ยินดีต้อนรับสู่บ้านอบอุ่นของคนรัก บอย สพล ชนวีร์

รวมรูปภาพ เทพพราหมณ์-ฮินดู - เทพนพเคราะห์

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ นานะจัง

  • *
  • 7234
  • -3
  • เพศ: หญิง
  • นิศาอรพินท์
    • อีเมล์
Re: ภาพเทพพราหมณ์ฮินดู - เทพนพเคราะห์
« ตอบกลับ #30 เมื่อ: พฤษภาคม 08, 2012, 04:19:48 PM »
เอามาฝากค่ะ

<a href="http://www.youtube.com/v/t1BDEEZDScA?version=3&amp;amp;hl=th_TH&quot; type=&quot;application/x-shockwave-flash" target="_blank" class="new_win">http://www.youtube.com/v/t1BDEEZDScA?version=3&amp;amp;hl=th_TH&quot; type=&quot;application/x-shockwave-flash</a>

ออฟไลน์ นานะจัง

  • *
  • 7234
  • -3
  • เพศ: หญิง
  • นิศาอรพินท์
    • อีเมล์
Re: ภาพเทพพราหมณ์ฮินดู - เทพนพเคราะห์
« ตอบกลับ #31 เมื่อ: มกราคม 13, 2013, 10:03:12 PM »



พระศิวะ มหาเทพผู้ทำลายล้าง



พระศิวะ (คนไทยเรียกว่า พระอิศวร) เป็นบิดาของ พระพิฆเนศ มีชายาคือ พระแม่อุมาเทวี พระศิวะทรงเป็นมหาเทพผู้เป็นใหญ่ในจักรวาล หนึ่งใน ตรีมูรติ หรือ 3 มหาเทพสูงสุดแห่งศาสนาพราหมณ์-ฮินดู (พระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ)



พระองค์ทรงประทานพรวิเศษให้แก่ผู้หมั่นกระทำความดี และยึดมั่นในศีลธรรม หากผู้ใดประพฤติเพื่ออุทิศถวายแก่พระองค์แล้วปรารถนาสิ่งวิเศษใดๆ พระองค์ก็จะประทานพรนั้นๆให้ แต่เมื่อได้พรสมปรารถนาแล้ว วันหน้าหากกระทำผิดไปจากความดีงาม ผู้นั้นจะเกิดวิบัติในชีวิต พระศิวะเทพจะเป็นผู้ทำลายทันที!!

มีความเชื่อกันว่าพระศิวะนั้น สามารถช่วยปัดเป่ารักษาเยียวยาอากาศเจ็บไข้ได้ป่วยต่างๆ ได้อย่างมหัศจรรย์นัก!! หากผู้ใดที่เจ็บป่วยหรือต้องการขอพรให้คนในครอบครัวหายเจ็บไข้ได้ป่วย
ถ้ากระทำการบวงสรวงบูชาและขอพรจากพระศิวะ ก็มักปรากฏว่าความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นถูกปัดเป่าให้หายไปได้โดยสิ้นในเร็ววัน

พระองค์เป็นเทพที่จะคอยขับไล่สิ่งชั่วร้ายให้ห่างไกล และทำให้เกิดความดีงามเป็นศิริมงคลเกิดขึ้น ผู้ที่มีความทุกข์ไม่ว่าจะเป็นในทางใด หากบวงสรวงบูชา ขอพรให้พ้นทุกข์ พระศิวะก็จะประทานพรให้ผู้นั้นได้พ้นจากห้วงแห่งความทุกข์ด้วยเช่นกัน

พระศิวะผู้เป็นบิดาแห่งพระพิฆเนศและเป็นสวามีแห่งพระแม่อุมาเทวี
ครอบครัวพระศิวะ พระพิฆเนศ พระแม่อุมาเทวี / image from hinduyuva.org
พระศิวะ นั้นเป็นเทพที่จะอำนวยพรประทานความ
อุดมสมบูรณ์ให้แก่ผู้ที่มีอาชีพเลี้ยงวัว เลี้ยงม้า หรือเลี้ยงแกะ และอาชีพที่เกี่ยวกับการเกษตรทั้งปวง ก็จะมีความสำเร็จและมีความสมบูรณ์พูนสุข หากบวงสรวงบชาพระศิวะ...

นอกจากบทบาทความสำคัญโดยรวมที่กล่าวมาแล้วนั้น อีกบทบาทหนึ่งที่เด่นชัดแยกออกไป จากบทบาทของการเป็นมหาเทพ ผู้ทรงมีพระมหากรุณา ประทานพรแก่มวลมนุึ์ษย์นั้น พระศิวะยังทรงเป็นเทพแห่งคีตา คือเป็นเทพเจ้าแห่งการดนตรี และการร่ายรำ ระบำฟ้อนอีกด้วย

พระศิวะ ผู้เป็นพระเป็นเจ้าแห่งการทำลายล้าง พระองค์เปี่ยมไปด้วยอำนาจ พระพักตร์ของพระองค์แสดงให้เห็นว่าเป็นทั้งชาย เป็นทั้งหญิง เป็นทั้งผู้ใจดี เป็นทั้งผู้ดุร้าย จากชิ้นฝุ่นธุลี ไปจนถึงภูเขาหิมาลัย จากมดตัวเล็กๆ ไปจนถึงช้างตัวใหญ่ จากมนุษย์ไปจนถึงพระเป็นเจ้า อะไรก็ตามที่เราสามารถเห็นได้นั้น เป็นรูปแบบของพระศิวะทั้งหมด

ใน คัมภีร์อุปนิษัท ของฮินดู การท่องคำในพระคัมภีร์ส่วนมากมีคำว่า "ศิโวมฺสวหะ" (ข้าคือศิวะ) หมายความว่า บุคคลผู้มีสติปัญญาทุกๆคน ควรพิจารณาถึงตัวเอง และสิ่งทั้งหลายของสากลโลกเป็นรูปแบบของพระศิวะทั้งสิ้น เมื่อคิดระลึกได้อย่างนี้แล้ว ผู้นั้นก็จะเข้าถึงความสุขความสงบ

กำเนิดของพระศิวะนั้น ปรากฏเป็นเรื่องที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละยุคดังนี้
ยุคพระเวท
เรื่องก็มีอยู่ว่า พระพรหม นั้น เกิดความรำคาญอกรำคาญใจเป็นอย่างยิ่งนัก ที่พระเสโทหรือเหงื่อผุดซึมทั่วพระวรกาย และยังไหลรินย้อยลงทั่วบริเวณพระพักตร์อีกด้วย ในวันอันร้อนอ้าวเช่นนั่น พระพรหมทรงบำเพ็ญภาวนา เพิ่มตบะบารมีให้แกร่งกล้าอย่างมุ่งมั่น เมื่อรู้สึกว่าถูกรบกวนด้วยเหงื่อเช่นนั้น ก็จึงได้นำเอาไม้ไปขูดๆ ที่บริเวณพระขนงหรือคิ้ว โดยมิได้ระมัดระวังองค์นัก คมของไม้นั้นจึงได้บาดบริเวณพระขนงของพระองค์ จนกระทั่งปรากฏพระโลหิตผลุดซึมออกมา และหยาดหยดลงบนกองเพลิงเบื้องหน้าของพระองค์นั้นเอง

ทันทีที่พระโลหิตหยาดหยดลงในเปลวเพลิง ก็พลันเกิดเป็นเทพบุตรองค์หนึ่ง จุติขึ้นมาในเปลวเพลิงนั้น ทันทีที่ถือกำเนิดขึ้นมาเบื้องหน้าพระองค์ เทพบุตรผู้งดงามองค์นี้ก็ได้ร้องไห้ พลางขอให้พระองค์ประทานนามให้แก่ตน ซึ่งพระพรหมได้ประทานให้ถึง 8 นามด้วยกันดังนี้

ภพ สรรพ ปศุบดี อุดรเทพ มหาเทพ รุทร อิศาล อะศะนิ

หลังจากนั้น เทพองค์นี้ก็มีชื่อเสียง เป็นที่นับถือของมนุษย์ทั่วไป โดยส่วนใหญ่แล้วบรรดามวลมนุษย์จะนับถือบูชาเทพบุตรองค์นี้ ในนามของ พระรุทร อันเป็นชื่อ หนึ่งใน 8 นาม ซึ่งนามรุทรนี้มีความหมายแปลได้ว่า ร้องไห้ สำหรับนามอื่นๆ อีก 7 นามนั้นยังไม่เป็นที่นิยมแพร่หลายเท่าไรนัก

ว่ากันว่าพระรุทรเทพบุตรที่มีชื่ออันแปลว่าร้องไห้นี้ เป็นมหาเทพที่มีความยิ่งใหญ่เกรียงไกร มีอำนาจบารมีค่อนข้างสูงนักในยุคพระเวทนี้ และยังเป็นเทพที่มนุษย์ทุกผู้ทุกนามนิยมนับถือบูชากันอย่างจริงจัง โดยนับถือให้พระรุทรเป็นเทพผู้ทำลายล้าง คือทำลายสิ่งที่เลวร้ายให้สะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง แล้วให้พระพรหมสร้างสิ่งที่ดีงามขึ้นใหม่

เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ในสามโลก หนึ่งในตรีมูรติ พระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ
image from photobucket.com   
ยุคมหากาพย์ มหาภารตะ
ในยุคนี้มีความเชื่อกันในเรื่องกำเนิดพระศิวะว่า พระองค์นั้นทรงจุติออกมาจากพระนลาฏ หรือหน้าผากของ พระพรหม จึงเท่ากับว่า พระศิวะ ก็เป็นพระโอรสองค์หนึ่งของ พระพรหม

ยุคไตรเภท
คัมภีร์ในยุคนี้ได้บันทึกถึงกำเนิดพระศิวะว่า ทรงประสูติจาก พระนางสุรภี และพระบิดาก็คือ พระกัศยปะเทพบิดร

คัมภีร์พรหมมานัส
พระศิวะเป็นเทพที่กำเนิดจาก พระประชาบดี มิได้เกิดจากพระโลหิตของ พระพรหม ดังเช่นที่มีการกล่าวไว้ในยุคพระเวท ครั้นเมื่อทรงจุติขึ้นมาแล้วเทพประชาบดีก็ถามพระโอรสว่า เหตุไฉนจึงร่ำไห้โศกาอาดูรตลอดเวลา

พระรุทร หรือเทพบุตรโอรสของพระประชาบดีที่กำลังร่ำไห้อยู่นั้น จึงได้ทูลตอบว่า เพราะว่าพระบิดาไม่ได้ตั้งชื่อ ให้เมื่อไม่มีชื่อก็จึงเสียใจร้องไห้เช่นนั้น พระประชาบดีจึงได้ตั้งชื่อให้โอรสองค์นี้ว่า พระรุทรซึ่งหมายถึงการร้องไห้ และพระรุทรองค์นี้ในคัมภีร์พรหมนัสได้กล่าวไว้ว่า น่าจะหมายถึงองค์ศิวะนั่นเอง

ในคัมภีร์โบราณ ที่ปรากฏอยู่ในหอวชิรญาณ ได้อธิบายถึงประวัติการกำเนิดของพระศิวะไว้ว่า เมื่อโลกได้ถูกเผาด้วยไฟบรรลัยกัลป์จนพินาศโดยสิ้นแล้วนั้น ได้มี คัมภีร์พระเวทและพระธรรม บังเกิดขึ้น และเมื่อพระเวทกับพระธรรมมาประชุมรวมกัน จึงได้บังเกิดเป็นมหาเทพองค์หนึ่งคือ พระปรเมศวร ในคัมภีร์นี้อธิบายการกำเนิดของพระศิวะว่าทรงสร้างพระองค์ขึ้นมาเอง หลังจากการทำลายล้างโลก โดยที่มิได้เป็นโอรสหรือจุติมาจากการนิรมิตสร้างสรรค์ของมหาเทพองค์ใด


credit :http://www.siamganesh.com/shiva.html

ออฟไลน์ นานะจัง

  • *
  • 7234
  • -3
  • เพศ: หญิง
  • นิศาอรพินท์
    • อีเมล์
Re: ภาพเทพพราหมณ์ฮินดู - เทพนพเคราะห์
« ตอบกลับ #32 เมื่อ: มิถุนายน 12, 2014, 11:34:35 AM »
ในทางพุทธศาสนา พระศิวะเป็นใคร? มีจริงไหม?



พระศิวะ หรือ พระอิศวร ตามความหมายของพราหมณ์ คือ พระเจ้าสูงสุด

พระเจ้าสูงสุด พระพุทธองค์เรียกไปทางมหายานว่า อาทิพุทธเจ้า หรือ พุทธะสูงสุด = อสังขตธาตุ ในนิพพาน พระศิวะเป็นผู้สร้างสิ่งมายาี่ใน 3 ภพ ขึ้นมา ด้วยเหตุนี้ พระศิวะก็คือพระธรรม เพราะเป็นต้นกำเนิด 3 ภพ

แต่ผู้ที่เป็นพระธรรมคือ พระพุทธเจ้า เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ พระศิวะจึง = พระพุทธเจ้าองค์ปฐม ซึ่งก็คือ อาทิพุทธเจ้า นั่นเอง แล้วอาทิพุทธก็อวตารลงมาเกิดเป็นพระพุทธเจ้าต่างๆบนโลก จะเห็นได้จากพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกของเถรวาท เล่มที่ 15 ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค หน้า 150 เรื่อง อัคคัญญสูตร ว่า


" ..... ก็ผู้ใดแลมีศรัทธาในพระตถาคตตั้งมั่น เกิดแต่มูลราก ตั้งมั่นอย่าง มั่นคง อันสมณพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ ในโลกให้เคลื่อน ย้ายไม่ได้ ควรจะเรียกผู้นั้นว่า

เราเป็นบุตรเกิดแต่พระอุระเกิดจากพระโอษฐ์ ของพระผู้มีพระภาค เกิดจาก พระธรรม พระธรรมเนรมิตขึ้น เป็น ทายาทของพระธรรมดังนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะคำว่า "ธรรมกาย" ก็ดี "พรหมกาย" ก็ดี "ธรรมภูต" ก็ดี "พรหมภูต" ก็ดีเป็นชื่อของพระตถาคต

พรหมสูงสุดก็คือพระศิวะ(พระนารายณ์/พระพรหม) พระศิวะก็คือพระพุทธเจ้าองค์ปฐม โคตมพุทธเจ้าเป็นอวตารภาคหนึ่งของพระองค์(พระธรรม หรือ อาทิพุทธ)


แต่พระศิวะซึ่ง = พระพุทธเจ้านั้น มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวที่ไม่ยอมเข้านิพพาน คอยดูแลโลกอยู่ คือ พระอวโลกิเตศวร พระอวโลกิเตศวร เป็นแห่งมหากรุณาคุณของพระพุทธเจ้าทั้งปวง ด้วยเหตุนี้ พระศิวะที่วนเวียนคอยช่วยเหลือสรรพสัตว์ในโลกก็คือ พระอวโลกิเตศวร

คำว่า "อวโลกิเตศวร" มาจากคำสันสกฤตสองคำคือ อวโลกิต กับ อิศวร แปลได้ว่าผู้เป็นใหญ่ที่เฝ้ามองจากเบื้องบน หรือพระผู้ทัศนาดูโลก ซึ่งหมายถึงเฝ้าดูแลสรรพสัตว์ที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์นั่นเอง

สรุป

พระศิวะ = พระธรรม = พระพุทธเจ้าองค์ปฐม ซึ่งก็คือ อาทิพุทธเจ้า ท่านอยู่ในพุทธภูมิ และเป็นพุทธะหรือพระธรรมในจิตของเรา

พระศิวะที่วนเวียนใน 3 ภพ คือ พระอวโลกิเตศวร พระองค์ท่านเป็นแห่งมหากรุณาคุณของพระพุทธเจ้าทั้งปวง

crdit : http://group.wunjun.com/whatami/topic/117975-2857

ออฟไลน์ นานะจัง

  • *
  • 7234
  • -3
  • เพศ: หญิง
  • นิศาอรพินท์
    • อีเมล์
Re: ภาพเทพพราหมณ์ฮินดู - เทพนพเคราะห์
« ตอบกลับ #33 เมื่อ: มิถุนายน 12, 2014, 11:37:05 AM »
1. หลักฐานว่า : พระศิวะเปรียบเสมือนพระพุทธเจ้า




ในการถกกันระหว่างพระพุทธเจ้า พระสารีบุตร แลพระโพธิสัตว์(มหายาน)อื่นๆ

ท้าวสนังพรหมกุมาร ได้กล่าวกับพระสารีบุตรว่า
“ขอท่านผู้เจริญอย่าได้ปริวิตก แลกล่าวว่าวพุทธเกษตรนี้ไม่บริสุทธิ์เลย ข้อนั้นเพราะเหตุเป็นไฉน ? เพราะเรานั้นได้เห็นความบริสุทธิ์หมดจดแห่งพุทธเกษตรของพระศากยมุนีเจ้า เปรียบดุจทิพยมณเฑียรแห่งพระอิศวรเทพฉะนั้น.”


2. หลักฐานว่า : พระอวโลกิเตศวร คือ พระพุทธเจ้า(พระศิวะ)ที่ไม่เข้านิพพาน


จากคัมภีร์สหัสภุชสหัสเนตรอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ไวปุลยสมบูรณอกิญจนมหากรุณาจิตรธารณีสูตร

พระอานนท์เถระเจ้า ได้ทูลถามพระพุทธองค์ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระโพธิสัตว์มหาสัตว์พระองค์นี้มีนามอักษราเช่นใดฤๅ ถึงอาจกล่าวแสดงธารณีได้ปานฉะนี้ พระบรมศาสดาตรัสตอบว่า พระโพธิสัตว์องค์นี้มีนามว่า อวโลกิเตศวร, อโมฆบาศโลเกศวร,สหัสประภาเนตร

ดูก่อนกุลบุตร พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์พระองค์นี้ มีฤทธานุภาพไพศาลเหนือการคาดคะเนตรึกคิด ในอดีตกาลล่วงมานับประมาณกัลป์มิได้ มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งได้ตรัสรู้พระสรรเพชุดาญาณ พระนามว่า สัทธรรมวิทยาตถาคต ด้วยพระมหาปณิธานที่เปี่ยมด้วยมหากรุณาคุณอันยิ่งใหญ่ จึงมีพุทธประสงค์จะนิรมิตพระโพธิสัตว์จํานวนมหาศาลให้บังเกิดขึ้น เพื่อยังความสุขศานติให้สําเร็จแก่สรรพสัตว์ แต่แล้วจึงบังเกิดเป็นพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์(องค์เดียว )

ด้วยคติตามพระสูตรข้างต้นนี้ จึงเป็นหนึ่งของข้อมูลที่ว่า พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ทรงได้ตรัสรู้พระโพธิญาณมาแสนนานแล้ว โดยอาศัยนัยยะที่ว่าพระสัทธรรมวิทยาตถาคตทรงจะนิรมาณพระโพธิสัตว์จํานวนมหาศาลเพื่อโปรดสัตว์ แต่กลับมีพระอวโลกิเตศวรเพียงพระองค์เดียว

ดังนั้นพระอวโลกิเตศวรจึงเป็นพระภาคหนึ่งของพระสัทธรรมวิทยาตถาคตเจ้าในอดีต ที่เกิดขึ้นจากพระมหากรุณาจิตของพระตถาคตพระองค์นี้นั่นเอง


หลักฐานว่า : พระศิวะเปรียบเสมือนพระพุทธเจ้า


วิมลเกียรตินิทเทสสูตร ปริเฉทที่ 1 พุทธเกษตร แปลโดยเสถียร โพธินันทะ

ในการถกกันระหว่างพระพุทธเจ้า พระสารีบุตร แลพระโพธิสัตว์(มหายาน)อื่นๆ

ท้าวสนังพรหมกุมาร ได้กล่าวกับพระสารีบุตรว่า

“ขอท่านผู้เจริญอย่าได้ปริวิตก แลกล่าวว่าพุทธเกษตรนี้ไม่บริสุทธิ์เลย ข้อนั้นเพราะเหตุเป็นไฉน ? เพราะเรานั้นได้เห็น ความบริสุทธิ์หมดจดแห่งพุทธเกษตรของพระศากยมุนีเจ้า เปรียบดุจทิพยมณเฑียรแห่งพระอิศวรเทพฉะนั้น.”

พระสารีบุตรกล่าวว่า “แต่เราเห็นโลกธาตุนี้อุดมไปด้วยขุนเขาหุบเหวสูงต่ำ มีขวากหนามอิฐกรวดดิน ทราย เต็มไปด้วยความโสมมสกปรก.”

ท้าวสนังพรหมจึงว่า “จิตของท่านผู้เจริญสูงต่ำไม่สม่ำเสมอเองต่างหากเล่า ท่านผู้เจริญ! มิได้อาศัยพุทธปัญญาทัศนาโลกนี้ ฉะนั้นจึงเป็นโลกธาตุนี้ว่าไม่สะอาดหมดจด ข้อแต่พระคุณเจ้าสารีบุตร อันพระโพธิสัตว์ย่อมเห็นสรรพสัตว์โดยความเป็นสมภาพ มีจิตอันลึกซึ้งบริสุทธิ์ อาศัยพุทธปัญญาเป็นเครื่องอยู่ ฉะนั้น จึงสามารถทัศนาความบริสุทธิ์ของโลกธาตุนี้ได้.”

พระผู้มีพระภาค จึงกดนิ้วพระบาทลง ณ ผืนปฐพี ในทันใดนั้น มหาตรีสหัสสโลกธาตุ ก็มีอันเปลี่ยนแปลง ปรากฏเป็นรัตนอลังการนับแสนโกฏิประดับประดาแล้ว ประชุมชนทั้งปวงพากันอุทานด้วยความมหัศจรรย์ว่า

“สิ่งที่ไม่เคยมีก็มีขึ้นแล้วหนอ”

ต่างเห็นตนของตนเองนั่งอยู่บนปทุมรัตน์อันเป็นทิพย์

พระผู้มีพระภาคจึงตรัสกับพระสารีบุตรว่า “สารีบุตร! เธอจงทัศนาวิสุทธิคุณาลังการแห่งพุทธเกษตรนี้เถิด.”

พระสารีบุตรทูลว่า “อย่างนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สิ่งซึ่งข้อพระองค์มิเคยได้เห็นมาก่อน มิเคยได้ฟังมาก่อน บัดนี้ได้ปรากฏขึ้นแล้วหนอ พุทธเกษตรของพระองค์บริสุทธิ์หมดจดยิ่งนัก.”


ฟ้าเบื้องบนได้ส่งศาสดาในศาสนาต่างๆมาสอนธรรมแก่มนุษย์   แต่ศาสดาเหล่านั้น ก็มีภูมิปัญญาทางธรรมแตกต่างกัน  พระพุทธเจ้าองค์ปฐมเบื้องบนก็ให้ความรู้ในแต่ละเรื่องแตกต่างกัน

โคตมะพุทธเจ้าเป็นผู้รู้มากที่สุด  แต่ท่านก็ไม่ได้สอนทุกเรื่อง  ท่านสอนเรื่องที่จะนำมนุษย์และเทพเข้านิพพานเป็นหลักใหญ่  ด้วยเหตุนี้ มนุษย์จึงต้องพึ่งความรู้ในบางเรื่องจากศาสนาอื่น


crdit : http://group.wunjun.com/whatami/topic/117975-2857

ออฟไลน์ นานะจัง

  • *
  • 7234
  • -3
  • เพศ: หญิง
  • นิศาอรพินท์
    • อีเมล์
Re: ภาพเทพพราหมณ์ฮินดู - เทพนพเคราะห์
« ตอบกลับ #34 เมื่อ: มิถุนายน 12, 2014, 11:40:59 AM »


กำเนิดพระพิฆเนศวร

คัมภีร์ปราณะได้บันทึกไว้ช่วงหลังพุทธศตวรรษที่ 1 กล่าวถึงการกำเนิดพระพิฆเนศในฐานะเทพ และโอรสของพระแม่อุมาเทวีกับพระศิวะเทพ โดยแต่ละตำนานได้กล่าวไว้แตกต่างกัน ดังนี้

ตำนานที่หนึ่ง ปราบอสูรและรากษส

เมื่ออสูรและรากษส ทำการบวงสรวงพระศิวะเพื่อขอพรต่อพระองค์จนได้รับพร สมประสงค์ ต่อเมื่อได้ใจกลับรุกรานเหล่าเทวดาให้ได้รับความเดือดร้อนไปทั่ว จนความถึงพระอินทร์จึงจำต้องพาเหล่าเทวดาทั่งหลายไปขอเข้าเฝ้าพระศิวะเจ้า เพื่อขอให้ทรงหนหนทางหรือผู้ที่จะปราบเหล่าอสูรและรากษสใจพาลเหล่านั้น เมื่อได้ฟังคำร้องทุกข์จากเหล่าเทวดาแล้ว พระศิวะจึงทรงแบ่งกายเป็นบุรุษรูปงามซึ่งจะไปถือกำเนิดในครรภ์ของพระอุมาเทวี เมื่อถึงเวลากำเนิดแล้ว พระองค์จึงทรงให้พระนามว่าพระวิฆเนศวรเพื่อทำหน้าที่ปราบอสูรและรากษสทั้งหลาย เมื่อเสร็จสิ้นการปราบอสูรแล้ว พระองค์จึงทรงมอบหมายให้พระวิฆเนศวรทรงเป็นผู้ขัดขวาง และป้องกันเหล่าผู้มีจิตใจพาลต่างๆ ที่จะมาขอพรจากพระศิวะเพื่อนำไปใช้ในทางที่ผิด รวมทึ้งเป็นผู้คัดสรรเหล่าเทวดาและมนุษย์ผู้ทำกรรมดีและช่วยเหลือให้ค้นพบกับความสำเร็จ จากการขอพรต่อพระศิวะต่อไป

ตำนานที่สอง พระปารวตี (พระแม่อุมาเทวี) ปั้นเหงื่อไหลให้เป็นพระบุตร

เมื่อคราวที่พระปารวตีสรงน้ำอยู่ในอุทยาน พระองค์ทรงนำเหงื่อไคลของพระองค์มาปั้นเป็นหุ่นเทวบุตรรูปงาม และทรงใช้เวทย์มนต์เพื่อให้หุ่นนั้นมีชีวิตขึ้นมา จากนั้นจึงทรงรับสั่งให้เทวบุตรออกไปเฝ้ายังด้านหน้าประตูทางเข้าอุทยาน โดยได้รับสั่งว่าห้ามมิให้ผู้ใดเข้ามาโดยเด็ดขาด เหตุการณ์เป็นเช่นนี้มาโดยตลอดทุกครั้งที่พระแม่อุมาทรงสรงน้ำ ณ อุทยานแห่งนี้ จนกระทั่งเมื่อถึงวันกำหนดเสด็จกลับของพระศิวะ และเมื่อทั้งสองพระองค์พบกันในคราแรกต่างก็จะเข้าไปในอุทยาน อีกฝ่ายก็ปกป้องมิให้ผู้ใดย่างกายเข้าในอุทยานได้ด้วยเทวบุตรทรงได้รับคำสั่งของพระอุมา ห้ามมิให้ผู้ใดล่วงละเมิดเข้าไปยังสถานที่สรงน้ำแห่งนี้ เมื่อเป็นดั่งนั้นพระศิวะจึงทรงสั่งให้บริวารเข้าต่อสู้และได้สังหารเทวบุตร (แต่ในบางคัมภีร์ก็ว่าพระศิวะทรงใช้ตรีศูลตัดเศียรเทวบุตรนั้น บ้างก็ว่าพระวิษณุทรงใช้จักรตัดเศียร)

เมื่อพระปารวตีทรงพบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พระองค์ทรงโกรธและโมโหพระสวามียิ่ง จนถึงกับทำศึกใหญ่ระหว่างทั้งสองพระองค์ ร้อนถึงพระฤาษีนารอด (นารท) ต้องออกรับหน้าเจรจาศึกในครานี้ โดยพระปราวตีได้กล่าวให้พระศิวะผู้สวามีต้องหาหนทางให้เทวบุตรฟื้นชีวิตจึงจะยอมสงบศึกให้

พระศิวะจึงทรงมีคำสั่งให้เทวดาผู้เป็นบริวารเดินทางไปทิศเหนือ และให้ตัดศรีษะของสิ่งมีชีวิตแรกที่พบเพื่อนำมาต่อให้กับเทวบุตรผู้เป็นโอรส ไม่นานนักเทวดาก็เดินทางกลับมาพร้อมกับนำเศียรช้าง (มีงาเดียว) เพื่อมาต่อให้พระโอรส ซึ่งต่อมาจึงทรงตั้งพระนามใหม่ คือ คชานนะ (มีหน้าเป็นช้าง) และเอกทันต (ผู้มีงาเดียว) เมื่อได้ชุบชีวิตฟื้นแล้วพระปราวตีจึงทรงเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ทั้งสองพระองค์ได้ฟังว่าทั้งสองพระองค์ทรงเป็นพระบิดาและพระโอรส ซึ่งฝ่ายโอรสได้ฟังดังนั้นถึงกลับหมอบกราบขออภัยโทษเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของตน พระศิวะทรงพอพระทัยยิ่งนัก ถึงกับประทานพรให้พระโอรสให้เป็นผู้มีอำนาจเหนือเหล่าภูตผีทั้งปวง และทรงแต่งตั้งให้เป็น คณปติ ผู้เป็นใหญ่ในที่สุด

ตำนานที่สาม ขวางคนชั่วที่ต้องการล้างบาป ณ เทวาลัยโสมนาถ และเทวาลัยโสมีศวร

ตำนานกล่าวถึงว่าพระปารวตีได้ทรงนำน้ำที่ใช้ในการสรงน้ำมาผสมเหงื่อไคล ปั้นเป็นเทวบุตรรูปเป็นมนุษย์แต่มีเศียรเป็นช้าง จากนั้นจึงนำน้ำจากพระคงคามาประพรมเพื่อให้มีชีวิตขึ้นมา โดยมีพระประสงค์ให้ไปขัดขวางคนชั่วที่จะไปบูชาศิวลึงค์ เพราะหวังที่จะล้างบาปตนเอง ณ เทวาลัยโสมนาถ และเทวาลัยโสมีศวร เพื่อไม่ให้ตนตกขุมนรก

จากเรื่องเล่านี้ ทำให้ชาวฮินดูทั้งหลายนิยมนำรูปปั้นพระพิฆเนศมาจุ่มน้ำ ณ วัดคเนศจาตุรถี หรือบางครั้งก็จะนำเทวรูปเล็กๆ นำไปทิ้งตามแม่น้ำคงคาด้วยความเชื่อที่ว่า น้ำจากแม่น้ำคงคาจะทำให้พระคเณศมีชีวิตขึ้นมานั่นเอง

ตำนานที่สี่ พระกฤษณะอวตาร

เล่าไว้ว่าเมื่อครั้งพระปารวตียังไม่มีโอรส พระศิวะเทพผู้สวามีจึงให้คำแนะนำว่าให้จัดทำพิธีปันยากพรต (การบูชาพระวิษณุเทพในวันขึ้น 13 ค่ำ เดือนมาฆะ) โดยใช้เวลาในการทำพิธีตลอด 1 ปี ซึ่งหากทำโดยตลอดจนครบก็จะประสบความสำเร็จในการขอบุตร ซึ่งพระกฤษณะจะอวตารมาจุติ ต่อเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามคำของพระศิวะเทพแล้ว เหล่าเทพเทวดาทั้งหลายก็ได้มาร่วมอวยพรกับการถือกำเนิดของพระโอรสพระองค์นี้ รวมถึงเทพศนิ (พระเสาร์) ก็เข้ามาร่วมพิธีอวยพรด้วย ซึ่งพระศนิพระองค์นี้มีเรื่องกล่าวไว้ว่า เมื่อพระองค์ทรงเพ่งมองสิ่งใดมักจะเกิดไฟเผาผลาญสิ่งนั้นๆ จนหมดสิ้นไป

ในคราวเข้าร่วมพิธีอวยพร พระศนิก็ทรงได้ชื่นชมพระโอรส จนเผลอตนเพ่งมองพระโอรสจนเศียรของพระกุมารหลุดกระเด็นไปยังโคโลก (ที่ประทับพระกฤษณะ) พระศิวะจึงมีบัญชาให้พระวิษณุออกตามหาเศียรพระโอรส แต่ก็ไม่ทรงพบต่อมาเมื่อผ่านแม่น้ำบุษปภัทร พระวิษณุทรงแลเห็นช้างนอนหันหัวไปทางทิศเหนือ จึงตัดเศียรช้างนั้นนำกลับมาต่อให้พระโอรส

ตำนานที่ห้า พระศิวะ-พระปารวตีแปลงเป็นช้าง

คราหนึ่งพระศิวะและพระปารวตีได้เสด็จไปยังภูเขาหิมาลัย ได้แลเห็นช้างกำลังสมสู่กัน จึงบังเกิดความใคร่ จากนั้นจึงทรงแปลงกายเป็นช้างและสมสู่กันจนเกิดพระโอรส นามพระพิฆเนศ

ตำนานที่หก พระวิษณุเทพ เปล่งวาจากสิทธิ์ในพิธีโสกันต์

จากที่พระศิวะและพระปารวตีทรงจัดพิธีโสกันต์ให้กับพระโอรสในพิธีฤกษ์คือ วันอังคารจึงได้แจ้งเชิญเทพทั้งหลายทั้งมวลมาเป็นสักขีพยาน แต่คงยังขาดเพียงองค์วิษณุเทพที่ทรงอยู่ระหว่างบรรทม จนเมื่อใกล้เวลาอันเป็นมงคล พระศิวะเทพจึงทรงให้พระอินทร์นำสังข์ไปเป่าเพื่อปลุกให้พระวิษณุเทพตื่นจากบรรทม เมื่อพระวิษณุเทพทรงตืนจากบรรทมด้วยเสียงดังของสังข์ จึงทำให้พระวิษณุเทพพลั่งโอษฐ์ออกไปว่า "ไอ้ลูกหัวขาดจะนอนให้สบายก็ไม่ได้" เพียงวาจานี้ถึงกลับทำให้เศียรของพระโอรสหายไปในทันที เหล่าเทพทั้งหลายเมื่อเห็นดังนี้แล้วจึงปรึกษากันว่า วันอังคารถือเป็นฤกษ์ไม่ดีขอห้ามทำพิธีการมงคลใดๆ ทั้งมวล กลับถึงเรื่อง พระเศียรของโอรสพระศิวะเทพจึงมีบัญชาให้พระวิษณุกรรมไปตัดหัวมนุษย์ที่เพิ่งสิ้นชีวิต ณ ทิศตะวันตก แล้วนำกลับมาโดยเร็ว แต่ในวันนั้นหาได้มีมนุษย์ผู้ใดสิ้นอายุขัยลง พระวิษณุกรรมแลเห็นเพียงช้างพลายงาเดียวเท่านั้นที่สิ้นชีวิตลง จึงตัดหัวช้างพลายตัวนั้นกลับมาถวายพระศิวะเทพ

ในช่วงเวลาที่ศาสนาพุทธกำลังเติบโตในอินเดีย มีเรื่องเล่ากล่าวในตอนนี้ว่า เมื่อเทวดานำหัวช้างมาต่อแต่ก็ยังไม่สามารถทำให้พระโอรสฟื้นชีวิตได้ พระศิวะเทพจึงต้องให้พระวิษณุเทพไปทูลเชิญเสด็จพระศิริมานนท์อรหันต์ ให้โปรดเสด็จมาสวดพระคาถาชินบัญชรจนสำเร็จทำให้พระโอรสฟื้นชีวิต

หรือบ้างก็กล่าวว่าในพิธีโสกัณต์ พระราหูได้เตือนพระศิวะแล้วว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น จึงควรทูลเชิญเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เข้าร่วมพิธีนี้ด้วย แต่พระศิวะเทพก็หารับฟังไม่ บ้างก็ว่าพระอังคารไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมพิธีจึงโกรธแค้น และได้ลอบตัดเศียรพระโอรสไปโยนทิ้งทะเล


credit : http://www.siamganesh.com/story05.html


ออฟไลน์ นานะจัง

  • *
  • 7234
  • -3
  • เพศ: หญิง
  • นิศาอรพินท์
    • อีเมล์
Re: ภาพเทพพราหมณ์ฮินดู - เทพนพเคราะห์
« ตอบกลับ #36 เมื่อ: มิถุนายน 12, 2014, 11:48:45 AM »
ปางต่างๆของพระศิวะ

ปางจักราธนมูรติ (วิษณุวาณุครหมูรติ)
       อันเนื่องจาก พระวิษณุเทพ ได้ทำสงครามกับอสูรบนสวรรค์ และเกิดความเพลี่ยงพล้ำไม่อาจชนะฝ่ายอสูรได้ จึงได้ทำพิธีบูชาพระศิวะเทพขึ้น ซึ่งได้บูชาด้วยดอกบัววันละ 1,000 ดอกทุกวัน จนวันหนึ่งหาดอกบัวไม่ได้พระวิษณุเทพจึงควักลูกตาของตนเพื่อถวายบูชาแก่องค์ศิวะเทพ พระองค์ทรงพอพระทัยมาก จึงประทานลูกล้อ หรือ จักรหินสัญลักษณ์ของพระศิวะเทพเพื่อให้เป็นอาวุธของพระวิษณุต่อไป
ปางนนทิศานุครหมูรติ
       สรังคยานะ เกิดมาไม่มีบุตรสืบสกุล จึงไปขอพระเป็นเจ้า วิษณุเทพได้ประทานบุตรมาให้ตน ด้วยพอใจการบวงสรวงบูชาของฤาษี บันดาลอิทธิฤทธิ์ให้เด็กถือกำเนิดจากสีข้างของพระองค์ ทารกนี้รูปร่างเหมือนพระศิวะ ทรงพระราชทานนาม นนทิเกศวร นนทิเกศวรได้พรจากพระศิวะ ต่อมานนทิได้นำพิธีทรมานร่างกายบน ยอดเขามันธระ เพื่อให้เข้าถึงพระศิวะเจ้า พระศิวะเทพโปรดปรานมาก ทรงปรากฏตัวให้เห็นและรับเอาฤาษีนนทิเป็นหัวหน้ามหาดเล็กรับใช้อยู่ที่เขาไกรลาศ ทรงแต่งตั้งให้เป็นเทพบุตรนนทิเกศวร ส่วนพระชายาของเทพบุตรพระองค์นี้คือ นางสุยาศุบ้างก็ว่า เทพบุตรพระองค์นี้ตัวเป็นมนุษย์ หัวเป็นโค
ปางกิรทารชุนมูรติ
       ท้าวอรชุน (ในมหากาพย์ภารตะ) ทำพิธีบูชาพระศิวะเพื่อขอประทานลูกธนูศักดิ์สิทธิ์ให้ตนเพื่อไปยิงอสูร ท้าวอรชุนได้บวงสรวงอยุ่ที่เขาไกรลาศ พระศิวะใช้มายาแปลงเป็นหมูป่าเข้าทำร้ายพราหมณ์หนุ่มและท้าวอรชุน พราหมณ์หนุ่มต้องการยิงหมูป่า อ้างว่าตนเห็นก่อน แต่ท้าวอรชุนไม่ยอม บอกว่าตนต่างหากที่เห็นก่อนจากนั้นทั้งคู่ก็เลยต้องเดิมพันด้วยการต่อสู้กันก่อน ไม่ว่าท้าวอรชุนจะใช้อาวุธใดก็มีอาจทำร้ายพราหมณ์หนุ่มได้ จนเมื่อท้าวอรชุนทรุดตัวลงกราบ พระศิวะพอพระทัยมอบลูกธนูวิเศษให้ไปปราบอสูร
ปางราวันนานูครหมูรติ
       ทศกัณฐ์ เจ้าเมืองลงกา หลังจากทำสงครามกับ ท้าวกุเบร ได้เสด็จผ่าน เทือกเขาหิมาลัย เห็นว่ามีทัศนียภาพอันน่ารื่นรมย์ ตั้งใจจะเข้าไปชมสถานที่ แต่เจอ นนทิเกศวร หัวหน้ามหาดเล็กของพระศิวะเทพขวางทางไว้ เพราะ เขาไกรลาศ เป็นที่ประทับของพระศิวะเทพและ พระนางปราวตี (พระแม่อุมา) ห้ามผู้ใดล่วงล้ำเข้าสู่เขตพระราชฐาน ทศกัณฐ์โกรธมาก จึงขู่อาฆาตและสาปแช่งว่า นนทิต้องสิ้นชีพด้วยน้ำมือลิง แต่นนทิเกศวรบอกว่า ทศกัณฐ์ต่างหากที่ต้องสิ้นชีพด้วยน้ำมือลิง ด้วยความโมโหอย่างถึงที่สุด ทศกัณฐ์เตรียมจะยกเขาไกรลาศขึ้นทุ่ม แค่โยกเขาด้วยอิทธิฤทธิ์เท่านั้น บรรดาเทวดาและมนุษย์ก็เดือดร้อนหนีกันจ้าละหวั่น พระนางปราวตีได้ทูลขอให้พระศิวะให้แก้สถานการณ์ ทรงใช้เท้าเหยียบที่พื้นลงเบาๆ เพื่อให้เขาไกรลาศตั้งดังเดิม และทรงปราบพยศอสูรทศกัณฐ์จนยอมศิโรราบ
ปางกาลารีมูรติ
       ฤาษีตนหนึ่ง ได้ทำพิธีบูชาสวดมนต์อ้อนวอนขอลูกกับพระศิวะเทพ พระองค์ทรงโปรดการบูชาจึงประทานลูกให้ แต่บอกว่า เด็กคนนี้จะอายุสั้น ฤาษีและภรรยาได้เลี้ยงดูลูกจนอายุ 16 ปี ลูกชายไปได้บวงสรวงต่อพระศิวะระหว่างที่ชะตาถึงฆาตประจวบเหมาะว่า เป็นช่วงที่เด็กคนนี้กำลังบูชาศิวลึงค์อยู่พอดี พระยม-กาลแห่งความตายได้เดินทางจากเมืองนรกมารับตัวเด็กหนุ่ม พระศิวะเห็นดั่งนั้นทรงพิโรธทรงปรากฏกายออกจากศิวลึงค์เข้าเตะพระยม พระยมสู้ฤทธิ์พระศิวะไม่ได้จึงหนีไปพระศิวะประทานพรให้เด็กหนุ่มมีชีวิตเป็นอมตะ
ปางกานันทกามูรติ
       ปางนี้คือปางพระศิวะทำลาย เทพเจ้าแห่งความรัก (กามเทพ) เมื่อ พระนางสตี (ชายาอีกพระองค์หนึ่งของพระศิวะ) เผาร่างตนเองไปนั้น พระศิวะเสียพระทัยมาก และเข้าสู่สมาธิเป็นระยะเวลาอันยาวนาน ในที่สุดเมื่อพระนางมาจุติใหม่ โดยแบ่งภาคมาจากพระแม่ศักติ-ศิวา มาเป็นพระนางปารวตี (พระแม่อุมา) กามเทพต้องทำหน้าที่เพื่อให้พระศิวะเกิดความรัก เพื่อจะได้มีบุตรในการไปปราบอสูรชื่อ ทาราคา ในที่สุดเมื่อทุกอย่างสำเร็จ ทรงมีโอรสขึ้นมาคนหนึ่งชื่อ ขันธกุมาร (หรือ กาติเกยะ หรือ กุมารา หรือ สุภามันยะ อันเป็นพี่น้องแห่งพระพิฆเนศนั่นเอง) เพื่อไปปราบอสูรทาราคาให้สิ้น
ปางอรรธนารีศวร (ครึ่งพระศิวะ ครึ่งพระแม่อุมา)
        ปางนี้เป็นปางครึ่งหญิงครึ่งชายในรูปลักษณ์ทางประติมกรรมนั้น จะแบ่งซีก ระหว่างพระศิวะกับพระอุมา ปางนี้ได้กำเนิดขึ้นครั้งแรก ครั้งเดียว ในสมัยการสร้างจักรวาล กล่าวคือ พระพรหมได้รับภารกิจให้สร้างมนุษย์เพศชายเพียงเพศเดียว แต่เพศชายเพียงอย่างเดียวไม่มีกำลังในการขยายเผ่าพันธุ์ในโลกใด้ ครั้งจะสร้างเพศหญิงขึ้นมาก็ไม่รู้ว่าจะเอาแบบอย่างมาจากไหน พระพรหมจึงต้องบวงสรวงมหาเทวาธิเทวะ มหาเทวะ ศิวะเทพ เพื่อให้เสด็จมาแก้ปัญหาที่ค้างคาใจอยู่ พระพรหมบวงสรวงจนเป็นที่พอใจก็เลยเสด็จมา นับเป็นครั้งแรกที่มาในปางอรรธนารีศวร เพศหญิงและเพศชายที่รวมกันอยู่ในร่างเดียวกัน ทำให้พระพรหมเข้าใจในกำลังเสริมของเพศคู่นี้ อันจะนำมาซึ่งความอุดมสมบูรณ์และชีวิตใหม่

credit : http://www.indiaindream.com










ออฟไลน์ นานะจัง

  • *
  • 7234
  • -3
  • เพศ: หญิง
  • นิศาอรพินท์
    • อีเมล์
Re: ภาพเทพพราหมณ์ฮินดู - เทพนพเคราะห์
« ตอบกลับ #39 เมื่อ: มิถุนายน 12, 2014, 11:54:05 AM »
พระอรรธนารีศวร



ในศิลปะของศาสนาฮินดู มีพระศิวะอยู่ปางหนึ่งซึ่งมีเอกลักษณ์โดดเด่นชวนฉงนอย่างยิ่ง เพราะพระกายด้านขวาเป็นชาย ส่วนด้านซ้ายเป็นหญิง พระศิวะปางนี้มีความเป็นมาอย่างไร? และน่าจะสื่อถึงอะไรกันแน่?

ตามตำนานกล่าวว่า เมื่อแรกสร้างจักรวาลนั้น พระพรหมได้สร้างมนุษย์เพศชายเพียงเพศเดียว แต่เพศชายเพียงอย่างเดียวย่อมไม่สามารถขยายเผ่าพันธุ์ในโลกได้ พระพรหมจึงได้ทำการบวงสรวง ทำให้ศิวะมหาเทพเสด็จลงมาแนะแนวทางแก้ไขปัญหา โดยมาในปางอรรธนารีศวร (Ardhanarishvara) ซึ่งมีทั้งเพศชายและเพศหญิงรวมอยู่ในร่างเดียวกัน

เมื่อพระพรหมได้ยลโฉมของอรรธนารีศวรแล้วก็ถึงบางอ้อ เข้าใจในกำลังเสริมของเพศคู่ อันจะนำมาซึ่งความสมบูรณ์และการถือกำเนิดของชีวิตใหม่

คำว่า อรรธนารีศวร มาจากคำ 3 คำ ได้แก่ อรรธ (ครึ่ง) + นารี (ผู้หญิง) + อิศวร (พระผู้เป็นเจ้า) หมายถึง เทพเจ้าผู้เป็นสตรีครึ่งหนึ่งนั่นเอง บางครั้งก็เรียกสั้นๆ ว่า อรรธนารี (Ardhanari) เฉยๆ

ผู้ชายทางซีกขวาคือ พระศิวะ ส่วนผู้หญิงทางซีกซ้ายคือ พระปารวตี ชายาของพระองค์ โดยในที่นี้พระปารวตีเป็น ศักติ (Shakti) แปลว่า อำนาจหรือผู้ทรงไว้ซึ่งอำนาจของพระสวามี (ซึ่งในที่นี้คือ พระศิวะ)

ลัทธิศักติ (Shaktism) นั้นถือว่าชายาแห่งเทพองค์หนึ่งๆ นี่แหละคือผู้กุมอำนาจที่แท้จริงของเทพองค์นั้น เช่น พระปารวตีกุมอำนาจของพระศิวะ พระสรัสวดีกุมอำนาจของพระพรหม และพระลักษมีกุมอำนาจของพระวิษณุ

สำหรับคุณผู้อ่านที่เป็นชายและออกเรือนแล้ว หากในครอบครัวของคุณดูประหนึ่งว่าผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า แต่เอาเข้าจริงแล้ว อำนาจการตัดสินใจเรื่องใหญ่ๆ เป็นของคุณแม่บ้าน ก็แสดงว่า คุณเข้าข่ายนับถือลัทธิศักติด้วยเช่นกัน…อิอิ ;-)

กลับมาที่ต้นเรื่องกันต่อ เดี๋ยวจะเตลิดไปไกล….พระศิวะในปางนี้มีการตีความกันอย่างหลากหลาย บ้างก็ว่านี่คือ สัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่า พระผู้เป็นเจ้านั้นเป็นทั้งชายและหญิง ไม่ได้เป็นชายอย่างเดียว หรือหญิงอย่างเดียว

บ้างก็ว่า ศิวะอรรธนารีศวรแสดงให้เห็นว่า พลังแห่งเพศชายและพลังแห่งเพศหญิงนั้นเติมเต็มซึ่งกันและกัน ไม่อาจแยกจากกันได้ การตีความแบบนี้ฟังแล้วไปกันได้กับปรัชญายิน-หยาง (ที่คนไทยมักเรียกว่า หยิน-หยาง) ของจีนมากทีเดียว

พระอรรธนารีศวรที่พบส่วนใหญ่มักจะอยู่ในท่ายืน 3 แบบ ได้แก่ อภังค์ (ยืนตรง) ตริภังค์ (ยืนเอียงสะโพกเล็กน้อย) และอติภังค์ (ยืนเอียงสะโพกมากเป็นพิเศษ) อย่างไรก็ดี หากเป็นภาพวาด ก็อาจจะมีท่าทางแบบอื่นอยู่บ้าง เช่น เดินอุ้มพระพิฆเนศ

สัตว์ที่มักจะพบอยู่คู่กับพระอรรธนารีศวร ได้แก่ โคนนทิ ซึ่งเป็นพาหนะของพระศิวะ นอกจากนี้อาจจะมีเสือหรือสิงโตเนื่องจากเป็นพาหนะของพระปารวตีอีกด้วย

มีเกร็ดที่น่ารู้ด้วยว่า แม้พระอรรธนารีศวรจะดูเผินๆ เหมือนชายครึ่ง-หญิงครึ่งอย่างเท่าเทียมกัน แต่การที่ร่างกายด้านขวาเป็นชายและด้านซ้ายเป็นหญิงนั้น มีผู้ตีความว่านี่เป็นการซ่อนความหมายลึกๆ ว่า “ชายใหญ่กว่าหญิง” เพราะในวัฒนธรรมอินเดียถือว่าด้านขวาเป็นด้านที่เหนือกว่าด้านซ้าย

คนที่ตีความแนวนี้ยังบอกอีกว่า หากพระนลาฏ (หน้าผาก) ทางด้านขวามีพระเนตรที่สามของพระศิวะ ด้านซ้ายก็จะเป็นจุดแต้มแดงซึ่งบ่งบอกสถานะของภรรยาหรือผู้คอยรับใช้ สำหรับสัตว์นั้น ก็มักจะมีเฉพาะวัว ไม่ค่อยมีเสือหรือสิงโตสักเท่าไร

นอกจากนี้ พระอรรธนารีศวรยังอาจมีจำนวนพระกรได้หลายรูปแบบ ได้แก่ 2, 3, 4, 6 และ 8 ในกรณีที่จำนวนพระกรเป็นเลขคู่ ร่างกายทั้ง 2 ด้านก็จะมีพระกรเท่าๆ กัน แต่หากมี 3 พระกร ด้านขวา (ชาย) จะมี 2 พระกร ส่วนด้านซ้าย (หญิง) ก็จะมีแค่พระกรเดียว

ทั้งหลายทั้งปวงนี้ดูประหนึ่งจะตอกย้ำว่า “ชายใหญ่กว่าหญิง” แม้จะไม่ชัดเจนก็ตามที

นี่เองที่ทำให้บรรดาพวกศักตะ (Shakta) หรือผู้ที่นับถือลัทธิศักติทนไม่ได้ พวกเขาจึงสร้างประติมากรรมหรือวาดภาพพระอรรธนารีศวรกลับซ้ายขวา คือให้ทางขวาเป็นหญิง ส่วนทางซ้ายเป็นชาย ตามความเชื่อของพวกเขาที่ว่า “หญิงต่างหากเล่าที่ใหญ่กว่าชาย” นั่นเอง

credit : http://www.siamganesh.com/hindu/archives/377

ออฟไลน์ นานะจัง

  • *
  • 7234
  • -3
  • เพศ: หญิง
  • นิศาอรพินท์
    • อีเมล์
Re: ภาพเทพพราหมณ์ฮินดู - เทพนพเคราะห์
« ตอบกลับ #40 เมื่อ: มิถุนายน 12, 2014, 11:57:05 AM »
ตำนานศิวะลึงก์ ตัวแทนแห่งพระศิวะเทพ




ในไทยเรานั้น อาจคุ้นเคยกับกับเครื่องรางหรือวัตถุมงคลอย่างหนึ่ง ที่มีอำนาจสูงส่งด้านโชคลาภ เสน่ห์เมตตามหานิยม ซึ่งเรารู้จักมักคุ้นกันดีในชื่อของ "ปลัดขิก" ปลัดขิกของไทยนั้นมีหลักฐานที่แน่ชัดว่ามีที่มาจาก ศิวลึงค์ ของอินเดีย ตามคติของ ไศวะนิกาย อันเป็นนิกายที่นับถือพระศิวะเป็นใหญ่สูงสุด ในบรรดาเทพเจ้าทั้งหลาย
เครื่องหมายที่เป็นองค์แทนของพระศิวะนั้น ชาวไศวะนิกายใช้รูปของ ศิวลึงค์ หรือเครื่องเพศของชาย เป็นสัญลักษณ์สำคัญโดยให้เหตผลว่า นี่คือสัญลักษณ์แห่งพระผู้สร้าง สัญลักษณ์แห่งการให้กำเนิด คติการนับถือนี้นับว่ามีมานานมากที่สุด มีมานานนับพันๆ ปีมาแล้วและแพร่เขาสู่สยามประเทศผ่านทางวัฒนธรรมขอม และหัวเมืองฝ่ายใต้ด้านมลายู

แต่เป็นที่แปลกที่ว่าหากเราไปในประเทศอินเดียพูดถึง ปลัดขิก กลับไม่มีใครรู้จัก แต่เขารู้จักเครื่องรางชนิดนี้ในนามของ "ศิวะลิงคัม" ซึ่งแท้ที่จริงก็มาจากคำว่า ลิงคะ หรือภาษาไทยคือ ลึงค์ นั่นเอง

กำเนิดของศิวลึงค์นั้น ปรากฏเป็นเรื่องราวที่ค่อนข้างจะแปลกแยก แตกต่างกันออกไป ตามแต่ละคัมภีร์ แต่ละในศาสนาต่างๆ ทางคติพราหมณ์ ซึ่งบางตำราก็กล่าวว่า องค์พระศิวะนั้นทรงตั้งพระทัยที่จะประทานรูปศิวลึงค์ หรือรูปเคารพที่เป็นรูปอวัยวะเพศชาย ให้กับสาวกทั้งหลายทั้งปวงของพระองค์ได้สักการะบูชาแทนพระองค์

ซึ่งการที่ประทานรูปเคารพเช่นนี้ ก็เนื่องมาจากในงานบูชา ตรีมูรติ หรือมหาเทพทั้ง 3 ซึ่งประกอบไปด้วย พระพรหม พระวิษณุ และพระศิวะ ที่จะต้องแสดงพระวรกายให้สาวกได้เห็นเป็นบุญตา

พระพรหมก็ปรากฏพระวรกายออกมาในรูปลักษณ์ที่มี 4 พักตร์ 4 กร ส่วนพระวิษณุก็จะปรากฏพระวรกายมาในรูปลักษณ์ที่เป็นมหาเทพมี 1 พระพักตร์ 2 พระกร แต่สำหรับพระศิวะนั้น ทรงปรากฏพระวรกายในรูปกายที่แปลกแหวกแนวสักหน่อย คือไม่ปรากฏออกมาเป็นรูปองค์เทพโดยตรง แต่กลับแสดงพระวรกายให้ปรากฏออกมาเป็นรูปอวัยวะเพศชาย ซึ่งก็เปรียบเสมือนกับเป็นสัญลักษณ์ของผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือมหาเทพนั่นเอง

ดังนั้นหลังจากงานพิธีกรรมบูชาเทพตรีมูรติ หรือมหาเทพทั้ง 3 พระองค์นี้แล้ว บรรดาสาวกก็ได้สร้างศาลรูปเคารพเทพตรีมูรติทั้ง 3 ตามที่ตนเห็น ซึ่งก็คงจะหมายถึงว่าได้สร้างรูปเคารพเทพตรีมูรติทั้ง 3 ตามที่ตนเห็น ซึ่งก็คงจะหมายถึงว่าได้สร้างรูปเคารพพระพรหมเป็นรูปที่มี 4 พักตร์ 4 กร และสร้างรูปเคารพพระนารายณ์เป็นรูปมหาเทพผู้งดงามมี 1 พระพักตร์ 2 พระกร และสำหรับพระศิวะนั้น สาวกก็ได้สร้างรูปเคารพให้เป็นรูปอวัยวะเพศชาย ตามที่พวกตนได้พบเห็นปรากฏแก่สายตา อันเป็นรูปจำลองเป็นสัญลักษณ์แทนพระศิวะนั่นเอง


ในคัมภีร์โบราณอีกเล่มหนึ่งนั้นได้บันทึกไว้ว่า

ในวันหนึ่ง พระศิวะกำลังร่วมภิรมย์เสพสมกับพระแม่อุมาอัครมเหสี อย่างแสนสุขสันต์ในวิมารของพระองค์บนเขาไกรลาส แต่การเสพสมภิรมย์รักนี้ มิได้กระทำกันในห้องบรรทมส่วนพระองค์แต่อย่างใด พระศิวะและพระแม่อุมาทรงกระทำกันกลางท้องพระโรงเลยทีเดียว ดังนั้นบังเอิญเมื่อเหล่าทวยเทพทั้งปวงที่กำลังจะมาเข้าเฝ้าพระศิวะ ได้พบเห็นเข้า จึงรู้สึกว่าพระศิวะนั้นกระทำการอันไม่บังควร เป็นการอนาจารเป็นอย่างยิ่ง
หากทรงกระทำกันในห้องบรรทมส่วนพระองค์ ก็คงจะไม่ใช่เรื่องผิดแปลกแต่อย่างใด แต่หน้าท้องพระโรงนั้นเป็นที่เปรียบเสมือนห้องรับแขก ที่ย่อมจะต้องมีผู้คนผ่านเข้าออกได้เสมอ และเมื่อทวยเทพผ่านพบเห็นเข้าว่าองค์พระศิวะที่เป็นถึงมหาเทพผู้เป็นใหญ่แห่งเขาไกรลาส กำลังเสพสังวาสกับอัครมเหสีอย่างประเจิดประเจ้อ กลางท้องพระโรงเช่นนั้นจึงพากันรังเกียจเดียจฉัน และเสื่อมศรัทธาในองค์พระศิวะเป็นอย่างมาก

บรรดาทวยเทพจึงได้พากันเย้ยหยันและหมดสิ้นความนับถือยำเกรงในองค์มหาเทพ ต่างก็พากันยืนดูแล้วก็วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเห็นเป็นเรื่องที่น่าสมเพชไป ด้วยเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น พระศิวะทรงโกรธกริ้วเป็นยิ่งนัก จึงได้ทรงประกาศว่า อวัยวะเพศของพระองค์นี้แหละ จะเป็นเสมือนสัญลักษณ์และตัวแทนของพระองค์ ที่บรรดามนุษย์และเทพเทวะทั้งปวง จะต้องกราบไหว้บูชาถ้าต้องการความสุขและความสำเร็จอันงดงามในชีวิต

และอวัยวะเพศหรือศิวลึงค์นั้น ก็จะมีดวงตามหาศาลล้อมรอบศิวลึงค์ถึง 1,000 ดวงตา เพื่อจะได้สามารถมองเห็นได้เด่นชัดในทุกทิศทุกทาง โดยดวงพระทัยและดวงพระวิญญาณขององค์พระศิวะจะสถิตอยู่ด้วย เพื่อคุ้มครองและอำนวยพรให้กับผู้ที่สักการะบูชาศิวลึงค์นั้น เมื่อได้ทรงแล่นถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์มาในขณะที่กำลังเกิดความกริ้วและความอัปยศเป็นที่สุดนั้น ถ้อยคำอันศักดิ์สิทธิ์จึงได้บังเกิดสัมฤทธิ์ผลเป็นจริง

อำนาจของศิวลึงก์

ศิวลึงก์ หรือ ศิวลิงคัม ที่เกิดเองตามธรรมชาตินั้น โยคีแต่โบราณกล่าวว่า มันเกิดจากอำนาจของพระเป็นเจ้าบันดาล ผู้ได้มีไว้ย่อมถือว่าเป็นบุญลาภวาสนาของผู้นั้น อำนาจของศิวลึงค์หรือลิงคัมตามธรรมชาติมีอำนาจนานัปประการ มีพลังเหนือธรรมชาติ

ตามตำนานในเรื่อง รามายณะ หรือ รามเกียรติ์ เล่าไว้ตอนหนึ่งว่า อสูรชื่อ ตรีบุรำ เที่ยวเกะกะระรานชาวบ้าน จนเดือดร้อนไปทั้งสามโลก พระเป็นเจ้ามีบัญชาให้พระนารายณ์กำจัดเสีย แต่พระนารายณ์ก็ไม่สามารถทำอันตรายใดๆได้ เพราะอสูรตรีบุรำทูลศิวลึงค์ไว้เหนือศีรษะของตน พระนารายณ์จึงใช้กลลวงไปชิงเอาศิวลึงค์มาจากอสูรเสียก่อน จากนั้นจึงสังหารได้

อำนาจของศิวลึงค์ตามกล่าวมานี้ ย่อมมีอำนาจในการพิทักษ์รักษาชีวิต มิให้ต้องด้วยสรรพาวุธทั้งหลายและปราศจากอันตรายทั้งปวง

เครื่องหมายแห่งอำนาจและความสำเร็จ

น้อยคนที่จะรู้ว่า ในหลากหลายหน่วยงานและหลากหลายธุรกิจ มีการนำเอาสัญลักษณ์ศิวลึงค์มาเป็นลัญลักษณ์ทางการค้า หรือตราแห่งเกียรติยศ อำนาจของศิวลึงค์ที่ถูกซ่อนไว้นี้แสดงถึงความเชื่อของนักบริหารธุรกิจ ที่เชื่อว่าศิวลึงก์จะสามารถสร้างความเจริญให้แก่องค์กรของตนได้ หรือเชื่อในอำนาจของศิวลึงค์ที่จะปกป้องคุ้มครอง และทำให้หน่วยงานของตนเป็นที่เกรงขาม มีอำนาจเหนือหน่วยงานอื่นและบุคคลทั้งหลายโดยทั่วไป มีอำนาจเหนือกว่าคู่แข่งทางธุรกิจของตน และนำมาซึ่งผลกำไรอันมหาศาล นำมาซึ่งความสำเร็จอย่างสูงสุดของธุรกิจการงาน

เนื่องจากการบูชาศิวะลึงค์นั้น สำหรับผู้นับถือศาสนาฮินดูย่อมเชื่อว่า เป็นการบูชาพระศิวะพระเป็นเจ้าของพวกเขา ดังนั้นการได้กราบไหวศิวะลึงก์นั้นเขาเชื่อว่าเป็นการได้บุญอย่างยิ่ง

credit : http://www.siamganesh.com/shiva_6.html

ออฟไลน์ นานะจัง

  • *
  • 7234
  • -3
  • เพศ: หญิง
  • นิศาอรพินท์
    • อีเมล์
Re: ภาพเทพพราหมณ์ฮินดู - เทพนพเคราะห์
« ตอบกลับ #41 เมื่อ: มิถุนายน 12, 2014, 11:59:26 AM »



พระนามอันหลากหลายของพระศิวะ

มหาเทวะ พระองค์ทรงเป็นเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ พระผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง พระผู้เกิดก่อน ทุกสิ่งทุกอย่างพระผู้ไม่มีวันเกิดและวันตาย พระองค์ทรงมีพระนามมากมาย มีความหมายในตัวเอง พระนามของพระมหาเทวะที่กล่าวถึงในโลก คือ…

1.พระสดาศิวะ (พระผู้เป็นใหญ่แห่งพระศิวะเทพ)

2.พระหะระ (พระผู้ทำลายล้าง)

3.พระมหารุทร (เทพเจ้าแห่งการทำลายล้าง)

4.พระศังกร (เทพเจ้าผู้มีน้ำพระทัยเปี่ยมด้วยพระเมตตาสงสาร)

5.พระปุษกร (พระผู้ทรงทำนุบำรุง)

6.พระปุษกร (พระผู้ทรงทำนุบำรุง)

7.พระอรธิคะมยะ (พระผู้ทรงเห็นใจต่อการอ้อนวอนของผู้กราบไหว้บูชา)

8.พระสดาจาร (เทพเจ้าแห่งการกระทำอันสูงสุด)

9.พระสรวะ (เทพเจ้าผู้อยู่ทั่วไปทุกหนแห่ง,พระผู้ประทานความผาสุข)

10.พระมเหศวร (เทพเจ้ายิ่งใหญ่)

11.พระจันทรปีฑ (พระผู้มีพระจันทร์เสี้ยวเป็นมงกุฏ)

12.พระจันทรเมาลี (พระผู้มีพระจันทร์เสี้ยวอยู่บนเมาลี)

13.พระวิศวัมกเรศวร (เทพเจ้าแห่งแผ่นดิน)

14.พระกาปาลิน (เทพเจ้าผู้ถือหัวมนุษย์ในพระหัตถ์)

15.พระนีลโลหิต (พระผู้มีโลหิตสีน้ำเงิน)

16.พระฑยานาธาร (เทพเจ้าแห่งการทำสมาธิกรรมฐาน)

17.พระอัปริจเจทยะ (พระผู้มีแต่ความลึกลับ)

18.พระโคริภัตรฤ (พระสวามีแห่งพระแม่โครีอุมา)

19.พระคเณศวร (เทพเจ้าแห่งบริวารคณะ)

20.พระอัษฏมูรติ (พระผู้มีรูปร่างทั้ง 8 ประการแห่งจักรวาล)

21.พระวิศวมูรติ (พระผู้มีรูปร่างแห่งจักรวาล)

22.พระตริวรคุ (พระผู้ให้มีการสร้างจักรวาลขึ้นมา)

23.พระเทวะเทวา (เทพเจ้าแห่งเทวะทั้งหลาย)

24.พระตริโลจนะ,พระตรีเนตร (พระผู้มีดวงตาสามดวง)

25.พระวามเทวะ (เทพเจ้าผู้สมควรแก่การกราบไหว้บูชา)

26.พระมหาเทวะ (เทพเจ้าผู้เป็นใหญ่)

27.พระปตุ (พระผู้ประทานซึ่งผลบุญทั้งหลาย)

28.พระทฤฑะ (พระผู้มีความมั่นคงไม่โอนเอน)

29.พระวิศวรูป (พระผู้มีหลายรูปร่างลักษณะ)

30.พระวิรูปากษะ (พระผู้มีดวงตาเป็นเลขคี่)

31.พระวาคิศ (เจ้าแห่งวาทศิลป)

32.พระสุรสัตตัม (เทพเจ้าดีเลิศที่สุด)

33.พระฤษางคะ (เทพเจ้าผู้มีธงเป็นรูปวัว)

34.พระวฤษวาหนะ (พระผู้มีวัวเป็นพาหนะ)

35.พระอีศ (พระผู้เป็นใหญ่เหนือความยิ่งใหญ่ทั้งหมด)

36.พระพินาคิ (พระผู้ทรงคันศรอันยิ่งใหญ่)

37.พระจิรันตนะ (พระผู้เป็นอมตะ)

38.พระตโมหระ (พระผู้ขจัดความโง่เขลาให้หมดสิ้นไป)

39.พระมหาโยคิน (พระโยคียิ่งใหญ่)

40.พระโคปัตฤ (พระผู้ให้ความคุ้มครองรักษา)

41.พระพรหมมาทหฤต (พระดวงจิตแห่งจักรวาล)

42.พระชฏิน (พระผู้มีเกษาเป็นลูกลอน)

43.พระกาลกาล (พระผู้ประหารความตาย)

44.พระกฤตติวาสัส (พระทรงนุ่งห่มด้วยหนังช้าง)

45.พระปราณตาตมัก (พระวิญญาณแห่งผู้ที่มีความจงรักภักดีทั้งหมด)

46.พระปุรุษ (พระวิญญาณยิ่งใหญ่แห่งบรรพบุรุษ)

47.พระชุษยะ (พระผู้มีค่าควรแก่การกราบไหว้บูชา)

48.พระทิวยายุช (พระผู้มีอาวุธอันยิ่งใหญ่)

49.พระสกันฐะคุรุ (พระอาจารย์แห่งพระกุมารสกันฐะ)

50.พระปรเมษทิน (พระผู้ประทับอยู่บนยอดเขาสูงสุด)

51.พระอนาทิมาธยะนิธยะนิธน (พระผู้ที่ไม่มีการเกิดเริ่มต้น ตอนกลางหรือการสิ้นสุด)

52.พระคินีศทิม (เทพเจ้าแห่งภูเขาทั้งหมด)

53.พระคิริชาธวะ (พระสวามีแห่งพระแม่ปราวตี)

54.พระกุเบรพันธุ (พระญาติแห่งพระพระกุเบร)

55.พระศรีกันฑะ (แห่งพระศอ อันมีแสงเป็นประกาย)

56.พระโลกาวรโรตมะ (พระผู้มีวรรณะสูงสุดกว่าวรรณะทั้งหมดในโลก)

57.พระสมาธิเวทยะ (พระผู้เป็นใหญ่แห่งการทำสมาธิรำลึกถึง)

58.พระนีลกัณฑะ (พระผู้มีพระศอสีฟ้า)

59.พระวิศาลากษะ (พระผู้มีดวงเนตรอันกว้างใหญ่)

60.พระสุเรศ (เจ้าแห่งเทพเจ้าทั้งหมด)

61.พระสูรยตามัน (พระผู้เผาไหม้ด้วยแสงอาทิตย์)

62.พระธรรมธยักษะ (พระประธานแห่งคุรธรรม)

63.พระกัษมาเกษตร (เทพเจ้าผู้มีพระทัยกว้างใหญ่ด้วยการให้อภัย)

64.พระภัควัต (เทพเจ้ายิ่งใหญ่)

65.พระภัคเนตรภิต (พระผู้ควักดวงตาของฤษี ภัคคะ)

66.พระปศุปติ (เทพเจ้าแห่งความเมตตาและพระวิญญาณสูงสุด)

67.พระปรันตัป (พระผู้ทำลายข้าศึกศัตรู)

68.พระทยากร (พระผู้เต็มเปี่ยมด้วยความสมเพท)

69.พระกปรทิน (พระผู้มีเกษาเป็นลูกลอน)

70.พระกามศาสัน (พระผู้ทรงลงโทษพระกามเทพ)

71.พระสัมศานนิสัย (เจ้าผู้อาศัยอยู่ ณ เชิงตะกอน)

72.พระมหากรัตฤ (พระผู้สร้างจักรวาล)

73.พระมเหษธิ (แพทย์ที่ยิ่งใหญ่)

74.พระอัมฤตปะ (พระผู้ดื่มน้ำอมฤต)

75.พระมหาเตชัส (พระผู้มีความสง่ายิ่งใหญ่)

76.พระมหาธยุติ (พระนักรบยิ่งใหญ่)

77.พระเตโชมัย (แห่งแสงสว่างยิ่งใหญ่)

78.พระอัมฤตมัย (พระผู้เต็มเปี่ยมด้วยน้ำอมฤต)

79.พระอันนมัย (แห่งอาหารธรรมชาติ)

80.พระสุธาปติ (เทพเจ้าแห่งความยุติธรรม)

81.พระปุราตัน (เทพเจ้าผู้มีความยิ่งใหญ่กว่าธรรมชาติ)

82.พระนิติ (แห่งความยุติธรรม)

83.พระศุทราตมัน (พระวิญญาณบริสุทธิ์)

84.พระอาชาตศัตรู (ไม่มีศัตรูใดที่มีความยิ่งใหญ่ไปกว่าพระองค์ในจักรวาล)

85.พระโลกัณกร (พระผู้สร้างจักรวาล)

86.พระเวทกร (พระผู้ให้กำเนิดพระเวททั้งหมด)

87.พระสนาตัน (พระผู้เป็นอมตะ)

88.พระมหรษี (นักพรตยิ่งใหญ่)

89.พระวิศวทปติ (พระผู้ให้แสงสว่างแก่จักรวาล)

90.พระสุกฤต (พระผู้สมควรแก่การเคารพบูชา)

91.พระสรวัท (พระผู้ประทานทุกสิ่งทุกอย่าง)

92.พระพรหมสฤก (พระผู้สร้างพระพรหม)

93.พระคงคาปละโวทัก (พระผู้ปล่อยให้แม่น้ำคงคาไหลลงสู่โลก)

94.พระคงคาธร (เทพเจ้าแห่งแม่น้ำคงคา)

95.พระวิชัตตาตมัน (พระผู้เอาชนะตนเอง)

96.พระวิเธยาตมัน (พระผู้ควบคุมตนเอง)

97.พระภูตวาหนะสวรธิ (พระผู้มีบริวารและพาหนะเป็นภูตปีศาจ)

98.พระคณะกาย (ด้วยทรงมีบริวารคณะเป็นผู้คุ้มกัน)

99.พระกามบาล (พระผู้ปกป้องแห่งความต้องการทั้งหลาย)

100.พระภัสโมทธูลิตวิฌหะ (พระผู้ทาถูองค์ด้วยขี้เถ้าจากเชิงตะกอน)

101พระภัสมะปรียะ (พระผู้ทรงโปรดแห่งขี้เถ้าจากเชิงตะกอน)

102.พระสมาวรัต (พระผู้ทรงหมุนวงล้อแห่งความมั่นคงของโลก)

103.พระอนิวฤตตาตมา (พระผู้มีดวงวิญญาณที่ไม่รวนเรเปลี่ยนแปลง)

104.พระอกลมัย (พระผู้ไร้บาป)

105.พระจตุรพหุ (พระผู้มี 4 กร)

106.พระทุราสัท (พระผู้ยากแก่การเข้าถึง)

107.พระทุรคม (พระผู้ยากแก่การข้ามพ้นได้)

108.พระทุรคะ (พระผุ้ยากแก่การเข้าถึง)

109.พระสรวายุธวาศารัท (พระผู้มีความชำนาญในการใช้อาวุธทั้งหมด)

110.พระศุภางคะ (พระผู้มีรูปร่างอันเป็นมงคล)

111.พระโลกสารังคะ (พระผู้เป็นสาระสำคัญแห่งจักรวาล)

112.พระอภีรุ (ไม่สามารถเข้าถึงได้ง่าย)

 

113.พระสาธุสาทยะ (พระผู้จะสามารถเข้าถึงได้ด้วยการบำเพ็ญสมาธิเท่านั้น)

114.พระริปุชีวหร (พระผู้ทำลายล้างศัตรู)

115.พระมหาหรัท (น้ำวกวนลึก)

116.พระวฤนทารวันทิต (พระผู้ได้รับการสรรเสริญบูชาจากเทพเจ้าทั้งหมด)

117.พระวยาตรจรมามพร (พระผู้ทรงนุ่งห่มด้วยหนังเสือ)

118.พระวยาลิน (พระผู้มีงูพันพระองค์)

119.พระศัตรุชิต (พระผู้ปราบศัตรูให้หมดสิ้นไป)

120.พระอาศรัม (พระเวทีแห่งชีวิต)

121.พระวายุวาหนะ (ด้วยมีพระวายุเป็นพาหนะ)

122.พระสัตยะพร (อุทิศเพื่อความดีและความซื่อสัตย์)

123.พระอานันทะ (พระผู้ประทานพร)

124.พระทังฑะ (พระผู้งลงโทษ)

 

125.พระทัมยิตฤ (พระผู้อนุรักษ์)

126.พระมหามายา (แห่งพระมายายิ่งใหญ่)

127.พระวีตราคะ (พระผู้ไร้ตัณหาราคะ)

128.พระกัมเลษัณ (พระผู้มีดวงเนตรดอกบัว)

129.พระสรวกรมาลัย (ศูนย์รวมแห่งพิธีกรรมทางศาสนาทั้งหมด)

130.พระมงคลยะ (เทพเจ้าแห่งมงคล)

131.พระที่รฆตัปส์ (แห่งการบำเพ็ญพรตอันยาวนาน)

132.พระปรัมตัปส (เทพเจ้าแห่งการทำกรรมฐานสูงสุด)

133.พระสรวปาปหร (พระผู้ทำลายล้างบางทั้งหลาย)

134.พระหระ (พระผู้กำจัดบาปทั้งหมด)

135.พระกมัณฑลุธร (เทพเจ้าผู้ทรงถือหม้อน้ำมนต์)

136.พระกาลโยคิน (เทพเจ้าผู้รวบรวมเวลาเอาไว้)

137.พระมหานาท (พระผู้มีเสียงอันดัง)

138.พระมโหสาหะ (แห่งความกระตือรือร้นยิ่งใหญ่)

139.พระปุรันทร (พระผู้ทำลายเมืองทั้งหลายที่คล้ายเมืองสวรรค์)

140.พระมหาสุทธิ (แห่งความฉลาดยิ่งใหญ่)

141.พระมหาวีระ (แห่งความกล้าหาญยิ่งใหญ่)

142.พระมโนคติ (พระผู้มีความนึกคิดได้กระจ่างแจ้งรวดเร็ว)

143.พระมันฤตยะปรียะ (พระผู้ทรงให้กำเนิดการเต้นรำ)

144.พระยุคารวตะ (ต้นเหตุแห่งการกำเนิดยุคทั้งหลาย)

145.พระอิษฏะ (พระผู้สมควรแก่การกราบไหว้บูชา)

146.พระสุรคณะ (พระผู้มีเทวะทั้งหมดเป็นบริวาร)

147.พระอปามนิธิ (เทพเจ้าแห่งน้ำ)

148.พระทรุชัย (ไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะพระองค์ได้)

149.พระวิทเยศ (เทพเจ้าแห่งบทโคลงทั้งหมด)

150.พระวาตรูป (แห่งลม)

151.พระตุหะ (เอกลักษณ์ด้วยพรการัตติเกยะ)

152.พระวีเรศวร (เทพเจ้าแห่งนักรบทั้งหลาย)

153.พระคุรุ (พระอาจารยิ่งใหญ่)

154.พระตรีศูลิน (เทพเจ้าผู้ทรงมีตรีศูลเป็นอาวุธ)

155.พระศิวาลัย (เทพเจ้าผู้มีที่ประทับอันเป็นมงคล)

156.พระลลาฏากษะ (พระผู้มีดวงตาอยู่ระหว่างหน้าผาก)

157.พระวีตตะภัย (พระผู้ไม่มีความหวาดกลัว)

158.พระธเยย (พระผู้มีค่าควรแก่การนั่งกรรมฐานรำลึกถึง)

159.พระปราณวะ (พระผู้ริเริ่มคำสวด โอม)

160.พระชันมาธิป (เทพเจ้าแห่งการให้กำเนิด)

161.พระวิภุ (พระผู้อยู่ทั่วไปทุกหนแห่ง)

162.พระลักถาคมปารัค (เทพเจ้าผู้เป็นเจ้าแห่งพระเวททั้งหมด)

163.พระฤษี (นักพรต)

164.พระพรหมณ์ (พราหมณ์ยิ่งใหญ่)

165.พระชันมัมฤตยุราติค (พระผู้อยู่เหนือการเกิดแก่เจ็บและตาย)

166.พระอนาทยันตะ (พระผู้ไม่เคยมีการเกิดและการตาย)

167.พระคายตรีวัลลัภ (พระผู้ทรงโปรดต่อการท่องสวดมนตร์คายตรี)

168.พระสุรศัตรูหา (พระผู้ประหารศัตรูทั้งหลายของเทพ)

169.พระอิษฏเนมะ

170.พระมุกันทะ (พระผู้ประทานพรให้พ้นจากบาปหรือทรงเป็นเอกลักษณ์ด้วยพระวิษณุเทพ)

171.พระวิคตัชวร (ปราศจากความเจ็บไข้)

172.พระสวยัมเชโยติ (พระผู้ทรงมีแสงสว่างในพระองค์เอง)

173.พระอจัมเจล (พระผู้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง)

175.พระกปิลัศมัศรุ (พระผู้มีเคราสีน้ำตาล)

176.พระภาลเนตร (พระผู้มีดวงตาบนหน้าผาก)

177.พระตรยีตนุ (พระผู้มีพระเวทประกอบเป็นรูปร่าง)

178.พระมหานีติ (พระผู้ทรงความยุติธรรมยิ่งใหญ่)

179.พระนาเกศ (พระผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์)

180.พระพฤหัทครถะ (พระผู้มีท้องอันกว้างใหญ่)

181.พระนาคหารัธฤก (พระผู้ทรงสวมใส่เครื่องประดับแห่งงู)

182.พระไวรัญจยะ (พระโอรสแห่งพระพรหม)

183.พระอวตัมภุ (พระผู้ให้กำเนิดพระองค์เอง)

184.พระอนิรุทร (ไม่มีสิ่งใดขัดขวางพระองค์ได้)

185.พระอจล (ไม่เคลื่อนไหว)

186.พระโลหิต (สีแดง)

187.พระตนุนปาต (เทพเจ้าแห่งไฟ)

188.พระพฏษัทศวะ (เทพเจ้าแห่งลม)

189.พระตมิศรหา (พระผู้ทำลายความมืด)

190.พระนิฑาคหะ (แห่งฤดูร้อน)

191.พระเมฆภักษะ (พระผุ้ทำร้ายก้อนเมฆร้าย)

192.พระศิษิราค (แห่งฤดูร้อน)

193.พระปาวัน (แห่งการบวงสรวงบูชา)

194.พระโฆร (พระผู้มีมีความหวาดกลัว)

195.พระจตุรเวท (แห่งพระเวททั้งสี่)

196.พระสหสรมูรธน (เทพเจ้าผู้มีหนึ่งพันเศียร)

197.พระเทเวนทร (เทพเจ้าแห่งเทวะทั้งหลาย)

198.พระเทวอสุรคุรุ (พระอาจารย์แห่งเทพและอสูร)

199.พระเทวเทพอสุรนมัสฤต (เทพเจ้าผู้ทรงได้รับการเคารพบูชาเทพและอสูร)

200.พระเทวตาตมา (พระวิญญาณแห่งเทพเจ้าทั้งหมด)

201.พระติชิ (เทพเจ้าแห่งไฟ)

202.พระพรหมจาริน (พระเจ้าแห่งการพราหมณ์)

203.พระลึงคาธยักษะ (เทพเจ้าแห่งพระสัญลักษณ์ลึงค์)

204.พระยุคาปหะ (พระผู้ทำลายกาลเวลา)

205.พระฆฤณารัณวะ (พระสมุทรแห่งความเมตตา)

206.พระวิโศก (ปราศจากความทุกข์โศก)

207.พระโศกนาศัน (พระผู้ทำลายความโศก)

208.พระตรีโลกบาล (เทพเจ้าแห่งสามโลก)

209.พระอโรกษัช (เอกลักษณ์ด้วยพระวิษณุเทพ)

210.พระปรศิวะ (พระศิวะเทพยิ่งใหญ่)

211.พระไกลาศศิธราวาสิน (พระผู้ประทับอยู่บนยอดเขาไกลาส)

212.พระทรุหิณ (เอกลักษณ์ด้วยพระพรหม)

213.พระสรวารถปริวรตัก (ต้นเหตุแห่งการเปลี่ยนแปลงของทุกสิ่งทุกอย่าง)

214.พระสหัสรารจี (แห่งรัศมีพันสาย)

215.พระอรถานรก (แห่งโชคดีและโชคร้าย)

216.พระนิษกัณฏัก (เทพเจ้าผู้ไร้บัลลังก์)

217.พระสาตตวิก (พระผู้มีความรักเอ็นดู)

218.พระฤตตาคม (พระผู้สร้างอาคม)

219.พระอคมปิต (พระไร้ความหวาดกลัว)

220.พระสุขทะ (พระผู้ให้ความผาสุข)

221.พระอัปราชิต (พระผู้ไม่เคยพ่ายแพ้ผู้ใดเลย)

222.พระศรุติประกาศ (พระผู้เผยแพร่พระเวท)

223.พระภูศายะ (พระผู้ประทับอยู่บนพื้นดิน)

224.พระกาลหานิ (พระผู้ทำลายกาลเวลา)

225.พระศานติปรายัณ (พระผู้ประทานความสงบสุข)

226.พระศุภัท (พระผู้ประทานซึ่งโชคลาภยิ่งใหญ่)

227.พระวิฆันนาคัน (พระผู้ทำลายอุปสรรคร้ายทั้งหมด)

228.พระศุลิน (พระผู้ถืออาวุธร้ายแรง)

229.พระมุณฑิน (พระผู้มีศีรษะโล้น)

230.พระอมฤตยุ (พระผู้ไม่มีวันตาย)

231.พระสรวัทฤก (พระผู้ทรงเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง)

232.พระสิงหะ (เทพเจ้าแห่งสิงโต)

233.พระมหามณี (แห่งเพชรน้ำเอก)

234.พระอนุตตมะ (พระผู้ดีเลิศที่สุด)

235.พระมหาภูช (พระผู้มีพระกรยิ่งใหญ่)

236.พระสรวโยนิ (แห่งต้นกำเนิดของทุกสิ่งทุกอย่าง)

237.พระสตุติปรียะ (พระผู้ทรงโปรดด้วยการสรรเสริญบูชา)

238.พระนิตยสุนทร (เทพเจ้าผู้มีความงามเป็นอมตะ)

239.พระศังกร

240.พระวิศวปติ วศเวศวร

พระนามทั้ง หลายนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ได้พบเห็น และในบางครั้งก็นำเอาพระนามของมหาเทพเหล่านี้นำมากล่าวสวดเพื่อขอพรในสิ่งที่มีความปรารถนา หรือในการ ทำพิธีกรรมบวงสรวงต่างๆ เพื่อที่จะได้รับผลบุญอันเท่าเทียมกับ การได้กราบไหว้บูชาต่อพระศิวะมหาเทพนั่นเอง….

credit : http://www.siamganesh.com/hindu/archives/261#more-261

ออฟไลน์ นานะจัง

  • *
  • 7234
  • -3
  • เพศ: หญิง
  • นิศาอรพินท์
    • อีเมล์
Re: ภาพเทพพราหมณ์ฮินดู - เทพนพเคราะห์
« ตอบกลับ #42 เมื่อ: มิถุนายน 12, 2014, 12:02:22 PM »
พระศิวะ





ตรีศูล อาวุธ พระศิวะ



พระลักษมี



พระลักษมี (สันสกฤต: ลกฺษฺมี) หรือ พระมหาลักษมี เป็นเทพีในศาสนาฮินดู โดยเป็นเทพีแห่งความร่ำรวย โชคชะตา ความรัก ความงาม ดอกบัว และความอุดมสมบูรณ์ รูปเคารพของพระแม่ลักษมีนั้นนอกจากจะพบในศาสนสถานของศาสนาฮินดูแล้ว ยังพบในศาสนสถานของศาสนาเชนและศาสนาพุทธ ในบางแห่งอีกด้วย พระลักษมีนั้นมีความคล้ายคลึงกันกับเทพีของกรีกองค์หนึ่ง คือเทพีอะโฟร์ดิตี้ โดยที่เทพีทั้งสองนี้ ถือกำเนิดจากมหาสมุทรเหมือนกัน และเป็นตัวแทนของความสวยงามเหมือนกันอีกด้วย นอกจากนั้น พระแม่ลักษมี มีกำเนิดจากฟองน้ำ ในคราวเทวดาและอสูร กวนเกษียรสมุทร ทำน้ำอมฤต จึงได้นามว่า ชลธิชา (เกิดแต่น้ำ) หรือ กษีราพธิตนยา(พระธิดาแห่งพระสมุทร) ในขณะที่ผุดขึ้นมานั้นนั่งมาในดอกบัวและมือถือดอกบัวด้วย จึงมีอีกนามหนึ่งว่า ปัทมา หรือ กมลา แต่ในคัมภีร์วิษณุปุราณะจะกล่าวไว้ว่า พระแม่ลักษมีเป็นธิดาของพระฤๅษีภฤคุกับนางขยาติ และยังกล่าวต่อไปอีกว่าพระแม่ลักษมีเป็นมารดา พระกามเทพ ด้วย

พระแม่ลักษมี ผู้ศรัทธาจะถือกันว่าเป็น เทพนารีผู้อำนวยโชค มีน้ำพระทัยเมตตาปราณีอยู่เป็นนิจ เป็นตัวอย่างแห่งนางที่งามตลอดทั้งรูปและกิริยามารยาท มีวาจาเปี่ยมด้วยเสน่ห์และไพเราะ ทั้งถือกันว่าเป็นผู้นำมาซึ่งความเจริญทุกประการ นับกันว่าเป็นผู้อุปถัมภ์บรรดาสตรีทุกชั้น ส่วนรูปมักเขียนเป็นสตรีที่งามยิ่งมี 2 กรอย่างธรรมดา (บางแห่งก็ว่ามี 4 กร) สีกายเป็นสีทองเสื้อทรงสีเหลือง นั่งหรือยืนบนดอกบัวและมือถือดอกบัว

พระแม่ลักษมี เป็นชายาของ พระวิษณุ เมื่อพระวิษณุได้อวตารเป็นพระราม พระแม่ลักษมีก็ได้อวตารตามไปเป็นนางสีดา และเมื่อพระวิษณุอวตารเป็นพระกฤษณะ ในปางกฤษณาวตาร พระวิษณุอวตารเป็น พระกฤษณะ พระแม่ลักษมีก็ไปเป็น พระนางรุกมิณี หรือ พระนางราธาเทวี ในปางปรศุรามาวตารก็ไปอวตารเป็น พระแม่ธรณี ในปางวามนาวตารก็อวตารไปเป็น พระนางกมลา เป็นต้น

คติความเชื่อถือเกี่ยวกับพระแม่ลักษมีในเมืองไทยอาจเห็นว่า ไม่พบมากนักนอกจากปรากฏในวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ ที่เสด็จอวตารลงมาเป็นนางสีดาในรามาวตาร ซึ่งเป็นชนวนเหตุของการรบ ระหว่างทศกัณฐ์ กับพระราม นอกจากนั้นก็ไม่พบได้เด่นชัดนัก

เครดิต :วิกิพีเดีย








ออฟไลน์ นานะจัง

  • *
  • 7234
  • -3
  • เพศ: หญิง
  • นิศาอรพินท์
    • อีเมล์
Re: ภาพเทพพราหมณ์ฮินดู - เทพนพเคราะห์
« ตอบกลับ #43 เมื่อ: มิถุนายน 12, 2014, 12:04:19 PM »
พระศิวะ



พระตรีมูรติ











ออฟไลน์ นานะจัง

  • *
  • 7234
  • -3
  • เพศ: หญิง
  • นิศาอรพินท์
    • อีเมล์
Re: ภาพเทพพราหมณ์ฮินดู - เทพนพเคราะห์
« ตอบกลับ #44 เมื่อ: มิถุนายน 12, 2014, 12:13:18 PM »
ตรีเอกานุภาพ หรือ พระตรีศักติ (English: three goddesses; Sanskrit: त्रिदेवी tridevi)
ตรีเอกานุภาพ หรือ พระตรีศักติ (พระแม่ 3 ภพ) ซึ่งมี (พระแม่สรัสวดี-พระแม่ลักษมี-พระแม่อุมา) ซึ่งเป็นชายา 3 พระองค์ ของ 3 มหาเทพตรีมูรติ ก็เป็นตรีเอกานุภาพ พระตรีมูรติ คือ อวตารรวมของพระเป็นเจ้าทั้งสามองค์ในศาสนาพราหมณ์ อันได้แก่ พระแม่สุรัสวดี(ผู้สร้าง) พระแม่ลักษมี(ผู้ปกป้องรักษา) และ พระแม่อุมา(ผู้ทำลายล้าง)






พลังอำนาจแห่งมหาเทวีทั้ง ๓

พระแม่สรัสวดี คือ ชายาของ พระพรหม (ผู้สร้างโลก)

พระแม่ลักษมี คือ ชายาของ พระวิษณุ (ผู้ดูแลโลก)

พระแม่อุมา คือ ชายาของ พระศิวะ (ผู้ทำลายโลก)



พระแม่สรัสวดี เป็นตัวแทนแห่ง ปัญญาความรู้,ปัญญา,ศิลปะ,วัฒนธะรรม,ความฉลาด
 
พระแม่ลักษมี เป็นตัวแทนแห่ง ความร่ำรวย,สุขภาพ,ความอุดมสมบูรณ์,ผลิตผลทางการเกษร
 
พระแม่อุมา เป็นตัวแทนแห่ง ความมีอำนาจ,ความรัก,พลังจิต

ชาวฮินดูจึงเชื่อว่า การกราบไหว้เคารพบูชาพระแม่หรือมหาเทวีทั้ง 3 พระองค์นี้ด้วยซื่อสัตย์ และมอบความรักความศรัทธาอย่างแรงกล้าแก่พระองค์แล้ว พระองค์ย่อมประทานพรให้ผู้ศรัทธาได้รับทั้งปัญญา ความร่ำรวย และความมีอำนาจอย่างครบถ้วน

ความงามของพระแม่ทั้ง 3 พระองค์นั้นก็มีความงามที่แตกต่างกันไป

โดยผู้บูชาสามารถมองเห็นและรู้สึกได้ทุกคน นั่นคือ


พระแม่สรัสวดี มีความงามแบบ สุขุม นิ่ง เยือกเย็น ดูฉลาด

พระแม่ลักษมี มีความงามแบบ น่ารัก นุ่มนวล อ่อนช้อย ดูอบอุ่น

พระแม่อุมา มีความงามแบบ น่าเกรงขาม ดูเฉียบขาด

credit : http://group.wunjun.com/buddha/topic/186400-4550