9
« กระทู้ล่าสุด โดย จักรกรด เมื่อ กรกฎาคม 10, 2022, 09:24:59 PM »
“เสด็จพ่ออยากให้หม่อมฉันกับน้องชิงเอาดวงตาของหญิงที่ชื่อสไบทองเหรอพระเจ้าค่ะ” จันทลักษณ์ทวนสิ่งที่ได้ยินอีกครั้ง
“ถูกต้อง พ่อจะใช้ดวงตานางมาทำเนตรสะกดใจให้เจ้าสองพี่น้อง และทำให้พวกนั้นบาดหมางกันด้วย”
“แต่ว่า….” ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปราวกับว่าจะไม่กล้าทำเรื่องเช่นนี้เลย
“แต่ว่าอะไร” ท้าวนาคาได้ยินคำว่าแต่ก็เริ่มไม่พอใจ
“แต่ว่าเรื่องแค่นี้ทำไมต้องให้ลูกทำด้วยล่ะพระเจ้าค่ะ” ที่แท้ก็แค่อิดออดไม่อยากทำ ไม่ได้เกิดความกลัวไม่กล้าแต่อย่างใดเลย
“ก็แค่มนุษย์ผู้หญิงธรรมดาคนนึงไม่เห็นจะต้องให้ถึงมือของพวกหม่อมฉันเลยนี่เพคะ พวกลิ่วล้อก็ทำให้ได้สบายๆอยู่แล้ว” ปัทมาสน์ที่เข้ามาสมทบพอที่จะได้ยินที่ทั้งสองคุยกันเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความคิดเห็น
“ถ้าเป็นเรื่องอื่นคงให้พวกลิ่วล้อจัดการอยู่หรอก แต่เรื่องนี้มันสำคัญมาก เพราะผู้ที่จะใช้เนตรสะกดใจต้องเป็นผู้ที่ช่วงชิงดวงตาด้วยมือตนเองน่ะสิ หรือว่าพวกเจ้าเกียจคร้านจนยอมให้ผู้อื่นได้ใช้เนตรวิเศษแทนกันล่ะ”
“แล้วทำไมเนตรสะกดใจจะต้องชิงมาจากผู้หญิงคนนั้นด้วยล่ะพระเจ้าค่ะ”
“พ่อบอกเจ้าไปแล้วว่าจะทำให้พวกนั้นบาดหมางกัน ถ้าเอาดวงตาผู้อื่นแล้วพวกนั้นจะแตกสามัคคีได้ยังไง พวกเจ้าสองพี่น้องแฝงตัวไปอยู่กับพวกมันตั้งนานก็ย่อมเกิดความผูกพัน ทีนี้ล่ะทางนั้นจะแบ่งเป็นสองฝ่าย แน่นอนว่าฝ่ายหนึ่งจะแก้ต่างหาเหตุผลการกระทำให้พวกเจ้า” เขาเล่าสิ่งที่คาดการณ์เอาไว้ มันไม่น่าผิดคาดเท่าไหร่นักหรอกถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมา
“เสด็จพ่อทรงปรีชาสามารถมากเลยเพคะ พรุ่งนี้ไปชิงดวงตามาเลยดีมั้ยเพคะ จะได้ทำเนตรสะกดใจให้เร็วขึ้น” ธิดายักษ์ยิ้มอย่างพอใจเมื่อได้ยินในสิ่งที่บิดานาคาพูด เห็นทีจะต้องรีบไปนำมาเสียแล้ว
“ถ้าทำสำเร็จพวกเราก็จะมีเนตรสะกดใจสี่ดวงเลย หม่อมฉันดวงนึง ปัทมาสน์ดวงนึงและเสด็จพ่ออีกสองดวง” โอรสมนุษย์คิดถึงเรื่องนี้แล้วจึงกล่าว ยิ่งมีจำนวนดวงตาเพิ่มขึ้น การสะกดใจก็สามารถสะกดได้หลายคนขึ้นน่ะสิ
“ไม่ถูกเสียทีเดียวหรอก พ่อก็มีเพียงหนึ่งเหมือนพวกเจ้า”
“แต่ปกติเสด็จพ่อมีถึงสองดวงนี่เพคะ” เธอก็ว่าไปตามความจำที่ตนมีอยู่ มิได้รู้ตื้นลึกหนาบางอะไร
“แต่ก่อนน่ะใช่ แต่เพราะมีครั้งหนึ่งพ่อได้สู้กับพวกครุฑ มันจิกเอาดวงตาพ่อออกไป ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ป่าไหนหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ”
“ป่านนี้ไม่เป็นหินอัญมณีอยู่ที่ไหนแล้วหรือพระเจ้าค่ะ”
“พ่อก็ไม่แน่ใจ แต่เชื่อได้ว่าอยู่ดีแน่นอน….. นี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่พวกเจ้าต้องรู้ไว้ อย่าให้ใครทำลายเนจรสะกดใจของพวกเจ้าได้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นตาเจ้าจะบอดและเรื่องที่ไปสะกดผู้อื่นจะเข้าตัวจนสติวิปลาสได้” วัศพลนาราชพูดข้อนี้ให้ฟังเป็นสำคัญเพราะคนไม่อยากเสียกำลังพลไป ถึงแม้จะเป็นจุดอ่อนตนแต่ก็ไม่คิดจะปิดบังพวกที่ตนสะกดเอาไว้หรอก เพราะผู้ที่ถูกสะกดจะไม่มีวันทำร้ายผู้ที่สะกดแน่นอน หากเว้นว่างจากเรื่องสงครามตนก็กะจะตามหาสิ่งสำคัญของตนดูบ้างเหมือนกัน
“พระเจ้าค่ะ พวกหม่อมฉันจะระวังดวงตาให้ดี”
“เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ก่อนตะวันตกดินพวกหม่อมฉันจะไปชิงดวงตาของสไบทองได้เพคะ เสด็จพ่อวางพระทัยได้เลย”
………………………………………………..
“ไม่นะ!!” แสงสุรีย์สะดุ้งตื่นขึ้นมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางด้วยความตกใจสิ่งที่เกิดในความฝัน
“เป็นอะไรไปน่ะแสงสุรีย์” เมธาวีได้ยินเสียงร้องก็รีบเข้ามาดูและประคองผู้ที่เพิ่งฟื้นจากนิทราด้วยความเป็นห่วง
“เราฝันร้าย ฝันว่าจันลักษณ์กับปัทมาสน์ควักเอาดวงตาของตัวเองมาคนละข้างแล้วเอาใส่ในกองเพลิง จากนั้นทุกอย่างก็ดับลงราวกับว่าดวงตาของเราบอดไปแล้ว เรากลัวเหลือเกินว่าสองคนนั้นจะเกิดอันตราย”
“ไม่ต้องห่วงไปหรอก บางทีที่เจ้าฝันแบบนี้อาจเป็นเพราะเจ้าอาจจะคิดสับสนที่สองคนนั้นไปอยู่กับพวกศัตรูก็ได้” เพชราหูกล่าวเช่นนี้เพราะไม่อยากผู้ที่ตื่นนิทราจากฝันร้ายคิดมากจนเกินไป
“เราก็หวังว่ามันจะเป็นแค่ความฝัน อย่าให้มันเป็นลางร้ายอะไรเลย” จินดาที่ได้ฟังเช่นนั้นก็ไม่สบายใจเท่าไหร่นักเพราะนี่อาจเป็นลางบอกเหตุก็ได้ แต่ยังไงก็อยากให้เป็นแค่ฝันไม่สลักสำคัญอะไร
“ฝันร้ายก็แค่ฝันอย่าคิดมากเลยนะ”ศุภลักษณ์เข้ามาจับมือพี่สาวคนโตเพื่อให้กำลังใจ ตัวเองเชื่อว่ายังไงเรื่องร้ายๆจะต้องผ่านไปได้แน่ แค่ต้องรอเวลา
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ มีใครเป็นอะไรรึเปล่า” อันติมะเข้ามาดูสหายที่พักอยู่อีกกระโจมเพราะเกรงว่าจะเกิดอันตรายจากพวกคิดไม่ซื่อก็เป็นได้
“ไม่มีอะไรหรอก เราแค่ฝันร้ายน่ะ”
“ฝันร้ายเดี๋ยวก็กลายเป็นดี ช่างมันเถอะนะ พวกเราเตรียมตัวกันให้เรียบร้อยดีกว่า พอฟ้าเริ่มสางก็ต้องเตรียมรบอีก”
“หวังว่าจะจบลงไวๆนะ”โอรสวันศุกร์กล่าว
“เราก็อยากให้จบแต่ว่าเทพวิษุวัตไม่ยอมเข้าร่วมให้เร็วน่ะสิ ไม่อย่างนั้นก็คงจะสามารถเอาความสนใจรวมกำลังแรงมุ่งไปต่อกรกับพระองค์พอ”ชายหนุ่มร่างแปลงหนักใจไม่น้อย นี่ก็หลายวันแล้วที่เทพต้นเรื่องบำเพ็ญเพียรเพิ่มกำลังให้ตนแล้วไหนจะถ่วงเวลาเพื่อรอให้สหายตนอ่อนกำลังลงอีก หรือว่าตนควรจะต้องทำอะไรที่สั่นคลอนจิตใจให้สมาธิของเทพวิษุวัตไขว้เขวกัน ถึงจะทำให้เรื่องมันจบสักที
“พระธิดา พระโอรส!!” จั๊กแหล่นมาถึงก็เข้ากอดทักทายทุกคนอย่างดีใจ เมื่อวานอยู่ซ้อมวิชาเพิ่มอีกสักหน่อยจึงได้ตามมาสมทบภายหลัง
“จั๊กแหล่นมาแล้วเหรอ พี่ศุเนี่ยคิดถึ๊งคิดถึง” ศุภลักษณ์เห็นสหายรักก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งจึงได้เข้ากอดราวกับว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นน้องสาวของตนอีกหนึ่ง
“พี่ศุเนี่ยคิดถึ๊งคิดถึง” ประกายพรึกพึมพำถึงประโยคก่อนหน้าด้วยความหมั่นไส้ ดูท่าเจ้าของประโยคจะชอบทำนิสัยเจ้าชู้จนเป็นนิสัยไปแล้ว จึงไม่เขอะเขินเลยที่จะสวมกอดผู้หญิงแบบนั้น
“แล้วพระโอรสจันทลักษณ์กับพระธิดาปัทมาสน์อยู่ที่ไหนกันพระเจ้าค่ะ”ผีตาหวานถามด้วยความสงสัย เพราะมันจะได้เวลาออกรบแล้วน่าจะมารวมกันครบได้แล้วนี่
“คงไปอู้อยู่ที่ไหนสักที่ล่ะมั้ง” สุดหล่อว่าไปตามความเห็น นี่ถ้าไม่ใช่ว่าเพิ่งมาถึงล่ะก็ ตนก็จะแอบอู้ไม่ไปช่วยให้เหนื่อยจนเกินตัวหรอก
“ทั้งสองน่ะเปลี่ยนฝั่งไปอยู่กับพวกนั้นแล้วล่ะพี่ตาหวาน” อังคาสตอบความสงสัยให้ทราบ ถึงจะอนุมานได้ว่าถูกมนตราแต่มันก็น่าโมโหอยู่เหมือนกันที่ไม่ระวังตัวให้ดี จนเรื่องมันวุ่นไปใหญ่
“หมายความว่ายังไงกันพระเจ้าค่ะ อยู่ดีๆจะเปลี่ยนฝั่งไปได้อย่างไรกัน” หิ่งห้อยฟังความก็เกิดความสับสนขึ้นมา แค่ไม่อยู่ด้วยวันเดียวมันเกิดเรื่องอะไรกัน
“พวกเขาเปลี่ยนฝั่งก่อนจะเริ่มสงครามและเรียกวัศพลนาคราชว่าเสด็จพ่อน่ะจ้ะพี่หิ่งห้อย” จันทราภาช่วยตอบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นให้กับผู้สมทบได้ฟังความก่อนหน้า
“พวกเขาน่าจะต้องมนตราถึงได้ทำเช่นนั้นลงไปน่ะจ้ะพี่หิ่งห้อย” สุริยะช่วยเสริม อย่างไรเสียสหายทั้งสองก็ไม่มีทางไปเป็นพวกเดียวกับพวกนั้นเด็ดขาดถ้าไม่มีเรื่องของเล่ห์กลมนตราของอีกฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้อง
“สงครามวันที่สองเริ่มต้นขึ้นแล้ว ขอให้ทุกท่านต่อสู้กันอย่างเต็มกำลังและปฏิบัติตนตามข้อตกลงอันเป็นกฎของสงครามอย่างเคร่งครัดด้วย” เสียงประกาศจากพระพุธซึ่งเป็นหนึ่งในผู้สังเกตุการณ์เป็นสัญญาณให้เริ่มทำการต่อสู้ในวันที่สองอย่างเป็นทางการ
“ใช้ร่มสู้นี่นะ เจ้าจะดูถูกสติปัญญาข้ามากไปแล้วนะ!!” อัคนินกล่าวอย่างไม่พอใจเมื่อเห็นแสงสุรีย์ที่เพิ่งจะเผชิญหน้ากับตนก็ใช้เพียงร่มมาประลองเสียอย่างนั้น
“เจ้านี่ยังไงกัน ต้องคิดเสมอเลยเหรอว่าคนอื่นเขาจะดูถูกตัวเองตลอดเวลา หรือว่าเจ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ”
"ข้าไม่ใช่คนไร้สติปัญญาสักหน่อย"
"ถ้าไม่ใช่ก็มาประลองเลยดีกว่า อย่ามัวแต่โวยวาย"
"แล้วจะให้ข้าใช้ร่มมาสู้กับเจ้าเนี่ยนะ"
"ท่านผู้เจริญปัญญา ถ้ามีฝีมือจริงแค่ใช้ร่มก็เพียงพอแล้วล่ะ"
"ก็ได้ๆ ...เข้ามาเลย" ถึงจะขัดใจแต่ก็คงปฏิเสธมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นคงถูกหัวเราะเยาะแน่ที่ไม่ยอมสู้กับของง่ายๆอย่างร่มนี่
"ตั้งรับไว้ให้ดี" เธอว่าแล้วก็ใช้ร่มแทงพุ่งไปยังใบหน้าของอีกฝ่าย ดีที่อีกฝ่ายหลบทันไม่อย่างนั้นคงต้องถูกจิ้มเข้าให้ที่ลูกตาแน่ เมื่อหลบได้แล้วเขาก็ไม่รีรอที่จะตอบโต้ จึงใช้มือฟันไปยังต้นคอของอีกฝ่าย แต่แล้วศัตรูผู้นั้นก็ดันหลบทันได้เสียก่อน
ทั้งคู่ใช้ร่มปะทะกันราวกับว่ามันเป็นดาบ เมื่อพลัดกันโจมตีอยู่สักพักทั้งสองคนนี้ก็ได้ประจันหน้ากันโดยมีร่มขั้นกลางไขว้ทับกันเป็นกากบาท
"สู้ไม่รู้จักบันยะบันยังเลยนะ เจ้าไม่กลัวว่าตัวข้าจะไม่พอใจจนไปลงกับเสด็จพ่อแทนหรอกเหรอ"
"ถ้าจะขี้แพ้จนไปพาลกับคนไม่มีทางสู้แบบนั้น ก็เชิญทำตามความภูมิใจอันน้อยนิดของเจ้าเถอะ" เธอก็ไม่ได้กังวลในคำพูดของพี่ต่างแม่เท่าไหร่นักหรอก
เพราะเธอรู้ดีว่าในร่างบิดาก็มีวิญญาณมารดาของอีกฝ่ายอยู่ในนั้นเหมือนกัน ถ้ากล้าทำทั้งพ่อทั้งแม่ตัวเองก็ทำไป
"พูดมากนัก!"เขาได้ยินวาจาเช่นนั้นจึงบันดาลโทสะใช้หน้าผากของตนโขกเข้ากับของอีกฝ่ายจนเลือดไหล
"แผลเก่ายังไม่ทันหายอยากได้แผลใหม่เพิ่มแล้วอย่างนั้นเหรอ"ธิดาวันอาทิตย์เช็ดเลือดที่หน้าผากตนมาดูแต่ก็ไม่มีทีท่ากังวลต่อบาดแผลตนแต่อย่างใด กลับเห็นแต่อีกฝั่งที่มีแผลเป็นบนแก้มขวาแล้วยังไม่พอ ดันหาเรื่ิองจะสร้างแผลเพิ่มอีก
"แล้วจะทำไม เราทำให้เจ้าเจ็บตัวได้ก็พอแล้ว"ดูท่าจะไม่สนวิธีการเอาเสียเลยซะด้วยสิ
"เราเจ็บตัวเจ้าก็เจ็บตัวมันคุ้มค่าพอแล้วเหรอ"
"คุ้มไม่คุ้มเดี๋ยวก็รู้กัน"ว่าแล้วเขาใช้พลังจากสังวาลย์ส่งไปยังร่ม จากร่มธรรมดาที่ประกอบด้วยผ้ากับไม้ไผ่กลายเป็นร่มโครงเหล็กที่ปูด้วยคมมีดแทนผ้าทั่วไปเสียแล้ว เมื่อทำเช่นนั้นเสร็จก็มุ่งหน้าเข้าทำร้ายอีกฝ่ายโดยการหมุนร่มเป็นวงกลมพร้อมกับฟาดเข้าไปที่ศัตรู โชคยังดีตรงจุดที่เขาฟาดลงไปนั้นตรงกับตำแหน่งของสังวาลย์ของแสงสุรีย์จึงพอจะต้านความรุนแรงไม่ให้เลือดตกยางออกได้ แต่ก็ได้รับความเจ็บช้ำที่ภายในอยู่พอสมควร
"ทำไมล่ะ เงียบไปเลยล่ะสิ เจ้าบอกให้ใช้ร่มก็จริงแต่ไม่ใช่แค่ร่มธรรมดานี่ ร่มเจ้าก็พังแล้วจะเอายังไงต่อไปดีล่ะ"เขามองไปยังร่มของอีกฝ่าย ด้วยความเร็วของเขาทำให้อีกฝ่ายตั้งรับแทบไม่ทัน ร่มก็พังไปเพราะตั้งรับนั่นเอง แต่มันน่าเสียดายที่เอาเลือดเอาเนื้อส่วนลำตัวไม่ได้อย่างที่ใจนึก
"ในเมื่อเจ้าไม่คิดใช้ร่มธรรมดามีหรือว่าเราจะทนใช้แบบธรรมดาต่อไปได้อีก" เธอทนเก็บความเจ็บปวดภายในไว้ก่อน เอาสถานการณ์ตรงหน้าให้ผ่านพ้นไปได้ดีกว่า
"มีอะไรก็ใช้มาเลยสิ" สิ้นคำของอริร้ายร่มของธิดาแห่งคีรีมาศก็ได้กลายเป็นเหล็กเช่นเดียวกันกับของอีกฝั่งไม่ผิดเพี้ยนจากกันมากนัก แต่อย่างไรเสียมันก็ต้องมีข้อแตกต่างอยู่แน่
"นี่ผู้เจริญด้วยสติปัญญา กับแค่เปลี่ยนร่มเนี่ยยังจงใจลอกเอาของคนอื่นไปใช้เอง ช่างเป็นคนที่เลิศล้ำฉลาดสุดสมกับเป็นพี่คนโตของบรรดลูกนอกไส้จริงๆ"
"มันช่วยไม่ได้นี่ กฎก็บอกอยู่ว่าต้องใช้อาวุธประเภทเดียวกัน การที่เราใช้ของแบบเจ้าก็ไม่ได้ผิดอะไร"
"เอาเถอะๆ ดูสิว่าเปลี่ยนของมาเหมือนเราแล้วเนี่ยจะมีปัญญาพอมาสู้กับเรารึเปล่า" ว่าแล้วเขาก็เหวี่ยงร่มไปปะทะกับอีกฝ่าย แต่หารู้ไม่ว่าอีกฝ่ายนั้นคิดหาวิธีที่จะรับมือตนได้ตั้งแต่เปลี่ยนรูปแบบอาวุธแล้ว
"เกรงว่าจะไม่เหมือนเท่าไหร่นะ"ระหว่างที่ใช้อาวุธฟาดฟันกันอยู่เธอก็ใช้พลังจากสังวาลย์มณีส่งไปยังร่มเหล็กของตน ด้วยความร้อนของพลังที่ราวกับเตโชทำให้ร่มเหล็กนั้นแดงเหมือนดาบที่กำลังถูกตีขึ้นรูป นั่นส่งผลให้ร่มของอีกฝ่ายได้รับความร้อนนี้ไปเช่นกัน แต่ในเมื่อยังดึงดันจะใช้ร่มตีปะทะซึ่งกันต่อไปแบบนี้ก็ไม่มีใครห้ามได้หรอก จนสุดท้ายที่ฟาดร่มใส่กันร่มที่ใช้ก็ได้แตกออกจากกัน จนทั้งสะเก็ดไฟและเศษที่แตกของเหล็กกระเด็นใส่ทั้งสองฝ่ายจนต้องล่าถอยออกจากกัน ยังดีที่ไม่ได้เข้าตาใครจนบอดแต่ก็สร้างความเจ็บปวดให้ทั้งคู่ไม่น้อยจนกระทั่งทั้งคู่ได้สงบไป
ธงน้ำเงินถูกชูขึ้นเพื่อเป็นสัญญาณเรียกแพทย์อาสาให้เข้ามาช่วยเหลือทั้งสองคนที่สลบไปจากอาการบาดเจ็บ เมื่อเหล่าหมอมาถึงก็แบ่งกันพากลับไปกระโจมตามฝั่งของผู้สลบก่อน เพราะในท้องสนามที่รบรากันหลายชีวิตอาจไม่ทันสังเกตจนเผลอไปขวางการรักษาโดยที่ไม่รู้ตัวเลยก็เป็นได้
"แสงสุรีย์บาดเจ็บงั้นเหรอ" ติณกฤตสังเกตเห็นเหล่าแพทย์อาสามาพาตัวศิษย์ร่วมสำนักกลับไปยังที่พำนัก ตนก็อดที่จะสนใจไม่ได้ แต่มันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขานี่
"ได้เวลาแล้วจันทลักษณ์" สองพี่น้องที่หลีกเลี่ยงปะทะกับฝั่งศัตรูระดับฝีมือเดียวกันมาทั้งวัน เห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้วที่ต้องแอบเดินทางไปยังป่าหิมพานต์บริเวณอาศรมของฤษีอนุชิต จึงเรียกคุยกันผ่านการสื่อสารทางใจ
“ไปกันเลย” เมื่อตกลงได้ดังนั้นทั้งคู่จึงทำเป็นกลับไปในกระโจมเพื่อดูอาการของอัคนิน แต่ที่จริงก็จะเข้าไปจัดการกับคนที่ไม่มีทางสู้ก็เพียงแต่เท่านั้น
“แปลก วันนี้จันทลักษณ์ไม่มาสู้ตามคำท้าของเรา เมื่อวานสู้กันได้แต่เสมออยู่เลย”
“เมื่อวานเขาดูเลือดร้อนอยากจะสู้กับเจ้าด้วยสังวาลย์ให้รู้แล้วรู้รอดขนาดนั้นแท้ๆ” พุทธรัตน์เข้ามาเพื่อจะดูพวกพี่น้องปะทะฝีมือกันเหมือนที่ฟังจากเพชราหูสักหน่อย วันนี้กลับไม่ได้เห็นเสียแล้ว
“วันนี้ไม่สู้ ไม่แน่พรุ่งนี้อาจสู้ พวกเราแยกย้ายไปดูทางอื่นต่อดีกว่านะ”
“ได้ ดูแลตัวเองด้วยนะ”
“จินดาจะไปไหนน่ะ!!” โอรสวันพุธเห็นน้องสาววิ่งผ่านอย่างร้อนใจก็อดสงสัยไม่ได้
“แสงสุรีย์สู้กับอัคนินจนสลบ เราไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นยังไงบ้าง เราต้องไปดูนางก่อน”
“ว่ายังไงนะ” เขาได้ยินอย่างนั้นก็อดห่วงไม่ได้จึงตามไปดูใจทันที ปกติที่สู้กันไม่เห็นจะถึงขั้นสลบเลย หรือว่าอาจเป็นเพราะเป็นช่วงจิตใจสับสนว้าวุ่นด้วยรึเปล่า
…………….
ในขณะที่ทางนั้นกำลังวุ่นกับการรบบ้างดูคนเจ็บบ้างก็ไม่ทันได้สังเกตเท่าไหร่ว่าสองตัวปัญหาได้หายไปแล้ว
“พระโอรสพระธิดา เสด็จกลับมาแล้วเหรอเพคะ” บัวเข้ามาต้อนรับด้วยความดีใจ ไม่คิดเลยว่าในเวลาไม่ครบสองวันจะได้ข่าวดีเร็วขนาดนี้
“สไบทองอยู่ไหน” จันทลักษณ์เรียกชื่อคนที่ต้องการตัวอย่างห้วนๆผิดกับนิสัยดั้งเดิมของตนนัก
“พระมเหสี พระมเหสีกำลังประทับอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งทางนั้นน่ะเพคะ” เธอผายมือบอกไป แต่ก็แปลกใจว่าทำไมคำพูดน้ำเสียงดูแข็งกระด้างกว่าแต่ก่อนนัก
“สไบทอง!!” ปัทมาสน์เดินรุดหน้าไปยังที่ประทับของมเหสีไร้บัลลังก์ด้วยสีหน้าจริงจัง พอถึงที่หมายก็เรียกชื่อด้วยเสียงที่ดังคำราม ทำเอาคนที่ถูกเรียกตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“จันทลักษณ์ ปัทมาสน์ เกิกอะไรขึ้นทำไมดูไม่พอใจเราขนาดนั้น”
“ไม่ต้องพูดมาก” ว่าแล้วนรางยักษิณีก็เข้าบีบคอคนที่เป็นเป้าหมายทันที
“พระธิดาอย่าทรงทำเช่นนี้เลยนะเพคะ ปล่อยพระหัตถ์เถอะนะเพคะ” บัวแย้มเข้ามายื้อดึงแขนให้หยุดการกระทำแต่มันไม่ได้ผลเพราะเธอไม่มีแรงพอที่จะสู้
“น่ารำคาญ” เธอเปลี่ยนมืออีกข้างมาบีบแทนแล้วจึงเหวี่ยงแขนข้างที่คนห้ามจับอยู่
“อย่าช้าเลย เริ่มดีกว่า” คนสวมสังวาลย์บุษราคัมกล่าวไม่นานทั้งสองก็ใช้มือนคนละข้างชิงเอาดวงตาแต่ละดวงของสไบทองทองไปอย่างรวดเร็ว
“ไม่นะ!!” ภาพตรงหน้าทำเอาผู้ที่ล้มไปกองกับพื้นร้องลั่น ไม่นึกเลยว่าเวลาสั้นๆจะเกิดเรื่องขนาดนี้
“พวกเจ้าทำอะไรกันน่ะ” ท้าวนวดลวิ่งมาดูตามเสียงด้วยห่วงอันตรายที่จะเกิดขึ้น แต่นี่มันเกิดขึ้นไปแล้ว
“พวกเจ้ามันบ้าไปแล้ว แม้เราตายก็จะฆ่าเจ้าให้ได้” ชายชราให้มีดเข้าแทงหมายจะเอาชีวิตทั้งสองจึงถูกทำให้ทรมาน ฝ่ายหญิงชราก็รีบเข้าไปประคองบุตรีรีบพาหนีไปก่อนจะเล่นถึงชีวิต
“จะไปไหนกัน” ชายหนุ่มเห็นแบบนั้นก็อดจะตามไปไม่ได้ ขืนปล่อยไปง่ายๆก็แย่น่ะสิ
“พระโอรสพระธิดาช่วยด้วยเพคะ ช่วยด้วยเถอะเพคะ” บัวที่คิดได้ก็เรียกผ่านกำไลแก้วบุษบากรที่สามารถเรียกขอความช่วยเหลือไปถึงจินดาได้
“ทางนู้นเกิดเรื่องขึ้น บัวเรียกให้พวกเราไปช่วย” จินดาที่ห่วงพี่สาวเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากสตรีที่ดูแลเหล่าเชื้อกษัตริย์ในมิติก็วุ่นวายใจไปหมด
“มีคนบุกเข้าไปในมิติได้แล้วงั้นเหรอ” เมธาวีถามอย่างร้อนใจ มันเรื่องอะไรกัน
“พวกเราไปช่วยกันเถอะ จินดาเจ้าอยู่ที่นี่เถอะนะ” ว่าแล้วเพชราหูก็ได้พาอังคาส ภูมินทร์ สุริยะ เมธาวีหายตัวไปยังมิตินั้นทันที
พอไปถึงเรื่องราวที่อยู่ตรงหน้าก็จบไปด้วยรอยยิ้มของผู้ถือชัยทั้งสอง พอทั้งหมดมาถึงทั้งคู่จึงออกจากมิติในทันทีโดยไม่ลืมจะทิ้งรอยยิ้มเยาะเย้ยไว้เป็นแผลในใจของบุตรของผู้ถูกกระทำอย่างไม่มีความรู้สึกละอายใจอยู่ในสายตาเลยสักนิด
----------------------------------------------------------------------------ทุกวันอาทิตย์ขอเปลี่ยนเวลาเป็น21.30น.แทนนะคะ