ยินดีต้อนรับสู่บ้านอบอุ่นของคนรัก บอย สพล ชนวีร์

"แก้วมิ่งเมือง"<แก้วระมิงค์>

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ เจ้านางน้อยระยิบมิบมับ

  • *
  • 7
  • 0
  • เพศ: หญิง
  • รับจ้างฟ้อนทั่วราชอาณาจักร
    • อีเมล์
"แก้วมิ่งเมือง"<แก้วระมิงค์>
« เมื่อ: ธันวาคม 18, 2009, 01:41:52 AM »

หนึ่ง "นาง" ถูกส่งมาเป็นเครื่องราชบรรณาการ
หนึ่ง "นาง" คือสมบัติอันพึงได้แต่กำเนิด
แต่ "นาง" ทั้งสองมีชีวิตและจิตใจ หาใช่หินศิลาแลง


.........เมืองอินทร์ แคว้นใหญ่ที่ปกครองเวียงเล็กๆในแถบลุ่มแม่น้ำทางตอนเหนือของล้านนา เมื่อเจ้าหลวงผู้ปกครององค์เก่าสิ้นบุญลง  ความเปลี่ยนแปลงต่างๆจึงเกิดขึ้นภายใน เจ้าอุปราชที่ได้แต่งตั้งขึ้นนั่งเมืองแทนเจ้าหลวงองค์เก่าคือผู้เป็นน้อง ชาย  เจ้า เมืองเวียงใหญ่น้อยที่ขึ้นกับเมืองอินทร์จึงต้องเดินทางขึ้นมาเพื่อสาบานตน ต่อเจ้าหลวงองค์ใหม่ พร้อมด้วยเครื่องราชบรรณาการ หากแต่ “เครื่องราชบรรณาการ”  ที่เวียงใหญ่น้อยส่งขึ้นมายังเมืองอินทร์นั้นเป็น “เครื่องราชบรรณาการ” ที่มีชีวิตและลมหายใจเล่า นางเหล่านั้นมี “สิทธิ” ที่จะเลือกได้หรือ? ในเมื่อนางไม่มี “สิทธิ” ที่จะ “เลือก” ตั้งแต่ถือกำเนิดมาเป็นอิสตรีผู้เป็นซึ่งดวงแก้วรัตนะของนครแต่บัดนั้นแล ........


ตอนที่ 1 จำใจพรากจากเวียงแก้ว

‘หอมเอยหอม  พยอมดอกแก้ว  เสียงไก่ขันแล้ว  ข้าขออำลา
แหงนมองผ่ดาว  พร่างพราวบนฟ้า  แหมกำคงลา  หายลับกลับไป
น้ำอบน้ำปรุง  หอมฟุ้งลอยไกล๋  วันนี้ต้องไป  เป๋นข้าเมืองอินทร์
ภาระหน้าที่  มากมีบ่สิ้น  แทนคุณแผ่นดิน  หื้อได้เป๋นไท’

     เสียงขับกวีลอยผ่านมายังห้องไม้สักทอง ที่ประดับตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม ร่างบางของสตรีสูงศักดิ์นางหนึ่งยังคงนั่งอยู่บนตั่งไม้หน้าคันฉ่อง หยาดน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลอาบสองแก้มนวลๆ  ในหน้างามขำที่เคยยิ้มแย้มสดใสเมื่อแต่ก่อนนั้น เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตามาหลายวันแล้ว ข่าวการส่งอัครราชธิดาไปเป็นเครื่องราชบรรณาการแก่เจ้าฟ้าเมืองอินทร์องค์ ใหม่สร้างความโศกเศร้าให้แก่ชาวเมืองเชียงรุ้งเป็นอย่างมาก เจ้าหญิง ผู้เป็นดั่งดวงแก้วรัตนะของชาวเมืองจักต้องตกไปอยู่ใต้บาทเมืองด้าว ใครเล่าจักทนได้ แม้ผู้เป็นบิดาจักเป็นฝ่ายส่งลูกสาวไปก็มิอาจทนต่อความเจ็บปวดได้ดอก แล้วผู้เป็นมารดาเล่าจะเสียใจเพียงไร มิร้องไห้เป็นลมไปเสียหลายครั้งหลายคราเทียวหรือ แต่จักให้ทำอย่างใดได้ในเมื่อนางเกิดมาพร้อมภาระหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่เหลือ เกิน
"เจ้านางน้อยเจ้า เสียงไก่ขันแล้ว ล้างหน้าล้างตาเสียเถอะเจ้า"เสียงของคำหล้านางกำนัลชั้นสูงผู้เป็นถึงพระพี่ เลี้ยงของเจ้าหญิงอัครราชธิดากล่าว แม้ใจนั้นอยากจะปลอบประโลมเจ้านางผู้เป็นดั่งแก้วตาของนาง แต่ก็กลัวว่าจักเสียฤกษ์งามยามดีที่โหรหลวงได้บอกกล่าวเอาไว้ ซึ่งตัวของนางเองก็ต้องตามเจ้านางน้อยของนางไปเมืองอินทร์เช่นกัน แต่ก็มิรู้ว่าจักได้รับใช้เจ้านางน้อยของนางเช่นเดิมหรือไม่ ชาวเมืองต่างก็โจทกันว่าเจ้าฟ้าเมืองอินทร์องค์ใหม่แลก็โหดร้ายกว่าเจ้าฟ้า องค์ก่อนนักแล สงสารก็แต่เจ้านางน้อยของตน
"พี่คำหล้า.." เกศแก้วโผเข้ากอดพี่เลี้ยงของตน พลางสะอื้นไห้ปานจักขาดใจตายเสียให้ได้ ในใจหนึ่งก็คิดพาลโกรธพระบิดาที่ส่งนางไปเป็นข้าบาทบริจาริกาเมืองอินทร์ เพื่อให้ฝ่ายนั้นตายใจว่าเชียงรุ้งยอมศิโรราบแล้ว แต่ในความจริงนั้นส่งนางไปเพื่อปิดหูปิดตาเจ้าฟ้าเมืองอินทร์มิให้รู้ว่า เชียงรุ้งได้ส่งราชโอรสองค์เล็กไปศึกษาเล่าเรียนที่เมืองมัณฑ์ หากแต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกยินดี  ที่ได้ทำเพื่ออิสรภาพของบ้านเมือง โดยหวังเพียงว่าการเสียสละของนางจะทำให้พระอนุชาสำเร็จการศึกษากลับมาประกาศ อิสรภาพให้แก่เชียงรุ้งโดยเร็ววัน เมื่อถึงวันนั้นตัวนางก็ขอเพียงได้ฝังกายอยู่ภายใต้ผืนแผ่นดินเชียงรุ้งก็พอ
    สายลมเมื่อยามใกล้รุ่งพัดโชยเอากลิ่นดอกพยอมหอมฟุ้งลอยผ่านมาทางบัญชรไม้ แกะสลักลวดลายอันเป็นสัญลักษณ์ของเมือง  แสงอาทิตย์เมื่อยามรุ่งทอประกายเลื่อมๆดั่งทองคำงดงามยิ่งนัก ท้องฟ้ายามนี้หากเป็นแต่ก่อนนางก็คงจักมองดูงดงามอย่างหาอะไรเปรียบมิได้ แต่บัดนี้นางจักต้องลาไกลจากบ้านจากเมืองนับหมื่นๆโยด คงมิได้เห็นท้องฟ้าของเชียงรุ้งอีกแล้ว ยิ่งคิดก็พาลน้ำตาที่หยุดไหลก็ไหลลงอบสองแก้ม นางมองตัวเองผ่านกระจกเงา เส้นผมที่เคยปล่อยยาวสยายจนถึงสะโพกบัดนี้ถูกนางคำหล้าพระพี่เลี้ยงมวยเกล้า ไว้เสียด้านหลัง แลโพกพันทับด้วยผ้าไหมดิ้นทองหนาเสียหลายชั้น นางคำหล้าบอกนางว่าเดินทางหลายวันจักถูกน้ำค้างไม่สบายเอา ดูแล้วก็หนักเอาการอยู่ ชุดเสื้อและซิ่นสีชมพูปักดิ้นก็ช่วยขับผิวขาวๆของนางให้ดูขาวมากยิ่งขึ้น ใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มด้วยแป้งแม้จะทำให้นางงดงามยิ่งแล้วนั้น  แต่ดวงตาก็ยังคงบวมช้ำเนื่องจากผ่านการร้องไห้มาตั้งแต่คืนวาน
"เจ้าเกศแก้วเจ้า เจ้าหลวงหื้อมาเชิญเจ้า ใกล้ถึงฤกษ์ปล่อยขบวนแล้วเจ้า" นางกำนัลนางหนึ่งเข้ามาบอกนาง
"ขอบใจ๋หลายเน้อ บัวไร" นางคำหล้ากล่าว พลางหันไปหาเจ้านางน้อยของตนดูว่าเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือยัง
"ถึง เวลาแล้วเจ้า เจ้านางน้อย" ถึงเวลาแล้วจริงๆ ถึงเวลาที่จะต้องจากแผ่นดินเชียงรุ้งแล้วจริงๆ ไม่รู้ว่านับจากนี้ต่อไปจักได้มีโอกาสกลับมาเหยียบแผ่นดินเกิดของนางอีก เมื่อใด น้ำตาเม็ดโตก็พร่างพรูออกมาอีกครา มือเรียวปาดหยดน้ำตาจนเหือดแห้ง พลางสูดลมหายใจเข้าไว้เสียเต็มที  ก่อนจะย่างออกจากห้อง นับจากนี้ต่อไปทุกก้าวที่นางย่างเดินนางจักแบกแผ่นดินเชียงรุ้งและเสรีภาพ เชียงรุ้งไว้บนบ่าของนาง นี่แหละ คือภาระและหน้าที่ ของเจ้าหญิงอัครราชธิดา แห่งเชียงรุ้ง ที่มีนามว่า"เกศแก้วมิ่งเมือง"
..............................................................................

'นางแลเหลียวดูหลังยังอ้างว้าง    แสนเคว้งคว้างเอกาน่าหม่นหมอง
จำต้องห่างพรัดพรากจากเวียงทอง     ไปเป็นข้ารองบาทด้วยจนใจ
อยากจะหนีอยากจะขัดยากจะพ้น     จำฝืนทนแบกภาระอันยิ่งใหญ่
ด้วยหน้าที่ราชย์บุตรีเหนือหญิงใด     เพื่อบ้านเมืองจักได้เป็นไทตน'

เจ้า เกศแก้วชะเง้อมองดูเบื้องหลังอยู่หลายครั้งหลายครา  ยอดหอคำหลวงก็ห่างไกลสายตานางไปเรื่อยๆ ใจหายเสียทีเดียว ตั้งแต่เล็กจนโต มิเคยได้ห่างคุ้มหลวงมาไกลมากเพียงนี้  ยิ่งต้องห่างจากเจ้าพ่อและเจ้าแม่อีก นางยังจำภาพพระบิดาแลพระมาดาได้ติดตา ครั้งแรกเลยทีเดียวที่นางได้เห็นน้ำตาของเจ้าฟ้าเชียงรุ้ง เมื่อตอนที่นางสยายผมเช็ดบาทให้แก่เจ้าพ่อ ส่วนเจ้าแม่นั้นร้องไห้จนล้มพับลงนางข้าหลวงต้องพยุงขึ้นหลายคนอยู่ ยิ่งนึกน้ำตานางก็พาลจะไหล ใจนางนั้นอยากจะหนีออกจากขบวนกลับไปกอดเจ้าแม่เสียให้หายเศร้า แต่ก็คงเป็นไปไม่ได้ จักเอาความรุ้สึกส่วนตัวมาก่อนความสุขของชาวเมือง มันเป็นการกระทำที่อัครราชธิดาไม่พึงกระทำ
'จำไว้นะเกศแก้ว เจ้าเป็นพี่จะต้องเสียสละหื้อน้อง' เสียงของเจ้าแม่ยังคงก้องอยู่ เสียสละ นางเสียสละเพื่อหน่อแก้วมาตั้งแต่นางจำความได้ และนี่ก็เป็นครั้งสุดท้ายที่นางต้องเสียสละเพื่อน้องชายที่นางรัก
'เกศ แก้ว น้องสัญญาว่าหากน้องประกาศเป็นไท ไม่ขึ้นกับเมืองอินทร์ได้เมื่อใด น้องจักไปรับพี่กลับมา'หน่อแก้วสัญญากับนางอย่างหนักแน่น เขารักพี่สาวมาก นางทำเพื่อเขาได้ทุกอย่าง แม้ยอมตายแทนนางก็ทำให้เขาได้
'พี่เชื่อน้อง หน่อแก้ว พี่เชื่อว่าน้องทำได้' นางมั่นใจว่าจะเป็นอย่างนั้น พ่อหมอทำนายไว้แล้วว่า หน่อแก้วจักประกาสอิสระภาพให้แผ่นดินเชียงรุ้งได้ นางจึงยอมไปเป็นข้าบาทเมืองอินทร์ ยอมลดเกียรติเจ้าหญิงแห่งเชียงรุ้ง
'พี่ รอน้องนะ น้องจะไปรับพี่กลับมา มาเป็นดวงแก้วของเชียงรุ้งเหมือนเดิม' น้ำตาที่เคยเหือดแห้งก็ไหลออกมาอีก นางคำหล้าจึงส่งผ้าแพรเช็ดหน้ามาให้นาง
"พี่ขอแค่ได้กลับมาตายบนแผ่นดินของเชียงรุ้งก็พอ หน่อแก้ว"นางเอ่ยออกมาจนทำให้นางคำหล้าตกใจ
"เจ้า นางน้อยพูดอย่างไรแบบนั้นเจ้า มันบ่ดี เฮากำลังจะต้องไปไกลแคว้น อู้เรื่องบ่ดี มันขึด*นาเจ้า" เจ้าเกศแก้วเองก็รู้ว่า การออกเดินทางมาแบบนี้ควรจะกล่าวแต่เรื่องดีๆ แต่จะให้นางร่าเริงอยู่ได้อย่างไร ในเมื่อใจนางยังเศร้าอยู่เพียงนี้
"บ่ เห็นยอดหอคำหลวงแล้ว พี่คำหล้า บ่เห็นเชียงรุ้ง" เจ้านางน้อยของคำหล้าอุทานออกมา ในมือก็กุมหอผ้าไหมดิ้นทองที่นางกอบเอาดินจากเชียงรุ้งมาห่อใส่เอาไว้ ในใจก็หวาดหวั่นเสียเหลือเกิน หนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไรก็มิรู้ได้ เจ้านางหลวงทีนุ่นจักใจดีเหมือนเจ้าแม่ของนางหรือไม่ นางก็มิอาจคาดเดาได้ จากที่เคยเป็นถึงอัครราชธิดาผู้สูง่าง ในการณ์ข้างหน้าอีกไม่กี่วันคืน นางต้องไปเป็นน้อยเขาเสียแล้วไปเป็นข้าบาทบริจาริกาของเมืองอินทร์เสียแล้ว ยิ่งนึกก็น่าสดสูใจยิ่ง ขบวนช้างเดินทางห่างไกลมาเรื่อยๆ จากที่เคยเป็นทุ่งโล่งกว้างบัดนี้ก็มีแต่ต้นไม้ เสียงลิงค่างบ่างชะนีต่างก็แตกตื่น เจ้าเกศแก้วยิ่งกำห่อผ้าไว้เสียแน่น ไม่มีน้ำตาอีกแล้ว นางจะไม่ร้องไห้อีก นางพูดกับตัวเอง แต่นี้ต่อไปทุกอย่างที่นางจะกระทำ นางจะทำเพื่อเชียงรุ้ง
..............................................................................
[/font][/size]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 27, 2010, 01:45:47 PM โดย soyraming »
salawalai >>รับจ้างฟ้อนทั่วราชอาณาจักร

ออฟไลน์ กาฬฯ

  • *
  • 6333
  • -4
  • เพศ: หญิง
  • ஐ~ เผ่าพันธุ์นาคีซ่อนพิษไว้เสมอ ~ஐ
Re: "แก้วมิ่งเมือง"<แก้วระมิงค์>
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ธันวาคม 18, 2009, 03:07:45 PM »
เอ  คุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนป่ะคะ  เรื่องนี้

ชื่อคุ้นๆ เหมือนเคยเจออ่ะ
**จักรวาลนี้กว้างไกลแลไพศาลนัก เราเป็นเพียงละอองธุลีอันน้อยนิดล่องลอย ยากที่จะเรียนรู้ทุกสรรพสิ่งให้จบครบสิ้น
สิ่งที่เรามิเคยเห็น ใช่ว่าจะมิมี แลสิ่งที่มิเคยได้ประสบ ก็ใช่ว่าจะมิเคยเกิดขึ้น**

ออฟไลน์ rainbow

  • *
  • 2482
  • 0
  • เพศ: หญิง
Re: "แก้วมิ่งเมือง"<แก้วระมิงค์>
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ธันวาคม 18, 2009, 05:33:50 PM »
สนุกกดีค่ะ มาต่อไวๆนะ :icon_evil:
เมื่อไร้รัก   ไร้ชีวิต   ไร้จิตใจ

ยังอยู่ได้   แค่ร่างกาย    ไร้วิญญาณ

ออฟไลน์ เจ้านางน้อยระยิบมิบมับ

  • *
  • 7
  • 0
  • เพศ: หญิง
  • รับจ้างฟ้อนทั่วราชอาณาจักร
    • อีเมล์
Re: "แก้วมิ่งเมือง"<แก้วระมิงค์>
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ธันวาคม 20, 2009, 12:45:07 PM »
ตอนนี้กำลังโพสต์ไว้ในเด็กดีค่ะ แก้วมิ่งเมือง - http://writer.dek-d.com/salawalai/writer/view.php?id=565637 นามปากกา "สลาวลัย" ว่างๆเเวะไปให้กำลังใจด้วยนะคะ เป็นเรื่องแรกที่เขียนได้หลายตอน เพราะเรื่องๆวางพล๊อตเรื่องเอาไว้แล้วเขียนเป็นนิยายไม่ได้(ความอดทนมันสั้นอ่ะ) :icon_mrgreen:


ตอนที่ 2 พระคู่หมั้น

แสงอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าไปแล้ว เหล่าทหารนางข้าไทที่ตามขบวนมาก็ตั้งพลับพลาเพิงพัก ลมหนาวพัดจอยมาเย็นแล้ว มิรู้ว่าพี่แก้วจักเป็นอย่างใด อุปราชน้อยครวญคิดอย่างหนักใจ เขาเติบโตมากับพระพี่เจ้าด้วยวัยที่ห่างกันเพียงหนึ่งปีจึงถูกเลี้ยงดูมา ด้วยกันเยี่ยงสหาย เกศแก้วยอมเสียสละให้เขาได้เสมอ ครานี้ก็ยอมสละความสุขส่วนตนเพื่อให้เขาได้ไปเรียนวิชาที่เมืองมัณฑ์       
“น้อง จักไม่ยอมให้ความเสียสละของพี่ต้องสูญเปล่า เกศแก้ว” เขากล่าวกับตนเอง สายตานั้นจับจ้องมองพระจันทร์ คืนนี้จันทร์งดงามยิ่งนัก หากแต่อีกฟากของดอยม่อนนี้คงมีแต่คราบน้ำตาของพี่สินะ เกศแก้ว
“เจ้าอุปราชเจ้า” เสียงหนุ่มวัยฉกรรจ์คนหนึ่งคลานเข้ามาภายในพลับพลา อายุนั้นเล่าก็ดูมากกว่าผู้ที่ดำรงยศใหญ่โตเสียเกือบเท่าตัว
“มีอะไร บุญมา”หนุ่มน้อยกล่าวถาม
“ข้า เจ้าหันเจ้าน้อยเหม่อ เลยอดห่วงบ่ได้”สรรพนามแทนตัวของเจ้านายถูกเปลี่ยนเสียโดยพลันเพราะความเคย ชิน ด้วยตำแหน่งเจ้าอุปราชนั้นพึ่งถูกแต่งตั้งขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ บุญมาเป้นพระพี่เลี้ยงของเจ้าน้อยอุปราชเช่นเดียวกับคำหล้า
“เฮาบ่เป็นหยังดอก บุญมา” “เกศแก้วเสียอีก ที่น่าห่วง บ่รู้ว่าทางนู้นจักยกเกียรตินางเยี่ยงเชียงรุ้งหรือไม่”
ก็คงจักยกเกียรติเจ้านางน้อยเช่นเดิมล่ะเจ้า”บุญมากล่าวจากใจจริงเช่นเดียวกับชาวเมืองเชียงรุ้งที่หวังว่าจักเป็นเช่นนั้น
“ไป เป็นน้อยเขานี่นะ คงจักยกเกียรติเจ้าฟ้าให้อยู่ดอก”นัยน์ตาหนุ่มน้อยวัยสิบสองปีเต็มไปด้วย ความเคียดแค้น ชิงชังเจ้าฟ้าเมืองอินทร์ เสียเต็มประดา
“เฮาจักไปเยี่ยม เจ้าอาสร้อยฟ้าที่เชียงแก้วก่อนจะไปเมืองมัณฑ์” หนุ่มน้อยกล่าว เจ้านางสร้อยฟ้าเจ้านางหลวงแห่งเชียงแก้วที่เขากล่าวถึงคือน้องสาวของราช บิดาเขานั่นเอง
“ไปทำไมเจ้า หนทางไปเชียงแก้วนั้นมันคนละเส้นทางกับหนทางไปเมืองมัณฑ์เลยนะเจ้า  แถมยังอยู่บนดอยแหม เจ้าน้อยจักลำบากนาเจ้า” บุญมากล่าวเนื่องจาการจะไปเชียงแก้วได้นั้นจักต้องเดินทางแรมเดือนกว่าจัก ถึงแล้วต้องอ้อมกลับมาก่อนจะไปเมืองมัณฑ์
“เฮาบ่กลัวลำบากดอก เดินทางไปไปแค่บ่กี่วันคงจักถึง เกศแก้วเสียอีกบ่รู้ว่านานเพียงใดจึงจักถึงเมืองอินทร์” เขากล่าว
“เจ้า ไปบอกขุนหลวงแสนว่าเฮาจะไปเยี่ยมเจ้าอาสร้อยฟ้าที่เชียงแก้วเสีย” พูดจบเจ้าอุปราชหน่อแก้วก็เดินออกจากพลับพลาที่พักไปยังม้าตัวโปรดของตน ส่วนบุญมานั้นรู้ว่ามิอาจทัดทานความต้องการนายตนได้จึงจำต้องทำตามคำสั่งดัง ที่เจ้าอุปราชต้องการ
    ขบวนเจ้าอุปราชหน่อแก้วแห่งเชียงรุ้งเคลื่อนขบวนข้ามป่าเขาลำเนาไพร อีกไม่กี่ราตรีคงจักถึงเชียงแก้ว แต่พี่แก้วของน้องเล่าอีกกี่สิบกี่ร้อยราตรีจึงจักถึงเมืองอินทร์  พี่จักเป็นอย่างไรบ้างหนอ จะคิดถึงน้องบ้างไหม เกศแก้ว...
...

    น้ำค้างยามราตรีที่จับอยู่ปลายยอดหญ้างดงามราวกับเพชรเม็ดงามกลางป่า ร่างบางของสตรีสูงศักดิ์ยืนเหม่อมองดูพระจันทร์  คิดถึงเหลือเกินคิดถึงเชียงรุ้ง
    “เจ้าเกศแก้วเจ้า น้ำเหมยลงขนาดนี้ มายืนอยู่หยังนี้เจ้า  เสื้อของเจ้าก่บางนัก” นางคำหล้ากล่าวพร้อมกับนำผ้าฝ้ายผืนหนาคลุมร่างให้นาง
    “น้องกึ๊ดเติงหาบ้าน ปี้คำหล้า”เกศแก้วกล่าวพร้อมกระชับผ้าคลุมเข้าหาตัว
    “ข้าเจ้าก่กึ๊ดเติงเจ้า แต่เฮามาถึงขนาดนี้แล้วจะย้อนปิ๊กคืนคงบ่ได้แล้ว ต่อไปนี้ทุกอย่างตี้เจ้านางจักต้องทำคือทำเพื่อเจ้าอุปราชนาเจ้า”คำหล้า กล่าว นางเองก็คิดถึง คิดถึงบ้าน คิดถึงพ่อแม่ ไหนจะคนรักของนางอย่างบุญมาอีกชาตินี้คงมิได้อยุ่กินร่วมกันเสียแน่แล้ว
    “ปิ๊กเข้าตางในเต๊อะเจ้า หมอกลงจัดแล้ว ประเดี๋ยวจะจับไข้เอานาเจ้า”นางคำหล้านำเจ้านางน้อยของตนกลับเข้าที่พัก เหล่าขุนทหารต่างผลัดเปลี่ยนเวรยามกันเฝ้าตรวจตราความเรียบร้อยเพื่อรักษา ความปลอดภัยให้แก่เจ้านางน้อยอัครราชธิดาผู้อยุ่เหนือหัวของตนจนรุ่งสาง ดวงอาทิตย์เริ่มทอแสงรำไร  เจ้าเกศแก้วมองผ่านออกไป อากาศยามเช้านี้ช่างสดชื่นเสียจริง แรมเดือนแล้วที่ต้องเดินทางอยุ่กลางป่าข้ามน้ำข้ามเขามาเสียหลายลูก ความโศกเศร้าที่นางเคยมีก็ค่อยจางหายไปบ้างแล้ว จากนี้คงเหลือเพียงเศษธุลีดินจากเชียงรุ้งที่พอจะให้นางถือเป็นที่ยึด เหนี่ยวหัวใจ คิดถึงบ้านคิดถึงพ่อแม่คราใดก็กอดห่อผ้า ความเหงาก็คลายไปได้บ้าง ทางฝ่ายเจ้าอุปราชหน่อแก้วบัดนี้ก็ข้าพบเจ้าหลวงเชียงแก้วแลพำนักอยู่เรือน รับรองเรียบร้อยแล้ว
“เจ้าน้อยจะไปไหนเจ้า”บุญมาถามเมื่อเห็นเจ้าหน่อแก้วเดินลงมาจากเรือนรับรอง
“เฮาจะไปเดินแอ่วแถวนี้ บ่ต้องตามมาก็ได้ คงบ่มีใครกล้าทำอะไรเรา” หนุ่มน้อยกล่าว
“แต่..”บุญมานั้นอยากจะขอตามไปด้วยหากแต่เจ้าน้อยมิยอมให้ตามเขาจึงได้แต่มองตามหลังเจ้าอุปราชจนลับตา
ภาย ในสวนหลวงของเชียงแก้ว เหล่านางกำนัลพากันวิ่งเสียให้วุ่น เนื่องจากเจ้าเด็กน้อยผู้ดำรงศักดิ์อัครราชธิดาแห่งเชียงแก้วนั้นวิ่งรอบสวน หลบหลีกพระพี่เลี้ยง พาให้นางกำนัลสาวๆหอบไปตามๆกัน
“เจ้านางน้อยเจ้า หยุดก่อนเต๊อะเจ้า ข้าเจ้าเมาหัวนักเจ้า” นางคำฝั้นกล่าวพลางทำหน้าจะเป็นจะตายเสียให้ได้
“เฮ้อ แค่นี้ก็ทำเป็นเหนื่อยนะคำฝั้น  น้องยังบ่เห็นเหนื่อยเลย”เจ้าตัวเล็กกล่าว แล้วก็วิ่งต่อไปโดยมิทันได้มองยังเบื้องหน้าของตน ทำให้ชนเข้ากับเจ้าอุปราชหน่อแก้วอย่างจัง
“ โอ๊ย!”เจ้าตัวเล็กร้องเสียงหลงก่อนล้มลงก่อนจะตามมาด้วยเสียงร้องไห้ตาม ประสาเด็ก พาเอานางกำนัลตะลึงงันก่อนจะรีบเข้าไปประคองเจ้านางน้อยของตน จนนางหยุดร้องแล้วยืนขึ้นมองหน้าผู้มาใหม่อย่างเอาเรื่อง
“เจ้าเป็นใคร”เจ้าตัวเล็กถาม แม้คราบน้ำตาจะยังคงติดอยู่บนแก้มป่องๆของตน
“เฮา ชื่อ หน่อแก้ว เป็นหลานของเจ้าอาสร้อยฟ้า” เด็กคนนี้ดูแล้วช่างเหมือนเจ้าอานัก นี่กระมังราชธิดาคนเดียวแห่งเชียงแก้ว  มิน่าล่ะ พระพี่เลี้ยงถึงมากนัก คงจักซนเอาเรื่องเป็นแน่ เขาครุ่นคิดในใจ
“เจ้าน่ะรึเป็นหลานของเจ้าแม่ เฮาบ่เชื่อเจ้าดอก” นึกแล้วไม่มีผิดว่าเป็นลุกเจ้าอาสร้อยฟ้า นี่คงถูกตามใจมาตลอดสินะ เขายิ้มในใจ
“ยิ้ม อะไร หน้าเฮามันน่าขำนักกา”นางถามพร้อมกับเดินเข้าไปหาผู้ที่ตัวโตกว่า รุ้ทั้งรุ้ว่าเขาสุงกว่าหลายเท่า แต่นางก็ไม่ยอมให้ใครมาหยามเกียรตินางได้หรอก
“เรานี่นะยิ้ม เจ้าเอาอะไรมาพูด อีกอย่าง เฮาน่ะแก่กว่าเจ้าเกือบเท่าตัว เจ้าควรจะเรียกเราว่าเจ้าพี่” เขากล่าว แม้จะรู้อยู่แล้วว่าเจ้าตัวเล็กนี่ไม่ยอมเรียกเขาเป็นแน่
“ไม่!” เจ้าตัวเล็กนี่ดื้อตามที่คิดไว้เสียจริงด้วย นึกพลางเขาก็ส่ายหัวก่อนจะเดินออกมา แม้เจ้าหญิงอัครราชธิดาแห่งเชียงแก้วจักตะโกนตามหลังดังเพียงใดก็ตามเขาก็ ไม่หันกลับไป   เจ้าหน่อแก้วเดินทางไปยังคุ้มเจ้าหลวงด้วยอยากคุยเรื่องบ้านเมืองกับอาเขย หลังจากคุยได้นานพอควรทำให้เขาตัดสินใจกล่าวขอเจ้าหญิงอัครราชธิดาจากเจ้า หลวงเชียงแก้ว ฝ่ายเจ้าฟ้ารุ่งนั้นคราแรกก็ตกใจที่เจ้าอุปราชแห่งเชียงรุ้งผู้มีวัยเพียง สิบสองปีกล่าวขอธิดาตน แต่ด้วยเห็นว่าเจ้าหน่อแก้วนั้นดำรงยศเจ้าอุปราชด้วยวัยแค่นี้ก็พอจะรู้ว่า คงจักเก่งกล้าไม่น้อย มิเช่นนั้นเจ้าหลวงเชียงรุ้งคงมิแต่งตั้งเป็นเจ้าอุปราชเป็นแน่ จึงตกลงยกธิดาให้ เจ้าอุปราชหน่อแก้วจึงนัดวันเวลาที่จะส่งของหมั้นมาให้พระน้องเธอ  หลังจากคุยธุระเสร็จแล้วก็หมายจะขอตัวกลับเรือนรับรอง เจ้าหญิงน้อยก็เข้ามาหาเจ้าพ่อพอดี
“สร้อยเกสร ไหว้เจ้าพี่หน่อแก้วเร็วลูก” คนถูกเรียกชื่อไม่รู้จะทำอย่างไร จึงจำต้องไหว้เจ้าอุปราชอย่างจำใจ แม้จะยังเคืองโกรธที่พี่เจ้าทำให้ตนหกล้มอยู่ ส่วนเจ้าอุปราชนั้นยิ้มอย่างพอใจที่สามารถปราบพยศเจ้าตัวเล็กนี้ได้ แม้จะเพียงชั่วเวลาหนึ่งก็ตาม
“พ่อฝากเจ้าให้พี่เขาดูแลแล้วนะลูก จากนี้ก็เชื่อฟังพี่เขานะ” เจ้าฟ้ารุ่งกล่าว สร้อยเกสรก็ได้แต่พยักหน้ารับคำ แต่ในใจนั้นมิได้รับคำตามกิริยาที่แสดงเลยโดยมิรู้เลยว่าที่พ่อของตนกล่าวไป นั้นมีความนัยแฝงไว้ว่าอย่างไร  ฝ่ายเจ้าอุปราชนั้นก็รับไหว้แม้จะรู้ว่าเจ้าตัวน้อยไม่ได้เต็มใจเลยแต่ก็ยัง หวังไว้ว่า เมื่อน้องเจ้าโตขึ้นคงจักไม่ดื้อกับเขาเยี่ยงนี้มิเช่นนั้นเขาคงจะหนักใจน่า ดู  ระหว่างทางที่เขาเดินกลับเรือนรับรอง เขาก็ยังนึกถึงสิ่งที่เขาได้พูดกับเจ้าหลวง การที่เขาขอหมั้นกับเจ้าหญิงน้อยนั้นมิรู้ว่าตนทำถูกหรือไม่ แต่อย่างไรเสียเขาก็ได้กล่าวกับเจ้าหลวงไปแล้วจะกลับคำนั้นคงไม่ได้  แม้จะกลัวว่าการณ์ข้างหน้าอาจจะมีปัญหาตามมามากเพียงใด เขาก็จักก้มหน้ารับมัน ความนึกคิดของเขาเป็นใหญ่เกินที่เด็กอายุเท่าเขาจะคิดได้ เขาขอหมั้นกับญาติผู้น้องผู้เป็นธิดาคนเดียวแห่งเชียงแก้วในการณ์ข้างหน้า หากเขาได้นั่งเมืองแลมีสร้อยเกสรเป็นเจ้านางหลวงก็เท่ากับว่าเขาได้เชียง แก้วมาเป็นของเชียงรุ้งครึ่งหนึ่งวันใดที่อาเขยของเขาสิ้นบุญเขาก็จักเอา เชียงแก้วมารวมกับเชียงรุ้ง อีกนัยหนึ่งคือเพื่อตัดความสัมพันธ์ระหว่างเมืองอินทร์กับเชียงแก้วเพราะหาก สร้อยเกสรมีพระคู่หมั้นแล้วเจ้าฟ้าเชียงแก้วจะได้ไม่ส่งธิดาตนไปถวายเมือง อินทร์  แต่การที่เขาเอาชีวิตของเด็กหญิงตัวน้อยผู้ไร้เดียงสามาเป็นเดิมพันใน หมากกระดานนี้ที่เขากำลังเริ่มขึ้น มันจะเป็นอย่างไรในภายหน้า เขาเองก็มิรู้ได้

.................................................................................

salawalai >>รับจ้างฟ้อนทั่วราชอาณาจักร

ออฟไลน์ เจ้านางน้อยระยิบมิบมับ

  • *
  • 7
  • 0
  • เพศ: หญิง
  • รับจ้างฟ้อนทั่วราชอาณาจักร
    • อีเมล์
Re: "แก้วมิ่งเมือง"<แก้วระมิงค์>
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ธันวาคม 20, 2009, 12:54:33 PM »
ตอนที่3 งามเลิศแล้ว เกศแก้วมิ่งเมือง


      สายลมหนาวพัดโชยมายามเช้า เสียงไก่ป่าแลนกนานาชนิดต่างส่งเสียงขับขาน พาเอาชายหนุ่มผู้หนึ่งตื่นจากนิทรา ขุนทหารหลายคนต่างหุงหาอาหารไว้ให้เจ้านายตน ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้านายวักเอาน้ำจากแม่น้ำล้างหน้าตา ผิวพรรณที่ละเอียดลออราวสตรีหากแต่คมเข้มบ่งบอกถึงความเป็นเชื้อเจ้าเชื้อ นายหาใช่ไพร่ฟ้าสามัญไม่  แลดูแล้วงดงามปานเตวดาบนฟากฟ้า เขาและขุนทหารออกเดินทางจากบ้านจากเมืองมาแรมเดือนเพื่อมุ่งไปยังเมือง อินทร์  การเป็นองค์ชายรัชทายาทที่พระเชษฐาแต่งตั้งนั้น มิได้เป็นความต้องการของเขาเลย  เจ้าฟ้าชัยอินทร์พี่ชายผู้โหดเหี้ยมสิ้นพระชนม์ด้วยพระโรคปัจจุบัน เขาผู้เป็นน้องชายต่างมารดาจึงต้องกลับมารับตำแหน่งที่ตนไม่ต้องการ เขาไม่ได้ต้องการจากเชียงคำเลยไม่เคยคิด ทั้งๆที่ผู้เป็นบิดาเองก็มีราชบุตรอยู่หลายองค์ ไยพระพี่เจ้าถึงต้องการให้เขาสืบทอดบัลลังก์  คิดแล้วเจ้าเหนื่อยใจ  ไหนจะต้องรับมือกับเชษฐาองค์อื่นๆที่ยังคงอาศัยอยู่ในคุ้มหลวง  ไหนจะต้องเหนื่อยกับการที่ต้องดูแลเอาใจใส่ธิดาจากเจ้าเมืองต่างที่ส่งมา กำนัลแก่เขาอีก
“เจ้าน้อยเจ้า ปลาปิ้งได้แล้วเจ้า จักกิ๋นเลยหรือไม่เจ้า”ท้าวคำวงศ์ทหารคนสนิทที่ดูแลเขามาแต่ยังเด็กเอ่ยถาม
“อืม เจ้าล่ะคำวงศ์ กินหรือยัง”ชายหนุ่มถาม
“รอ เจ้าน้อยกินแล้ว ข้าเจ้าแลทหารจักได้กินต่อเจ้า” คำวงศ์ตอบพลางแกะเนื้อปลาใส่ใบตองส่งให้เจ้าน้อยของเขา  บัดนี้ทหารที่ร่วมขบวนต่างเรียกเขาว่าเจ้าหลวงอินทราวงศ์แล้ว  หากจะมีก็แต่ท้าวคำวงศ์ที่ยังคงเรียกเขาว่าเจ้าน้อยวงศ์เมือง เขาต้องยกเมืองเชียงคำให้ผู้เป็นน้องชายดูแลแล้วเดินทางมารับตำแหน่งเจ้า หลวงที่เมืองอินทร์  เชียงคำเป็นเมืองลูกของเมืองอินทร์มาแต่สมัยบรรพกาล เจ้าแม่ของเขาเป็นพระสนมในเจ้าหลวงฝั้นฟ้าผู้พระบิดา  แต่เมื่อพระบิดาของเขาสิ้นแล้ว เจ้าอุปราชชัยอินทร์นั่งเมืองต่อ  แลมีคำสั่งให้เขามากินเมืองเชียงคำของมารดาด้วยว่าเจ้าตาสิ้นบุญแล้ว และครานี้เขาก็ต้องกลับมากินเมืองต่อจากเจ้าหลวงชัยอินทร์
......................................................

    ขบวนเครื่องราชบรรณาการที่มี ‘ชีวิต’ เคลื่อน เข้าเขตเมืองอินทร์แล้ว เกศแก้วนั้นเล่ายังคอยแต่จะหันหลังมองหา หมายใจว่าจักเห็นหอคำหลวงอยู่แม้จะรู้ว่าไม่มีทาง มาถึงบัดนี้แล้วนางก็คงทำได้เพียงยอมรับชะตากรรม เหลียวมองข้างๆ ป่าของเมืองอินทร์ช่างแตกต่างจากป่าของเชียงรุ้งเหลือหลาย  เกศแก้วยังชื่นชมธรรมชาติริมทางได้เพียงครู่เหล่าทหารกล้าต่างกรุเข้ามาล้อม ช้างของนางแลนางโขลนหญิงทั้งหลายก็ชักดาบออกมากำไว้มั่น เกศแก้วชะงัก ตกใจเสียยิ่งกว่า นี่มันเกิดอะไรขึ้น  แลนางคำหล้าที่นั่งช้างตัวเดียวกับนางมาก็กอดเจ้านางน้อยของตนไว้เสียแน่น  พลางชักมีดสั้นที่ผู้เป็นพ่อเคยมอบให้ไว้ออกจากสายฮัดเอว
“เจ้านางน้อยบ่ ต้องตกใจ๋นาเจ้า ข้าเจ้าจะปกป้องเจ้านางสุดชีวิต” เกศแก้วมิทันได้ถามว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น โจรป่าเกือบร้อยกว่าคนก็ออกจากที่พงไม้พลางประดาบกับขุนทหารเสียงดังก้อง ป่า  สัตว์ป่าตากแตกตื่นส่งเสียงร้องระงมไปทั่วพนา เลือดสีแดงสดไหลอาบไปทั่วร่างเหล่าขุนทหารแลโจรทั้งหลาย  เกศแก้วได้แต่เพียงร้องไห้ซุกอกนางคำหล้า  แม้เหล่าทหารจะรุ้ว่าไม่มีทางสู้เหล่าโจรได้แต่ก็พยายามอารักขาปกป้องดวง แก้วแห่งเชียงรุ้งจนกว่าจะถึงเมืองอินทร์
“ฮะ  ฮะฮ่า  มานี่นางคนสวย ข้าจักพาเจ้าไปเป็นแม่นายโจร” โจรป่าผู้หนึ่ง ซึ่งน่าตาน่ารังเกียจอัปลักษณ์กระโดดขึ้นหลังช้างพลางชักข้อมือเจ้าเกศแก้ว นางคำหล้าเห็นดังนั้นจึงชักมีดสั้นเข้าแทงแต่หัวหน้าโจรหลบทันแลตบนางคำหล้า เสียแทบตกจากหลังช้างแต่นางก็ยังฉุดกระชากกับหัวหน้าโจร
“ปล่อยเจ้านางน้อยนะ เจ้าคนเถื่อน”นางคำหล้ากระโจนเข้าไปกัดแขนเจ้าโจรป่า
“โอ๊ย  อีนี่ มึงกัดแขนกู อย่าอยู่เลย ตายเสียเถอะ” เจ้าโจรพูดจบเงื้อดาบหมายจะฟันนางคำหล้า แต่ตนกลับเป็นฝ่ายถูกดาบเเทงทะลุหัวใจตายคาหลังช้าง  เลือดเจ้าคนเถื่อนนั้นสาดกระเด็นเต็มหน้านางคำหล้า หากแต่เจ้าเกศแก้วมิได้เป็นอันใดเลย นอกเสียจากยังขวัญผวาอยู่
“ไผกันปี้คำหล้า ตี้มาช่วยเฮา”เกศแก้วถามพลางถอดผ้าโพกหัวเช็ดหน้าให้พี่เลี้ยงตน
“บ่ ฮู้เหมือนกันเจ้า  เจ้านางน้อยบ่ต้องเช็ดหื้อข้าเจ้าดอก เจ้านางน้อยเป็นจะไดบ้าง”นางคำหล้าถามพลางจับแขนขาพิศมองดูว่าเจ้านายตนได้ รับอันใด  ฝ่ายผู้มาช่วยก็เดินออกมาจากพงไม้  เหล่าทหารที่ยังเหลือรอดแลได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยก็ยังกำดาบไว้มั่นหากมัน เหล่านี้มาช่วยเจ้านายของพวกมันเพียงเพราะหวังร้ายพวกมันก็จะขอสู้จนกว่า ชีวิตจะตายตกตามเพื่อนทหารไป ส่วนคนที่เป็นว่าที่เจ้าหลวงนั้นเล่าพิศมองแม่ญิงนางน้อยที่นั่งบนคอช้าง นั่นเล่าช่างงามเสียจริง อยากเข้าไปกอดปลอบขวัญน้องเจ้าเสียจริง  สายตาชายหนุ่มวัยฉกรรจ์พิศมองดูเจ้าเกศแก้วมิวางตาจนทำให้นางคำหล้า ต้องกระเถิบเอาร่างตนบังเจ้านายตนไว้พลางถลึงตาใส่  อุบ๊ะ!!เจ้านี่บังอาจมองเจ้านางน้อยของข้า
“พวกสูเป็นไผ  ไยมากันเป็นขบวนใหญ่เยี่ยงนี้ หรือสูเป็นโจร บอกมาแล”นางคำหล้าถามเจ้าวงศ์เมือง  ฝ่ายชายหนุ่มผู้ถูกถามนั้นก็อดขำนางคนรับใช้นี่มิได้ดูท่าจัดหวงเจ้านายตนยิ่ง
“เฮามีชื่อว่าวงศ์เมือง เป็นเจ้าน้อยจากเชียงคำมาถวายน้ำแด่เจ้าฟ้าเมืองอินทร์  ขบวณผ่านมาได้ยินเสียงคนต่อสู้ก่เลยลองมาผ่”ชายหนุ่มตอบสร้างความประหลาดใจ แก่คำวงศ์ขุนทหารคนสนิทเป็นอย่างยิ่ง
“ข้าเจ้าขอขอบใจ๋เจ้าน้อยวงศ์เมือง ตี้วันนี้ได้มาช่วยชีวิตข้าเจ้าแลปี้คำหล้า””ข้าเจ้าเองก่จะไปเมืองอินทร์เหมือนกันเจ้า”   
“ผ่จ ากขบวณแลเครื่องสูงเหล่านี้ น้องก็คงเป็นเจ้าจากเมืองใดเมืองหนึ่งใช่หรือไม่”วงศ์เมืองถาม  หากแต่สายตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าสาวนางนี้
“เจ้า  ข้าเจ้าชื่อเกศแก้วมิ่งเมือง มาจากเมืองเชียงรุ้ง จักนำเครื่องราชบรรณาการไปถวายแด่เจ้าหลวงองค์ใหม่ของเมืองอินทร์เจ้า”เกศ แก้วตอบแค่เพียงเท่านี้ โดยไม่ได้บอกว่าเครื่องราชบรรณาการที่หมายถึงนั้นก็คือตัวนางเอง  หากแต่วงศ์เมืองสามารถรู้ได้โดยสัญชาติญาณของบุรุษเพศ ซึ่งตัวเขาเองก็แอบพึงใจอยู่ใช่น้อย
“ขุนทหารของน้องล้มตายมากมายเพียง นี้หากเดินทางเพียงลำพังพี่เกรงว่าเจ้าจักลำบาก ถึงอย่างไรพี่เองก็จักไปเมืองอินทร์เช่นกันถ้าน้องไม่ หากน้องไม่รังเกียจขบวนเจ้าน้อยเมืองเล็กๆอย่างพี่ก็อยากขอให้น้องร่วมเดิน ทางเสียด้วยกัน พี่แลทหารจักได้ช่วยปกป้องคุ้มครองน้อง”วงศ์เมืองกล่าว
“แต่ข้าเจ้าเกรงใจเจ้าน้อยเหลือเกินเจ้า”เกศแก้วตอบ แลก้มหน้ามิยอมสบสายตาเจ้าชู้ของเจ้าชายหนุ่ม
“เจ้า นางน้อยเจ้า  ข้าเจ้าว่าเฮาร่วมเดินทางไปกับขบวนเจ้าน้อยวงศ์เมืองก็ดีนาเจ้า  ทหารของเราล้มตายก็มาก บาดเจ็บเสียก็หลาย หากจักเดินทางต่อข้าเจ้าเกรงว่าคงจักอีกหลายราตรีจึงจักถึงเมืองอินทร์” คำพูดของนางคำหล้านั้นทำให้เจ้าชายหนุ่มดีใจเหลือหลาย ถึงแม้นจักรู้ว่าอย่างไรเสียนางก็จักต้องเข้าถวายตัวในอีกไม่ช้า  แต่เขาก็รู้สึกอยากได้นางมาเชยชมเสียคืนนี้  หากแต่ต้องระงับอารมณ์เอาไว้ ด้วยอยากทำให้ถูกต้องตามโบราณราชประเพณี มิอยากหักหาญน้ำใจนาง ฝ่ายเกศแก้วนั้นได้แต่เพียงพยักรับคำตามที่นางพี่เลี้ยงกล่าว แล้วรวมขบวนของนางเข้ากับเจ้าชายหนุ่ม แลนางก็นั่งบนช้างตัวเดิมโดยมีนางคำหล้านั่งเคียงข้างนาง เพียงแต่บัดนี้มีชายหนุ่มผู้รูงามขี่ม้าประกบช้างตัวที่นางนั่งไม่คลาดสายตา เจ้าชายเชียงคำผู้นี้สายตาดูน่ากลัวเสียจริงมิรู้ว่าคิดอันใดอยู่ จ้องนางปานจะกลืนกินดูเจ้าชู้กรุ้มกริ่มเหลือหลาย  นี่หากนางมิต้องไปเป็นข้าบาทเมืองอินทร์แล้วล่ะก็  นางคงต้องแต่งเป็นชายาเจ้าชายสายตาเจ้าชู้ผู้นี้ ตามโบราณราชประเพณีของเชียงรุ้งเป็นแน่ นึกแล้วก็ดีใจที่ไม่ต้องแต่งกับคนเจ้าชู้ แต่พอนึกถึงเรื่องนี้ก็พาลทำให้นางก้มหน้าน้ำตาคลอ มิรู้ว่านางจะต้องไปเป็นชายาคนที่เท่าไหร่ของเจ้าฟ้าองค์ใหม่ของเมืองอินทร์

“.....งามเลิศแล้ว แม่แก้วสามศรี หมดปื้นธรณี บ่มีไผเผียบได้  เจียงแก้วเจียงฮาย  เจียงคำเมืองใต้ บ่มีไผงามเต้าน้อง ไค่เป๋นกู้ซ้อน กู้แอ้มเตียมสอง เดิกมาออนจอน
หลอนกอดน้องเน้า.....”

        ดวงตะวันลับขอบฟ้าไปแล้ว เสียงจ้อยของนายทหารนายหนึ่งที่จ้อยเล่นกันเพื่อขับเอาความง่วงออกจากกาย เสียงโห่แซวของหมู่เพื่อนทหารที่นั่งเฝ้ายามด้วยกันพาให้ครึกครื้นรอบกองไฟ กองใหญ่  แต่เสียงจ้อยนั้นเล่าพาให้หัวใจของเจ้าน้อยผู้ที่จะเป็นเจ้าหลวงในอีกไม่กี่ ราตรีเต้นไม่เป็นจังหวะ ไม่เคยมีสตรีใดทำให้เขาหวั่นไหวได้เพียงนี้ ยามอยู่ที่เชียงคำนั้นเล่าได้นางกำนัลเป็นเมียก็มาก แต่ก็มิเคยรู้สึกกับใครเหมือนครั้งนี้ไม่ ส่วนเจ้าตัวน่ะหรือ บัดนี้คงนอนหลับภายในพลับพลาที่พักโดยมิรู้ดอกว่ากำลังทำให้ใครคนหนึ่งร้อนรุ่มด้วยไฟรักได้มากเพียงนี้
“เกศแก้วมิ่งเมือง เจ้านี่งามสมชื่อเจ้าจริงๆ ดวงแก้วปกเกศของเมืองเชียงรุ้งสินะ  นี่เจ้าฟ้าเชียงรุ้งยอมมอบดวงแก้วอันล้ำค่าของเมืองมาเป็นเครื่องราช บรรณาการเชียวหรือ”เขากล่าว  พลางครุ่นคิด
“เจ้าฟ้าเชียงรุ้งคิดทำการอันใดอยู่ถึงยอมยกราชธิดาที่รักดั่งดวงใจมาเป็นบาทบริจาริกาแก่เรา”

..................................................................

salawalai >>รับจ้างฟ้อนทั่วราชอาณาจักร

kamonnut1234

Re: "แก้วมิ่งเมือง"<แก้วระมิงค์>
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: ธันวาคม 04, 2011, 12:40:21 AM »
เมื่อไรจะมาอัฟต่อ อยากอ่าน :icon_wink:

ออฟไลน์ อัคนีสีเพลิง

  • *
  • 549
  • 0
  • เพศ: หญิง
  • อะ วิช สุ นุต สา นุ ติ
    • อีเมล์
Re: "แก้วมิ่งเมือง"<แก้วระมิงค์>
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: ธันวาคม 07, 2011, 05:55:50 AM »
ใช้ภาษาสวยดีค่ะ อ่านแล้วเพลินเลย อิอิอิ สนุกดีค่ะ

kamonnut1234

Re: "แก้วมิ่งเมือง"<แก้วระมิงค์>
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2012, 10:48:35 AM »
ใช่ ลงที่เว็บเด็กดีด้วยใช่ปะ เรารออ่านอยู่นะ :icon_surprised: :icon_surprised: :icon_frown: :icon_frown: :icon_redface: :icon_redface:

Re: "แก้วมิ่งเมือง"<แก้วระมิงค์>
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: พฤษภาคม 27, 2013, 01:14:59 PM »
ชอบน๊าเพลินๆดี เคยอ่านในเด็กดีแล้วจ้า