ยินดีต้อนรับสู่บ้านอบอุ่นของคนรัก บอย สพล ชนวีร์

กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้

หน้า: [1] 2 3 ... 10
1
จักกรดขอเลื่อนเวลาในการอัพเดตนิยายไปก่อนนะคะ เนื่องจากโน้ตบุ๊กที่มีเนื้อหานิยายที่แต่งเนื้อหาเพิ่มนั้นได้ส่งซ่อมอยู่ค่ะ หากซ่อมเสร็จได้รับเรียบร้อยแล้วจะรีบนำเนื้อหามาอัพเดตนะคะ ขออภัยในความไม่สะดวกด้วยนะคะ
2
สวัสดีค่ะท่านผู้อ่านทุกท่าน จักรกรดขอแจ้งงดอัพเดตนิยายไปก่อนนะคะและจะกลับมาอัพเดตตอนต่อไปในช่วงปิดเทอมค่ะ เนื่องจากจะต้องเตรียมความพร้อมในการสอบเก็บคะแนนรวมไปถึงการสอบปลายภาคด้วย ซึ่งเหลือเวลาอีกไม่นานแล้ว จึงไม่มีเวลาในการเขียนนิยายต่อให้คืบหน้ากว่าเดิม จักรกรดจึงขอพักการเขียนเรื่องนี้ไปก่อนนะคะ เมื่อจัดสรรเวลาให้มีช่วงที่ว่างได้แล้วจะกลับมาเขียนต่ออย่างแน่นอนค่ะ โดยจักรกรดจะกลับมาอัพเดตนิยายอีกครั้งในวันอาทิตย์ที่16ตุลาคม2565เวลา21.30น.ค่ะ ต้องขออภัยในความไม่สะดวกด้วยนะคะ
3
"พวกเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ อย่าทะเลาะกันเองสิ!!"จันทราภาเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าก็ไม่รีรอที่จะร้องห้ามปรามคนฝ่ายตนให้หยุดการกระทำนั้นลงเสีย เวลานี้ควรทำอะไรทำไมไม่รู้จักแยกแยะเอาเสียเลย
"ให้เพชราหูโดนซะบ้างก็ดี พูดแก้ต่างให้สองคนนั้นทั้งคืน แถมยังโทษบัวแย้มอีกว่าไม่ดูแลให้ดีอีก คนแบบนี้ถ้าไม่สั่งสอนต่อไปก็ต้องพูดพล่ามไม่หยุดแน่" ประกายพฤกษ์พูดค้านไม่ให้พี่หญิงของตนเข้าไปห้ามโดยอ้างเหตุผลจากความไม่พอใจนั้น คนแบบนี้ถูกหมัดอัดเข้าให้ก็ดีโดนสักทีจะได้หลาบจำ
"เราเห็นด้วย ในเมื่อเขาไม่ยอมให้คิดเอาคืนสองคนนั้นก็ให้พวกพี่น้องที่เหลือรับกรรมไปแทนก็แล้วกัน" พุทธรัตน์เจ้ามาสมทบ ปล่อยให้สองคนนั้นแลกหมัดกันไปไม่คิดจะปราม
"อย่างนี้มันไม่ถูกต้องนะ พวกเจ้าปล่อยให้ทำร้ายกันแบบนี้ก็เท่ากับช่วยฝั่งศัตรูกำจัดพวกเรากันเอง" สตรีวันจันทร์พูดสิ่งที่คิดออกมา ซึ่งมันก็เป็นความจริง ขืนยังทำอย่างนี้ต่อไปฝั่งตนนี่ล่ะที่จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
"ไม่หรอก ถ้าเพชราหูสำนึกเร็วเราก็รับรองได้เลยว่าทั้งเพชรราหูและศนิวารต้องหยุดแน่นอน" สตรีวันพุธฟังความก็พอรู้ในความคิดของผู้กล่าวประโยคก่อนหน้าอยู่ แต่ยังไงตนนั้นก็ยังคิดว่าผู้ที่ลงมือไม่เล่นกันถึงชีวิตหรอก ขอแค่สำได้ก็ถือว่าจบ
"แต่ว่า..."
"อย่ามัวแต่เสียเวลาถกเถียงกันนักเลย ใครใคร่สู้กันเองก็ให้เขาสู้ไป ใครใคร่สู้กัยเราก็เข้ามาอย่าชักช้าลีลา"  คนตรงข้ามเริ่มที่จะไม่สนุกเท่าไหร่แล้วกับสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ การที่ตนไม่ได้ลงมืออะไรเลยมันช่างรู้สึกขาดหายอย่างบอกไม่ถูก ถ้าขืนปล่อยให้พวกนั้นไม่สนใจตนต่อไปคงลงแดงตายเพราะไม่ได้ลงมือแน่ อย่างนี้จะไปเอาผลงานที่ไหนอวดเทวาวิษุวัตได้กันว่าตนพิชิตฝั่งตรงข้ามด้วยฝีมือตัวเอง
"เจ้าควรค่าให้สู้นักรึยังไง คนอย่างเจ้าก็ดีแต่ลอบทำร้ายคนอื่น"พระธิดาวันศุกร์ตอบถ้อยคำกลับไป ตนนั้นไม่อยากมาประลองฝีมือกับคนแบบนี้หรอก เพราะไม่สูสีกับตนเลยสักนิด
"ช่วยไม่ได้คนของเจ้ามันไม่มีปัญญาสู้เอง ไม่อย่างนั้นคงไม่ต้องสูญเสียเสียง การได้ยิน รวมถึงดวงตาไปง่ายๆหรอก" ในเมื่อชวนธรรมดาไม่มาก็เล่นประเด็นที่เกิดขึ้นเมื่อวันวานเห็นจะดีกว่า ฝั่งตรงข้ามจะได้มีน้ำโหมาสู้กับตัว
"เจ้า!!"สตรีทั้งสามเรียกพลางชี้หน้าคนที่กล่าววาจาเมื่อครู่อย่างไม่พอใจ มันใช่เรื่องที่จะมาพูดด้วยสีหน้าเย้ยหยันเช่นนั้นหรือ
"โมโหโกรธาเราแล้วล่ะสิ อย่างนั้นก็เข้ามาระบายความโกรธให้เต็มที่ จะใช้หมัดใช้มวยกับเราก็ไม่ผิดกฎอะไรอยู่แล้ว" จริงอย่างที่เจ้าตัวว่า ถึงจะมีกฎกำหนดว่าห้ามใช้อาวุธต่างประเภทสู้กัน แต่ไม่มีข้อไหนที่ห้ามไม่ให้ใช้เชิงมวยเข้าสู้
"เจ้าคิดจะสู้กับแค่หมัดมวยเองหรอกเหรอ ทางที่ดีเจ้ามาสู้กับเราดีกว่า" ศุภลักษณ์ที่ออกมาจากกระโจมหลังจากเตรียมตัวเสร็จได้ยินคำกล่าวท้าของจันทลักษณ์เข่นนั้น ตนหรือจะอยู่เฉยได้
"เจ้ายุ่งอะไรด้วย" ประกายพฤกษ์เห็นพวกเดียวกับเพชราหูก็ไม่สบอารมณ์ดท่าไหร่นัก
"ทำไมจะยุ่งไม่ได้ล่ะ ในเมื่อเพชราหูผิดจริงตามที่เจ้าว่า เราก็ควรจะรับผิดชอบด้วยจริงไหมล่ะ แล้วคนที่ต้องถูกจัดการก็เป็นจันทลักษณ์กับปัทมาสน์อยู่แล้ว"
"คนที่จะถูกจัดการต้องเป็นเจ้าต่างหาก" คนฝั่งตรงข้ามได้ยินคนกล่าวว่าตนต้องถูกกำจัดมีหรือที่จะพอใจได้
"แน่จริงก็เข้ามาก่อนเลย" โอรสวันศุกร์ร้องท้าให้เข้าหาก่อนอย่างนี้ โอรสจอมปลอมของวัศพลนาคราชก็ไม่รีรอให้สิ้นเสียเวลาเปล่าจึงได้เร่งฝีเท้ามุ่งเข้ากะจะทะลวงตรงท้องตรงไส้อีกฝ่ายให้ได้รับความเจ็บปวด แต่อีกฝั่งก็รู้หลบรู้หลีกเพราะก็ชินกับการต่อสู้ของพี่ชายตนพอตัว
"อย่าเอาแต่ชกต่อยสิ พวกเราควรจะใช้อาวุธสิถึงจะถูก"
"พูดได้ดี" จบประโยคทั้งคู่ก็นำสังวาลย์มาถือไว้ในมือแล้วจึงปล่อยพลังปะทะกันไปมาจนเกิดทะเลเพลิงลุกไปทั่วบริเวณที่ต่อสู่กัน
"ระวังตัวด้วยนะศุภลักษณ์" ประกายพฤกษ์ร้องบอกคนในกองเพลิงด้วยความเป็นห่วง ไม่คิดเลยว่าเขาจะยอมปะทะกับพี่ตัวเองด้วยอาวุธหลักตรงๆแบบนี้ ยังดีที่ที่นี่เป็นสนามรบที่ถูกร้างมาเพื่อทำการรบโดยเฉพาะจึงไม่ลามไปสร้างความเดือดร้อนให้พวกสิงสาราสัตว์ผู้บริสุทธิ์เหมือนเมื่อคราวก่อน
"เล่นละครดีหนิ แต่ยังไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่เลยนะพวกเจ้าน่ะ" ปัทมาสน์ที่ไปสู้ที่อื่นมาเพิ่งจะปลีกตัวมาสมทบคนของตนก็เห็นเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าเช่นนั้นก็อดทุกทายไม่ได้ ฝ่ายตรงข้ามสู้กันน่ะมันปกติดีอยู่ แต่ที่ตีกันทั้งๆที่ฝั่งเดียวกันมันดูฝืนจนน่าขำ
"ในที่สุดเจ้าก็มา เมื่อคืนที่เจ้าว่าคืนดวงตาเจ้าไม่ได้พูดจริงทำจริงเลยด้วยซ้ำ" เมธาวีกล่าวเมื่อการรอคอยได้เสร็จสิ้นลง ตัวเธอเฝ้ามองเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดแต่ก็ไม่คิดที่จะห้ามอะไร เพราะผู้เดียวที่เธอสนใจคือนางยักษ์ตนนี้ต่างหาก
"แล้วใครขอให้พวกเจ้าโง่เง่ามาหลงเชื่อการกระทำของเรากัน ถ้าเจ้าโกรธเราก็อย่ามัวแต่เก็บความไม่พอใจไว้สิ"
"เราไม่คิดเก็บไว้อยู่แล้ว" ว่าแล้วธิดาวันเสาร์ก็เข้าประชันฝีมือกับเป้าหมายตนทันที เรื่องพวกนี้ตนไม่อยากให้เกิดซ้ำอีกแล้ว ต่อให้ต้องแลกชีวิตของพี่ๆตนก็ตามที
"เจ้าคิดว่าลูกไม้สู้จนเกิดทะเลเพลิงจะทำอะไรเราสองพี่น้องได้อย่างนั้นสิ"โอรสวันจันทร์กล่าวกับอีกฝ่ายขณะที่ดวงตาประสานกับศัตรูเข้าให้อย่างจััง
"เพวกจ้าคิดจะเผาพวกเราให้ตายในกองเพลิงพวกนี้มันง่ายมากเลยเหรอ หรือคิดจะตายไปด้วยกัน" ธิดาวันอังคารก็พูดกับคู่ต่อสู้ตนด้วยเช่นกัน
"ใครจะบ้าไปตายกับพวกเจ้ากันล่ะ" โอรสวันศุกร์ได้ทีถีบคู่ตนเพื่อหาจังหวะผละตัวออกมาจากกองเพลิงจนคลาดจากสายตาที่จับจ้องของจันทลักษณ์ไป
'เมธาวีออกมาเร็วเข้า"
"เจ้าขี้ขลาดตาขาวจนคิดจะตามพี่ายเจ้าไปเลยรึไง นิสัยเจ้าไม่ต่างกับพ่อของเจ้าเลยสักนิด"
"เราไม่ได้ขี้ขลาดตาขาวนะ เสด็จพ่อก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น!!"สตรีวันเสาร์จ้องตาคู่ต่อสู้อย่างไม่พอใจในสิ่งที่ได้ยิน ตนไม่ใช่พวกเจ้าเล่ห์แบบคนที่ออกไป จะให้มาเย้ยแบบนี้ตนก็ทำเป็นหูทวนลมไม่ได้หรอก
"อ้อเหรอ งั้นก็พิสูจน์ความกล้าหน่อยเป็นไง..ตายให้เราดูสิ ตายไปต่อหน้าเราแล้วเราจะยอมรับว่าเจ้ามันกล้าหาญกว่าใครๆ" เธอไม่พูดปล่าวดวงตาข้างซ้ายที่จับจ้องฝ่ายตรงข้ามก็แสงประกายราวกับอัญมณีที่ต้องแสงเข้าบีบคั้นสะกดจิตใจของอีกฝ่ายทำตามที่ตนประสงค์
"ได้ เราจะตายให้เจ้าดู" ถึงจะรู้ว่าดูโง่เง่าที่ทำตามคำพูดของศัตรู แต่เหมือนว่าตัวเธอจะควบคุมตัวเองให้ไม่สนใจคำของอีกฝ่ายไม่ได้เลย ในห้วงความคิดก็คิดแค่ว่าถ้าหากไม่ตายล่ะก็ฝ่ายตรงข้ามตนนั้นต้องเย้ยหยันตนจนขาดใจตาย อย่างนั้นแล้วไม่สู้ลงมือเองจะเสียศักดิ์ศรีน้อยกว่าหรอกหรือ
ฝ่ายผู้ใช้มนตรานั้นรู้สึกพอใจกับสิ่งที่เกิด ไม่คิดเลยว่าใช้ครั้งแรกก็ส่งผลต่ออีกคนได้แบบนี้ ถึงแม้จะควบคุมใจไม่ได้เต็มร้อย แต่ก็คอยก่อกวนใจให้ว้าวุ่นได้ไม่น้อยเลย
"เมธาวี อย่าทำแบบนั้นเด็ดขาดนะ" ศนิวารวิ่งเข้ากองไฟอย่างเร่งรีบเพราะได้ยินประโยคนั้นจากปากสหาย ตนหรือจะสบายใจได้ ยังดีที่กริซที่กำลังจะปักกลางใจสตรีวันเสาร์ถูกมือเขายื้อไว้ได้ทัน
"ไม่ต้องมาห้ามเรา" เธอขัดขืนคนที่ห้ามอย่างรุนแรง ไม่ว่ายังไงเธอก็จะแทงตัวตายให้ได้
"เป็นตัวเองหน่อยสิ อย่าไปเชื่อคำสั่งของนาง"
"อย่ามายุ่ง" เธอใช้ตัวกระแทกอีกคนจนถลาไปห่างจากตนพร้อมที่จะแทงตนให้ตายอีกครั้ง โอรสวันเสาร์ไม่ยินยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้นเด็ดขาด ในช่วงที่แทบจะไม่ทันนนั้น เขาเข้าอ้อมโอบด้านหลังสหายและสละมือของตนกันรับกริซที่กำลังจะแทงลงใจของเธอ ไม่นานร่างที่ถูกแทงก็สลายหายไปในพริบตาราวกับว่าในที่แห่งนี้ไม่เคยมีคนที่ชื่อศนิวารมาก่อน
"ศนิวาร!!" เมธาวีร้องเรียกสหายดังลั่น ตนนั้นลืมสิ้นแล้วซึ่งเรื่องความคิดสังหารตน สิ่งที่ปวดใจที่สุดไม่ใช่การตายอย่างทรมานใจแต่เป็นการสูญเสียสหายไปตลอดกาลโดยไม่ทันได้ลาต่างหาก
"ไม่จริง เป็นไปไม่ได้" พุทธรัตน์ที่ยิงศรดับไฟได้พบเหตุการณ์ที่น้องชายตนสลายไปกับตาก็ำใจไม่ได้ เรื่องมาถึงขั้นนี้ได้ยังไงกัน
"อย่างนี้แหละถึงจะเป็นของจริง ที่คนฝั่งเดียวกันฆ่ากันจริงๆ" รอยยิ้มสะใจของผู้ใช้เวทย์ไม่มีแม้แต่ความสะทกสะท้านอะไร เพราะสิ่งที่เกิดนั้นตนตั้งใจ ที่แสร้งทำทะเลาะกันนั่นมันไร้สาระ อย่างนี้สิที่ตนต้องการให้เกิด
"เจ้าหาจังหวะได้ดีนี่ เสียดายเราเสียท่าเสียจังหวะให้คนวันศุกร์นั่นจนได้"
"ไว้โอกาสหน้าค่อยลองใหม่ก็ไม่สาย มีเวลาให้สนุกเยอะแยะไป"


4
"ชัดเลยว่าพวกนั้นจงใจสร้างสถานการณ์ให้พวกเราหมดกำลังใจที่จะสู้ต่อ" อัญญาณีที่อยู่ในร่างชายหนุ่มจำแลงฟังเรื่องเล่ากล่าวความของสหายจบตนก็กล่าวตามที่ตนคิด ที่ทำกันอย่างนี้คงไม่มีจุดประสงค์อื่นนอกจากจะตัดกำลังใจคนฝ่ายตน
"อีกอย่างหนึ่งบัวคิดคือฝ่ายนั้นต้องการให้เหล่าพระโอรสพระธิดาขัดแย้งกันเองเพคะ เพราะคิดว่าไม่ยังไงก็ต้องปกป้องคนในครอบครัวก่อนจึงเกิดการถกเถียงขัดแย้งขึ้นมาก็เป็นได้เพคะ"
"จริงอย่างที่พวกเจ้าพูด ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้วพวกเราก็ควรที่จะเล่นตามน้ำสักหน่อยน่าจะดีกว่า ถ้าได้ดั่งใจพวกนั้นล่ะก็จะได้หาจังหวะตลบหลังคืนไปบ้างก็ดี"โอรสวันศุกร์ออกความเห็น ถ้าเป็นไปตามความประสงค์ฝั่งตรงข้ามคงได้ใจจนประมาทก็เป็นได้
"เราเห็นด้วย แต่พรุ่งนี้ต้องให้พวกสุริยะรู้เรื่องก่อน ไม่อย่างนั้นอาจจะเข้าใจผิดกันได้"
"เรื่องง่ายๆแค่นี้เองไม่ต้องห่วงหรอก เห็นว่าพรุ่งนี้เทพวิษุวัตจะเสด็จมา เจ้าคิดจะทำอะไรต่อไปดีล่ะ"
"ในเมื่อฝั่งเราระส่ำระส่ายสับสนวุ่นวายอยู่อย่างนี้ จะให้เป็นอยู่เพียงฝั่งเดียวมันยังไงอยู่น่ะสิ" ใจจริงเธอก็อยากจะยื้อเวลาอีกสักหน่อย แต่ถ้าไม่ทำให้ฝ่ายนั้นจิตใจอ่อนแอลงเสียบ้าง เห็นทีฝ่ายเสียเปรียบคงจะเป็นฝั่งตนอย่างเดียว
...........
"หม่อมฉันมาลาเพคะ" อดีตและว่าที่พระชายามาเข้าเฝ้าด้วยท่าทีที่ดูนิ่งเฉย แต่ก็แฝงอารมณ์ขุ่นข้องใจจนผู้ที่ได้พบก็รู้สึกได้ไม่ยาก
"อินทราณีเจ้าจะลาไปที่ใดกัน มีเรื่องอะไรที่ขุ่นข้องหมองใจหรือ ทำไมถึงไม่คิดบอกเราให้แก้ไข จะมาลาหนีหน้ากันเพื่ออะไร"
"เรื่องที่ขุ่นข้องหมองใจ พระองค์เองทรงทราบดี" เธอเบือนหน้าหลบสายตาไม่อยากมองผู้ที่อยู่ตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย
"หมายความว่ายังไงกัน ขืนเจ้ายังดึงดันไม่ยอมชี้แจ้งแถลงไขเช่นนี้ ต่อให้เป็นสวรรค์ชั้นฟ้าก็ไม่อาจคาดเดาจิตใจได้หรอก" เขาเข้าหาสตรีที่รักใกล้ๆ มีเรื่องน้อยใจอะไมทำไมไม่คิดบอกกล่าว จะให้คิดทายก็ไม่ใช่เรื่อง ไม่สู้ให้เจ้าตัวบอกความจริงในใจออกมาเลยดีกว่า
"เป็นเพราะสงครามที่กำลังเกิดขึ้นน่ะสิเพคะ สงครามครั้งนี้ต้องมีผู้ต้องสูญเสียไปเท่าไหร่กันถึงจะได้มาซึ่งสิ่งที่ปรารถนา..เดิมทีหม่อมฉันคิดจะทูลขอพระองค์ให้ยุติเรื่องพวกนี้ แต่หม่อมฉันรู้ดีว่าคงเป็นไปไม่ได้ เพื่อไม่ให้หม่อมฉันมองเห็นเรื่องราวพวกนี้อีกต่อไป เช่นนั้นแล้วหม่อมฉันจึงขอทูลลาพระองค์ไปยังที่ที่มีแต่ความสงบ"
"อย่าคิดเช่นนั้นเลยน้องพี่ เจ้าก็รู้ดีว่าที่ตัวเรานี้กระทำอยู่ก็เพื่อเจ้า  เพื่อที่จะไม่มีใครมาดูถูกดูแคลนเจ้าได้อีก"
"แต่หม่อมฉันไม่ต้องการ สิ่งที่หม่อมฉันต้องการอย่างเดียวคือการได้อยู่อย่างสงบสุข"
"การที่เจ้าจะอยู่อย่างสงบสุขได้ก็ต้องกำจัดเสี้ยนหนามที่มันทิ่มแทงให้มันสิ้นซากเสียก่อน สงครามที่ไหนไม่มีการสูญเสีย ถ้าไม่แลกพวกเราทั้งสองก็ไม่มีวันที่จะอยู่อย่างสงบได้หรอกนะ"
“พระองค์ไม่เคยจะคิดถึงหม่อมฉันเลยแม้แต่นิดเดียว พระองค์ทรงคิดถึงแต่ตัวเอง พระองค์ทำเรื่องพวกนี้เพียงเพื่อพระองค์เพียงผู้เดียว”  เธอฟังคำกล่าวของว่าที่สวามีก็รู้สึกเสียใจ เรื่องนี้เขาตั้งใจทำเพื่อเธอจริง หรือว่าแค่อำนาจศักดิ์ศรีที่กำลังค้ำคออยู่กันแน่ กล่าวเสร็จแล้วเธอจึงรีบลุกขึ้นเดินจากไปไม่หันกลับมามองผู้ที่ตนรักเลยแม้แต่น้อย
“ไม่อินทราณี เราทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้านะ อินทราณีอย่าไป อินทราณี!!” ภาพตรงหน้าที่สตรีอันเป็นที่รักจากไปอย่างรวดเร็วทำให้เทพวิษุวัตร้องเรียกจนลืมตาหลุดออกมาจากภวังค์ที่ตนประสบพบเจอขณะที่นั่งบำเพ็ญเพียรอยู่
"มันต้องเป็นลางบอกเหตุแน่.. อินทราณี เจ้าอยู่ที่ไหน อินทราณี" ถึงแม้เรื่องที่เพิ่งเจอจะไม่ใช่เหตุการณ์จริงแต่ตนก็ไม่อาจวางใจได้ จึงได้รีบออกตามหานางอันเป็นที่รักของตนทันที เผื่อมีเหตุการณ์ใดขึ้นมาจริงๆตนจะได้แก้ไขได้ทัน

ในขณะเดียวกันนั้นเองอันติมะก็ได้เข้ามาหาเจรจาอยู่กับอัญญานีร่างจำแลงนี้อยู่เพื่อยุติหน้าที่ของเธอลงเสีย
"เราขอร้องเจ้าล่ะ ขอให้เราอยู่กับพระองค์ต่อไปไม่ได้เหรอ เจ้าไม่รักพระองค์แล้วก็แค่ไม่ข้องเกี่ยวกันก็พอ"
"เจ้าพูดง่ายจริงๆ เจ้าคิดจะอยู่ในสถานะนี้ไปถึงเมื่อไหร่กัน ยังไงสักวันเราก็ต้องกลับมาเป็นเราตามเดิมอยู่ดี เจ้าก็เป็นเราไปไม่ได้ตลอดหรอกนะ" ใจจริงเธอไม่อยากหักหาญน้ำใจผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นตัวปลอมตัวแทนเท่าไหร่นักหรอก แต่จะให้ใครมาปลอมเป็นตัวเองตลอดชีวิตมันก็ไม่ดีแน่
"เรารู้ว่าเราเป็นเพียงเส้นเกศาของเจ้า แต่ว่าเจ้าก็เอาความเป็นเจ้าความทรงจำต่างๆมาหลอมรวมจนกลายเป็นเรา เราผูกพันกับพระองค์เหมือนเจ้าที่ผูกพันมาตั้งแต่ปางก่อน เรากำเนิดเกิดขึ้นมาแล้วจะให้เราจากไปทั้งที่ใจยังรักแบบนั้นเราทำไม่ได้ เราไม่ได้ไร้หัวใจแบบเจ้า" เธอไม่พูดเปล่าคิดจะเข้าทำร้ายชายหนุ่มที่มาเยือนเข้าให้เสียด้วย เพราะว่าร่างที่ได้มามันไม่ใช้เพียงเกศายังมีพลังงานวิชาบางส่วนที่ตัวจริงส่งมอบมาเพื่อปลอมแปลงกายให้สมจริงที่สุด แทนที่จะใช้ตบตาอย่างเดียวกลับตัดสินใจใช้ทำร้ายตัวจริงเอาเสียได้
"ใช่ เรามันไร้หัวใจ แต่ก็ไม่เท่าเทพที่เจ้าหลงรักบูชาอยู่หรอก ถ้าพระองค์ดีบริสุทธิ์ใจต่อนางอันเป็นที่รักจริงคงไม่มัวคิดไขว่คว้าหาอำนาจและอยู่อย่างสงบสุขไปนานแล้ว" ยังดีที่รับมือได้ทัน เลยทำให้ไม่ได้รับอันตรายใดๆ แม้จะแบ่งวิชาให้ไปก็ใช่ว่าจะยอมให้จนตนไม่มีทางรับมืออะไรเลย
"เจ้าไม่เคยเข้าใจในพระทัยของพระองค์เลย"
"ไม่เคยอยากเข้าใจอยู่แล้ว เจ้าไม่ได้เป็นเราเลยด้วยซ้ำจะไปรู้อะไร"
"เจ้าเป็นใคร!!"เทพวิษุวัตที่เห็นภาพชายหนุ่มตรงหน้ามาระรานว่าที่ชายาของตนก็รู้สึกไม่พอใจ ตนก็ไม่เคยรู้จักกับชายผู้นี้มาก่อนด้วยซ้ำ ทำไมต้องมายุ่งกับคนของตน
"หม่อมฉันเป็นใครไม่เห็นสำคัญเลย แต่เรื่องสำคัญที่สุดก็คือนางผู้นี้จะต้องหายไปตลอดกาล" กล่าววาจาไม่ว่าให้เสียเปล่า เขาได้จับตัวสตรีที่เป็นเป้าหมายของตนพลางใช้กรรไกรทองตัดเข้าที่เกศาของนางผู้นั้นเสีย
"เจ้าจำไว้ว่าเจ้าเป็นตัวแทนเราเพื่อทำงานตบตาเทพวิษุวัตแต่เพียงเท่านั้น เมื่อใดที่เราไม่ต้องการให้เจ้าทำหน้าที่แล้ว เราจะใช้กรรไกรทองตัดผมของเจ้า เท่ากับว่าเจ้าจะหายไปตลอดกาล" ในห้วงสุดท้ายก่อนจะจากไป เจ้าเกศาสาวก็หวนนึกถึงคำที่อัญญานีเคยบอกตนไว้ สุดท้ายตนก็เป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งที่ไร้ความหมายเท่านั้น หากเลือกได้ตนก็อยากเป็นตัวจริงสักครั้งเหมือนกัน
  หลังจากที่อันติมะตัดเกศาของนางลงเพื่อยุติหน้าที่ ร่างกายนั้นก็ถูกไฟแผดเผาไปต่อหน้าต่อตาของเทวาผู้นั้น ความรู้สึกสูญเสียกลับมาเยือนอีกครั้ง นี่เขาต้องจากคนรักอีกแล้วอย่างนั้นหรือ
"หม่อมฉันก็แค่มาทำหน้าที่ที่ควรทำอย่าได้ถือโทษโกรธเคืองเลยนะพระเจ้าค่ะ ถ้าไม่มีนางที่เป็นต้นตอของปัญหาสักคนนึงเนี่ย บางทีพระเนตรพระกรรณของพระองค์คงจะชัดแจ้งพอจะนำไปสู่การพิจารณายกเลิกสงครามที่ก่อความสูญเสียไปเลยก็ได้ ถ้าไม่อยากเสียนางไปเรื่อยๆอย่างนี้แล้วล่ะก็ ทางที่ดีอย่าฝืนโชคชะตาเลยพระเจ้าค่ะ" ทั้งๆที่เพิ่งสังหารคนไปแท้ๆยังมีหน้ามาพูดต่อได้อย่างไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรได้
"เราไม่ไว้ชีวิตเจ้าเด็ดขาด!!" เทพผู้รักษาการแทนพระอินทร์ได้ใช้ขวานเพชรปาเข้าใส่ชายแปลกหน้าคนนั้น แต่เรื่องอะไรเขาจะอยู่ให้เสี่ยงชีวิต เขาน่ะไหวตัวทันอยู่แล้ว จังหวะที่ขวานถูกปามานั้นตนก็ใช้ธำมรงค์ศุภรทำให้ตนหายตัวกลับยังที่พักในทันที
"ชายผู้นี้จะต้องเป็นหนึ่งในฝ่ายนั้นแน่ ..อินทราณี เราไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะตาย นี่จะต้องเป็นอุบายชิงตัวเจ้าไปก่อนแล้วถึงได้จงใจตบตาเรา รอวันพรุ่งนี้เราจะตามเจ้ากลับมาอย่างสมเกียรติ รอเราก่อนนะ" ถึงจะคาดเดาได้ว่าเป็นฝั่งศัตรูแต่การที่ตนไปทวงคนของตนยามวิกาลเช่นนี้คงไม่ดีแน่ ไม่สู้ต่อสู้ให้ชนะแล้วรับนางคืนมาเห็นจะดีกว่า นางไม่ต้องเสี่ยงอันตรายอะไรเลยด้วย
...............
"มัวแต่มุดหัวที่ไหนกันหมด หรือว่าหมดใจจะสู้แล้วกันแน่ ก็อย่างว่าล่ะพวกเจ้ามันไม่ได้เรื่องนี่นา" จันทลักษณ์ที่มารอท่าร้องเรียกศัตรูเมื่อไม่เห็นหน้า แทนที่จะได้สู้ตัวต่อตัวกับพวกที่ฝีมือสูสีกันกลับต้องอดสนุกเสียแล้วหรือนี่
"จะพูดจะจาอะไรก็คิดให้มันดีๆก่อนพูด ใครเขาจะหมดใจไม่สู้ต่อเหมือนสหายเจ้ากัน"จันทราภาออกมาประจันหน้ากับเขาเป็นคนแรก เรื่องเมื่อวานทำไว้แบบนั้นดูท่าฝั่งนั้นจะไม่ได้รู้สึกผิดอะไรเลยสินะ
"ถ้าเจ้าหมายถึงบดิศรล่ะก็ตัดไปได้เลย สหายเราน่ะกลับมามีแรงใจเต็มเปี่ยมแล้ว วันนี้ถ้าต้องการจัดการพวกเจ้า ก็ทำได้ไม่ยากนักหรอก เจ้าเถอะคิดวิธีรับมือไว้แล้วรึยัง ระวังนะจะกลายเป็นผักเป็นปลา แต่ถ้าไม่อยากยุ่งยากก็ยอมเป็นตัวประกันของเราซะ เราจะใช้ความเมตตาปรานีขอชีวิตเจ้าไว้และดูแลเจ้าอย่างดี"
"เจ้าคิดว่าเราจะยอมแพ้ง่ายๆอย่างนั้นเหรอ ต่อให้เราต้องตายเราก็จะตายอย่างสมศักดิ์ศรี"
"ศักดิ์ศรีกินไม่ได้หรอกนะเราจะบอกให้ เสียดายที่เจ้ามีเกราะเป็นอาวุธ ไม่อย่างนั้นเราจะทำให้เจ้ารู้ว่าอาวุธใดที่มีพลานุภาพทำลายชีวิตที่หยิ่งผยองอย่างเจ้าได้" ถึงอยากจะต่อสู้ด้วยขนาดไหนก็ต้องเคารพกฎเกณฑ์ไปเสียก่อน รอครบเก้าวันตนจะจัดการดั่งที่คิดไว้แน่
"เราบอกเจ้าแล้วใช่มั้ยว่าไม่ใช่ความผิดของสองคนนั้น!! เจ้ามันไร้เหตุผลที่สุด!!" เสียงดังเอะอะดังมาจากกระโจมจนสุดท้ายเจ้าของเสียงก็ได้ออกมาพร้อมกับคนที่ต่อล่อต่อเถียงกันอยู่
"เราไร้เหตุผลเหรอ คนที่แย่งเอาสื่อสัมผัสไปแบบนั้นเจ้าคิดว่ามันไม่ใช่ความผิดได้ยังไงกัน!!" ศนิวารตอบโต้ขึ้นเสียงใส่เพชรราหูที่เอาแต่แก้ต่างให้กับพวกพี่ๆตน
"เราว่าไม่ผิดก็ไม่ผิดสิ"
"เราว่าผิดก็คือผิด ในเมื่อเจ้าเห็นดีเห็นงามด้วยแบบนี้แสดงว่าเจ้าต้องการจะเป็นพวกเดียวกับพวกนั้นใช่มั้ย"
"ใช่หรือไม่เจ้าคิดไม่เป็.."ไม่ทันจบประโยคก็โดนหมัดสวนเข้าให้ในทันที ทีนี้ล่ะคนฝั่งเดียวกันมาวางมวยต่อหน้าศัตรูเข้าให้แล้ว
"เอาเลยต่อยกันให้ตายไปเลย !!" โอรสวันจันทรร้องส่งเสียงให้กำลังใจอย่างสนุกสนาน นึกๆไปก็ขำพิลึกที่ศัตรูมาตีกันต่อหน้าตัวเองแบบนี้
"ไม่ต้องออกแรงแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ" เขาภูมิใจเหตุการณ์ที่เกิดตรงหน้า ดีแล้วที่ไม่ต้องออกแรงให้ศัตรูปะทะกันเองแบบนี้ล่ะดี ต่อไปก็คงหมดเสี้ยนหนามแบบไม่ต้องลงแรงอะไรเลย
5
"ทำไมเจ้าถึงปล่อยให้ตัวเองเลือดไหลไม่หยุดแบบนั้น เจ้าควรรักษาให้หายก่อนพักสิ"บดิศรถามสหายด้วยความเป็นห่วง ขืนไม่รักษาบาดแผลเดี๋ยวก็ได้หมดเรี่ยวแรงจนถึงขั้นสิ้นชีพกันพอดี
"บางทีบาดแผลที่เป็นอยู่นี้มันคงจะดีกว่าความรู้สึก...ช่างมันเถอะ" ผู้ที่บาดเจ็บที่แขนซ้ายเลือกที่จะนอนหันหลังให้กับสหายไม่อยากตอบอะไรอีกแล้ว และก็ไม่อยากจะรักษาบาดแผลที่มีอยู่ด้วย
"เจ้าเอาดวงตาที่ชิงมาคืนให้พวกนั้นไปอย่างนั้นเหรอ!!" วัศพลนาคราชที่ได้ยินเรื่องนี้จากผู้อยู่ฝ่ายเดียวกันที่เห็นเหตุการณ์ก็เร่งรุดเข้ามายังที่พักของธิดากำมะลอของตนด้วยความโมโห ในเมื่อตนสั่งแล้วเธอก็ควรที่จะทำตามโดยไม่มีข้อยกเว้นสิ แต่นี่กลับตัดสินใจคืนดวงตาให้แบบนั้น ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่กันแน่
"เสด็จพ่อ นางก็แค่โยนขึ้นฟ้าไปเองนะพระเจ้าค่ะ ไม่ได้คืนดวงตาให้พวกนั้นเลยแม้แต่น้อย" จันทลักษณ์ปกป้องน้องสาวตัวเอง ลำพังแค่เจ็บตัวไม่ยอมรักษาก็แย่อยู่แล้ว ถ้าถูกบิดามาทำร้ายจิตใจเพิ่มอีก คราวนี้เธอคงไม่อยากมีชีวิตต่อเป็นแน่
"แค่โยนขึ้นฟ้าอย่านั้นเหรอ เจ้าเห็นด้วยกับการกระทำของนางรึยังไง"
"พระทัยเย็นก่อนเถอะพระเจ้าค่ะ" เขาต้องช่วยปรามอารมณ์ผู้ที่อยู่ตรงหน้า ไม่แน่ว่าถ้าโกรธจนเกิดอารมณ์ชั่ววูบขึ้นมาทั้งสองที่ไม่ใช่ลูกแท้ๆก็คงถูกสังหารได้ง่ายๆแน่
"เสด็จพ่อทรงคิดว่าหม่อมฉันจะโง่เง่าจนถึงขนาดยอมโยนดวงตาจริงๆขึ้นฟ้าไปเลยเหรอเพคะ"  ปัทมาสน์ลุกขึ้นจากเตียงแล้วจึงใช้มือขวาส่งมอบดวงตาทั้งสองที่ชิงมากับบิดาตน ใครที่ไหนจะคืนให้ง่ายๆในเมื่ออุตส่าห์ลดตัวไปรังแกผู้ที่อ่อนแอเพื่อชิงมา ซ้ำยังถูกฝั่งศัตรูทำร้ายแบบนั้น
"พ่อนึกว่าเจ้าจะใจอ่อนจนไม่ทำตามที่พ่อบอกซะแล้ว" ใจจริงที่กลัวคือวิชาตนจะไม่อาจควบคุมเธอได้อีกต่อไปมากกว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นความสามารถของตนก็นับว่าใช้ไม่ได้เลยน่ะสิ
"ใครจะใจอ่อนกันเพคะ เสด็จพ่อสัญญากับพวกเราสองพี่น้องว่าจะทำเนตรสะกดใจให้ พวกหม่อมฉันก็ต้องเก็บไว้ทำพิธีอยู่แล้ว"
"ดีมาก คืนนี้พ่อจะทำพิธีให้พวกเจ้า แต่เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ พ่อว่าเจ้าควรรักษาสมานแผลให้ดีเสียก่อน ขืนปล่อยไว้แล้วดึงดันจะทำพิธีตัวเจ้าเองจะเป็นอันตรายได้"
"เพคะ"
"พักก่อนสักหน่อยก็ได้ สองยามแล้วค่อยมาทำพิธีที่พลับพลา" ว่าแล้วเขาก็ออกจากกระโจมไปเพื่อเตรียมข้าวของสำหรับพิธีที่จะเริ่มในอีกไม่นานนี้
"เรารักษาแผลให้เจ้าแล้วกัน ดูท่าเจ้าคงไม่มีสมาธิพอจะใช้พลังจากสังวาลย์มารักษาเท่าไหร่นักหรอก"บดิศรไม่รอให้ผู้บาดเจ็บได้โต้ตอบอะไรตนก็ใช้พลังจากเกราะเหล็กช่วยรักษาบาดแผลในทันที
"ขอบใจแต่คราวหลังไม่ต้อง เราไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณใคร" เมื่อสมานแผลได้แล้วเธอก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยคำขอบคุณ แต่ถ้ามีครั้งต่อไปตนก็ไม่สบายใจเหมือนกัน
"หนี้บุญคุณอะไรกัน แต่ถ้าเจ้าจะถือว่าเป็นหนี้บุญคุณแล้วล่ะก็  ครั้งนี้ก็ให้ถือว่าเราตอบแทนที่เมื่อวานนี้เจ้าอุตส่าห์หาข้าวหาน้ำให้เราก็แล้วกัน"
"เจ้าทำใจได้แล้วใช่ไหม เรื่องที่ทุกข์ใจอยู่น่ะ" ชายวันจันทร์ถามสหายดูสักหน่อย นี่ถึงขนาดยอมปล่อยให้นางในดวงใจกลับไปกับศัตรูไม่เก็บไว้ข้างตัวแบบนี้ ไม่ใช่ว่าทำแล้วจะทุกข์กว่าเก่าหรอกเหรอ
"ได้ อย่างน้อยๆปัจจาก็เลือกที่จะมาอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นกับเรา ถึงความจริงข้อนั้นเราจะไม่อยากยอมรับแต่มันก็เป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว"
"แล้วเจ้ายอมปล่อยให้ผู้หญิงที่ชื่อบัวแย้มจากไปง่ายๆแบบนั้น เจ้าไม่เสียดายหรือยังไง ไหนจะเรื่องยอมสละดวงตาอะไรนั่นอีก"เขาอดสงสัยไม่ได้ ทำไมถึงต้องทำแบบนั้นด้วย ทั้งๆที่เป็นฝ่ายได้เปรียบกลับเลือกที่จะยอมเสียเปรียบแบบนั้น
"เราไม่เสียดายหรอก เราคงเสียใจมากกว่าถ้าหากนางมาอยู่กับเราด้วยความไม่เต็มใจ ส่วนเรื่องดวงตาเรา..เราก็พูดไปอย่างนั้นเอง"
"เราเชื่อว่าเจ้าพูดไปอย่างนั้นเพราะคงมีกลอุบายไว้อยู่แล้ว แต่เราว่ามันยุ่งยากไปก็เลยเลือกจะโยนดวงตาปลอมๆนั่นขึ้นฟ้าไปซะเลย" เธอยิ้มภูมิใจในสิ่งที่ได้ทำลงไป
"นักตัดปัญหาให้พ้นตัวจริงๆนะเจ้าน่ะ"
"นิสัยเราก็เหมือนพี่แบบเจ้านั่นล่ะ"
"ฮ่าๆ เห็นเจ้ายิ้มออกเราก็พอใจแล้ว เราขอตัวไปนอนพักสักหน่อยแล้วกัน สองยามเมื่อไหร่เจอกันเมื่อนั้น"
"เราก็ต้องกลับที่พักเราแล้วเหมือนกัน ไว้มาสู้ด้วยกันพรุ่งนี้นะ"  เขาก็ลาสหายไปเช่นเดียวกัน ไม่คิดจะอยู่นอนค้างอ้างแรมในกระโจมของผู้อื่นเขาหรอก
"รู้แล้วน่า" จบประโยคนั้นเธอก็ลงนอนพักผ่อนกายาไป โดยไม่คิดคำนึงถึงคนฝั่งตรงข้ามเลยแม้แต่อย่างใด

"พระโอรสอังคาสทรงลงมือเกินไปแล้วนะเพคะ" บัวแย้มที่อดห่วงผู้ที่ตนผูกพันไม่ได้ก็ได้ต่อว่าคนที่เป็นเจ้าของพระขรรค์เล่มนั้นที่ฟาดฟันลงไปในตัวผู้ที่เธอห่วงยิ่งชีวิต
"เกินไปอย่างนั้นเหรอ แล้วที่พวกนั้นทำกับเสด็จแม่ พระอัยกา พระอัยกีของเราไม่นับว่ามากเกินไปรึยังไงกัน"
"หม่อมฉันรู้เพคะว่าพระโอรสไม่พอพระทัยขนาดไหน แต่ยังไงพระโอรสก็ไม่ควรจะทำแบบนี้กับพระธิดานะเพคะ มันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย"
"แล้วจะให้เราทำยังไง จะให้เรายินดีกับการกระทำของพวกนั้น ยินดีที่ฝั่งพวกเราต้องสูญเสียอย่างนั้นเหรอ สุดท้ายไม่ว่าทางไหนที่เราทำก็ไม่อาจช่วยเหลือทั้งสามพระองค์ได้เลย" เขาเหนื่อยเต็มทนแล้ว  ที่เขาทำใช่ว่าจะสบายใจแต่มันก็ย้อนไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว
"พระโอรส.." บัวแย้มลงนั่งข้างๆลูบหลังอีกคนเพื่อปลอบใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ตัวเองก็ยอมรับว่าตนก็เห็นแก่ความผูกพันมากเกินไปจริงจนเกือบลืมนึกถึงจิตใจผู้ที่อยู่ตรงหน้าว่าเจ็บปวดไม่แพ้กัน อาจจะเจ็บที่ใจกว่าเจ็บจากแผลบาดแผลของฝั่งตรงข้ามเสียด้วยซ้ำ
"เรายอมรับว่าเป็นความผิดของเราเอง เราใจร้อนเกินไป ใจร้อนจนไม่ได้คิดเรื่องที่ทั้งสองถูกมนต์สะกดอยู่ เราทำเกินไปจริงๆ"
"ไม่มีคำว่าเกินไปสำหรับการกระทำของเจ้าหรอก พวกนั้นต่างหากที่ทำเกินไป"เมธาวีเข้าข้างการกระทำของโอรสวันอังคารเห็นว่าสมควรดีอยู่แล้ว
"มีอย่างที่ไหนจะถูกมนต์สะกดได้สมบูรณ์ขนาดนั้น พื้นเพคงไม่ได้ดีเด่นอะไรนักหรอก มันคงกับความต้องการส่วนลึกของสองคนนั้นนั่นล่ะ"
"เราว่าอย่าคิดอย่างนั้นเลย ยังไงสิ่งที่พวกเขาทำก็ไม่รู้เลยว่ามันผิดยังไง เพราะฝั่งนั้นพ่อใหม่เขาก็สอนมาให้ลงมือแบบไม่ต้องลังเลอยู่แล้ว" เพชรราหูไม่อยากให้อีกคนคิดกับพี่ๆร่วมสายเลือดของตนเช่นนั้น ตนรู้ดีว่าถ้าไม่ถูกมนต์สะกดต่อให้เอาชีวิตเข้าแลก ทั้งสองคนนั้นก็ไม่ยอมทำร้ายคนสำคัญของสหายตนเด็ดขาด
"เราเห็นด้วยกับเพชรราหู เรื่องนี้ถ้าไม่ถูกสะกดด้วยมนตราแล้วล่ะก็ สองคนนั้นต้องเลือกไม่ลงมืออย่างแน่นอน" สุริยะเสียใจก็จริงแต่เขาไม่อยากจะถือโทษโกรธเคืองสหายที่ต่างก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตลอดแบบนั้น
"แม่ฟังเรื่องราวจากที่ภูมินทร์เล่าแล้ว แม่ว่าฝั่งนั้นก็น่าเห็นใจไม่น้อยเลยนะลูก ดวงตาของแม่หายไปแล้วก็ให้หายไปเถอะ ยังไงพวกเขาก็คงไม่คิดจะมาช่วงชิงอะไรจากแม่รวมถึงพระอัยกาอัยกีของลูกๆได้อีกแล้ว คิดเสียว่าเป็นเวรกรรมของพวกเราก็แล้วกัน"
"อย่าคิดเช่นนั้นเลยพระเจ้าค่ะ ทุกปัญหาต้องมีทางออก ยังไงลูกก็จะต้องหาวิธีรักษาพระอาการของทั้งสามพระองค์ให้ได้พระเจ้าค่ะ" โอรสวันอาทิตย์ให้คำมั่นสัญญา อย่างไรเสียตนก็จะหาวิธีทำให้ทุกอย่างกลับมาปกติได้อย่างเร็ววัน

"แสงสุรีย์ฟื้นแล้ว ยังดีที่นางไม่เป็นอะไรมาก นางคงจะไม่สบายใจมากในช่วงนี้ก็เลยอ่อนกำลังลงจนสลบไปง่ายๆ" ศุภลักษณ์ออกมาคุยกับภูมินทร์ที่กลับมาเยี่ยมดูอาการสหาย  ลำพังจะให้ห่วงแต่ครอบครัวตัวเองอย่างเดียวก็ไม่ได้ ในเมื่ออีกฝั่งก็แทบจะนอนไม่หลับอยู่เหมือนกัน
"ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่น่ะภูมินทร์ที่บัวแย้มร้องเรียกเราแบบนั้น"จินดาถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ระหว่างที่ตนคอยดูแลพี่คนโตอยู่ไม่ห่าง เหล่าสหายก็ใช้เวลาไปช่วยทางนั้นนานอยู่พอสมควรเลย
"คือว่า.. สองคนนั้นไป..ไปช่วงชิงดวงพระเนตรของเสด็จแม่ เสียงของพระอัยกาและการได้ยินของพระอัยกี" เขาไม่ใช่พวกโกหกเก่งอะไรจึงเลือกที่จะบอกไปตามนั้น ทำเอาเสียผู้ที่ฟังแทบจะล้มทั้งยืน  จนเขาต้องรีบเข้าไปประคองเธอเอาไว้ไม่ให้ล้มไปกับพื้น
"สองคนนั้นทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ เราไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น แล้วตอนนี้ทั้งสามพระองค์เป็นยังไงบ้าง"โอรสวันศุกร์ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่สบายใจ แต่ยังไงก็ไม่ลืมที่จะถามถึงอาการของผู้ที่ถูกทำร้าย
"ทั้งสามพระองค์สูญเสียสิ่งเหล่านี้ก็จริงแต่ว่า ตอนที่สูญเสียกลับไม่ได้เจ็บปวดทรมานอะไร เพียงก็แต่ตกพระทัยที่สูญเสียสิ่งเหล่านี้ไป"
"หมายความว่ายังไง"
"ตอนที่เรากับสุริยะดูพระอาการว่าจะช่วยรักษาความเจ็บปวดทรมานแต่มันกลับไม่มีตรงไหนที่จะเป็นบาดแผลจนเลือดตกยางออกเลยแม้แต่น้อย พอปลอบขวัญทั้งสามพระองค์ได้ทั้งสามพระองค์ก็ไม่มีความทรมานจากบาดแผลอะไรเลย นอกจากจะปวดใจที่ต้องสูญเสียสามสิ่งนั้นไป"
"แปลก ปกติต้องถึงขั้นเลือดตกยางออก หรือว่าพวกนั้นแค่จะข่มขู่ให้กลัวไม่คิดจะลงมืออะไรมากไปกว่านี้" สตรีวันพฤหัสบดีฟังความก็รู้สึกแปลกใจกับเรื่องนี้ หรือว่านี่จะมีเงื่อนงำอะไรแอบแฝงอยู่กันแน่
"ถ้าอิงจากนิสัยของวัศพลนาคราชแล้วล่ะก็นะ ทางนั้นก็ไม่เห็นว่าการรังแกผู้อ่อนแอกว่าจนเลือดตกยางออกเป็นเรื่องน่าภูมิใจตรงไหน ทำให้เกรงให้กลัวตัวเองจนหัวหดมันคงดีซะกว่า ถ้าถึงกับทำร้ายร่างกายขนาดนั้นก็ต้องเป็นผู้มีฝีมือสูสีกับตนถึงจะเหมาะสม"
"แบบนี้ก็เลยส่งผลต่อมายังผู้ที่ถูกสะกดใจด้วยสินะ"
"ถูกต้อง เราคิดว่าเป็นอย่างนั้นล่ะ"
"ทางที่ดีเรื่องนี้อย่าเพิ่งให้แสงสุรีย์รู้เลยดีกว่า แค่นี้นางก็แทบจะเอาตัวเองไม่รอดแล้ว" ศุภลักษณ์ออกความเห็น ยังไงเรื่องนี้ยังไม่ควรให้รู้ในตอนนี้ ให้สภาพจิตใจเข้มแข็งมากกว่านี้ค่อยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ได้รับรู้
"เราเห็นด้วย ถ้าอย่างนั้นเราขอตัวไปตามพี่น้องคนอื่นๆของเราไปเข้าเฝ้าทั้งสามพระองค์ก่อนนะ"
"ดูแลจิตใจของพวกเจ้าให้ดีด้วยนะ อย่าห่วงแต่พวกเราอย่างเดียวเลย" จินดากล่าวกับสหาย ต่อตนไม่สบายใจถึงเพียงใดตนก็ไม่ลืมที่จะห่วงความรู้สึกของเหล่าสหายเช่นกัน
"เราสัญญาว่าจะดูแลจิตใจของเรากับพี่น้องเราให้เข้มแข็ง เจอกันพรุ่งนี้นะ"จบคำกล่าวภูมินทร์ก็จากไป คืนนี้พวกเขาต้องไปอยู่เป็นเพื่อนกับผู้ที่เพิ่งประสบเหตุการณ์เลวร้ายมาเสียก่อน แต่อย่างไรตนก็จะกลับมาเข้าร่วมสงครามทำหน้าที่ในวันถัดไปอย่างแน่นอน


6
สวัสดีค่ะจักรกรดขอแจ้งเลื่อนวันอัพเดตนิยายไปก่อนนะคะ เนื่องจากสัปดาห์นี้ต้องฝึกซ้อมและเตรียมงานสานสัมพันธ์ให้ความรู้กับรุ่นน้องเรื่องการออกค่ายจึงจัดสรรเวลามาให้กับการเขียนนิยายได้อย่างไม่เพียงพอ จักรกรดจึงขอเลื่อนการอัพเดตนิยายไปยังสัปดาห์หน้าแทนค่ะ โดยจะอัพเดตชดเชยในส่วนของสัปดาห์นี้ในวันเสาร์ที่27สิงหาคม และอัพเดตตอนต่อไปในวันอาทิตย์ที่28สิงหาคมตามเวลาเดิมค่ะ ขออภัยในความไม่สะดวกด้วยนะคะ
7
“จะไปไหนกัน” จันทลักษณ์เข้ามาดักหน้าสองสตรีที่กำลังหนีอยู่อย่างร้อนใจ
“ปล่อยพวกเราไปเถอะนะ เราไม่เข้าใจทำไมพวกเจ้าสองพี่น้องถึงได้เลือกเข้ามาทำร้ายผู้ไม่มีทางสู้เช่นนี้เลย หากมีสิ่งใดไม่พอใจก็ควรจะพูดคุยกันดีๆก่อนได้แท้ๆ” เมื่อถูกตามทันอย่างนี้ มเหสีอัมรินทร์รู้ว่าหนียังไงคงจะหนีไม่พ้นจึงคิดเจรจาเสียคงจะดีกว่า
“เราขออภัยจริงๆ ถ้าเรื่องที่พวกเจ้าแค้นเคืองเราเป็นเรื่องวันนั้นที่เราเลือกชีวิตลูกเรามากกว่าก็ทำร้ายเราเพียงคนเดียวเถอะ อย่าได้ทำร้ายผู้อื่นเลย” สไบทองคิดว่ามีคงมีเรื่องบาดหมางกับตนไม่กี่เรื่องหรอก ไม่เช่นนั้นทั้งสองคงไม่มาช่วงชิงดวงตาของตนแน่
“ไม่มีทางสู้หรือมีทางสู้ ถ้าเราพอใจจะทำเราก็ทำร้ายใครก็ได้อยู่ดี แล้วที่เราทำแบบนี้มันไม่ใช่เพราะความแค้นเคืองอะไรนั่นหรอกนะ แต่ว่ามันเรียกอะไรนะ...อ้อ ความสำราญ” พูดจบแล้วบุรุษหนุ่มจึงใช้พลังช่วงชิงความสามารถในการได้ยินของหญิงชราเสีย ไม่เพียงแต่เท่านั้นเขายังฉุดกระชากลากถูสตรีทั้งสองให้ไปยังชายชราที่ถูกยักษิณีสาปให้ส่งเสียงออกมาไม่ได้ด้วย
“พระโอรสพระธิดา อะไรมาดลพระทัยทั้งสองพระองค์ให้กระทำเช่นนี้เพคะ ได้โปรดเถอะนะเพคะ ยุติการกระทำพวกนี้แล้วแก้ไขให้เป็นเหมือนเดิมเถอะเพคะ ทั้งสามพระองค์ต้องทนทุกข์ทรมานขนาดนี้ได้โปรกเห็นพระทัยด้วยเถอะเพคะ” บัวแย้มเข้ากอดขาอ้อนวอนพระโอรสพระธิดาที่ตนเคารพ เรื่องมันเกิดขึ้นแบบนี้ตนก็ไม่ค่อยจะเข้าใจนัก บางทีมันอาจเป็นอารมณ์ชั่ววูบ ตนจึงคิดใช้ความผูกพันมาเปลี่ยนใจทั้งสองให้เลิกการกระทำอันเลวร้ายแล้วรักษาอาการบาดเจ็บของคนทั้งสามนั้นคนจะดีกว่า
“บัว บัวแย้มงั้นเหรอ” ปัทมาสน์กล่าวเหมือนนึกขึ้นได้ แต่ก็ไม่ได้สนเรื่องที่ถูกร้องขอก่อนหน้านี้เลย
“เพคะ บัวเองเพคะ..เหตุใดพระธิดาถึงเหมือนไม่รู้จักบัวเลยล่ะเพคะ ” คำพูดคำจาของอีกฝ่ายเปลี่ยนไปอย่างน่าฉงน หรือว่านี่จะถูกควบคุมอยู่ถึงได้จำตนไม่ได้ รวมถึงเรื่องพวกนี้ด้วย
“เป็นนางที่บดิศรมีใจใฝ่ผูกพันนี่เอง พวกเราจับนางไปให้บดิศรดีกว่า เผื่อเจ้านั่นจะได้นึกฮึกเหิมอยากกลับมาสู้กับคนอื่นเขาซะบ้าง” บุตรชายกำมะลอของวัศพลนาคราชออกความเห็น เขาแน่ใจว่าผู้ที่ตนเชื้อเชิญก็กำลังคิดแบบเดียวกับตน
“เราเห็นด้วย ยังไงก็ใกล้จะตะวันลับขอบฟ้าละ เอาอะไรกลับไปคงไม่เสียหายหรอก แล้วก็ไม่มีกฎข้อไหนไม่ให้จับตัวประกันเพิ่มนี่” เมื่อได้ยินเช่นนั้นบัวแย้มก็ไม่คิดที่จะอ้อนวอนต่อไปเพราะอย่างไรก็เป็นสิ่งที่เปล่าประโยชน์ เธอจึงได้เรียกคนที่เหลือให้มาช่วยเห็นจะดีกว่า
“พระโอรสพระธิดาช่วยด้วยเพคะ ช่วยด้วยเถอะเพคะ” บัวที่ได้เรียกผ่านกำไลแก้วบุษบากรที่สามารถเรียกขอความช่วยเหลือไปถึงจินดาได้ คราวนี้พวกที่เหลือจะต้องรีบตามมาช่วยเหลือแน่ ซางตัวเธอไม่ได้รู้เลยว่าอีกฝั่งก็กำลังวุ่นวายเรื่องอาการของแสงสุรีย์อยู่เช่นเดียวกัน
“จนได้สิ แทนที่จะยินยอมไปกับพวกเรา นางกลับเรียกให้พวกนั้นมาช่วย” จันทลักษณ์รู้สึกหงุดหงิดไม่น้อยที่คนไร้สามารถที่จะต่อสู้อย่างสาวชาวป่าคนนี้ช่างกล้าเรียกคนมาไม่แม้แต่จะกลัวความตายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเลย
“จะคิดมากไปทำไมกัน ยังไงพวกเราก็ได้ดวงตาของนางมนุษย์สไบทองนี่แล้ว อีกอย่างพวกมันมาก็ดีจะได้เยาะเย้ยสักหน่อย” 
พวกศัตรูเดินทางมายังมิติแล้วนั้นผู้ถือชัยทั้งสองก็ได้ยิ้มอย่างชอบใจในการกระทำของตนพลางเยาะเย้ยสักหน่อยพอขำขันแล้วจึงรีบพาตัวประกันออกจากมิติไป ตามจรองก็อยากจะสู้ด้วยอยู่หรอก แต่เวลาเหลือน้อยมากแล้ว ถ้าเวลาหมดไปแล้วสู้กันยาวคราวนี้คงจะแพ้เพราะเรื่องผิดกฎในขณะที่ยังไม่ถึงเก้าวันก็ดูไม่ดีกับพวกตนเท่าไหร่นักหรอก
เพชราหู อังคาส ภูมินทร์ สุริยะ และเมธาวีที่ได้หายตัวมายังมิติพบเจอกับเหตุการณ์ตรงหน้าจิตใจก็พลันระส่ำระส่าย ใจนึงก็ห่วงอาการคนทั้งสาม อีกใจก็โกรธแค้นชิงชังพวกศัตรูที่กระทำการอุกอาจแล้วยังมีหน้ามาเยาะเย้ยพวกตน
“เสด็จแม่ พระอัยกา พระอัยกีทรงเป็นเช่นไรบ้างพระเจ้าค่ะ” สุริยะที่ห่วงมากกว่าแค้นเคืองใจเลือกที่จะเข้าไปดูอาการของสามอาวุโส
“ลำพังแค่แม่เสียดวงตาคนเดียวไม่เป็นไรหรอกลูก เพียงแต่พระอัยกา พระอัยกีของลูกต้องถูกช่วงชิงการได้ยินอีกทั้งถูกสาปพูดไม่ได้นี่สิ ลูกต้องช่วยทั้งสองพระองค์นะลูก”
“ทำไมพวกเขาต้องมาช่วงชิงสื่อสัมผัสออกไปด้วยล่ะพระเจ้าค่ะ มีเหตุผลคืออะไรกัน” ภูมินทร์ไม่อยากจะเชื่อภาพตรงหน้าว่าจะเป็นความจริงที่คนที่ตนนับเป็นสหายทั้งสองจะทำได้ถึงเพียงนี้
“พวกเขาเข้ามาในมิติมาหาแม่ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้ชิงดวงตาแม่ไป ทีแรกแม่คิดว่าพวกเขาคงจะคับแค้นใจที่แม่เลือกขอให้อัญญานีช่วยพวกลูกๆก่อน แต่เขาพูด พูดแต่เพียงว่ามันเป็นความสำราญ น่าจะเป็นเหตุผลอื่นแล้ว”
“ความสำราญอย่างนั้นเหรอ ได้เราจะเอาความสำราญที่ว่าไปมอบให้พวกเจ้าบ้าง” อังคาสที่ได้ฟังคบอกเล่าของมารดาก็คิดที่จะติดตามทั้งสองไปยังที่พำนักในสนามรบ กล้าดียังไงมาทำร้ายคนสำคัญของตน
“พวกเราไปด้วยกันนี่ล่ะ” เพชราหูรีบพาอังคาสกับเมธาวีหายตัวไปในทันทีเพราะยังไงพวกตนก็ต้องมีส่วนในการรับผิดชอบความผิดของพี่ๆ

“บดิศรเลิกคร่ำครวญแล้วมาดูตัวประกันเร็วเข้า นางแก้วของเจ้าที่ชื่อบัวแย้มอยู่ที่นี่แล้ว” เมื่อมาถึงที่พำนักฝั่งตนแล้ว นางยักษิณีก็เหวี่ยงร่างสตรีบอบบางกองลงกับพื้นพลางเรียกสหายให้ออกมาราวกับว่าที่นำมาเป็นเพียงสิ่งของจะทิ้งเหวี่ยงทิ้งโยนอย่างไรก็ได้
“เจ้าว่ายังไงนะ!!”พอได้ยินแบบนั้นเขาก็ไม่อาจจะอยู่เฉยได้ ไม่ใช่เพราะดีใจอะไรเถือกนั้นหรอก หากแต่เป็นห่วงคนที่ตนรักเพราะสองสหายนี่ต้องมนตราทำท่าทางดูแล้วก็ไม่น่าจะปรานีใครเท่าไหร่ด้วย
“นี่ไงนางแก้วนางสวรรค์ของเจ้า ที่นี้เจ้าก็เลิกคิดมากได้แล้ว พรุ่งนี้จะได้ออกทำศึกต่อ” ชายผู้เกิดวันจันทร์ชี้ไปทางสตรีที่นั่งอยู่บนพื้นน้ำตาก็อาบนหน้าไร้คำจะพูดอะไรทั้งนั้น
“พวกเจ้าทำร้ายนางทำไมกันน่ะ” บดิศรเข้ามาดูอย่างเป็นห่วง เห็นท่าทีสตรีผู้นี้แล้วก็อดสังเวชใจไม่ได้
“ทำร้ายอะไรกันจับเหวี่ยงนิดๆหน่อยเอง  นางฟูมฟายมาก่อนหน้าที่พวกเราจะจับเป็นตัวประกันด้วยซ้ำ” ฟังความสหายตนก็ไม่ค่อยจะพอใจเท่าไหร่นัก ทำดีด้วยกลับเห็นเป็นอื่น แย่จริงๆ
“พวกเจ้าทำนางร้องไห้ขนาดนี้ยังไม่เรียกทำร้ายอีกเหรอ ถึงจะไม่ถึงทางกายพวกเจ้าก็ถือว่าทำร้ายนางทางจิตใจอยู่ดี”
“เอ๊ะนี่เจ้า!!”
“ถ้าเจ้าไม่กันตัวนางไว้เองจะมาหาว่าพวกเราใจร้ายไม่ได้เด็ดขาด ไม่อยากได้พวกเราก็ไม่ฝืน เอาไปขังรวมไว้กับเสด็จพ่อเจ้าก็ได้” จันทลักษณ์กล่าวเมื่อทนฟังคำพูดของคนเมืองรัตนบุรีจนเบื่อเต็มทน
“พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์พาบัวไปไหนทั้งนั้น!!” อังคาสที่เข้ามายังหน้าพลับพลาได้ยินคำพูดของผู้ที่อยู่ตรงหน้าก็ยิ่งทวีความโมโหโกรธาของเขาให้มากขึ้นไปอีก
“อะไรกัน ตะวันจะลับขอบฟ้ามิดดวงอยู่แล้ว ยังคิดจะตามมาสู้อีก หน้าไม่อายจริงๆ”
“พวกเจ้านั่นแหละที่หน้าไม่อาย ลอบเข้าไปช่วงชิงสื่อสัมผัสของผู้ที่ไม่มีทางสู้ในตอนที่คนอื่นกำลังต่อสู้อยู่ในสนามรบนี่”เมธาวีฟังคำของชายผู้ต้องมนตราก็ต้องย้อนกลับเสียบ้าง ถึงจะรู้ว่าถูกควบคุมก็เถอะ แต่การกระทำพวกนี้มันก็เกินไป
“แล้วจะทำไม” สตรีผู้ต้องมนต์เนตรสะกดจิตตอบกลับอย่างไม่แยแส ก็ตนไม่ผิดนี่ ใครจะว่ายังไงก็ว่าไปสิ แต่ใครมันจะไปคิดว่าอยู่ดีตนก็ถูกพระขรรค์ของอีกฝั่งฟันเข้าที่แขนซ้ายตนเข้าอย่างจัง
“แล้วทีอย่างนี้เจ้าจะทำไมรึเปล่าล่ะ” ไม่ต้องพูดพร่ำก่อนจะลงมือให้มากความเพราะสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามทำกับมารดาตนมันก็ไม่ต่างกัน ออกจะมากกว่าที่ตนทำเสียด้วยซ้ำ ผู้ที่ถูกทำร้ายโดยไม่ทันตั้งตัวไม่เอ่ยคำใดๆออกมาทำได้เพียงแต่จ้องมองไปยังดวงตาของผู้กระทำ เดาไม่ออกเลยว่าเจ็บปวดหรือโกรธจนน้ำตาแทบไหลกันแน่ดวงตาถึงได้แดงก่ำแบบนั้น
“พระธิดา พระธิดาทรงเป็นอย่างไรบ้างเพคะ” บัวแย้มที่หยุดสะอื้นไห้ดูเหตุการณ์อยู่นั้นก็รีบลุกขึ้นมาดูร่องรอยบาดแผลอย่างเป็นห่วงเป็นใย แม้ว่าก่อนหน้านี้เธอจะถูกทำร้ายก็ตามที
“ไม่ต้องมายุ่งกับเรา” ความโมโหโกรธาปรากฏบนหน้ายักษาอย่างเห็นได้ชัด ในช่วงเวลานี้เธอไม่ได้อ่อนโยนกับสตรีที่สวมใส่กำไลเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไปแล้ว
“ตะวันก็ลับฟ้าไปเรียบร้อยแล้ว ถ้ามีเรื่องอะไรไว้ค่อยจัดการพรุ่งนี้ก็แล้วกัน”บดิศรกล่าวกับอีกฝ่าย มันไม่ใช่เวลาที่จะมาทำผิดกฎทั้งสองฝ่ายก่อนถึงกำหนดเก้าวันเลย
“เจ้าพูดง่ายดีนี่ แม่เจ้าไม่ได้ถูกควักดวงตาก็พูดได้” สตรีวันเสาร์พูดถึงเรื่องนี้ ถ้าจะกลับไปอย่างน้อยก็ต้องได้อะไรคืนสิถึงจะถูก
“ถ้าอยากได้ดวงตาเราไม่คืนแน่ คิดว่าฟันแขนของน้องเราแล้วจะยอมง่ายๆนักสิ”
“แล้วนางเป็นน้องเจ้าคนเดียวรึยังไง”เพชราหูกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ทั้งสองนี้ก็เป็นพี่ตนทั้งนั้น เห็นเจ็บก็รู้อยู่แล้วแต่ว่าครอบครัวของสหายน่ะไม่สำคัญหรอกเหรอ
“ก็ใช่น่ะสิ”
“เอาอย่างนี้แล้วกัน พวกเจ้าพาบัวแย้มกลับไปพร้อมกับเอาดวงตาของเราไปแทน” ผู้สวมเกราะเหล็กเสนอทางยุติ ในเมื่อต่างฝ่ายต่างใยอมเห็นทีตนต้องสละเองเสียแล้ว
“อย่ามาโง่เง่าให้มันมากหน่อยเลยเจ้าน่ะ” เขาค้านอย่างไม่พอใจ
“แล้วคนฉลาดทำอะไรบ้างล่ะ ไม่ยอมคืนก็ต้องหามาให้ใหม่นี่ล่ะ”
“ข้อเสนอแรกรับ แต่อีกข้อไม่ เราไม่อยากให้ดวงตาของเจ้ามาทำให้เสด็จแม่เราแปดเปื้อน” เขาต้องการให้ตัวประกันปลอดภัยอยู่แล้ว แต่เรื่องดวงตาถ้าไม่ใช่ของมารดาตนก็ไม่ยินยอมที่จะรับมันเด็ดขาด
“อยากได้นักก็ไปหาเอาเองเถอะ เราถือว่าคืนแล้ว” ปัทมาสน์ฟังความอีกฝั่งอย่างนั้นก็บันดาลโทสะใช้มือขวาขว้างปาดวงตาทั้งสองข้างขึ้นไปยังท้องฟ้ายามราตรีราวกับว่าดวงตาจะไปอยู่รวมกับดวงดาวพวกนั้น เธอไม่รีรอให้อีกฝ่ายตอบโต้รีบเข้ากระโจมของตนในทันที
“รอเราด้วย” บดิศรกับจันทลักษณ์ก็ติดตามเข้าไป ปล่อยให้คนอีกฝั่งฝักใฝ่ไล่หาดวงตาไปก็แล้วกัน
“พวกเจ้า!!” เสียงทั้งสามคนร้องเรียกฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่พอใจครั้นจะบุกเข้าไปยังข้างในก็ไม่ใช่เรื่อง มันจะกลายเป็นการบุกรุกเข้าไปน่ะสิ
“ปฐมยามแล้วพวกเจ้ามาทำอะไรกันที่นี่”พระพุธท่านเข้ามาถามด้วยความห่วงใย กลัวว่าจะเกิดการทำผิดกฎเพราะอารมณ์โทสะจึงเข้ามาดู
“พวกหม่อมฉันมาเจรจาเรื่องตัวประกันกับสิ่งที่ถูกช่วงชิงไปพระเจ้าค่ะ” เพชรราหูทูลต่อเทพท่าน อย่างไรเสียก็เป็นหนึ่งในผู้สังเกตการณ์คงไม่คิดเอนเอียงไปฝ่ายหนึ่งอยู่แล้วจึงทูลให้ทราบไป
“ตัวประกันก็ได้กลับไปแล้ว ส่วนสิ่งที่ถูกช่วงชิง..ควรจะหาวิธีแก้ไขกันต่อไป อย่าเอาใจไปผูกกับพวกเขาให้มาก มีเรื่องอีกหลายอย่างที่ต้องทำ ไม่ใช่เพียงเรื่องของพวกเจ้าอย่างเดียว” ท่านกล่าวเสร็จก็จากไปไม่ได้กล่าวสิ่งใดเพิ่ม เหมือนเขาจะรู้เรื่องดวงตานั่นเป็นอย่างดีแต่อาจเป็นเพราะถือสถานะเป็นกลางจึงไม่สามารถที่จะไปบอกอะไรมากไปกว่านี้ คงต้องรอตามแต่โชคชะตาจะพาไป

“พระองค์ไม่เคยจะคิดถึงหม่อมฉันเลยแม้แต่นิดเดียว พระองค์ทรงคิดถึงแต่ตัวเอง พระองค์ทำเรื่องพวกนี้เพียงเพื่อพระองค์เพียงผู้เดียว” สตรีอันเป็นที่รักต่อว่าเขาอย่างไม่ลดละ เขาผิดนักหรือที่ทำเรื่องพวกนี้
“ไม่อินทราณี เราทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้านะ อินทราณีอย่าไป อินทราณี!!”
-------------------------------------อัพเดตทุกวันอาทิตย์ประมาณ21.30น.นะคะ
8
สวัสดีค่ะ จักรกรดขอแจ้งงดอัพเดตนิยายไปก่อนนะคะ เนื่องจากช่วงนี้มีปัญหาด้านสุขภาพประกอบกับต้องเตรียมตัวสำหรับการสอบกลางภาคจึงไม่อาจจะสร้างสรรค์เนื้อหาให้เพียงพอได้ ดังนั้นจักกรดจึงของดอัพเดตนิยายไปสักพักนะคะ แล้วจะกลับมาอัพเดตตอนต่อไปในวันอาทิตย์ที่14สิงหาคมเวลา21.30น.ค่ะ  ขออภัยท่านผู้ท่านทุกท่านด้วยนะคะ
9
“เสด็จพ่ออยากให้หม่อมฉันกับน้องชิงเอาดวงตาของหญิงที่ชื่อสไบทองเหรอพระเจ้าค่ะ” จันทลักษณ์ทวนสิ่งที่ได้ยินอีกครั้ง
“ถูกต้อง พ่อจะใช้ดวงตานางมาทำเนตรสะกดใจให้เจ้าสองพี่น้อง และทำให้พวกนั้นบาดหมางกันด้วย”
“แต่ว่า….” ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปราวกับว่าจะไม่กล้าทำเรื่องเช่นนี้เลย
“แต่ว่าอะไร” ท้าวนาคาได้ยินคำว่าแต่ก็เริ่มไม่พอใจ
“แต่ว่าเรื่องแค่นี้ทำไมต้องให้ลูกทำด้วยล่ะพระเจ้าค่ะ” ที่แท้ก็แค่อิดออดไม่อยากทำ ไม่ได้เกิดความกลัวไม่กล้าแต่อย่างใดเลย
“ก็แค่มนุษย์ผู้หญิงธรรมดาคนนึงไม่เห็นจะต้องให้ถึงมือของพวกหม่อมฉันเลยนี่เพคะ พวกลิ่วล้อก็ทำให้ได้สบายๆอยู่แล้ว” ปัทมาสน์ที่เข้ามาสมทบพอที่จะได้ยินที่ทั้งสองคุยกันเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความคิดเห็น
“ถ้าเป็นเรื่องอื่นคงให้พวกลิ่วล้อจัดการอยู่หรอก แต่เรื่องนี้มันสำคัญมาก เพราะผู้ที่จะใช้เนตรสะกดใจต้องเป็นผู้ที่ช่วงชิงดวงตาด้วยมือตนเองน่ะสิ หรือว่าพวกเจ้าเกียจคร้านจนยอมให้ผู้อื่นได้ใช้เนตรวิเศษแทนกันล่ะ”
“แล้วทำไมเนตรสะกดใจจะต้องชิงมาจากผู้หญิงคนนั้นด้วยล่ะพระเจ้าค่ะ”
“พ่อบอกเจ้าไปแล้วว่าจะทำให้พวกนั้นบาดหมางกัน ถ้าเอาดวงตาผู้อื่นแล้วพวกนั้นจะแตกสามัคคีได้ยังไง พวกเจ้าสองพี่น้องแฝงตัวไปอยู่กับพวกมันตั้งนานก็ย่อมเกิดความผูกพัน ทีนี้ล่ะทางนั้นจะแบ่งเป็นสองฝ่าย แน่นอนว่าฝ่ายหนึ่งจะแก้ต่างหาเหตุผลการกระทำให้พวกเจ้า” เขาเล่าสิ่งที่คาดการณ์เอาไว้ มันไม่น่าผิดคาดเท่าไหร่นักหรอกถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมา
“เสด็จพ่อทรงปรีชาสามารถมากเลยเพคะ พรุ่งนี้ไปชิงดวงตามาเลยดีมั้ยเพคะ จะได้ทำเนตรสะกดใจให้เร็วขึ้น” ธิดายักษ์ยิ้มอย่างพอใจเมื่อได้ยินในสิ่งที่บิดานาคาพูด เห็นทีจะต้องรีบไปนำมาเสียแล้ว
“ถ้าทำสำเร็จพวกเราก็จะมีเนตรสะกดใจสี่ดวงเลย หม่อมฉันดวงนึง ปัทมาสน์ดวงนึงและเสด็จพ่ออีกสองดวง” โอรสมนุษย์คิดถึงเรื่องนี้แล้วจึงกล่าว ยิ่งมีจำนวนดวงตาเพิ่มขึ้น การสะกดใจก็สามารถสะกดได้หลายคนขึ้นน่ะสิ
“ไม่ถูกเสียทีเดียวหรอก พ่อก็มีเพียงหนึ่งเหมือนพวกเจ้า”
“แต่ปกติเสด็จพ่อมีถึงสองดวงนี่เพคะ” เธอก็ว่าไปตามความจำที่ตนมีอยู่ มิได้รู้ตื้นลึกหนาบางอะไร
“แต่ก่อนน่ะใช่ แต่เพราะมีครั้งหนึ่งพ่อได้สู้กับพวกครุฑ มันจิกเอาดวงตาพ่อออกไป ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ป่าไหนหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ”
“ป่านนี้ไม่เป็นหินอัญมณีอยู่ที่ไหนแล้วหรือพระเจ้าค่ะ”
“พ่อก็ไม่แน่ใจ แต่เชื่อได้ว่าอยู่ดีแน่นอน….. นี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่พวกเจ้าต้องรู้ไว้ อย่าให้ใครทำลายเนจรสะกดใจของพวกเจ้าได้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นตาเจ้าจะบอดและเรื่องที่ไปสะกดผู้อื่นจะเข้าตัวจนสติวิปลาสได้” วัศพลนาราชพูดข้อนี้ให้ฟังเป็นสำคัญเพราะคนไม่อยากเสียกำลังพลไป ถึงแม้จะเป็นจุดอ่อนตนแต่ก็ไม่คิดจะปิดบังพวกที่ตนสะกดเอาไว้หรอก เพราะผู้ที่ถูกสะกดจะไม่มีวันทำร้ายผู้ที่สะกดแน่นอน หากเว้นว่างจากเรื่องสงครามตนก็กะจะตามหาสิ่งสำคัญของตนดูบ้างเหมือนกัน
“พระเจ้าค่ะ พวกหม่อมฉันจะระวังดวงตาให้ดี”
“เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ก่อนตะวันตกดินพวกหม่อมฉันจะไปชิงดวงตาของสไบทองได้เพคะ เสด็จพ่อวางพระทัยได้เลย”
………………………………………………..
“ไม่นะ!!” แสงสุรีย์สะดุ้งตื่นขึ้นมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางด้วยความตกใจสิ่งที่เกิดในความฝัน
“เป็นอะไรไปน่ะแสงสุรีย์” เมธาวีได้ยินเสียงร้องก็รีบเข้ามาดูและประคองผู้ที่เพิ่งฟื้นจากนิทราด้วยความเป็นห่วง
“เราฝันร้าย ฝันว่าจันลักษณ์กับปัทมาสน์ควักเอาดวงตาของตัวเองมาคนละข้างแล้วเอาใส่ในกองเพลิง จากนั้นทุกอย่างก็ดับลงราวกับว่าดวงตาของเราบอดไปแล้ว  เรากลัวเหลือเกินว่าสองคนนั้นจะเกิดอันตราย”
“ไม่ต้องห่วงไปหรอก บางทีที่เจ้าฝันแบบนี้อาจเป็นเพราะเจ้าอาจจะคิดสับสนที่สองคนนั้นไปอยู่กับพวกศัตรูก็ได้” เพชราหูกล่าวเช่นนี้เพราะไม่อยากผู้ที่ตื่นนิทราจากฝันร้ายคิดมากจนเกินไป
“เราก็หวังว่ามันจะเป็นแค่ความฝัน อย่าให้มันเป็นลางร้ายอะไรเลย” จินดาที่ได้ฟังเช่นนั้นก็ไม่สบายใจเท่าไหร่นักเพราะนี่อาจเป็นลางบอกเหตุก็ได้ แต่ยังไงก็อยากให้เป็นแค่ฝันไม่สลักสำคัญอะไร
“ฝันร้ายก็แค่ฝันอย่าคิดมากเลยนะ”ศุภลักษณ์เข้ามาจับมือพี่สาวคนโตเพื่อให้กำลังใจ ตัวเองเชื่อว่ายังไงเรื่องร้ายๆจะต้องผ่านไปได้แน่ แค่ต้องรอเวลา
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ มีใครเป็นอะไรรึเปล่า” อันติมะเข้ามาดูสหายที่พักอยู่อีกกระโจมเพราะเกรงว่าจะเกิดอันตรายจากพวกคิดไม่ซื่อก็เป็นได้
“ไม่มีอะไรหรอก เราแค่ฝันร้ายน่ะ”
“ฝันร้ายเดี๋ยวก็กลายเป็นดี ช่างมันเถอะนะ พวกเราเตรียมตัวกันให้เรียบร้อยดีกว่า พอฟ้าเริ่มสางก็ต้องเตรียมรบอีก”
“หวังว่าจะจบลงไวๆนะ”โอรสวันศุกร์กล่าว
“เราก็อยากให้จบแต่ว่าเทพวิษุวัตไม่ยอมเข้าร่วมให้เร็วน่ะสิ ไม่อย่างนั้นก็คงจะสามารถเอาความสนใจรวมกำลังแรงมุ่งไปต่อกรกับพระองค์พอ”ชายหนุ่มร่างแปลงหนักใจไม่น้อย นี่ก็หลายวันแล้วที่เทพต้นเรื่องบำเพ็ญเพียรเพิ่มกำลังให้ตนแล้วไหนจะถ่วงเวลาเพื่อรอให้สหายตนอ่อนกำลังลงอีก หรือว่าตนควรจะต้องทำอะไรที่สั่นคลอนจิตใจให้สมาธิของเทพวิษุวัตไขว้เขวกัน ถึงจะทำให้เรื่องมันจบสักที

“พระธิดา พระโอรส!!” จั๊กแหล่นมาถึงก็เข้ากอดทักทายทุกคนอย่างดีใจ เมื่อวานอยู่ซ้อมวิชาเพิ่มอีกสักหน่อยจึงได้ตามมาสมทบภายหลัง
“จั๊กแหล่นมาแล้วเหรอ พี่ศุเนี่ยคิดถึ๊งคิดถึง” ศุภลักษณ์เห็นสหายรักก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งจึงได้เข้ากอดราวกับว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นน้องสาวของตนอีกหนึ่ง
“พี่ศุเนี่ยคิดถึ๊งคิดถึง” ประกายพรึกพึมพำถึงประโยคก่อนหน้าด้วยความหมั่นไส้ ดูท่าเจ้าของประโยคจะชอบทำนิสัยเจ้าชู้จนเป็นนิสัยไปแล้ว จึงไม่เขอะเขินเลยที่จะสวมกอดผู้หญิงแบบนั้น
“แล้วพระโอรสจันทลักษณ์กับพระธิดาปัทมาสน์อยู่ที่ไหนกันพระเจ้าค่ะ”ผีตาหวานถามด้วยความสงสัย เพราะมันจะได้เวลาออกรบแล้วน่าจะมารวมกันครบได้แล้วนี่
“คงไปอู้อยู่ที่ไหนสักที่ล่ะมั้ง” สุดหล่อว่าไปตามความเห็น นี่ถ้าไม่ใช่ว่าเพิ่งมาถึงล่ะก็ ตนก็จะแอบอู้ไม่ไปช่วยให้เหนื่อยจนเกินตัวหรอก
“ทั้งสองน่ะเปลี่ยนฝั่งไปอยู่กับพวกนั้นแล้วล่ะพี่ตาหวาน” อังคาสตอบความสงสัยให้ทราบ ถึงจะอนุมานได้ว่าถูกมนตราแต่มันก็น่าโมโหอยู่เหมือนกันที่ไม่ระวังตัวให้ดี จนเรื่องมันวุ่นไปใหญ่
“หมายความว่ายังไงกันพระเจ้าค่ะ อยู่ดีๆจะเปลี่ยนฝั่งไปได้อย่างไรกัน” หิ่งห้อยฟังความก็เกิดความสับสนขึ้นมา แค่ไม่อยู่ด้วยวันเดียวมันเกิดเรื่องอะไรกัน
“พวกเขาเปลี่ยนฝั่งก่อนจะเริ่มสงครามและเรียกวัศพลนาคราชว่าเสด็จพ่อน่ะจ้ะพี่หิ่งห้อย”  จันทราภาช่วยตอบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นให้กับผู้สมทบได้ฟังความก่อนหน้า
“พวกเขาน่าจะต้องมนตราถึงได้ทำเช่นนั้นลงไปน่ะจ้ะพี่หิ่งห้อย” สุริยะช่วยเสริม อย่างไรเสียสหายทั้งสองก็ไม่มีทางไปเป็นพวกเดียวกับพวกนั้นเด็ดขาดถ้าไม่มีเรื่องของเล่ห์กลมนตราของอีกฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้อง

“สงครามวันที่สองเริ่มต้นขึ้นแล้ว ขอให้ทุกท่านต่อสู้กันอย่างเต็มกำลังและปฏิบัติตนตามข้อตกลงอันเป็นกฎของสงครามอย่างเคร่งครัดด้วย” เสียงประกาศจากพระพุธซึ่งเป็นหนึ่งในผู้สังเกตุการณ์เป็นสัญญาณให้เริ่มทำการต่อสู้ในวันที่สองอย่างเป็นทางการ

“ใช้ร่มสู้นี่นะ เจ้าจะดูถูกสติปัญญาข้ามากไปแล้วนะ!!” อัคนินกล่าวอย่างไม่พอใจเมื่อเห็นแสงสุรีย์ที่เพิ่งจะเผชิญหน้ากับตนก็ใช้เพียงร่มมาประลองเสียอย่างนั้น
“เจ้านี่ยังไงกัน ต้องคิดเสมอเลยเหรอว่าคนอื่นเขาจะดูถูกตัวเองตลอดเวลา หรือว่าเจ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ”
"ข้าไม่ใช่คนไร้สติปัญญาสักหน่อย"
"ถ้าไม่ใช่ก็มาประลองเลยดีกว่า อย่ามัวแต่โวยวาย"
"แล้วจะให้ข้าใช้ร่มมาสู้กับเจ้าเนี่ยนะ"
"ท่านผู้เจริญปัญญา ถ้ามีฝีมือจริงแค่ใช้ร่มก็เพียงพอแล้วล่ะ"
"ก็ได้ๆ ...เข้ามาเลย" ถึงจะขัดใจแต่ก็คงปฏิเสธมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นคงถูกหัวเราะเยาะแน่ที่ไม่ยอมสู้กับของง่ายๆอย่างร่มนี่
"ตั้งรับไว้ให้ดี" เธอว่าแล้วก็ใช้ร่มแทงพุ่งไปยังใบหน้าของอีกฝ่าย ดีที่อีกฝ่ายหลบทันไม่อย่างนั้นคงต้องถูกจิ้มเข้าให้ที่ลูกตาแน่ เมื่อหลบได้แล้วเขาก็ไม่รีรอที่จะตอบโต้ จึงใช้มือฟันไปยังต้นคอของอีกฝ่าย แต่แล้วศัตรูผู้นั้นก็ดันหลบทันได้เสียก่อน
ทั้งคู่ใช้ร่มปะทะกันราวกับว่ามันเป็นดาบ เมื่อพลัดกันโจมตีอยู่สักพักทั้งสองคนนี้ก็ได้ประจันหน้ากันโดยมีร่มขั้นกลางไขว้ทับกันเป็นกากบาท
"สู้ไม่รู้จักบันยะบันยังเลยนะ เจ้าไม่กลัวว่าตัวข้าจะไม่พอใจจนไปลงกับเสด็จพ่อแทนหรอกเหรอ"
"ถ้าจะขี้แพ้จนไปพาลกับคนไม่มีทางสู้แบบนั้น ก็เชิญทำตามความภูมิใจอันน้อยนิดของเจ้าเถอะ" เธอก็ไม่ได้กังวลในคำพูดของพี่ต่างแม่เท่าไหร่นักหรอก
เพราะเธอรู้ดีว่าในร่างบิดาก็มีวิญญาณมารดาของอีกฝ่ายอยู่ในนั้นเหมือนกัน ถ้ากล้าทำทั้งพ่อทั้งแม่ตัวเองก็ทำไป
"พูดมากนัก!"เขาได้ยินวาจาเช่นนั้นจึงบันดาลโทสะใช้หน้าผากของตนโขกเข้ากับของอีกฝ่ายจนเลือดไหล
"แผลเก่ายังไม่ทันหายอยากได้แผลใหม่เพิ่มแล้วอย่างนั้นเหรอ"ธิดาวันอาทิตย์เช็ดเลือดที่หน้าผากตนมาดูแต่ก็ไม่มีทีท่ากังวลต่อบาดแผลตนแต่อย่างใด กลับเห็นแต่อีกฝั่งที่มีแผลเป็นบนแก้มขวาแล้วยังไม่พอ ดันหาเรื่ิองจะสร้างแผลเพิ่มอีก
"แล้วจะทำไม เราทำให้เจ้าเจ็บตัวได้ก็พอแล้ว"ดูท่าจะไม่สนวิธีการเอาเสียเลยซะด้วยสิ
"เราเจ็บตัวเจ้าก็เจ็บตัวมันคุ้มค่าพอแล้วเหรอ" 
"คุ้มไม่คุ้มเดี๋ยวก็รู้กัน"ว่าแล้วเขาใช้พลังจากสังวาลย์ส่งไปยังร่ม จากร่มธรรมดาที่ประกอบด้วยผ้ากับไม้ไผ่กลายเป็นร่มโครงเหล็กที่ปูด้วยคมมีดแทนผ้าทั่วไปเสียแล้ว เมื่อทำเช่นนั้นเสร็จก็มุ่งหน้าเข้าทำร้ายอีกฝ่ายโดยการหมุนร่มเป็นวงกลมพร้อมกับฟาดเข้าไปที่ศัตรู โชคยังดีตรงจุดที่เขาฟาดลงไปนั้นตรงกับตำแหน่งของสังวาลย์ของแสงสุรีย์จึงพอจะต้านความรุนแรงไม่ให้เลือดตกยางออกได้ แต่ก็ได้รับความเจ็บช้ำที่ภายในอยู่พอสมควร
"ทำไมล่ะ เงียบไปเลยล่ะสิ เจ้าบอกให้ใช้ร่มก็จริงแต่ไม่ใช่แค่ร่มธรรมดานี่   ร่มเจ้าก็พังแล้วจะเอายังไงต่อไปดีล่ะ"เขามองไปยังร่มของอีกฝ่าย ด้วยความเร็วของเขาทำให้อีกฝ่ายตั้งรับแทบไม่ทัน ร่มก็พังไปเพราะตั้งรับนั่นเอง แต่มันน่าเสียดายที่เอาเลือดเอาเนื้อส่วนลำตัวไม่ได้อย่างที่ใจนึก
"ในเมื่อเจ้าไม่คิดใช้ร่มธรรมดามีหรือว่าเราจะทนใช้แบบธรรมดาต่อไปได้อีก" เธอทนเก็บความเจ็บปวดภายในไว้ก่อน เอาสถานการณ์ตรงหน้าให้ผ่านพ้นไปได้ดีกว่า
"มีอะไรก็ใช้มาเลยสิ" สิ้นคำของอริร้ายร่มของธิดาแห่งคีรีมาศก็ได้กลายเป็นเหล็กเช่นเดียวกันกับของอีกฝั่งไม่ผิดเพี้ยนจากกันมากนัก แต่อย่างไรเสียมันก็ต้องมีข้อแตกต่างอยู่แน่
"นี่ผู้เจริญด้วยสติปัญญา กับแค่เปลี่ยนร่มเนี่ยยังจงใจลอกเอาของคนอื่นไปใช้เอง ช่างเป็นคนที่เลิศล้ำฉลาดสุดสมกับเป็นพี่คนโตของบรรดลูกนอกไส้จริงๆ"
"มันช่วยไม่ได้นี่ กฎก็บอกอยู่ว่าต้องใช้อาวุธประเภทเดียวกัน การที่เราใช้ของแบบเจ้าก็ไม่ได้ผิดอะไร"
"เอาเถอะๆ ดูสิว่าเปลี่ยนของมาเหมือนเราแล้วเนี่ยจะมีปัญญาพอมาสู้กับเรารึเปล่า" ว่าแล้วเขาก็เหวี่ยงร่มไปปะทะกับอีกฝ่าย แต่หารู้ไม่ว่าอีกฝ่ายนั้นคิดหาวิธีที่จะรับมือตนได้ตั้งแต่เปลี่ยนรูปแบบอาวุธแล้ว
"เกรงว่าจะไม่เหมือนเท่าไหร่นะ"ระหว่างที่ใช้อาวุธฟาดฟันกันอยู่เธอก็ใช้พลังจากสังวาลย์มณีส่งไปยังร่มเหล็กของตน ด้วยความร้อนของพลังที่ราวกับเตโชทำให้ร่มเหล็กนั้นแดงเหมือนดาบที่กำลังถูกตีขึ้นรูป นั่นส่งผลให้ร่มของอีกฝ่ายได้รับความร้อนนี้ไปเช่นกัน แต่ในเมื่อยังดึงดันจะใช้ร่มตีปะทะซึ่งกันต่อไปแบบนี้ก็ไม่มีใครห้ามได้หรอก จนสุดท้ายที่ฟาดร่มใส่กันร่มที่ใช้ก็ได้แตกออกจากกัน จนทั้งสะเก็ดไฟและเศษที่แตกของเหล็กกระเด็นใส่ทั้งสองฝ่ายจนต้องล่าถอยออกจากกัน ยังดีที่ไม่ได้เข้าตาใครจนบอดแต่ก็สร้างความเจ็บปวดให้ทั้งคู่ไม่น้อยจนกระทั่งทั้งคู่ได้สงบไป
  ธงน้ำเงินถูกชูขึ้นเพื่อเป็นสัญญาณเรียกแพทย์อาสาให้เข้ามาช่วยเหลือทั้งสองคนที่สลบไปจากอาการบาดเจ็บ เมื่อเหล่าหมอมาถึงก็แบ่งกันพากลับไปกระโจมตามฝั่งของผู้สลบก่อน เพราะในท้องสนามที่รบรากันหลายชีวิตอาจไม่ทันสังเกตจนเผลอไปขวางการรักษาโดยที่ไม่รู้ตัวเลยก็เป็นได้
"แสงสุรีย์บาดเจ็บงั้นเหรอ" ติณกฤตสังเกตเห็นเหล่าแพทย์อาสามาพาตัวศิษย์ร่วมสำนักกลับไปยังที่พำนัก ตนก็อดที่จะสนใจไม่ได้ แต่มันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขานี่

"ได้เวลาแล้วจันทลักษณ์" สองพี่น้องที่หลีกเลี่ยงปะทะกับฝั่งศัตรูระดับฝีมือเดียวกันมาทั้งวัน เห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้วที่ต้องแอบเดินทางไปยังป่าหิมพานต์บริเวณอาศรมของฤษีอนุชิต จึงเรียกคุยกันผ่านการสื่อสารทางใจ
“ไปกันเลย” เมื่อตกลงได้ดังนั้นทั้งคู่จึงทำเป็นกลับไปในกระโจมเพื่อดูอาการของอัคนิน แต่ที่จริงก็จะเข้าไปจัดการกับคนที่ไม่มีทางสู้ก็เพียงแต่เท่านั้น

“แปลก วันนี้จันทลักษณ์ไม่มาสู้ตามคำท้าของเรา เมื่อวานสู้กันได้แต่เสมออยู่เลย”
“เมื่อวานเขาดูเลือดร้อนอยากจะสู้กับเจ้าด้วยสังวาลย์ให้รู้แล้วรู้รอดขนาดนั้นแท้ๆ” พุทธรัตน์เข้ามาเพื่อจะดูพวกพี่น้องปะทะฝีมือกันเหมือนที่ฟังจากเพชราหูสักหน่อย วันนี้กลับไม่ได้เห็นเสียแล้ว
“วันนี้ไม่สู้ ไม่แน่พรุ่งนี้อาจสู้ พวกเราแยกย้ายไปดูทางอื่นต่อดีกว่านะ”
“ได้ ดูแลตัวเองด้วยนะ”
“จินดาจะไปไหนน่ะ!!” โอรสวันพุธเห็นน้องสาววิ่งผ่านอย่างร้อนใจก็อดสงสัยไม่ได้
“แสงสุรีย์สู้กับอัคนินจนสลบ เราไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นยังไงบ้าง เราต้องไปดูนางก่อน”
“ว่ายังไงนะ” เขาได้ยินอย่างนั้นก็อดห่วงไม่ได้จึงตามไปดูใจทันที ปกติที่สู้กันไม่เห็นจะถึงขั้นสลบเลย หรือว่าอาจเป็นเพราะเป็นช่วงจิตใจสับสนว้าวุ่นด้วยรึเปล่า
…………….
ในขณะที่ทางนั้นกำลังวุ่นกับการรบบ้างดูคนเจ็บบ้างก็ไม่ทันได้สังเกตเท่าไหร่ว่าสองตัวปัญหาได้หายไปแล้ว
“พระโอรสพระธิดา เสด็จกลับมาแล้วเหรอเพคะ” บัวเข้ามาต้อนรับด้วยความดีใจ ไม่คิดเลยว่าในเวลาไม่ครบสองวันจะได้ข่าวดีเร็วขนาดนี้
“สไบทองอยู่ไหน” จันทลักษณ์เรียกชื่อคนที่ต้องการตัวอย่างห้วนๆผิดกับนิสัยดั้งเดิมของตนนัก
“พระมเหสี พระมเหสีกำลังประทับอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งทางนั้นน่ะเพคะ” เธอผายมือบอกไป แต่ก็แปลกใจว่าทำไมคำพูดน้ำเสียงดูแข็งกระด้างกว่าแต่ก่อนนัก
“สไบทอง!!” ปัทมาสน์เดินรุดหน้าไปยังที่ประทับของมเหสีไร้บัลลังก์ด้วยสีหน้าจริงจัง พอถึงที่หมายก็เรียกชื่อด้วยเสียงที่ดังคำราม ทำเอาคนที่ถูกเรียกตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“จันทลักษณ์ ปัทมาสน์ เกิกอะไรขึ้นทำไมดูไม่พอใจเราขนาดนั้น”
“ไม่ต้องพูดมาก” ว่าแล้วนรางยักษิณีก็เข้าบีบคอคนที่เป็นเป้าหมายทันที
“พระธิดาอย่าทรงทำเช่นนี้เลยนะเพคะ ปล่อยพระหัตถ์เถอะนะเพคะ” บัวแย้มเข้ามายื้อดึงแขนให้หยุดการกระทำแต่มันไม่ได้ผลเพราะเธอไม่มีแรงพอที่จะสู้
“น่ารำคาญ” เธอเปลี่ยนมืออีกข้างมาบีบแทนแล้วจึงเหวี่ยงแขนข้างที่คนห้ามจับอยู่
“อย่าช้าเลย เริ่มดีกว่า” คนสวมสังวาลย์บุษราคัมกล่าวไม่นานทั้งสองก็ใช้มือนคนละข้างชิงเอาดวงตาแต่ละดวงของสไบทองทองไปอย่างรวดเร็ว
“ไม่นะ!!” ภาพตรงหน้าทำเอาผู้ที่ล้มไปกองกับพื้นร้องลั่น ไม่นึกเลยว่าเวลาสั้นๆจะเกิดเรื่องขนาดนี้
“พวกเจ้าทำอะไรกันน่ะ” ท้าวนวดลวิ่งมาดูตามเสียงด้วยห่วงอันตรายที่จะเกิดขึ้น แต่นี่มันเกิดขึ้นไปแล้ว
“พวกเจ้ามันบ้าไปแล้ว แม้เราตายก็จะฆ่าเจ้าให้ได้” ชายชราให้มีดเข้าแทงหมายจะเอาชีวิตทั้งสองจึงถูกทำให้ทรมาน ฝ่ายหญิงชราก็รีบเข้าไปประคองบุตรีรีบพาหนีไปก่อนจะเล่นถึงชีวิต
“จะไปไหนกัน” ชายหนุ่มเห็นแบบนั้นก็อดจะตามไปไม่ได้ ขืนปล่อยไปง่ายๆก็แย่น่ะสิ
“พระโอรสพระธิดาช่วยด้วยเพคะ ช่วยด้วยเถอะเพคะ” บัวที่คิดได้ก็เรียกผ่านกำไลแก้วบุษบากรที่สามารถเรียกขอความช่วยเหลือไปถึงจินดาได้
“ทางนู้นเกิดเรื่องขึ้น บัวเรียกให้พวกเราไปช่วย” จินดาที่ห่วงพี่สาวเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากสตรีที่ดูแลเหล่าเชื้อกษัตริย์ในมิติก็วุ่นวายใจไปหมด
“มีคนบุกเข้าไปในมิติได้แล้วงั้นเหรอ” เมธาวีถามอย่างร้อนใจ มันเรื่องอะไรกัน
“พวกเราไปช่วยกันเถอะ จินดาเจ้าอยู่ที่นี่เถอะนะ”  ว่าแล้วเพชราหูก็ได้พาอังคาส ภูมินทร์ สุริยะ เมธาวีหายตัวไปยังมิตินั้นทันที
พอไปถึงเรื่องราวที่อยู่ตรงหน้าก็จบไปด้วยรอยยิ้มของผู้ถือชัยทั้งสอง พอทั้งหมดมาถึงทั้งคู่จึงออกจากมิติในทันทีโดยไม่ลืมจะทิ้งรอยยิ้มเยาะเย้ยไว้เป็นแผลในใจของบุตรของผู้ถูกกระทำอย่างไม่มีความรู้สึกละอายใจอยู่ในสายตาเลยสักนิด

----------------------------------------------------------------------------ทุกวันอาทิตย์ขอเปลี่ยนเวลาเป็น21.30น.แทนนะคะ
10
“บดิศร เจ้าคงไม่ได้กักขังเสด็จพ่อไว้ในพระตำหนักอย่างที่ธานินทร์พูดหรอกใช่มั้ย”สุริยะที่ใช้ดาบคู่สู้กับพวกคนอื่นมา ได้มาประมือกับน้องต่างมารดาเสียที แต่ก่อนที่จะได้เข้าต่อสู้กันก็อยากจะถามเพื่อให้แน่ใจว่ามันจะเป็นเพียงข่าวลือ
"ถ้าใช่แล้วจะทำไม" อีกฝ่ายตอบสิ่งที่คาใจของศัตรู ไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องปิดบังอยู่แล้ว
"เจ้าทำแบบนี้มันไม่ถูกต้องนะ เสด็จพ่อเป็นพระบิดาของเจ้า ตัวเจ้าเองก็รักและเทิดทูนพระองค์มาตลอด เหตุใดถึงทำเช่นนั้นโดยไม่ใยดีเลยล่ะ" เมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาก็ไม่สบายใจเป็นอย่างมาก ลำพังถ้าเป็นคนอื่นทำอย่างนี้ก็จะถือซะว่าเป็นคนอื่น แต่นี่เป็นลูกแท้ๆกลับลบลืมความผูกพันกักขังผู้บังเกิดเกล้า นี่มันจะมากเกินจากปกติวิสัยของอีกฝ่ายแล้วนะ ถึงเขาจะร้ายกับตนยังไงก็ไม่เคยร้ายต่อพ่อ แต่บัดเดี๋ยวนี้มันเกิดอะไรขึ้นกัน
"ก็ทำไปแล้ว เรื่องอะไรจะต้องใยดีกับคนที่ไม่เคยเห็นเราอยู่ในสายตาด้วย" เขาใช้ดาบเข้าฟันอีกคนอย่างไม่ยั้งมือ อีกฝ่ายก็ต้องคอยแก้คอยกันอันตรายที่เกิดจากตัวเขา
"แต่พระองค์เป็นพ่อเจ้านะ!!"
"พ่อ พ่องั้นเหรอ พ่อที่เนรเทศแม่ของเราไปอย่างไม่ใยดี พ่อที่ตัดขาดลูกเพียงเพราะเราขอติดตามแม่เราไปน่ะเหรอ พ่อที่ไม่เคยเห็นเราเป็นลูก คนแบบนั้นเราไม่เรียกว่าพ่อหรอกนะ" เขาได้จังหวะก็ชกเข้าที่ใบหน้าโอรสสุดที่รักของคนที่ตัวเองคิดน้อยเนื้อต่ำใจอยู่
"เราก็เคยถูกเนรเทศเหมือนกันกับเจ้ายังกลับมาเป็นครอบครัวเดียวกันกับเสด็จพ่อได้ เจ้าก็ต้องทำได้สิ" เขานำสองดาบมาไว้ที่มือข้างหนึ่งแล้วจึงใช้หมัดเหลี่ยมขวาตอบโต้กลับไป
"เจ้ากับเรามันไม่เหมือนกัน อย่ามาพูดหน่อยเลย" โอรสพิมาลาถีบอีกฝ่ายถลาออกห่างตัวไป ตนไม่สนใจคำพูดของศัตรูที่ตนเกลียดชังหรอก สิ่งที่ตนตัดสินใจจะไม่เปลี่ยนแปลง เพราะคนที่ได้ชื่อว่าพ่อใจแข็งใส่ก่อน เขาแค่ใจแข็งตอบก็ไม่เห็นจะผิดอะไร
"จริงอยู่ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเสด็จพ่ออาจจะผูกพันกับพวกเรามากกว่า แต่เจ้ารู้มั้ยว่าเสด็จพ่อน่ะยังรักและคิดถึงเจ้าตลอดเวลาเลยนะช่วงสิบปีที่ไม่ได้เจอกัน"
"อย่ามาพูดจาให้เราใจอ่อนหน่อยเลย รักและคิดถึงแล้วทำไมถึงไม่คิดจะตามหาเรา "
"ตามกลับได้ก็แต่เจ้าคนเดียวเท่านั้น เจ้าจะยอมกลับรึยังไง"
เขาฟังคำอีกคนก็เงียบไป ถึงมาหาแล้วยังไง ในเมื่อสุดท้ายถ้าจะให้ทิ้งครอบครัวอีกฝั่งตนก็ทำไม่ได้
"แน่นอนว่าไม่ แล้วสิ่งที่ตาของเจ้ากลับมาทำในรอบสิบปีล่ะ ดูสิขนาดไม่ตามเขายังมาราวีถึงบ้านเมืองเราจนวุ่นวายไปหมด"
"อย่างนั้นคนของเจ้าก็เลยสังหารท่านตาของเราอย่างไม่ลังเลเลยล่ะสิ" ฟังถึงคำของคนฝ่ายตรงข้ามตนก็รู้สึกโกรธยิ่งนัก ถึงเวลาจะผ่านมาเป็นเดือนๆแล้วแต่มันก็ทำใจลำบากที่คนในครอบครัวต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ วันนี้ยังต้องมาฟังคำต่อว่าของศัตรูพวกเดียวกับคนที่ฆ่าอีกเหรอ
"เดิมทีศนิวารไม่ได้อยากทำถึงขั้นนั้น แต่ท่านตาของเจ้าคิดจะเสื่อมเกียรติมารดาเราด้วยการให้แต่งงานกับเขา เจ้าเคยรู้เรื่องนี้บ้างมั้ย อีกอย่างยังดื้อดึงจะต่อสู้ จะให้คนของเราทนเป็นเบี้ยล่างให้อย่างเดียวรึยังไงกัน"
"เจ้าว่ายังไงนะ"เขาหยุดการประลองฝีมือ แล้วถามทวนสิ่งที่ได้ยินอีกครั้ง
"ตาของเจ้าที่เป็นท้าวนรราชบังคับแต่งงานกับมารดาของเรา"
"ไม่จริง เจ้าเอาอะไรมาพูด" ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ว่าเขาก็เชื่อไปบ้างบางส่วนแล้วเหมือนกัน เพียงแต่ไม่ยอมรับ
"เรากล่าวตามจริง พยานรู้เห็นในวังเต็มไปหมด" จะไม่ให้รู้ได้อย่างไร คนที่ซักถามเรื่องราวจากมารดาก็เป็นตนนี่เอง
"ใช่ ไม่เชื่อก็ไปถามพวกทหารรักษาการ นางกำนัลใดก็ได้ เขารู้กันทั่วทั้งนั้น แต่จะกล้าพูดรึเปล่านะมันอีกเรื่อง
ศนิวารตามมาสมทบตอนที่ได้ยินประโยคเน้นย้ำของสุริยะถึงพฤติกรรมตาเฒ่าหัวงูอย่างอดีตปุโรหิตสิระ
"แต่นอกจากพวกในนั้น เจ้ารู้รึเปล่าว่ายังมีผู้ที่จะช่วยตาของเจ้าได้อีกมากแต่ไม่คิดช่วยเพราะตัณหาของตาเจ้าเอง"
"เลิกว่าท่านตาของเราสักที"
"เลิกว่าก็ได้ แต่เราจะบอกอะไรให้นะว่าที่นั่นมีปัจจากับธานินทร์ดูสิ่งที่เราทำตลอด แต่เขาไม่ช่วยตาของเจ้าเลย"
"พอเถอะศนิวาร อย่าพูดถึงอีกเลย เท่านี้พวกเราก็ผิดมากเกินแล้วนะ"สุริยะคิดได้ว่ายิ่งพูดก็ยิ่งเสียไปกันใหญ่ อย่างนี้คงมองหน้ากันไม่ติดแน่ ลำพังสังหารก็ร้ายเหลือแสนแล้ว  นี่ยังมากล่าวาจาให้อีกฝั่งแตกสามัคคีกัน ตนไม่เห็นด้วย
 "ไม่จริง พวกเจ้าโกหก พวกเจ้ามันโกหก!!" บริศรฟังคำก็ไม่อาจยอมรับได้ มันเหมือนตนโดนหัก ไม่จริงหรอกมันต้องเป็นอุบาย อุบายของพวกนี้แน่ๆ เขาใช้พลังจากเกราะเหล็กเข้าโจมตีทั้งสองพี่น้องฝั่งตรงข้ามด้วยใจที่ไม่มั่นคง ทั้งสองร่วมกันรับพลังและต่อต้านได้ไม่ยากด้วยสภาพที่อ่อนแอของอีกฝั่งเช่นนี้
"กลับไปพักเถอะ เราไม่อยากสู้กับคนที่อ่อนแอหรอกนะ"โอรสวันเสาร์กล่าวกับคู่อริ
"ศนิวารอย่าเพิ่งไป ช่วยทำตามคำขอเราสักครั้งเถอะนะ"โอรสวันอาทิตย์ฉุดรั้งน้องชายตนให้กลับมาก่อน
"ก็ได้ ...บดิศร เรื่องในวันนั้นเราขอโทษจริงๆ เพราะเราบันดาลโทสะมากไป เรื่องนี้เรายอมรับผิด วันหลังค่อยมาสู้กันอย่างสมศักดิ์ศรีเถอะ" ถึงเรื่องสังหารนี้เขาจะมีส่วนผิดและรับผิดแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมก้มหัวให้กับความอยุติธรรมเช่นกัน อย่างไรเสียก็ต้องสู้กันอย่างสมศักดิ์ศรีต่อไป อย่าให้เรื่องนี้เรื่องเดียวมาทำให้เขาตกเป็นรองคนอื่นเลย
"ออกไปกันให้พ้น ออกไป" เขาหมดเรี่ยวแรงจะสู้ต่อแล้ว ความผิดหวังนี้มันอะไรกัน จิตใจเขาอ่อนแอได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ
"รักษาตัวด้วย เราขอโทษที่พูดเรื่องปุโรหิตสิระขึ้นมาอีก"สุริยะไม่คิดสู้ต่อด้วยรู้สึกผิด เขาไม่น่าพูดเรื่องนั้นเลยจริงๆ
"อาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว หมดเวลาทำการรบวันที่หนึ่ง โปรดจงวางมือกลับไปพักผ่อน ห้ามก่อศึกจนกว่าจะถึงอีกวัน" เสียงเป่าสังข์ส่งสัญญาณหมดเวลาพร้อมกับคำประกาศผู้สังเกตการณ์ ทั้งหมดจึงแยกย้ายไปยังที่พักที่จัดเตรียมไว้
"เจ้า เจ้าเป็นอะไรไปน่ะ กลับก่อนเถอะ"ปัทมาสน์เข้าไปประคองคนใจเสียที่นั่งกองกับพื้นให้ลุกขึ้นมาก่อนจะพาไปพักผ่อนในกระโจมที่เตรียมไว้ให้ อย่างน้อยในวันที่หมดหวังก็ยังพอมีสหายอยู่บ้างสินะ
"ยังดีที่วันนี้ไม่มีใครล้มตายไปเสียก่อน"แสงสุรีย์พูดอย่างวางใจ ก็ยังดีที่ศึกวันแรกยังไม่ได้คร่าชีวิตของใครไปแม้แต่คนเดียว
"ถึงไม่มีใครล้มตายแต่มีคนล้มลง เราเพิ่งเห็นบดิศรอ่อนแอแบบนี้เลยนะ" อันติมะกล่าว ตอนอยู่ศาศวัตบุรีเขาก็แอบสังเกตตัวคนที่กล่าวถึงอยู่มาตั้งเป็นสิบๆปี  ทั้งยังเห็นเวลาที่ต่อสู้มาแล้วอย่างแน่วแน่ ไม่น่าจะจิตใจบอบบางขนาดนั้นได้นะ
"เขาคงจะผิดหวังเสียใจ"สุริยะตอบเสียงเศร้าด้วยความรู้สึกผิด จิตใจก็อ่อนแอไม่แพ้กัน
"ไม่เห็นจะต้องไปใส่ใจคนฝั่งนั้นเลย เจ้าจะเสียใจไปทำไมกัน " อังคาสกล่าวหลังจากเห็นท่าทีของคนก่อนก่อนหน้า
"นั่นสิ ทีฝั่งเรามีปัญหา ฝั่งนั้นก็พร้อมจะหัวเราะทุกเมื่ออยู่แล้ว"ประกายพฤกษ์ก็เห็นด้วยกับคำของโอรสวันอังคาร
"ยังไงเขาก็เป็นสายเลือดเดียวกับพวกเรา จะไม่ให้ให้ห่วงเลยก็คงจะไม่ได้"
"เอาเถอะ เจ้าจะเสียใจก็ไม่ว่า แต่อย่าให้มันมากเกินล่ะ" อันติมะลูบหลังปลอบใจสุริยะ เธอไม่รู้ว่าทำไมคนที่ถูกเกลียดอย่างเขาถึงต้องผูกพันกับอีกฝ่ายขนาดนี้ อาจจะมีเรื่องฝังใจอยู่แต่ยังเล่าไม่ได้ คงต้องรอเวลาเขาทำใจก่อน จากนั้นค่อยถามย้อนหลังเอาก็แล้วกัน
"จินดา กินอะไรสักหน่อยเถอะนะ" ภูมินทร์ห่วงคนของตนก็ห่วงแต่ก็มีคนรุมล้อมบ้าง แต่อีกคนที่ตนห่วงไม่แพ้กันก็คือสหาย ถึงเธอจะไม่ร้องไห้ แต่เธอก็ทุกข์ใจจนกินไม่ได้เลยนี่สิ
"ไม่ดีกว่า เราไม่หิว" เธอไม่สนใจอาหารที่เตรียมมาให้ของสหายเลยสักนิดแต่กลับครุ่นคิดถึงเรื่องพี่ๆทีาแปรเปลี่ยนไปจากเดิม
"อย่าทำทรมาณตัวเองเลย เรารู้ว่าเจ้าทุกข์ใจ แต่อย่าได้พากายทุกข์ไปด้วยเลยนะ" เขาไม่ยอมแพ้ซ้ำยังตักข้าวมารอป้อนตรงหน้า คะยั้นคะยอจะให้กินให้ได้ เพื่อไม่ให้เขาไม่สบายใจไปมากกว่านี้ธิดาวันพฤหัสบดีจึงยอมกินข้าวที่เขาป้อนให้
"ดูท่าแล้วทั้งสองคงโดนมนต์สะกด อย่าได้ร้อนรนใจไปเลยนะ เราเชื่อว่ายังไงก็ต้องมีทางแก้" เพชรราหูมาดูน้องสาวด้วยใจเป็นห่วง ถึงปกติจินดาจะมีสติที่สุดในบรรดาพี่น้องก็ตาม แต่พอถึงเวลาเสียใจจิตใจของเธอก็ไม่อาจข่มให้นิ่งได้หรอก
"ขอเพียงเจ้ารักษาสุขภาพกายใจให้ดี พวกเราจะร่วมมือกันพาพวกเขากลับมาให้ได้" จันทราภาเข้ามาช่วยดูใจ ถ้าสองคนนี้ไม่ไหวก็แย่น่ะสิ ทั้งหมดก็อดห่วงคนจิตใจอ่อนแอไม่ได้เลย พากันว้าวุ่นไปหมด ขอเพียงสักราตรีนี้ให้เสียใจส่วนวันต่อไปจะเช่นเช่นไรก็พร้อมจะน้อมรับ เมื่อปลอบใจคนทั้งสองเสร็จทั้งหมดจึงแยกย้ายไปพัก อย่างไรเสียวันพรุ่งทั้งสองคนจะต้องกลับมาเป็นปกติดังเดิมได้แน่
“เป็นอะไรไปดูท่าไม่ดีเลยนะเจ้าน่ะ”อัคนินเข้ามาดูอาการของสหายร่วมเป็นตาย แต่คราวนี้ดูท่าสหายจะดูอิดโรยคล้ายจะตายไปก่อนตนอย่างนั้น
“ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของเรา”
“ตามใจ นี่เห็นว่าอารมณ์ไม่ดีเราถึงยอมอ่อนให้ไม่ต่อล้อต่อเถียง แต่ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปเราจะมาหัวเราะเยาะเจ้าไม่เว้นวันแน่..ไปหาฉันทนาดีกว่า”
“เจ้าน่ะ กินอะไรสักหน่อยสิ” สหายยักษิณีนำอาหารมาให้เพราะเห็นว่าไม่ยอมกินตั้งแต่กลับมา แต่ทำไมท่าทีมันดูห่างเหินจังนะ
“ไม่ล่ะ”
“อะไรของเจ้า… เจ้า บดิศรใช่มั้ย เราไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าไปฟังคำอะไรพวกนั้นถึงสะเทือนใจมา แต่ว่าเราอยากให้เจ้าคิดถึงตัวเองให้มากหน่อย ดูสิเนี่ยปล่อยเนื้อตัวเป็นแผลที่คออยู่ได้” เธอไม่พูดเปล่ายังใช้มือมาจับยังแผลเป็นสายฟ้าที่ข้างคออีกคน
“แผลเป็นหรอกเหรอ..  นี่เจ้าดูแลตัวเองหน่อยสิ จะรอให้ใครมาดูแลกัน ข้าวปลาหัดกินซะบ้าง” พอรู้ว่าเป็นแผลเป็นเธอก็เปลี่ยนเรื่อง เอาอาหารมาส่งให้กับมือ
“กินเถอะน่าไม่ใส่ยาพิษหรอก รักษาตัวให้ดี ถ้าไม่ไหวพรุ่งนี้ก็ไม่ต้องสู้เข้าใจมั้ย” เธอวางอาหารข้างๆคนบนแท่นบรรทม ตัวเองไม่ใช่ผู้จะมาง้องอนใครอยู่แล้ว ไม่คิดตอบอะไรตัวเองก็ไปดีกว่า ไม่มีเหตุผลต้องอยู่นี่

“เสด็จพ่ออยากให้หม่อมฉันกับน้องชิงเอาดวงตาของหญิงที่ชื่อสไบทองเหรอพระเจ้าค่ะ” จันทลักษณ์ทวนสิ่งที่ได้ยินอีกครั้ง
“ถูกต้อง พ่อจะใช้ดวงตานางมาทำเนตรสะกดใจให้เจ้าสองพี่น้อง และทำให้พวกนั้นบาดหมางกันด้วย” เพิ่งจะผ่านศึกไปวันเดียวนาคผู้นี้ก็คิดจะก่อความวุ่นวายเสียแล้ว หรือว่านี่จะเป็นเรื่องที่ฤษีมฤคินทร์เตือนเอาไว้กันนะ

------------------------------------------------------------------------------------------อัพเดตทุกวันอาทิตย์ช่วงเวลาประมาณ21.00น.โดยประมาณนะคะ
หน้า: [1] 2 3 ... 10