^
^
อีกนิด ขอบคุณในความปรารถนาดีค่ะ ^^
แต่แบบมันไม่รู้สิ...มันไม่อยากอ่าน นินดาอาจยึึดกับกรอบนอกของคำว่าแฟนตาซีไปรึเปล่าก็ไม่แน่ใจ
แต่รู้แค่ว่ามันไม่อยากอ่านน่ะค่ะ
วันหนึ่งถ้าถึงเวลาอยากอ่าน มันคงหยิบขึ้นมาอ่านดื้อๆ มั้งคะ
ยังไงก็ขอบคุณอีกครั้งค่ะพี่ ^^
ขอบคุณที่มาตอบให้คนถามหายคับข้องจายยย... นึกว่าจะไม่มาซะแล้นน
และขอบคุณที่เห็นในความปรารถนาดีด้วยนะคะ (ขอบคุณที่ไม่รำคาญ แฮ่ะ แฮ่ะ)
คือนี่คิดเทียบกับตัวเองน่ะค่ะ เราเป็นคนขี้รำคาญมาก ถ้าใครมาเซ้าซี้ให้ทำอย่างงู้นอย่างงี้ จะยิ่งไม่ทำเลย รู้สึกว่าฉันตัดสินเองได้ มีวิจารณญาณพอ ไม่ต้องมาตื๊อ ถ้าฉันเห็นว่าสิ่งที่คุณชักชวน มันดีมีประโยชน์จริง ฉันจะทำเอง ไม่ต้องมากวนใจ เนี่ยอ่ะค่ะ ในใจจะนึกอย่างงี้ แต่ไม่ได้พูดออกไปหรอกนะคะ กลัวคนฟังเสียความรู้สึก แถมจะนึกว่าเราก้าวร้าวอีกตังหาก เดี๋ยวนี้ยังค่อยยังชั่วขึ้น เมื่อก่อนเป็นมากกว่านี้อีก เดี๋ยวนี้ก็พยายามมองว่า คนชวนเขาปรารถนาดีอ่ะค่ะ (เมื่อมองในมุมของเขา) แม้ว่าสิ่งที่เขามาชวน จะเป็นสิ่งที่เราไม่เห็นด้วยก็ตาม (อย่างเช่น ชวนให้ทำบุญ(ด้วยเงิน)มากๆ อย่างงี้เป็นต้น ไม่ชอบอามิสบูชาค่ะ) แต่ก็ป่วยการอธิบาย อีกอย่างใครจะคิดยังไงก็เป็นสิทธิ์ของเขา แต่เราจะคิดแบบนี้ ก็เป็นเรื่องของเราเช่นกัน
ส่วนเรามีทฤษฎีว่า อะไรที่คนหมู่มากแห่ทำตามๆ กัน มีความเห็นไปในทำนองเดียวกัน พึงใช้วิจารณญาณให้มากกว่าปกติด้วยซ้ำ เพราะเราไม่เชื่อว่าเสียงส่วนใหญ่จะต้องถูกต้องเสมอไปค่ะ เพราะมันจะมีคนประเภทที่ไม่เคยมีความคิดเห็นเป็นของตัวเองอยู่เยอะอ่ะค่ะ เขาเฮไหนก็เฮด้วย เขาว่านั่นดีนี่ดี ก็ดีด้วย โดยไม่เคยใช้วิจารณญาณหรือหลักกาลามสูตร เชื่อตามๆ เขาไป ทำตามๆ เขาไป และเพราะว่า ถ้าเสียงส่วนใหญ่ถูกต้องเสมอไป มันก็คือเผด็จการแบบหนึ่ง หรือกฎหมู่ค่ะ อันที่จริงหลักการประชาธิปไตยนั้น เขาให้ "เคารพเสียงส่วนน้อย" ด้วยนะคะ แต่การปฏิบัติเท่าที่เห็นทุกวันนี้ ไม่ค่อยมีการเคารพเสียงส่วนน้อยเลยค่ะ และนั่นแหละคือชนวนของความแตกแยก เพราะความคิดเห็นที่แตกต่าง แม้จะเป็นส่วนน้อย ดูเหมือนไม่มีค่าแม้แต่จะนำมาพิจารณาเลย
เรากลับกับคุณนินดาเรื่องหนังกับหนังสืออ่ะค่ะ ไม่ค่อยชอบดูหนัง ชอบอ่านแต่หนังสือ ให้นึกหนังเรื่องโปรดนี่ นึกไม่ออกเลย แต่หนังสือยังพอนึกออก แต่ก็ไม่ได้อ่านเยอะหรอกค่ะ เพราะเป็นคนเลือกอ่านมากๆ ค่ะ