มาต่อแล้วค่ะ ด้วยความขยัน เพราะคาดว่าอีกไม่นาน จะขี้เกียจเป็นแน่แท้ ^-^
*****************************
ตัดฉากมาในห้องบรรทมของพระโอรสโกมินทร์ หลังจากที่ประดาบกับโกเมศเสร็จแล้ว พระมเหสีฉวีวรรณเลยเดินเข้ามาส่งโกมินทร์
ถึงตำหนักส่วนพระองค์ และพูดคุยกับโกมินทร์ถึงเรื่องบางอย่าง
“ลูกแม่ วันนี้ลูกแม่....” ก่อนที่พระมเหสีจะพูดอะไรต่อ ด้วยความที่โกมินทร์เป็นเด็ก คิดว่าแม่คงจะชมตนถึงเรื่องในวันนี้ ที่ตนสามารถเอาชนะพี่โกเมศได้
“ลูกเก่งใช่มั๊ยพระเจ้าค่ะ” พระมเหสีทรงยิ้มให้กับโกมินทร์ หากจะว่าเช่นนั้นก็คงไม่ผิด ใช่ลูกโกมินทร์เก่งจริงๆนั่นแหละ แต่มันมีบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่านั้น
“จ๊ะ...ลูกของแม่เก่งมาก” พระมเหสีเอ่ยปากชมโกมินทร์พร้อมทั้งลูบหัวอย่างเอ็นดู คุณท้าวศาวินีเองก็ชมพระโอรสโกมินทร์ไม่แพ้กัน
“พระโอรสโกมินทร์ของนม ทรงพระปรีชาสามารถมากเพค่ะ” คุณท้าวศาวินีกล่าว หากแต่.. พระมเหสีฉวีวรรณทรงไม่ได้คิดเช่นนั้น ใช่โกมินทร์เก่งกาจก็จริง....
“แต่.......”
“แต่..อะไรหรือ พระเจ้าค่ะเสด็จแม่” พระโอรสโกมินทร์ถามอย่างสงสัย
“แต่แม่ไม่อยากเห็นเจ้า แสดงความเก่งกล้าจนเกินไป จนบางทีคนอื่นเค้าอาจจะไม่พอใจก็ได้นะลูกนะ” ด้วยความที่โกมินทร์ยังอ่อนเยาว์นัก
จึงไม่เข้าใจในสิ่งที่พระมารดาตรัส แต่โกมินทร์คิดได้อย่างเดียว คือคำพูดของอำมาตย์อภิมันต์
“คนอื่น ...ทรงหมายถึงพระเชษฐาทั้งสองของลูกใช่มั๊ยพระเจ้าค่ะ เสด็จแม่” โกมินทร์ถามอย่างไม่รู้ว่าจะถูกหรือผิดกันแน่ พระมเหสีมีสีหน้าวิตกเล็กน้อย
ก่อนที่พระเชษฐาทั้งสองจะทรงเข้ามาไขข้อกระจ่างให้น้องชาย และเสด็จแม่เอง
“ถ้าทรงหมายถึงลูกละก็ เสด็จแม่ทรงเข้าถึงจิตใจลูกผิดแล้วพระเจ้าค่ะ เพราะการที่น้องโกมินทร์สามารถเอาชนะลูกได้ ลูกกลับไม่คิดอะไรเลย
กลับยิ่งภูมิใจที่มีน้องชายเก่งกล้าสามารถถึงเพียงนี้” พระโอรสโกเมศตรัสอย่างภาคภูมิใจในตัวโกมินทร์
“ลูกก็คิดเหมือนเจ้าพี่โกเมศ พระเจ้าค่ะเสด็จแม่ มีน้องเก่งๆแบบนี้ พี่ภูมิใจมากนะน้องโกมินทร์” พระเชษฐาโกมล ก็ตรัสเช่นเดียวกับพระเชษฐาองค์โต
“ขอบพระทัยพี่ทั้งสอง” พระโอรสโกมินทร์ ทรงกราบขอบคุณแนบอกของพระเชษฐา ที่ทรงห่วงใย และรักน้อง
“พี่รักน้อง น้องก็รักและภูมิใจ เช่นเดียวกัน” คำพูดของโกมินทร์ ทำให้โกเมศและโกมลต่างเข้าสวมกอดกันอย่างรักใคร่
“ใช่ เราสามพี่น้องจะรักและสามัคคีตลอดไป” พระเชษฐาทั้งสองเอ่ย ทำให้พระมเหสีที่ดูการกระทำของพี่น้องนึกปิติยินดี ยิ่งนัก ที่ลูกทั้งสามไม่เป็นเหมือนอย่างที่ใครๆเค้าอยากให้เป็น
ตัดฉากมาที่ห้องทรงงานขององค์เหนือหัวโกสุทัม ที่มีอำมาตย์อภิมันมารอเข้าเฝ้า เพื่อคุยเป็นการส่วนตัวกับองค์เหนือหัว โดยเฉพาะ
“ท่านอำมาตย์ ท่านมีเรื่องจะคุยกับเราตามลำพังอย่างงั้นรึ” องค์เหนือหัวโกสุทัม ทรงถาม
“ขอเดชะ พระอาญามิพ้นเกล้า เรื่องนี้ข้าพุทธเจ้าตรึกตรองดูดีแล้วว่าจะควรกราบทูลหรือไม่.......”
อำมาตย์อภิมันต์ มาเข้าเฝ้าด้วยเรื่องของพระโอรสโกมินทร์ ซึ่งคอยยุแยงให้องค์เหนือหัวโกสุทัม ไขว้เขว ว่าการที่ลูกของตัวเองเก่งกาจเกินไป
อาจจะนำอันตราย หรือข้อติฉินนินทาจากเหล่าราษฎร์เป็นอันมาก ที่น้องสามารถเอาชนะพี่ชายทั้งสองได้ทุกเรื่อง แล้วมันก็จะเป็นการดูหมิ่น
พระเกียรติของพระเชษฐาไปด้วย หากแต่พระโอรสโกมินทร์เก่งกว่านั้น ราชบัลลังก์อาจจะสั่นคลอน พี่น้องอาจจะมาต่อสู้กันเอง เพื่อแย่งชิงราชบัลลังก์
จึงทรงกราบทูล ให้พระโอรสโกเมศ และ พระโอรสโกมล ออกไปเรียนวิชาเพิ่มเติม เพื่อจะได้มาครองราชบัลลังก์ สืบต่อไป
หากแต่ความจริงแล้ว เป็นเพียงแผนการณ์ของอำมาตย์อภิมันต์เท่านั้น เพื่อที่จะแยกพี่น้องทั้งสามให้ห่างกัน ไม่ให้เหลือซึ่งความสัมพันธ์เยื่อใยใดๆทั้งสิ้น
เพราะใจคิดอย่างเดียว คือต้องการให้ พระโอรสโกมินทร์เป็นหมาหัวเน่า ไม่มีใครรัก ไม่มีใครต้องการ สืบเนื่องมากจากครั้งก่อน ที่อาศรม พระฤาษี
“พระราชาโกสุทัม พระโอรสองค์น้อยนี้ของพระองค์ ต่อไปในภายภาคหน้าจะมีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่รู้จักกันไปทั่วสารทิศ แพรแดงผืนนี้จะทำให้พระโอรสโกมินทร์มีพลังเหนือผู้ใด”
และด้วยความเป็นพ่อของอำมาตย์อภิมันต์ ที่อยากเห็นลูกมีหน้ามีตากับเค้าบ้าง จึงเข้าไปถามท่านฤาษี ว่ามีของดีอะไรให้ลูกตนหรือเปล่า แล้วพระฤาษีท่านก็ตอบว่า
“ท่านอำมาตย์ แข่งอะไรนั้นแข่งได้ แต่แข่งบุญวาสนานั้นแข่งกันไม่ได้ ทำใจเถอะท่านอำมาตย์ว่าลูกชายของท่านทั้งสอง มิสามารถเทียบกับพระโอรสโกมินทร์ได้”
อาจจะเป็นพระคำพูดของพระฤาษี หรืออาจจะเป็นเพราะความมักใหญ่ใฝ่สูงของตนเอง ท่านอำมาตย์อภิมันต์ จึงคอยว่าร้าย ยุแยงใส่ร้ายพระโอรสโกมินทร์มาโดยตลอด
ท่านอำมาตย์อภิมันต์จึงเล่าเรื่องราวในตอนนั้นให้ลูกชายทั้งสองฟังอีกครั้ง หากแต่มัสกาไม่เห็นด้วย ท่านอำมาตย์จึงดุมัสกาว่า
“มัสกาเจ้านี่ไม่มีความทะเยอทะยานเอาซะเลย”
(แหมมมม!! พ่อแบบนี้ก็มีวุ้ยย)แต่ด้วยความที่มัสกาคิดว่า ตนเป็นเพียงลูกอำมาตย์ เพราะโอรสโกมินทร์เป็นถึงหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ ตนและพายุมิมีอะไรเทียบพระโอรสได้เลย
ความคิดเห็นของมัสกาจึงแตกต่างจากพ่อและพี่ชายโดยสิ้นเชิง ก่อนที่พ่อลูกจะคุยโอ้อวดความใหญ่โตคับบ้านคับเมืองของตนต่อไป หมื่นทะลวง
ก็วิ่งหน้าตาตื่นมาเล่าเกี่ยวกับ ร้านตลาดที่พังเมื่อตอนเช้าให้ฟัง แต่อำมาตยือภิมันต์เห็นว่าเป็นแค่เรื่องเล็กๆ จะไปกราบทูลเหนือหัวใกลุ้มพระทัยทำไม
“เรื่องเล็กแค่นี้ แค่ชาวบ้านตายไปแค่ไม่กี่คน จะไปกราบทูลทำไม”
“แล้วเรื่องลูกนาคราชล่ะ ท่านอำมาตย์”
“ก็แค่วิ่งเล่นเฉยๆไม่ใช่เหรอ อีกอย่าง องค์เหนือหัวทรงเกรงบารมีนาคราชกะโตหลอยู่ คงไม่มีเรื่องอะไรหรอก ปล่อยไปสักพัก เดี๋ยวเรื่องก็เงียบไปเอง”
“เอออ ... ความคิดท่านอำมาตย์ก็ดีนะ”
((เออ !!~ มีทหารแบบนี้ นี่เองเจริญเนอะ !!~))******************************************************