ภาพนี้ใช่ภาพพระศิวะไหมคะ
น้องกาฬรหัสย์ว่า ภาพนี้คือ
อรรถนารีศวรที่มาของ อรรถนารีศวร (ตกลงสะกดไงกันแน่อ่ะ)
พระศิวะที่รวมร่างกับพระแม่อุมานี้ มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า อรรธนารีศวร (अर्धनारीश्वर) ซึ่งมาจากคำ 3 คำรวมกันคือ
1. อรรธ (अर्ध) แปลว่า ครึ่ง (จำนวน), กึ่งหนึ่ง, ทวิเพศ
2. นารี (नारी) แปลว่า นาง, สตรี
3. อีศวร (ईश्वर) แปลว่า ผู้เป็นใหญ่, พระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นคำนี้จึงหมายถึง ภาวะเพศคู่ระหว่าสตรี (พระอุมา)กับพระอีศวร (พระศิวะ) นั่นเอง และยังมีการเรียกอีกอย่างว่า อรรถนารีนเรศวร (अर्धनारीनरेश्वर) โดยคำว่า นเรศวร นั้นก็มาจากคำว่า "นร" ที่แปลว่า มนุษย์หรือผู้ชาย กับคำว่าอีศวร เพิ่มเข้าไปนั่นเอง แล้วบางครั้งก็อาจจะเรียกปางนี้ว่า อรรธนระ อรรธนารี อีศวร (अर्ध नर अर्ध नारी ईश्वर) ก็มี
เมื่อเราทราบความหมายของชื่อปางนี้แล้ว บางท่านก็อาจจะใช้สรรพนามเรียกปางนี้ใหม่ในอีกแบบก็ย่อมได้ เพียงแต่ขอให้เข้าใจว่าปางๆ นี้นั้นสื่อถึงการรวมกันของเพศหญิงกับเพศชาย ดังนั้นจึงมีหลายท่านเรียกปางนี้ต่างกันออกไปเช่น
1. ศิวะศักติ (शिवशक्ति) อันมาจากพระนามของพระศิวะ ที่แปลว่า พลังแห่งเพศชาย, ความดีงาม, ความเป็นบรมสุข, สวรรค์, ผู้อำนวยประโยชน์สุข, สง่างาม, ความเมตตากรุณา กับพระนามหนึ่งของพระอุมาว่า "ศักติ" ซึ่งหมายถึง พลังแห่งเพศหญิง, อำนาจ, พละกำลัง, พรสวรรค์, ความพยายาม, ศักยภาพ, การมีประสิทธิผล, หอกซัด (เหล็ก)
ซึ่งในการเรียกปางนี้ว่า "ศิวะศักติ" แบบนี้ก็คือการนำความหมายเดิมของคำว่า "อรรธนารีศวร" มารวมกันให้เกิดเป็นคำใหม่ อันหมายถึงความเมตตากรุณากับพลังอำนาจนั่นเอง ก็ถือว่าไม่ผิดจากจุดประสงค์เดิมของปางนี้ และทางทิเบตก็มักจะใช้เรียกปางนี้ว่า ศิวะศักติด้วย
2. ศิวะปารวตี (शिवपार्वती) ก็จะคล้ายๆ กับคำว่า "ศิวะศักติ" เพราะเป็นคำที่สื่อตรงไปถึงรูปลักษณ์ของปางนี้ อันเป็นการรวมร่างของพระศิวะกับพระแม่ปารวตีนั่นเอง
3. ศิวะราตรี (शिवरात्रि) ก็จะมาจากคำว่า "ศิวะ" ซึ่งอธิบายไปแล้วในข้างต้น คราวนี้จะมาอธิบายในคำว่า "ราตรี" ให้ฟังทั้งในด้านเทพปกรณัมและอักษรศาสตร์
ราตรี นั้นตามศัพท์ จะหมายถึง กลางคืน, ภาวะที่ตรงข้ามกับสว่าง ดังนั้นจากความหมายนี้ เรามักจะเปรียบพระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นดั่งแสงสว่าง ดังนั้นภาวะตรงข้ามของพระองค์ในรูปแบบ หยิน-หยาง ก็ต้องเป็นภาวะที่มืดมิดนั่นเอง จึงถูกนำมาจับคู่ให้เป็นศิวะราตรี
ราตรีเทวี นั้นมีปรากฏพระนามอยู่ในฤคเวท โดยมักกล่าวพระนามร่วมกับพระสวิตฤ หรือ สุริยเทพ และกล่าวร่วมกับเทวีอุษา โดยมักกว่าว่าพระนางนั้นเป็นพี่สาวของเทวีอุษา และเป็นชายาของสุริยเทพทั้งคู่
พระเทวีราตรี นั้นถือว่าเป็นพระเทวีผู้ให้ความคุ้มครองในเวลากลางคืน เป็นราชินีแห่งเหล่าดาวฤกษ์นักษัตร พระองค์จะคอยคุ้มครองมนุษย์ไม่ให้ได้รับภัยร้ายในเวลากลางคืน เช่น ถูกปล้นชิง, ถูกสัตว์ที่หากินในเวลากลางคืนทำร้าย, การหลงทางในเวลากลาคืน เป็นต้น
ต่อมาในยุคหลังความสำคัญในพระนามเทวีองค์นี้ได้เลือนลางหายไป แล้วต่อมาได้ถูกนำกลับมาใช้ใหม่ โดยยกให้เป็นพระนามหนึ่งของพระอุมา ซึ่งมักจะเรียกโดยรวมว่า "ปางกาลราตรี" ดังจะเห็นได้จากหนึ่งในภาพหรือปางหนึ่งของนวทุรคานั่นเอง
ดังนั้นการเรียกปางอรรธนารีศวร ว่า ศิวะราตรี นั้นก็ถือว่าไม่ผิด โดยมีเหตุปัจจัยมาจากความหมายและมุมมองของแต่ละท่านนั่นเอง
แต่การเรียกปางนี้ว่า "ศิวะราตรี" นั้นการจะเรียกได้ก็ต้องเกิดจากความเข้าใจที่มาที่ไปเสียก่อน
credit :
http://www.hindumeeting.com/forum/index.php?topic=1303.0ใส่คำบรรยายภาพ
รูปนี้ใช่พระศิวะไหม : อรรถนารีศวร
ที่มาของ อรรถนารีศวร (ตกลงสะกดไงกันแน่อ่ะ)
พระศิวะที่รวมร่างกับพระแม่อุมานี้ มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า อรรธนารีศวร (अर्धनारीश्वर) ซึ่งมาจากคำ 3 คำรวมกันคือ
1. อรรธ (अर्ध) แปลว่า ครึ่ง (จำนวน), กึ่งหนึ่ง, ทวิเพศ
2. นารี (नारी) แปลว่า นาง, สตรี
3. อีศวร (ईश्वर) แปลว่า ผู้เป็นใหญ่, พระผู้เป็นเจ้า
ดังนั้นคำนี้จึงหมายถึง ภาวะเพศคู่ระหว่าสตรี (พระอุมา)กับพระอีศวร (พระศิวะ) นั่นเอง และยังมีการเรียกอีกอย่างว่า อรรถนารีนเรศวร (अर्धनारीनरेश्वर) โดยคำว่า นเรศวร นั้นก็มาจากคำว่า "นร" ที่แปลว่า มนุษย์หรือผู้ชาย กับคำว่าอีศวร เพิ่มเข้าไปนั่นเอง แล้วบางครั้งก็อาจจะเรียกปางนี้ว่า อรรธนระ อรรธนารี อีศวร (अर्ध नर अर्ध नारी ईश्वर) ก็มี
เมื่อเราทราบความหมายของชื่อปางนี้แล้ว บางท่านก็อาจจะใช้สรรพนามเรียกปางนี้ใหม่ในอีกแบบก็ย่อมได้ เพียงแต่ขอให้เข้าใจว่าปางๆ นี้นั้นสื่อถึงการรวมกันของเพศหญิงกับเพศชาย ดังนั้นจึงมีหลายท่านเรียกปางนี้ต่างกันออกไปเช่น
1. ศิวะศักติ (शिवशक्ति) อันมาจากพระนามของพระศิวะ ที่แปลว่า พลังแห่งเพศชาย, ความดีงาม, ความเป็นบรมสุข, สวรรค์, ผู้อำนวยประโยชน์สุข, สง่างาม, ความเมตตากรุณา กับพระนามหนึ่งของพระอุมาว่า "ศักติ" ซึ่งหมายถึง พลังแห่งเพศหญิง, อำนาจ, พละกำลัง, พรสวรรค์, ความพยายาม, ศักยภาพ, การมีประสิทธิผล, หอกซัด (เหล็ก)
ซึ่งในการเรียกปางนี้ว่า "ศิวะศักติ" แบบนี้ก็คือการนำความหมายเดิมของคำว่า "อรรธนารีศวร" มารวมกันให้เกิดเป็นคำใหม่ อันหมายถึงความเมตตากรุณากับพลังอำนาจนั่นเอง ก็ถือว่าไม่ผิดจากจุดประสงค์เดิมของปางนี้ และทางทิเบตก็มักจะใช้เรียกปางนี้ว่า ศิวะศักติด้วย
2. ศิวะปารวตี (शिवपार्वती) ก็จะคล้ายๆ กับคำว่า "ศิวะศักติ" เพราะเป็นคำที่สื่อตรงไปถึงรูปลักษณ์ของปางนี้ อันเป็นการรวมร่างของพระศิวะกับพระแม่ปารวตีนั่นเอง
3. ศิวะราตรี (शिवरात्रि) ก็จะมาจากคำว่า "ศิวะ" ซึ่งอธิบายไปแล้วในข้างต้น คราวนี้จะมาอธิบายในคำว่า "ราตรี" ให้ฟังทั้งในด้านเทพปกรณัมและอักษรศาสตร์
ราตรี นั้นตามศัพท์ จะหมายถึง กลางคืน, ภาวะที่ตรงข้ามกับสว่าง ดังนั้นจากความหมายนี้ เรามักจะเปรียบพระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นดั่งแสงสว่าง ดังนั้นภาวะตรงข้ามของพระองค์ในรูปแบบ หยิน-หยาง ก็ต้องเป็นภาวะที่มืดมิดนั่นเอง จึงถูกนำมาจับคู่ให้เป็นศิวะราตรี
ราตรีเทวี นั้นมีปรากฏพระนามอยู่ในฤคเวท โดยมักกล่าวพระนามร่วมกับพระสวิตฤ หรือ สุริยเทพ และกล่าวร่วมกับเทวีอุษา โดยมักกว่าว่าพระนางนั้นเป็นพี่สาวของเทวีอุษา และเป็นชายาของสุริยเทพทั้งคู่
พระเทวีราตรี นั้นถือว่าเป็นพระเทวีผู้ให้ความคุ้มครองในเวลากลางคืน เป็นราชินีแห่งเหล่าดาวฤกษ์นักษัตร พระองค์จะคอยคุ้มครองมนุษย์ไม่ให้ได้รับภัยร้ายในเวลากลางคืน เช่น ถูกปล้นชิง, ถูกสัตว์ที่หากินในเวลากลางคืนทำร้าย, การหลงทางในเวลากลาคืน เป็นต้น
ต่อมาในยุคหลังความสำคัญในพระนามเทวีองค์นี้ได้เลือนลางหายไป แล้วต่อมาได้ถูกนำกลับมาใช้ใหม่ โดยยกให้เป็นพระนามหนึ่งของพระอุมา ซึ่งมักจะเรียกโดยรวมว่า "ปางกาลราตรี" ดังจะเห็นได้จากหนึ่งในภาพหรือปางหนึ่งของนวทุรคานั่นเอง
ดังนั้นการเรียกปางอรรธนารีศวร ว่า ศิวะราตรี นั้นก็ถือว่าไม่ผิด โดยมีเหตุปัจจัยมาจากความหมายและมุมมองของแต่ละท่านนั่นเอง
แต่การเรียกปางนี้ว่า "ศิวะราตรี" นั้นการจะเรียกได้ก็ต้องเกิดจากความเข้าใจที่มาที่ไปเสียก่อน
credit :
http://www.hindumeeting.com/forum/index.php?topic=1303.0พระนารายณ์
พระพิฆเนศ
credit :
http://www.montradevi.org/