล้ว​ อีกอย่างข้ารับใช้ในวังเป็นหูตาให้อัคนินที่เราไม่รู้อีกตะหาก​ ท่านพักผ่อนเสียดีกว่าพรุ่งนี้จะได้เร่งเดินทาง" กล่าวจบแล้วจึงเข้าสู่ป่าจินตภพทันที
......
" ลูกได้ของดีมาในเพลาเหมาะเช่นนี้​ นับว่าโอกาสของพวกเรามาถึงแล้ว" ผกากรองได้ฟังคำเล่าของบุตรชายหลังจากกลับมาก็กล่าวอย่างยินดียิ่ง
" หมายความว่ายังไงกันท่านแม่"ลูกสงสัยในพาทีของแม่
" วันที่พวกเรารอคอยมาถึงแล้ว​ คืนนี้พระจิตขององค์​เหนือหัวไม่มั่นคงเหมาะแก่การทำการใหญ่"
" การใหญ่อะไรกันท่านแม่"
" แม่จะทำพิธีควบคุมและยึดพระวรกายของพระองค์​มาเป็นของแม่​ แต่แม่ต้องสละสังขารชีพ​ แม่จึงต้องเตือนเจ้าไว้ให้เตรียมใจ"
" แต่อย่างนี้มันอันตรายมากนะท่านแม่​ ถ้าทำไม่สำเร็จท่านก็จะต้อง.. ต้องตาย"
" อย่ากลัวเลย​ อุตส่าห์​รอคอยมานานขนาดนี้มีหรือว่าแม่จะไม่ระวังตัว"  ว่าแล้วเธอจึงเริ่มทำพิธีทันที
......
วันถัดมาดูท่าฝนฟ้าคะนองเสียเหลือเกิน​ แต่ถึงกระนั้นถ้าคิดจะทำการอันใดไว้ก็ต้องทำให้ได้
" แม่ขอให้ลูกโชคดีบดิศร"วิมาลามารดากล่าวอวยพรลูกยาเมื่อเขากำลังจะเดินทางไปกำจัดศัตรู​
" แล้วท่าน.. เสด็จตาอยู่ที่ใดกันพระเจ้าค่ะ​ ลูกมิเห็นเลย" เขาถามหาผู้ที่เป็นเจ้าเมืองนี้ที่ไม่พบหน้าเลยตั้งแต่กลับมา​ ด้วยเพราะต้องเตรียมตัวรับพระบัญชาจึงไม่ได้ถามตั้งแต่แรก
"ตาของลูกน่ะไปเมืองรัตนบุรี​เพื่อทำทีเจริญสัมพันธไมตรี​ จากนั้นแล้วเราจะได้แก้แค้นกัน" เธอพูดพลางยิ้มอย่างมีหวัง
"แต่ว่าทำไมต้องไปหาเสด็จพ่อด้วยพระเจ้าค่ะในเมื่อพวกนั้นก็อยู่ที่เมืองทิศพล" เขาสงสัยนัก​
"ลูกเคยบอกแม่แล้วนี่ว่าเมืองเมืองนี้สักวันนึงมันก็ต้องสลายหายไปไม่ได้ยืนยงเหมือนชื่อของมัน​ ดังนั้นแล้วขณะที่ลูกจัดการกับฝั่งนั้นแล้ว​ เสด็จตาจะจัดการกับที่เหลือจะได้ทำการเสร็จได้ไวๆ"เธอกล่าวอย่างมุ่งมั่น
" แล้วเสด็จพ่อจะเป็นอันตรายหรือไม่พระเจ้าค่ะ" ถึงจะจากกันเช่นนั้นแต่เขาก็ยังห่วงบิดาอยู่ดี
" ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตหรอกนะลูก​ เพียงแต่เสด็จพ่อของลูกจะต้องช่วยเรามันก็เท่านั้นเอง"เธอพูดพลางส่งยิ้มให้ลูกนั้นคลายกังวล
" แล้วเสด็จ​พ่อจะยอมช่วยพวกเราหรือพระเจ้าค่ะ"
" ช่วยแน่นอน​ แม่เชื่อในเสด็จตาของลูก  แม่ว่าพวกเราอย่าเสียเพลาอีกเลยดีกว่า​ เร่งทำการให้เสร็จ​สิ้น​พวกเราจะได้อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขเสียที"  เมื่อนางกล่าวเช่นนั้นแล้วบดิศรจึงลานางมุ่งสู่เมืองทิศพลทันที
...
"ท่านกลับมาแล้วหรือ.. .."อัญญานีถามขึ้นหลังจากการกลับมาของคนที่พอจะเรียกว่าสหายพร้อมส่งสายตาเชิงอยากเรียกแต่ไม่รู้นาม
" เรากลับมาแล้วล่ะอัญญานี​ เราชื่อจินดา"เธอตอบอีกคนพร้อมยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
" อาการของเราดีขึ้นมากแล้วล่ะ​ เราจะขอลาไปตามหาคนของเราเองจะดีกว่า​ " เธอไม่อยากรบกวนอีกจึงได้บอกไป
"ไม่ต้องหรอก​เราจะไปด้วย​ ถือเสียว่าเราจะได้ไปพบสหายของเราด้วยกัน​ อย่าคิดว่าเป็นการรบกวนเลย"เธอกล่าวให้ฟังเพราะไม่อยากให้อีกคนลำบากใจและตามที่พูดก็เป็นความจริงที่จะไปพบสหายด้วย
" ใคร!! "เสียงเคาะประตูห้องบรรทมดังขึ้นมาทำให้พระธิดาวันพฤหัสบ​ดีเกิดคำถามขึ้นเพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่ามีคนอีกคนในนี้​ จะได้ออกไปด้านนอกแทน
" จั๊กเองเจ้าค่ะ​ จั๊กเอง​ เกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ"  ว่าแล้วจึงเปิดประตูที่ไม่ได้ลั่นดานแล้วเข้าไป
"มีอะไรหรือที่ว่าเกิดเรื่อง​ จั๊กแหล่น" อัญญานีถามด้วยความสงสัย
" วันนี้มีข่าวว่าพระสนมผกากรองสิ้นพระชนม์​แล้วเพคะ​  อีกประเดี๋ยวก็จะเรียกเข้าท้องพระโรงตามเวลาแล้ว​ "
" เช่นนั้นจะช้ามิได้แล้ว​ เห็นทีเราจะต้องรีบไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ​  เราไปก่อนนะ" จินดาได้ยินดังนั้นจึงไม่อยู่เฉยเร่งไปยังท้องพระโรงทันทีเพราะใกล้ถึงเพลาเต็มที
เมื่อมาถึงจึงได้พบว่าเรื่องที่ได้ยินมานั้นจริงสุดจะบรรยาย​ ภาพตรงหน้าน้ำตานองอัคนินเสียเหลือเกิน
" นางสิ้นโดยไม่ใช่วิถีธรรมชาติ​ นี่ต้องเป็นการสังหารจากบาดแผลที่เกิดจากการแทง​ อัคนินเจ้าอย่าเสียใจให้มา เราขอถามว่าเมื่อคืนนี้เจ้าได้ไปที่ตำหนักพระสนมหรือไม่" ท้าวธริษตรีเธอถามเพื่อสาวความหาข้อเท็จจริง
"ไม่ได้ไปพระเจ้าค่ะ​ เมื่อคืนนี้หม่อมฉันเป็นไข้จึงอยู่แต่ในตำหนักตนเองตลอดทั้งวันทั้งคืน" เขาตอบเสียงปนสะอื้นไห้แต่หามีความจริงไม่
" ถ้าเป็นเช่นนั้น​ มารดาเจ้ามิได้ไปเยี่ยมเยือนเจ้าบ้างเลยหรือ"
" ไม่ได้มาพระเจ้าค่ะ​ แต่ส่งนางกำนัลมาดูอาการแทนเพราะเสด็จแม่ประชวรด้วยเช่นกันพระเจ้าค่ะ​  เสด็จพ่อจะต้องให้ความเป็นธรรมให้กับหม่อมฉันนะพระเจ้าค่ะ"
" เรื่องความเป็นธรรมเราต้องให้อยู่แล้ว​ นางมีปัญหากับใครหรือป่าว"
" ไม่มีพระเจ้าค่ะ​ จะมีก็แต่คนอื่นที่มามีปัญหา"เขาทูลพลางส่งสายตาไปยังพระธิดาจินดา
" ได้​ เช่นนั้นเราจะเร่งหาตัวคนร้ายให้เร็วที่สุด​ ตลอดการพิจารณา​คดีนี้ห้ามมิให้ผู้ใดเดินทางออกจากเมืองของเราเป็นอันขาด​ แม้แต่เจ้าจินดา​ อัคคนิน  เอาล่ะวันนี้พอแค่นี้ก่อน​ เราต้องจัดพิธีให้กับผกากรอง"
" น้อมรับพระบัญชาพระเจ้าค่ะ/เพคะ" และแล้วทั้งหมดจึงได้แยกย้ายกันไป
....
"​พระองค์​เสด็จมาจากศาศวัตบุรีด้วยตนเอง​ เรายินดียิ่งที่จะต้อนรับกัลยาณมิตร​ใหม่ของเมืองเรา" ท้าวพีรเชษฐ์​กล่าวกับเจ้าเมืองที่มาเจริญ​สัมพันธไมตรี
" ด้วยเห็นพระบารมีที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์​ เราเห็นว่าการมาครั้งนี้มิเสียแรงเลยจริงๆ" นรราชเจ้าเมือง​ อดีตปุโรหิตที่ใช้นามหน้าใหม่กล่าวกับอีกฝ่าย​ เขาน่ะที่เคยเป็นพ่อตามาก่อนย่อมรู้ว่าชอบอะไรไม่ชอบอะไร​ ความสนิทชิดเชื้อที่ท้าวพีรเชษฐ์​ได้มารู้สึกเหมือนเจอมิตรแท้ในช่วงเวลาเดียวนั้นเอง​ เพราะท้าวเธอน่ะเชื่อคนง่ายแถามสบายใจไม่มีอะไรต้องกลัวแล้วจึงไม่ระวังเอาเสียเลย
"องค์​เหนือหัวเพคะ​ หม่อมฉันรู้สึกว่าเจ้าเมืองคนนี้มิน่าไว้ใจเลย" สไบทองสังเกตการ​ณ์ตลอดวันจึงได้กล่าวเมื่อกษัตริย์​ต่างเมืองไปยังพระตำหนักรับรองแล้ว
"อย่ากังกลไปเลย​ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น​ เขาก็เป็นคนดีอีกด้วยนะ" คนไม่ระวังตัวกล่าวตอบอีกคนให้สบายใจ
"แต่ถึงอย่างไร​หม่อมฉันก็ไม่ไว้ใจที่เจ้าเมืองคนนี้ทำทีรู้เสียทุกเรื่องไป​ อย่างนี้แล้วจะไม่ดีต่อพระองค์​เองนะเพคะ" เธอเตือนพระสวามีด้วยความหวังดี
"ไม่หรอกน่า​ นี่ล่ะมิตรแท้ที่ฟ้าประทานมาให้แก่เรา"คนดื้อจะทำอย่างไรก็มิฟังหรอก​ เธอได้แต่ถอดถอนหายใจมิพูดอันใดอีกแต่จะคอยพึงระวังไว้​ พระราชาคนนี้ที่พบกันวันเดียวข้อมูลที่จะมีมาคุยกันได้ขนาดนี้เป็นไปไม่ได้เลย
.....
"เพิ่งมาได้คืนกับอีกวันเ​ดียวจะจากตาไปอีกแล้วรึ" ท้าวนวดลถามเมื่อผู้เป็นพระนัดดาทูลลาไปตามหาคน
" พระเจ้าค่ะเสด็จตา​ หลานจะต้องช่วยเหลืออัญญานีกับบัวแย้มให้ได้พบกันพระเจ้าค่ะ" ภูมินทร์กล่าวตอบพระอัยกีด้วยความเป็นมนุษยธรรม
"เมื่อพบกันแล้วจะไปยังที่ใดกันล่ะ​ จะกลับเมืองเก่าก็ไม่มีแล้ว"พระอัยกีอัมรินทร์กล่าวด้วยความห่วงใย
" ก็คงจะต้องหาที่อยู่ทำกระท่อมในป่าเพคะ"บัวแย้มทูล
" แล้วอีกฝั่งเขาจะยอมหรือ​ พวกเขาจะต้องตามหาพวกเจ้าจนพบแล้วถูกนำตัวไปอีกล่ะจะทำยังไง" พระมเหสีกล่าวต่อไป
" เอาอย่างนี้เถอะ​ เราจะช่วยอุปถัมภ์​พวกเจ้าเอง​ มาอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวเสียที่นี่ล่ะ​ เพลามีเรื่องขึ้นมาจะได้ช่วยเหลือกัน​ ห้ามปฏิเสธเชียว" ท้าวนวดลเธอเสนอให้
" ช่างเป็นความคิดที่ดีจริงๆ​ แต่ท่านคิดหรือว่าบ้านเมืองนี้จะไม่พังทลายไปเสียก่อน" เสียงพูดดังขึ้นมาพร้อมกับการปรบมือทำให้ความสนใจมุ่งสู่คนพูดทันที
" ท่านเป็นใคร​ มาจากไหนกัน"ภูมินทร์​ถามอย่างสัย บุรุษ​นี้เป็นใคร​กัน​ แล้วเข้ามาได้ยังไง
"เราเป็นใครมาจากไหนไม่สำคัญ  แต่วันนี้เราจะมาทำลายพวกเจ้าให้สิ้นซาก"คนใส่เกราะเหล็กกล่าวอย่างอวดดี
" พระโอรสบดิศร" บัวแย้มที่เคยพบหน้ามาก่อนจึงรู้ได้ทันทีแบบไม่ต้องนึก
" บดิศร​ เราจบเรื่องนี้กันไปแล้วอย่าได้จองเวรจองกรรมกันอีกเลย" เมื่อเขาได้ยินดังนั้นจึงได้เจรจาอย่างสันติ
" ไม่มีวันที่จะจบ จนกว่าพวกเจ้าทั้งเจ็ดคนจะถูกทำลาย!! " ว่าแล้วเขาจึงใช้พลังจากเกราะเหล็กพุ่งทำร้ายอีกคนโดยไม่ทันตั้งตัว
"ทุกคนหนีก่อน​ พี่หิ่งห้อยพาเสด็จตากับเสด็จยายหนีไปก่อนเถอะ​จะ ทางนี้น้องจัดการต่อเอง"คนที่ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีที่หลบได้แบบฉิวเฉียดรีบบอกให้คนอื่นหนีไปแล้วตนจะได้สู้กันแค่สองคนพอ
" พระเจ้าค่ะพระโอรส​ องค์​เหนือ​หัว​พระมเหสี​พระเจ้าค่ะไปกันเถอะพระเจ้าค่ะ" ว่าแล้วทั้งสองจึงขึ้นเจ้าแมลงยักษ์​ไปที่ปลอดภัยก่อน​
" สู้เขานะพระโอรส"เจ้าตุ้บเท่งที่ไม่ยอมไปไหนได้เฝ้ารอดูพลังสิ่งวิเศษชิ้นใหม่พร้อมให้กำลังใจ
"หนูบัวยังไม่ไปอีกเหรอ" ตาหวานถามเมื่อจะพาไปหลบก่อนส่วนตนจะกลับมาช่วย
" ไม่จะ​ บัวไม่ไป​ ถ้าพระโอรสภูมินทร์​เป็นอะไรขึ้นมา​จะทำยังไง" เธอจะคอยช่วยดูสถานการณ์​ ถ้าไม่ดีจริงๆเธอก็พอจะช่วยต่อรองกับบดิศรได้บ้าง
บดิศรพุ่งหมัดซ้ายตรงไปยังใบหน้าของอีกฝ่ายพร้อมกับก้าวเท้าซ้ายสืบไปข้างหน้า​ ภูมินทร์​ที่เป็นฝ่ายรับรีบก้าวเท้าซ้ายสืบเท้าเข้าหาตัวฝ่ายรุกตรงหน้า แขนขวาปัดแขนซ้ายบดิศรให้พ้นจากตัวแล้วใช้ช่องว่างยกเท้าขวาเตะกราดบริเวณชายโครงของอีกฝ่าย​ บดิศรไหวตัวรีบผลักตัวถอยเท้าซ้ายไปข้างหลัง ราวกึ่งซ้ายย่อตัวใช้ศอกขวาถองที่ขาขวาท่อนบนของฝ่ายรุกตน​ ดีที่ภูมินทร์​มีความไหวตัวพอกันจึงหลบหลีกได้ทัน​ ตอนนั้นนั่นเองบดิศรจึงใช้พลังจากเกราะเหล็กเข้าโจมตี​ภูมินทร์​ แล้วเขาจึงตอบกลับโดยการใช้พลังจากเกราะกายสิทธิ์​เช่นเดียวกัน​ ตอนนี้พลังทั้งสองปะทะกันอยู่ตรงกลางในระยะทางที่เท่ากัน
"เราว่าพวกเราคุยกันดีๆได้นะบดิศร" พระโอรสวันพฤหัสบ​ดี​คิดจะเจรจาอีกครั้งในการต่อสู้
"ไม่ต้องพูดแล้ว" เขาเพิ่มพลังมากขึ้นจนพลังของเขาสามารถ​ดันไปยังฝ่ายตรงข้ามได้มากกว่าพลังของอีกฝ่าย​ อีกฝ่ายเห็นท่าไม่ดีจึงได้เพิ่มพลังไป​ ตอนนี้พลังทั้งคู่ผลัดกันดันพลังของอีกฝ่ายไปมาแต่ไม่มีทีท่าว่าจะถึงตัวอีกฝ่ายสักที
"อย่าออมมือ!! "  บดิศรเขาใช้พลังเกินขีดจำกัดที่ร่างกายจะรับไหวเข้าจู่โจมภูมินทร์​ อีกคนไม่มีทางเลือกจึงต้องใช้พลังขั้นสุดกับเขาด้วยความจำเป็นที่ต้องปกป้องร่างกายไว้  เมื่อพลังปะทะกันรุนแรงอาคารสถานท้องพระโรงจึงพังทลายลงมา​ พวกที่ดูอยู่จึงพาบัวแย้มออกมาจากที่นั่นก่อนจะถูกถล่มทับ​ สองคนที่สู้กันนั้นแม้จะมีสิ่งก่อสร้างถล่มลงมาก็ทำอันตรายไม่ได้เพราะพลังที่มหาศาลนั้น​ ไม่นานนักทั้งสองก็ต้องผละออกจากกันเพราะถึงจะไม่ถูกพลังทำลายตรงๆแต่เมื่อใช้พลังปะทะกันนานเข้ามีแต่จะทำให้ช้ำใน​ เมื่อผละออกจากกันได้แล้วทั้งคู่อาการมิสู้ดีเลย
"พระโอรสพระเจ้าค่ะ​ เจ้าตุ้บเท่งมาพยุงพระโอรสสิเร็วเข้า" ตาหวานเข้าดูภูมินทร์ทันทีพร้อมกับสั่งให้เจ้าตัวประหลาดช่วยพยุงตัวคนที่เขาติดตาม
"พระโอรสภูมินทร์ทรงเป็นอย่างไรบ้างเพคะ​" บัวเข้าไปดูอาการด้วยคน
"เราไม่เป็นอะไรมาก​ แต่บดิศรล่ะ" เจ้าตัวตอบขณะที่เลือดก็ทะลักมาจากปาก​ ถึงตัวจะเจ็บแต่ยังห่วงน้องต่างแม่อยู่ดี  บัวจึงเข้าไปดูและประคองให้
" พระโอรสบดิศรเพคะ​ ทรงเป็นอย่างไรบ้างเพคะ" เธอถามอาการ​ เขานึกว่าจะไม่มีใครใครสนใจเสียแล้ว
" บัว.. เรา.." ไม่ทันจบประโยคปัจจาได้รีบเข้ามาแย่งนำร่างของบดิศรหายตัวไปในทันที
"ไปแล้ว!!" บัวแย้มตกใจจึงได้พูดขึ้น
"เกราะกายสิทธิ์​มีรอยร้าว​ ฮือดูดูมันทำสิ!!" เสียงตกใจอีกคนดังกว่าทันทีที่เจ้าสุดหล่อเห็นรอยขีดร้าวบนเกราะขีดเดียวก็เหมือนใจจะแตกสลาย
"บัวว่าอย่าช้าเลยดีกว่าจะ​ รีบพาพระโอรสไปยังห้องพระโอสถก่อน​ เผื่อจะช่วยได้บ้าง​ ปล่อยไว้อย่างนี้ไม่ดีแน่​ ส่วนเกราะกายสิทธิ์​ค่อยหาทางแก้เถอะนะสุดหล่อ"เธอออกความเห็น​ ชีวิตคนก็สำคัญเจ้าตุ้บเท่งมิได้ใจไม้ไส้ระกำขนาดนั้นจึงตัดสินใจแบกพระโอรสวันพฤหัสบ​ดีไปหาทางรักษาต่อไป
...
" ที่ท่านแม่ต้องตายเปล่าก็เป็นเพราะพวกเจ้า​ อย่างนี้แล้วข้าจะฆ่าพวกเจ้าเสียบัดนี้" อัคนินที่คิดอยู่นานตัดสินใจหยิบสังวาลย์​ศิลาหมายจะสังหารผู้เป็นเหตุให้มารดาต้องถึงแก่ความตาย
"องค์เหนือหัวเสด็จพระเจ้าค่ะ" มหาดเล็กเข้ามาทูลบอก​ ไม่ทันจะทำอะไรเข้ามาเสียแล้วเจ้าหนึ่งในตัวสาเหตุนี่
" พวกเจ้าออกไปก่อน" ทันทีที่พระราชาเข้ามาได้จึงให้เหล่าบริวารทั้งหมดออกไปเสียจะได้ไม่รบกวนเรื่องส่วนตัว
"อัคนินลูกยังเสียใจอยู่อีกเหรอ​ แล้วสังวาลย์​หินนี่จะไปทำอะไรน่ะ" เขาถามด้วยความเป็นห่วงและประหลาดใจที่อยู่ๆก็ได้เห็นอัคนินคว้าสังวาลยังกะจะไปฆ่าใครได้
"ปล่าวหรอกพระเจ้าค่ะ​ ลูกก็แค่ดูของต่างหน้าเสด็จแม่"
"ของพระเทวาน่ะสิ"  เขาหน้าถอดสีเมื่อได้ยินคำคนที่ชื่อว่าพระบิดาที่รู้เท่าทัน
" อัคนิน  นี่แม่เองลูก"เขาเปลี่ยนจากท่าทีจริงจังมายิ้มอย่างสบายใจ
"ท่านแม่​ ลูกตกใจหมดเลย" เขาขวัญเสียไปทีแล้วหนา
"แม่ขอโทษที่ไม่ได้บอกลูกตั้งแต่แรก​ แม่อยากรู้ว่าจะสามารถเล่นเป็นองค์เหนือหัวได้ดีจนไม่มีใครผิดสังเกตหรือป่าว"
"แล้วพระวิญญาณ​ขององค์​เหนือหัวล่ะท่านแม่"
" ก็บรรทมน่ะสิ​ เรากำลังจะได้ทุกสิ่งอย่างแล้ว​ แม่ขอเจ้าวันนี้วันเดียว แล้วพรุ่งนี้แม่จะให้เจ้าใช้สังวาลย์​กำจัดมันโดยไม่ผิดใจคนอื่น" เธอยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
" ทำไมหรือจ๊ะ​ ลูกอยากจะฆ่าพวกมันจะแย่" เขาร้อนใจยิ่งนัก
"เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ได้ฆ่า​ การที่จะได้คนมาทั้งหมดมากกว่าจากหยิบมือมันต้องซื้อใจให้เจ้า ให้พวกนั้นเข้าข้างเจ้า​ ถึงเวลานั้นเจ้าสับมันให้เป็นชิ้นๆ​ พวกนั้นก็จะเห็นดีเห็นงามด้วย" ว่าแล้วถึงจึงเล่าแผนที่เตรียมมาต่อไป
...
" เรารอได้​ เรื่องใหญ่เช่นนี้องค์เหนือหัวคงไม่อาจละเว้นได้"อัญญานีกล่าว​
" เราขอบใจที่เข้าใจ​ เราเห็นท่านพยายามใช้ธำมรงค์​แก้วศุภรมาสักพักแล้ว​ มีปัญหา​อันใดกัน"จินดาที่มองดูพฤติกรรม​มาก่อนหน้าจึงถามเพื่อจะได้ช่วยแก้ไข
"แต่ก่อนแหวนวงนี้น่ะพาเราหนีได้​ ใช้พลังได้​แต่ตอนถูกจับใช้ไม่ได้เลย​ จันทราภาเคยบอกว่าหากจิตไม่มั่นคงพอจะไม่สามารถใช้พลังจากวัตถุที่สวมใส่ได้​ แต่เราลองทำใจให้มั่นคงแล้วก็ยังใช้ไม่ได้อยู่ดี"เธอกล่าวให้ฟังหวังจะได้รับการแนะนำจากผู้สวมใส่สิ่งวิเศษ
"เราว่าลึกๆแล้วท่านยังคิดมากอยู่​ คนเราต้องจะระเบียบความคิดกันตลอดเวลา​ เราว่าการทำสมาธิจะช่วยท่านได้" เธอพูดจากประสบการณ์
" ให้เรานั่งสมาธิอย่างเดียวมันจะดีเหรอ"
" ทำสมาธิไม่จำเป็นต้องนั่งทำอย่างเดียว  อริยาบถใดก็ได้เพื่อที่จะฝึก​ให้ใจมีความมั่นคง​ แบบใดถนัดท่านก็สามารถทำได้" เธอแนะนำ​ อีกคนจึงทำตามพร้อมหาวิธีทำสมาธิในแบบของตนเองพร้อมกับฝึกใช้แหวนเรื่อยๆเพื่อที่จะทำตามความปรารถนาของตนดังเดิม
....
"​พระมเหสีทอดพระเนตรเห็น​ท้าวพีรเชษฐ์​หรือไม่"นรราชเดินเข้ามาถามในสวนพฤกษศาสตร์​เป็นการส่วนพระองค์​ ขณะที่พระนางอยู่ตามลำพังเพราะให้นางบริวารแยกย้ายกันหาเก็บดอกไม้ไปร้อยพวงมาลัย
" พระองค์คงจะอยู่ที่ลานฝึกอาวุธของพวกทหารกระมังเพคะ" นางจำตอบอีกฝ่ายแม้จะไม่เต็มใจ
"เราขอบพระทัยท่าน​ เพื่อเห็นแก่ไมตรีของเรา​ โปรดรับบุปผานี้เถิด" เขายกดอกไม้ให้​ ท่าทีมันออกชัดว่าเขานั้นออกจะชอบพออยู่
"ขอบพระทัยเพคะ" นางกะจะรับดอกไม้เสียให้จบๆไปจะได้ไปที่อื่น​ แต่ว่ามืออีกคนก็ก้าวก่ายเป็นปลาหมึกเลยนี่สิ
" ทำอะไรกันอยู่น่ะ" ท้าวพีรเชษฐ์​เสด็จพอดีได้เห็นภาพคนสองคนจับไม้จับมือกันก็สงสัย
" พอดีเราให้ดอกไม้กับพระนางแต่ว่าดอกไม้จะตกเลยรับไว้ก็เลยกลายเป็นการผิดพลาดจับมือกันเสีย" โกหกน่าไม่อายตัวเองจงใจแท้ๆ
"ไม่หรอกเพคะ​ พระองค์​คงจะหลงลืมทอดพระเนตรเห็นมือของหม่อมฉันเป็นดอกไม้เสียมากกว่า" เธอพูดเสียเป็นเชิงว่าอีกคงน่ะจงใจ
"พอเถอะสไบทอง" เขากล่าวกับชายาแล้วจึงจะคุยธุระกับสหายต่างเมืองต่อ
" หม่อมฉันทูลลาเพคะ"ว่าแล้วตนก็ไปในทันที
ทั้งสองเดินทางคุยกันอยู่มินานก็เกือบจะถึงตำหนักที่ดูจะไม่มีคนอยู่แล้ว
" นี่ตำหนักใครกัน​หรือ​ ทำไมเหมือนไม่มีใครอยู่เลย"
"ตำหนักพระโอรสบดิศรของเราน่ะ​ แต่ตอนนี้เขาไม่อยู่แล้ว"
"อย่าว่าเรารบกวนท่านเลยนะ​ ช่วยพาเราไปชมจะได้ไหม"
" ได้สิ"  เมื่อทั้งสองที่เดินทางเข้าตำหนักกันตามลำพัง​ อดีตปุโรหิตเฒ่าที่กลายเป็นชายวัยกลางคนได้ใช้ไฟจุดกำยานให้อีกคนสลบ​ไปและเร่งทำพิธีควบคุมอีกฝ่ายให้เป็นพวกของตนในทันที
...
" พระโอรสดีขึ้นหรือยังเพคะ" บัวถามอาการหลังจากที่ให้ยาภูมินทร์ทานแล้ว
" เราดีขึ้นแล้ว  ท่านอย่าห่วงเลย" เขาตอบอีกฝ่าย
"พระโอรสพระเจ้าค่ะ​ พระโอรสบาดเจ็บหรือพระเจ้าค่ะ"
เจ้าหิ่งห้อยยักษ์​บินมาดูสถานการณ์​หลังจากที่นำพระอัยกาและพระอัยกีไปยังที่ปลอดภัย
"น้องไม่เป็นอะไรแล้วจะพี่หิ่งห้อย​ อย่าห่วงเลย" พระโอรสตอบถึงแม้จะยังมีอาการเจ็บอยู่ก็ตาม
"จริงสิพระเจ้าค่ะ​พระโอรส​ พวกเรายังเหลือพืชสังกรณีกับน้ำจากสระอโนดาตอยู่​ น่าจะช่วยพระอาการของพระโอรสให้ดีขึ้นกว่านี้ก็ได้นะพระเจ้าค่ะ" เขากล่าว
"เดี๋ยวพี่ตาหวานจะไปนำมาให้​ แต่เราจะไปเจอกันที่ไหนล่ะ​ ควรจะพาพระโอรสไปพักเสียก่อนนะ" ตาหวานอาสาจะไปนำมาให้​ แต่ก็ต้องการให้พระโอรสอยู่ในที่ที่ปลอดภัย
" ไปเจอกันที่ทิศพายัพของท้องพระโรงนะ​ ที่นั่นน่ะมีพระราชฐานใต้ดิน​อยู่" เมื่อตกลงจึงพากันแยกย้ายและลงยังชั้นใต้ดินทีี่สร้างมาเพื่อรองรับสถานการณ์​ที่จะเกิดขึ้น​และได้ใช้จริงๆก็คือวันนี้
...
"บดิศรเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง" เทพวิษุวัต​กล่าวถามเมื่อปัจจาได้พาตัวมารักษา
" หม่อมฉันรู้สึกเหมือนถูกฉีกร่างตอนที่พลังใช้ถึงขีดสุดพระเจ้าค่ะ​ แต่ว่าฝั่งนั้นก็ยังได้รับบาดเจ็บเหมือนกันพระเจ้าค่ะ​ ตอนที่หม่อมฉันสู้เหมือนการที่มีคนเจ็ดคนมาสู้ด้วยกันเลยพระเจ้าค่ะ​ " เขาตอบพลางให้ข้อมูลแด่พระเทวา
"เราพอจะเข้าใจแล้ว​ เราให้เจ้าพักรักษาตัว​ให้ดีเสียก่อน​ เราจะไปตกลงกับสุริยเทพ​ เมื่อถึงวันที่เกิดสุริยะคราสแล้วนั้น​ จะได้จัดการพวกนั้นได้​ ส่วนเจ้าธานินทร์​นำข่าวไปแจ้งต่ออัคนินว่าอย่าเพิ่งลงมือ​ "เมื่อจบพระบัญชาต่างก็ทำตามกันต่อไป​ ตอนนี้คงต้องให้เจ้าพวกนั้นพักไปก่อนแต่ไม่นานเกินรอจะได้กำจัดพวกนั้นให้สิ้นเสียที

หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ พฤษภาคม 09, 2020, 06:45:00 PM
จักรกรดขออภัยนะคะที่วันนี้อัพเย็นเลยเพราะว่าติดงานพิเศษค่ะ​ เลยจะเปลี่ยนเวลาอัพเป็น
ทุกวันเสาร์​เวลา18.30 น.​ตั้งแต่อาทิตย์​หน้านะคะ​  ขอบคุณผู้อ่านที่เข้ามาสนับสนุนการอ่านเรื่องนี้ของจักรกรดค่ะ

ขอร่วมโปรโมทกลุ่มไลน์​ คนรักละครพื้นบ้าน​ค่ะ​ กลุ่มนี้สามารถเข้าไปคุยเรื่องต่างๆเกี่ยวกับละครพื้นบ้านนะคะ​ ส่วนใหญ่จักรกรดจะอ่านมากกว่าค่ะฮ่าๆ​ สนุกมากค่ะกลุ่มนี้ดีจริงๆ
แล้วเจอกันอาทิตย์​หน้านะคะ​ สวัสดีค่ะ

https://line.me/ti/g2/NOf6IDqiJE_O1oYAkZVHmA?utm_source=invitation&utm_medium=link_copy&utm_campaign=default
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ พฤษภาคม 16, 2020, 06:30:17 PM

"อย่าเพิ่งลงมือ​.. นี่เราเตรียมการมาแล้วจะให้ล้มเลิกได้ยังไงกัน" อัคนินถามขึ้นหลังจากได้ยินคำของธานินทร์​พร้อมกับอาการที่ไม่สบอารมณ์​เสียเท่าใดนัก
"เอาเถอะน่า​ บดิศรตอนนี้ก็บาดเจ็บจากการปะทะกับเจ้าพวกนั้น​ พ​อเกิดสุริยะคราสมาพวกนั้นจะได้แยกกันสู้ไง" เขาหาเหตุผลมาบอกอีกคน
" แยกกันสู้​ หึ!! รวมพลังกันสู้ล่ะสิไม่ว่า"เขาไม่เชื่อเหตุผลนั้นหรอก
"ถ้าพวกเราเก็บข้อมูลอีกสักหน่อยแล้ววางแผนดีๆ​ โอกาสที่พวกนั้นจะแยกกันสู้ก็ไม่ยากหรอกน่า"เขาต้องเกลี้ยกล่อมเสียเพราะไม่อยากให้เสียงาน
" ก็ได้ๆ​ เราจะไม่สู้ตอนนี้​ "เขารับปากแบบปัดๆไป​เพื่อให้อีกคนพอใจในคำตอบ
" งั้นเรากลับก่อน​ ใกล้เพลาแล้วเราจะมาตาม" ว่่าแล้วเขาก็ขึ้นเมฆเหินฟ้ากลับหอชิดดาราทันที
" ใครจะไปเชื่อล่ะ​ คอยดูฝีมือข้าเถอะเหนือชั้นกว่าบดิศรเป็นไหนๆ" เขาจะทำอยู่ดีนั่นล่ะ​ ไม่มีใครห้ามได้แล้ว
.....
" น่าแปลก​ ปกติแล้วพวกอธรรมจะไม่ยอมรามือ​ ทำไมถึงไม่เห็นวี่แววพวกนั้นเลยนะ"ตาหวานพึมพำเมื่อขึ้นไปสำรวจบนพื้นดินแต่กลับไม่พบพวกศัตรูได้แต่ครุ่นคิดตลอดเวลาที่ลงมายังใต้พสุธานี่
"พวกเขาคงจะคิดวางแผนให้รอบคอบกว่านี้น่ะจะพี่ตาหวาน" ภูมินทร์​ที่อาการดีขึ้นกล่าวเมื่อได้ยินเสียงนั้น
" วางแผน​ แผนอะไรหรือพระเจ้าค่ะพระโอรส"หิ่งห้อย​ยักษ์​ถามด้วยสงสัย
"คงจะแผนที่ทำลายเกราะกายสิทธิ์​ด้วยวิธีอื่นน่ะจะพี่หิ่งห้อย​ วิธีนี้น้องมองว่าเสี่ยงชีวิตมากพอสมควร​ ไม่รู้ว่าตอนนี้บดิศรจะเป็นอย่างไรบ้าง"ไม่วายจะห่วงคนที่ขึ้นชื่อตนว่าศัตรูเลยหนา
"ช่างเขาเสียสิ จะไปห่วงทำไม​ เจ้านั้นน่ะทำร้ายพวกหลานนะ​ ฝั่งนั้นน่ะคงไม่คิดถึงว่าเจ้าจะเป็นอย่างไรหรอกหลานตา"ท้าวนวดลกล่าวเชิงเตือนด้วยอารมณ์​ที่ไม่พอใจเล็กน้อยเพราะไม่อยากให้หลานเอาใจไปห่วงคนแบบนั้น
" โธ่​องค์​เหนือ​หัว​ หลานพวกเราเป็นคนมีจิตใจดีนึกถึงผู้อื่นก็ดีแล้วเพคะ" มเหสีอมรินทร์​กล่าวกันแทนหลาน
" ก็เพราะนึกถึงผู้อื่นนั่นล่ะ​เรื่องถึงได้เป็นอย่างนี้​ ถ้าวันนั้นไม่ใจอ่อนปล่อยไปง่ายๆ​ พวกนั้นก็ไม่มีโอกาสกลับมาให้หลานพวกเราบาดเจ็บหรอก" ท้าวเธอพูดตามคิดเห็นจริง​ ถ้าจัดการเสียให้สิ้นจะกลับมาได้อย่างไร
แต่ถึงอย่างนั้นศัตรู​ที่จะกลับมาทำลายน่ะจะกลับเป็นพระเทวาวิษุวัตเสียมากกว่า
เสียงสะอื้นไห้มาเป็นระลอกฟังพลางๆก็ไม่น่ายั่วอารมณ์​หรอกแต่นานเข้าก็ออกจะน่ารำคาญอยู่
" สุดหล่อเป็นอะไร​ ทำไมถึงเอาแต่ร้องไห้ล่ะ​ พระโอรสพระอาการดีขึ้นแล้วนะ" บัวแย้มเข้าไปถามไถ่เจ้าตัวประหลาดนั่นที่กำลังฟูมฟาย
"ก็เกราะ​กายสิทธิ์​น่ะสิ​มีรอยร้าวขีดข่วนน่ะ​สิ​ จะให้ทำหน้าดีใจออกหน้างั้นเหรอ" สิงโตตัวนี้หนิไม่ได้ห่วงคนหรอก​ ห่วงของวิเศษมากกว่า
" ก็เรื่องแค่นี้เองน่า​ คิดมากไปได้"บัวบอกเชิงปลอบใจ
" กลัวจะไม่ใช่แค่นี้น่ะสิ" ภูมินทร์​กล่าวพลางคิดเรื่องนี้ต่อไปเพราะมันไม่ใช่เรื่องดีเลยที่ถูกโจมตีจนเกิดร่องรอยได้
...
วันต่อมาที่เมืองคีรีมาศ​ ข่าวการสืบสวนการสิ้นของพระสนมคลี่คลายหาตัวคนร้ายได้แล้วนั้นเกิดขึ้นมาก่อนการเข้าประชุมที่ท้องพระโรง​ นั่นพอจะให้คนสบายใจได้บ้าง​ ถึงเวลาควรจะออกเดินทางได้เสียที
" หาตัวคนร้ายได้ก็ดีน่ะสิ​ พวกเราจะได้เดินทางไปยังเมืองทิศพล" ศุภลักษณ์​กล่าวขึ้นมาเมื่อรู้ข่าวจากจั๊กแหล่น
"พระโอรสเจ้าขา​ จะเดินทางไปลำพังกับนางไม่ได้นะเจ้าคะ​ ให้จั๊กไปด้วยนะเจ้าคะ​ นะนะ" จั๊กแหลานได้ยินดังนั้นใจก็คิดจะติดตามไปทุกหนแห่ง
"ได้สิ​ น้องจั๊กเรียกพี่ศุก็ได้​จะ ไม่เห็นจะต้องพิธีรีตองเลย"ดูท่าคนนี้น่าจะถูกใจแม่เสือสาวไม่น้อย​ พูดจาเสียงหวานขนาดนี้​
"แล้วองค์เหนือหัวจะพระราชทาน​อนุญาต​หรือ"อัญญานีถามด้วยสงสัย
" ทำไมจะไม่อนุญาตอีกล่ะ​ คนร้ายก็หาได้แล้วนะ​ เตรียมตัวเถอะ​ เราเข้าเฝ้าเสร็จแล้วพวกเราจะรีบไปทันที" เขาพูดแล้วจึงเดินทางไปยังท้องพระโรง
เมื่อท้องพระโรงมีคนมาครบแล้วสีพระพักตร์​ของท้าวธริษตรีเปลี่ยนจากนิ่งเฉยเป็นแข็งกร้าวยิ่งนัก
" เรารู้ว่าใครคือผู้สังหารพระสนมผกากรอง​ จงออกมายอมรับเสียดีๆ​ เราจะลดโทษประหารให้​ ถ้าไม่ยอมรับเราจะสั่งทรมานแล้วประหารเสียอย่าให้รกแผ่นดิน" คำพูดครานี้ดูรุนแรงด้วยอารมณ์​เสียมาก  ทรมานคนเหรอ​ ประหารเหรอ​ กษัตริย์​ผู้นี้เคยทำที่ไหนกัน​ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารต่างต้องขวัญเสียเมื่อคำสั่งนี้ดูจริงจังเสียเหลือเกิน​ แต่ไร้วี่แววที่ใครจะยอมรับเลย
" ศุภลักษณ์!! เจ้ารู้หรือไม่ว่าในบรรดาพี่น้องพวกเจ้าน่ะมีคนกระทำความผิดแล้วปกปิดเอาไว้" เขาเปรยมาเช่นนี้สายตาทั้งหมดจึงจับจ้องไปที่พระโอรสทันที
"ไม่นะพระเจ้าค่ะ​ ไม่มีใครที่ไหนจะปองร้ายใครอีกคนด้วยวิธีสกปรกเช่นนี้ได้​" เขามองไปยังพระโอรสอีกคนหนึ่ง​ นี่มันไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว
" งั้นรึ  แล้วสร้อยที่เราจะประทานให้พวกเจ้าทำไมถึงมาอยู่ที่ห้องบรรทมพระสนมได้ล่ะ" เขาสุดแสนจะชิงชังลูกคนนี้เสียจริง
"สร้อยนั่นหายไปตอนจันทลักษณ์​ไปประพาสป่ากับพระราชทูต​แห่งศาศวัตบุรีนะพระเจ้าค่ะ​ อีกอย่างแค่สร้อยเส้นเดียวจะไปตัดสินอะไรได้กัน​ ถ้าหากเป็นของอัคนินเขาก็น่าสงสัยด้วย" เขาก็พูดถูกเกี่ยวกับสร้อยนั่น​ เพียงตกที่เกิดเหตุใครก็เป็นฆาตรกรได้แล้วหรือ
"ไม่ต้องมาอ้าง​ ในยามวิกาลเพชรราหูที่เป็นชายเข้าตำหนักสตรีได้เช่นนั้นรึ​ พวกเจ้าเป็นพี่น้องร่างเดียวกันก็ต้องรับผิดร่วมกัน​ เรามอบอำนาจการลงทัณฑ์​ให้กับอัคนินจัดการทรมานและประหารเจ้าซะ"  คำพูดนั้นพอจะทำให้อีกคนตกใจอยู่บ้าง​ แต่ก่อนจะคิดอะไรมากไปกว่านี้ตอนนี้หาทางหนีจะเหมาะกว่า​ เขาจึงชูสังวาลย์​มณีส่องแสงแสบตาทั้งท้องพระโรงแล้วเร่งรีบไปพาตัวอัญญานีหนีทันที
" รีบไปเร็วเข้า!! "เขาคว้าข้อมือเธอรีบพาหนีไปพร้อมกับจั๊กแหล่น​ ก่อนแสงอันจ้านั้นจะหมดไป
"เกิดอะไรขึ้น" คนที่ถูกจูงมือวิ่ง​ เมื่อถึงชายป่าแล้วจึงถามอีกคนที่เร่งรีบเช่นนี้
"พวกเราถูกใส่ความเรื่องสังหารพระสนมน่ะสิ" เขามีเสียงหอบเหนื่อยปะปนเล็กน้อย​
"จั๊กว่าหาที่ซ่อนก่อนดีกว่านะเจ้าคะ​ ถ้าเจ้้านั่นตามมาจะไม่ทันการ" จั๊กแหล่นออกความเห็น​ แต่นั่นกลับไม่ทันเสียแล้ว
"กล้าดียังไงหนีการลงทัณฑ์​ เจ้าทำให้มารดาของข้าต้องมาตาย​ เจ้าก็อย่าอยู่ดีเลย​ ตายซะเถอะ!! "อัคนินที่ตามมาทันว่าแล้วจึงใช้พลังจากสังวาลย์​ศิลาพุ่งโจมตีศุภลักษณ์​ แต่โชคร้ายที่อีกฝ่ายหลบทัน
" แม่เจ้าทำตัวเองล่ะสิ​ ยอมลงทุนฆ่าตัวตายถวายลูก​ ให้ได้ทำเรื่องงี่เง่าแบบนี้"เขาเข้าใจแบบนั้นก็พูดไปแต่มันก็ตรงความจริงอยู่นา
" อย่าพูดมาก​ รับไปซะ!! "แล้วจึงชูสังวาลย์​ปล่อยพลังใส่ศุภลักษณ์​แต่ทว่าเขาก็ไหวตัวใช้พลังสังวาลย์​ของตนตั้งรับได้ทัน
"ข้าจะไม่ทำให้เจ้าตายตอนนี้หรอกไอ้ลูกนอกไส้​ เจ้าจะต้องเจ็บทรมานก่อนถึงจะสาสม"เขาเพิ่มพลังที่ใช้มากขึ้นเรื่อยๆแสงพลังเริ่มเข้าใกล้คู่ต่อสู้​
" มีแรงเท่าไหร่ก็ใส่มาให้เต็มที่เลยสิ​ อยากจะรู้นักว่าคนอย่างเจ้าจะเก่งอย่างที่ปากพูดรึปล่าว" เขาเพิ่มพลังเข้าไปอีกมันก็พอจะสูสีกันอยู่ตรงกลาง
" เก็บปากไว้ขอร้องข้าเถอะ!! "โดนยั่วโมโหขนาดนี้มีหรือจะยอมได้​ เขาใช้พลังเกินขีดจำกัดตัว​เอง​จนเกือบชนะอยู่แล้วถ้าอีกฝั่งไม่ใช้พลังขั้นสุดเสียก่อน​ เวลาผ่านไปประวัติซ้ำรอยทั้งคู่ช้ำในมากจึงต้องผละจากกัน​ คนที่เฝ้ามองเหตุการณ์​อยู่จึงเข้าไปดูอาการของศุภลักษณ์​ทันที​ ปรากฏ​เลือดกบปากเสียมากท่าไม่ดีเอาเสียเลย
"แน่นักสิ เหอะก็แค่.." อัคนินตั้งใจจะเย้ยสักหน่อยแต่ดันกระอักเลือดเสียนี่แน่นักล่ะสินะ
"เหอะก็ไม่ต่างกันล่ะว้า" ศุภลักษณ์​ตอบกลับเสียอีกคนอารมณ์​ขึ้น
"อยากลองดีนักใช่มั้ย" เขาตะเกียกตะกายขึ้นมาแต่ธานินทร์​เข้ามาพาหายไปเสียก่อน
"แล้วจะทำ​ ทำยังไงดีเจ้าคะ​ พี่ศุระบมแย่เลย"จั๊กแหล่นที่เป็นห่วงก็เริ่มฟูมฟาย
"เอาอย่างนี้​ เราไปเมืองทิศพลกันจะได้มีที่หลบที่ปลอดภัย"อัญญานีว่าแล้วจึงใช้ธำมรงค์แก้วศุภรไปยังเมืองทิศพลในทันทีดั่งใจปรารถนา
..
(จะอัพเพิ่มตอนดึกๆนะคะ​ พอดีวันนี้ทำโอทีค่ะ)​

หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ พฤษภาคม 16, 2020, 11:57:27 PM
.....​
"บดิศรต้องได้เกราะเหล็กนั่นมาจากเทพวิษุวัตแน่"ประกายพฤกษ์กล่าวขึ้นเมื่อได้ยินคำบอกเล่าของหิ่งห้อยในเหตุการณ์เมื่อวานนี้ก็ตัดสินใจรู้ได้ทันที
" น่าจะเป็นอย่างนั้นเพคะ"บัวแย้มที่ฟังความมาก็สรุปแบบเดียวกัน
"น่าแปลกที่ป่านนี้แล้วพวกนั้นยังไม่มีทีท่าว่าจะมาเลยสักนิด​คงจะคิดแผนอะไรไว้้​  แต่ก็ต้องไปดูอีกสักรอบ​ เมื่อแน่ใจแล้วจะได้เชิญเสด็จประทับดังเดิม" ว่าแล้วเจ้าตัวก็ขึ้นจากชั้นใต้ดินมาสำรวจด้านบนพร้อมๆบัวกับบริวารสนิทที่เหลืิอ
"ดูท่าเจ้าพวกนั้นคงทิ้งระยะห่างของวันไว้ก่อนน่ะสิ​ ดีล่ะจะได้เชิญเสด็จพระอัยกาและพระอัยกีประทับตามปกติสุขดังเดิม​ ส่วนท้องพระโรงใช้ที่อื่นไปก่อน"เธอสำรวจไม่พบวี่แววของศัตรูก็น่าจะเบาใจได้ไม่น้อยเลย  จู่ๆเสียงคนร้องเรียกหาดังมาจากท้องพระโรงที่ถูกทำลายไป
"พระธิดาเพคะ​ มีคนมา ดูท่าว่าจะมาขอความช่วยเหลือนะเพคะ"บัวแย้มกล่าวเมื่อได้ยินเสียงนั้น
" พระธิดาพระเจ้าค่ะ​ พี่หิ่งห้อยว่าพวกเราควรไปดูกันเถอะพระเจ้าค่ะ" เจ้าแมลงยักษ์เสนอมา
"พี่ตาหวานว่านะ​ ทุกๆคนถึงอยากจะช่วยเหลือใครต้องนะวังตัวไว้ก่อน​ บางทีอาจจะเป็นกลลวงของฝ่ายตรงข้ามก็ได้"ผีโครงกระดูกถือใบบัวเตือนไป​ ทั้งหมดจึงไปยังต้นกำเนิดเสียงนั้นพบ​คนเจ็บที่หนุนตักหญิงหน้าประหลาดเหมือนเจ้าสุดหล่อ​ กับหญิงสาวอีกคนที่พยายามหาผู้คนในวังราวกับว่าต่างทิ้งวังร้างเสียแล้ว
" พระธิดาอัญญานี... เกิดอะไรขึ้นเพคะ"บัวเรียกอีกคนทันทีที่เห็นหน้า​ ใจน่ะอยากจะทักทายแต่ต้องห่วงคนบาดเจ็บด้วยสิ
"ดูท่าอาการไม่ดีเลย​ รีบพาไปรักษาก่อนดีกว่า" ประกายพฤกษ์ออกความเห็นแล้วเจ้าตุ้บเท่งก็พาคนเจ็บขึ้นขี่หลังไปทำการ​รักษา​ ซึ่งก็ได้ใช้วิธีเดียวกันกับภูมินทร์​ แล้วนี่จะเป็นยาชุดสุดท้ายที่นำมาแล้วด้วย​ ดีที่ยังเหลือไม่งั้นคงต้องลำบากไปหามาใหม่​ อาการจึงดีขึ้นตามลำดับ
"แสดงว่าพี่น้องของเจ้าก็เข้าพวกกับเทพวิษุวัตสินะ" ประกายพฤกษ์ฟังคำเล่าก็กล่าวออกมา
"เราก็ว่าอย่างนั้นล่ะ​" ศุภลักษณ์​พูดตามที่รู้ที่เก็บข้อมูลมา
"แล้วองค์​เหนือ​หัว​พระพิโรธได้ถึงเพียงนี้เลยหรือเพคะ" บัวแย้มที่ฟังเหตุการณ์​ก็นึกสงสัยขึ้นมา
"เสด็จพ่อน่ะไม่เหมือนเดิม​ เหมือนเป็นคนละคนในร่างเดิม​ เราว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่แต่เรายังสรุปไม่ได้ว่าอะไร"เขาตอบก็พลางเสียงดูเหนื่อยอ่ออนเล็กน้อย
"ควรให้พักผ่อนก่อนดีกว่า​ ไว้ถึงยามจะมาอีกที"อัญญานีเสนอแนวคิดแล้วทั้งหมดจึงออกไปปล่อยให้เขาพักตามลำพัง
" ไม่เข้าใจเล้ยไม่เข้าใจจริ๊งๆ​ ของรักของข้าทั้งสองต้องมีรอยร้าวของเจ้าพวกนั้นด้วยนะ​ น่าโมโหนัก" เจ้าตัวประหลาดที่เคยฟูมฟายก็เปลี่ยนแปรเป็นโมโหที่พวกนั้นทำ​ จะมากไปแล้วนะ
" ของรักอะไร๊  ของวิเศษนี่อีกล่ะสิ​ นิสัยเดิมแก้ไม่หาย" จั๊กแหล่นมาทักทายเสมือนรู้จักกันมานานแล้ว
" นางจั๊ก!! ของวิเศษข้าก็ต้องรักและถนอมน่ะสิ​ ก็เหมือนกับเจ้าล่ะว้าที่รักพวกชายชาตรีถึงได้แจ้นมากับพระโอรสศุภลักษณ์​ได้น่ะห๊ะ​ ข้าบอกให้น่าเขาไม่สนใจเจ้าหรอก" ไม่ยอมแพ้หรอกนะ​ โอรสองค์นี้ดีกับตนมากซะด้วย​ เสือสาวจะหยิบฉวยเข้าของตนไม่ได้เด็ดขาด
"อ.. ไอ้ตุ้บเท่งไม่ได้เจอกันนานชักเอาใหญ่แล้วนะเอ็ง"ว่าแล้วจั๊กแหล่นก็เข้าตีกับสุดหล่อทันที​ ก่อนที่จะทะเลาะกันมากกว่านี้เจ้าผีตาหวานกับหิ่งห้อยก็ช่วยกันใช้น้ำสาดแยกมวยคู่นี้เสีย
"พวกเอ็งนี่เหมือนลูกแมวตกน้ำเลยว่ะ​ ทะเลาะอีกจะสาดน้ำให้เป็นฝนเลยนะึอยดู" ตาหวานพูดแบบนั้นก็ต้องหยุดไว้ตีรอบนอกเถอะจะเอาให้สาสม
...
"ทำไมเตือนแล้วไม่จำล่ะ​ ดูสิเจ็บตัวลำบากพามาไหมล่ะห๊ะ" ธานินทร์​พาอัคนินมารักษาด้วยความไม่สบอารมณ์
"โอ๊ย​ ก็ข้าวางแผนมาเป็นคืนๆเลยนะจะยุติได้ยังไง"เถียงมิตกฟากเลยนะตั้งแต่กลับมาจากเหตุการณ์​เสี่ยงตายนี่น่ะ
" ก็นิสัยดื้อด้านเจ้านั่นล่ะทำเดือดร้อน​ ตัวอย่างมีให้ดูไม่ดู" เขาตอบกลับอีกคน
" พอเถอะ​ ตอนนี้ก็รู้แล้วนะว่าการใช้พลังเกินตัวน่ะเป็นยังไงทั้งสองคน" ปัจจาได้ยินก็เข้ามาพูด
" มันพลาดก็พลาดไป​ แต่คราวนี้ต้องวางแผนให้ดี ต้องเก็บข้อมูลให้มากๆแล้วล่ะ​ จะได้สู้กับพวกนั้นได้"บดิศรออกความเห็น
" เริ่มจากพวกเจ้านั่นล่ะ​ เรื่องราวพื้นฐานเราจำเป็นต้องรู้​ ระหว่างที่พวกเจ้าพักอยู่เรากับธานินทร์​จะหาข้อมูลทักษะการสู้อย่างน้อยก็ก่อนสุริยะคราสในพุธที่จะถึงนี้"ปัจจากล่าวแล้วจึงออกไปธานินทร์​ยังสงสัยใน​หน้าที่จึงตามไปสอบถาม​ ทิ้งคนเจ็บทั้งสองให้อยู่กันตามลำพัง
" ไงล่ะเก่งนักหนามานอนทำไมที่นี่"อัคนินเปิดฉากอยากแหนบแนมอีกฝ่าย
" เราไม่เคยบอกว่าเก่งไม่เก่ง​ แต่เจ้าน่ะก็ไม่ต่างกันนัก​ อย่ามาชวนตี​มันไม่ใช่เพลา​ พักไป"ว่าแล้วบดิศรก็นอนหันหลังให้อีกคนเพื่อพักผ่อนเอาแรงจะได้คิดหาวิธีต่อสู้ต่อไป
....
"น้ำชันโรงที่เก็บไว้พระอัยกีให้เรานำมามอบให้เจ้า จะได้อาการดีมากยิ่งขึ้น" ประกายพฤกษ์ส่งน้ำหวานจากแมลงนี้ให้กับมือ
" เรา.. ขอบใจมากนะประกายพฤกษ์​ ไม่ได้เจอกันนานเจออีกทีก็เจ็บอย่างนี้อีก" ศุภลักษณ์​รับน้ำหวานมาแต่สายตาดูอ้อนเหมือนลูกแมวไหนจะมือที่บอนมาจับมืออีกคนอีกล่ะ
" เจ็บยังขนาดนี้นะ​ ไม่เจ็บจะขนาดไหน"เธอปัดมือส่งไปเพราะเข้าใจในท่าทีอีกคนอยู่
"โอ๊ย​ เจ็บนะเจ็บ" ลูกไม้นี้อยากใช้ก็ใช้แต่นั่นล่ะพอจะเรียกความสนใจอีกคนได้บ้าง
" เจ็บมากเลยเหรอศุภลักษณ์" น้ำเสียงเปลี่ยนไปนุ่มนวลเสียคนที่แกล้งเผลอเคลิ้มไป
"เจ็บมากนักเราจะสงเคราะห์​ให้​ จะได้ไม่ต้องมาแกล้งสำออยอีก" หวาแต่ท่าทีเปลี่ยนกลับมาเร็ว​ ถึงจะเจ็บก็เถอะนะแต่ว่ามาทำแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนกันสำหรับคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกในรอบสิบปี
" พระโอรสตื่นจากพระบรรทมหรือยังเพคะ" เสียงเคาะประตูดังขึ้นมาก็พอจะรู้ว่าเป็นใคร
"บัว​เข้ามาสิ​ พี่ตื่นอยู่"จงใจเน้นหนักว่าพี่คล้ายจะลองใจอีกคนที่อยู่ด้วยกัน
"พระโอรสอย่าแทนพระองค์ว่าพี่เลยนะเพคะ​ บางคนฟังแล้วแล้วจะไม่งามได้" ไม่งามอย่างแรกก็คือไม่ใช่ราชวงศ์​จะนับญาติได้อย่างไร​ ไม่งามสองคือดูสองความหมายไป​ เพราะคำว่าพี่ในผู้ชายยังเสมือนแทนสรรพนาม​คนรักอีกด้วย
" ได้ๆ​ พี่.. เราทำได้ทุกอย่างเพื่อบัวเลยนะ" เขาก็ไม่วายทำตัวคล้ายเจ้าชู้อย่างนั้น​ ไม่ชอบเท่าใดปลีกตัวดีกว่า
" เรากลับตำหนักก่อนดีกว่า​ พวกเจ้าไม่ได้เจอกันนานก็คุยกันตามสบายนะ​ เราไปล่ะ" ไม่รอให้ใครรั้งรีบไปทันที​ ในใจศุภลักษณ์​ยอมรับว่าน่ารักพอๆหรืออาจจะมากว่ากับสตรีที่เคยพบจึงเย้าเล่นมิคิดว่าจะต่างจากผู้หญิงที่เขาเคยหยอกขนาดนี้​ ไม่ใช่ความสัมพันธ์​แบบพี่น้องเสียด้วยสิ​ น่าสนใจไม่น้อยเลย
" ทรงเล่นแบบนี้แล้วหรือเพคะ"บัวแย้มมองออกจึงได้ถาม
"ก็เล่นล่ะ​ไม่นานคงเอาจริง​.. บัวรู้ไหมว่าพวกเราคิดถึงบัวมากเลยนะ​ ถ้าไม่ติดต้องเรียนวิชาล่ะก็จะตามหาให้พบ​ แต่นั่นล่ะต้องยอมรับอัคนินให้ได้ถึงจะมีพี่น้องอีก​ แย่เลย.. " เขาเจื้อยแจ้วดี​ ชวนคุยสัพเพเหระกับคนที่รักเหมือนน้องสาวได้ไม่มีตกหล่น​  หวังว่านี่คงจะเป็นสัญญาณดีที่จะเริ่มต้นใหม่หลังการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมได้ต่อไป
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ พฤษภาคม 23, 2020, 06:31:24 PM
ขณะเดียวกันนั้นเอง​ รัตนบุรีจะต้องเจอเรื่องไม่เป็นเรื่องจากพระราชาที่ถูกควบคุมเสียแล้ว
"องค์​เหนือหัวจะยกหม่อมฉันให้เป็นชายากษัตริย์​นรราชหรือเพคะ!!" สไบทองร้องทวนคำตรัสของพระสวามีด้วยความตกใจท่ามกลางผู้คนในท้องพระโรง
"ใช่​ เพื่อนรักของเราปองเจ้าด้วยใจจริง​ ในฐานะสหายกันเราจะต้องช่วยส่งเสริมสหายให้ถึงที่สุด" ท้าวเธอช่างกล้าพูดแบบนี้ได้​ ช่างเป็นเรื่องน่าอายเสียหายสำหรับพระมเหสีนัก
" ทุกคนออกไปให้หมด​ ฝ่าบาทประชวร​ มิพร้อมประชุมชุมนุมคนอีกต่อไป" เธอตัดสินใจให้คนออกไปเสีย​ ถ้าขืนราชายังพูดจาน่าอายแบบนี้ต่อไป​ คนในเมืองจะคิดยังไง​
"เสด็จพี่ตรัสเช่นนี้ออกไปในท้องพระโรงได้อย่างไรเพคะ​ ทรงทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อราชวงศ์​มิได้คิดถึงเลยหรือ​ หรือแม้แต่เกียรติ​ของหม่อมฉัน​ก็ไม่สำคัญแล้วเหรอเพคะ​ แล้วลูกของเราจะเป็นยังไงมิคิดบ้างเลยหรือเพคะ ​ " เธอถามด้วยความโกรธอันเกิดจากความอาย
"อะไรจะสำคัญไปว่านรราชเพื่อนเราอีกล่ะ​ ดีเสียอีกเมื่อเจ้าไปอยู่กับเขาแล้วเจ้าจะสุขสบายหลายเท่า​ ส่วนลูกจะว่าอะไรได้ดีแค่ไหนที่จะมีพ่อคนที่สองน่ะ"ท่าทีวาจาพาโมโห​ มเหสีจึงพลั้งมือตบหน้าไป​อีกคนไป​ ตัวเองก็สืบเชื้อขัตติยา​ แม้อีกฝ่ายจะเป็นราชาแต่ตรัสเช่นนี้คนก็มีน้ำโห ยังดีที่ให้คนออกไปหมดแล้วเรื่องนี้จึงรู้แค่สองคน
" เจ้ากล้ามากนะสไบทองที่ทำร้ายเรา​ โทษของเจ้าจะต้องถูกประหาร​ แต่ว่าเจ้าคือคู่หมายของเพื่อนเรา​ ดีเมื่อเจ้าไม่ยอมก็ต้องขืน​ ไม่ต้องพิธีรีตอง​ คืนนี้เราจะให้เจ้าเป็นชายานรราชทันที​ ทหาร​ นางกำนัล!! พาอดีตพระมเหสีไปประทับที่ตำหนักเก่าของบดิศร​ ห้ามให้ออกมาจนกว่าตะวันของวันพรุ่งจะขึ้น​ ไป!! "  นี่มันอะไรกันแน่นะ​ ทำไมถึงจงใจต้องให้ไปตำหนักนั้นด้วยล่ะ แล้วคืนนี้จะรอดไหมนี่
...
"ประกายพฤกษ์​  เรามีเรื่องจะปรึกษาหน่อยน่ะ"พระโอรสต่างเมืองออกมาจากที่ตำหนักรับรองดูแล้วอาการดีขึ้นมาก
" ปรึกษา​อะไร"ความรู้สึกที่ไม่ไว้ใจอีกคนเดี๋ยวหาเรื่องมาทำชีกอใส่อีกหรอก
"เจ้าว่ามันแปลกมั้ย​ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เทพวิษุวัตน่ะอยากจะครอบครองสิ่งวิเศษที่พวกเราสวมใส่​ แต่ทำไมตอนนี้ถึงได้ส่งคนมาทำลายล่ะ" สีหน้าจริงจังกว่าเดิมมากดูเป็นการเป็นงานให้สบายใจได้
"ก็คงจะเหมือนกับว่าเราไม่ได้ใครก็ต้องไม่ได้ล่ะมั้ง​  แต่จะว่าอย่างนั้นก็ไม่น่าถูกไปซะหมด​ ทำไมถึงใช้สองคนนั้นทั้งๆอาวุธ​ที่ใช้ใครก็น่าสวมใส่ได้" เธอก็เริ่มครุ่นคิดตาม
" คงเป็นเพราะพวกเขามีความแค้นต่อพวกเราถึงได้ใช้งาน​ ไม่ว่าจะไปที่ไหนพวกนั้นก็คงจะตามไปสุดหล้าฟ้าเขียว​ " เขาคิดเช่นนั้นก็พูดไป
" มีความแค้นต่อพวกเรา!! "ทั้งคู่นึกขึ้นได้จึงพูดออกมาพร้อมกัน
" เราก็พอจะรู้ว่าเทพวิษุวัตน่ะพิโรธต่อสุริยะในชาติก่อนที่เอาของพระองค์​มา​ แต่ว่าจะโกรธแค้นพวกเจ้าได้ยังไง" ประกายพฤกษ์​นั้นสงสัยไม่พ้นไปจากนี้นัก
" อดีตชาติคงทำไม่ดีไว้มั้ง แล้วยังช่วยพวกเจ้าด้วย​ แต่เราไม่ได้ว่าอย่างนั้นนะ​" ไม่ได้ตั้งใจพูดเหมือนว่าพวกสหายในเกราะกายสิทธิ์​เป็นต้นเหตุความวุ่นวาย
" เราเข้าใจ​ แต่ยังไงของวิเศษนี่น่ะจะต้องสำคัญมากแน่ๆไม่อย่างนั้นคงไม่คิดจะครอบครองหรือทำลายหรอก" เธอคิดอย่างนั้นมันต้องมีอะไรมากกว่านี้สิน่าไม่ใช่แค่เรื่องฤทธิ์​เดชสิ่งวิเศษอย่างเดียวแล้ว
" เราก็เห็นตามนั้น​ เอาอย่างนี้ตอนนี้น่ะคนที่เกี่ยวข้องกับเทพองค์นี้คงหนีไม่พ้นอัญญานี​ ลองไต่ถามดูก่อน​ รู้เท่าไหนเอาข้อมูลมาค่อยเก็บสะสมไปก่อนแล้วจะได้สืบเสาะหาต่อไป" เมื่อคิดได้แบบนั้นทั้งสองจึงพากันไปพบอัญญานี​ทันที
.....
ตกดึกตติยยามคืนนั้นพระมารดาของเหล่าผู้ใช้เกราะกายสิทธิ์​ต้องพบกับเหตุการณ์​คราเคราะห์​เสียแล้ว​ เสียงขอเข้าเฝ้าดังขึ้นมาเพื่อจะช่วยจัดแจงแต่งพระวรกายให้สง่าสมกับรอเข้าหอ
" ขุนท้าว​มาได้ยังไงกันน่ะ​ องค์เหนือหัวพระราชทานอนุญาต​ให้เข้ามาได้งั้นหรือ" พระนางมองคนสนิทอย่าไม่น่าเชื่อที่พระสวามียังคิดส่งคนมาหาได้
"เพคะ​ องค์​เหนือหัวทรงให้หม่อมฉันมาจัดแจงแต่งพระวรกายเพคะ" ว่าแล้วจึงรีบแต่งกายให้ก่อนเวลาจะหมด​ พร้อมกับส่งสิ่งของให้อย่างลับๆ​ หมดเวลาแล้วทั้งหมดจึงออกไป​ คนใหม่ก็เข้ามา​นั่นคือปุโรหิตในนามนรราชร่างวัยกลางคนนั่นเอง​ ขณะนั้นสไบทองกำลังหันหน้าเข้าหากระจกเพื่อมองคนที่เข้ามาจากด้านหลัง​ แต่ต้องประหลาดใจที่เห็นเป็นหน้าค่าตาปุโรหิตสิระบิดาของสไบแก้วแทนที่จะเป็นใบหน้าของนรราช​ ตกใจก็จริงอยู่แต่ต้องทำเหมือนไม่รู้อะไร​ แล้วดูเหมือนว่าเจ้าสิระเฒ่าก็มิรู้ตัวว่ามีคนเห็นเขาผ่านกระจกแล้ว​ เขาลืมคำเตือนธานินทร์​ว่า​ ถึงหน้าจะเปลี่ยนไปอย่างไร​ก็ต้องระวังการส่องกระจกให้มากเพราะกระจกมันสามารถสะท้อนตัวตนได้​
"สไบทองหันมาทางเราสิ" นรราชเรียกชื่อด้วยสำเนียงเสียงเสน่หา​ นางจึงหันกลับไปพลางใช้มีดในมือจ่อที่คอตนเพื่อต่อรองกับอีกฝ่าย
"นรราชปล่อยเราไปซะ​ ไม่อย่างนั้นเราจะฆ่าตัวตาย" เสียงขู่ก้องทำอีกคนไขว้เขว​ แต่คนอย่างนางจะกล้าทำจริงเหรอ
"เจ้าไม่กล้าทำหรอก​" เขาวางท่าพูดเหมือนรู้ดี
" ใครว่าไม่กล้า" นางใช้มีดกรีดไปที่ข้างสันกรามจนเกิดแผลสร้างความกังวลในความกล้าของนางต่ออีกคนอย่างมาก
"ยอม.. เรายอมแล้ว"เขาทำทีเป็นยอมเพราะกะจะรวบตัวเมื่อเผลอ
"ดี​ เจ้าหันหลังไป" เธอสั่งตาขึงแข็งอีกคนก็ยอมให้อย่างใจเย็น​ เมื่อได้การแล้วพระนางจึงใช้พระฉายที่ตั้งอยู่ฟาดด้านส่องใส่ศีรษะ​ของเขา​ ไม่ทันทีเขาจะหันกลับมาสไบทองก็ใช้มีดปักที่หลังอีกคนพร้อมกับปีนหน้าต่างหนีไปตามที่นัดหมายกับขุนท้าวทันที
....
เสียงพระฉายแตกในห้วงความฝันได้ทำลายการบรรทมในยามแสงอาทิตย์​สาดส่องมาในอีกวันสักพักหนึ่งแล้ว
"เสด็จแม่!!" ศนิวารตื่นจากการหลับไหลในความฝันที่เห็นพระมารดาที่อยู่ในกระจกนั้นแตกไปพร้อมกับกระจก​เนื่องจากแมงป่องยักษ์​ใช้ก้ามของมันทุบเข้าอย่างแรง เหงื่อของเขาไหลพรากไม่อยากจะเชื่อในฝันร้ายนี้เลย
"พระโอรสทรงเป็นอะไรหรือพระเจ้าค่ะ" เจ้าหิ่งห้อยที่ได้ยินเสียงร้องเรียกที่เกิดจากความตกใจเข้ามาหาด้วยความเป็นห่วง
"น้องฝันร้าย.." เขาว่าแล้วจึงเล่าเหตุการณ์​ให้ฟัง
"อย่าทรงเป็นกังวลเลยพระเจ้าค่ะ​ เขาว่าฝันร้ายมักจะกลายเป็นดี... " แมลงยักษ์​พูดปลอบขวัญอีกคนหวังให้ใจสงบลง​ แล้วเล่าเหตุการณ์​ที่ผ่านมาให้ฟัง
" น้องว่าเราไปเข้าเฝ้าพระอัยกากับพระอัยกีกันดีกว่าจะ" ว่าแล้วทั้งคู่จึงเดินทางไปยังตำหนักที่ตั้งมาแทนท้องพระโรงที่เสียไปเป็นการชั่วคราวในทันที
" เท่าที่ฟังตากลัวว่าจะเป็นลางน่ะสิ" ท้าวนวดลที่เป็นห่วงพระธิดาเริ่มจะไม่สบายใจเข้าให้แล้ว
"พระทัยเย็นก่อนนะเพคะ​ บางทีลูกของเราอาจจะไม่เป็นอันตรายถึงขั้นนั้นก็ได้เพคะ" พระมเหสีอมรินทร์​กล่าวปลอบขวัญอีกคนถึงตนจะหวั่นไม่แพ้กัน
"ถ้าอย่างนั้นก็ลองกลับไปยังรัตบุรีก่อนดีไหม จะได้รู้ว่าที่นั่นเกิดอะไรขึ้นกันแน่" เมธาวีเสนอความเห็น​ ไปดูเสียให้รู้จะได้ไม่ต้องกังวล​ หรือจะกังวลกว่าเดิมกันนะ
" เราก็อยากไปอยู่หรอก​ แล้วถ้าทางนี้พวกนั้นย้อนกลับมาอีกล่ะจะทำยังไง​ จะให้ปล่อยทิ้งไว้เหมือนบ้านเมืองเจ้าน่ะเหรอ​" น่าปวดหัวแล้วสิจะไปเมืองนั้นก็ห่วงเมืองนี้
" นี่เจ้า​ เราไม่ได้ทิ้งให้เป็นอันตรายนะ​ อย่างอัคนินน่ะไม่ยอมให้บ้านเมืองที่แย่งสิทธิ์​คนอื่นมาพังทลายง่ายๆหรอก"เขาพูดอย่างนั้นเธอก็เริ่มหงุดหงิด​ คนอุตส่าห์​หวังดีเสนอแนวคิดให้แท้ๆ
" เอาล่ะๆ​ พวกเจ้าไปเถอะ​ ทางนี้เราจะช่วยดูแลให้" อัญญานีที่เห็นท่าไม่ดีจึงได้บอกไป
" ดูแลยังไง" เขาที่อารมณ์​เริ่มจะไม่ดีถามขึ้นมา
" พระธิดาอัญญานีมีธำมรงค์​แก้วศุภรเพคะ"บัวแย้มช่วยพูดอีกแรง
"ใช่​ จินดาสอนเราทำสมาธิตอนนี้สามารถใช้แหวนได้ดั่งใจ​ หากมีอันตราย​เราจะใช้แหวนวงนี้ช่วยทุกคนเอง"เธอก็พูดตามนั้นเพราะน่าจะทำได้ดังใจจริงๆล่ะนะ
"อย่างนั้นก็น่าจะอันตรายพอตัวเหมือนกันถ้าจะช่วยคนครั้งละมากๆนะ"เมธาวีกล่าวเหมือนจะค้าน
" ไปดูเถอะหลานแล้วกลับมาหาตาใหม่ก็ได้​ ระหว่างนี้ก็อยู่ใต้ดินไปก่อน​ ยังไงชีวิตแม่เจ้าก็สำคัญที่สุดแล้ว​ ให้พระธิดาเมธาวีไปเป็นเพื่อนมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน" ท้าวนวดลตัดปัญหาเสียจะได้เดินทาง
"เราจะใช้แหวนนี้ไปส่งนะ​  ถึงเพลาแล้วจะไปรับ"เธอจับมือเมธาวีแล้วเมธาวีก็จับมือศนิวารอฐิษฐาน​ไปส่งยังตำหนักพระบุตรธิดาที่เมืองรัตนบุรีทันที​ อัญญานีจึงลากลับ​ ทั้งสองจึงแยกย้ายกันดูสถานการณ์​เพราะในวังตอนนี้ดูแปลกไปจากเดิม
......
"นั่นพระมเหสีสไบทอง​ รีบไปจับเร็วเข้า"ทหารที่ท้าวพีรเชษฐ์​ใช้ให้มานำตัวสไบทองกลับได้เจอคณะเดินทางหนีเข้าให้แล้ว​ เมื่อพากันหนีเหล่าทหารที่กันก็ดักไว้ก่อนพอจะยื้อเวลาให้พระนางหนีไปได้ไกลแต่ทว่าก็มีทหารนายหนึ่งหลุดมาได้​ ทุกคนจึงหาที่ซ่อน
"พระมเหสีเพคะ​ ทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์​กับหม่อมฉันเถอะเพคะ"นางกำนัลขอเปลี่ยนเสื้อจนอีกคนสงสัยทำไมต้องมาเปลี่ยนตอนคับขันอย่างนี้ด้วย
"จะให้เปลี่ยนตอนนี้เลยเหรอ​ เจ้าคิดจะทำอะไรกัน" เธอทั้งถามทั้งยังต้องระวังทหารที่กำลังตามหาที่ซ่อน
"หม่อมฉันจะล่อทหารคนนั้นไปอีกทางเพคะ​ ไม่อย่างนั้นจะไม่ทันการ​แน่เพคะ"ว่าแล้วจึงรีบเปลี่ยนชุดของกันและกันจึงแยกย้ายไป
"เราขอบใจเจ้ามากระวังตัวด้วย" สไบทองกล่าวก่อนจะไป
" เพคะ​ ขอแค่พระองค์ทรงรอดปลอดภัยหม่อมฉันก็สบายใจแล้วเพคะ" ว่าแล้วจึงแยกออกจากกันในทันที​ ทหารที่ตามมาพบก็วิ่งตามนางกำนัลตัวหลอกล่อทันทีแต่ดันวิ่งพลาดตกเข้ากับกับดักนายพรานจนถึงแก่ความตายใบหน้าที่เกิดบาดแผลก็ดูมิรู้ว่าเป็นใคร​ ทหารจึงอนุมานว่าสไบทองได้สิ้นพระชนม์​เป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงได้พาร่างไร้วิญญาณกลับเมืองเป็นหลักฐาน
...
"ศนิวารกลับมาทำไมไม่บอกพ่อ​" ท้าวพีรเชษฐ์​ที่ออกมาจากด้านหลังได้ถามเขาด้วยสีหน้าจริงจังแต่สังเกตดูแววตาก็ว่างเปล่า
"เสด็จพ่อแล้วเสด็จแม่ล่ะพระเจ้าค่ะ" ถึงจะรู้สึกผิดปกติแต่ก็ยังอยากจะถามอยู่​ พระบิดาตบเข้าที่ใบหน้าลูกยาอย่างจังเมื่อได้ยินคำถามที่ไม่เป็นที่พอใจเท่าใดนัก
"ช่างกล้าพูดถึงนางเพศยานั่นนะ​ เมื่อคืนนี้นางทำร้ายนรราชพระสหายเราแล้วหนีหายไป​ ตอนนี้เรากำลังรอให้นางกลับมาขอขมาอยู่" เขาพูดคำนี้ได้อย่างไม่รู้สึกรู้สา​ นี่มันบ้าอะไรกัน​ ถึงจะสงสัยแต่ก็ไปดีกว่าจะได้ตามหาพระมารดาแต่ทว่ามือของพีรเชษฐ์​มาจับมือซ้ายศนิวารไว้สะบัดเท่าใดก็ไม่หลุดพ้นเมื่อหันกลับไปก็พบว่าร่างกายที่จับตนกลายเป็นหินหนักไม่ว่าจะเอาตัวออกอย่างไรก็ไม่เป็นผล
" ทำไมห้องนี้ถึงมีเศษกระจกแตกไปทั่วอย่างนี้นะ" เมธาวีที่แอบเข้ามาตำหนักของบดิศรที่เปิดไว้ด้วยความสะเพร่าของผู้ดูแลที่มัวแต่สนใจด้านนอกจนลืมปิดประตู​ เป็นช่องโหว่ในการเข้ามาของคนนอก
"เลือดนี่.. แสดงว่าเมื่อคืนเกิดเรื่องไม่ดีแน่ๆ​ ต้องไปบอกศนิวารแล้ว" ว่าแล้วจึงแอบออกมาพบพวกนางกำนัลพูดกันเรื่องเหตุการณ์​เมื่อคืนได้ความจึงรีบไปหาศนิวาร  แต่ก็ได้เจอว่ามีคนท่าทางบาดเจ็บกำลังเดินทางไปยังท้องพระโรง​
"มันมาได้ยังไง​ บดิศรยังไม่จัดการมันอีกเหรอ" เขาพึมพำพลางรีบเร่งเดินทางโดยไม่สนใจร่างกายที่บาดเจ็บของตน​ ไม่รู้เลยว่ามีคนเฝ้าอ่านคำจากปากอยู่​ เมื่อเมธาวีรู้ดังนั้นจึงรีบตามไปทันที
" คฑาวุธศิศีระ" ศนิวารเรียกคฑามาตีหุ่นหินจนหินนั้นกลายเป็นน้ำแข็งเย็นเขาจึงตีอีกครั้งน้ำแข็งนั่นก็แตกไปพร้อมร่างหิน​ พอดีกับที่นรราชได้เดินทางมาถึง
"เจ้ารอดมาได้ยังไง!!" เสียงตวาดกร้าวจากชายวัยกลางคนที่ไม่คุ้นหน้ามาก่อนเลย
"เจ้าเป็นใครเกี่ยวข้องอะไรกับบดิศร"เขาถามจากคำเกรี้ยวของฝ่ายตรงข้ามที่เหมือนกับรู้เรื่องการต่อสู้กับบดิศร
"ไม่สำคั​ญ​ สำคัญว่าวันนี้เจ้าต้องตาย" ว่าแล้วเขาก็ใช้ลูกศิษย์​มาใช้มนต์ทำโซ่ล่ามขาศนิวารไว้​ เมธาวีก็เข้าถีบลูกศิษย์​เจ้าปุโรหิตจากด้านหลังแล้วทำการต่อสู้กันกับศิษย์​ทั้งสามคนนั้นทันที​ นรราชคนใจโฉดเข้ามาเงื้อมือที่ถือดาบจะฟันศนิวารที่กำลังสนใจเหตุการณ์​ที่ผู้หญิงมาช่วยทั้งที่ตนช่วยเหลือตนเองได้แท้ๆแต่อีกคนน่ะไหวตัวทันจึงใช้คฑาวุธ​ตีตอกกลับจนร่างของเขากลายเป็นน้ำแข็ง​ ฝ่ายลูกศิษย์​เห็นท่าไม่ดีจึงใช้มนต์ดึงขาของศนิวารให้ตัวห้อยหัวไม่สามารถตีคนที่ตัวแข็งเป็นน้ำแข็ง​ได้ในรอบที่สอง​ เมธาวีจึงปล่อยลำแสงประกายม่วงจากสังวาลย์ทำให้ดวงตาของศิษย์ทั้งสามของปุโรหิตในร่างราชาบอดแสบทรมานแล้วโซ่ที่ตรึงขาของศนิวารก็หลุดได้จากการที่เขาใช้กำลังยกตัวขึ้นมาตีโซ่ให้แตกจากนั้นจึงมุ่งเข้าตีน้ำแข็งร่างนรราชแตกกระจายทันที
"แม่เจ้ากำลังตกอยู่ในอันตราย..." เมธาวีเข้ามาเล่าเหตุการณ์​คืนวานให้ฟัง​ ทั้งสองไม่รอช้ารีบไปยังป่าที่คาดว่าสไบทองจะเดินทางโดยทันที
...
"ขุนท้าว​ ขุนท้าวเป็นอะไร" สไบทองเข้าดูอาการหญิงชราอีกคนที่ล้มเป็นลมแต่ว่าดูท่าเหมือนจะขาดใจ
"หม่อมฉัน​ไม่ไหวแล้วเพคะพระมเหสี"อาการมิสู้ดีแล้ว
" ไม่ได้นะขุนท้าว​ ตอนนี้เราเหลือขุนท้าวคนเดียวแล้ว​ อย่าจากเราไปเลยนะ" เธอน้ำตาร่วงรินด้วยความผูกพัน​ที่มีต่อหญิงคนสนิท
" คนเรามีเกิดแก่เจ็บตายเพคะ​ แต่หม่อมฉันยังมีห่วง​พระมเหสีต้องทรงสัญญากับหม่อมฉันว่าจะอยู่รอดต่อไป​ เถอะนะเพคะ"อาการหนักขึ้นเรื่อยเปลือกตากำลังจะปิดลง
"ได้ได้  เราสัญญาอย่าได้ห่วงเราเลยนะขุนท้าว"สิ้นคำกล่าวขุนท้าวก็สิ้นด้วยความล้าที่วิ่งหนีมาทั้งคืนทั้งวัน​ สไบทองจัดการฝังศพให้อย่างเรียบร้อยแต่ใจอาลัยนักจึงยังสะอื้นไห้อยู่จนไม่รู้ว่ามีคนกำลังมาจ้องมองอยู่
...
" นี่มันเรื่องอะไรกัน!!" แม่มดเกลียวทองที่เพิ่งมาถึงเมืองได้ถามขึ้นมาเมื่อพบแต่ศิษย์​ทั้งสามของนรราชแต่ไม่พบตัวเขา
"ช่วยพวกข้าด้วยเถอะ​ อาจารย์​ข้าน่าจะตายแล้ว​ โอย" ศิษย์​คนนึงก็ตอบขึ้นมา
"ตาย​ ตายได้ยังไง" ว่าแล้วตนจึงจับศิษย์​คนนั้นมา
"คนที่ใส่เกราะกับสังวาลย์​มันมาที่นี่" เขาพูดแค่นั้นความโมโหของนางแม่มดก็ทะลุจุดเดือดจุดเผาศิษย์​ทั้งสามของสิระอดีตปุโรหิตให้ตายทั้งเป็น​ แล้วจึงถามกับคนในวัง​ ถ้าไม่ตอบตามที่รู้จะมีจุดจบไม่ต่างกัน​ ทั้งหมดจึงพากันเล่าตั้งแต่กษัตริย์​นรราชมาว่ามีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง
" ตายเพราะตัณาก็สมควรแล้ว​ ดีล่ะเราจะใช้งานเจ้าพีรเชษฐ์​เพื่อให้ได้เมืองนี้มาครองอย่างถาวร" หลังจากที่ฟังคำเล่าคนในวังก็เข้ามาหาพระราชาตามลำพังเมื่อคิดได้จึงใช้มนตราของตนเข้าควบคุมทันทีโดยที่เจ้าตัวยังไม่ทันได้รู้สึกตัว​ ครานี้แววตาดูเป็นธรรมชาติกว่าที่เจ้านรราชควบคุมไว้เสียอีก ทหารที่ได้รับคำสั่งให้ตามล่าสไบทองกลับมาพร้อมร่างอันไร้วิญญาณที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นพระมเหสีเข้าเฝ้าพระราชาเล่าเหตุการณ์​ เกลียวทองที่แอบฟังอยู่ก็รับรู้ว่าฝั่งนั้นก็สูญเสีย​ จึงหายตัวไปยังหอชิดดาราเพื่อแจ้งข่าวให้บดิศรรับรู้
...
" ใคร​ ใครน่ะ.. "สไบทองเมื่อรู้ตัวว่ามาคนแอบมองจึงได้ถามพลางถือมีดเตรียมป้องกันตัว
"เสด็จแม่​ ลูกเองพระเจ้าค่ะ" ศนิวารปรากฏ​ตัวพร้อมกับเมธาวีมาหาทำให้ดวงใจแม่ชื้นขึ้นมาบ้าง
"ศนิวารลูก​ แม่คิดว่าจะไม่ได้มีโอกาสเจอลูกอีกแล้ว" น้ำตาพรั่งพรูออกมาด้วยเศร้าที่ต้องกลายเป็นแบบนี้ระคนดีใจที่ได้พบลูกอีก
"แล้วนี่​ เมธาวีเองหรือ" เธอถามเพราะจำสังวาลย์​เส้นนี้ได้
" เพคะ​หม่อมฉันเอง" เธอไหว้มารดาสหายเพื่อทำความนอบน้อม
"อยู่ที่นี่กันนี่เอง​.. นี่คือพระมารดาหรือเพคะ​ อัญญานีขอนอบน้อมเพคะ" อัญญานีที่มารับตามเวลาโดยตามมาจากของใช้ของเมธาวีไหว้ด้วยคน
"ลูกว่าเรากลับเมืองทิศพลกันก่อนเถอะพระเจ้าค่ะ"  ว่าแล้วทุกคนจึงเดินทางกันกลับบ้านเมือง
" สไบทอง​ เป็นอย่างไรบ้างลูก​ เจ้าเจ็บมากหรือเปล่า​ ดูท่าไม่ดีเลย"พระมเหสีอมรินทร์​เข้ามากอดถามทันทีที่กลับ​ ดวงใจหนึ่งเดียวตอนนี้ดูโทรมมากกว่าตอนที่เดินป่ามาคราวที่โดนไล่เสียอีก
" หม่อมฉันไม่เป็นอะไรเพคะ​ แต่เสด็จพี่เปลี่ยนไปเหลือเกินเพคะ..." แล้วตนก็เล่าเหตุการณ์​ให้ฟังตั้งแต่ที่นรราชเข้ามาความสัมพันธ์​ก็เริ่มจะแปรเปลี่ยนอย่างน่าตกใจ
"พีรเชษฐ์​ เราอุตส่าห์​ให้โอกาสกลับมาดูแลลูกเรา​ แต่กลับกลอกแบบนี้เห็นทีจะต้องตัดขาดถึงที่สุดแล้ว​ เจ้าอย่าได้ไปยุ่งกับรัตนบุรีอีกเลยนะลูก"ท้าวนวดลฟังความก็ไม่พอใจอย่างแรง
"แต่หลานว่ามันแปลกไปพระเจ้าค่ะ​ ลูกรู้สึกเหมือนเสด็จพ่อจะถูกควบคุม" ศนิวารทำท่าจะค้านด้วยเหตุการณ์​ที่ตนเจอแต่ถูกดักไว้ก่อน
" ไม่ต้องแก้ต่างให้พ่อ.. ให้เจ้าราชาคนนั้นอีก​ เขาไม่ให้เกียรติ​แก่แม่หลาน​ แม้แต่ตัวหลานเอง​ วันนี้พอแค่นี้พาสไบทองไปพักก่อน" ว่าแล้วมเหสีอมรินทร์​จึงขออาสาพาไปดูแลปลอบขวัญตามประสาแม่ลูก  ให้หลานพักผ่อนร่างกายก่อนจึงค่อยมาเยี่ยม
" พระธิดาได้รับบาดเจ็บหรือเพคะ" บัวแย้มสังเกตเห็นแผลอันเกิดจากการลอบกัดที่มือของเมธาวี​ แล้วจับมือมาดูด้วยเป็นห่วง
" แค่นี้เองน่าอย่าใส่ใจเลย" เมธาวีกล่าวเพราะไม่อยากให้บัวกลุ้มใจ
"มานี่​ เป็นแผลลึกแล้วยังบอกแค่นี้อีก" ศนิวารแย่งมือมาจากบัวแล้วพานั่งใช้สมุนไพรที่เก็บไว้ในน้ำเต้าออกทำแผลให้​
"ขอบใจมากนะ​ ยังพกน้ำเต้านี่อยู่อีกเหรอ"  เธอมองเห็นน้ำเต้าอมฤตยังอยู่แต่ไม่เห็นนำมาใช้เลยถามไป
"ยังอยู่​ เอาไว้ใช้เก็บสมุนไพรไปพลางๆก่อนไว้เกิดเรื่องเกินจะเยียวยาค่อยใช้น้ำเต้า" เขาพูดไปก็ทำแผลไป
"เข้าใจแล้ว​ เจ้าก็ทำแผลเก่งดีนะ.. ทำอะไรน่ะ" กำลังชมดีๆก็ต้องชักมือออกด้วยตกใจเล็กน้อยเพราะอีกคนทำแผลเสร็จก็เป่าที่แผล
" ก็เป่าให้หายเร็วๆน่ะสิ​"เขาตอบให้เธอแล้วส่ายหัว อัญญานีที่มองอยู่ก็อดยิ้มไม่ได้​ นั่นเหมือนจำมาจากแม่ที่เป่าแผลลูกเบาๆเพื่อให้รู้สึกว่าหายอย่างนั้นล่ะดูน่ารักดีเหมือนกัน​ บัวแย้มที่มองก็ยิ้มด้วยเหตุผล​เดียวกัน
"พวกเจ้ายิ้มอะไรกันน่ะ" เมธาวีที่ยังงงจากการกระทำเมื่อครู่ทั้งๆที่ไม่ได้เป่ามนต์​แท้ๆจะหายได้ไง​หันมาเห็นคนสองคนยิ้มก็อดถามไม่ได้
"ก็คิดว่าเราน่าจะทำอะไรให้สงบใจดีไง​ มาเล่นหมากรุกกันดีกว่า​ จะได้ช่วยกันคิดวางแผน" อัญญานีเบี่ยงประเด็นถึงแม้จะเก็บอาการไม่อยู่ก็เถอะ​ แต่แปลกที่สองคนที่ทำแผลนี้ไม่รู้ก็ตกลงเอออลงเล่นหมากรุกด้วยกัน​ แล้วก็ชวนบัวมาร่วมด้วยจะได้สอนเล่น
....
"เสด็จตาสิ้นเพราะมันงั้นเหรอ​ หลานจะไปฆ่ามัน" บดิศรฟังคำเล่าของนางแม่มดก็จะลุกพรวดพราด​ไปแต่แม่มดเกลียวทองก็ห้ามไว้
"อย่าเพิ่งไปเลย​ เจ้ายังไม่หายดี ฝั่งนั้นก็คงเสียใจไม่ต่างกันเพราะแม่พวกมันน่ะตายแล้ว" แม่มดก็เล่าเท่าที่รู้แต่คาดไม่ถึงน่ะสิ
"แล้วที่ว่าพวกสังวาลย์​มณีก็มาด้วยงั้นเหรอ"อัคนินได้จังหวะก็ถาม
"ใช่​ พวกนั้นมีคนว่ามันก็บาดเจ็บอยู่ไม่ต้องกังวลไป" เธอพูดอย่างนั้นอัคนินก็พอใจ
" บดิศร​ อาจะไปรับแม่ของหลานกลับรัตนบุรีก่อนนะ​ ไว้แล้วพวกเราค่อยมาร่วมมือกำจัดพวกนั้นวันสุริยะคราสนี้กัน" ว่าแล้วนางแม่มดก็ไปยังศาศวัตบุรีทันที
" เจ้าจะยังไม่บอกเรื่องคฑาวุธ​ให้สองคนนั้นรู้เหรอ"ธานินทร์​ถามขึ้นมาขณะแอบมองอยู่กับปัจจา
"ไว้วันหลังเถอะ​ ถ้า​บอกวันนี้บดิศรได้ทวงชีวิตตาของเขาที่พวกเราไม่ได้ช่วยจนวุ่นวายอีกหรอก" ว่าแล้วก็จากไป​ จริงๆ​สองคนนี้ก็เฝ้าดูเหตุการณ์​การต่อสู้เพื่อเก็บข้อมูลมาวางแผนการสู้ในวันที่ทั้งหมดจะแยกร่างจากกันโดยไม่คิดจะช่วยชีวิตเฒ่าหัวงูให้เหนื่อยป่าว
...
" ไม่ค่อยจะมีสมาธิเลยนะ​ ยังกังวลใจเรื่องท้าวพีรเชษฐ์​อยู่เหรอ" เมธาวีถามเมื่อเห็นว่าอีกคนไม่ค่อยสบายใจและจะสนใจเท่าไหร่นักกับการเล่นหมากรุกนี่
" ใช่​  เท่าที่ฟังมาบางทีอาจจะไม่ใช่เสด็จพ่อเองก็ได้ที่ทำแบบนี้่​  ถ้าทำจริงก็น่าจะถูกควบคุมไว้" ศนิวารว่าตามที่รู้และคิดเองด้วยส่วนหนึ่ง
" เราได้ยินคนนินทาว่า​ในวันส่งตัวเข้าหอเมื่อคืนนี้น่ะ​ มีเสียงการต่อสู้กันของพระมเหสีสไบทองกับนรราช​ เขาว่าเป็นตำหนักของบดิศร​ เราเข้าไปในนั้นก็เจอกระจกแตกทั่วห้องบรรทมนั้น​ บางทีิอาจจะมีบางอย่างที่พระมารดาของเจ้ายังไม่ได้เล่า​ให้ครบก็เป็นได้นะ" เธอกล่าวข้อมูลที่หามาได้แล้วก็ลองคิดดู
"ทำไมถึงเสด็จแม่เราจะเล่าเรื่องได้ไม่ครบล่ะ​" แม่เขาก็เล่าเหตุการณ์​ว่าสู้แล้วหนีมาด้วยหนิไม่เห็นจะมีอะไรตกหล่นเลย
"บางทีอาจเป็นเพราะพระนางยังพระขวัญเสียอยู่จึงเล่ามิครบก็เป็นได้​" อัญญานีกล่าวเพราะรู้สึกว่าน่าจะมีอะไรมากกว่านี้
"เราจะไปถามเสด็จแม่" ศนิวารลุกขึ้นจะไปแต่ก็ถูกห้ามไว้
" บัวว่ารอก่อนเถอะนะเพคะ​ ตอนนี้พระทัยของพระมเหสียังไม่ค่อยสู้ดีนัก​ ถ้าไปถามจะเป็นการตอกย้ำมากกว่า"  บัวแย้มที่เห็นก็ปรามไว้ก่อน
" พรุ่งนี้​ไว้ให้สุริยะถามให้ก็ยังได้​ แต่ว่าเรื่องนี้อย่าเพิ่งให้ถึงพระเนตร​พระกรรณ​ขององค์​เหนือหัวนวดลจะดีกว่า​ ไม่เช่นนั้นจะสร้างความไม่พอพระทัยให้ได้" เมธาวีเสนอมา  เขาจึงยอมรับข้อนี้แล้วจึงปลีกตัวไปทำจิตใจให้สงบก่อนดีกว่า
......
"ท.. ท่านพ่อสิ้นแล้วหรือจ๊ะน้องเกลียวทอง"วิมาลานามใหม่มารดาของบดิศรถามขึ้นมาด้วยสีหน้าที่แสนจะตกใจที่ได้ยินข่าวความตายของบิดา
" ใช่​ น้องก็จนปัญญา​ที่จะช่วยเพราะไม่เหลือแม้แต่สังขารเลยจะ" แม่มดทำสลดไปอย่างนั้นแต่ในใจก็หมดภาระไปหนึ่ง
"ท่านพ่อ.. มิน่าเลย" เธอเริ่มจะทำท่าสะอื้นไห้​ ใจของเกลียวทองก็ไม่ชอบคนร้องไห้จึงได้พูดต่อ
"อย่าให้เสียที่ท่านพ่อพี่วิมาลาทำเลยนะ​ ไปกับน้องไปอยู่ที่รัตนบุรีกันดีกว่า"ถือโอกาสนี้ชวนทันทีจะได้ไม่เสียเวลา
" พวกเราสามารถ​ยึดเมืองนี้ได้แล้วเหรอจ๊ะ" ถึงจะยังเสียใจที่พ่อสิ้นแต่ได้ยินข่าวนี้ก็อุ่นใจที่จะได้ที่อยู่อันถาวรนี้ก่อนที่อายุเมืองศาศวัตจะสิ้นไป
" ใช่จะ​ เกลียวทองว่าพวกเราไปกันเลยดีกว่า"ว่าแล้วก็ไม่รอช้าเธอจึงคว้ามือของวิมาลาไปยังรัตนบุรีทันที




หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ พฤษภาคม 30, 2020, 06:31:48 PM

ในวัันต่อมาที่เมืองทิศพล​ สุริยะที่รู้เรื่องจากบันทึกของศนิวารจึงขอเข้าเฝ้าพระมารดาเพื่อหาบางอย่างที่อาจจะตกหล่นไป​ถึงแต่ใจจะไม่อยากทำร้ายทางอ้อมโดยการรื้อฟื้นถึงเหตุการณ์​ไม่น่าจดจำเช่นนี้
"เมื่อวานแม่ตกหล่นไปจริงๆเรื่องนั้น" สไบทองที่สามารถทำจิตใจให้เข้มแข็งขึ้นได้แล้วนั้น​ เมื่อได้ฟังคำถามถึงเรื่องราวเมื่อคืนนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าตนไม่ได้บอกส่วนสำคัญที่สุดไปเพราะความโศกเศร้า
"แล้วส่วนนั้นคืออะไรกันหรือพระเจ้าค่ะ" สุริยะได้ถามต่อในขณะที่แม่นั้นกำลังคิดว่านี่น่าจะเป็นความจริง
" ราชานรราชคืออดีตปุโรหิตสิระ​ แม่เห็นเงาสะท้อนในกระจกตอนที่เป็นคืนส่งตัว" เธอเล่าให้ลูกฟังทีแรกก็ไม่แน่ใจ​ แต่คิดดูดีๆมันก็ใช่จริงๆเธอจึงได้พูดออกมาอย่างมั่นใจ
" แสดงว่าพวกเขาคงจะมีแผนเกี่ยวกับเมืองรัตนบุรีแน่เลยพระเจ้าค่ะ" เขาตอบผู้เป็นแม่หลังจากที่ได้ยินเพราะทางนี้ก็ถูกบดิศรตามจัดการเหมือนกัน
" นี่ล่ะคงจะจองล้างจองผลาญกันไม่เลิ​ก​ ยังไงลูกก็ต้องระวังตัวให้มากที่สุดนะ​ ถึงแม่จะอยากให้สู้ตอบโต้กับพวกเขาขนาดไหน​ แม่ก็ไม่อยากให้ลูกไปฆ่าใครจนเป็นบาปติดตัว" การที่ลูกและตนถูกทำร้ายนั้นก็อยากจะให้สู้กลับบ้างเพราะเก้าปีที่เคยผ่านตอนนั้นยิ่งไม่ตอบโต้ยิ่งถูกร้ายรุนแรงขึ้นทุกวันโดยส่วนใหญ่นี่จะเป็นทางใจ​ ใครไม่โดนก็มิรู้หรอก​ แต่ก็ตามที่พูดคนเป็นแม่ก็ไม่อยากให้ลูกเฆ่นฆ่าใครถึงแก่ชีวิตเช่นกัน
" พระเจ้าค่ะ.. เรื่องเสด็จพ่อเท่าที่ลูกทราบมาจากบันทึกของศนิวารนั้น​ ลูกจะไปตามสืบเรื่องที่ทรงถูกควบคุมเองพระเจ้าค่ะ" สุริยะรับปากเรื่องนั้นก็จริงแต่ศนิวารก็สังหารนรราชไปก่อนเสียแล้วไม่ทูลให้ทราบเห็นจะดีกว่า​ แล้วเมื่อนึกถึงพระบิดาก็จึงได้ทูลไป
"การที่มีปุโรหิตสิระในนั้นก็พอจะยืนยันได้ว่าเขาใช้​ไสยเวท​ควบคุมพระบิดาของลูก เมื่อลูกจะไปแม่ก็ไม่ห้ามแต่ว่าลูกต้องระวังตัวให้มาก​ ส่วนพระอัยกาของลูกแม่จะไปทูลเรื่องนี้เองเพราะพระองค์​จะไม่ยินยอมง่ายๆ" สไบทองกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับพระบิดาของตนที่โกรธและชิงชังในราชบุตรเขยผู้นี้จนไม่อยากฟังอะไรเกี่ยวกับเขาเท่าใดนัก​ สุริยะจึงทูลลาเพื่อจะไปยังรัตนบุรีต่อไป
.....​
" เราขอแต่งตั้งให้วิมาลาขึ้นเป็นพระมเหสีของเราแต่เพียงผู้เดียว​และขอแต่งตั้งให้เสาวภาเป็นที่ปรึกษาส่วนพระองค์​ ส่วนอดีตโอรสธิดาของอดีตพระมเหสีสไบทองคาดโทษไว้​ หากมีใครพบเจอลักลอบมายังรัตนบุรีให้สังหารในทันที​ หากมีใครคัดค้านคำกล่าวข้างต้นและร่วมมือเป็นสมัครพรรคพวกกับพวกนั้น​ ไม่ใช่แค่ตัวเจ้าที่จะศีรษะ​ขาดแต่รวมคนในตระกูลถึงเจ็ดชั่วโคตร​ด้วย" เสียงประกาศก้องในท้องพระโรงของท้าวพีรเชษฐ์​ที่ถูกควบคุมอีกครั้ง​ เมื่อไม่นานมานี้ก็ทำเรื่องมากพออยู่แล้ว​ ครานี้จะสั่งตัดหัวคนไม่ทำตามกันอีกมันก็น่าฉงนและค้านสายตาอยู่​ แต่คนในท้องพระโรงก็ต้องยอมรับคำประกาศจากองค์เหนือหัว​ ไม่เช่นนั้นชีวิตจะหาไม่​ สร้างความพอใจให้เกลียวทองที่ตอนนี้เปลี่ยนหน้าเปลี่ยนชื่อเป็นเสาวภาที่คอยควบคุมอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล​ โชคชะต​าคราวนี้ดูจะเข้าข้างทำอะไรก็ง่ายไปเสียหมด
.....​
ั"ถ้าข้าไม่ทำแบบนี้ลูกก็จะไม่มีความสุขสินะ" ผกากรองในร่างของธริษตรีราชาพึมพำกับตัวเองขณะที่เดินสำรวจตำหนักของตน​ นางใช้มือผลักเชิงเทียนลงเผยให้เห็นห้องลับซ่อนอยู่​ แล้วจึงได้ตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องนั้นพบว่าเป็นร่างของนางนั่นเอง
"จะให้ทำใจมันก็อยากอยู่หรอก​ แต่แม่จะรอความสำเร็จของเจ้านะอัคนิน" เธอเข้าไปลูบใบหน้าของสังขารที่เธอสละมาอย่างนึกเสียดายแต่ก็ต้องอดทนเพื่อลูก​  ร่างกายนี้เดิมทีเข้าใจว่าได้ทำพิธีเผาไปแล้ว​ แต่เปล่าเลยร่างนี้ยังอยู่ที่นี่​ ถึงแม้จะกลับเข้าร่างเดิมไม่ได้อีกแล้วแต่ตนก็อยากจะเก็บไว้เพราะเพศสภาพที่อยู่ไม่ใช่สตรีจึงได้อาลัยร่างเก่า​ ส่วนร่างที่ทำพิธีศพนั่นน่ะหรือ​ ก็แค่หาฆ่าคนมาสับเปลี่ยนก็เท่านั้นเอง
......
"พระโอรสสุริยะเพคะ!!" จั๊กแหล่นมากระโดดดักหน้าสุริยะที่กำลังจะไปหาพวกสหายเพื่อแจ้งว่าตนจะออกเดินทาง
"ใครกันน่ะ" ให้ตายเถอะศนิวารไม่ได้บันทึกจั๊กแหล่นให้รู้จักเพราะตนไปช่วยพระมารดาไม่มีเวลาให้อีกฝ่ายเกี้ยวนี่นา
" จั๊กแหล่นเพคะ​ ได้รู้มาว่าวันนี้เป็นพระโอรสเลยจะขอมาชมโฉม​ ถูกใจจั๊กจริงๆ​เพคะ" พูดไปตนก็บิดม้วนขวยเขินนัก​
" เป็นหญิงก็อย่าแสดงท่าทางให้มากเกินงามเลยน่าจั๊กแหล่น" กลุ่มสหายได้เดินทางเข้ามาหาพอดี​ เสียงร้องห้ามเป็นเชิงหยอกมาจากผู้หญิงที่ใส่สังวาลย์​
"จั๊กก็แค่มาทำความรู้จักกับพระโอรสเท่านั้นเองเพคะ" แก้ตัวได้อย่างนั้นมันก็ชัดแจ้งเห็นๆอยู่ไม่ใช่เหรอท่าทีนั้นน่ะ
"รู้จักหรือกะจะเก็บไว้สะสมกันล่ะนางจั๊กแหล่น"สุดหล่อที่ตามมาดูสิ่งวิเศษประจำวันให้สบายใจเห็นท่าทีเสือสาวก็อดว่าไม่ได้
"หนอยไอ้ตุ้บเท่ง" กำลังจะทะเลาะกันอยู่แล้วเชียวถ้าไม่มีเสียงเรียกชื่อเสียก่อน
"ท่านคงจะเป็นอัญญานีที่เราได้ยินจริงๆ.. แสงสุรีย์​ไม่ได้เจอกันนานสบายดีใช่ไหม" สุริยะทักทายทั้งสองคนพลางยิ้มด้วยความยินดีที่ได้พบเจอ
"เราเอง​ เราต้องขอบใจท่านมากที่ช่วยเราในป่า" อัญญาณียิ้มตอบรับ​ เธอไม่เคยลืมคนมีน้ำใจคนนี้​ วันนี้ก็เวียนมาพบกันอีกแล้วนะ
"ก็ไม่เชิงว่าสบายดีนักหรอก​ แต่การได้พบกับสหายมากมายเช่นนี้ก็ดีต่อใจเรานะ" แสงสุรีย์​ตอบ​ จะว่าดีก็ไม่ใช่ซะทีเดียวหรอก​ ถูกหมายหัวจากพระบิดาซะขนาดนั้น
" เราขอความช่วยเหลือจากท่านใช้ธำรงค์​แก้วศุภรนำพาเราไปยังรัตนบุรีได้หรือไม่" เขาไม่รอช้าเปิดประเด็นต่อทันทีเพราะอยากไปดูพระอาการของพระบิดาเต็มทน
" คราวนี้คงจะไปช่วยท้าวพีรเชษฐ์​สินะ​ ได้​ เราจะช่วยท่านเอง" เธอพูดอย่างรู้ด้วย​สถานการณ์​ที่ผ่านมาก็จูงใจอยู่มิน้อย
" เราขอช่วยด้วยคน​ เผื่อมีอะไรไม่ชอบมาพากลล่ะก็จะได้ช่วยกันระวัง"ผู้สวมสังวาลย์​วิเศษก็เสนอเข้าช่วยด้วยเช่นกัน
"อะไรน่ะ​ เมื่อวานก็พากันไปวันนี้ก็ไปอีกแล้ว​ นี่กะจะไม่พักสิ่งวิเศษพวกนี้บ้างหรือยังไงกันน่ะห๊ะ" เจ้าสิงโตถึงกับไม่สบอารมณ์​เมื่อรู้ว่าของวิเศษจะไปพบอันตรายอีก 
" เจ้ามันก็ชอบขัดชอบขวางอยู่ได้นะไอ้ตุ้บเท่ง"จั๊กแหล่นได้ทีก็ว่าบ้าง​ ช่างน่าหมั่นไส้อะไรถึงปานนี้
" สุดหล่อตะหาก"เขาเถียงเรื่องชื่อเสียงเรียงนามอยู่​ ทีเผลอแบบนี้ทั้งสามก็ไปยังรัตนบุรีในทันที
.....​
"หนูบัวไม่เห็นจะต้องมาช่วยพวกฉันเก็บดอกไม้ไปถวายพระมเหสีกับพระธิดาเลยนี่  น่าจะอยู่สบายเฉยๆดีกว่านะ"นางกำนัลที่กำลังเก็บดอกไม้ไปถวายพระนางทั้งสองเพื่อร้อยพวงมาลัย​บอกกับบัวที่ช่วยคัดช่วยเก็บดอกไม้อย่างขยันขันแข็ง
"บัวไม่อยากอยู่เฉยๆจะ​ แล้วงานเลือกดอกไม้แค่นี้เองไม่เห็นจะลำบากอะไรเลยนี่จ๊ะ" บัวแย้มก็ช่วยต่อไปด้วยความเต็มใจ
" เก็บเสร็จหรือยังดอกไม้น่ะ​ รีบไปถวายพระมเหสีอมรินทร์​กับพระธิดาสไบทองได้แล้ว" ขุนท้าวที่มีอายุมากพอสมควรมาตามเหล่านางกำนัลด้วยท่าทีที่ดุดันที่เก็บไม่ทันใจ​ นางกำนัลจึงขอแยกทางไปก่อน
" วันนี้เลือกดอกไม้ได้ดีกว่าครั้งก่อนๆมากนะ​ ยังดูสดใสเหมือนไม่ได้เด็ดออกจากต้นเลย" มเหสีอมรินทร์​กล่าวชมอย่างพึงพอใจ
" วันนี้มีหญิงติดตามพระธิดาอัญญานีแห่งโกสุมพิสัยที่ชื่อบัวแย้มมาช่วยพวกนางเลือกเก็บเพคะ" ขุนท้าวคนนี้ถึงจะดูมาดครึมไปบ้างแต่สายตาก็มองเห็นความสามารถคนมิปล่อยโอกาสที่จะทูลให้ทรงทราบ
" เช่นนั้นฝีมือการร้อยพวงมาลัยคงจะดีและระเอียดไม่แพ้การเลือกเก็บเท่าใดเช่นกัน"สไบทองพูดอย่างเอ็นดูเพราะพอจะรู้เรื่องบัวมาบ้าง
" ขุนท้าวไปพาบัวแย้มมาร้อยมาลัยกับพวกเราเถอะ​ ดูท่าแล้วนางคงจะว่างจากการดูแลอยู่ก็เป็นได้" พระมเหสีรู้ใจของธิดาตนจึงออกโอษฐ์​ให้พามาร่วมร้อยพวงมาลัยอีกคน
.....​
ขณะนี้ทั้งสามคนได้มาถึงรัตนบุรีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว​ แต่ดูท่าทีคนในวังจะกังวลกันเป็นพิเศษ​ บังเอิญอะไรกันหนาที่อำมาตย์เรืองรองกำลังเดินทางกลับเรือนผ่านมาตรงนี้พอดี​ เขารู้สึกถึงความผิดปกติที่มีคนแอบมองอยู่จึงได้ให้คนของตนล่วงหน้าไปก่อนส่วนตนจะจัดการเอง​ เขาคว้าดาบมาจะป้องกันตัวโดยการฟาดฟันแต่ถูกยั้งไว้ก่อน
"ท่านอำมาตย์​เราเอง" สุริยะกล่าวพร้อมพามายังที่ลับตาคน
"พระโอรสกลับมาทำไมพระเจ้าค่ะ​ ตอนนี้สถานการณ์​ไม่ดีทรงกลับมาเช่นนี้จะเป็นอันตรายนะพระเจ้าค่ะ"
อำมาตย์​แทนที่จะดีใจที่ได้พบกลับหนักใจมากเป็นพิเศษ
"ทำไมถึงถามเราเช่นนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่" เขาสงสัยในทีอีกคนจึงได้รีบถามก่อนจะนานไปกว่านี้
"องค์​เหนือ​หัวมีพระบัญชาให้สังหารพระโอรสพระธิดาที่มายังรัตนบุรีทันทีที่มีคนพบ​ หากไม่ทำตามจะถูกประหารเจ็ดชั่วโคตรพระเจ้าค่ะ" เขาทูลตามที่ทราบประกาศจากพระโอษฐ์​โดยตรงนั่นทำให้สุริยะสับสนเป็นอย่างมาก
" แล้วนอกจากนี้ยังมีพระบัญชาอะไรอีกรึเปล่า" อัญญานีถามต่อเพราะอีกคนดูท่าจะสับสนเกินจะถามต่อได้
" ไม่มีพระเจ้าค่ะพระสหาย​ เพียงแต่ว่าวันนี้มีการแต่งตั้งพระมเหสีพระองค์​ใหม่ชื่อวิมาลากับเสาวภาเป็นที่ปรึกษาหญิง" เขาดูท่าทีของเธอก็ไม่น่าใช่ข้ารับใช้ก็ต้องเป็นเพื่อนกับพระโอรสนั่นล่ะ
" ทำไมเร็วนักล่ะ​ จนถึงเมื่อวานนี้ก็เกิดแต่เรื่องวุ่นวายไม่ใช่เหรอ" แสงสุรีย์ตกใจที่ได้ยินเช่นนี้เมื่อวานนี้เมธาวีมายังสู้กับนรราชอยู่เลยทำไมวันนี้เข้าสู่ปกติเร็วนักล่ะ
" เพราะว่าพระมเหสีสไบทองสิ้นพระชนม์​แล้วพระเจ้าค่ะ" อำมาตย์กลั้นใจตอบเพราะกลัวว่าพระโอรสจะฟูมฟายไป
" เราเชื่อใจท่านได้แค่ไหน"สุริยะถามดังนั้นอำมาตย์จึงตอบรับ​ เขาจึงให้อำมาตย์เรืองรองกลับไปก่อนหากมีเรื่องให้ช่วยจะบอกเอง
...
"หายดีแล้วหรือถึงมาเดินเล่นตามระเบียงแบบนี้น่ะ"บดิศรกำลังถามอัคนินที่ดูว่าอาการไม่น่าจะดีไปกว่าตนจะมีแรงมีรับลมที่ระเบียงได้
"มี​ มีพอจะจัดการกับเจ้านั่นล่ะ" ดูท่าเขาจะไม่สบอารมณ์​เท่าใดนัก
"ใจเย็นสิ​ ถามแค่นี้ถึงกับโกรธกันอย่างกับฟืนไฟ" บดิศรพยายามใจเย็นคุยด้วย
" นี่เจ้าคิดว่าพวกนั้นหายไปจากโลกนี้จะดีกว่าไหม" อัคนินถามอย่างนี้กะจะฆ่าให้ตายเลยล่ะสิศัตรูน่ะ
"ก็ดี​และก็ไม่" อยู่ดีๆทำไมพูดอย่างนี้ล่ะตัวเองก็จะฆ่าเขามิใช่หรอกหรือ
"ยังไง" เขาฉงนทำไมถึงบอกว่าไม่
"มันก็หมดคนมาทำให้ฝีมือพัฒนาให้เพิ่มขึ้นน่ะสิ" มันก็จริงอย่างที่ว่า
"ไม่เห็นจะต้องพัฒนาเลย​ อย่างไรซะถ้ากำจัดพวกนั้นได้ก็เท่ากับว่าฝีมือน่ะไม่มีใครเทียบได้" เขาก็พูดจริงอีกนั่นล่ะ
"แสดงว่าเจ้าไม่ชอบพัฒนา​ตัวเองน่ะสิ" บดิศรเหน็บไปทีแต่นั่นกลับทำให้อัคนินไม่พอใจอย่างมากเข้าเสียแล้ว
......
" เสด็จพ่อพระเจ้าค่ะ" สุริยะที่ซุ่มมองรอให้องค์เหนือหัวอยู่ตามลำพังได้ปรากฏตัว​ต่อพระพักตร์​ทันที
" เจ้ากล้าดียังไงถึงลอบมายังตำหนักของข้า​ ดีเลยวันนี้จะเป็นวันตายของเจ้า" เขาไม่รอช้าคว้าดาบไล่ฟันทันที
"ช้าก่อนพระเจ้าค่ะ​ เหตุใดเสด็จพ่อถึงได้แต่งตั้งคนที่วิมาลาเป็นพระมเหสีล่ะพระเจ้าค่ะ" ถึงจะถามอยู่แต่ก็ต้องคอยหลบหลีกอาวุธให้พ้นกาย
"นางไม่ได้เพศยาเหมือนแม่เจ้า"เขาฟันไม่ยั้งมือเลย​ โอรสจึงใช้กระจกกันไว้ปรากฏ​ว่านี่คือร่างจริงๆของพระบิดาแต่ว่าคนไล่ฟันได้ผ่าลงกระจกไปก็แตก​ชุลมุนน่าดู
วิมาลากลับมาประทินน้ำอบเพิ่มเสน่ห์​ในตัวขึ้นแต่กลับพบพระฉายตั้งอยู่ทั้งๆที่สั่งให้นำออกไปแล้ว
"ใครนำมาตั้งอีกล่ะ" เดินผ่านชั่วครู่ก็เห็นหน้าแท้ในกระจกแล้วก็หงุดหงิดใจจึงปากระจกทิ้งเสีย​ เท่านี้ก็พอจะรู้แล้วว่าเป็นสไบแก้วนั่นเอง
ด้านเสาวภาก็กำลังมีความสุขกับการเลี้ยงดูต้นไม้พิษพวกนั้นคนที่ลอบมองก็ไม่ต้องลำบากส่งกระจกอะไรหรอกนี่ล่ะแม่มดเกลียวทองตัวจริง​ เมื่อได้ความแล้วจึงได้กลับมารวมตัวกันที่เดิมขาดก็แต่สุริยะนั่นล่ะ
"ไม่ผิดตัวแน่นี่ล่ะแม่มดเกลียวทองจะต้องควบคุมท้าวพีรเชษฐ์​แน่" อัญญานีก็เล่าให้ฟัง
"ทางนี้ก็พบว่าวิมาลานางก็คือสไบแก้วที่เราเคยได้ยินมาเหมือนกัน" แสงสุรีย์​ก็ตอบ
"ทำไมสุริยะถึงได้นานขนาดนี้นะ" อัญญานีก็พูดด้วยความเป็นห่วง
ฝ่ายนั้นก็พลาดท่าโดนฟันและแทงจุดสำคัญแต่กลับพบว่านี่คือผลไม้ที่มาแทนสุริยะ​ เขากำลังจะมาคว้าพระบิดากลับไปด้วยแต่ว่าแม่มดนั่นรู้ตัวแล้วจึงนำตัวมาไว้กับตนได้ทัน
" กล้านักนะที่มาหาที่ตาย" ว่าแล้วจึงใช้พลังใส่อีกแต่คราวนี้ก็เป็นเพียงแค่ท่อนไม้​ ใช่แล้วนางโดนหลอก​ จึงรีบออกตามหาทันที
"กว่าจะมา​ รีบไปกันเถอะ" และแล้วทั้งสามก็กลับมายังเมืองทิศพล
"เสด็จพ่อเป็นพระองค์​จริงแต่ว่าการจะช่วยน่ะไม่ง่ายแล้วล่ะ" สุริยะกล่าวให้สหายทั้งสองฟัง
" ทำไมถึงไม่ง่ายล่ะสุริยะ" อัญญานี​ถามด้วยสงสัย
"เพราะมนตราที่ทรงถูกกระทำนั้นตรึงพระองค์​ไว้กับเมือง​ ขึ้นพาออกมาก็ถึงแก่พระชนม์ชีพ​ เราจึงได้ปล่อยไปก่อน" เขาเล่าให้ฟังแบบนั้น​ เธอก็เริ่มสงสัยว่าจะเหมือนเมื่อคราวพระบิดาทรงถูกกระทำหรือไม่
"เราว่านางไม่ทำให้ท้าวพีรเชษฐ์​สิ้นได้หรอกเพราะเขาก็เป็นพระบิดาของคนทางนั้นเหมือนกัน​ อีกอย่างถ้ายังดูแลดีก็มิน่าเป็นห่วง"แสงสุรีย์​ก็เห็นตามนั้น
" แล้วทางท่านมิเป็นอันตรายบ้างหรือ" เขานึกได้ว่าสหายก็เพิ่งออกมาจากเมืองด้วยเหตุที่พระบิดาเปลี่ยนไป
"ถ้าอันตรายคงทำร้ายถึงสิ้นพระชนม์​ไปนานแล้ว  อัคนินน่ะก็ต้องการพ่อเป็นของตนเองไม่เหตุผลอะไรต้องสังหาร​ " ถึงจะเสียดายที่ไม่ได้ไปดูบ้านเมืองตนเองแต่ก็ไม่อยากรบกวนอัญญานีอีก
" แหวนวงนี้ก็ใช้ไปยังที่ต่างๆแค่ครั้งเดียวต่อวันแล้วด้วยสิ​ เราขออภัยจริงๆนะแสงสุรีย์" เธอก็ขอโทษเสียอย่างกับว่าเป็นความผิดของนางขนาดนั้น
" ไว้พรุ่งนี้ไปดูความเรียบร้อยของเมืองคีรีมาศกันดีกว่า​ ส่วนเรื่องแก้มนต์​ไว้ให้ภูมินทร์​ช่วยจัดการจะดีกว่า" เขาเห็นเหมาะสมอย่างนั้นจึงได้บอกอีกคน
" มิเห็นต้องลำบากเลย" เธอก็ปัดไปเพื่อจะได้ไม่รบกวน
" เอาเถอะน่า​ อย่างน้อยๆจะได้ช่วยกันหาวิธีแก้เหมือนของสุริยะยังไงล่ะนะนะ" อัญญานีเซ้าซี้จนสุดท้ายแสงสุรีย์​ก็ใจอ่อนแล้วทั้งสามจึงแยกย้ายกันไปที่พักตน


หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มิถุนายน 06, 2020, 06:46:30 PM
"พระโอรสจันทลักษณ์​เพคะ จั๊กมาแล้ว" แม่เสือสาวมาพบเขาตั้งแต่เช้าเลยดูท่าจะมีอะไรพิเศษเสียด้วยสิ
" อ้าวจั๊กแหล่น​ แต่งตัวดูดีเชียว​ วันนี้เป็นวันอะไรหรือป่าว" เขาวางบันทึกลงแล้วถามจั๊กแหล่นดู
"แหมก็  ก็วันนี้เป็นวันที่พระโอรสมายังไงล่ะเพคะ​ นานๆจะเจอกันที" เธอพูดพลางใช้นิ้วจ่อกันแบบท่าทีที่เขินอาย
"เราก็นึกว่าวันพิเศษอะไรเสียอีก จริงสิได้เพลานัดแล้ว​ เราไปก่อนนะ" จันทลักษณ์พูดด้วยมินานก็จะจากไปอีกแล้ว​
" ประเดี๋ยวก่อนสิเพคะ​ อะไรกันน่ะไหนว่ากันว่าวันนี้จะไม่ไปรัตนบุรีแล้ว​ แล้วจะเสด็จไหนอีกล่ะเพคะ" จั๊กแหล่นยื้อไว้เพราะนี่ก็พากันไปไหนมาไหนตั้งสองวันแล้ว
" เราจะไปดูว่าเสด็จพ่อทรงเป็นอย่างไรบ้างและจะดูความเรียบร้อยของเมืองคีรีมาศด้วย​ ไม่ต้องห่วงหรอกนะ​ เราจะกลับมาแน่" เขาไม่ขอพูดพร่ำทำเพลงอีกจึงได้้ไปยังจุดนัดหมายตามที่บันทึกไว้
......
" ตอนนี้เท่าที่พวกเรารวบรวมมาได้นั้น​ เรารู้ว่าทางนั้นสามารถเรียกอาวุธจากสิ่งที่สวมใส่ได้​ แต่ว่าตอนนี้ที่รวบรวมมาได้เห็นจะมีแต่พระขรรค์​ของอังคาสกับคฑาวุธของศนิวารเท่านั้น​ ส่วนพวกที่เหลือพวกเรายังไม่รู้" ปัจจาได้เล่าให้ผู้รับภารกิจทั้งสองฟังเพื่อเป็นข้อมูลในการต่อสู้ที่จะถึง
" เรารู้อีกคน​ จันทลักษณ์​ใช้หอกเป็นอาวุธจากสังวาลย์​นั่น" อัคนินที่ดูท่าจะเป็นการเป็นงานบ้างเพราะจะต้องจัดการ​ด้วยกัน​ ไม่เช่นนั้นคงได้รับโทษที่คาดไว้เมื่อคราวที่ดื้อดึงไปสู้กับเขา
" วันนี้เราเห็นว่าพวกเจ้าก็อาการดีขึ้นมากแล้วควรจะฝึกฝนตนให้พร้อมกับวันสุริยะคราสที่จะเกิดขึ้นด้วย​ ส่วนเรากับปัจจาจะไปหาข้อมูลเพิ่ม" ธานินทร์​ได้พูดแล้วทั้งหมดจึงแยกย้ายกันทำหน้าที่ตน
...
"เรามาตามนัดแล้ว.. จันทลักษณ์"​พระนัดดาของเมืองนี้มาถึงเป็นคนที่สองเห็นชายยืนหันหลังรออยู่ก็รู้ว่าเป็นสหายเก่านี่เอง
" จันทราภา.. ไม่ได้.. ไม่ได้เจอกันเสียนานเลยนะ​ สบายดีใช่มั้ย"เขาหันกลับมาแต่เมื่อเห็นโฉมนางก็พูดตะกุกตะกักขึ้นมา​หน้าก็แดงระเรื่อ​ ตั้งใจจะทำให้แปลกใจเสียหน่อยทำไมถึงประหม่าได้ล่ะ
"เราสบายดี​ แต่ดูท่าเจ้าไม่ค่อยสบายเท่าไหร่นะ" ถึงจะแปลกใจจริงๆนั่นล่ะแต่ก็อดยิ้มไม่ได้ท่าทีแบบนั้นก็มีด้วยเหรอไม่คุ้นเลย
" เราสบายดี  แต่ว่าเพิ่งจะได้เจอเจ้าก็เลยทำตัวไม่ถูกน่ะ​ นี่แวววิเชียรที่รอขอพันธุ์​ไปคราวนั้น​ เราให้" ทำตัวปกติได้ก็นำดอกไม้มาส่งให้ด้วยความพอใจในผลงานตน
" ขอบใจมาก​ ประเดี๋ยว​นะนี่เก็บดอกไม้ได้นานขนาดนี้เลยเหรอมันก็เจ็ดวันแล้ว" เธอพอใจในความสวยน่ารักก็จริงอยู่แต่น่าฉงนดอกไม้ที่เด็ดจากต้นจะคงสภาพดีขนาดนี้เลยเหรอ
" ดอกไม้นี้เป็นดอกไม้แรกที่เราปลูกแล้วเติบโตมาเป็นดอก​ เราเลยเก็บไว้เพื่อจะมอบให้น่ะ​ เราใช้พลังนิดหน่อยแล้วก็หมั่นพรมน้ำกับน้ำอบไว้ทุกๆเจ็ดวัน" เขาพูดไปก็อดยิ้มไม่ได้​ เขาใส่ใจดอกไม้เพื่อจะนำมาให้อีกคนดูแลต่อไปถึงขนาดนี้ได้ยังไงกันนะเขาก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน​ รู้แค่ว่าเธอคือคนสำคัญคนหนึ่งในชีวิตเท่านั้นเอง
" ดีจริงๆเลยนะ​ เราจะช่วยดูแลต่อให้เอง"เธอยิ้มอย่างพอใจที่ได้ยินคนตรงหน้าเล่าถึงสิ่งที่กระทำเกี่ยวกับดอกไม้นี้
"เราว่าได้เพลาแล้วนะไปกันดีกว่ามั้ย" อัญญานีที่มาเวลาไล่เลี่ยได้เฝ้ามองพฤติกรรมทั้งสองได้สักพักก็พูดขึ้นอย่างได้จังหวะเสียเหลือเกิน
"อัญญานีมาตั้งแต่เมื่อไหร่​ เราตกใจหมดเลย" เธอมองคนที่เพิ่งมาพร้อมกับถามไป คงไม่ได้ยินที่สนทนาเมื่อครู่หรอกนะ
"มาเมื่อไหร่ก็ได้​ แล้วแต่จะคิดนะ​" เธอแกล้งพูดเสียนี่สายตาก็มองเห็นแวววิเชียรอย่างชัดๆก็อดยิ้มไม่ได้
"เจ้าก็นะ​ ตอนนี้เล่นภาษาดอกไม้ด้วย​ ความหมายก็ไม่เบาเลย" ไม่วายจะแหย่สหายอีกคน​
" ใครๆก็เล่นนะ​ เอาเป็นว่าพวกเราไปคีรีมาศกันดีกว่า​ เราอยากจะรู้ความเป็นไปในบ้านเมืองเราแล้วล่ะ"เขาพูดอย่างจริงจังเสียอีกคนคิดเลิกเล่นเสียก่อนเพราะตอนนี้มันสำคัญกว่า​ ไม่นานนักทั้งสามก็ได้มาถึงคีรีมาศด้วยเวลาอันรวดเร็วด้วยฤทธิ์ของแหวนวิเศษของพระธิดาแห่งโกสุมพิสัยที่สวมใส่อยู่
" ตำหนักของพระสนมที่ว่าคือตำหนักไหนเหรอ​ เราจะได้ช่วยดูให้​ ที่เรารู้มาก็ผิดปกเกินไป"จันทราภาที่พอจะรู้เรื่องก็จะอาสาไปดูให้เพราะเข้าใจดีกว่าลูกนั้นต้องการที่จะพบพ่อและเวลาก็ไม่คอยท่าที่จะให้ทำอะไรหลายอย่าง​ เขาบอกทางให้แล้วแยกกันเป็นสองทางโดยที่หญิงสาวนั้นไปด้วยกัน​ เมื่อมาถึงที่เขาก็ได้พบพระบิดาที่ตำหนัก​ แต่ทว่ารัศมีดูหม่นหมองไม่กระจ่างใสเหมือนแต่ก่อน​ เขายังไม่อยากจะเชื่อว่าบิดาตนนั้นเปลี่ยนไปเลยแต่ก็อดลังเลใจไม่ได้เพราะศุภลักษณ์​บาดเจ็บเพียงนั้นเพราะคำอนุญาต​ของใครกัน
"จันทลักษณ์​ อยู่ดีไม่ว่าดีก็รนหาที่​ ดีล่ะข้าจะได้แก้แค้นให้ลูก" ผกากรองคิดอยู่ในใจเมื่อรู้ถึงความไม่ชอบมาพากลในตำหนักก็พอจะเดาไม่ไม่ยากเย็นด้วยพระโอรสวันจันทร์​นั้นใจอ่อนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว​ ไม่แปลกที่จะกล้ามาหาองค์เหนือหัวเพราะถ้าเป็นคนอื่นคงแข็งใจไม่มาเสียดีกว่า
"วันนี้ก็เป็นวันจันทร์​แล้ว​ ไม่รู้ว่าจันทลักษณ์​จะเป็นอย่างไร​ ศุภลักษณ์​ก็ดื้อด้านไม่ฟังคำพ่อ​ ป่านนี้คงทำให้ลูกคนอื่นๆเข้าใจพ่อผิดกันหมด" เธอในร่างราชาแสร้งว่าตนนั้นเศร้าเสียใจเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นตรงกับที่พระโอรสวันศุกร์ได้บันทึกเตือนไว้​ คนใจอ่อนก็เข้ามาตามที่คิด
" เกิดอะไรขึ้นกันแน่หรือพระเจ้าค่ะเสด็จพ่อ"เขาไม่รั้งรอที่จะเข้ามาเมื่อได้ยิน​
" ลูกพ่อ​ ศุภลักษณ์เขาไม่ฟังคำตัดสิน​เลย​ เพชรราหูเป็นคนสังหารพระสนม​ เขาก็เข้าข้างมิได้ฟังเหตุและผลที่ควรจะเป็น" เธอไม่พูดต่อเพราะจำมิได้เท่าใดนักว่าจะเท็จอย่างไรไม่ให้คลาดเคลื่อนไปกว่านี้" ลูกเลี้ยงคนนี้นอกจากจะใจอ่อนดูท่าจะหัวอ่อนเชื่ออีกตะหาก​
มารยาหญิงยิงเรือผู้นี้นั่นไม่นานก็พอจะทำคนเชื่อได้​ มันช่างเข้าทางของนางเหลือเกิน
"แปลกจริง​ ที่นี่ไม่มีหลักฐาน​อะไรหลงเหลือบ้างเลยนะ"อัญญานีกล่าวเมื่อเห็นแต่ตำหนักที่ว่างเปล่า
" น่าจะมีแต่เราน่าจะยังหาไม่พบนะ" จันทราภากล่าวตอบ​ เชิงเทียนที่ตั้งอยู่แลแล้วมีความปราณีต​ อัญญานีเข้าชมใกล้ๆแต่มือเจ้ากรรมดันไปถูกกับเชิงเทียนจนเอนลง​ ปรากฏ​ว่ามีประตูห้องลับเปิดอยู่
" นี่ล่ะ​ หลักฐานชั้นดีต้องอยู่ในห้องนี้แน่" เมื่อเห็นดังนั้นจึงได้มุ่งหน้าจะเข้าไปมิทันไรลูกธนูที่เป็นกับดักก็ยิงเข้ามาในระยะประชิดดีที่หลบได้ทัน​ 
"นี่มันจะอันตรายเกินไปแล้วนะ" เธอที่เห็นจันทราภาจะถูกกับดักก็พูดออกมา​ ดีที่ว่าเธอไหวตัวทันจึงได้รอด
"ถึงจะเข้าใกล้ไม่ได้ก็ใช่ว่าจะไม่เห็นอะไรซะทีเดียว" จันทราภาได้พูดขึ้นมาเมื่อเห็นร่างไร้วิญญาณ​ในห้องนั้น
"หรือว่าจะเป็นพระศพสนมองค์นั้น​ แต่ทำพิธีแล้วก็ไม่น่าจะเป็นไปได้นี่"อัญญานีที่ตามมาดูก็ได้เห็นเช่นกันแต่ยังประหลาดใจอยู่
"เรามีเพลาไม่มาก" จันทราภาไม่รอช้าเร่งวาดภาพของสนมนั้นลงบันทึกเพื่อให้ได้ลักษณะที่จะมาเล่าสู่ให้จันทลักษณ์​ฟังโดยทันที​ อัญญานีก็ได้คอยเก็บธนูที่ปล่อยออกมาไปซ่อนเสียจะได้ไม่มีใครผิดสังเกต​
" เช่นนั้นแล้วเมื่อถึงวันอาทิตย์​ทรงกลดลูกจะบอกให้ศุภลักษณ์​เข้าใจพระเจ้าค่ะ​ แต่ว่าเพชรราหูเป็นน้องของลูกลูกทำใจลงโทษไม่ได้พระเจ้าค่ะ" จันทลักษณ์​พูดหลังจากถูกโน้มน้าวให้กระทำโทษพี่น้องกันเองจากคนที่อาศัยร่างพระบิดาอยู่
"ทำไมจะไม่ได้!!" ถึงจะควบคุมอาการเกลียดชังไว้ก็จริงอยู่แต่ไม่ได้ดั่งใจเช่นนี้อารมณ์​ก็ขึ้นเป็นธรรมดา
" ลูกทำไม่ได้จริงๆ​ เป็นไปได้ลูกขอรับผิดแทนเพชรราหูพระเจ้าค่ะ"เขาพูดพลางคุกเข่าลงขอโทษทัณฑ์​แทนอนุชา​ สร้างความพอใจอย่างมาก​ ดีล่ะเธอจะได้ทำตามที่หวังเสียที​ มือของเธอยื่นไปจับที่ไหล่ของคนที่กำลังคุกเข่า​ จังหวะนั้นเองจันทลักษณ์​ก็ใช้โอกาสนี้จับชันนุเข้าให้ข้อพับพับลงจนเสียการทรงตัวล้มไปกับพื้น​ จึงได้ใช้กระจกส่องเหมือนพวกคนวันอาทิตย์​ทำแต่ทว่านี่คือพระวรกายที่แท้จริงของพระบิดาแต่วิญญาณที่อยู่ในร่างนี่เป็นของใครกันแน่ล่ะ​ นางไม่รอช้าตัดสินใจใช้มนต์​ดำใส่ศัตรูแต่เขาก็ไหวตัวหลบทัน​ นางจึงใช้วิธีสกปรกมาขู่เอาเสียแทน
"เจ้าอยากเห็นองค์เหนือหัวเป็นอะไรไหมล่ะ​" นางไม่ทำจริงหรอกแต่นางต้องทำเพราะไม่รู้ว่าสังวาลย์​นี้จะทำให้นางได้รับบาดเจ็บขนาดไหน
"อย่าทำอะไรเด็ดขาดนะ" เขาอยากจะสู้แต่ว่าเขาก็มิอาจทำได้เพราะเป็นห่วงพระบิดา
"อยู่เฉยๆ" ว่าแล้วเขาก็ยอมทำตามโดยง่าย​ คนเล่นคุณไสยใช้มนต์​ดำทำเชือกมัดเขาไว้แต่ก่อนที่จะเสร็จดีเข้าก็ใช้วิชาเชื่อมความรู้สึกเหมือนกัน​ ยิ่งเขาเจ็บมากนางก็จะรู้สึกเจ็บปวดไม่ต่างกัน
" เจ้าทำอะไรข้า​ห๊ะ!!" เสียงตวาดลั่นไปทั่วจนคนอีกฝั่งได้ยิน​ ท่าไม่ดีแล้วควรจะไปช่วยดีกว่าปล่อยไว้
"ก็ทำที่ควรทำนั่นล่ะ" เขาไม่ยอมเจ็บคนเดียวหรอกแต่ยังมีห่วงบิดาไม่น้อย​ นางโกรธแค้นมากจึงร่ายมนต์​เพิ่มความเจ็บปวดแต่ตนก็เจ็บไม่ต่างกัน​ เขาทนเห็นร่างกายพระบิดาทนทุกข์​ทรมานไม่ได้แล้วจึงใช้พลังของสังวาลย์​มณีทำลายมนต์​เสีย​ ประกอบกับที่พวกผู้หญิงจะมาตามเสียงพอดี​ ไม่ทันจะได้ช่วยอะไรต่อ​ ผีดิบที่ผกากรองเลี้ยงไว้ก็ได้มาตามเล่นงานพวกเขาทั้งสาม​ ทั้งหมดจึงต้องร่วมมือกันสู้แต่ทำอย่างไรก็ไม่เป็นผลเลยนี่สิ​ ​ จันทราภา​ อัญญานีและจันทลักษณ์​จึงใช้ของวิเศษประจำกายปล่อยพลังมาทำลายพวกผีดิบ​จนสิ้น​ ผกากรองที่ซ่อนตัวอยู่จึงใช้คุณไสยทำครอบเมืองไม่ให้ทั้งสามไปไหนได้​  พวกเขาจึงรวมพลังกันต้านอีกครั้ง​จนสำเร็จ​ แต่ไร้ซึ่งร่องรอยของท้าวธริษตรีที่มีวิญญาณอื่นอาศัยอยู่เลย​ อัญญานี​รู้สึกอ่อนแรงคงจะใช้พลังได้เพียงแค่ครั้งเดียว​คงต้องกลับไปตั้งหลักก่อน​ เขาจึงได้เสนอให้กลับกันก่อนส่วนพระบิดาไม่น่าจะเป็นอันตรายเท่าใดนักเพราะอย่างไรก็เป็นที่อาศัยของใครเหมือนกัน​ เมื่อกลับว่าได้แล้วผู้ใช้แหวนก็หมดสติไปพร้อมกับร่างกายที่ร้อนดั่งไฟลน​ จันทลักษณ์​จึงพาอุ้มไปส่งยังที่พัก​ โดยมีจันทราภาคอยดูแลอาการไม่ห่าง
"พระธิดาทรงเป็นอะไรเพคะ" บัวแย้มถามด้วยวิตกที่พบภาพตรงหน้า
"คงเป็นเพราะใช้พลังของแหวนติดต่อกันหลายครั้งน่ะ​พวกเราควรจะรักษานาง" จันทราภาออกความเห็น
"เรามีว่านลดเตโช​ ที่พอจะทำให้ธาตุไฟในร่างสมดุลขึ้นได้​" ว้่่าแล้วจันทราภาก็เร่งเอาน้ำจากสระอโนดาตที่เหลืออยู่พอใช้แค่ครั้งนี้มาป้อนพร้อมกับว่านยา
"อาการน่าจะดีขึ้นในวันมะรืนนี้​ ช่วงนี้ก็งดให้นางใช้พลังเสียก่อน"จันทลักษณ์​กล่าว​ แล้วจึงขอตัวแต่ก่อนจะไปจันทราภาได้นำภาพวาดที่นางทำมาได้ให้แล้วเล่าให้ฟัง​ เขาไม่อยากรบกวนจึงได้ขอแยกตัวไปวิเคราะห์​เสียเองเพื่อที่จะให้คนต่อไปสานงานต่อ
......
"ปล่อยพลังแค่นี้จะไปสู้กับพวกมันยังไงกันล่ะ​"อัคนินต่อว่าบดิศรที่ใช้พลังไม่เต็มที่
"ออมพลังไว้ใช้วันจริงน่ะสิ" เขาก็ตอบโต้บ้าง
"เจ้ามันขี้ขลาดกลัวจะแพ้เหมือนเดิมที่สู้กับพวกนั้นล่ะสิ" เขาก็จะเย้ยต่อไป
"เจ้ากำลังว่าตัวเองให้คนอื่นฟังอยู่งั้นเหรอ" ว่าคืนเข้าให้​ อัคนินไม่พอใจมากจึงใช้พลังพุ่งตรงเข้าทำร้ายบดิศรแต่เจ้าตัวอีกฝั่งก็มิยอม​ จึงได้ใช้พลังใส่กันไปมาต่างฝ่ายต่างก็ใส่พลังเพิ่มกันสุดฤทธิ์​เมื่อใส่ถึงขั้นสุดรอยแยกในสิ่งประทานจากวิษุวัต​เทพก็ปรากฏเพิ่มที่สำคัญความเจ็บก็เริ่มทำร้ายพวกเขาจนบาดเจ็บมากกว่าครั้งก่อน​ สองเทพที่กลับมาได้จับทั้งสองแยกจึงได้พอ
" นี่พวกเจ้าจะตีกันเองไปถึงเมื่อไหร่" ปัจจาเข้าต่อว่าในทันที
"ก็มันเริ่มก่อนแท้ๆ" อัคนินก็โมโหไม่หาย
"พอที​ พวกเราต่างก็มีหน้าที่เพื่อพระเทวาทั้งนั้น​ ขืนยังตีกันไม่เลิกแบบนี้จะทำการสิ่งใดก็ไม่สำเร็จหรอก" เขาดูอารมณ์​รุนแรงกว่าทุกครั้งที่ปรามน่าจะได้รับแรงกดดันจากนายมากโข
" เอาเถอะน่าเรื่องมากผ่านไปแล้ว" ธานินทร์​ไม่อยากให้บานปลายจึงได้ยั้งไว้
"แต่มันก็ไม่รู้อะไรบางอย่าง​ว่าการที่สู้กันเองจะให้เกิดความเสียหายมากกว่าเดิม​ บางทีพวกนั้นก็อาจจะเป็นเหมือนเรา"  รอยร้าวที่ลึกและยาวกว่าของเก่าจนแทบจะผ่าซีกนั้นทำให้บดิศรได้รู้ข้อมูลเพิ่ม​ไปพร้อมๆกับผู้อื่น​ ข้อมูลนี้จะสามารถใช้แค่ไหนนั้นเมื่อถึงคราใช้ก็จะได้รู้เอง



หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มิถุนายน 06, 2020, 06:48:06 PM
ขออภัยด้วยนะคะ​ วันนี้ฟ้าร้องหนักมากเลยลงช้าไปค่ะ​ ขอโทษจริงๆค่ะ w15 w15
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มิถุนายน 13, 2020, 06:25:17 PM
วันนี้ขอเลื่อนเวลาอัพเป็น20.15น.นะคะ​ พอดีว่าไฟล์ที่แต่งไว้ขาดหายไปไม่ต่อเนื่องกันค่ะ w15 w15
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มิถุนายน 13, 2020, 08:19:02 PM
ผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งวันคืนจนถึงอีกวันหนึ่งแล้วนั้น​  ไม่มีทีท่าว่าอัญญานีจะฟื้นคืนจากนิทราเลย​ จริงอยู่ที่ว่าอาการวรกายร้อนดังอัคคีนั้นหายไปแต่คนที่ดูแลจะสบายใจได้อย่างไรกันในเมื่อเธอไม่ได้ฟื้นขึ้นมาเลย
" เหตุใดกันที่พระธิดายังไม่ฟื้นจากพระบรรทมอีก" บัวแย้มที่ดูอาการได้พูดขึ้นมา​ ร่างกายของตนนั้นอ่อนเพลียแต่ยังพอทนได้จะห่วงก็แต่ผู้ที่หลับใหลเท่านั้น
" จันทลักษณ์ไม่ได้บอกกับเจ้าหรอกเหรอว่านนี้มีผลข้างเคียงทำให้หลับไปถึงสองวันสองคืน แต่ก็ช่างเถอะยังไงเสียพรุ่งนี้น่ะนางก็จะหายดีแล้ว" ปัทมาสน์เดินเข้ามาพร้อมกับพูดหลังจากได้ยินที่บัวแย้มกล่าวออกมา
" พระธิดา" เธอเข้าไปหาอีกคนด้วยความยินดีที่ได้พบหน้ากับผู้ที่เข้ามาอีกครั้งในรอบสิบปี
" เรานึกว่าเจ้าได้พระธิดาองค์ใหม่แล้วจะลืมเราแล้วซะอีก" เธอแกล้งพูดไปอย่างนั้นเพราะใจจริงแล้วเธอก็รู้ดีกว่าใคร ในความผูกพันนี้ไม่อาจขาดจากกันได้
" พระธิดาเพคะ​ บัวไม่ได้ลืมพระธิดาเลยแม้แต่ครั้งเดียว.." เธอพยายามอธิบายแต่อีกตนรู้ดีอยู่แล้วจึงได้กล่าวตอบต่อไป
" เรารู้ เราแค่ถามไปอย่างนั้นเอง"เธอเปลี่ยนสีหน้าที่แกล้งทำจริงจังใส่เมื่อครู่เป็นรอยยิ้มที่อบอุ่นแทน​ เธอได้พาอีกคนไปนั่งพักแล้วสนทนาต่อไป
" บัวดูแลอัญญานีมาทั้งวันแล้ว เราว่าพักผ่อนก่อนเถอะเราจะให้จั๊กกะแหล่นมาดูแลแทนเจ้าเสียก่อน ไว้พักผ่อนเพียงพอแล้วเจ้าค่อยดูแลต่อก็ได้... เข้ามาสิ" เธอพูดด้วยความเป็นห่วงเพราะรู้ดีว่าความเป็นห่วงของบัวแย้มนั้นที่มีต่อพระธิดาที่อยู่ด้วยกันมานับสินปี ส่งผลให้เธอไม่สามารถพักผ่อนได้โดยที่ยังไม่เห็นอาการที่ดีขึ้นของอีกคนอย่างชัดเจน​ เพราะเหตุนี้จึงต้องหาใครสักคนมาช่วยแบ่งเบาความเหนื่อยล้าลง
" ไม่ต้องลำบากพี่จั๊กแหล่นหรอกเพคะพระธิดา​ บัวยังไหว" ไหวน่ะไหวในความคิดเธอแต่กับคนอื่นน่ะไม่ใช่อย่างนั้นน่ะสิ
"ไม่ลำบากเลยจะหนูบัว​ พี่จั๊กน่ะเต็มใจ๊เต็มใจ" เสือสาวเธอบอกอย่างนั้นก็สร้างความพอพระทัยให้พระธิดาอสุราเป็นอย่างมาก
"เห็นไหม​ เจ้าตัวเขายังออกปากว่าไม่ลำบาก​เลย​ เช่นนั้นแล้วบัวก็พักผ่อนเสียเถอะ​ เราไปป่าสักพักหนึ่งแล้วเราจะกลับมา" พูดอย่างนั้นก็คงต้องทำตามแต่โดยดี​ แต่อีกคนอดนึกถึงเหตุผลที่ต้องเข้าป่าเสีย​ไม่ได้​มันก็น่าหนักใจอยู่หรอก​ จะห้ามก็ห้ามมิได้เสียด้วย
.....
" กลับมากันแล้วเหรอนึกว่าจะไปแล้วไปลับไม่กลับมาซะอีก" เจ้าสิงโตกล่าวทักทายตาหวานและหิ่งห้อยยักษ์ที่กลับมาจากธุระ​ที่ทำมาร่วมสองวันแล้ว
" เหวยเหวย​ ข้าก็ต้องกลับมาสิ ขืนปล่อยไว้กับเองอย่างเดียวน่ะยุ่งแน่" ผีโครงกระดูกที่มีชิ้นส่วนซี่โครงเพิ่มมานั้นตอบกลับคำทักทาย
"  ยุ่งยังไง พวกเจ้ากลับมาสิไม่ว่า ข้าอยู่ของข้าดีๆยังไม่ได้ทำอะไรให้พระโอรสพระธิดาเล้ย​ ดีไม่ดีนี่นะการที่พวกเจ้ากลับมาอาจจทำความวุ่นวายเกิดขึ้นก็ได้" พูดจายั่วโทสะเสียจริง แต่กระนั้นเลยดูท่าแล้วทั้งสองคงจะอยากไปเข้าเฝ้าพระโอรสวันอังคารเสียมากแล้ว คงไม่ว่างที่จะมาต่อล้อต่อเถียงอีกต่อไปหรอก
" ความวุ่นวายที่เกิดจากเจ้าล่ะสิไม่ว่า ไปกันดีกว่าเถอะพี่ตาหวาน อย่าไปต่อล้อต่อเถียงกับสิงโตนิสัยแบบนี้เลย"หิ่งห้อยยักษ์​กล่าวตอบไปแล้วตัดจบบทสนทนาเสียเพราะตนมีเรื่องสำคัญกว่าต้องทำ
" กลับมาแล้วเหรอพี่หิ่งห้อยพี่ตาหวาน" อังคาสที่กำลังอ่านบันทึกอยู่นั้นได้รับรู้ถึงการกลับมาจึงได้ถาม
" พระเจ้าค่ะ พี่ตาหวานได้ชิ้นส่วนมาเพิ่มพระเจ้าค่ะ" ไม่พูดเปล่าคันอยากแสดงให้เห็นจริงๆว่าเขานั้นมีชิ้นส่วนมาเพิ่มนอกจากศีรษะและแขนสองข้างของเขา
" พระโอรสพระเจ้าค่ะ หม่อมฉันมีสิ่งสำคัญ จะทูลต่อพระโอรสพระเจ้าค่ะ" เจ้าหิ่งห้อย มาพร้อมกับบันทึกที่อยู่ด้านหลังของเขา สิ่งนี้คงจะเป็นข้อมูลสำคัญโดยแท้
" อะไรกันหรือพี่หิ่งห้อย" เขาสนใจเรื่องที่จะกล่าวต่อไปนี้เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ
" บันทึกเล่มนี้เป็นของศรุตที่บรรพบุรุษของหม่อมชั้นเคยใช้มาพระเจ้าค่ะ" อีกคนเห็นดังนั้นจึงได้เอาบันทึกขึ้นมาดูแล้วเก็บไว้ยังที่ชั้นตำรา
" ขอบใจพี่หิงห้อยมาก​ บันทึกเล่มนี้จะต้องมีข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับเกราะกายสิทธิ์แน่และอาจจะเกี่ยวข้องกับเทพวิษุวัตด้วยก็ได้  ไว้ว่างแล้วน้องจะอ่านนะ" ไม่ทันไร​ ที่ได้อ่านบันทึกที่อยู่ในมือไปมา เขาก็ทำเหมือนกับว่าคิดอะไรได้บางอย่างจึงเร่งรีบที่จะออกไป
" พระโอรสจะไปไหนพระเจ้าค่ะ"ตุ้บเท่งถามขึ้นมาเมื่อเห็นทีท่าว่าเขาจะไป
"  ไม่เกี่ยวกับเจ้า!! "เขาตอบอย่างนั้นแล้วจึงมุ่งหน้าออกไปทันที
.........
ที่สรวงสวรรค์ในตอนนี้นั้น โปรยปรายไปด้วยกลีบบุปผานานาพันธุ์ ราวกับมีงานอันเป็นมงคล ซึ่งจริงๆแล้วก็นับว่าเป็นงานมงคลอย่างหนึ่งเพราะพระเทวราชากำลังจะเสด็จไปเฝ้าพระเทวาตีรมูรติ และบำเพ็ญเพียรในรอบสองพันปีเป็นเวลาสิบห้าวันสวรรค์โลก
" เทพวิษุวัต ระหว่างที่เราไม่อยู่นี้เราขอให้ท่านช่วยดูแลสวรรคโลกและมนุษยโลกแทนเรา​ อย่าให้บังเกิดความผิดพลาดเลย"  พระองค์ทรงความไว้วางพระทัยเทพวิษุวัตเพราะคิดว่าการที่บำเพ็ญมานับทศวรรษ​มนุษย์นั้นน่าจะเพียงพอที่จะทำให้จิตใจของเขากลับมาบริสุทธิ์ดังเดิมแล้ว
" รับด้วยเกล้าพระพุทธเจ้าค่ะ" เมื่อเขาตอบรับแล้วพระอินทร์จึงเสด็จไปตามที่กำหนด โดยมีขบวนไปส่งเสด็จพระองค์​ หลังจากที่ขบวนผ่านไปได้ไม่นานจึงเริ่มทำการต่อทันที
"ปัจจา​ธานินทร์​ พวกเจ้าจงไปรวบรวมบุคคลสำหรับการต่อสู้ในวันพรุ่งนี้และวางแผนกันให้ดีอย่าให้ผิดพลาด" สิ้นคำสั่งแล้วนั้น เหตุทั้งสองจึงลงไปรวบรวมทันที​ ว่าเป็นก้าวแรกที่ไม่ผิดพลาดเสียทีเดียวของเทพท่านเท่าใดนักที่คิดจะทำการใหญ่ต่อไป
.....​
บัวแย้มที่สามารถพักผ่อนได้เต็มที่แล้วนั้นได้ ขึ้นมาแบ่งอาหารให้กับจั๊กแหล่นเพื่อเป็นการตอบแทนที่มาช่วยตน เมื่อทั้งสองทานอาหารได้ไม่นาน พระนัดดาของเมืองก็เสด็จมาโดยทันที
"บัว!" เขาเรียกชื่อทันทีที่พบหน้าว่าแต่ว่ามีเรื่องอะไรกันนะ
" พระโอรสเสด็จมาที่นี่มีเรื่องอะไรหรือเพคะ" บัวแย้มถามขึ้นมาด้วยสงสัยมีธุระอะไรกันนะถึงมาที่นี่
"เรามาพบปัทมาสน์​ นางลักของเราไป" เขาพูดอย่างนั้นก็อดทำให้อีกคนสงสัยไม่ได้​ คนอย่างนางน่ะหรือจะสามารถไปขโมยของคนอื่นแบบนั้นได้
" ของสิ่งใดกันเพคะ​ พระธิดาทรงไม่ได้เป็นคนแบบนั้น" เธอนั้นอยากจะรู้นักเชียวของสิ่งใดที่มันมีค่าพอที่จะให้คนลักขโมยได้ถึงขนาดนั้น
" เราบอกไม่ได้ บอกเรามาดีกว่าว่านางอยู่ที่ไหน" เขาอยากจะสะสางเสียเต็มทนนี่มันก็สิบปีแล้วที่ไม่ได้ของคืน
" หม่อมฉันไม่บอกพระโอรสหรอกเพคะ​ จนกว่าจะทรงบอกหม่อมฉันว่าพระธิดาทรงลักของสิ่งใดไป" เรื่องอะไรเธอจะยอมบอกถ้าเธอไม่ได้รู้เรื่องนี้ก่อน
"บัว!!" เขาโอนเรียกเสียไม่ได้เวลาอย่างนี้เธอยังจะมาต่อรองกับเขาอีกหรือ
" พระโอรสพระทัยเย็นไว้ก่อนนะพี่คะ​ พระธิดาเสด็จป่าแล้วเพคะ​ แต่พระโอรสไม่ต้องไปตามหรอกเพคะ อยู่กับจั๊กกะแหล่นดีกว่า" เธอพูดให้เขาไม่ไปแต่จะห้ามได้เหรอนั่น
" ขอบใจเจ้ามาก เราไปไม่นานหรอกแล้วเราจะกลับมานะบัว" ว่าแล้วเขาก็ไปเลยแล้วเราจะกลับมานี่คงจะได้กลับมาแค่คนเดียวเสียกระมัง น่าจะตีกันตายเสียก่อน
" พี่จั๊กกะแหล่นไม่น่าไปบอกเขาเลย เอาอย่างนี้แล้วกันพี่ดูแลพระธิดาไปก่อน เดี๋ยวบัวจะกลับมา" เธอตามไปเพราะเกลัวว่าเรื่องจะไม่จบง่ายๆ​ แต่ระยะห่างที่ตามนี่สิไม่แน่ใจเลยว่าไปทางไหน
.....​
" พวกเจ้าแน่ใจได้อย่างไรกันว่าวิธีนี้จะทำให้พวกนั้นน่ะพ่ายแพ้ต่อเราจริงๆ" ฤาษีทมิฬ พูดขึ้นหลังจากได้ยินคำเชิญของปัจจา
" พวกนั้นมีคนมากกว่าก็จริงอยู่ แต่หากเราตัดกำลังพวกนั้นได้ แล้วให้สิ่งวิเศษทั้งสี่ปะทะกันแล้วก็ เราว่าอย่างไรเสียไม่ชนะก็น่าจะเสมอกันอย่างแน่นอน อย่าอย่างนั้นเลย ยังไงพรุ่งนี้เราก็ต้องชนะให้ได้ไม่ว่าจะวิธีใดก็ตาม" ธานินทร์​กล่าวตอบอย่างนั้นเพื่อให้ฤๅษี​ได้ตัดสินใจ
" เช่นนั้นแล้วท่านฤาษีคิดอย่างไร จะเข้าร่วมหรือไม่ก็เป็นสิทธิ์ของท่าน หากท่านจะเข้าร่วมแล้วอาทิตย์อัสดงของวันนี้ ให้มารวมตัวกันเพื่อวางแผน หากไม่ท่านก็จงอยู่ ณ อาศรมของท่านเถิด  พวกเราขอลาก่อน" พระเจ้าพูดอย่างนั้นทั้งสองจึงได้เดินทางไปยัง ที่อื่นเพื่อรวบรวมบุคคลอื่นต่อไป
....
"​ เอาของเราคืนมา!! "ทันทีที่พบกันก็พูดเช่นนั้น​ ช่างขัดจังหวะยักษีที่หาจับสัตว์​ป่ากินเสียเหลือเกิน
" ไม่คืนถ้าอยากได้คืนเจ้าก็ต้องเอาชนะเราให้ได้ก่อน​ ก็อย่าใช้เกราะวิเศษอะไรนั่นของเจ้าเด็ดขาดเลยนะไม่อย่างนั้นน่ะคงจะหน้าไม่อายน่าดู"เธอตอบอีกคนเป็นเชิงท้าทาย​ เขาจึงรับคำท้าโดยการกระโดดขึ้นไปอยู่บนบ่าของเธอจากนั้นแล้วจึงแปลงกายเป็นหินขนาดใหญ่ ทำให้อีกคนถึงกับเข่าทรุดลงกับพื้น แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ตั้งสติทันแล้วใช้มืออีกข้าง มานำหินนั้นออกไป แต่ถ้าว่าหินนั้นได้กลายเป็นงูขนาดเล็กลอดผ่านมือของเธอไปแล้วกลับกลายเป็นร่างขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นพญานาคสีทองประกายเพชรแทนแล้วมารัดตัวเธอเสียหายใจเกือบไม่ออก
" ยอมแพ้หรือยัง" เขาถามเพื่อให้อีกตนยอมรับแล้วส่งสิ่งของที่ว่ามาเสียดีๆ
" ไม่ยอมแพ้หรอก" ว่าแล้วเธอก็ได้แปลงกายเป็นวิหคขนาดเล็กพอที่จะรอดผ่าน ช่องที่จะรัดให้เธอหายใจไม่ออกได้ แล้วนกนั้นก็กลายเป็นพญาครุฑขนสีชาติประกายแก้ว เข้าจิกที่นาคตนนั้นทันที​ ฝ่ายนาคนั้นไม่ยอมจึงได้ปล่อยลูกไฟเข้าทำร้ายครุฑตัวนั้น ฝ่ายนั้นนั้นจึงได้ใช้สายฟ้ามาตอบโต้ เกิดไฟลุกลามและสายฟ้าฟาดไปทั่วบริเวณป่าผืนนั้น มันจะก่อความเสียหายมากกว่าผลดีน่ะสิ
...
ที่ทะเลฝั่งตะวันตกนั้นเอง ปัจจาและธานินทร์ได้เข้าพบกับวัศพลนาคราชเพื่อเชิญชวนให้เข้าร่วมด้วยเช่นกัน
" ถ้าเราเข้าร่วมแล้วเราจะได้อะไรจากการเข้าร่วมครั้งนี้ล่ะ สู้เราเอาเวลาไปปกครองเมืองเราไม่ดีกว่าเหรอ"เขาถามไปเพราะไม่แน่ใจเท่าใดนัก
" การปกครองบ้านเมืองก็เป็นคุณธรรมที่สมควรกระทำอยู่ แต่หากท่านเข้าร่วมการต่อสู้นี้นั้น การที่จะทำการใหญ่ต่อไปก็เป็นเรื่องง่ายไม่ใช่หรอกหรือ ที่สำคัญ หากชนะในครั้งนี้​ การใหญ่ที่ว่าก็จะส่งผลให้พระองค์​ได้เป็นใหญ่ ไม่ต้องแบ่งอำนาจกับพี่น้องอีกทั้งสามคน พระองค์ไม่เห็นถึงเขตประโยชน์นั้นหมดหรือ"ปัจจากล่าวสิ่งที่วัศพลต้องการที่สุดเพื่อโน้มน้าวให้กระทำการนี้ได้
"เป็นอันว่าเราตกลง" คิดไม่นานก็ตอบตกลงในทันทีเพราะเห็นว่าตนได้รับประโยชน์ไม่น้อยเลย
"อาทิตย์​อัสดงวันนี้ขอเชิญท่านมาร่วมวางแผนด้วยกันพระเจ้าค่ะ​ พวกหม่อมฉันทูลลา" ปัจจากล่าวแล้วจากไปกับธานินทร์
.....
"พระโอรส​ พระธิดา​ หยุดก่อนเถอะนะเพคะ" บัวแย้มที่ตามมาก็ห้ามนาคครุฑที่ตีกันอยู่นั้นเพราะคงจะเป็นใครไม่ได้นอกจากเขาทั้งสองแน่
"จนกว่านางจะยอมคืนของให้เรา​ บัวหลบไปก่อน"อังคาสตอบกลับแบบนั้น​ ต้องหาเข้าทางคนของตนเองเสีย
" พระธิดาเพคะ​ พระธิดาเคยสัญญากับบัวเแล้วนี่เพคะว่าจะไม่สังหารสิ่งที่ชะตาไม่ถึงฆาตในวันอังคารที่สามนี้" สิ้นคำพูดของเธอ​ ครุฑจึงได้เปลี่ยนร่างกลับเป็นร่างปกติเท่ามนุษย์​ ถึงอีกฝ่ายจะยังสงสัยแต่ว่าก็เปลี่ยนร่างกลับมาตามเดิมเช่นกัน​ เมื่อมองป่าที่ติดไฟและสายฟ้าจึงใช้พลังดับเสียให้สิ้น​ ร่างกายทั้งสองได้รอยแผลจากการต่อสู้มาบางส่วนด้วยสิ
" พระธิดาพิโรธสิ่งใดพระโอรสหรือเพคะ​ ของที่ว่าพระธิดาได้เอาไปหรือเปล่าเพคะ"สิ้นการกระทำบังแย้มก็ถามทันที
"ใช่​ เราเอาไปเอง" รับกันตรงๆนี้ล่ะไม่มีเหตุผลต้องบ่ายเบี่ยงเลยนี่
"ดีนี่ที่ยอมรับ​ แต่จะดีซะกว่านะถ้าคืนให้เรา" อังคาสกล่าวต่อเลย​ อีกฝ่ายไม่อยากฟังได้หันหน้าไปทางอื่นไม่พูดจา​  แต่เมื่อหันไปก็พบกับบดิศรที่ลอบดูอยู่หลังต้นไม้นั่น
" อย่าพระทัยร้อนสิเพคะ.. พระธิดาคืนให้พระโอรสเถอะเพคะจะได้จบปัญหา" บัวก็พยายามทำให้สถานการณ์​ดีขึ้นแต่ว่ายักษ์​ที่หันหน้าไปนั้นก็เดินจากไปอย่างเร่งรีบ​ บัวแย้มที่กำลังจะตามไปก็ถูกคว้ามือให้หยุดทันที
"จะไปไหนทำแผลให้เราก่อน​ พระธิดาของเจ้าไม่รับเจ้าก็ต้องรับผิดชอบแทน" เธอที่เห็นว่าตามไม่ทันแล้วจึงยอมตามอีกคนไปทำแผลให้แต่โดยดี​ หวังจะช่วยคลี่คลายปัญหานี้ได้บ้าง
"มาที่นี่ทำไม​ หายดีแล้วเหรอ" เธอถามทันทีที่ถึงตัวสหาย​
"เราดีขึ้นมากแล้ว​ เรามาเตือน" บดิศรเข้าเรื่องทันทีเพราะมีเวลาไม่มากนัก
" เตือน​แล้วจะช่วยอะไรเราได้ล่ะ​ "ปัทมาสน์​พูดไปแต่ใจก็อยากรู้
"ไม่ใช่ว่าช่วยได้ไม่ได้​... พรุ่งนี้พวกเราจะต้องสู้กัน​ ระวังตัวให้ดีนะ​ มันอาจจะอันตรายมาก"พร้อมจะสู้แล้วล่ะสินี่ถึงได้หาเรื่องมาสู้อีก
"กับสหายวันเดียวนี่ถึงกับต้องมาเตือนถึงที่นี่เลยเหรอ​ เราว่าไม่จำเป็นขนาดนั้นนะ" แปลกอยู่เหมือนกันสถานะศัตรูค้ำอยู่ไม่ใช่หรอกหรือ​ ออกมาเตือนก็ดูจะมากไปเสียหน่อย
" สำหรับเจ้าแล้ว​ หนึ่งวันก็เกินพอ"พูดอย่างนั้น​แต่สีหน้าเปลี่ยนหลังจากนั้นก็รู้สึกถึงว่าเวลาหมด​
" ขอบใจมาก​ รีบกลับเถอะ" พอเท่านี้ก่อน​ นานกว่านี้คงไม่ดีต่อทั้งสองฝ่าย
" สัญญาที่พวกเจ้ามีให้กันมันคืออะไร​ ทำไมต้องอังคารที่สาม" อยู่ๆก็ถามขึ้นมาอย่างนี้บัวก็ลำบากใจนะ
" พระโอรสอยากจะทราบ​หม่อมฉันจะทูลถวายเพคะ​ แต่ว่าพระองค์​จะต้องบอกก่อนว่าของที่พระธิดาลักเอาไปคืออะไร​ สำคัญถึงขนาดจะเอาชีวิตกันเลยหรือเพคะ" ไม่รู้ล่ะ​ อีกคนต้องบอกก่อนไม่งั้นจะไม่เล่าเรื่องนี้เด็ดขาด​ อังคาสที่เหมือนจะไม่ยอมในตอนแรกแต่มันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่จะต้องปิดบังเธอนี่นะ
" ศิลาสามสีที่เสด็จแม่ประทานให้กับเเพื่อรับเรา​เป็นลูกอีกคน นางเอาไปตอนที่กำลังเดินทางจากรัตนบุรีไปยังเมืองทิศพลตอนนี้ก็สิบปีแล้วนางยังไม่คืนให้เราเลย  ซ้ำนางยังท้าให้สู้​ ถือว่าไม่แพ้จะไม่คืนให้​ เราก็ต้องเอาชนะให้ได้" ประโยคท้ายที่เธอฟังก็เผลอลงแรงรักษา​แผลเสียหนักมือ​จนอีกคนหันมอง
" ขออภัยให้บัวเพคะ​ บัวไม่ได้ตั้งใจ​"เธอรู้ตัวจึงได้ขอโทษเสียไม่อยากให้หมางใจ
" ไม่เป็นไรหรอก" ดูท่าจะไม่โมโหเท่าที่เคยเห็นเลยนะ​ แต่อย่างนี้ก็ดีเหมือนกันจะได้คุยด้วยกันอย่างสบายใจ
" ส่วนเรื่องสัญญาเกิดจากที่พระธิดาเป็นยักษ์นี่ล่ะเพคะ​ มันเหมือนกับเป็นคำสาปให้ทุกอังคารที่สามของเดือน​พระธิดาจะเสวยผักผลไม้ไม่ได้​หรือแม้แต่พระกระยาหาร​ที่ปรุงสุกเลยเพคะ​ แต่เสวยเนื้อสิ่งมีชีวิตใดก็ตามที่สังหารหรือถึงฆาตได้เท่านั้น​ ยังดีที่ได้เรียนวิชาเรียกสัตว์​ถึงฆาตมาเสวยได้  พระธิดาจึงให้สัญญากับบัวว่าจะไม่สังหารสิ่งมีชีวิตใดก็ตามที่ไม่ถึงฆาตในวันนี้เพคะ"  เธอตัดสินใจเล่าไป​ หวังว่านี่จะทำให้เข้าใจกันบ้าง​ ไม่ต้องคิดทำร้ายกันจนถึงแก่ชีวิตอีก
" บัว​ อยู่ที่นี่เอง"ปัทมาสน์เข้ามาหลังจากที่เล่าเรื่องกันจบได้ไม่นานนักแต่มันก็พอที่จะไม่ให้เธอที่เพิ่งมารู้
" เอาคืนไปเถอะ​หินนี่น่ะ​ แต่ว่าเราไม่ได้ยอมแพ้นะ​ ทำแผลเสร็จแล้วเราพาบัวไปเลยแล้วกัน" มาถึงไม่ทันไรก็ตัดสินใจคืนของให้ง่ายดายแล้วพาตัวคนของตนไปในทันทีโดยไม่คิดจะพูดอะไรอีก​ แปลกไปนะบางที
"พระธิดาเป็นอย่างไรบ้างเพคะ​ ดูไม่สบายพระทัยเลย" หลังจากพามาจนถึงสระน้ำของเมืองพระธิดาเธอจึงได้ปล่อยมือ​ แต่สีหน้าดูไม่ดีเลย
" ไม่หรอก​.. เรามีของจะให้บัวด้วย​ กะว่าพบกันเมื่อไหร่เราจะมอบให้" สีหน้าจริงจังก็กลายเป็นรอยยิ้มเมื่อพูดถึงสิ่งที่จะให้
"พระธิดาจะทรงมอบสิ่งใดให้บัวเพคะ" เธอได้ถามถึงสิ่งนั้นเป็นการตอบสนองที่อีกตนต้องการฟัง
"นี่ล่ะ​ เรากับจินร่วมกันสร้างมาให้" เธอจับมือซ้ายอีกคนขึ้นมาแล้วสวมกำไลที่ต้องแสงแล้วจะเห็นเป็นลายดอกบัวที่วิจิตรงดงามราวกับใช้ช่างชำนาญทำ​
"จริงสิ​ นี่ไม่ใช่กำไลธรรมดาหรอกนะ"เธอเว้นช่วงให้มีสวนร่วมในการสนทนา
"กำไลนี่วิเศษยังไงหรือเพคะ" เธอฉงนนัก​ หรือว่ากำไลนี้จะมีพลังวิเศษเหมือนแหวนที่อัญญานีสวมใส่กันนะ
"กำไลนี่ก็นี่ท่องมนต์ให้เป็นดอกบัวขนาดใหญ่ได้น่ะสิ​ แล้วดอกบัวนั้นน่ะจะสามารถป้องกันคนที่อยู่ในนั้นจากการโจมตี ยากที่ใครจะเข้าได้หากเจ้าของมิได้ยินยอมด้วย  จำสองบทนี้ให้ดี หากต้องการให้กำไลกลายเป็นดอกบัวให้ท่อง​ โอมปทุมามหาบุปผาวาวลัย​ หากต้องการให้ดอกบัวกลายเป็นกำไลดังเดิม​ให้ท่อง​ โอมปทุมาจุลบุปผาวาวลัย​ นอกจากจะจำให้ขึ้นใจแล้วขณะที่ท่องต้องตั้งใจ​ เอาล่ะลองดูสิบัว"เธอกล่าวเสร็จจึงให้อีกคนท่องมนต์​ที่ตนสอนให้​ ถึงจะเป็นมนต์ง่ายๆแต่ใช่ว่าจะใช้ได้กับทุกคนเสมอไป​  จึงจะให้ลองดูก่อน
" เพคะ.. โอมปทุมมามหาบุปผาวาวลัย" กำลังที่ข้อมือตอนนี้กลายเป็นพลังมุ่งสู่สระน้ำแปรเปลี่ยนเป็นดอกบัวขนาดใหญ่​
" เข้าไปชมด้านในสิบัว​" ว่าแล้วจึงพากันขึ้นสู่บัวดอกนั้น​ ในนั้นนุ่มราวกับปุยฝ้ายก็มิปานอีกทั้งเย็นสงบรมรื่นมากเสียด้วย
"ดอกบัวนี้เป็นของบัวแล้ว​ บัวจะใช้งานอย่างไรย่อมได้  แต่เราขออย่างเดียว​ ต่อจากนี้อย่าไว้ใจให้ใครมาอยู่ในนี้กับบัวตามลำพัง​ ไม่อย่างนั้นจะเป็นอันตรายได้​ " เธอเตือนด้วยหวังดีเพราะไม่แน่เธออาจจะไม่สามารถปกป้องบัวได้อีกต่อไป
"เพคะ​ พระธิดา" เธอยิ้มตอบรับ​ ชี​วิตของเธอรู้สึกอุ่นใจเสมอที่ได้อยู่กับบุคคลที่เปรียบเสมือนพี่น้องขนาดนี้
" แต่เราจะขอให้บัวช่วยเราอีกเรื่องหนึ่งในวันนี้" เสียงที่สดใสนั้นดูจะจริงจังขึ้นบ้าง​ เธอมองอีกแล้วเริ่มบอกสิ่งที่จะขอทันที
......
"ไปไหนมา" อัคนินที่รู้ว่าอีกคนไปยังด้านนอกมาได้เข้ามาถามในทันที่ที่เขาได้มาถึง
"จะไปไหมก็ไม่เกี่ยวกับเจ้า" บดิศรเบื่อหน่ายกับคนที่ชอบชวนตีกับเขา​ ไม่อยากจะข้องแวะด้วยหรอกถ้าาไม่ใช่งาน
"พรุ่งนี้เราก็จะสู้อยู่แล้ว​ ยังคิดจะเอาใจไปสนเรื่องอื่นอีก​ ระวังเถอะจะไม่รอดเอา" คำพูดนี่ดูหวังดีเสียเหลือเกินนะ
"เราว่าเอาเพลาที่ว่าเราไปพัฒนา​ฝีมือของเจ้าซะยังจะดีกว่า​ เสียเพลากับเจ้ามาก็มาก​ เราขอตัว" ว่าแล้วก็จากไปไม่รีรอให้อีกคนได้พูดโต้ตอบตน
.....​
ธนูที่ยิงมาเกือบถูกบุคคลทั้งสองที่สวมใส่สิ่งวิเศษ​ ธนูทั้งสองดอกนั้นมีสาส์นท้าต่อสู้​ ณ​ ศาศวัตบุรีในวันพรุ่ง​เพื่อจบทุกสิ่งอย่างเสียที​ แต่มันจะจบจริงน่ะเหรอหากมีใครชนะสักฝ่ายเข้าจริงๆ​ 
" จั๊กแหล่น​ ไปบอกกับพวกเขาว่าพรุ่งนี้เดินทางตั้งแต่รุ่งสาง​ ส่วนเจ้าเราขอให้อยู่ที่นี่เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันทัน" ปัทมาสน์ที่อ่านเสร็จจึงได้วานให้เสือตนนี้ไปบอกกล่าวให้ฟัง
"ได้​ ระวังให้ดีแล้วกัน​ พวกนั้นน่าจะเล่นไม่ซื่อ" อังคาสที่ได้ฟังจึงกล่าวตอบไป​ ชะตาพรุ่งนี้จะเข้าข้างพวกเขาแค่ไหนนะ
...
" ทางนั้นมีกันสิบสี่คน​ ถ้ารวมบริวารน่าจะได้สิบแปดคน​ ฝั่งพวกเรามีเพียงเก้าคน​ ดังนั้นแล้วควรจะทำให้พวกนั้นหมดกำลังให้มากที่สุดก่อนการปะทะของศาสตราวุธทั้งสี่​ อย่างนี้เราถึงจะได้เปรียบ​ ไม่ว่า่จะเป็นวิธีใดก็ตามที่สามารถตัดกำลังได้เห็นสมควรโปรดเสนอให้รับรู้ทั่วกัน"ปัจจากล่าวขึ้นมาในการประชุมชุมนุมคนเพื่อวางแผนในการต่อสู้เพราะฝั่งของตนนั้นจัดได้ว่ามีคนน้อยกว่าต่อครึ่งกันเลยทีเดียว​ งานนี้จะพลาดไม่ได่เพราะสุริยุปราคา​นั้นไม่อาจจะเกิดไม่บ่อยเสมอไป
.....​
วันต่อมาในยามรุ่งสางคณะเดินทางได้ออกเดินทางทันทีเพื่อที่จะได้เตรียมตัวในการต่อสู้​ เพราะนี่เป็นถิ่นฐานศัตรู​ โอกาสเพลี้ยงพล้ำนั้นก็สูงมากเช่นกัน
ขณะที่เร่งเดินทางกันอยู่นั้นแสงตะวันพลันสาดส่องลงมาทำให้บุคคลทั้งสองแปรเปลี่ยนเป็นอีกคนไป
"เป็นไปได้ไหม​ ที่บางทีคนพวกนั้นอาจจะหาคนมาเพิ่มในการสู้ครั้งนี้​ เพราะต่างฝ่ายต่างรวมๆแล้วน่าจะมีคนเท่ากัน​ การเพิ่มกำลังพลน่าจะเป็นผลดีสำหรับพวกเขา" หลังจากที่อ่านบันทึกและสาส์นนั้น​ พุทธรัตน์จึงได้ถามกับสหาย​ ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่พวกนั้นจะเรียกไปสู้กันธรรมดาๆเพื่อจะจบเรื่องนี้ได้
" น่าจะเป็นไปได้​ แต่บางทีอาจจะมีการแบ่งคนไปยังเมืองทิศพลด้วย​ เพราะอัญญานีเป็นพระคู่หมั้นของเทพวิษุวัต​ เพราะอย่างนี้จึงให้จั๊กแหล่นช่วยดูแล" เพชรราหูตอบและกล่าถึงสิ่งที่ไม่ไว้วางใจในส่วนของพวกเขาด้วยเช่นกัน
"ตอนแรกด้านพวกเราจะให้สุดหล่ออยู่เหมือนกัน​ แต่ว่าเขาไม่ยอมพี่ตาหวานเลยต้องอยู่แทน"นั่นก็เพราะห่วงใยในพระอัยกาพระอัย​กี​ตลอดจนชาวเมืองทิศพลด้วยเช่นกัน​ แต่เจ้าสิงโตน่ะดื้อด้านอยากจะตามเพราะหวงห่วงในสิ่งวิเศษทั้งสองเสียเหลือเกิน
"โถโธ่โธ่​ พระธิดาล่ะก็​ สุดหล่อนน่ะหวงห่วงใยใน... พระธิดามากเลยนะ​ สุดหล่อถึงได้อาสามา​ ถ้ามีอะไรผิดพลาดสุดหล่อผู้นี้จะช่วยเหลือ"
ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่อาการที่แสดงก็เด่นชัดอยู่มิใช่หรือ
"ระวัง!! "พุทธรัตน์​กันทุกคนไว้ไม่ให้ไปต่อเพราะสิ่งข้างหน้านั้นผิดปกติ
"มีอะไรหรือป่าว" เพชรราหูถาม​ ในเวลาสำคัญอย่างนี้คงไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องหยุดนอกจากจะเกิดอันตราย
"เราสังเกตเห็นใบไม้ที่กำลังร่วงอยู่ขาดไปกลางอากาศ​เหมือนถูกฉีกขาด บางทีนี่อาจจะเป็นไสยเวท​ที่จะทำร้ายพวกเราให้บาดเจ็บก่อนจะไปถึงก็ได้นะ" มันก็จริง​ น้อยหรือแทบจะไม่มีเลยที่ใบไม้จะสามารถฉีกขาดได้ปานนั้นถ้ามันไม่มีอะไรจริงๆ
"น้ำอัญชันนี้น่าจะช่วยให้เราพอที่จะมองเห็นช่องทางที่จะไปโดยไม่บาดเจ็บ​ เพราะทางนี้เป็นทางแคบผ่านได้ทางเดียว"ว่าแล้วเขาจึงใช้น้ำอัญชัน​ที่พกมานั้นสาดใส่​ ด้วยเพราะสีของอัญชัน​นั้นได้ทำให้พบกับเส้นใยที่พันไว้ทั่วเพื่อที่จะให้ได้ลิ้มรสโลหิตของผู้ผ่านทาง​ ด้วยสัมผัสดูเพียงนิดจึงได้พบว่าเส้นใยนี้คมอย่างที่ไม่ควรจะเป็น​
" โอ๊ย!! "ตุ้บเท่งไม่ทันระวังตัวถูกเส้นใยนี้เข้าอย่างจัง​ เลือดที่ออกมาแม้จะน้อยนิดแต่นั่นก็พอที่จะเรียกประกายสายฟ้าที่ไม่มากแต่รุนแรงลงมายังตัวเขาได้​ โชคยังดีที่พระโอรสวันพุธ​พาตัวออกมาได้ทันไม่เช่นนั้นป่านนี้ร่างกายเจ้าสิงโตคงจะเป็นอันตรายสาหัสแน่
"ถ้าเป็นประกายสายฟ้าอย่างนี้​ อาวุธเหล็กใดก็ไม่สามารถจะทำลายได้  แล้วพวกเราจะทำอย่างไรต่อไปดีีพระเจ้าค่ะพระธิดา" หิ่งห้อยยักษ์​ถามขึ้นมาด้วยเพราะเป็นเหล็กนี่ล่ะ​ ถึงมันจะไม่ใช่ตัวล่อฟ้าจริงๆแต่ว่าก็อาจจะทำให้ร้อนจนเกิดอันตรายได้เช่นกัน
"เช่นนั้นเราจะพาหายตัวไปยังอีกฟากนึงเองนะ"ทั้งสามจับมือกันและสัมผัสปีกของอีกคนเมื่อหายตัวไปยังอีกฟากกลับพบว่าตนอยู่ที่ด้านเดิมทั้งๆที่ข้ามไปแล้ว​ ถึงจะลองอีกสักกี่ครั้งผลลัพธ์​ยังคงเดิม
"เราว่าให้เป็นหน้าที่ของเราจะดีกว่า" เธอว่าแล้วจึงใช้พลังจากเกราะ​กายสิทธิ์​เรียกธนูทิชากร​ที่ทำจากไม้ลานแกะสลักที่คันธนูอย่างปราณีตแม้ไม่มากแต่พอดี​ออกมาแล้วแผลงศรเพื่อทำลายเส้นใยสายฟ้าเหล่านั้น​ ศรนั้นเคลื่อนไหวราวกับวิหคเหินเวหาเมื่อต้องใยนั้นแล้วแสงสีมรกตพลันสว่างเจิดจ้าเส้นใยนั้นถูกทำลายสิ้นแล้ว  ทั้งหมดจึงได้เร่งเดินทางพร้อมกับระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิมเพราะไม่อาจจะรู้ได้ว่าจะเจอสิ่งใดอีกต่อไป
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ มิถุนายน 20, 2020, 06:33:10 PM
ขอเลื่อนวันอัพนิยายเป็นวันเสาร์ที่4 กรกฎาคม​นะคะ​ ด้วยเพราะช่วงนี้จะต้องเตรียมตัวและเตรียมความพร้อมเข้ามหาวิทยาลัยค่ะ​ ต้องขออภัย​ด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กรกฎาคม 04, 2020, 06:30:47 PM
ในขณะเดียวกันนั่นเองที่ทิศพลนคร​ อัญญานีได้ฟื้นขึ้นจากนิทราที่มีมาตลอดสองวันสองคืน​ บัวแย้มที่เห็นดังนั้นจึงได้นำน้ำดื่มและอาหารมาถวายให้
" บัว นี่เราหลับไปกี่วันกี่คืนแล้ว" พอที่จะทรงตัวเองลุกมาได้ก็เกิดคำถามมาในทันทีเพราะตัวเธอนั้นพอจะรู้ว่าตนเองไม่ได้หลับเพียงครู่เดียวแน่ๆ
"สองวันสองคืนเพคะ...  พระธิดาปัทมาสน์ทรงประทานสร้อยเส้นนี้ให้หม่อมฉันนำมาถวายพระธิดาเพคะ" ว่าแล้วเธอจึงส่งสร้อยให้สร้อยนี้จี้ดูคล้ายตลับขนาดใกล้เคียงกับแหวน
"นางไม่น่าให้เราเลย เราควรจะตอบแทนเสียด้วยซ้ำที่ได้รับความช่วยเหลือ​" เธอรับสร้อยมามามองดูพลางกล่าวไปเช่นนั้นเพราะในใจนางไม่ได้อยากรบกวนใครเลย
" พระธิดาอย่ากังวลพระทัยเลยเพคะ​ สร้อยเส้นนี้นับเป็นมิตร​ภาพที่พระธิดาปัทมาสน์มอบให้นะเพคะ​ พระธิดาอย่าได้คิดเช่นนั้นจะกลายเป็นการขุ่นข้องหมองใจ" บัวแย้มพูดหวังจะปลอบใจให้คลายกังวลพร้อมกับอธิบายสร้อยนี้ต่อ
"ถ้าเป็นเช่นนั้น​ เราจะสวมสร้อยนี้ไว้กับกายเราตลอด​ วันนี้เป็นวันพุธใช่ไหม​ เรามีเรื่องจะคุยกับเพชรราหู" จริงสินะวันนี่ก็ล่วงเลยมาวันพุธ​แล้ว​ เรื่องตอนอยู่เมืองคีรีมาศที่ถูกใส่ร้ายนั้นหาใครยืนยันที่อยู่ไม่ได้เลย​ เพราะตนเลยทีเดียวจึงได้วุ่นวายเช่นนี้​ ทางที่ดีตนน่าจะไปคุยเรื่องนี้เสียดีกว่า
" วันนี้.. วันนี้พระโอรสเพชรราหูกับพระธิดาพุทธรัตน์​เสด็จออกนอกเมืองเพคะ" บัวไม่ยอมลงละเอียดไปมากกว่า​นี้เพราะถ้าอีกคนรู้จะไม่ดีต่อสุขภาพ​ด้วยที่เพิ่งฟื้นได้มินาน
"จริงสิ​ เพชรราหูเขาหายตัวได้ดั่งใจ​ วันนี้ไปสักพักก็คงจะกลับมา" คิดได้เช่นนั้นก็วางใจ​ ไว้ยามเย็นคงได้คุยกันอีกที​ คนที่ฟังอยู่ก็คงได้แต่ภาวนาไม่ใครเป็นอันตรายจากการต่อสู้ครั้งนี้เลย
.....​
"ฉันทนา  เจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าเส้นใยนั่นจะได้ผล" อัคนินถามสหายใหม่ของตนเพราะชักจะไม่แน่ใจขึ้นมา
" แน่ใจอยู่แล้ว​ เราเป็นศิษย์​ของฤๅษี​ทมิฬ​นะ​ เส้นใยนั้นต่อให้หายตัวไปก็ข้ามไปไม่ได้​ อาวุธเหล็กใดโดนก็จะร้อนมอดไหม้​ พวกนั้นแก้สถานการณ์​ไม่ได้​ ถ้าอยากจะมาก็ต้องฝ่ามา​ อย่างน้อยๆก็พอลดกำลังได้บ้าง" สายตาที่ตอบกลับดูภูมิใจอย่างมาก
"งั้นก็ดี​ อีไม่นานพวกนั้นคงมาถึง​ เราไปก่อน"เขาพูดเสร็จก็ไปในทันที

ไม่นานตามคาดคณะเดินทางได้มาถึงตัวเมืองแล้ว​ ดูเหมือนว่าเมืองนี้ผู้คนจะหายไป​ แต่ก็คงเป็นเพราะต้องใช้ในการต่อสู้จะให้ชาวเมืองมาได้รับความเดือดร้อนก็กระไรอยู่​
"หายดีแล้วใช่ไหมสุดหล่อ" พุทธ​รัตน์​ถามด้วยเป็นห่วง​ ดีที่ออกมาทันไม่เช่นนั้นก็คงจะบาดเจ็บไม่น้อย
"ไม่เป็นไรหรอกพระเจ้าค่ะ​ สุดหล่อน่ะไม่ตายง่ายๆ​ ตราบใดที่สิ่งวิ..พระธิดายังอยู่" จริงรึเปล่า​ที่พูดดูแล้วไม่น่าวางใจได้เต็มที่​
"คิดจะทำอะไรอีกหรือเปล่า​ ยังไม่เห็นวี่แววของพวกนั้นเลย" หิ่งห้อยยักษ์​กล่าวกับตนเอง​ เมื่อครู่นั้นก็ถูกลอบกระทำแล้วคราวนี้จะมีอะไรอีก​ ไม่เห็นใครเลย
" เขาคงจะรอเพลาอะไรหรือป่าว​ ไม่อย่างนั้นจะถ่วงเพลาเราไว้ทั้งๆที่ไม่จำเป็นทำไม" เพชรราหูออกความเห็น​ มันน่าจะมีสาเหตุในการกระทำของพวกเขานี่
อากาศเริ่มเย็นลงแลเห็นท้องฟ้าเปลี่ยนสี​ ความืดเข้าครอบงำดวงอาทิตย์​และแล้วคนในร่างทั้งหมดจึงได้แยกออกมา
"นี่มันอะไรกัน​ ทำไมวันนี้ถึงได้เกิดสุริยะคราสเร็วนัก"ประกายพฤกษ์​พูดเป็นคนแรกหลังจากออกมากับครบ
"วันนี้พวกเรามาตามคำท้าเพื่อจะยุติเรื่องทั้งหมด​ ไม่นึกว่าจะมีเรื่องนี้ขึ้น" เพชรราหูพูดขึ้นเพื่อคนที่ยังไม่รู้จะได้รู้เรื่องนี้
"ตามการคำนวณแล้ว​ วันนี้ไม่น่าจะเกิดสุริยะคราสได้" ภูมินทร์​กล่าว​ นี่มันจะเร็วกว่ากำหนดฟ้าไปรึเปล่าหนา
"แสดงว่าต้องมีใครเล่นตุกติก​แน่​"ศุภลักษณ์​ออกความเห็น​ ไม่ทันไรลูกไฟก็เข้าจู่โจมพวกเขาทันที​  ไฟลุกยังบริเวณที่ตกใส่​ ดีที่ไหวตัวทันจึงไม่มีใครเป็นอะไร
" แน่จริงก็ออกมา​ อย่าขยันแต่ลอบกัด!! "ศนิวารรู้สึกว่านี่มันจะมากไปแล้ว​ นัดมาเพื่อทำการต่อสู้ซึ่งหน้า​ ไม่ใช่ลอบทำร้ายกันอย่างนี้
" อย่าอารมณ์​ร้อนไปสิ​ เดี๋ยวจะคิดหาวิธีสู้ไม่ทันนะ" ดาบสเฒ่าออกมาประจันหน้าพร้อมกับศิษย์หญิงและค้างคาวผี
"เมฆา!!.. นภาพร  นี่มันอะไรกันแน่ทำไมถึงเป็นพวกเจ้า" ฉันทนาเมื่อมองศัตรูครั้งแรกก็ต้องพบกับความประหลาดใจ​เมื่อเห็นคนคุ้นเคย
"เราไม่มีเรื่องต้องมาอธิบายเจ้าหรอก​ เจ้าควรจะเข้าใจด้วยตัวเองได้แล้ว" ปัทมาสน์ตอบกลับ​ ไม่จำเป็นต้องอธิบายก็น่าจะรู้ดี
"ที่เหลือไปไหนกันหมด​ กะจะตัดกำลังพวกเราอย่างนั้นเหรอ"เมธาวีถามกลับ​ จริงๆ​คนที่ควรจะสู้ด้วยก็ต้องเป็นคนสวมใส่สิ่งวิเศษเหมือนพวกตนสิ
"ก็ใช่น่ะสิ.. อ๊ะอ้าวเจอกันอีกแล้วนะเจ้าหิ่งห้อย" ค้างคาวผีตอบกลับพลางเห็นสัตว์คู่ใจของคู่กรณี​เก่าก็กล่าวทักทายไปอย่างนั้น
" พูดไปก็มากความ​ จัดการพวกมัน!! "ฤๅษี​ทมิฬ​ออกคำสั่งแต่ตนกลับไม่สู้เพราะมีคนสู้ให้อยู่แล้ว
มีมือคน​ ไม่ใช่สิ​ ผีดิบกำลังจับขาของทุกคนไว้จากได้พื้นดินยึดไว้กับที่​ แล้วอย่างนี้คงเสียเปรียบเป็นแน่
"อยากสู้ก็สู้อย่าทำแบบนี้" จันทราภาใช้พลังจากเกราะส่งผ่านดัชนีชี้ลงยังใต้ปฐพีเปล่งแสงทำลายมาตามรอยแตกของพื้นดินแล้วเข้าต่อสู้​ แต่ถูกเส้นใยของศัตรูจนโลหิตออกจากกายแต่ยังมองไม่เห็น
"จันทราภาระวังสายฟ้า!!" พุทธรัตน์ร้องเตือน​ แต่ดูถ้าเหมือนจะไม่ทัน
"จันทลักษณ์!! " เรียกเสียงที่ตกใจและเป็นห่วงของแสงสุรีย์​ที่เห็นจันทลักษณ์​เข้าคว้าตัวจันทราภาออกจากสายฟ้าได้ทันแต่ตนก็ถูกกระทำแทน
"เราไม่เป็นอะไร" เขาตอบถึงจะติดขัดไปบ้างแต่ไม่ได้เป็นอะไรมาก
" มากไปแล้วจริงๆ" อังคาสเรียกพระขรรค์​มุ่งฟาดฟันไปยังฉันทนาโดยทันที​ เธอที่มัวแต่หนีไปหลบชักใยในที่ลับก็คิดว่าไม่มีใครเห็นจริงว่าตนอยู่ตรงไหนที่ไหนได้​ สายฟ้าได้ฟาดโดนเธอเสียจนบาดเจ็บ
"ฉันทนา!!" อัคนินเห็นแบบนี้ก็จะออกไปช่วยแต่บดิศรรั้งไว้
"ยังสร้างภาพมายาไม่เสร็จ​ ออกไม่ได้นะ" เขาห้ามปรามมันยังไม่ถึงเวลา​ จะมารีบร้อนไม่ได้
"ใครสน คนกำลังเจ็บหนัก​ ศิษย์ร่วมสำนักเจ้ายังไม่สนใจอีก​ ข้าจะไปอย่ามาห้าม!!" เขาวู่วามออกไปในทันที
ผีดิบออกมาเรื่อยๆเหมือนจะไม่มีทางหยุดเลย​ นี่กะจะตัดกำลังให้อ่อนลงแบบนี้จริงๆน่ะหรือ​
" ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปข้าต้องบ้าตายก่อนแน่เลย​ เหนื่อยจะตายแล้ว" ตุ้บเท่งสู้ไปก็บ่นเหนื่อยไป​ หยุดไม่ได้​ หยุดก็แย่
" เหนื่อยมากก็มาเล่นกับข้าซะเจ้าสิงโตฮ่าๆ" ค้างคาวผีเข้าถีบสุดหล่อจากด้านหลังอย่างแรก​ สร้างโกธเป็นอย่างมากจึงเข้าต่อสู้กัน​
"ตุ้บเท่งระวังนะ​ เจ้านี่ก็เจ้าเล่ห์ไม่ต่างจากเจ้าเลย"หิ่งห้อยยักษ์​ร้องเตือนขณะที่กำลังใช้แสง9ากตนโจมตีกองทัพผีดิบอยู่
"ฉันทนา​ ไปพักก่อนเถอะเจ้าเจ็บหนักมาก"ว่าแล้วอัคนินก็อุ้มร่างของของเธอ
"นางเจ็บมากมั้ย" สุริยะที่ปลีกตัวเข้ามาดูอาการได้ถาม
"เจ็บก็เพราะน้องเจ้านั่นล่ะ​ ยังคิดจะมาขวางทางอีกนะคนไร้คุณธรรม" ว่าแล้วก็ชนให้หลีกทางพาเธอไปยังที่ปลอดภัย​ ไม่ทันไรผีดิบก็เข้าเล่นงานสุริยะอีก
" หุ่นพยนต์​จัดการ!! "ศุภลักษณ์​ตัดสินใจเรียกหุ่นพยนต์​มาสู้กับเหล่าผีดิบเพราะดำลังทุกคนจะอ่อนแรงเอาได้​ พวกนั้นได้คู่ต่อสู้แล้วก็พอจะเบากำลังได้บ้าง
" อังคาส​ เจ้ากล้าดียังไงมาทำร้ายสตรี!! " อัคนินถามอย่างเกรี้ยวกราดอย่างที่ไม่น่าจะเคยมีเท่านี้
"ใครจะรู้ว่าที่ตรงนั้นจะเป็นผู้หญิงล่ะ​ อีกอย่างนางก็เป็นคนทำร้ายจันทราภา​ เราก็มีสิทธิ์​ที่ปกป้องคนในครอบครัวเราสิ" เขาเถียงกลับ​ ใครที่ไหนก็ไม่รู้มาหาเรื่อง​ ตอนนี้คนที่เขาอยากมีเรื่องก็แค่คนเดียวเท่านั้นล่ะ
"ในการต่อสู้อย่ามาแบ่งหญิงชายหน่อยเลย​  เจ้าก็ช่างกล้าเหมือนกันล่ะอัคนินที่ว่าคนอื่นเขา"ปัทมาสน์น่ะได้เจอกับคนที่ขุ่นข้องหมองใจแล้ว​ คราวนี้จะสะสางให้เสร็จ
" เจ้าเป็นยักษ์​ก็พูดได้นี่​ ข้าจะสู้กับคนที่ชื่ออังคาสเท่านั้นอย่ามายุ่ง!! จบประโยคไม่นานด้านหลังทุกคนก็ปรากฏ​พญานาคราชสามเศียรขนาดใหญ่ปรากฏ​เรียกความสนใจไม่น้อย
"วัศพล​นาคราชา ท่านมาที่นี่ทำไมกัน"แสงสุรีย์ถามขึ้นด้วยเพราะจำได้นั่นเอง
" เจ้าเป็นใครเราไม่รู้จัก"  ไม่ต้องเวิ่นเว้อให้มากความองค์นาคาบันดาลลมพายุหมุนวนลูกใหญ่ซัดทุกคนให้ทุกลมหมุนไปเป็นวงกลมรอบ
"อย่างนี้ไปกันใหญ่​ ทำไมพญาท่านถึงถึงได้.. ได้ดระทำเช่นนี้" จินดาพูดขณะถูกลมพายุพัดตนกับผู้ร่วมชะตาเป็นวงกลมเสียขนาดนี้แถมลูกพายุก็ดูจะทวีคูณขนาดเรื่อยๆ​
อังคาสแปลงกายเป็นพญานาคถึงแม้จะออกจากพายุมิได้​ แต่ก็สามารถ​ตวัดหางรัดหางของท้าววัศพลดึงเข้าร่วมพายุนี้ด้วย
" ดูสิว่าจะทนได้กี่น้ำ"  ไม่ทันไรท้าวเธอก็ทนมิไหวได้ยุติพายุนี้ลงเสีย​ อังคาสได้กลับยังร่างเดิม เสร็จแล้วสิภาพมายาที่ทำทีนี้ก็พบได้แล้ว​ ยังไม่ทันตั้งตัวทั้งหมดก็ถูกสิ่งที่คล้ายฟองอากาศลอยเข้ายังดวงตาแล้วพบว่าตรงหน้าเป็นตัวเองอีกคน
"อันตรายมาก​ พวกนี้เหมือนเรามากจริงๆ​ เป็นนเพียงภาพมายาหรือเปล่านะ"พุทธรัตน์กล่าวขึ้นมาด้วยสับสน
"ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงรีบกำจัดพวกนั้นดีกว่า" ประกายพฤกษ์​เปิดการต่อสู้ก่อนใครด้วยการถีบใส่ท้องอีกคนที่หน้าเหมือนตนแต่หารู้ไม่ว่าคนที่ตนเพิ่งทำร้ายไปนั่นคือศุภลักษณ์​   ภาพมายานี้มีมาเพื่อให้อีกคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นศัตรูที่เป็นเหมือนตนเอง​ แต่เปล่าเลยนั่นคือคนที่เกิดวันเกิดกันฝั่งเดียวกัน​ เพื่อจับคู่ให้ทำลายกันเองจนถึงที่สุดแล้วค่อยปิดฉากอย่างง่ายดาย​ โดยที่มองหาคนอื่นก็จะแยกไม่ออกไปด้วย
"กล้าดีนักนะ" ศุภลักษณ์​ไม่ยอมจึงโต้ตอบกลับทันที
ทั้งหมดเข้าสู้กันโดยจำเป็นหรือวู่วามก็มีอยู่
"สาธุสาธุ​ เราต่างคนต่างอยู่ไม่อยากทำร้ายกันแต่วันนี้มาทำตามหน้าที่​ อโหสิกรรมให้เราด้วย" ว่าแล้วภูมินทร์ได้ระยะเตะ จึงยกเท้าขวาเตะกราดไปยังบริเวณชายโครงของอีกฝ่าย​ จินดาที่กำลังสังเกตว่าอีดคนท่าทีดูแปลกๆจึงได้ตั้งรับโดยผลักตัวไปทางซ้าย พร้อมกับก้าวเท้าซ้ายฉากไปข้างหลัง ใช้แขนขวางอศอกขึ้นรับเท้าของอีกฝ่ายที่เตะมา
"ผิดปกติไป​ นี่เหมือนกับภูมินทร์​เลยรึเปล่านะ" เธอคิดไปแต่ก็ต้องหาจังหวะต่อสู้และช่วงพักให้ดีเพื่อพิสูจน์
"หลบไวมาก​ ดูคล่องแคล่วกว่าเราอีก" พุทธรัตน์​กล่าวขณะที่กำลังเตะแต่อีกอคนหลบได้ทุกครั้ง​ พอหาจังหวะได้เธอจึงได้ชกด้วยหมัดซ้ายไปยังบริเวณใบหน้าของอีกฝ่าย พร้อมกับก้าวเท้าซ้ายไปข้างหน้า แขนขวาคุมบริเวณปลายคาง
"ไม่ธรรมดาแต่แตกต่าง​ นี่เป็นใครกันแน่" เพชรราหูกำลังวิเคราะห์​อยู่ด้วยสงสัย​ ถึงไม่รู้ว่าเป็นใครแต่ก็ควรรับมือไว้ก่อนว่าแล้วจึงก้าวเท้าขวาไปข้างหน้ากึ่งขวาหลบอยู่นอกหมัดซ้ายของฝ่ายนั้น เอี้ยวตัวไปทางขวา ปัดและกดแขนซ้ายของอีกฝ่ายให้เอนไปทางซ้ายแล้วกดให้ต่ำลง ทันใดนั้นเขาก็รีบใช้หมัดซ้ายต่อยอีกฝ่าย

"ตอนนี้มีชุมนุมจตุนาคราชาด่วน​พระเจ้าค่ะ"
ข้ารับใช้จากวังบาดาลมารายงานให้เร่งกลับไม่เช่นนั้นจะต้องเป็นเรื่องแน่
"ไปก็ไป... เราไปก่อนนะ" ท้าววัศพลกล่าว​ ถ้าไม่ไปคงต้องถูกคาดโทษจากพี่เชษฐา​เป็นแน่
"ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ​ ไว้ทางนี้จะจัดการต่อเอง" ธานินทร์รับคำกล่าว

"พวกนั้นไม่ยอมใช้พลังจากสิ่งวิเศษสู้เลย​ อย่างนี้จะเรียกว่าตัดกำลังได้ยังไง" บดิศรชักจะร้อนใจบ้างแล้วเหมือนกันที่พวกนี้เอาแต่เตะต่อยไม่ยอมใช้พลัง
"ตอนนี้นี้เป็นโอกาสดีแล้วจะทำใครก็ทำเลย" ปัจจาเสนอที่เหลือจึงเข้าไปร่วมด้วย ดูท่านี่จะเป็นการสนุกอยู่ฝ่ายเดียวเสียกระมัง

​ อัคนินจงใจซัดพลังไปที่คู่ต่อสู้วันอังคาร​ ทั้งสองเข้าใจผิดคิดว่าคนตรงข้ามนี่เองเป็นคนใช้พลังตนจึงเรียกของวิเศษออกมาน่าแปลกมากที่อาวุธไม่เหมือนกัน
" ทำไมถึงเป็นกงจักร​ "เ​ขาสงสัยก็จริงแต่ทว่าต้องเอาคู่ต่อสู้ให้อยู่จึงให้พระขรรค์​ฟาดฟันกับกงจักรเอง​ อาวุธทั้งสองที่ได้รับพลังจากสิ่งวิเศษที่สวมใส่อยู่นั้นเข้าโรมรันและฟาดฟันกันอย่างหนักจนสูงขึ้นฟ้าระเบิดลูกไฟที่เกิดจากการสู้ของอาวุธลงพื้นมากขึ้นๆจนลุกเป็นไฟด้านล่างไปทั่วบริเวณที่สู้กัน
"พระขรรค์​นี่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนรึปล่าวนะ" ยังไม่ทันคิดอะไรมากอีกฝ่ายก็ชกด้วยหมัดซ้ายตรง พร้อมกับสืบเท้าซ้ายไปข้างหน้า ใช้หมัดขวาคุมอยู่บริเวณคางของตน​ ต้องโต้ตอบก่อนถึงจะคิดหาสาเหตุ​ เธอก้าวเท้าซ้ายสืบไปตรงหน้าฝ่ายตรงข้ามอย่างรวดเร็ว พร้อมกับยกแขนขวาสอดปัดแขนซ้ายของอีกคน  แล้วโดดเข้าเหวี่ยงคอศัตรูโน้มลงมาโดยแรง แล้วตีด้วยเข่าบริเวณใบหน้า
"อย่าอยู่เลย!!" อัคนินไปร่วมวงนี้ซ้ำเติมคนที่ทำให้คนที่เขาสนใจอยู่นั้นบาดเจ็บ​ จังมาถีบก็ถีบเข้าศัตรูตั้งแต่เยาว์ของตนอีก
"อย่ามัวรีรอเลยดีกว่า​ เท่านี้คงไม่เจ็บเจียนตายหรอก" ศนิวารท้าทายอีกคนแล้วชกด้วยหมัดซ้ายตรง พร้อมกับก้าวเท้าซ้ายไปข้างหน้า​
"คำพูดแบบนี้นี่มัน.. "กำลังใช้ความคิดไปก็ต้องใช้กำลังเข้ารับด้วยแล้วจึงรีบก้าวเท้าซ้ายสืบไปข้างหน้าของฝ่ายรุก ทางกึ่งขวาของวงหมัดภายในของอีกฝ่ายที่ชกมา
ในขณะที่สู้กันอยู่ก็รู้สึปเหมือนมีใครมีถูกที่หลังแต่ไม่ยักจะมองทันว่าใครทำ
บดิศรมุ่งหน้าเข้าหาคู่ต่อสู้วันอาทิตย์หลังจากการกระทำของแม่มดเกลียวทอง
"ไม่ได้​ ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปก็ต้องแย่แน่ๆ" เขาตัดสินใจใช้พลังต่อต้านอีกฝ่ายเพราะตนไม่ได้จะมีเวลามาสู้กับอีกคนขนาดนั้นนะ
"ไม่ใช่..นี่มัน"แสงสุรีย์ชูสังวาลย์ตั้งรับพลังอีกฝ่ายกำลังจะพูดให้อีกฝ่ายรับรู้แต่ถูกขัดจังหวะเสียก่อน
"นี่เจ้าน่ะ​ มาสู้กับข้าดีกว่านะสุริยะ" เขาจงใจปล่อยพลังใส่เขาทีเผลอเอาให้คนนั้นเสียหลัก
"สุริยะ!!" เธอหลุดพ้นแล้วภาพมายาถ้าจิตใจเห็นจริงก็มิน่าจะหลอกได้นานนักหรอก
" แสงสุรีย์... นี่พวกเราต่างสู้กันเองเหรอ" เขาได้ยินเสียงเรียกแล้วหันมองรอบมีแต่คนของพวกเราสู้กันเอง
" รู้ตอนนี้ก็สายไปซะแล้วล่ะ"บดิศรเข้าทำร้ายทั้งสองทันที

"หยุดนะหยุดตีกันเดี๋ยวนี้​ ของขึ้นรอยร้าวไปกันใหญ่แล้ว!! หิ่งห้อยทำอะไรอยู่ทำไมไม่เตือนห๊ะ!!" เจ้าสิงโตที่สู้กับค้างคาวได้หันมาเจอคนสู้กันเองทั้งกำลังจนกระทั่งเริ่มมีการใช้พลังกันใหญ่โตจนตอนนี้สิ่งวิเศษทั้งสองก็เกิดรอยร้าวฝังลึกนัก​ เจ้าหิ่งห้อยอยากจะร้องห้ามอยู่หรอกแต่ธานินทร์​ใช้วิชาเถาวัลย์​มารัดตัวกับปากของเขาเสียแล้ว
......
ใครเขาจะตีกันเท่าใดก็ช่างเถอะ​ ตนได้ทำหน้าที่แล้ว​ แล้วหน้าที่ต่อไปคือพาตัวอัญญาณีกับบัวแย้มไป
ทั้งดาบสและแม่มดแยกกันทำความวุ่นวายให้บ้านเมืองทันที
"ตายแล้วๆ​ ผี​ ผีดิบมากันใหญ่เลย!!" นางกำนัลวิ่งหนีกันให้วุ่นวายเพราะไม่ได้มาแค่ตัวสองตัวแต่มาชนิดที่เรียกว่ากองทัพได้
"รีบไปที่ๆปลอดภัยเร็วเข้า" ทหารเกณฑ์​คนไปพร้อมแบ่งคนไปคุ้มกันพระกษัตริย์​ด้วย
" เกิดอะไรขึ้นกันแน่เพคะ​ ทำไมถึงได้เป็นเช่นนี้" สไบทองถามหลังจากมาสมทบที่พระราชฐานใต้ปฐพี
" พวกผีดิบมาจากไหนไม่รู้เหมือนกันลูก​ นี่ก็รอเพียงฝั่งพระธิดาอัญญานีกับบริวารมาจะได้ลั่นดาลให้แน่นหนา"ท้าวทิศพลพูดพร้อมทำทีให้ใจเย็นลงอย่าแตกตื่น
"โธ่​... แล้วลูกแม่จะเป็นอย่างไรบ้างนะ"มันอดห่วงลูกที่ไปต่างเมืองไม่ได้​  ตนยังพบเจอกับปัญหาขนาดนี้ลูกจะเป็นอย่างไรก็ยังมิรู้เลย

" จั๊กแหล่นไปดูพระธิดากับบัวแย้มก่อนนะ​ เดี๋ยวทางนี้พี่ตาหวานจะจัดการต่อเอง"  เขาวานให้ไปทันทีเพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของทั้งสองมาก​ เสือสาวรับคำแล้วเร่งไปดูกลับพบประตูที่เต็มไปด้วนเถาวัลย์​พันปิดตายไว้
"พระธิดา​ หนูบัว!!" เคาะเรียกเท่าใดคนข้างในก็ไม่ได้ยิน​ ข้างนอกก็ไม่ได้ยินเสียงข้างในเลย
" อยู่กันพร้อมหน้าดีนี่​ อัญญานี​ บัวแย้ม" เกลียวทองกล่าวทักทายราวกับผู้กำชัยชนะไว้ในมือ
"เกลียวทอง!! อย่าเข้ามานะ​ ถ้าเข้ามาเจ้าไม่ตายดีแน่" อัญญานีก็ตกใจอยู่แต่ต้องคุมสติให้พร้อมสู้ตลอดเวลา
"คิดว่ากลัวนักสิ  เอาสิอยากทำอะไรก็ทำเลย" นางเข้าใจว่าตลอดเวลาที่เลี้ยงดูนางได้ปิดกั้นทุกทางไม่ให้นางไปยุ่งกับการต่อสู้​ นางจะสู้อะไรตนได้
"ได้​.. ก็ลองดู" เธอกำลังจะใช้แหวนมาจัดการพร้อมให้บัวแย้มหาทางหนีที่ไล่ให้ด้วย​ นางแม่มดรู้สัญญาณจึงใช้พลังจับตัวบัวมารัดคอแล้วยกขึ้นสูงเหนือพื้นดิน
อัญญานีใช้แหวนเท่าใดๆก็ไม่เป็นผล​ คนถูกทำร้ายใกล้จะหมดลมเต็มทน
"ไอ้แหวนนี่น่ะแน่เหรอจะมาจัดการเรา​ เอามานี่" ว่าแล้วนางก็ใช้พลังสับเปลี่ยนยึดแหวนมากับตน​ แล้วขู่เสียไม่ให้คิดสู้
"จะยอมไปเฝ้าพระเทวาวิษุวัต​ดีๆหรืออยากให้นางบัวแย้มตาย" ไม่พูดเปล่านางกลับยิ่งใส่พลังเข้าไปรัดคอให้แน่นยิ่งกว่าเดิม
"ได้... เรายอม​ ยอมทุกอย่าง​ ปล่อยบัวเถอะ" สิ้นสุดคำพูดแล้วเกลียวทองก็ได้ปล่อยตัวบัวแย้มไป
"เชื่อฟังได้ได้อย่างนี้ก็ดี​... ท่านฤๅษี​รบกวนท่านต่อแล้ว" ว่าแล้วก็คว้าอัญญานีหายตัวไปในทันที​ ฤๅษี​ใช้ผอบนำร่างบัวแย้มที่สลบเข้าไปอยู่ด้านในเพื่อจะนำไปให้ศิษย์รักของตน​ แล้วจึงใช้ว่านแปลงเป็นบัวแย้มส่วนตัวก็แปลงกายเป็นอัญญานี
เถาวัลย์​หายไปประตูได้เปิดออก​ จั๊กแหล่นเปิดได้จึงเข้าหาด้วยเป็นห่วง
" แย่แล้วจั๊กแหล่น​ บัวถูกทำร้าย​ ดีที่เมื่อกี้เราใช้แหวนช่วยไว้  แต่ตอนนี้คงจะต้านไม่ไหว​ พวกเราไปหลบที่ปลอดภัยกันก่อนดีไหม" เขาแสร้งพูดเพราะตัวเองจะได้รู้ที่ซ่อนตัวของเมืองนี้​ นางก็เชื่อเลยพากันไปที่ชั้นใต้ดิน
.......
"ภูมินทร์​จริงๆ​ด้วย" จินดาหยุดเมื่ออีกฝ่ายหยุดก่อนก็พอรู้ว่าใช่จริงๆเพราะอย่างเขาน่ะ​ ไม่อยากทำร้ายคนไปมากกว่านี้แล้วต้องหยุดก่อนแน่ใช้สันติเข้าสู้
" ไม่ได้การแล้ว​ ต้องใช้ผงทลายมายา" ภูมินทร์​กำลังจะใช้ผงขาวทำลายมายาให้ทุกคนแต่ต้องถูกขัดโดยปัจจากับธานินทร์​ พวกเขาเข้ามาแย่งยื้อต่อสู้เอาถุงใส่ผงนั่นจนวุ่นวาย​ จินดาที่รับถุงมาได้ก็โยนไปคู่ของคนวันศุกร์ทันที​ ควันผงพวยพุ่งทำให้ทั้งสองคลายภาพมายาลงไป
"เป็นเจ้า!! " ทั้งสองตกใจไม่นานก็ต้องรีบใช้ผงไปให้คนอื่นหายจากภาพมายา​ หลายคนก็ออกจากมายาได้แล้ว​ แต่อัคนินมิทันรู้ตัวเพราะมัวแต่ปั่นหัวคนอื่น​  ศุภลักษณ์​สบโอกาสใช้มีดสั้นกรีดใบหน้าด้านขวาของอัคนินจนเป็นแผลลึก​  คราวนี้ทุกคนได้สติคืนมาแล้วจะไม่ยอมอีกต่อไป
" ทั้งหมดรวมพลัง!!" สุริยะและแสงสุรีย์ได้กล่าวพร้อมกันให้ทั้งหมดนั้นได้รวมพลังต่อสู้แล้วทั้งสองฝั่งก็ได้ประลองพลังทันที
"พวกเจ้าไม่มีทางชนะข้าได้หรอก" อัคนินแค้นทั้งแค้นที่ถูกกระทำจึงส่งพลังไปอย่างเต็มที่
"ได้ไม่ได้ก็ตองลองดู" จันลักษณ์​กล่าวตอบแล้วใส่พลังเข้าไปอีก
" อย่าดื้อรั้นอีกเลยยังไงพวกเจ้าก็ต้องแพ้" บดิศรเสริมพร้อมๆกับเพิ่มพลังเข้าไป
"แพ้เพราะพวกเจ้าโกง​ คงจะภูมิใจนักล่ะสิ"ศนิวารตอบกลับ
ตอนนี้พลังที่ปะทะอยู่ตรงกลางนั้นไม่เคลื่อนที่ไปไหนแต่กลับทำให้พื้นดินลุกเป็นไฟไปทั่ว​ รวมกับร่องรอยจากการสู้กันเองแล้วนั้น​ ทะเลเพลิงก็คงจะเหมาะกับสภาพบริเวณในที่แห่งนี้
"ไม่ดีแน่​ มันเป็นบริเวณกว้าง​ พวกสัตว์ป่า​สิ่งมีชีวิตอื่นจะต้องเดือดร้อน​ พวกเราพอก่อนดีไหม" ภูมินทร์​ทักท้วงเพราะนี่ไฟที่เกิดจากการปะทะพลังอยู่ตรงกลางก็ลุกขึ้นสูงจวนจะเสียดฟ้าแล้ว
"ถ้าพวกนั้นไม่หยุด  พวกเรานี่ล่ะจะเดือดร้อน" เพชรราหูตอบ​ ไม่ใช่ไม่อยากหยุดแต่หยุดไม่ได้
" อย่ามาหาข้ออ้างเลย​ กลัวก็บอกเถอะฮ่าๆ"อัคนินกล่าวยิ่งใส่พลังเสียสุดฤทธิ์
" ใครว่ากลัว​ สงบปากไว้บ้างก็ดีนะ" เมธาวีโกรธ​ยิ่งกว่าไฟเธอจึงเพิ่มพลังไป
"เอาให้มันรู้ไปเลยว่าใครจะอยู่จะไป" พุทธ​รัตน์​กล่าวร่วมด้วย
ไฟมันลามมากเกินควบคุมแล้ว​ ขืนเป็นอย่างนี้วุ่นวายไม่จบสิ้นแน่
" พอกันก่อนทั้งพวกเราและพวกเจ้า​ มันเกินไปแล้วรึเปล่า" สุริยะเห็นท่าไม่ดีจึงได้เตือน
" ไม่!!" เสียงตอบของคนไม่เห็นด้วยดังขึ้น​ แล้วเหมือนยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุก็ใส่พลังไม่ยั้งเลย​ คนที่เห็นด้วยจะถอนตัวแต่ว่าเหมือนพลังได้ดึงดูดพวกเขาให้ส่งพลังต่อราวกับแม่เหล็ก​ แบบนี้พลังน่ะเกินขีดกำจัดในการควบคุมเข้าให้แล้ว​ ร้อนถึงพระแม่ธรณี​ต้องมาดับความเดือดร้อนครั้งนี้เสียแล้ว
พระแม่ธรณีตัดสินพระทัยบีบมวยพระเกศาให้มวลมหานทีไหลท่วมจรดเพื่อดับไฟ​ และแล้วน้ำน้ก็ได้ไหลหลากอย่างเร็วและรุนแรงซัดไปคนละทิศทาง​  ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เกราะกายสิทธิ์​และสังวาลย์​มณีได้แตกพังเสีย​ ด้วยมวลน้ำที่มากและเร็วทำให้ผู้คนเทวา​ แลสิ่งมีวิตอื่นที่เข้าการต่อสู้ไปกันไกลมากพอที่จะไม่ได้เจอกันง่ายๆ​ ผ่านไปจนอาทิตย์​อัสดงแสงสุรีย์ได้ฟื้นขึ้นมาหลังจากเหตุการณ์​นี้​ ถึงจะยังอาการมิสู้ดีแต่ว่าสหายนี่สิจะเป็นอย่างไร​ ทำไมมิเห็นจะฟื้นเลย
เธอเข้าไปดูแล้วพบว่าร่างอันพิการเข็ญใจของเขานั้นไร้ซึ่งวิญญาณ​เสียแล้ว​ เธอพยายามเขย่าร่างอีกคนจนสุดแรงก็มิเป็นผล​  ใบสรรพชีวีที่มีก็หมดไปเสียแล้วจะทำอย่างไรต่อไปดี
......
ทั้งสี่ได้มาถึงที่ซ่อนโดยคนด้านในไม่รู้เลยว่า​นี่ไม่ใช่มิตรแต่หากเป็นศัตรูแฝงตัวมา​
"อยู่ที่นี่กันสินะ​ ฮ่าๆ" อัญญานีอดหัวเราะชอบใจเสียมิได้​ คนก็สงสัยนักว่าเกิดอะไรขึ้น
"อัญญานี​เป็นอะไร​ ทำไมท่านถึงได้กระทำกริยาเช่นนั้น" มเหสีอมรินทร์​ถามด้วยสงสัยท่าที​
"ก็น่ายินดี.. ที่จะได้พวกเจ้าเป็นข้าทาสบริวารน่ะสิ" ว่าแล้วเขาก็กลับร่างตนแล้วใช้ทีเผลอนั้นใช้มนตราทำเชือกรัดไว้แล้ว
"ปล่อยพวกเรานะ​ ท่านก็บำเพ็ญตนเป็นผู้ทรงศีลกระทำการเช่นนี้นับว่าสมควร​หรือ"ท้าวทิศพลท้วง​ คนมีศีลไม่ควรกระทำการเช่นนี้
"สมควรสิ​ เอาเถอะลูกเจ้าจะได้ไม่ต้องเหงาใจ​ เพราะทั้งหมดนี้ต้องเป็นข้าทาสในรัตนบุรีเท่านั้นฮ่าๆ​ ออกเดินทางพรุ่งนี้​ ใครฝ่าฝืนมีโทษทางเดียวคือตาย" ว่าแล้วจึงออกไปยังด้านนอกแล้วปิดปากทางเข้าจากด้านนอกอีกชั้นเพื่อความปลอดภัย
.....
"บัวจะเป็นอะไรรึเปล่านะ​ มันเกินอะไรขึ้นกันแน่​ ทำไมแหวนถึงใช้งานไม่ได้อีกแล้ว​ คราวนี้ก็ถูกเอาไป" อัญญานีสงสัยมากจริงๆ
" ถ้าถึงขนาดที่พวกนั้นหายไปนานขนาดนี้​ แสดงว่าต้องมีเรื่องแน่​ พวกนี้ไว้ใจไม่ได้จริงๆ​" ตอนนี้ต้องเอาใจโอนอ่อนผ่อนตามไปก่อน​ เพราะยังไม่รู้ว่าเรื่องอะไรเป็นยังไงกันแน่​ ระหว่างนี้ต้องรอจังหวะที่จะหนีไปอีกรอบ​ แต่เมื่อกำลังสรวจหน้าต่างนั้นกลับพบว่าด้านล่างเป็นพื้นแก้ว จะว่าไปแล้วห้องนนี้มันไม่ใช่ห้องเดียวกลับเมื่อคราวที่แล้ว​ ต้องระวังตัวให้มากขึ้น​ และรอบคอบมากขึ้นเสียแล้ว
.....
ช่วยอะไรไม่ได้ก็คงต้องปล่อยไปตามเวรตามกรรมจริงๆ​  เชิงตะกอนที่ทำด้วยน้ำพักน้ำแรงจนค่ำของแสงสุรีย์​นับเป็นสิ่งสุดท้ายที่สหายคนหนึ่งจะทำให้​ได้​ ถึงจะเสียใจราวกับฟูมฟายแต่มิใคร่จะได้ยินเสียงจากเธอเลย​ เธอพาร่างสุริยะขึ้นยังเชิงตะกอน​ แสงจันทร์​สะท้อนใบหน้าด้านซ้ายของเธอเป็นแผลเป็นที่เกิดจากการถูกกรีดลงลึกเสียน่าตกใจ​ เธอทำใจอยู่นานแต่ก็มิอาจจะใช้ไฟมาเผาร่างนี้ไปได้​ อยู่ๆท้องฟ้าก็ปรากฏ​แสงสว่างทั่วราวกับแสงจากดวงอาทิตย์​ในยามกลางวัน​ ส่งผลให้ความสนใจของเธอนั้นมุ่งไป  นั่นคือแสงอะไรกันแน่ทำไมถึงได้มุ่งมายังที่แห่งนี้ได้​ หรือนี่จะเป็นเป็นแสงความโชคดีที่มีมาให้กับสุริยะกันนะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กรกฎาคม 11, 2020, 06:30:23 PM
ขอเลื่อนเป็น18.50นะคะeditคำผิดค่ะ
***ขอโทษอย่างสูงขอเป็น1ทุ่มนะคะ​ปั่นเช็คแล้วยังเหลือน่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กรกฎาคม 11, 2020, 07:09:32 PM
"ที่นี่ไม่คุ้นเท่าไหร่เลย เราถูกซัดมาไกลเท่าไหร่กันนะ....อัคนิน เป็นยังไงบ้าง" หญิงสาวเมื่อฟื้นขึ้นมาก็พบว่าถูกกระแสน้ำซัดมาไกลมาก ซ้ำสหายร่วมสู้ก็ดูท่าอาการไม่ดีเท่าไหร่เลย บาดแผลที่เกิดจากการต่อสู้นั้นก็ลึกมากจนอดห่วงไม่ได้
"ไม่เป็นไรหรอก ฉันทนาร่างกายของเจ้าน่าห่วงกว่าอีก"ทั้งที่ตัวก็เจ็บไม่น่าบอกแบบนั้เลยนี่นา
" ดีแล้วที่ไม่เจ็บมาก จะได้ออกเดิืนทางต่อ"
"เจ้าจะไปตามหาเมฆาขอของเจ้าใช่ไหมล่ะ เราจะบอกอะไรให้นะ คนแบบศุภลักษณ์น่ะไว้ใจไม่ได้ หลอกคนไปทั่ว" เขาพูดประชดประชันด้วยน้อยใจ  มีอย่างที่ไหนคนไม่ห่วงตัวเอง​ ต้องสนใจด้วยหรืออย่างไร
"อย่าว่าเขานะ  เราว่าเขาต้องมีเหตุผล" ถึงจะพูดอย่าngนั้นก็อดคิดตามไม่ได้
"เราอยากให้เจ้าสนใจมองคนอื่นบ้าง ช่างเถอะหาอาหารและหาที่พักดีๆก่อน พรุ่งนี้จะได้กลับ"ไม่อยากถกเถียงต่อไป คนมาทีหลังก็ต้องทำใจให้เข้มแข็งแล้วลองใหม่อีกที
....
"ที่นี่ไม่ใช่รัตนบุรีแน่ๆ แต่น่าจะเป็นเมืองไม่ไกลจากศาศวัตบุรีเท่าไหร่นักนะ" บดิศรที่ถูกกระแสน้ำซัดมาคนเดียวฟื้นขึ้นมาได้ก็สำรวรอบๆ ก็พอจะรู้ว่าไม่ใช่บ้านเกิดเมืองเก่าของตน
" ต้อngเร่งเดินทางกลับให้เร็วที่สุด" เขาไม่แม้แต่คิดจะหยุดพักเพราะตอนนี้สิ่งที่คิดถึงถึงที่สุดคือคนที่อยู่รัตนบุรี
..........
" เจ้าหิ่งห้อยฟื้นขึ้นมาเร็วเข้า ฟื้นเร็วสิ!" เจ้าสิงโตร้องเรียกอีกฝ่ายพลางแก้เถาวัลย์ให้
"นี่พวกเราสลบไปนานเท่าไหร่นะ...แย่แล้วพระโอรสกับพระธิดาล่ะ" เมื่อฟื้นขึ้นมาได้ไม่นานก็ได้สตินึกห่วงทันที สุดหล่อได้ยินก็ฟูมฟายใหญ่โต
"มันหมายความว่ายังไงกันแน่เจ้าตุ๊บเท่" อย่าเอาแต่ร้องไห้จะได้มั้ย" อีกฝ่ายต้องรู้อะไรแน่ ไม่เช่นนั้นจะแสดงอาการขนาดนี้เลยหรือ
"ก่อนถูกน้ำซัดมาข้าเห็นเกราะกายสิทธิ์กับสังวาลย์มณีถูกทำลายไปแล้วน่ะสิ ไม่เหลือะไรเลยฮือๆ/ เล่าไปก็ฟูมฟายไปราวกับจะจบชีวิตลง
"แย่แล้ว อย่างนี้พระโอรสกัิบพระธิดาจะต้องอยู่ในอันตราย ไม่ได้การแล้วต้องรีิิบไป​ บินไปไม่ทันไรปีกนั้นก็เกิดเสียงคล้ายจะหักแหล่ไม่หักแหล่
" พักก่อนเถอะ ฝืนไปก็เปล่าประโยชน์​ ไม่เหลืออะไรแล้ว"ไม่น่าจะตามหา เท่านี้ก็ไม่เหลืออะไรแล้วจะไปทำไมให้เสียเวลา
" เจ้าไม่เคยเข้าใจอะไรเlย เจ้าก็เอาแต่ห่วงสิ่งวิเศษ เจ้าไม่เคยแม้แต่จะมีความเป็นสิ่งมีชีวิตจิตใจหรือแม้แต่คิดถึงความสัมพันธ์ที่มีต่อกันเลย ถ้าไม่อยากช่วยก็ไปตามทางของเจ้าซะเถอะ" เขาว่าอย่างนั้น อยู่ด้วยกันมาไม่เคยมีความผูกพันกันแม้แต่น้อยเลยเหรอ
"เอาเถอะๆ ถึงข้าจะไม่เข้าใจในความสัมพันธ์อะไรนั่นของเจ้าก็เถอะนะ เอาเป็นว่าข้าจะช่วยแต่เจ้าต้องรักษาตัวก่อน แทนที่จะช่วยได้ก็เป็นภาระเอา" ถึงจะไม่เข้าใจแต่ก็ยังพอมีน้ำใจอยู่บ้างล่ะนะ
" ก็ได้ เราจะพักรักษาตัว แต่ขอเพียงคืนเดียวก็พอ" เป็นห่วงครั้นจะเลิกห่วงก็ไม่ได้ แต่ต้องเอาตัวให้รอดก่อนจะดีที่สุด
......
" นี่คือศรุตเทพจุติมามิใc่หรอกหรือ เหตุใดจึngถึngแก่ความตายเร็วนัก" วิหคเพลิงสองเศียรผู้เป็นแสงสว่างราวกับแสงดวงอาทิตย์ได้เข้ามายังเชิงตะกอนเพื่อมองดูแล้วจึงได้ถาม สตรีที่มีใบหน้าที่เป็นแผลเป็น เธอเลี่ยงการตอบโดยวาจาแล้วจะลงมือเขียนพื้นดินตอบ นกไฟจึงได้ยั้งไว้
" ไม่เป็นไร เราสื่อสารผ่านทางใจได้ เล่าามาเถอะ" เมื่อได้ยินดังนั้นเธอจึngเล่าให้ฟังเรื่อngราวที่ประสบพบเจอมา
"ศรุตเทพ..สุริยะในชาตินี้ต้องรับวิบากกรรมโดยมิทันแก้ต่างความผิดก็ต้องสังเวยชีวิตไปรอเอาชาติหน้าเชียวหรือ เมื่อครั้งยังไม่จุติเขาเป็นสหายเพียงผู้เดียวที่อยู่เคียงข้างเราเมื่อได้รับโทษที่เรามิได้กระทำ เราเชื่อว่าสิ่งที่เขากระทำต่อเทพวิษุวัตต้องมีเหตุผล​ เราอัจจิมามิสามารถยินยอมให้เขาจากไปเพื่อรอแก้ต่างควาผิดในชาติต่อไปได้"จบประโยคศีรษะทั้งสองของตนจึงได้หลั่งน้ำตาลงบนกลางหน้าผากอันเหือดแห้งของผู้สิ้นชีพ ร่างกายกลับมาดูชุ่มชื่นอีกครั้ง แสงรอบกายราวกัิบหิ่งห้อยนับร้อยค่อยๆจุดดวงไฟแห่nงชีวิตขึ้นมาจนเจ้าตัวได้ลืมดวงตาขึ้นเป็นสัญญาณดีว่าเขาได้ฟื้นคืนจากความตาย
" เรายัง..ไม่ตายเหรอ.." เขาน่าจะตายไปแล้วนี่ ทำไมเขายังฟื้นขึ้นมาได้ล่ะ
"จริงๆเจ้าก็สิ้นไปแล้ว แต่เราได้นำพาเจ้ากลับมา ได้ชีวิตกลับมาต้องรักษาให้ดี เราเชื่อว่าต้องมีวิธีทำให้เจ้ามาเป็นปกติ เราออกมานานพอแล้วเราต้องกลับก่อน หากมีวาสนาคงจะได้เจอกันใหม่" ว่าแล้วเขาก็เตรียมตัวจะจากไป
"พระองค์​คือเทพวิหคอัจจิมาดังในตำนาน หม่อมฉันขอขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ" เขาที่นึกออกได้ก็รีบขอบคุณทันที
" เราเต็มใจ..เจ้าจงรักษาความดีและะทำหน้าที่ให้ถึงพร้อมเถิด" อีกเศียรกล่าวด้วยเสียงสตรีซึ่งต่างกับอีกเศียรที่พูดมาใตอนแรกทั้งหมด ว่าแล้วจึงได้บินจากไป จากแสงสว่างทั่วท้องฟ้าเหลือเพียงแสงจากคบเพลิงเท่านั้น
" แสngสุรีย์ ท่านได้รับบาดเจ็บมากรึเปล่า เหตุใดถึงได้มีบาดแผลลึกเช่นนี้" เรื่องของตนเองผ่านไปด้วยดีถึงแม้จะยังพิการเข็ญใจอยู่ แต่ยังอดห่วงสหายไม่ได้ เธอไม่ใช้วาจาตอบแต่กลับใช้นิ้วมือเขียนลงบนพื้นดิน
เราเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เกิดแล้ว​ รวมถึืืงการพูดไม่ได้ของเราด้วย เราก็เหมือนกับท่านหากได้สวมใส่สิ่งวิเศษก็จะเป็นดั่งคนปกติ" เรื่องนี้สร้างความประหลาดใจให้กับเขามาก ตั้งแต่รู้จักกันมาก็มิเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย เขาก็คิดว่าเธอนั้นเป็นปกติทั่วไปเสียอีก แต่ก็ยังดีที่ช่วยเหlือตนเองได้คล่องแคล่ว​กว่า
" พวกเราจะทำอย่างไรกันต่อไปดี สิ่งวิเศษก็ได้แตกจากกันและะสูญหายไปแล้ว" ทีนี้จะทำเช่นไรกัน พวกเขาราวกับคนธรรมดาค่อนข้างด้อยกว่าในความรู้สึก เสียเปรียบเหลือเกิน
"พวกเราต่างก็เรียนวิชาอยู่บ้าง ใช่ว่าจะไร้หนทางเสมอไป วันนี้พักผ่อนกันก่อน พรุ่งนี้เราจึงใช้วิชารวบรวม"จริnงสิพวกเราต่างก็เรียนวิชามานับสิบปี ควรหาประโยชน์จากการใช้งานเสียบ้าง เมื่อตกลงกันได้แล้วจึงได้พักผ่อนกัน
........
"ปัจจาตื่นขึ้นมาเร็ว พวกเราปลอดภัยแล้ว" ธานินทร์ร้องเรียกสหายร่วมงานหลังจากที่ผ่านกระแสน้ำมาแล้วได้สลบไปจนตื่นหนึ่ง
" ปลอดภัย.."เขาลุกขึ้นด้วยอาการมึนงงเล็กน้อย
"ใช่ ตอนนี้พวกเราอยู่กันที่หอชิดดารา" เขาดูยินดีที่ได้กลับมามากเสียจริง
"นั่นก็นับว่าน่ายินดีที่พวกเราไม่สูญสลายหายไป แต่ว่าหน้าที่ยังไม่หมดไป พวกเราต้องไปดูให้แน่ใจว่าพวกนั้นจะไม่สามารถย้อนกลับมาทำร้านพวกเราได้อีก" ก็จริงอย่างที่ว่า ปล่อยไว้ไม่เป็นผลดีต่อฝ่ายตนนักหรอก
" วางใจเถอะ เราเห็นมากับตาว่าทั้งสองฝ่ายสิ่งนั้นแตกพังลอยไปตามน้ำแล้ว ที่สำคัญพวกนั้นอาการไม่สู้ดี คงคิดทำอะไรไม่ได้ทันหรอก อย่าคิดมากเลย" เขาช่างเป็นเทพที่ปล่อยวางง่ายเสียจริง
" เพราะประมาทนั้นล่ะมันถึงได้วุ่นวาย" เขาเริ่มไม่พอใจแล้วนะ
"พักผ่อนเสียก่อน  ไว้มีแรงพรุ่งนี้จะตามหาก็ไม่สาย/ เขาออกความเห็น รีบร้อนไปก็ใช่เรื่องมันจะะได้ดั่งใจเสมอนี่ อีกคนฟังก็ยอมตามใจเพราะเห็นสหายอ่อนล้าจึงไม่อยากดื้อดึง
........
เช้าวันใหม่ได้เริ่มต้นอย่างไม่สดใสเลยของชาววัืงเมืองทิศพลเพราะต้องถูกนำตัวไปเป็นข้าทาสบริวารยังต่างเมือง เสือสาวดูเหนื่อยหน่ยเต็มจึงได้ร้องเรียกดาบส
"ท่านตาปล่อยจั๊กไปเถอะนะเจ้าคะ จั๊กจะพาไปพบท่านตามฤคินทร์" คำพูดนั้นทำเอาผู้นำขบวนขนคนถึงกับให้ความสนใจเลยทีเดียว
"เชื่อใจเจ้าได้แค่ไหน" ถึงจะสนใจแต่ต้องระวังตัวไว้ก่อน
"ได้มากกว่าคนพวกนี้ทั้งหมดเลยเจ้าค่ะ" เขาจึงแก้มนต์ที่รัดเธอออกให้
"คุมตัวคนพวกนี้ไปถึงรัตนบุรีก่อน แล้ววจึงไปพบตาของเจ้า" เขาอยากพบสหายคนนี้เพราะต้องมีเรื่องที่ควรจะสะสางให้สิ้น
"เดินทางอีกตั้งไกล จั๊กน่ะปวดขาจะแย่ ท่านตาก็มีอิทธฤทธิ์ ทำไมไม่รีบพาไปเสียเร็วๆกันล่ะเจ้าคะ"  เธอแกล้งโวยวายเพื่อที่จะไม่ให้ทุกคนต้องเหนื่อยแรงเดินทาง
" ถ้าไม่ใช่เพราะตาของเจ้า อย่าหวังจะได้ไปอย่างสบายเลย"
มินานมากนั้นด้วยมนตราที่ท่องเพียงครู่ ทั้งหมดก็ได้มาถึงที่ต่างเมืองอย่างรวดเร็ว
" ไว้เราไปทูลพระมเหสีก่อน อย่าคิดตุกติกอะไรโดยเด็ดขาด" เขาสั่งอย่างนั้นแล้วก็จากไป
"มเหสี ..หรือว่าจะเป็นสไบแก้วกันนะ" สไบทองคิดถึงไม่กี่คนหรอกที่คิดทำร้ายตนไม่ปล่อยเช่นนี้
" เราห่วงว่าหลานของเราจะได้รับอันตรายเสียแล้วสิอมรินทร์ ป่านนี้แล้วมิเห็นวี่แววเลย" ท้านวดลกกล่วกับมเหสีอย่างอ่อนใจ
" ทั้งฝ่าพระบาทและธิดาอย่าเป็นกังวลเสียจนเกินเหตุ ตอนนี้พวกเราควรคิดหาวิธีเอาตัวรอดเสียก่อน" พระนางสนอเพราะเห็นอาการที่ไม่สู้ดีของทั้งสองจึงได้กล่าวไปเพราะเชื่อว่าต้องมีวิธีที่รอดออกไปแน่
.....
" เราจะทำอย่างไรดี.."อัญญานีพึมพำกับตนเองที่ไม่สามารถจะออกไปจากที่นี่ได้เลย
" รอคอยความสุขก็น่าจะเพียงพอนะอินทรานี"เทพวิษุษัตเข้ามาเยี่ยมยือน เมื่อเห็นใบหนาก็รู้สึกได้ชัดว่านี่คืออดีตพระชายาแต่ก่อนจะไปเกิดใหม่เป็นอีกคน
"ความสุขอะไร แล้วท่านเป็นใคร" คิดอยู่คนเดียวก็วุ่นวายในหัวพอแล้ว ทำไมต้องมีใครมาขัดสมาธิด้วยนะ
"เราวิษุวัต..จริงอยู่ที่เจ้าจะจำเราไม่ได้ แต่รอคอยไม่นานดอกปาริชาติบานสะพรั่งคราใด เจ้าก็จะสามารถระลึกกถึงได้ด้วยตนเอง"พระเทวากล่าวเช่นนั้นมีหรือที่เธอจะพอใจได้
"พระองค์จะใช้อดีตมาทำให้หม่อมฉันคล้อยตามหรือเพคะ หม่อมฉันมิยินยอมเข้าพิธีอภิเษกสมรสโดยเด็ดขาด และะหม่อมฉันเชื่อว่าสหายของหม่อมฉัจะต้องมาถึงที่นี่ในเร็ววัน" เธอกล่าวเพราะรู้สึกเหมือนโดนบังคับและยังมีความหวังอยู่ว่าสหายต้องมาช่วยอย่างแน่นอน
"สหายเจ้าไม่รู้ทางมาเสียด้วยซ้ำ เราจะบอกอะไรให้อีกอย่าง พวกนั้นน่ะลอยหายไปกับสายน้ำแล้ว อีกทั้ืงของวิเศษก็ถูกทำลายไปแล้ว  จะไม่เชื่ออก็ตามใจ ไว้เสร็จงานใหญ่เมื่อใด เราสัญญาว่าเจ้าจะเป็นสตรีีโชคดีที่สุด" ทิ้งประโยคสุดท้ายแล้วจึงจากไปทิ้งให้เธอได้อยู่คนเดียวอีกครั้ง เธอถอดสร้อยมาดูเพื่อหวังให้เกิดปาฏิหาริย์จากอภินิหารของของขวัญที่สหายมอบให้บ้างก็ยังดี​ มันคงเป็นไปไม่ได้หรอก แต่แล้วเธอก็พลาดทำตก จี้ตลับนั้นเปิดออกปราฏธำมรงค์แก้วศุภรอยู่ด้านใน เจ้าตัวเห็นก็ได้รีิิบเก็บไว้อย่างดี รอโอกาสที่จะออกไป
"หรือว่านางจะรู้เรื่องนี้มาก่อนแล้วนะ"
.....
"แต่เราจะขอให้บัวช่วยเราอีกเรื่องหนึ่งในวันนี้" ภาพวามทรงจำจากครานั้นมาเยือนเมื่อนึกถึง
"เรื่องอะไรหรือเพคะพระธิดา" บัวนั้นสงสัยท่าทีตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว
"เจ้าจงนำแหวนปลอมนี่ไปสลับกับของจริง แล้วนำของจริงใส่ไว้ในจี้ตลับนี้" น่าสงสัย ทำไมต้องทำเช่นนี้ด้วย
" เหตุผลอันใดถึงต้องทำเช่นนี้ด้วยหรือเพคะ"คนถูกวานต้องสงสัยกันเป็นธรรมดา
"พรุ่งนี้จะมีการต่อสู้ คนพวกนั้นจะต้องแบ่งคนมานำตัวอัญญานีไป พวกนั้นน่าจะรู้จักแหวนนั่นดีแล้ว ถึงจะมาชิงเอาตรงๆไม่ได้ แต่เล่ห์กลพวกนั้นต้องช่วงชิงได้แน่ นี่เป็นการปกป้องอีกขั้น ถึงแม้จะเป็นการทำร้ายนางทางอ้อมแต่อย่าให้นางรู้จะดีที่สุด" เธอฟังดังนั้นจึงได้ตกปากรับคำไป

" เราทำถูกต้องไหมนะ"เธอรู้สึกเป็นห่วงพวกเขาขึ้นมาเสียแล้ว
" ในการตัดสินใจหาทางหนีก็ไม่นับว่าผิดอะไรนะบัว"บดิศรได้เข้ามาพบหน้าหลังจากการเฝ้าพระบิดามารดาได้ไม่นาน
" พระโอรส!! " สีหน้าเธอยิ่งเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด หากบดิศรกลับมาได้แบบนี้ก็น่าจะร้ว่าอีกฝ่ายน่ะเป็นอย่างไร
" บัวเป็นอะไรรึเปล่า" เขาเป็นห่วงมากจนอดคิดกังวลเสียมิได้
" เหล่าพระโอรสพระธิดาคงจะเจ็บหนัก เหตุใดพระองค์จึงได้กระทำการเช่นนี้เพคะ" บัวทวงถามทันทีเพราะนี่ไม่ใช่เรื่องเล็กแล้ว
"หนึ่งเราอยากกำจัดคนที่ทำให้เราอยู่นอกสายพระเนตรเสด็จพ่อ สองมันเป็นหน้าที่" เขาไม่ทำไม่ได้หรอกนะ
" ทุกคนไม่ว่าจะเป็นใครก็อยู่ในสายพระเนตรของพระบิดานะเพคะ  ที่ทรงทำตามหน้าที่หรือว่าเป็นความต้องการของพระองค์เองเพคะ" เธอไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมถึงเป็นแบบนี้นะ
"ไม่..แต่เรามาไกลเกินจะแก้แล้ว บัวไม่ได้เสียพระโอรสธิดาอย่างเดียวหรอก เราก็สูญเสียสหายเราเหมือนกัน" ดวงตาหลบลงพื้นเล็กน้อยปัดความอ่อนแอลง
" เรากลับไปแก้ไขไม่ได้..ตอนนี้แม้แต่จะเริ่มต้นใหม่ยังไม่เห็นทาง  บัวคงจะเสียใจมาก เราไม่กวนเจ้าแล้วกัน" เขาพูดเสร็จก็แยกไปอยู่คนเดียวเสียน่าจะดีกว่า
....
"​น่ายินดีที่ลูกมีชัยมา เอาล่ะลูกต้องการอะไรดี" ผกากรองในร่างราชามารับบุตรด้วยตนเอง
"งานอภิเษกหรือบัลลังก์​ดีพระเจ้าค่ะ"พูดมาได้ต่อหน้าขุนนางทั้งหลาย​ โดยมิสนใจภาพลักษณ์​เลย
" พวกเจ้าออกไปกันให้หมด!! "ออกคำสั่งครู่หนึ่งคนทั้งหมดก็ออกไปในทันทีเพราะยังรักชีวิตอยู่
" เมื่อเช้านี้เทพทั้งสองคนนั้นงอกว่าสังวาลย์พวกนั้นถูกทำลายแล้ว แสดงว่าไม่นานต้องได้ข่าวการตายของพวกนั้นแน่"เขากล่าวอย่างพอใจ
"ดูท่าสตรีนางนั้นไม่ดูดีใจเลยนะ" เมื่อเห็นฉันทนามีท่าทีดังนั้นจึงกล่าวถาม
"ไม่เอาน่า อีกหน่อยเจ้าจะมีสุขกว่าตอนอยู่กัิิบมันแน่นอน เราสัญญา"อดห่วงไม่ได้เลยสตรีนางนี้
" เราขอไปพักคนเดียวนะ" ว่าแล้วก็ไปในทันที
" ลูกควไม่ได้จะแต่งนางเป็นชายาหรอกนะใช่มั้ย" เธอรู้สึกไม่พอใจสตรีนางนี้ท่าไหร่นัก
"ลูกต้องการ ท่านแม่ก็ห้ามไม่ได้" คำพูดนั้นทำให้ผู้เป็นแม่อดส่ายหัวไม่ได้
" แต่ว่าแผลเจ้าไม่น่าจะหายได้ แม่ช่วยได้แค่เอามนต์มาปิดบังให้ได้เท่านั้นล่ะ"มันลึกเกินไปรักษาไม่ได้หรอก
" ไม่ต้องก็ได้ มั่นอึดอัดเกินไป ลูกกหนื่อยแล้วไปก่อนนะพระจ้าค่ะ" ว่าแล้วจึงจากไปทันที
.......
" รวบรวมเสร็จแล้วล่ะ เราว่าเป็นไว้ให้ดีแล้วหาทางมาใหม่" แสงสุรีย์เขียนแสดงความคิดเห็นบนผืนทราย
" ไม่รู้จะสำเร็จไหมแต่เราจะต้องลองดู"จึงใช้มนตราเก็ิิบสิ่งสำคัญไว้ แล้วเริ่มใช้คาถาตรวจดูว่านี้คือทะเลแถบทางทิศใด
" อยู่ที่นี่กันนี่เอง" ธานิทร์กล่าวเมื่อพบทั้งสอง
" ตามมาถูกขนาดนี้เลยเหรอ"สุริยะกล่าว ปกติถึงจะมาถูกก็ใช่จะมาตรงจุดขนาดนี้นี่นา พวกเขาพยายามจะใช้วิชาเข้าสู้  แต่พลังดันมีน้อยไปเพราะเพิ่งฟื้นตัวซ้ำยังใช้ไปทำอย่างอื่นก่อนหน้านี้จึงพากันหนี
"ยอมแพ้ดีๆหรือจะตาย  เลือกเอา"ปัจจาเข้าดักทาง เทวดาอีกตนก็สร้างเถาวัลย์ดักไปอีกตรงหนึ่ง
ด้านหนึ่งธานินทร์ ด้านหนึ่งปัจจา ด้านหนึ่ืืงเถาวััลย์
และอีกด้านคือทะเล​ จะไปทางใดก็อันตราย
"เราไปทำอะไรให้พวกท่าน ถึงได้ตามราวีไม่เลิกรา ถ้าเราตายแล้วทุกอย่างจะจบใช่ไหม"สุริยะพูดอย่างทุลักทุเลปนเสียงเหนื่อยหอบ
"พวกเราน่ะไม่ใช่​ แต่กับพระเทวาวิษุวัต​เจ้ากระทำผิดไว้มาก อภัยไม่ได้" ปัจจากล่าวตอบ
"จ้าตายก็ดีแล้วนี่ จะตายกี่ครั้งก็ไม่สาสมหรอก" ธานินทร์พูดเสริม
แสงสุรีย์ได้ทีเผลอดึงข้อมือสหายกระโดดเข้าสู่ห้งทะเลทันที ธานินทร์ห็นดังนั้นจะตามไปแต่ถูกห้าม
"เจ้าห้ามทำไมกันน่ะ!! "เขาหัวเสีย ทั้งๆที่ตัวเองอยากล่าคนแรกทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้เป็นฝ่ายหยุดเสียเอง
" เราต้องการให้สอngคนนั้นตายอย่างทรมาณที่สุด"
พูดเข้าทีดีนี่ ไม่รู้ว่าด้านล่างจะเป็นอย่างไร แต่ทั้งสองด้านบนนั้นเชื่อว่าด้านล่างไม่รอดเพราะไม่ขึ้นจากน้ำนานแล้วอย่างแน่นอน
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กรกฎาคม 11, 2020, 07:14:26 PM
อาทิตย์​นี้จักรกรดได้แป้นพิมพ์​เชื่อมต่อโทรศัพท์​อันใหม่มาค่ะ​ กะว่าจะใช้พิมพ์​ได้เร็วกว่าพิมพ์ในมือถือ​ แต่กลับพลาดพิมพ์​ผิดหลายตำแหน่งและบางอักษรไม่มีใครแป้นเลยแทนอังกฤษ​ ต้องมาตามอีดิทใหม่​ ยังไงจะเร่งพัฒนา​การใช้ให้ได้ไวๆและพิมพ์ให้ได้เนื้อเรื่องที่ยาวกว่าเดิมในแต่ละสัปดาห์​นะคะ​ ขอบคุณ​ที่เข้ามาอ่านกันนะคะ​ ขอโทษที่ผิดเวลาด้วยค่ะ​
 w15 w8 w15 w12
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กรกฎาคม 18, 2020, 06:32:46 PM

"เป็นยังไงบ้าง​ล่ะ... ดูท่าน่าจะมีความทุกข์ไม่น้อยเลยนะ" พิมาลามาเยือนถึงที่คุมขัง ทำเอาทุกคนอดสงสัยไม่ได้ว่าสตรีผู้นี้เป็นใครกัน​  แล้ว​มีความแค้น​อะไรกันแน่ถึง​ได้มาร่วมกระทำการอันมิชอบกับชาวเมือง​ทิศพล
"เราไม่เคย​รู้จัก​ท่านมาก่อน​ ทำไมต้อง​ทำเช่นนี้​ด้วย"สไบทอง​กล่าว​ถามผู้ที่มาเยือนด้วยไม่เข้า​ใจในเหตุผล​
"ไม่​รู้จัก​ก็ดี... เราไม่จำเป็นต้องบอกเหตุ​ผลให้เจ้ารู้หรอก เพราะเรื่องแค่นี้ใช่ว่าจะคิดเองไม่ได้นี่"คิดดีๆก็มีไม่กี่คนจริงๆนั่นล่ะ
"คงเป็นเจ้าสินะสไบแก้ว..ถึงเจ้าจะหน้าตาเปลี่ยนไปเช่นใด จิตใจที่ไม่สำนึกคุณของเจ้าก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย" ท้าวนวดลในสถานะเชลยได้พูดขึ้นเพราะคนมีลักษณะเช่นนี้เป็นคนเดียวกันเพียงแต่หน้าไม่เหมือนเดิม
"สามหาว!!" ได้ยินคำกล่าว​ว่าถึงกับเลือดขึ้นหน้า​ ยอมให้ว่ามิได้เด็ดขาด​
"เจ้านั่นล่ะที่สามหาว!! องค์​เหนือหัวนวดลเป็นถึงเจ้าเมือง​ เจ้าถือตำแหน่ง​ว่าเป็นมเหสีเมือง​นี้มาข่มขู่​ทั้ง​ๆที่พระองค์​เคยรับเจ้ามาเป็็นธิดาบุญธรรม​ ก็น่าสมควรให้ถูกกล่าวว่าอยู่หรอก" มเหสีอมรินทร์​ตอบกลับไปด้วยไม่พอใจ​ในกิริยาหญิง​คนนี้
"หึ... เจ้าเมือง​หรือ ตอนนี้ก็ไม่ต่างจากพวกข้าทาสนักหรอก อีกอย่างบุญคุณอะไรนั่นเราก็ไม่ได้ร้องขอ​ มันเป็นความต้องการของพวกเจ้าทั้งนั้นไม่เกี่ยวกับเรา...ในเมื่อปากดีกันขนาดนี้ก็ไปทำงานทาสแบกหามหาฟืนก็แล้วกัน​ พาตัวไปยกเว้นสไบทอง​ ให้นางไปประจำห้อง​เครื่อง​ ใครไม่ใช้งานคนพวกนีถือว่ามีความผิด​ ประหารสถานเดียว" พูดเสร็จก็จาไปในทันทีไมรีรอให้ใครได้ตอบโต้อีก
...........
"เป็นรื่อง​จริงเหรอ "อัคนินฟังคำเล่าอีกฝ่ายก็ถามทวนอีกครั้งราวกับว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าเชื่อ
"จริงแท้แน่นอน พวกเราเห็นกับตาว่าสองคนนั้นน่ะกระโดดลงน้ำทะเล​ไป"ธานินทร์​กล่าว​ ไม่รู้​จะ​โกหกไปทำไมกัน​ เรื่อง​ที่น่ายินดีอย่างนี้
"ดีเหลือเกิน​นะคนนึงเป็นง่อยอีกคนก็ใบ้ กล้าที่จะกระโดดลงไปแบบนั้น​ คงจะมีใครมาช่วยอยู่​หรอก​ เท่านี้ก็หมดหน้าที่ไม่ต้องทำอะไรแล้วสินะ" เขา​พ​อใจ​กับ​คำยืนยันพลางยิ้มอย่าง​ชอบใจ
" ใครบอกกัน​ พวกเรายังไม่หมดหน้าที่​ นี่เพิ่ง​จะเสร็จขั้นแรกไปเอง" เขาพูดเช่นนี้มีเหรอคนอยากพักจะไม่พอใจ
" งานอะไรอีกล่ะ​ นี่ยัง​ไม่หมดอีกเ​หรอ​ค่ะ​ เรื่องมากจริงๆ​" เขา​ชักจะ​โมโหใหญ่แล้ว​งานก็ทำแล้วจะอะไรกันอีก
" อย่าเสียงดัง​ไป​ กำแพง​มีหูประตู​มีช่อง.. " เขา​เตือนก่อนจะเล่าเรื่องงานที่ว่าไว้อย่าง​ลับๆ
" พักผ่อนก่อนไม่ได้เหรอ "เขาลาะเหนื่อยหน่ายกับพวกลัทธินี้เสียจริง​ แต่ก็ต้องยอมทำตามเพราะตกลงไว้แล้วเลิกไม่ได้​ ขออย่างเดียวขอพักร่างกายสักหน่อย
"ก็ย่อมได้... อยากจะทำสิ่งใดก็รีบทำนะ​ เพราะหมดเพลาเมื่อใด​ เจ้าก็คงจะวุ่นวายพอตัว​ เราไปล่ะ" ว่าแล้วเขาก็จากไปเพราะตัวเขาก็อยากจะพักเช่นกัน
......
"ทำไมถึงดูหนักใจ​ เรานึกว่าเจ้าจะยินดีเสียอีก" ปัจจาถามอีกคนที่ฟังเรื่องที่ศัตรูหนีไปแต่สีหน้ากลับไม่ยินดีได้เต็มที่
" ยินดีก็ใช่อยู่​... การที่ทั้งสองคนนั้นตายไปอีกสิบสองคนที่เหลือจะจากไปพร้อมกันรึเปล่านี่สิปัญหา" บดิศรได้ยินคำถามก็กล่าวตอบไป
"ไม่ต้องห่วงไปหรอก.. คนพวกนั้นก็จากไปพร้อมๆกับทั้งสองคน​  แต่ถ้าพวกนั้นรอดไปได้จริงๆคงจะทรมาณมาก​ นอกจากจะได้รับความลำบากแล้ว​ เราจะติดตามทำให้คนพวกนั้นไร้ซึ่งความสุข" มันเหมือนเป็นหน้าที่่ที่สลัดไม่หลุดจะต้องให้อีกฝ่ายสิ้นไป​ ตัวเองจะได้ไม่ต้องทำงานอีก
"ตอนนี้เจ้าคงล้ามามาก​ พักผ่อนก่อนเถอะ​ ไว้ถึงเพลาจะเรียกมาช่วยงานอีกแรง" เขาจากไปแล้วให้อีกคนได้พักผ่อนหย่อนใจไปก่อน
....
ภายใต้ท้องทะเลทางทิศทักษิณ​นั้นเหล่ามัจฉา​น้อยใหญ่ต่างแหวกว่ายไปมาไม่สิ้นสุด​ แต่แปลกนักที่มนุษย์​อยู่ต่างถิ่นมาเหตุใดจึงได้เดินเหินราวกับว่าพวกตนอยู่บนบกอย่างนั้น​ เดินทางกันได้สักพักก็มาถึงวังบาดาล​ ทำไมถึงมาที่นี่ได้ล่ะ
"แสงสุรีย์​ ทำไมถึงได้กลับมาเป็นแบบเดิมล่ะ​ แล้วชายหนุ่มคนนี้คือใคร.. นำกระดานเขียนคำมาให้หลานเราเร็ว​ นำลูกแก้วชีวาชลาศัย​มาให้ชายผู้นี้ด้วย" นางกำนัลใต้ทะเลก็รีบทำตามรับสั่งจัดหากระดานสำหรับเขียนคำและมาให้อย่างรวดเร็ว​
"กลืนลูกแล้วนี้เถิดบุรุษ​ แล้วเจ้าจะอยู่ใต้ท้องทะเลได้โดยไม่ต้องยืมหัตถ์ผู้ใดมาจับต้อง" พระนางยื่นลูกแก้วขนาดเล็กกว่ายาลูกกลอนที่มีแสงสีขาวสบายสบายดวงตาไม่เจิดจ้าราวกับแสงตะวันให้กับคนแปลกหน้าแต่นับว่าเป็นสหายของคนรู้จัก
"ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ​ หม่อมฉันชื่อสุริยะพระเจ้าค่ะ"เขารับลูกแก้วนั้นมาแล้วกล่าวขอบคุณ​ เขาพอจะเดาได้ไม่ยากมาก​ นี่คงจะเป็นหนึ่งในพระวงศาของพญานาคราชแห่งทิศใต้นี้
"ทูลพระมเหสีภาสุระ​ เหตุแห่งการนี้เกิดจากการต่อสู้ที่เมืองศาศวัตบุรีเพคะ..." เธอเขียนเล่าทุกเรื่องราวลงไปที่กระดานคำ​ ทำให้รู้ได้ถึงสาเหตุที่พระนาคีต้องการคำตอบ
"เช่นนี้เราเห็นสมควรจะต้องทูลพระวิชชุ​นาคราช​ให้ทรงทราบ​ ไม่นานพระองค์​คงจะกลับมาพร้อมกับโอรสธิดาของเรา​ พักผ่อนเสียก่อนเถิดไว้เสด็จเมื่อใดเราจะให้คนไปตาม" พระนางกล่าวจบจึงได้ให้คนพาไปยังที่รับรอง​ ก่อนจะแยกย้ายความสงสัยของแสงสุรีย์​ที่มีอยู่นั้นก็มิอาจปิดได้
" ทำไมท่านถึงได้รู้จักเหล่าเชื้อพระวงศ์​นาคาได้​"เขาถามเช่นนั้นก็ต้องตอบ​ มิจำเป็นจำต้องปิดบังสิ่งใดเลย
" ก่อนที่เราจะได้รับสังวาลย์​มณีมา​ สิ่งวิเศษนี้ได้อยู่กับองค์วิชชุนาคราชมาก่อน.." แสงสุรีย์นั้นเติบโตมาจนถึงแปดชันษาถึงแม้ว่าจะร่ำเรียนศิลปะวิทยาใดก็ตามแต่​ เหล่าราษฎรต่างรู้สึกไม่วางใจในสิ่งที่เธอนั้นเป็​น ทั้งเป็นคนใบ้ไร้เสียงพูดและยังมีมีแผลเป็นกรีดยาวดูไม่งามตาในส่วนใหญ่ของค่านิยมผู้คน​ที่ใบหน้าอย่างชัดเจน​ ต่อให้เป็นลูกกษัตริย์​อย่างไรก็มิอาจพ้นคำครหา​ได้เลย​ แม้แต่ความสามารถ​ก็ยังถูกเคลือบแคลง​ ตนจึงขอลาพระบิดาเดินทาง​ แรกเริ่มเดิมทีใจพ่อคงไม่ยอมให้ลูกอายุเท่านี้เดินทาง​ แต่เมื่อเป็นประสงค์​และโชคชะตาพอจะเป็นใจ​จึงปล่อยให้เดินทาง
"ถ้าทายปริศนาได้จะขอสิ่งใดจากองค์นาคราชก็ย่อมได้​" ประกาศจากนกแขกเต้าที่นำมา​ให้​ ผู้ติดตามได้อ่านแล้วก็รู้สึกตกใจแต่ก็ทูลต่อพระธิดาทันที
"เป็นโชคชะตาที่ดีเลยนะเพคะ​ อย่างนี้ถ้าพระธิดาตอบได้ถูกต้อง​ พระธิดาก็จะได้ครอบครองสิ่งที่พระธิดาต้องการเลยนะเพคะ​... แต่ว่าลูกแก้วมีอันเดียว​ จะลงไปวังบาดาลได้อย่างไรล่ะเพคะ" คนที่ตามก็พูดเสียเยอะเพราะอีกคนพูดไม่ได้สินะ
"ขอเราอ่านเนื้อหาได้ไหมพุดจีบ" เธอเขียนลงบนพื้นดินเพื่อขอให้อีกคนส่งประกาศมาให้
" จับมือกันไว้ก็ไปได้​ แต่ต้องจับตลอดเพลา​ ปล่อยมือไปก็ไม่สามารถรอดชีวิตได้นานถ้าไม่ถึงน่านน้ำ​" เมื่ออ่านประกาศและคำอธิบายการใช้ลูกแก้วอย่างละเอียดแล้วจึงบอกนางกำนัลที่ตามมาด้วยการเขียน
" อย่างนี้หม่อมฉันก็แย่น่ะสิเพคะ​ ครั้นจะให้พระธิดาไปลำพังก็ดูจะไม่ดีเท่าไหร่"เธอทำท่าเป็นเสียดายเหลือ​ แต่ก็ยังมีมุมที่ดูกี่ทีก็ไม่น่าจะรับมือกับกระแสคลื่นได้ไหวนัก
"ไม่เป็นไร​รอเราบนบกนี่ล่ะ​ เราจะไปคนเดียว" ตัดสินใจก็จะไปเสียให้ได้
"พระธิดามีพระชันษาน้อย​ แล้วถ้าลงไปเกิดอันตรายขึ้นมาจะทำยังไงล่ะเพคะ" อดห่วงไม่ได้นะยังตัวเท่านี้อยู่เลย  อีกคนไม่ตอบโต้แต่เลือกที่จะเดินลัดเลาะจนถึงชายหายได้อย่างรวดเร็ว​ แล้วทำท่าเหมือนจะเขียนอักษรให้นางกำนัลดูอีก​ ดูจงใจเขียนให้อ่านยากเสียด้วย
"ร.. รอ.. รอตรงนี้​ เราไป.. ไปก่อน​  รอตรงนี้เราไปก่อน"อ่านเสร็จถึงกับเงยหน้ามองพระธิดาก็ใช้ลูกแก้ววิเศษลงไปยังเมืองบาดาลเสียแล้ว​ ไม่ต้องแหวกว่ายก็เดินทางในน้ำได้เหมือนกับบก​ มาถึงแล้วควรจะทำตัวอย่างไร
"มีเด็กมาด้วยงั้นรึ  เหตุใดจึงไม่พูดจา" นายทหารบาดาลถามยังไงอีกคนไม่พูด  แต่คิดจะเขียนอยู่
" ไม่ต้องเข้ามาก็ได้นะ​ ถ้าจะทายปริศนาก็จะต้องพูด​ เขียนแบบนี้รบกวนฝ่าบาทเสียปล่าวๆ"
"รบกวนอะไรกัน​ พวกเจ้าเอาแต่ว่าผู้อื่นมิถามเหตุผล​สักคำ.. เจ้ามาตามคำเชิญหรือ​ ที่ไม่พูดเพราะเหตุใดกัน​ อย่ากังวลเรามิคาดโทษเจ้าหรอก" สตรีท่าทางมีอำนาจเข้ามาและนั่งทักทายกับเด็กที่ยืนอยู่​ พอเขียนตอบไปก็ทำให้รู้ว่าเป็นใบ้ไร้เสียง​ จะตอบโดยวาจามิได้
" ถึงแม้จะพูดไม่ได้​ เราก็ต้องลองดูว่าจะแก้ปริศนาอย่างไรได้ดีกว่า​ องค์​เหนือหัวทรงโปรด​ปรานผู้มีปัญญามากกว่าผู้ใช้วาจามาทำลายผู้อื่น" ว่าแล้วจึงจูงมือพาเข้าไปในเขตท้องพระโรง​
"มเหสีภาสุระ​พาธิดาน้อยผู้นี้มาแต่ใด​ เราหาได้รับรู้ไม่​ โปรดแจ้งแก่เราเถิด" วิชชุนาคราช​ผู้รอคอยเหล่าคนทายปริศนาได้ถามถึงบุคคลที่มาเยือนนั้นดูยังด้อยประสบการณ์​มิน่าจะใช่ที่ชะตาส่งมา
" เด็กคนนี้มาตามประกาศเพคะ​ ดูท่าจะเป็นเด็กที่มุ่งมั่นมิน้อย​ ถึงแม้จะพูดไม่ได้​ จะไม่มีประสบการณ์​เท่าผู้ใหญ่มากนัก" เพราะไปเห็นแววตาก็เหมือนกับเห็นหัวใจเลยค่อนข้างจะมั่นใจนัก  เมื่อรู้ว่าอยู่กับราชวงศ์​สูงศักดิ์​ของเหล่านาคแล้ว​  จึงได้ทำการคำนับนอบน้อมทันที
"เอาเถิด​ ในเมื่อมาในที่แห่งนี้แล้วควรที่จะได้ทายปริศนา​ ปริศนาของเราก็คือ​ เหตุใดฝุ่นละออง​ไม่เรียกธุลี​ จริงอยู่ว่าเป็นคำถามที่ไม่ยากเท่าใด แต่เราอยากจะได้คำตอบที่มีนัยยะธรรมจากผู้มาเยือน" คำถามนี้ไม่ยาก​อย่างว่าแต่ต้องคิดให้ดีก่อนจะตอบ​ เหมือนกับว่าผู้ถามจะต้องการคนสนใจธรรมร่วมกับปัญญาแบบเดียวกันเสียมากกว่า​ คำนี้ช่างเป็นคำที่น่าฉงนในทีเพราะความหมายจริงๆนั้นก็คือละอองฝุ่นที่เล็กกว่าฝุ่นทั่วไปมิใช่หรือ​ เหตุใดต้องตั้งปริศนาที่คนตอบไม่ถูกพระทัยเสียที​ ผู้ทายปริศนาลงมือเขียนอธิบายปัญหาที่ไม่ยากนี้ลงบนกระดานคำที่พระมเหสีทรงหยิบยืมมาจากพระโอรสที่ใช้ในการศึกษา​ เมื่อเสร็จแล้วพระโอรสพญานาคจึงลงไปรับคำตอบช่วยอ่านให้แทน
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กรกฎาคม 18, 2020, 06:35:14 PM

"ทูลองค์นาคราช​ คำว่าธุลีในความหมายทั่วไปใครต่างก็รู้ดีว่ามีความหมายเช่นเดียวกับฝุ่นละอองถ้าจะให้อธิบายความแตกต่างคงกล่าวถึงขนาดที่เล็กลงไป​ จะกล่าวได้ว่าคำตอบนั้นไม่ผิดไปเสียทีเดียว​แต่กลับยังไม่สมบูรณ์​ หม่อมฉันจะแจ้งตามหลักธรรมตามที่ทรงปรารถนา​ อันว่าแท้จริงตามธรรมคำสอนพุทธองค์​กล่าวเกี่ยวกับธุลีนั้นคือกิเลสของคนซึ่งมีสามประการเป็นพุทธวาจาของพระศาสดา.."เขาส่งกระดานให้เขียนต่อไปอีก
"ประการที่๑ ราคะ​ชื่อว่าธุลี, แต่ละอองท่านหาเรียกธุลีไม่, คำว่าธุลีเป็นชื่อของราคะ​ ภิกษุเหล่านั้น​ละธุลีนั่นได้ขาดแล้ว​ อยู่ในศาสนาของพระพุทธเจ้า​ผู้ปราศจาก​ธุลี
ประการที่๒​ โทสะชื่อว่าธุลี, แต่ละอองท่านหาเรียกธุลีไม่, คำว่าธุลีเป็นชื่อของโทสะ​ ภิกษุเหล่านั้น​ละธุลีนั่นได้ขาดแล้ว​ อยู่ในศาสนาของพระพุทธเจ้า​ผู้ปราศจาก​ธุลี
ประการที่๓​ โมหะชื่อว่าธุลี, แต่ละอองท่านหาเรียกธุลีไม่, คำว่าธุลีเป็นชื่อของโมหะ​ ภิกษุเหล่านั้น​ละธุลีนั่นได้ขาดแล้ว​ อยู่ในศาสนาของพระพุทธเจ้า​ผู้ปราศจาก​ธุลี"  ยังจะเขียนต่ออีกหรือ​ พระโอรสติณณกฤตแห่งท้าวเจ้านาคาทิศทักษิณ​รู้สึกล้าแล้วหนา
" ตอบเท่านี้น่าจะพอนะ"เขาทักท้วงเล็กน้อยกับคนวัยเดียวกัน
" ให้เขาชี้แจงอีกเพียงครั้งเถิด​ ลูกพ่อต้องรู้จักอดทน​ พวกเราต่างต้องดูแลข้าราชบริพาร​อีกมาก​ ถือว่าฝึกใจให้ร่มเย็นมีสมาธิ" เขาพูดให้เข้าใจ​ เวลานี้ปริศนาจะกระจ่างจะมิยอมอันใดเลยรึ
"พระเจ้าค่ะ​ ลูกจะใจเย็น" ว่าแล้วเขาก็รับกระดานที่เขียนเสร็จขึ้นมาอ่านเป็นคราสุดท้าย
" กิเลสเหล่านี้ล้วนเป็นธุลีที่สามารถ​ซึมซับเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับจิตใจนั้นโดยง่าย​ นับเป็นสิ่งบ่อนทำลายศีลธรรมอันดี​ ดังนั้นนั้นเราควรระวังตัวตั้งมั่นอยู่ในการทำความดีอย่าให้กิเลสนั้นเข้าครอบงำจิตใจไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม​"  เสร็จสิ้นคำอ่านพระวิชชุท่านก็แย้มพระโอษฐ์อย่างพอพระทัย
" เห็นชัดว่าท่านมีปัญญาอันเกิดจากการศึกษา​พระธรรม... เรามีสิ่งวิเศษมอบให้เป็นถาวรคือแก้วชีวาวชลาศัย​  พร้อมกับสิทธิ์​ที่ท่านจะขอความช่วยเหลือในทุกกาล​ สิ่งที่เราจะให้เลือกคือรัชตวิมาน​ ตรีมารุต​ สังวาลย์​มณี​ ท่านปรารถนาสิ่งใดโปรดเลือกมาเถิด" ถึงจะมีความยินดีแต่ก็ยังมีคนคอยภาวนาไม่ให้นำของวิเศษที่ตัวเองอยากได้ทั้งชีวิตไปเลย​ คนที่มีสิทธิ์​ในการเลือกก็ไม่รู้จะเลือกสิ่งใด​ ไม่ใช่เพราะความโลภอยากได้ทุกอย่างหากแต่ว่าที่มาที่นี่ก็เพื่ิอจะทายปัญหาอย่างเดียวนี่สิ
" เลือกเถิด​ อย่าเกรงกังวลใจ" วิชชุนาคราชกล่าวเมื่อเห็นท่าทีของผู้ทายปริศนา​ แสงสุรีย์​ในวัยเยาว์​หยิบจับสิ่งของพลางคิดไปว่าชะตาน่าจะเลือกสิ่งที่เหมาะสมให้ตนเอง​  เธอจับดูวิมานขนาดเล็กเท่าของเล่นนั้นที่สามารถขยายใหญ่ตามใจชอบก็รู้สึกว่าไม่ใช่​ ครั้นหยิบตรีได้ครู่สายตาแสนหวงแหนก็มุ่งตรงมาจนน่าอึดอัดใจ
้เมื่อมาถึงชิ้นที่สามปรากฏ​แสงสว่างวาบครู่หนึ่งเมื่อสัมผัสจนรู้สึกถูกชะตายิ่งนัก
"หรือว่านี่..." มเหสีนาคาเห็นแล้วจึงพูดไปแต่ก็ยั้งไว้คอยดูที
"หม่อมฉันประสงค์​สังวาลย์​เส้นนี้​เพคะ" เธอเขียนลงกระดานคำเพื่อทูลต่อนาคราชา
"สวมใส่ดูเถิด​ ของสิ่งนี้ก็เลือกเจ้าของ​ หากไม่ใช่อย่าฝืนเลย" เขาแนะให้ทำเช่นนั้น​ อีกคนจึงได้ทำตามสวมใส่แล้วเกิดแสงสีแดงขึ้นมารู้สึดราวกับว่าร่างกายมีใครเพิ่มมาอีกหลายๆคน​ ร่างกายเปลี่ยนแปลงไปใบหน้าก็หายขาดจากแผลลึกอย่างไม่น่าเชื่อ
"แผลเราหายแล้วเหรอ...เสียงก็พูดได้.. . ขอบพระทัยเพคะ"นอกจากจะทำให้ร่างกายหายจากบาดแผลแล้วน้ำเสียงก็กลับมา​ ตอนนี้ร่างกายเป็นคนปกติทั่วไปแล้วแต่ยังไงก็ไม่ลืมที่จะขอบคุณ​เลย
"เป็นสิ่งที่ท่านควรได้รับ​ ต่อไปภายภาคหน้าท่านจะต้องได้ใช้อาวุธ​นี้รักษาความเป็นธรรมไว้  เรารู้จักกับฤๅษี​มฤคินทร์จะฝากฝังให้เป็นศิษย์ร่วมกับโอรสเรา.. อย่าได้ปฏิเสธเลย" นับตั้งแต่วันนั้นก็ร่ำเรียนวิชาร่วมกันมานั่นเอง

"ผู้ติดตามที่ชื่อพุดจีบเขาออกเรือนไปแล้ว​ ส่วนติณณกฤตเราไม่ได้เจอเขามาสี่ปีได้" จบการเล่าเรื่องก็มีเหล่านางกำนัลมาเชิญไปทานอาหารมื้อเย็นเสียหน่อย
.....
" เดินทางมาตั้งหลักนี่ก็ดีไปอย่าง​ แต่ว่านะทำไมในวังไร้วี่แววผู้คนอย่างนี้!! " เจ้าสิงโตหาทั่ววังทิศพลไม่เจอชาววังเสียสักคนมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
" มันเป็นแบบนี้เพราะคนพวกนั้นแน่​ แสดงว่าตอนนี้เหล่าพระวงศ์และข้าหลวงคงจะถูกบีบบังคับให้เดินทางไปยังเมืองรัตนบุรีเป็นแน่"หิ่งห้อยยักษ์กล่าว ดูจากรูปการณ์แล้วไม่มีทางจะคิดเป็นอื่นได้หรอก
"แล้วจะไปช่วยทางไหนก่อนดีล่ะ....เอาเป็นฝั่งที่คดที่อยู่ได้ก่อนดีไหม" เขาออกคววมคิดเห็น เพราะมันน่าจะตามหาง่ายกว่า
"เราก็เห็นควรเช่นกันเพราะอย่างน้อยก็น่าจะช่วยได้ก่อนจะออกตามหา แต่ยังห่วงว่าพระโอรสจะเป็นอย่างไร พวกเราก็ยังไม่รู้เลยว่ากระแสน้ำนำพระโอรสไปยังที่ใดแล้วได้อยู่กับพระธิดาแสงสุรีย์รึเปล่านี่สิ" เขายังหนักใจนักกับเรื่องที่เกิดขึ้น หานายของเขาอยู่ตามลำพังจะปลอดภัยหรือไม่
"ยังไงคราวนี้ก็ไปช่วยพวกเสด็จแม่กันก่อน ส่วนพระโอรสของเจ้า ข้าเชื่อว่าต้องไม่เป็นอะไรไปง่ายๆหรอก"
เมื่อตัดสินใจเช่นนี้แล้วทั้งสองก็เดินทางมุ่งสู่รัตนบุรีโดยทันที
.....
"ทำไมถึงไม่ให้เราเข้าไปยังป่าจินตภพแต่กลับให้มาพบที่ป่านี่แทน" ดาบสไม่เข้าใจอีกฝ่ายว่าเหตุใดถึงได้กีดกันไม่ให้ตนเข้าไปในเขตที่พำนักของสหายเก่าแก่ด้วย
"ท่านตาทมิฬล่ะก็  ใจเย็นสิเจ้าค่ะ ท่านตาของจั๊กน่ะต้องการแบบนี้ ใครก็ห้ามไม่ได้หรอกนะเจ้าคะ" ถ่วงเวลานานแล้วช่างน่ากังวลเหลือเกินที่จะถูกจับได้  ต่อจากนั้นควรจะทำอย่างไรดี เพราะตนนั้นไม่ได้นัดแนะกับฤๅษีมฤคินทร์ไว้เลย
"ยังใจร้อนมิเปลี่ยนเลยนะ ดูสิจั๊กแหล่นหน้าถอดสีหมดแล้ว" ดาบสใบหน้าที่เป็นราชสีห์นั้นไม่มีดังแต่ก่อนกลับเป็นมนุษย์ที่มาพบกันในวันนี้ ทั้งที่หลานสาวก็มิได้นัดหมายไว้จริงๆ
"ท่านตา ท่านตาจริงๆเหรอจ๊ะ " ถึงจะไม่ข้าใจในรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปอยู่บ้าง แต่ก็ดีใจที่ได้เจอไม่อย่างนั้นคงไม่รอดเป็นแน่
"ตาเองน่ะสิ...ทมิฬ ศิษย์ของเราก็ไม่อยู่แล้ว  จะตามหาเราทำไมอีกล่ะ เห็นชัดว่าศิษย์เจ้าน่ะเหนือศิษย์ของเราและอนุชิตนัก" เขาก็พูดตามที่รู้ ตนไม่เหลือศิษย์ที่เป็นศัตรูอีกฝ่ายแล้วจะมาเอาอะไรกับตนอีก
"เรามาก็ใช่เพราะศิษย์ตัวดีของเจ้าไม่ เรามาทวงน้ำเต้าอมฤตของเราคืน คนพวกนั้นไม่มีน้ำเต้า มันต้องอยู่กับคนเจ้าเล่ห์อย่างเจ้าแน่" นึกว่าเรื่่องอะไรที่แทก็แค่น้ำเต้า
"น้ำเต้าอมฤตนี้พวกเราทั้งสามก็ร่วมกันสร้างขึ้นมาไม่ใช่หรอกรึ เจ้าอ้างสิทธิ์ครอบครองแต่เพียงผู้เดียวไม่ได้  ตราบใดที่ยังอยู่กับพวกเราหนึ่งในสามก็ไม่เท่ากับสูญหายหรอก" ก็น่าให้ว่าอยู่หรอกของก็ร่วมสร้างพร้อมกันแท้ๆยังจะถือว่าเป็นของตัวเองคนเดียวอีก
"เจ้านี่มันยังไง ข้าก็ครอบครองอยู่ดีๆแต่ถูกแย่งเอาไป ข้ามาทวงดีไม่ได้เลยรึอย่างไร" เขาชักจะโมโหเสียแล้ว ใจร้อนเท่าคนรุ่นหนุ่มสาวก็มิปาน
"คิดทบทวนให้ดีก่อนจะพูดออกมา ใครทำใครก่อนก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจ อีกอย่างหนึ่งเจ้าก็เป็นผู้ทรงศีล สำรวมกิริยาบ้างเสียก็ดี" ว่าก็ว่าเถิด ใครทำใครก่อนกันถ้าไม่ใช่คนที่บูชาเทพวิษุวัตเสียเป็นบ้าเป็นหลัง
"ส่งมาให้เราเสียสิ จะได้เลิกแล้วต่อกัน" กล่าวง่ายดีนี่ คิดจริงๆหรือว่าจะหยุดแค่นี้ ได้คืบคงหวังศอกเสียกระมัง
"ส่งให้ไมได้ อยากได้ก็ไปหาอนุชิต แต่เขาคงอยากจะให้เจ้าอยู่หรอก" เป็นหนึ่งในส่วนร่วมของการทำลายชีวิตคนขนาดนี้ ผู้ทรงศีลที่ไหนจะยอมกัน
"พูดมากไปแล้ว ข้าจะจัดการเจ้าก่อน ส่วนน้ำเต้าอมฤตจะทวงจากอนุชิตเอง" เขาใช้ไม้เท้าปล่อยพลังเข้าทำร้ายอีกฝ่าย ทางนั้นก็ไม่ยอมตอบโต้กลับโดยทันที
ค่ำก็ได้ความมืดเข้าช่วย ทมิฬดาบสกะจะใช้พลังลอบโจมตีแต่ช้ากว่าอีกฝ่ายไปก้าวเดียว ทางนั้นก็บาดเจ็บต้องกลับไปตั้งหลักก่อนจึงจะมาพบกันใหม่
"ท่านตา ท่านตาไม่เป็นอะไรใช่ไหมเจ้าคะ"จั๊กแหล่นเข้ามาดูอาการด้วยความเป็นห่วง
'"ไม่เป็นอะไรหรอก ตาก็แค่อ่อนเพลียไปตามสังขารที่เหลืออยู่...ใจจริงตาก็อยากช่วยให้ถึงที่สุด แต่ว่านี่ก็เหมันตฤดูแล้ว ใกล้จะถึงวันบำเพ็ญเพียร ดังนั้นก่อนที่ตาจะไม่อยู่ เจ้าจงจำสิ่งที่ตาบอกให้ดี..." ผู้ทรงศีลกล่าวให้รับรู้ทุกสื่งโดยไม่ขาดตก เพื่อหวังว่าจะให้ความช่วยเหลือและแจงแนวทางให้รับมือกันต่อไป
......
"พระแม่เจ้าเสวยพระกระยาหารเสียหน่อยเถอะเพคะ ไม่เช่นนั้นพวกหม่อมฉันจะต้องโทษนะเพคะ"เหล่านางฟ้าข้าบาทต่างหนักใจในการกระทำของอัญญานี หาเหตุผลนานาก็มิยอม ต้องกล่าวตามจริงหวังให้ใจอ่อนลง
"ไม่ เราไม่ชอบอาหารที่พวกเจ้าเอามาให้ จะเปลี่ยนกี่ครั้งก็ไม่ถูกใจเรา พวกเจ้าจะถูกลงโทษเพราะเรื่องนี้ก็คิดดูว่านายตัวเองสมควรจะเป็นเจ้านายได้อีกเหรอ" แกล้งโดวยวายใหญ่โต กะจะไล่ให้ออกไป
"หากพระแม่เจ้ามิทรงโปรดก็อย่าฝืนพระทัยเลย...ราตรีนี้ให้หม่อมฉันอยู่ปรนนิบัตินะเพคะ" สันต์สินีเข้ามาได้ครู่พวกที่เหลือก็พร้อมใจกันออกไปในทันที ออกมได้ไม่นานก็สนทนาถีงคนด้านใน
"พระแม่เจ้าในตอนนี้เอาแต่พระทัยนัก เราสงสัยว่านางจะเป็นแค่คนหน้าเหมือนรึเปล่า"
"แต่ว่ามั่นใจกันขนาดนี้คงจะใช่  ปล่อยให้สันต์สินีดูแลเถอะ เป็นคนสนิทที่สุดแล้วนี่" ว่าแล้วก็ไปทำหน้าที่อื่นต่อ
ทางด้านอัญญานีก็เริ่มคิดไม่ตกเสียแล้ว ตอนแรกวางแผนไว้ว่าจะหนีตอนไม่มีใครอยู่ จะหายตัวไปต่อหน้าต่อตาก็ต้องมีใครไปรายงานเทพท่านแน่
"พระแม่เจ้า...ไม่สบายพระทัยหรือเพคะ หม่อมฉันก็พอจะทราบ ตั้งแต่ครานั้นที่พระนางจากไป พระเทวาก็ติดตามหาพระแม่เจ้าในชาติภพนี้ ความรู้สึกของพระแม่เจ้าไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปาริชาติจะทำให้ความรู้สึกกลับมาอีกครั้งได้หรือไม่ แต่หม่อมฉันจะทูลความจริงข้อหนึ่งให้ทรงทราบ"
"ความจริงอะไรกัน"" ทีแรกก็ร้อนใจจะไปอยู่หรอกแต่พอได้ฟังดังนั้นก็เกิดความสงสัยใคร่รู้ขึ้นมา
"ที่ศรุตเทพทำกับพระนางนับว่าไม่น่าให้อภัยยิ่งนัก ความทรมาณอันเกิดจากอาการประชวรของพระนางนั้นกัดกินพระวรกายไปทีละส่วนในขณะที่รอเขาไปนำเกราะกายสิทธิ์มา แต่สุดท้ายแล้วความโลภของศรุตเทพก็มาบดบังหน้าที่อันควรกระทำ เขาไม่กลับมา พระเทวาต้องส่งเหล่าเทวดาไปตามหาเขา แต่ว่าเขาเอาสิ่งนี้ไปซ่อนไว้ที่ใดไม่มีใครรู้ นั่นก็ไม่ทัน พระนางได้สิ้นพระชนม์ เขาก็คือคนเดียวกับสุริยะที่ท่านไว้พระทัยเป็นสหาย ถึงแม้เขาจะตายเป็นหมื่นครั้งก็มิอาจทดแทนได้" ฟังเช่นนี้ก็พอจะรู้เหตุผลบ้างแต่ยังไม่มากพอจะทำให้เธอเปลี่ยนใจมามองเทพพระองค์ดีขึ้นได้
"คงอยู่่หรือดับไปก็เป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นวัฏจักรสงสารของสิ่งต่างๆ  พวกท่านกระทำดีมาเท่าใดกว่าจะมาเป็นเทพบุตรเทพธิดา มันไม่ถูกต้องจะอ้างสิทธิ์มาทำร้ายใครนี่ อีกอย่างฟังแต่ข้างท่านพูด เราไม่เข้าใจว่าทำไมกัน สุริยะเขาจำชาติภพที่แล้วไม่ได้ด้วยซ้ำจะแก้ต่างให้ตัวเองยังไม่ได้้เลย" ส่วนตัวอยากจะฟังทั้งสองข้างแต่อีกฝั่งไม่ความทรงจำนั้นจะพูดอะไรได้กัน
"ไม่ว่าอย่างไร พระนางมีพระประสงค์​ที่จะออกตามหาสุริยะใช่หรือไม่เพคะ"
"ใช่...แสงสุรีย์ก็ด้วย"
"ธานินทร์เล่าให้หม่อมฉันฟังว่าพวกเขาสิ้นใจใต้ท้องทะเลแล้ว...เริ่มต้นใหม่อีกครั้งเถอะเพคะ"เธอพูดเช่นนั้น จะให้เชื่อทันทีมันก็ไม่ได้หรอก
"อย่าคิดจะหลอกลวงเราเลย" เธอไม่เข้าใจทำไมต้องหลอกกันด้วย
"ไม่มีเหตุผลที่หม่อมฉันจะต้องกล่าวเท็จ เพราะต่อให้พระนางออกไปได้ พวกเขาก็ไม่อยู่พบพระนางอยู่ดี"
คำพูดที่จริงจังนี้ทำให้หวั่นใจไม่น้อยเลย
"ออกไป เราอยากอยู่คนเดียว"ตนก็จริงจังกับประโยคนี้  ขออยู่คนเดียวเถอะ อารมณ์นี้พร้อมระเบิดตลอดเวลา อีกฝ่ายก็ตามใจจึงยอมถอยให้แล้วจากไป
........
"มาอีกแล้วเหรอ ไม่ได้เจอกันนาน คราวนี้คงลำบากน่าดูถึงได้มามารบกวนคนอื่น ยังพาเพื่อนมาอีก"พระธิดานาคีเปิดวาทะทักทายไม่เป็นมิตรทันทีที่มาถึง
"ทำไมทำตัวไร้อารยะขนาดนี้ ลีลาวดีอย่ากระทำารเสื่อมเสีย"พระโอรสที่ตามมาก็พูดตักเตือนน้องสาวเป็นการใหญ่
"ก็มันจริงนี่.."รู้สึกว่าเธอนั้ไม่ถูกกับสตรีไร้เสียงผู้นี้เอาเสียเลย
"แม่ไม่เคยสอนให้เจ้าเป็นแบบนี้ หรือเพราะแม่ไปไว้ใจฝากผู้อื่นดูแลถึงได้มีกิริยาไม่น่าเคารพ" คำท้วงติงของพระมารดาทำให้เธอระงับอารมณ์ไว้บ้าง
"เรารับรู้เรื่องของเจ้าแล้วแสงสุรีย์ ตอนนี้เสด็จพ่อกำลังว่าราชการ​เพิ่มเติม​ มีอะไรที่เราช่วยเจ้ากับสหายได้บอกเราได้เลย" เขาเป็นห่วงสหายคนนี้อย่างมากต่างกับคนเมื่อกครู่อย่างสิ้นเชิง
""เราคงไม่รบกวนมากหรอก"เธอเขียนกระดานตอบไป​ไม่อยากให้ห่วงมาก
".. คงจะเป็นสุริยะสินะ... เราติณณกฤต"เขาไม่อยากที่จะไม่ช่่วยจึงหาทางไปเข้าทางสหายอีกคนแทน
"เราสุริยะเอง..ยินดีที่ได้พบท่าน" เขาส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร นอกจากคนในครอบครัวแล้ว เขาก็ไม่มีเพื่อนชายสักคน
"อย่าได้เกรงใจ มีอะไรบอกเราได้...ทำไมท่านถึงได้อักษรสาปได้"เขาจับมือเพื่อแสดงความยินดีที่ได้เป็นมิตรกัน แต่้ด้วยทักษะความสามารถพิเศษที่ฝึกฝนมาของเขาที่สัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติ จึงสงสัยในสิ่งที่พบ
"อักษรสาป.. เราไม่รู้มาก่อนเลยว่าเราจะมีได้"สุริยะฉงนนัก​ไปทำอะไรมาถึงมีอักษร​สาปเกิดขีฃึ้นกับตัว
"ต้องดูให้ดีอีกที่​ อักษรนี่อยู่ที่หลัง​ เร่งตรวจสอบก่อนดีกว่า​ เราไม่แน่ใจว่าที่รู้สึกว่ามันจริงรึเปล่า"ถึงจะสงสัยแต่ก็ยังไม่อยากจะเชื่อตัวเองขนาดนั้น​ จึงได้พาไปดูอักษร​ โดยแสงสุรีย์​ไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกันจึงไปที่ห้องส่องกระจกดู​ พอเสร็จแล้วจึงมารวมตัวกันดังเดิม
" มีจริงๆด้วย​ ทั้งสองคนมีอักษรสาปเป็นตัว​ {ว}​ แต่ว่าไม่รู้ว่าใครสาป​ แล้วสาปเพื่อจุดประสงค์​อะไรด้วย" เขาพูดอย่างนั้นทั้งสองก็ต้องทบทวนอยู่สักพัก
"ตอนที่พวกเรากำลังต่อสู้​เหมือนมีคนมีแตะต้องเราจากด้านหลัง​เป็นคนฝั่งนั้นแน่แต่เราไม่แน่ใจ" เธอเขียนบอกเท่าที่จะนึกออกได้
" ลักษณะ​แบบนั้นน่าจะเป็นแม่มดเกลียวทอง... เป็นไปได้ไหมว่าตัว{ว}​จะย่อมาจากคำว่า{วิชา}​" เขาอ่านแล้วก็คิดตาม​ เห็นท่าจะจริง​ แล้วน่าจะมีเหตุการณ์​ที่เกี่ยวช้องด้วย
" ทำไมถึงคิดว่าเป็นคำว่าวิชาล่ะ"นาคาหนุ่มสงสัย​ ทำไมถึงด่วนคิดนัก
"ตอนก่อนที่พวกเราจะถูกไล่ล่า​ พวกเราใช้วิชาดูว่าที่นี่คือที่ไหน​ ทั้งที่ไม่น่าจะมาตรงสถานที่ได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้" เขาพูดมีเหตุผล​ ไม่มีเหตุผล​อะไรที่เขาจะไม่สงสัยเรื่องนี้​ ก็เห็นๆกันอยู่​ สหายหญิงก็พยักหน้าว่าที่บอกนั้นจริงแล้วน่าจะเป็นไปได้มากด้วย
"อย่างนั้นก็ลองดูสิ  อย่าได้ปล่อยความสงสัยไว้เลย"ติณณกฤตคว้ามือสหายทั้งสองไปยังชายหาดทันที​ เมื่อมาถึงเขาก็ให้คิดท่องคาถาในใจที่เป็บแบบการเอาตัวรอดง่ายๆอย่างการแปลงเป็นนกฮูก​ ไม่นานนักแสงสว่างก็มาทำให้ทั้งสามไหวตัวหลบทัน​ นาคาในร่างมนุษย์​ใช่มนตราแทนที่นกที่สหายแปลงกายเมื่อครู่แล้ว
" มันอาจจะมีการเข้าใจก็ได้นะปัจจา​ เราดูนกสองตัวนี้ก็ไม่ใช่พวกนนั้น​ พวกนั้นไม่รอดแล้ว" ธานินทร์​ที่หายตัวมาตามอักษรสาปพร้อมกับผู้ร่วมงานก็ตามหาคนที่ล่าไม่เจอ​ ไม่แน่มันอาจเป็นแค่เรื่องผิดพลาดเท่านั้น​ ปัจจาไม่พูดอะไรแต่สีหน้าก็รู้ว่าสงสัยเต็มทน
"กลับกันเถอะ​"สุดท้ายเขาก็ยอมกลับ​ เพราะดูนานแล้วก็ไม่เห็นร่องรอยเลย​ เมื่อพวกนั้นไปพวกเขาจึงปรึกษา​กัน
"เห็นชัดว่าเป็นความจริง​ คงจะต้องอดทนไม่ใช้วิชาไปสักพักใหญ่เลย​ เพราะใช้ทีไรคนทางนั้นก็รู้ที่อยู่ตลอด"เขาแนะต่อเพื่อนทั้งสอง
"พวกเราจะสามารถ​แก้อักษรสาปได้อย่างไรกันล่ะ""ชายง่อยพูดไปก็เหนื่อยแรงแต่ยังจะมีหวังในการแก้คำสาปเสียหน่อย​ แม้จะไม่สารมารถใช้วิชาได้เลยก็เถอะ
"มีวิธีเดียว​ ต้องสังหารคนที่สาปเท่านั้น​ เลี่ยงไม่ได้เพราะต้องนำโลหิตตอนสิ้นมาทำการชำระล้าง" เขาใช้คำนี้​เพราะรู้ว่าสหายคงไม่อยากทำ
"ทำได้ก็ทำ​ เสียหนึ่งย่อมดีกว่าเสียสูญสิ้น" เธอเขียนบนผืนทรายตอบ​ เธอไม่อยากทำหรอกมากสุดก็แค่ทำให้เจ็บไม่เคยถึงตาย​ เช่นเดียวกันเขาก็ไม่ต่าง​ แต่ถ้าจำเป็น​ อะไรก็เลี่ยงไม่ได้
" น่าจะได้เพลาแล้ว​ พวกเราไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อกันดีกว่า" ฟังเช่นนั้นก็วางใจเพราะกลัวว่าสหายจะใจอ่อนเสีย​ เสร็จแล้วจึงได้ชักชวนกันกลับไป  พอกลับไปยัง"
ท้องพระโรงก็เข้าเรื่องทันที
" ที่เราทราบพวกท่านคงมิได้มาขอความช่วยเหลือเรื่องที่พักใดๆหรือขออาวุธใหม่เป็นแน่....พวกท่านทั้งหลายออกไปก่อน​เถิด เรื่องนี้เราขอสงวนให้รับรู้เพียงราชวงศ์​"สิ้นคำกล่าวของพระวิชชุ​นาคราช​ เหล่าบริวารแลขุนนางทั้งหลายได้ไปนอกท้องพระโรงทั้งหมด
"มีวิธีที่จะรู้ได้ว่าจะทำอย่างไรให้สิ่งวิเศษทั้งสองนี้กลับมาดังเดิม.... นั่นคือจะต้องออกเดินทางไปสอบถามศิลาพยากรณ์​ในเขตแนวอสุราที่๒​ เพราะเขารู้ทุกอย่างในสามโลกนี้และสามารถตอบคำถามได้โดยไม่แบ่งแยกฝ่ายใด  โดยจะต้องเดินทางจากที่แห่งนี้ลงไปทิศทักษิณ​จนถึงมหาสมุทร​สีชาดแล้วเข้าไปในมหาสมุทร​นั้น​จะพบกับเขตแนวอสุรา" ท้าวนาคาแดนใต้แนะนำเพราะรู้ว่าทั้งสองคงต้องการจะใช้อาวุธ​เดิมเป็นแน่​ ไม่ใช่เพียงเพื่อนำพลังมาต่อสู้แต่ยังนำเหล่าครอบครัวกลับมาด้วยเช่นกัน​ เขตแนวอสุรานี้พระอินทร์​พระองค์ก่อนนั้นได้สร้างมาเพื่อเป็นแดนคั่นระหว่างมนุษย์​กับเหล่าอสูรไว้ไม่ให้ทำร้ายกัน​เพราะเมื่อก่อนกาลมักเกิดสงครามดินแดนกดขี่กันระหว่างมนุษย์​และอสูรบ่อยครั้ง​ ครบ๗,๐๐๐ปีคราใดจะให้กลับมาอยู่ร่วมกันดังเดิมโดยที่จะไม่มีเหตุการณ์​นองเลือดเกิดขึ้นอีก
" ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ" สุริยะนอบน้อมทำความเคารพในเมตตาแนะนำ
"ขอบพระทัยเพคะ" แสงสุรีย์ก็มิต่างกัน
"เมื่อถึงที่นั่นอักรสาปจะไม่เกิดผลวางใจได้​ แต่ระหว่างการเดินทางอันตรายมาก​ อาจไปอย่างไม่สะดวกเท่าใดเพราะใช้วิชาไม่ได้​ พวกเขาจะล่วงรู้ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ​ ดังนั้นเราจะให้ธิดาของเราดูแลท่านทั้งสอง" ท้าวเธอมองมายังพระธิดาลีลาวดีที่ดูท่าจะไม่พอใจเสียแล้ว​ แต่คนเป็นพี่ออกตัวก่อนใคร
" น้องไม่สบายใจจะไป​ ให้ลูกไปเถอะพระเจ้าค่ะ"เขาขอร้องพระบิดา
" ไม่ได้​ ลูกลืมแล้วหรือว่ามีเรื่องที่จะช่วยพ่อจัดการให้เรียบร้อย.. ลีลาวดีอย่าได้ลำบากใจ​ การช่วยเหลือคนนับเป็นเรื่องดี​ อย่าปฏิเสธเพราะเรื่องนี้เลย" พูดเสียขนาดนี้ก็คงต้องยอมไปตามระเบียบ
"เริ่มออกเดินทางพรุ่งนี้เลยแล้วกัน​ ช้ากว่านี้เราไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง​ ส่วนวันนี้พักผ่อนกันก่อนเถิด" เมื่อสิ้นคำก็ต่างแยกย้ายไปเตรียมตัวแล้วพักผ่อน​ให้เพียงพอ​รอวันที่จะได้กลับมาใช้สิ่งวิเศษนี้ดังเดิม
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ กรกฎาคม 24, 2020, 03:27:21 PM
สัปดาห์​นี้ของดอัพก่อนนะคะ​ มีปัญหา​สุขภาพค่ะ​ จะรักษาตัวให้ดีขึ้นอีกสักหน่อยค่ะ​ สัปดาห์​หน้าจะอัพตอนต่อไปนะคะ​ ขออภัย​ด้วยค่ะ w12 w12
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ สิงหาคม 01, 2020, 06:12:07 PM
เนื่องจากสัปดาห์ที่แล้วจักรกรดไม่ได้แจ้งการปรับเปลี่ยนวันเวลาในการอัพเรื่องนี้​ จึงได้มาแจ้งในวันนี้นะคะ​ นับตั้งแต่สัปดาห์​นี้เป็นต้นไป​ จักรกรดขอเปลี่ยนวันจากอัพวันเสาร์​เป็น
ทุกๆวันอาทิตย์​เวลา20.00น.ค่ะ​ ขออภัย​ที่แจ้งช้านะคะ​และขออภัยที่ยังไม่ได้อัพเดต​ในวันนี้ด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ สิงหาคม 02, 2020, 08:00:21 PM

กลางดึกของคืนนั้นเองผีโครงกระนั้นได้แอบลักลอบไปตามหาบัวแย้มตามที่ได้ยินคำเล่าคำลือของคนในวังว่าฤๅษี​ทมิฬ​นำสตรีนางหนึ่งมามอบให้พระโอรสบดิศรซึ่งเท่าที่ได้ยินมาลักษณะ​ก็มิต่างบัวแย้มเลย​ บางทีคนพวกนี้อาจนำนางมาที่นี่ด้วยหาใช่ให้ติดตามอัญญานีอย่างที่เข้าใจ​ เมื่อเข้าใกล้ตำหนักที่คาดไว้ก็ต้องดูทีท่าทหาร​ มีช่วงเวลาที่ผลัดเวรยามพอดีนับเป็นช่องว่างของเวลาที่ระหว่างเปลี่ยนนี้​ ทหารเหล่านั้นก็พูดจาปราศัยกันมิได้สนใจเรื่องเฝ้ายามเสียเท่าใดเพราะมั่นใจว่าผู้คนเยอะเช่นนี้คงไม่มีใครล่วงล้ำเข้าไปได้
"พี่ตาหวาน​ พี่ตาหวานหรือเปล่าจ๊ะ" บัวแย้มที่ยังทำใจไม่ได้ก็มิยอมหลับยอมนอน​ เปิดหน้าต่างออกมาเพื่อจะรับลมก็เจอพวกเดียวกันที่หลบตรงพุ่มไม้พออุ่นใจได้บ้าง
"บัวแย้มพี่ตาหวานเอง" เขาลอยมายังหน้าต่างอีกด้านที่เหมือนจะเป็นมุมอับสำหรับทหารยามนัก
"ทั้งสามพระองค์​ปลอดภัยหรือไม่​ พี่กับคนอื่นๆเป็นเช่นไร" เธอถามด้วยความเป็นห่วงเพราะสถานการณ์​ตอนนี้มันก็ไม่ส่งผลดีเท่าใดนัก
"ถือว่าทรงปลอดภัยที่ไม่เกิดอันตรายใดๆ​ แต่ก็ทรงได้รับหน้าที่อันไม่สมควรต้องประสบความยากเข็ญต่อไปแน่​ พี่ว่าพวกเราต้องพากันหนีเสียแล้ว​ พอได้ยินคนวังนี้เขาพูดว่ามีคนเหมือนหนูบัวอยู่ที่นี่​ จึงมาตามหาเผื่อว่าจะแจ้งไว้ให้เตรียมตัวไว้" เขาเล่าให้ฟังเช่นนี้​ คงจะอาลัยหาผู้สิ้นชีพได้อีกต่อไปไม่​ ต้องห่วงคนที่ยังอยู่ก่อนเสียดีกว่า
" เช่นนี้แล้วพวกเราจะพากันหลบหนีไปยังที่แห่งใด​ แล้วจะไปวันไหนกันจ๊ะ" ระหว่างคุยก็ต้องระวังเผื่อนางกำนัลแวะเวียนมาดูความเรียบร้อยตามคำสั่งจะไม่ดีต่อคนที่เหลือ
" พวกเรายังมีถ้ำที่อยู่ของเจ้าหิ่งห้อย​อยู่พวกญาติหิ่งห้อยที่นั่นน่ะตัวไม่ได้ใหญ่เหมือนพี่หิ่งห้อยของเจ้าหรอกนะ​ แล้วคืนที่จะไปคือคืนเดือนดับต้นยามสาม มุ่งหน้าเข้าสู่ทิศหรดีนับจากท้องพระโรง​ พี่ต้องไปก่อนหากใครมาพบเข้าที่เตรียมการมาต้องสูญเปล่า" ว่าแล้วเขาก็ไปในทันที​ ต้องรอโอกาสที่จะหนีไว้
...
วันต่อมานั้นเองอัญญานีจนถึงตอนนี้นี้นั้นยังคงไม่หลบหนีไปด้วยเพราะได้ทบทวนเรื่องราวรวมถึงคำพูดต่างๆตลอดที่อยู่ที่แห่งนี้ ตนก็เกิดความกังวลเกี่ยวกับงานใหญ่ที่ว่าขึ้นมา อย่างน้อยก่อนจะหาทางหนีและต่อกรกลับสู่ฝ่ายตรงข้ามก็ควรที่จะหาข้อมูลที่มีประโยชน์ด้วยจึงจะสมบูรณ์ ถึงจะขัดใจตนไปเสียหน่อยแต่ต้องรักษาความสัมพันธ์ เธอออกมาจากห้องแล้วจึงวานนางกำนัลให้พาตนไปเข้าเฝ้าพระเทวาเพื่อแสดงความนอบน้อมและแสร้งว่ารังเกียจสุริยะที่เป็นศรุตเทพมาเกิดยิ่งนัก
"อินทราณี เรารอเพลานี้ที่เจ้าจะหาเราด้วยใจของเจ้า ต้องการสิ่งใดกล่าวเถิด" เขาพอใจ พร้อมที่จะมอบทุกสิ่งทุกอย่างตามปรารถนาสตรีอันเป็นที่รัก
"พระองค์... หม่อมฉันมิได้ต้องการสิ่งใดเลยเพคะ ขอเพียงได้อยู่เคียงข้างพระองค์หม่อมฉันก็ยินดี ถึงแม้ว่าเพลานี้หม่อมฉันจะจำเรื่องราวที่ผ่านมาไม่ได้  แต่เท่าที่หม่อมฉันได้ทราบคำเล่าของสันต์สินีแล้วทบทวนก็พบว่าอย่างศรุตเทพไม่สมควรได้รับการอภัย และผู้ที่หม่อมฉันควรเชื่อใจนั้นนคือพระองค์เพคะ ที่ผ่านมาหม่อมฉันทำผิดไปขออภัยโทษให้หม่อมฉันด้วยเถอะนะเพคะ"เธอคุกเข่าดวงตาปริ่มน้ำ ต้องทำเช่นนี้ถึงจะพระทัยอ่อนไม่กังขา
" ลุกขึ้นเถิด เราไม่เคยถือโทษโกรธเจ้าเลยสักครั้ง เพียงแต่เรากังวลว่าเจ้าจะไม่ยอมรับเราเท่านั้น"นั่นคือสิ่งที่กล่าวมา เพราะเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นเธอไม่เคยจะเปิดใจให้สักครั้ง
"ขอบพระทัยเพคะ.....แต่ว่าเหตุใดกันพระพักตร์ของพระองค์ถึงได้เศร้าหมองยิ่งนัก หม่อมฉันกระทำการใดเป็นที่ให้ไม่สบยพระทัยอีกหรือไม่เพคะ" ปกติก็ต้องดีใจแล้วสิ หรือว่าจะมีเรื่องอื่นให้กังวลอีกกันนะ
"ไม่หรอก  หากแต่เป็นพระพี่นางของเรา...พวกเจ้าออไปก่อน เราจะอยู่กับอินทราณีตามลำพัง"คำสั่งมาข้าเหล่าบริพารก็ต้องไป เมื่อเหลือกันเพียงสองก็สะดวกใจ น้ำพระเนตรไหลอาบพระพักตร์เพราะไม่อยากให้เห็นความอ่อนแอจึงได้ให้คนออกไปอยู่แต่เพียงคนที่จะรับฟังในสิ่งที่ตนจะกล่าวได้อย่างมิกลัวที่จะเสียหายในภาพลักษณ์ผู้นำ
"เราทำผิดต่อพระพี่นาง ครานั้นเรามีโทสะมากเกินไปจนเป็นเหตุแห่งการพลั้งพลาดประทุษร้าย พระพี่นางจึงเสด็จยังที่ที่ไม่มีใครหาเจอแม้แต่พระอินทร์ที่เป็นพระสวามี็ก็ตาม พระพี่นางของเรามิต้องการให้เราทำในสิ่งที่เราเห็นสมควรกระทำแต่เราผิดเองที่ไม่ได้ใส่ใจ  แต่ที่เรากังขาคือทั้งๆที่เป็นพระเทวีแห่งเทวราชาแต่หาได้มีใครใส่ใจตามหาไม่ เป็นเรื่องที่เราอยากทูลถามแต่ไม่เคยมีโอกาสในการถามเลยสักครั้้ง" เขาดูสลดหดหู่ก็จริงอยู่ แต่รู้สึกว่าเรื่องที่เล่านั้นยังไม่ละเอียดเท่าไหร่นัก
"หม่อมฉันได้ทราบมาว่าวันนี้เป็นวันที่ดวงดาราประกายแสงไสวทั่วนภา ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้เข้าเฝ้าะเพคะ หากพระองค์ไม่สบายพระทัยที่จะทูลถาม หม่อมฉันขออาสาทูลให้นะเพคะ " เธอจะได้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พระนางต้องทรงทราบเรื่องงานใหญ่ของเทพวิษุวัตแน่
"ไม่ได้หรอกอินทรานี เจ้ายังไม่ได้สมรสกับเราไปเข้าเฝ้าพร้อมกันมิได้ อีกอย่างหนึ่งเจ้ายังไม่รู้ว่า พระองค์เสด็จเข้าเฝ้าพระเทวตรีมูรติและบำเพ็ญเพียรเป็นเพลา๑๕วันสวรรคโลกโดยใหเราช่วยดูแลแทนพระองค์ไปก่อน" อธิบายตามจริง ไม่มีโอกาสดังว่า แต่ทำไมไม่ลองหาโอกาสก่อนนี้เลยล่ะ
"๑๕วันสวรรคโลกก็เท่ากับว่าเป็นเพลา๑๐๕วันของมนุษยโลก การที่เสด็จนานเช่นนี้ พระองค์จะไม่เป็นที่กังขาของเหล่าเทพเทวาต่อการรักษาหน้าที่หรือเพคะ" ทำไมถึงไว้ใจผู้ที่เคยจะสังหารคนมาดูแลได้ น่าฉงนนัก
"เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงไป เราเป็นโอรสของพระอินทร์พระองค์ก่อน พระองค์เข้าสู่แดนไร้สงสารแล้วจึงได้สละ ตามจริงตัวเรานับว่ามีสิทธิชอบธรรมในการดำรงเป็นเทวราชา แต่ว่าพระอภิรักษ์เพชราบำเพ็ญเพียรได้มากกว่าเราจึงได้เป็นผู้สืบต่อหน้าที่ เพลานี้พระองค์คงเห็นถึงความสำคัญในการเคารพของเหล่าเทพเทพีที่มีต่อเรา จึงได้วางพระทัยให้เราช่วยดูแลโดยไม่มีผู้ใดคัดค้าน" เพราะเหตุนี้ทำให้ได้อำนาจมาอยู่ในมือ แสดงว่างานใหญ่ที่ว่าก็คือตำแหน่งนี้น่ะสิ  แค่คิดก็น่าจะได้ แต่นั่นก็จะได้รับโทษทัณฑ์จากพระมหาเทพทั้งสามด้วยนี่สิ เขาวางแผนจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรกันแน่
"ไม่ว่าใครจะคิดเช่นไรก็ไม่ได้ใส่ใจ ตอนนี้เรามีเจ้าอยู่ด้วย และจะดีมากถ้ามีพระพี่นางอีกพระองค์ เราจะเยือนยังอุดรบาดาล คงไม่ได้กลับมาหลายวัน จะกลับมาอีกทีก็น่าจะเป็นวันหลังคืนเดือนดับซึ่งจะได้ชมดอกปาริชาติ ครานั้นเจ้าก็จะจำเรื่องของพวกเราได้ดี ดูแลตัวเองให้ดี เราไปก่อน" ว่าแล้วเทพท่านก็เดินทางเพื่อที่จะไปคุยเรื่องสำคัญ
"เราต้องอดทนไว้ก่อน ถึงเพลานั้นจะได้ออกไปจากที่นี่ เราจะไม่ยอมให้อดีตมาเปลี่ยนแปลงปัจจุบัน แต่เราต้องรู้อดีตเพื่อรับมือกับอนาคต" เธอลอบคิดในใจถึงวันนั้นแล้วเธอจะไม่ยอมอยู่ที่นี่ต่อไปแน่นอน"
........
เดินทางเลยเมืองร้างโกสุมพิสัยได้สักระยะ เจ้าสิงโตก็เข้าชี้ต้นผลไม้ที่รูปร่างราวกับว่าเป็นผลส้มแต่กลับมีสีเข้มราวกับมังคุดที่สุกมากแล้ว มันน่าฉงนกว่าก็ตอนที่ปลอกเปลือกออกมามีเนื้อนุ่มไม่ต่างกับผลกล้วย
"ข้าน่ะนะกินมันกี่ครั้งก็หลับยาวถึงต้นยามสองเลย นี่อาจเป็นผลดีในการวางยาให้คนพวกนั้นสลบไปจะได้หลบหนีง่ายขึ้น"เขาออกความเห็นเพราะตนได้ลองมาแล้ว
"เจ้าแน่ใจนะว่าได้ผลจริง ไม่ใช่ว่าเจ้าแพ้มันหรอกรึ" หิ่งห้อยก็ไม่อยากปักใจเชื่อนักเพราะถ้าผิดพลาดไปก็จะสูญเสียสิ่งที่ตั้งใจได้น่ะสิ
"แพ้อะไรล่ะ ผลไม้ประหลาดนี่กินไปก็เสี่ยงตายด้วยซ้ำ ไม่ใช่ว่า๑๐ปีก่อนข้าเกิดหิวจนกินไปล่ะก็ก็ไม่รู้โทษประโยชน์มันหรอก" สิบปีนั้นเขาต้องช่วยเด็กๆที่เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ในการตามหาช่วยเหลือมารดา เหนื่อยหิวมากก็ต้องจำกินสิ่งที่ทำให้อิ่มถึงแม้ว่าอาจจะทำอันตรายร่างกายก็เถอะ
"อ๋อ ที่เจ้ามาช้าในตอนนั้นนั่นเอง แล้วได้กินอีกครั้งให้แน่ใจแล้วเหรอ "ตอนไปช่วยพุทรัตน์นั่นมาช้าเพราะเหตุนี้เอง แต่จะให้แน่ใจได้ก็ต้องลองอีกครั้งหรือมากกว่านั้นสิ
" ลองแล้วๆแน่ใจมาก"มั่นใจมากแล้วได้ลงมือเก็บ"
"พวกเราเดินทางไปยังถ้ำหิ่งห้อยกันก่อน เพราะต้องขนคนหลายคน ให้รวมตัวเป็นสำเภามาพาไปจะได้ไวขึ้น" เขาก็ว่าถูกลำพังตัวเดียวไม่ขนคนไม่ทันอยู่แล้ว"
"แล้วจะได้พาหนีเมื่อไหร่" เขาไมรู้จะหาโอกาสไหนมาหนีได้
"คืนเดือนดับ  แต่การที่่จะพาหนีไปกับพวกเราก็เสี่ยงที่จะถูกจับได้ ดังนั้นต้องเร่งเดินทางให้ถึงก่อนหน้านั้นแล้วให้ทุกคนไปรอยังที่คุมขังใต้ดินทางทิศหรดีของวัง" เขาพูดเช่นนั้นก็เบาใจเรื่องรับมือเสียหน่อย
........
"อย่าชักช้านัก คนแบกฟืืนขนน้ำคิดจะอ้างสังขารมาทำงานไม่ได้ เร็วเข้า!! " คนคุมงานเร่งให้เชลยจากเมืองทิศพลทำงานอย่างแข็งขัน แต่ว่าแรงอันน้อยนิดของหญิงชราก็ทำพลาดภาชนะที่ใช้ขนน้ำนั้นตกลงบนพื้นกระจายเปียกทั่ว
"เสียเที่ยว!! อย่าเอาแต่นิ่งสิ ไปตักมาใหม่" คนทำพลาดก็จะไปทำใหม่อยู่หรอกแต่ขาที่ล้มพลิกไปนั่นก็เจ็บจนลุกไม่ไหว
"ช้าก่อนเถิด เราเจ็บที่ขาเรานักขอเรารักษา​ตัวสักหน่อยได้หรือไม่​ หากยังเจ็บเช่นนี้เราคงคงทำงานไม่เต็มที่" อดีตผู้เป็นมเหสีต่อรอง​ ขืนฝืนทำไปก็ต้องแย่แน่
"แค่นี้ทำเป็นต่อรองนักนะ​ ไปเอาหวายมาข้าจะฟาดหลังเสียให้ลาย"ผู้คุมคนนี้ไม่ปราณีต่อคำขอแล้วยังจะทารุณ​กันอีกด้วย
"หยุด​ก่อน​ เจ้าทำเกินไปรึเปล่าถึงพวกเราจะเป็นเชลยแต่ใช่ว่าจะต้องกดขี่รังแกกันขนาดนี้นี่"อดีตท้าวเจ้าเมืองเข้ามาปรามการกระทำเพราะไม่อาจทนเห็นพฤติกรรมที่ไม่น่ายอมรับเช่นนี้ได้
"เพราะเป็นเชลยเลยต้องกดขี่กันตามพระรับสั่ง​ ถึงจะว่าข้าร้ายกาจปานใดก็ช่าง​ หน้าที่ของข้าคือมอบความทรมานให้กับพวกเจ้า​ และพวกเจ้าไม่ต้องเรียกร้อง"เขาลงมือจะตีอมรินทร์​แต่นวดลเอาตัวกันไว้ก่อน​ พวกคนในวังเห็นก็ทนไม่ได้พากันมารับหวายแทน​
"เป็นมนุษ​ย์​ เขาให้รู้จักคิดยังจะว่ารังแกไม่รู้ถูกผิดอีก "เจ้าผีโครงกระดูกที่จำยอมไปรับใช้ฤๅษี​ทมิฬ​ได้กลับมาพบก็เอาไม้มาฟาดจนล้ม
"ไอ้ผีบ้า​ ตอนแรกข้าก็กลัวอยู่หรอกแต่ข้ามีของดี​ คิดว่าจะทำอะไรข้าได้เหรอ" ผู้คุมที่เสียหลักไปทีหนึ่งลุกขึ้นมาจะเอาสายสิญจน์​มาขู่เจ้าผีนี่เสียหน่อย
"นึกว่ากลัวนักสิ​ เส้นด้ายนี่ได้มาแต่ใดกันล่ะ​ ถูกหลอกแล้วนี่ไม่ใช่สายสิญจน์​จริงๆ​ เจ้าเชื่อไปได้" เขารู้เพราะสัมผัสได้​ แล้วไม่มีปฏิกิริยาร้อนรนเลยแม้แต่น้อย​ ยังส่งหินในย่ามให้พวกเชลยอีกตะหาก
"เอาสักหน่อยซินี่​ เอาคืนมันให้หนักๆเลย" พูดอย่างนั้นก็รู้งานพากันปาก้อนหินกันใหญ่​ ตอนนี้วุ่นวายหลายพวกมากเหมาะจังหวะละสายตาจริงๆ
" คืนเดือนดับต้นยามสามทิศหรดีพวกเราจะหนีไปด้วนกันพระเจ้าค่ะ" เขาบอกอย่างนนั้นได้ไม่นานพวกอำมาตย์ที่ได้รับมอบงานก็มาดูความเรียบร้อยแต่ก็เจอความวุ่นวายแทน
" หยุด​ หยุดเดี๋ยวนี้!!" ตอนแรกที่ร้องเรียกก็ไม่มีทีท่าจะหยุดเลยได้ชักดาบออกมาขู่จึงได้เงียบลง
"พอเลยงานวันนี้พอ​ เอาตัวไปขังให้หมดเลย​ ผู้คุมไม่ได้ความจะเก็บไว้ทำไมเอาตัวมันออกไป" เขาสั่งเสียงเข้มท่าทางอารมณ์​ท่าจะแปรปรวนไม่น้อยเลย​ เขาเรียกหัวโจกที่ก่อเรื่องไปคุยส่วนตัว
"อำมาตย์เรืองรองท่านจะไปกับพวกเราไหม" เขาถามทันทีหลังจากลับตาคน
"ไม่ได้​ ข้าจะต้องคุมคนอยู่ที่นี่จะได้หนีได้ไว​ ข้าได้อำนาจมาเพราะแสร้งเป็นพวกนะ​ ถ้าด่วนหนีไปองค์เหนือหัวจะเป็นอย่างไร​ ใครจะคอยช่วย พระโอรสก็เคยบอกว่าพระองค์​เสด็จไหนไม่ได้ก็ยิ่งน่าห่วง" จริงอย่างที่ว่าเพราะถูกเวทย์มนตร์​ตรึงไว้ถ้าไปไหนก็เท่ากับสิ้นชีพแน่ต้องคิดเรื่องนี้ให้มาก
" ข้าขอบน้ำใจเจ้ามาก​ ถึงพระโอรสจะกลับมาเมื่อใดเราก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด​ ข้าไปก่อน"ว่าแล้วก็แยกย้ายกัน
....
"​ลูกแม่​ แม่จะดูแลพระอัยกา​และ​พระ​อั​ย​กี​ให้ดี​ ตัวแม่ก็จะช่วยเหลือตนเองด้วย​ เพื่อจะได้ออกจากที่แห่งนี้​ หาที่ที่จะรอลูกกลับมาไม่ว่านานแค่ไหนแม่จะรอลูกกลับมา​ ลูกต้องปลอดภัยแม่เชื่ออย่างนั้น" เธอคิดในใจขณะขูดมะพร้าวมอยู่
" มัวแต่ใจลอยไปถึงไหน  ตั้งใจทำงาน​ ไฟดับแล้วไปก่อไฟเพิ่มไป" นางในครัวขัดความคิดให้ปัดตกไปทำหน้าที่เสียก่อน​ ไม่เช่นนั้นปัญหาเกิดแน่
" วันนี้คิดจะทำอะไรส่งไปให้อดีตสวามีเสวยกันล่ะ"จาบจ้วงเสียจริง​
" ก็นะพวกข้างบนน่ะจะรู้อะไรล่ะกับพวกเราล่ะ​ ทำงานหงกๆเอากระยาหาร​ไปถวายไม่ใช่น้อยๆเลยในแต่ละมื้อพวกคนข้างบนไม่รู้หรอกเอาแต่คิดถึงตนเอง​ เราเป็นทาสเข็ญใจ​ เจ้าพอตกจากที่สูงน่ะคงเจ็บกว่าพวกเราน่ะสิท่าถึงได้ทำหน้าเศร้าเคล้าน้ำตาถึงสามี"ออกปากว่ากันขนาดนี้คงหาที่ลงอยู่กระมัง
" เราไม่ได้คร่ำครวญถึงพระสวามี​ เรายอมรับว่าเราก็ปวดใจเรื่องเขา​ แต่ที่เรื่องเป็นทุกข์​ที่สุดคือลูกของเราที่ถูกทำร้ายหรอกหนา​ เขาจะเป็นเช่นไรก็ไม่รู้เลยผิดกับพวกเราที่รู้ตัวเองอยู่ตลอดเพลา"ก็จริงที่ว่าคนเป็นแม่น่ะผูกพันมากกว่ากว่าการเป็นภรรยานัก
"เอาเถอะ​ จะร้องไห้จนน้ำท่วมแผ่นดินก็ไม่ช่วยอะไรหรอก​ คิดดีกว่าว่าวันนี้จะถูกหมายหัวลงโทษไม่พอใจเรื่องอาหารจะดีกว่าอีก"ได้ยินอย่างนั้นก็พอเห็นใจแต่ไม่รู้จะปลอบยังไงใจพวกตัวเองที่เป็นทาสมานานถูกกดขี่มานานก็ยังปลอบใจตัวเองไม่ได้เลย
"ทำพระกระยาหารเสร็จ​แล้วใช่ไหม​ ตรวจดูสิว่าวันนี้มีอะไร"ขุนท้าวมารับสำรับพระกระยาหารด้วยตนเองแล้วต้องตรวจตราทุกครั้งเผื่อมีใครใส่อะไรลงไปในนี้
" วันนี้มีพะแนง​ มัสมั่น​ แกงระแวงเนื้อ​ ยำทวาย​ บัวลอยมะพร้าวอ่อน​ ครองแครง​ และขนมเปียกปูนเจ้าค่ะขุนท้าว" นางกำนัลตรวจดูก็รายงานให้ทราบ
" เอาล่ะนำสำรับไปถวายได้"ว่าแล้วจึงพากันยกสำรับไปถวาย​ หวังว่าเขาจะจำความสัมพันธ์​แต่ก่อนเก่าได้บ้างก็ยังดี
....
เมื่อได้รับสำรับมาก็เสวยอย่างพอใจแต่พอมาถึงสิ่งสุดท้ายทำไมกันหนาน้ำตากษัตริย์​ถึงได้ร่วงไหลทั้งๆที่ยังนิ่งได้ขนาดนั้น
"องค์​เหนือหัวเป็นอย่างไรเพคะ​ ทำไมถึงได้... "พิมาลาเป็นห่วงก็ถามไปตามความอยากรู้
"เรา... เราปวดตา​ เหมือนว่าเราจะใช้งานหนักไปเสียหน่อย" เป็นอันว่าโล่งใจ​ ไม่ได้ห่วงว่าจะมีอันตรายอะไรหรอก​ แต่ห่วงว่าจะเกิดการตอบสนองความรู้สึกต่อคนในครัวหลวงเสียงมากกว่า
"พักผ่อนเถอะนะเพคะ​ ไว้หม่อมฉันจะกลับมา​ ขอหม่อมฉันไปหาลูกสักนิดนะเพคะ​  เขาพยักหน้าตอบรับแล้วจึงไปหาลูกได้ตามปกติ​ ฝ่ายเจ้าตัวก็ดูเหมือนว่าจะคิดถึงเมื่อคราวที่พบกันครั้งแรกกับสไบทองนั้น​ ตนได้มอบดอกอัญชันไว้แทนใจ​ ครั้นคืนวิวาห์​ก็ให้สัญญาว่าหากมีโอกาสทำอาหารถวายจะทำอาหารที่มีอัญชันเป็นส่วนประกอบด้วยเช่นกัน​ เขาเริ่มสับสนว่าตัวเองรู้สึกยังไงทั้งๆที่อาลัยไม่พรากจากพิมาลาแต่ทำไมถึงผูกพัน​กับอีกนางไม่เลิกราแม้จะรู้สึกชิงชังนักเล่า
....
"เป็นเพลาสมควรแล้วที่จะได้ออกเดินทางกันเสียที​ เราขอให้เกิดโชคดี​ สิ่งใดหาอย่าทำให้เกิดอันตรายต่อพวกท่านได้​ ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ให้ระลึกถึงเราไว้เสมอ​ ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์​คุ้มครอง" วิชชุนาคราชกล่าวอวยพรผู้เดินทางทั้งสาม​ก่อนที่จะเดินทางเข้าสู่เขตแนวอสุราในวันนี้
" ขอบพระทัยเพคะ/พระเจ้าค่ะ"ทั้งหมดขอบคุณพร้อมกันทั้งเอ่ยทางวาจาและการเขียน
" จำไว้นะ​ หากเกิดอะไรให้อะไรให้เรียกเราผ่านสร้อยนี้นะทั้งสองคน"เขาสร้อยที่เป็นจี้แก้วผลึกให้กับสหายทั้งสองเพราะเกรงว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น
"ขอบใจมากนะติณณกฤต" สุริยะขอบใจสหายที่อุตส่าห์​หาช่องทางที่จะช่วยเหลือแม้จะไม่ว่างก็ตาม
"เราเต็มใจ... ลีลาวดีเจ้าอย่าได้ถือโทษโกรธ​เคืองพวกเขาเลย​ เขาไม่ได้ตั้งใจจะรบกวน​ เราต้องช่วยคนให้ถึงพร้อมถึงจะถูกต้อง​ แล้วควรเลือกช่วยให้ถูกด้วย​ อย่าให้อคติบังตา" เขาเตือนน้องสาวเท่าที่เตือนได้เพราะผู้นี้ใจร้อนมิเบาหรอกเพราะรู้สึกเป็นส่วนเกินทุกครั้งไปที่คนคนนี้มา​ แต่ตัวก็เลี่ยงไม่ได้นี่
" รู้แล้วเรารู้แล้ว​ เราไปก่อนนะท่านพี่​ ท่านก็ทำหน้าที่ให้เต็มที่เถอะอย่าห่วงนักเลย" ว่าแล้วก็เร่งการเดินทางเมื่อเวลาเดินทางมันก็มีเหนื่อยมีพักบ้างเป็นบางเวลาแต่โชคดีอย่างหนึ่งที่ว่าเป็นทะเลใต้จึงไม่ไกลเกิดจากมหาสมุทรสีชาดมากนักใช้เวลาเพียงหนึ่งวันก็ถึงพื้นที่ระหว่างสีน้ำต่างกันคนละวรรณะ​เมื่อสังเหตุเกตุไปยังพื้นน้ำที่มีสีแห่งความร้อนแรงจะพบว่าสถานที่ในนั้นกลับด้าน​ ล่างเป็นบน  บนเป็นล่างเรียกว่ากลับหัวไปเลยว่าได้
"เราเคยเข้าถึงแค่สะพานน่ะ​ เราเกิดไม่สบายตัวเลยไม่ได้เข้าไป​ ได้กลับมาอีกครั้งก็น่าจะมีอะไรสนุกๆให้ทำ​ ไปกันเถอะ" นาคีมีประสบการณ์​กล่าวแล้วก็พากันเข้าไป​ พื้นที่นั้นไม่จำเป็นต้องกลับตัวเองตามเพราะเมื่อเข้าไปลึกแล้วที่แห่งนั้นก็จะหมุนมาตรงตามตัวเราเอง
"ที่นี่ผีเสื้อเยอะมาก​ ตรงกันข้ามกับแสงที่มีอยู่​ สลัวเกินไป"แสงสุรีย์เขียนตามที่ตนเห็นคุยกับสหายเป็นระยะๆ
" จริงด้วย​ ดอกไม้ที่มีก็ดูล้อมรอบไปด้วยแสงขาวกลมรอบๆไม่รู้ว่าแสงอะไรแต่ไม่ใช่หิ่งห้อยแน่" เขาพูดตอบกลับที่นี่มองเผินๆก็ดูเป็นความงามของแสงบางตาในยามค่ำคืน​ จริงๆมันก็ยังกลางวันอยู่แต่ปากทางเข้ามันมืดเท่านั้นเอง
"ไปสะพานนี่มืดมาก​ อย่าตกลงไปแล้วกัน" ว่าแล้วก็เดินแทรกกลางนำหน้าไปเบียดชนอีกคนจนตกสะพานแต่ยังดีที่ยังราวสะพานไว้​ แต่ไม่นานสะพานนั้นก็ละลายคล้ายว่าทำจะน้ำแข็งแล้วถูกความร้อนเสียอย่างนั้น​ ความมืดนั้นก็ทำคนข้างบนมองไม่เห็นคนด้านล่างเพราะคนด้านล่างพูดไม่ได้จึงเป็นเรื่องยากที่จะหาตำแหน่ง​ ก่อนจะหล่นลงตนก็ทุบที่สะพาน​ คว้ามือคนด้านบนได้เสียที​ ด้านบนทำท่าจะดึงแต่ก็นิ่งแล้วหย่อนมือลงไปต่่ำ
"ได้มือนางแล้วใช่ได้ลีลาวดี" สุริยะที่มองไม่เห็นก็ถามเพราะคว้าไม่ได้เลย
"ได้" ตอบสั้นๆเท่านั้น​ แต่กำลังตัดสินใจอะไรอยู่นี่สิ
"ให้เราช่วย​ อยู่ตรงไหนกัน" ตอนนี้แต่ละคนตอนนี้ก็ราวกับตาบอดเพราะความมืดที่มากไปแล้วยังไม่ได้มีเสียงสื่อสารมากนักด้วย​ ถ้าไม่มีนางสักคนครอบครัวเราคงไม่ต้องมาสนใจนางให้มากความ​ เรื่องนี้เอาจริงๆตัวเองก็ไม่ได้อยากทำสักนิด​ ทำไม่ต้องมาช่วยคนไม่สมบูรณ์​ทั้งสองด้วย​ พอกันที​ เธอตัดสินใจปล่อยมืออีกคนให้ล่วงหล่นสู่ด้านล่างที่ฟังเสียงดูก็น่าจะลึกพอตัว
"เจ้าปล่อยมือนางเหรอ​ หรือว่าถ่วงไว้ไม่ทัน" เขาเริ่มไม่แน่ใจว่าสหายที่ตกลงไปยังด้านล่างเกิดจากความตั้งใจของผู้ที่ดึงไว้หรือไม่
"ใช่​ เราก็ไม่ได้อยากช่วยนักหรอก​ เรื่องของเราก็ไม่ใช่​ อยากจะได้ของสิ่งวิเศษนั่นคืนจะมารบกวนเราทำไมล่ะ" เริ่มต่อว่าอีกคนก่อนเขาจะต่อว่าเพราะตัวก็ระอานัก
" เราไม่ได้อยากรบกวน​ ถ้าไม่อยากไปต่อก็กลับไปตามทางของเจ้าเถอะ​ ไม่เห็นต้องทำร้ายนางเลย" เขาไม่เข้าใจใครสั่งสอนฝให้เป็นคนแบบนี้ ไม่ช่วยไม่ว่าแต่ทำไมต้องทำร้ายกันด้วย
" ก็นางเอาทุกสิ่งที่เราจะได้ไปน่ะสิ.. "ก่อนจะพูดอะไรไปมากกว่านี้สะพานก็ละลายพังลงทั้งคู่ก็ตกลงสู่ด้านล่างตามคนแรกไป​ คลื่นน้ำด้านล่างแรงมากซัดไปตามทางจนน้ำไหลกลับที่เดิมทั้งสองก็มาอยู่ในห้องสีแดงสลัวสีส้ม​ เห็นชัดกว่าความมืดหน่อ​ย​ มันก็สวยอยู่หรอกผลึกแก้วสีนี้แต่ว่ามันแหลมคมมากถูกเข้าก็แย่แน่​ ครั้นจะกลับทางเดิมห้องก็ปิดแน่นราวกับนี่เป็นหินเสียอย่างนั้น
"แสงสุรีย์เป็นอะไรไหม" เขาหันไปรอบๆก็เจอกับแสงสุรีย์​ที่มาก่อนหน้านี้
"ถือว่าดีที่ไม่เป็นอะไร" เธอเขียนกระดานที่โชคยังดีที่ไม่ลอยไปตามน้ำเสียก่อน
"ดีเหลือเกินนะ​ ประตูก็ปิดตายจะไปยังไงต่อล่ะคราวนี้" เธอเริ่มจะโวยวาย
"อีกด้านหนึ่งมีแสงสีม่วงปรากฏ​อยู่​ บางที่นี่อาจจะเป็นหนึ่งในทางไปก็ได้" สุริยะกล่าว
"อย่างนั้นจะรออะไรล่ะรีบไปสิ" ไม่อยากติดอยู่ที่นี่นานนักหรอกนะ​ ถ้าทางออกได้จะไปไม่แลใครเลยเชียว
"หลับตาฟังเสียงดีๆ"เธอเขียนกระดานบอกคนใจร้อนให้สัมผัสเสียงด้วยตนเอง
"อะไรอยู่ที่ด้านนั้นน่ะ"ออกจะเกิดความกลัวขึ้นมาเสียแล้ว​ สัตว์​ชนิดใดรอที่เสียงสว่างนั่น
"เสียงน้ำตก​ ด้านนั้นมีน้ำตกด้านมิใช่เหรอ" สุริยะก็ได้ยินเสียงอื่นร่วมด้วย
"แสดงว่าถ้าผ่านแมงมุมยักษ์​นั่นได้เราจะสามารถเข้าสู่เขตแนวอสุราที่สองได้ทันที" เธอรู้ได้ด้วยหรือว่านั่นคือแมงมุม​
"นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี​ แต่ว่าพวกเราจะจัดการมันยังไง​ ลำพังพลังเราผู่เดียวก็ไม่ไหวหรอกนะ" เธอท้วงเสียหน่อยเพราะกลัวการถูกเอาเปรียบจากพวกที่เอาแต่ขอความช่วยเหลืออย่างเดียว
"จริงสิเราอยู่เขตแนวอสุราแล้วจะใช้มนตราคาถาใดพวกนั้นก็ตามหาเราไม่ได้" เขาคิดได้ดังนั้นจึงกล่าวอย่างพึงพอใจ
" แต่ต้องไม่ประมาท​ ขึ้นชื่อว่าเขตแนวอสุราก็มีมีเพื่อกันการล่วงล้ำอยู่เป็นทุนเดิม​ หากใครรุกล้ำก็ต้องมีการป้องกันถึงที่สุดได้" เธอกล่าวถูกนี่มันอันตรายมากน้ำในความมืดที่ซัดร่างราวกับจะกลืนกินตัวเมื่อครู่ก็น่าผวาแล้ว​ ไม่แน่ว่าเข้าแมงมุมด้านนั้นจะเป็นเช่นไร​ ใยที่ถักไว้รอผู้มาเยือนมีเยอะเท่าไร​ หากไม่ระวังวางแผนดีๆคงต้องมีอันตรายต่อตัวแน่​ แต่จะทำได้ยังไงนั้นก็ต้องรวบรวมความคิดก่อนจะเดินทางต่อไปผจญกับมัน
หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ สิงหาคม 09, 2020, 08:13:43 PM

"นี่เราเป็นอะไรไป..." ท้าวธริษตรีเธอรู้สึกตัวได้เสียที​ เป็นเวลานานแล้วที่เขาไม่ได้ออกมาเลย
"ท่านแม่.. ท่านแม่​ ลูกว่ามันได้เพลาเหมาะที่จะจัดงานอภิเษกแล้วนะ" อัคนินเข้ามาเพื่อพูดเรื่องนี้ซ้ำๆเหมือนอย่างเดิม​ ทั้งๆที่ฝ่ายหญิงนั้นมิได้ล่วงรู้เต็มใจด้วยเลย
" งานอภิเษก.. นี่กำลังจะจัดงานกับใครกัน​ ทำไมเราจำอะไรไม่ได้เลย​ แล้วมารดาเจ้าก็ไม่ได้อยู่ที่แห่งนี้กับเราหรอกนะ" เขากุมขมับพยายามนึกแต่นึกไม่ออกในเหตุการณ์​
นี่มันอะไรกัน​ ปกติแล้วแม่ของเขาจะต้องอยู่ร่างนี้เสมอแต่ทำไมคราวนี้ถึงได้กลับกลายว่าเจ้าของร่างออกมาได้เล่า
" หม่อมฉัน.. หม่อมฉันนึกถึงเสด็จแม่จึงพลั้งเพ้อไป​ ที่จริงแล้วเสด็จแม่สิ้นพระชนม์​พระเจ้าค่ะ.. " เขาเริ่มเล่นละครไปก่อนไม่เช่นนั้นจะเกิดเรื่อง
"อะไรนะ​ เป็นไปได้ยังไงกัน​" เขาก็สงสัยนักว่าทำไมถึงได้เป็นเช่นนั้น​ ทำไมเขาจำอะไรไม่ได้เลย ความทรงจำครั้งสุดท้ายคือตนกำลังนึกถึงมเหสีที่สิ้นไปในวันคล้ายวันนั้นที่เขาต้องสูญเสีย
" เรื่องเป็นเช่นนี้พระเจ้าค่ะ..." เขาเล่าเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมาด้วยการป้ายสีฝ่ายตรงข้าม​ เขาทำมันอย่างชำนาญเพราะเขาก็โกหกคนมาได้พักใหญ่แล้ว
"ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้เสด็จพ่อสะเทือนพระทัย​ ในทุกๆเช้าของทุกๆวัน​ เสด็จพ่อจะทรงจำสิ่งใดไม่ได้เลยพระเจ้าค่ะ" น่าจะเป็นสิ่งที่หลอกลวงได้ดีที่สุด​ สะเทือนใจจนจำสิ่งใดไม่ได้นั้น​ เหตุการณ์​นี้ก็เคยเกิดกับกษัตริย์​พระองค์หนึ่งก่อนหน้านี้​ ดูจะสมจริงเข้าไปอีก
"น่าเสียดายนักที่เราจำความคราที่สอบสวนมิได้​ เราเสียใจจริงๆ​ เป็นความผิดของเราเองที่ไม่อบรมสัั่งสอนลูกเราให้ดี​ เป็นเหตุแห่งการสูญเสียมารดาของเจ้า" เขาดูเหมือนว่าจะเชื่อคำพูดของอัคนินเสียทุกคำ​ ยากที่จะยอมรับก็จริง​ แต่เขาก็ต้องยอมรับอย่างขมขื่นจิตใจคนเป็นพ่อ​ ถึงจะนึกเสียใจที่บุตรทั้งหมดต้องตายด้วยการกระทำของคนๆเดียว​ แต่นั่นก็เป็นโทษที่้เขาตัดสินใจยกให้เอง
" พวกเขาได้รับผิดแล้วพระเจ้าค่ะ​ อย่ากังวลพระทัยไปเลยพระเจ้าค่ะ​ เรื่องก็ผ่านมาได้นานนับแล้ว" เขาก็ว่าไปเช่นนั้นในใจอยากจะสังหารซ้ำเสียแต่ในเมื่อมีผู้จัดการแล้ว​ ถึงจะน่าเสียดายแต่ก็ถ้าไม่มีคนพวกนั้นในชีวิตก็ดีมากแล้วไม่ใช่หรอกหรือ
"จริงสิ​ เรื่องที่เจ้าว่าจะอภิเษก​ หญิงนางใดกันที่ทำให้เจ้าคลายความทุกข์​ลงได้"  ไม่คิดจะคุยเรื่องนี้อีกต่อไปเขาควรจะอยู่กับปัจจุบัน​ถึงแม้มันจะยากเพียงใดก็ตาม
"นางมีนามว่าฉันทนาพระเจ้าค่ะ​ หญิงผู้นี้มีความสามารถไม่แพ้หญิงหรือชายใดเลย​ แต่ว่า... นางยังลืมคนรักเก่าไม่ได้​ แต่นางสัญญากับหม่อมฉันแล้วว่ายังไงก็จะเข้าพิธีกับหม่อมฉันแน่นอนพระเจ้าค่ะ" เขาพูดถูกทุกอย่างยกเว้นประโยคท้าย​ เจ้าตัวเขาไม่รู้เรื่องด้วยเลย
" เช่นนั้นแล้ว​ เจ้าก็น่าจะพานางมาพบเราบ้างสิ​ ถึงจะเคยพบ​ เราก็คงจำไม่ได้​ ดีไม่ดีเราจะจัดงานให้เสียวันนี้เลย" เขาอยากเจอว่าที่สะใภ้นักว่าเป็นใคร​ แล้วใจจริงนางได้เต็มใจหรือไม่​ จะซักไซ้​ไกล่ถามเสียให้รู้เรื่อง
"พระเจ้าค่ะ​ หม่อมฉันจะไปตามมาพบ" เขายิ้มอย่างสบายใจ​ คนๆนี้พูดได้ไม่ยากต่างจากอีกคนที่กีดกันไม่เอาเป็นสะใภ้​ คุยเรื่องอื่นเฉไฉไปเรื่อยเมื่อพูดเรื่องนี้
.........
"บัว​ บัวออกมาเดินเล่นด้านนอกบ้างแล้วเหรอ" บดิศรที่เห็นหญิงอันเป็นที่รักยอมออกมาด้านนอกไม่เอาแต่หมกตัวอยู่ในตำหนักรับรอง
" เพคะ​ บัวอยากออกมาชมอากาศบ้าง​ บัวคิดดูแล้วว่าไม่ควรที่จะเอาแต่คิดเรื่องที่ผ่านไป​ ควรจะคิดถึงปัจจุบัน​นี้ดีกว่า​ ที่ผ่านมาที่หม่อมฉันต่อว่าพระโอรส​ หม่อมฉันต้องขอภัยจากพระโอรสเพคะ" หนูขอโทษออกมาเพื่อที่จะได้สบายใจขึ้นบ้าง​ ตอนที่ได้เห็นสายตาของเขาที่อาลัยสหายไม่ต่างกันก็รู้สึกสงสาร​ บางทีเขาก็อาจไม่ได้อยากทำจริงๆ​ก็ได้
" เราไม่เคยถือโทษโกรธเคืองบัวเลยสักครั้ง​ ซ้ำนั่นก็เป็นความผิดของเราจริงๆที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำร้ายสหายเรา​.. "เขาพูดพลางมีลมหายใจต่ำและอ่อนแรงตามมา​ เกือบจะดีอยู่หรอก​ แต่เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ก็อดใจหายไม่ได้ทุกที
"อย่าโศกเศร้าพระทัยไปเลยนะเพคะ​ เรื่องก็ผ่านไปแล้ว​ ต่อจากนี้จะเริ่มต้นใหม่อย่างไรเสียจะดีกว่า"คิดย้ำเรื่องแบบนั้นไม่ส่งผลดีเลยสักนิด​
" เราพร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่... แล้วบัวพร้อมจะเริ่มต้นใหม่ไปกับเราไหม" เขาจับมือของสตรีนางนั้นสักครั้งหนึ่งให้พอใจ​ พร้อมส่งสายตาอ้อนวอนให้ร่วมด้วย
" หม่อมฉัน... "เรื่องนี้มันก็พูดยาก​ ตนก็ไม่ได้คิดอะไรกับใครเรื่องความรักเลย​ ครั้นจะรับปากไปก็กลัวจะผิดกับใจตัวเองเมื่อรู้ว่ารักใคร
" หม่อมฉันขอคิดดูก่อนได้ไหมเพคะ​ เรื่องนี้หม่อมฉันมิเคยพบเจอมาก่อน​ ยังไม่สามารถตัดสินใจโดยทันทีได้" เธอกล่าวไปตรงๆเช่นั้นแล้วนำมือทั้งสองข้างออกจากมือของฝ่าย
"เราจะรอ​วันนั้นที่บัวเปิดใจรับเรา​ เราคงต้องไปก่อนแล้ว​ หากวันใดมีเพลาว่างเราจะมาพบกับบัวอีก" เขาจากไปทำธุระของเขา​ ธุระที่ว่าก็ไม่พ้นเรื่องของพระเทวาวิษุวัต​นักหรอก
" เราอยากให้ถึงคืนเดือนดับเร็วๆเสียที" บัวแย้มลอบติดในใจแล้วแสร้งทำทีว่าสบายใจต่อการดำเนินชีวิตในรูปแบบนี้ต่อไป
.....​
" แมงมุมตัวนี้น่าจะอันตรายมากไม่ใช่เหรอ​ เจ้าคนนึงก็ใบ้​ เจ้าอีกคนก็หนักเลยเชียวเป็นง่อย​ คิดจะผ่านไปง่ายๆคนปกติที่มีคาถายังไม่น่าทำได้เลย​" ลีลาวดีเมื่อคิดไปมาก็เริ่มจะท้วงอีกว่าวิธีที่ปรึกษากันมันดูจะมากไปเสียหน่อย​ คนธรรมดาก็แทบจะไปไม่รอดนับประสาอะไรกับคนพิกานเล่า
" ถ้าหากว่าใช้ปัญญา​คิดเรื่องนี้หาวิธีอื่นได้ก็เสนอมา  อย่าได้เอาแต่กล่าวาจาไปเสียเปล่าเลย"สุริยะก็ไม่เข้าใจนาคีตนนี้ว่าจะมีปัญหา​อะไรกันนักหนา​ ทางที่ดีมันก็ควรจะสามัคคีกันไม่ใช่หรอกหรือ
"เราคิดว่าวิธีนี้ดีต่อเราทั้งสาม​ ไม่ต้องกังวลไป" แสงสุรีย์​เขียนกระดานตอบไป​
ห้องสีแดงสลัวสีส้ม​นี้นั้นนั้นตอนแรกก็อากาศปกติดีอยู่หรอกแต่ว่าตอนนี้ความร้อนยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆเหมือนเร่งให้รีบทำการ​ ไม่เช่นนั้นก็สิ้นชีพเอาเสียด่านนี้
"ร้อนมากเกินไป​ ไม่มีเพลาอีกแล้ว​ คราวนี้เราจะเชื่อเจ้าก่อนก็แล้วกัน" เธอก็คิดว่าต้องทำเช่นนั้นจริงๆถ้าหากยังรักชีวิตอยู่​ ผลึกแก้วสีนี้แหลมคมมากจะผ่านไปได้อย่างไรกันล่ะ
"เราขอไปก่อนเลยแล้วกัน" หลังจากที่ทั้งสามรวมพลังเบิกทางได้ชั่วคราวราวกับหนามนั้นเป็นสมุทรในตำนานที่เบิกทางให้คนข้ามไปยังอีกฝั่ง​ หญิงเอาแต่ใจตัวก็ขอข้ามฝากก่อนใคร​ เมื่อไม่มีใครว่าตนก็ไปในทันที​ แล้วทั้งสองก็ตามกันมา ด้วยความที่สุริยะเดินได้ลำบาก​ ระยะเวลาก็จะใช้นานกว่าเมื่อต่อมาคนสุดท้ายที่ตามมาก็เกือบจะถูกผลึกทิ่มแทงเสียแล้ว​ หากไม่มีผู้ที่ผ่านทางมาก่อนช่วยดึงตัวเธอขึ้นมา
"ขอบใจนะ" เธอตอบด้วยการใช้ลายลักษณ์อักษร​ ถึงจะอย่างนั้นก็ไม่ถูกใจคนช่วยเท่าไหร่นักหรอก
"ไม่ต้องมาขอบใจเรา​ ที่ช่วยก็เพราะเห็นว่าต้องผ่านด่านนี้ไปให้ได้ เมื่อพวกเจ้าได้ตามที่ต้องการแล้ว เราจะได้กลับวังบาดาลของเรา​เสียที" พูดตัดกันเสียดื้อๆแต่ว่าไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนั้นแล้วปัญหามันอยู่ที่ตัวนี้ตะหาก
"คิดจะผ่านไปยังแดนศิลาพยากรณ์​ คิดดีแล้วหรือที่จะสละชีวิตเพื่อที่จะทำสิ่งนี้น่ะ"เจ้าแมงมุมยักษ์​นั้นออกมายังที่แสงนั่น​ เขาเห็นทั้งสามกำลังทำลายใยที่เขาสร้างไว้เป็นกับดัก
" ถ้าคิดว่ามีข้าตนเดียว​ พวกเจ้าก็คิดผิดถนัดแล้ว" สิ้นสุดคำพูดเหล่าแมงมุมตัวเล็กก็ออกมาจากใต้ท้องของแมงมุมนั้นเป็นจำนวนมากมันเกินคาดมากมากไป​ พวกเขาจะรับมือกับมันได้อย่างไรกัน



หัวข้อ: Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: จักรกรด ที่ สิงหาคม 16, 2020, 08:00:38 PM

"ไหนว่ามีแค่แมงมุมยักษ์ตัวเดียว นี่ยังจะมีตัวเล็กตัวอื่นอีกมากขนาดนี้ "นาคีเจ้าถึงกับอารมณ์ขึ้น สิ่งที่เตรียมกันมามันไม่ใช่แบบนี้ กะจะร่วมมือกันจัดการแมงมุมยักษ์เพียงตัวเดียวแท้ๆ แต่กลับพบแมงมุมขนาดเล็กที่มากันเป็นฝูง ทั้งหมดก็ต่างใช้พลังเข้าต่อต้านเจ้าแมงมุมพวกนี้ แต่เมื่อยิ่งสู้ก็ยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นๆและมากขึ้น จัดการน่ะพอจัดการได้แต่กำลังนี่สิจะไปไหวพอต่อสู้ได้อย่างไรกัน
"ข้าว่าพวกเจ้าอย่าฝืนเลยจะดีกว่า ยอมเสียง่ายๆจะได้ผ่านไปด้วยดี" แมงมุมยักษ์กล่าวขึ้นมาเมื่อรู้สึกว่าอีกฝั่งน่าจะเสียเปรียบอยู่มาก
"ใครจะไปยอมได้ล่ะ"ยิ่งสู้ก็ยิ่งแย่ มวลมหาเหล่าแมงมุมนั้นจากเดิมที่เคยเคลื่อนที่ไม่เร็วมากตอนนี้ก็ได้เคลื่อนที่รวดเร็ว
"พวกเจ้านี่ช่างดื้อด้านกันเสียจริง เพราะเช่นนี้ใครก็ตามที่มาผ่านด่านเจ็บปางตายหรือไม่ก็สิ้นชีพอยู่เรื่อยไป" เขามองดูเหล่าสมุนทั้งหมดที่ตอนนี้ใช้ความเร็วเอาตัวมาไต่ขึ้นร่างกายทั้งสามได้สำเร็จ ตอนนี้ราวกับว่าร่างกายของทั้งสามถูกฉาบไปด้วยดินเหนียวที่พร้อมที่จะก่ออิฐปิดตายต่างกันตรงที่ว่าที่กำลังทับร่างก่อตัวอยู่นี่คือแมงมุม มันจะไม่เป็นอย่างนี้เลยถ้าพวกเขาไม่ถูกกัดจนร่างกายชาไปหมดเหลือแต่บริเวณ​ใบหน้าที่ยังไม่ถูกครอบครองเท่านั้นที่ไม่อาการชาในตอนนี้
"นี่เราต้องมาตายเพราะช่วยเหลือพวกเจ้านี่นะ​  มันมากเกินไปแล้ว​ ทั้งหมดมันก็เป็นเพราพวกเจ้าที่สองคน"ลีลาวดีในห้วงสุดท้ายก็อดที่จะต่อว่าไม่ได้​ อุตส่าห์​ใช้ชีวิตอย่างดีมาจนถึงตอนนี้แต่ต้องมาตายเพราะคนอื่นที่ตนก็ไม่ได้อยากจะช่วยตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ​ แสงสุรีย์ที่ได้ยินก็อยากจะกล่าวบางอย่างที่จะช่วยในสถานการณ์​นี้ได้แต่เสียงที่ไม่มีตั้งแต่แรกถึงจะใช้ปากขยับกล่าวคำขนาดไหนก็ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา​ สุริยะที่มองได้เพียงหางตานั้นก็พอจับใจความได้จากการอ่านปากของอีกคนหนึ่งคร่าวๆและต้องนึกคิดตัดสินใจก่อนจะพูดออกไป
"พวกเราทั้งสามขออโหสิที่ทำร้ายทุกท่านที่ปกป้องหนทางนี้ไว้​ พวกเราไม่ได้เจตนาที่จะทำร้ายทุกท่านในที่นี้​ ที่ทำไปเพราะจำเป็นจะต้องผ่านทางเพื่อกระทำการอันสมควรแก่การดำรงธรรมและช่วยเหลือสรพชีวิตในอนาคต.." สิ้นสุดคำกล่าวก็ถูกกลืนกินไปทั้งตัว​ ตอนนี้ทั้งสามได้กลายเป็นรูปปั้นที่มีแมงมุมล้อมรอบตั้งแต่หัวจรดเท้า​ซ้ำยังแข็งราวกับหินผา เสียงหายใจพลางส่ายหัวของแมงมุมนั้นที่กำลังมองทั้งสามด้วยความเหนื่อยใจ
.......
"ติณกฤตหลานลุง เจ้ามาพอดี​  แน่ใจแล้วนะว่าพระบิดาเจ้ามิได้รู้เรื่องนี้"ท้าววัศพลกล่าวถามนาคาต่างเมืองเพื่อความแน่ใจ​ ก็พี่เขาออกจะอยู่เคียงข้างพระเทวรา