ตอนนี้กำลังโพสต์ไว้ในเด็กดีค่ะ แก้วมิ่งเมือง -
http://writer.dek-d.com/salawalai/writer/view.php?id=565637 นามปากกา "สลาวลัย" ว่างๆเเวะไปให้กำลังใจด้วยนะคะ เป็นเรื่องแรกที่เขียนได้หลายตอน เพราะเรื่องๆวางพล๊อตเรื่องเอาไว้แล้วเขียนเป็นนิยายไม่ได้(ความอดทนมันสั้นอ่ะ) :icon_mrgreen:
ตอนที่ 2 พระคู่หมั้นแสงอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าไปแล้ว เหล่าทหารนางข้าไทที่ตามขบวนมาก็ตั้งพลับพลาเพิงพัก ลมหนาวพัดจอยมาเย็นแล้ว มิรู้ว่าพี่แก้วจักเป็นอย่างใด อุปราชน้อยครวญคิดอย่างหนักใจ เขาเติบโตมากับพระพี่เจ้าด้วยวัยที่ห่างกันเพียงหนึ่งปีจึงถูกเลี้ยงดูมา ด้วยกันเยี่ยงสหาย เกศแก้วยอมเสียสละให้เขาได้เสมอ ครานี้ก็ยอมสละความสุขส่วนตนเพื่อให้เขาได้ไปเรียนวิชาที่เมืองมัณฑ์
“น้อง จักไม่ยอมให้ความเสียสละของพี่ต้องสูญเปล่า เกศแก้ว” เขากล่าวกับตนเอง สายตานั้นจับจ้องมองพระจันทร์ คืนนี้จันทร์งดงามยิ่งนัก หากแต่อีกฟากของดอยม่อนนี้คงมีแต่คราบน้ำตาของพี่สินะ เกศแก้ว
“เจ้าอุปราชเจ้า” เสียงหนุ่มวัยฉกรรจ์คนหนึ่งคลานเข้ามาภายในพลับพลา อายุนั้นเล่าก็ดูมากกว่าผู้ที่ดำรงยศใหญ่โตเสียเกือบเท่าตัว
“มีอะไร บุญมา”หนุ่มน้อยกล่าวถาม
“ข้า เจ้าหันเจ้าน้อยเหม่อ เลยอดห่วงบ่ได้”สรรพนามแทนตัวของเจ้านายถูกเปลี่ยนเสียโดยพลันเพราะความเคย ชิน ด้วยตำแหน่งเจ้าอุปราชนั้นพึ่งถูกแต่งตั้งขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ บุญมาเป้นพระพี่เลี้ยงของเจ้าน้อยอุปราชเช่นเดียวกับคำหล้า
“เฮาบ่เป็นหยังดอก บุญมา” “เกศแก้วเสียอีก ที่น่าห่วง บ่รู้ว่าทางนู้นจักยกเกียรตินางเยี่ยงเชียงรุ้งหรือไม่”
ก็คงจักยกเกียรติเจ้านางน้อยเช่นเดิมล่ะเจ้า”บุญมากล่าวจากใจจริงเช่นเดียวกับชาวเมืองเชียงรุ้งที่หวังว่าจักเป็นเช่นนั้น
“ไป เป็นน้อยเขานี่นะ คงจักยกเกียรติเจ้าฟ้าให้อยู่ดอก”นัยน์ตาหนุ่มน้อยวัยสิบสองปีเต็มไปด้วย ความเคียดแค้น ชิงชังเจ้าฟ้าเมืองอินทร์ เสียเต็มประดา
“เฮาจักไปเยี่ยม เจ้าอาสร้อยฟ้าที่เชียงแก้วก่อนจะไปเมืองมัณฑ์” หนุ่มน้อยกล่าว เจ้านางสร้อยฟ้าเจ้านางหลวงแห่งเชียงแก้วที่เขากล่าวถึงคือน้องสาวของราช บิดาเขานั่นเอง
“ไปทำไมเจ้า หนทางไปเชียงแก้วนั้นมันคนละเส้นทางกับหนทางไปเมืองมัณฑ์เลยนะเจ้า แถมยังอยู่บนดอยแหม เจ้าน้อยจักลำบากนาเจ้า” บุญมากล่าวเนื่องจาการจะไปเชียงแก้วได้นั้นจักต้องเดินทางแรมเดือนกว่าจัก ถึงแล้วต้องอ้อมกลับมาก่อนจะไปเมืองมัณฑ์
“เฮาบ่กลัวลำบากดอก เดินทางไปไปแค่บ่กี่วันคงจักถึง เกศแก้วเสียอีกบ่รู้ว่านานเพียงใดจึงจักถึงเมืองอินทร์” เขากล่าว
“เจ้า ไปบอกขุนหลวงแสนว่าเฮาจะไปเยี่ยมเจ้าอาสร้อยฟ้าที่เชียงแก้วเสีย” พูดจบเจ้าอุปราชหน่อแก้วก็เดินออกจากพลับพลาที่พักไปยังม้าตัวโปรดของตน ส่วนบุญมานั้นรู้ว่ามิอาจทัดทานความต้องการนายตนได้จึงจำต้องทำตามคำสั่งดัง ที่เจ้าอุปราชต้องการ
ขบวนเจ้าอุปราชหน่อแก้วแห่งเชียงรุ้งเคลื่อนขบวนข้ามป่าเขาลำเนาไพร อีกไม่กี่ราตรีคงจักถึงเชียงแก้ว แต่พี่แก้วของน้องเล่าอีกกี่สิบกี่ร้อยราตรีจึงจักถึงเมืองอินทร์ พี่จักเป็นอย่างไรบ้างหนอ จะคิดถึงน้องบ้างไหม เกศแก้ว...
...
น้ำค้างยามราตรีที่จับอยู่ปลายยอดหญ้างดงามราวกับเพชรเม็ดงามกลางป่า ร่างบางของสตรีสูงศักดิ์ยืนเหม่อมองดูพระจันทร์ คิดถึงเหลือเกินคิดถึงเชียงรุ้ง
“เจ้าเกศแก้วเจ้า น้ำเหมยลงขนาดนี้ มายืนอยู่หยังนี้เจ้า เสื้อของเจ้าก่บางนัก” นางคำหล้ากล่าวพร้อมกับนำผ้าฝ้ายผืนหนาคลุมร่างให้นาง
“น้องกึ๊ดเติงหาบ้าน ปี้คำหล้า”เกศแก้วกล่าวพร้อมกระชับผ้าคลุมเข้าหาตัว
“ข้าเจ้าก่กึ๊ดเติงเจ้า แต่เฮามาถึงขนาดนี้แล้วจะย้อนปิ๊กคืนคงบ่ได้แล้ว ต่อไปนี้ทุกอย่างตี้เจ้านางจักต้องทำคือทำเพื่อเจ้าอุปราชนาเจ้า”คำหล้า กล่าว นางเองก็คิดถึง คิดถึงบ้าน คิดถึงพ่อแม่ ไหนจะคนรักของนางอย่างบุญมาอีกชาตินี้คงมิได้อยุ่กินร่วมกันเสียแน่แล้ว
“ปิ๊กเข้าตางในเต๊อะเจ้า หมอกลงจัดแล้ว ประเดี๋ยวจะจับไข้เอานาเจ้า”นางคำหล้านำเจ้านางน้อยของตนกลับเข้าที่พัก เหล่าขุนทหารต่างผลัดเปลี่ยนเวรยามกันเฝ้าตรวจตราความเรียบร้อยเพื่อรักษา ความปลอดภัยให้แก่เจ้านางน้อยอัครราชธิดาผู้อยุ่เหนือหัวของตนจนรุ่งสาง ดวงอาทิตย์เริ่มทอแสงรำไร เจ้าเกศแก้วมองผ่านออกไป อากาศยามเช้านี้ช่างสดชื่นเสียจริง แรมเดือนแล้วที่ต้องเดินทางอยุ่กลางป่าข้ามน้ำข้ามเขามาเสียหลายลูก ความโศกเศร้าที่นางเคยมีก็ค่อยจางหายไปบ้างแล้ว จากนี้คงเหลือเพียงเศษธุลีดินจากเชียงรุ้งที่พอจะให้นางถือเป็นที่ยึด เหนี่ยวหัวใจ คิดถึงบ้านคิดถึงพ่อแม่คราใดก็กอดห่อผ้า ความเหงาก็คลายไปได้บ้าง ทางฝ่ายเจ้าอุปราชหน่อแก้วบัดนี้ก็ข้าพบเจ้าหลวงเชียงแก้วแลพำนักอยู่เรือน รับรองเรียบร้อยแล้ว
“เจ้าน้อยจะไปไหนเจ้า”บุญมาถามเมื่อเห็นเจ้าหน่อแก้วเดินลงมาจากเรือนรับรอง
“เฮาจะไปเดินแอ่วแถวนี้ บ่ต้องตามมาก็ได้ คงบ่มีใครกล้าทำอะไรเรา” หนุ่มน้อยกล่าว
“แต่..”บุญมานั้นอยากจะขอตามไปด้วยหากแต่เจ้าน้อยมิยอมให้ตามเขาจึงได้แต่มองตามหลังเจ้าอุปราชจนลับตา
ภาย ในสวนหลวงของเชียงแก้ว เหล่านางกำนัลพากันวิ่งเสียให้วุ่น เนื่องจากเจ้าเด็กน้อยผู้ดำรงศักดิ์อัครราชธิดาแห่งเชียงแก้วนั้นวิ่งรอบสวน หลบหลีกพระพี่เลี้ยง พาให้นางกำนัลสาวๆหอบไปตามๆกัน
“เจ้านางน้อยเจ้า หยุดก่อนเต๊อะเจ้า ข้าเจ้าเมาหัวนักเจ้า” นางคำฝั้นกล่าวพลางทำหน้าจะเป็นจะตายเสียให้ได้
“เฮ้อ แค่นี้ก็ทำเป็นเหนื่อยนะคำฝั้น น้องยังบ่เห็นเหนื่อยเลย”เจ้าตัวเล็กกล่าว แล้วก็วิ่งต่อไปโดยมิทันได้มองยังเบื้องหน้าของตน ทำให้ชนเข้ากับเจ้าอุปราชหน่อแก้วอย่างจัง
“ โอ๊ย!”เจ้าตัวเล็กร้องเสียงหลงก่อนล้มลงก่อนจะตามมาด้วยเสียงร้องไห้ตาม ประสาเด็ก พาเอานางกำนัลตะลึงงันก่อนจะรีบเข้าไปประคองเจ้านางน้อยของตน จนนางหยุดร้องแล้วยืนขึ้นมองหน้าผู้มาใหม่อย่างเอาเรื่อง
“เจ้าเป็นใคร”เจ้าตัวเล็กถาม แม้คราบน้ำตาจะยังคงติดอยู่บนแก้มป่องๆของตน
“เฮา ชื่อ หน่อแก้ว เป็นหลานของเจ้าอาสร้อยฟ้า” เด็กคนนี้ดูแล้วช่างเหมือนเจ้าอานัก นี่กระมังราชธิดาคนเดียวแห่งเชียงแก้ว มิน่าล่ะ พระพี่เลี้ยงถึงมากนัก คงจักซนเอาเรื่องเป็นแน่ เขาครุ่นคิดในใจ
“เจ้าน่ะรึเป็นหลานของเจ้าแม่ เฮาบ่เชื่อเจ้าดอก” นึกแล้วไม่มีผิดว่าเป็นลุกเจ้าอาสร้อยฟ้า นี่คงถูกตามใจมาตลอดสินะ เขายิ้มในใจ
“ยิ้ม อะไร หน้าเฮามันน่าขำนักกา”นางถามพร้อมกับเดินเข้าไปหาผู้ที่ตัวโตกว่า รุ้ทั้งรุ้ว่าเขาสุงกว่าหลายเท่า แต่นางก็ไม่ยอมให้ใครมาหยามเกียรตินางได้หรอก
“เรานี่นะยิ้ม เจ้าเอาอะไรมาพูด อีกอย่าง เฮาน่ะแก่กว่าเจ้าเกือบเท่าตัว เจ้าควรจะเรียกเราว่าเจ้าพี่” เขากล่าว แม้จะรู้อยู่แล้วว่าเจ้าตัวเล็กนี่ไม่ยอมเรียกเขาเป็นแน่
“ไม่!” เจ้าตัวเล็กนี่ดื้อตามที่คิดไว้เสียจริงด้วย นึกพลางเขาก็ส่ายหัวก่อนจะเดินออกมา แม้เจ้าหญิงอัครราชธิดาแห่งเชียงแก้วจักตะโกนตามหลังดังเพียงใดก็ตามเขาก็ ไม่หันกลับไป เจ้าหน่อแก้วเดินทางไปยังคุ้มเจ้าหลวงด้วยอยากคุยเรื่องบ้านเมืองกับอาเขย หลังจากคุยได้นานพอควรทำให้เขาตัดสินใจกล่าวขอเจ้าหญิงอัครราชธิดาจากเจ้า หลวงเชียงแก้ว ฝ่ายเจ้าฟ้ารุ่งนั้นคราแรกก็ตกใจที่เจ้าอุปราชแห่งเชียงรุ้งผู้มีวัยเพียง สิบสองปีกล่าวขอธิดาตน แต่ด้วยเห็นว่าเจ้าหน่อแก้วนั้นดำรงยศเจ้าอุปราชด้วยวัยแค่นี้ก็พอจะรู้ว่า คงจักเก่งกล้าไม่น้อย มิเช่นนั้นเจ้าหลวงเชียงรุ้งคงมิแต่งตั้งเป็นเจ้าอุปราชเป็นแน่ จึงตกลงยกธิดาให้ เจ้าอุปราชหน่อแก้วจึงนัดวันเวลาที่จะส่งของหมั้นมาให้พระน้องเธอ หลังจากคุยธุระเสร็จแล้วก็หมายจะขอตัวกลับเรือนรับรอง เจ้าหญิงน้อยก็เข้ามาหาเจ้าพ่อพอดี
“สร้อยเกสร ไหว้เจ้าพี่หน่อแก้วเร็วลูก” คนถูกเรียกชื่อไม่รู้จะทำอย่างไร จึงจำต้องไหว้เจ้าอุปราชอย่างจำใจ แม้จะยังเคืองโกรธที่พี่เจ้าทำให้ตนหกล้มอยู่ ส่วนเจ้าอุปราชนั้นยิ้มอย่างพอใจที่สามารถปราบพยศเจ้าตัวเล็กนี้ได้ แม้จะเพียงชั่วเวลาหนึ่งก็ตาม
“พ่อฝากเจ้าให้พี่เขาดูแลแล้วนะลูก จากนี้ก็เชื่อฟังพี่เขานะ” เจ้าฟ้ารุ่งกล่าว สร้อยเกสรก็ได้แต่พยักหน้ารับคำ แต่ในใจนั้นมิได้รับคำตามกิริยาที่แสดงเลยโดยมิรู้เลยว่าที่พ่อของตนกล่าวไป นั้นมีความนัยแฝงไว้ว่าอย่างไร ฝ่ายเจ้าอุปราชนั้นก็รับไหว้แม้จะรู้ว่าเจ้าตัวน้อยไม่ได้เต็มใจเลยแต่ก็ยัง หวังไว้ว่า เมื่อน้องเจ้าโตขึ้นคงจักไม่ดื้อกับเขาเยี่ยงนี้มิเช่นนั้นเขาคงจะหนักใจน่า ดู ระหว่างทางที่เขาเดินกลับเรือนรับรอง เขาก็ยังนึกถึงสิ่งที่เขาได้พูดกับเจ้าหลวง การที่เขาขอหมั้นกับเจ้าหญิงน้อยนั้นมิรู้ว่าตนทำถูกหรือไม่ แต่อย่างไรเสียเขาก็ได้กล่าวกับเจ้าหลวงไปแล้วจะกลับคำนั้นคงไม่ได้ แม้จะกลัวว่าการณ์ข้างหน้าอาจจะมีปัญหาตามมามากเพียงใด เขาก็จักก้มหน้ารับมัน ความนึกคิดของเขาเป็นใหญ่เกินที่เด็กอายุเท่าเขาจะคิดได้ เขาขอหมั้นกับญาติผู้น้องผู้เป็นธิดาคนเดียวแห่งเชียงแก้วในการณ์ข้างหน้า หากเขาได้นั่งเมืองแลมีสร้อยเกสรเป็นเจ้านางหลวงก็เท่ากับว่าเขาได้เชียง แก้วมาเป็นของเชียงรุ้งครึ่งหนึ่งวันใดที่อาเขยของเขาสิ้นบุญเขาก็จักเอา เชียงแก้วมารวมกับเชียงรุ้ง อีกนัยหนึ่งคือเพื่อตัดความสัมพันธ์ระหว่างเมืองอินทร์กับเชียงแก้วเพราะหาก สร้อยเกสรมีพระคู่หมั้นแล้วเจ้าฟ้าเชียงแก้วจะได้ไม่ส่งธิดาตนไปถวายเมือง อินทร์ แต่การที่เขาเอาชีวิตของเด็กหญิงตัวน้อยผู้ไร้เดียงสามาเป็นเดิมพันใน หมากกระดานนี้ที่เขากำลังเริ่มขึ้น มันจะเป็นอย่างไรในภายหน้า เขาเองก็มิรู้ได้
.................................................................................