ยินดีต้อนรับสู่บ้านอบอุ่นของคนรัก บอย สพล ชนวีร์

พระอังคาร เทพเจ้าแห่งสงคราม

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ นานะจัง

  • *
  • 7234
  • -3
  • เพศ: หญิง
  • นิศาอรพินท์
    • อีเมล์
พระอังคาร เทพเจ้าแห่งสงคราม
« เมื่อ: ธันวาคม 04, 2011, 12:28:13 PM »

ตำนานเพระการติเกยะ (Kartikaya)





เครดิตรูป : http://www.tumnandd.com/


การติเกยะ เป็นโอรสองค์หนึ่งของพระศิวะ บางทีเรียกว่า สกันทะ บ้าง กุมาร  บ้าง สุภรมัณยา บ้าง แต่งทางไทยเราเรียก พระขันทกุมาร  เป็นเทพเจ้าแห่งสงครามหรือผู้บัญชากองทหารเทวดา รูปปฏิมาที่รู้จักทั่วไปคือ เทพเจ้าที่มีโอษฐ์เหมือนปากนกยูง ทรงยูงเป็นพาหนะ มีตรีเป็นอาวุธ ทรงถือคทาและคนโทในพระหัตถ์ การติเกยะได้รับการเคารพบูชาอย่างแพร่หลายในอินเดียภาคใต้ ศิวปุราณะ กล่าวถึงกำเนิดของการติเกยะว่า  อสูร ตารกะ บำเพ็ญบะจนพระพรหมได้ให้พรว่จะไม่ถูกใครเข่นฆ่าได้นอกจากโอรสพระศิวะ (ครั้งนั้นพระศิวะนอกจากโอรสพระศิวะไม่มีโอรส) เมื่อได้พรแล้วอสูรเริ่มเบียดเบียนมนุษย์และเทวดา จนพระอินทร์ต้องยอมมอบม้าของพระองค์ให้
ท้าวกุเวร ต้องสูญเสียม้าทะเลให้หนึ่งพันตัว พวกฤษีต้องมอบโคสารพัดนึกกามเธนุให้ พระจันทร์ พระอาทิตย์ต่างหวาดผวาไม่เป็นอันส่อง เพื่อทำลายอสูรตนนี้ให้ได้เหล่าเทพจึงเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่พระศิวะจะอภิเษกสมรสใหม่เสียที ฉะนั้น พระศิวะต้องอภิเษกกับพระแม่ปรารวตีในเวลาต่อมา

พวกเทวดาได้ส่งอัคนีเป็นตัวแทนไปเฝ้าพระศิวะ พอไปถึงเขาไกรลาส พระศิวะกำลังออกจากห่องพระชายา อัคนี
 จึงแปลงร่างเป็นนกพิราบขโมยน้ำเชื้อพระศิวะ ไปให้พระอินทร์ แต่ไม่สามารถไปได้ตลอด จึงต้องทิ้งลงแม่น้ำคงคา ทันใดกุมาร น้อยองคืหนึ่งก็ได้ถือกำเนิดลผ่ขึ้น มีผิวขาวนวลผ่องดังดวงจันทร์ เจิดจ้าเหมือนดวงอาทิตย์ ฉะนั้น เทพเจ้าองค์นี้จึงมีชื่อต่างๆ ว่า อัคนีภูวะ สกันทะ และ การติเกยะ  ขณะนั้นมีธิดา 6 องค์ของกษัติย์เมืองหนึ่ง กำลังลงสรงที่แม่น้ำคงคา ทอดพระเนตรเห็นเข้ามีความรู้สึกเหมือนโอรสจริงๆ พากันให้กุมารดื่มพระเกษียรธารา ฉะนั้น การติเกยะจึงมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า ษษฏิมาตฤยะ(ผู้มีมารดา 6องค์)  เมื่อเจริญวัยขึ้นการติเกยะได้สำเร็จโทษตารกะ จากนั้นพระพรหม พระวิษณุ และ พระศิวะ พร้อมกับเทพน้อยใหญ่ได้นำการติเกยะไปยังกุรุเกษตร สถาปนาให้เป็นเทพเจ้าแห่งสงครามและมอบอาวุธต่างๆ ให้เป็นของขวัญประจำกาย

จากหนังสือ : ศาสนาฮินดู โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วิทยา ศักยาภินันท์

ออฟไลน์ นานะจัง

  • *
  • 7234
  • -3
  • เพศ: หญิง
  • นิศาอรพินท์
    • อีเมล์
Re: พระอังคาร เทพเจ้าแห่งสงคราม
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ธันวาคม 04, 2011, 12:28:55 PM »
พระอังคาร เทพเจ้าแห่งสงคราม  (กรุณาทำความเข้าใจเกี่ยวกับตัวท่านเสียใหม่)





            ในบรรดาเทพเจ้าแห่งดาวพระเคราะห์ หรือบริวารของดวงอาทิตย์แห่งสุริยระบบ มีพระอังคารองค์เดียวที่ค่อนข้างจะมุทะลุ ดุดัน เจ้าโทสะ ชอบทะเลาะเบาะแว้ง จนเรียกว่า ดาวสงคราม หรือ เทพเจ้าแห่งสงคราม ซึ่งตรงกับลักษณะนิสัยของเทพเจ้าในปกรณัมของกรีก คือ เทพเจ้ามาส์ ซึ่งเป็นดาวนักรบ และมีนิสัยโมโหโกรธา เหมือนกัน

            หากแต่ตำนานต่างๆ ได้ ถูกบืดเบือนและผิดเพี้ยน เสริมแต่ง ด้วยกิเลสของมนุษย์  ซึ่งแท้จริงแล้ว พระอังคาร หรือ พระกรรติเกยะ นั้น หาได้ มีพระลักษณะ นิสัย ใจคอ เช่นนั้นไม่   
           ท่านเป็นคนไม่ชอบสงคราม ไม่ชอบเข่นฆ่า คนจึงมักคิดไปว่า ท่านคือเทพแห่งสงครามนั่นคือยกย่อง โดยที่มนุษย์ ปรุงแต่งให้ท่านเป็น   ท่านชอบถือศีล ชอบความสงบ เป็นนิจ  หากแต่เพราะไม่เคยแพ้พ่ายในศึกสงคราม



พระอังคารนั้น มี 3 ธาตุ อยู่ในร่างกาย

ธาตุหลัก คือ ลมประลัยกัลป์ ไม่ต่างจาก ไฟประลัยกัลป์ ของพระบิดานั่นคือ พระศิวะ 

ธาตุที่ 2  ซึ่งไม่ค่อยมีคนเข้าใจมากนัก แต่ท่านก็มีอยู่ นั่นคือธาตุ น้ำ ซึ่งได้มาจาก พระแม่คงคา

ธาตุที่ 3 เป็นธาตุไฟ  พระอังคารนั้นมี ธาตุไฟแต่เป็น ไฟลมกรดซึ่งจะมีอิทธิฤทธ์มาก ในตอนกลางคืน 

แต่หากเป็นธาตุน้ำนั้น จะมีอยู่มากในตอนกลางวัน เพราะท่านจะเป็นคนนิ่งๆแต่หากการทำสงครามแล้ว ...ศัตรูจะแพ้พ่าย ในทันที หากเป็นเวลากลางคืนเช่นดัง ยักษ์ ตาระกา ที่ท่านสังหารมาด้วยมือของท่านเองด้วยอำนาจแห่งไฟ ที่มักจะออกมาในเวลากลางคืน และโหมกระหน่ำเป็นทวีคุณเมื่อผสมผสานกับ ลมประลัยกัลป์

…………………………………………………………………………………………………………
เครดิต : จากเบื้องบน

ออฟไลน์ นานะจัง

  • *
  • 7234
  • -3
  • เพศ: หญิง
  • นิศาอรพินท์
    • อีเมล์
Re: พระอังคาร เทพเจ้าแห่งสงคราม
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ธันวาคม 04, 2011, 12:29:18 PM »
       
พระอังคาร เทพเจ้าแห่งสงคราม


อินเดีย เรียก พระอังคาร ว่า “มังคลา” ถึงอย่างไรก็ยังคงถือว่าเป็นมูลเหตุให้เกิดสงคราม จึงมีภาวะเช่นเดียวกับ กรรติเกยะ (เทพเจ้าแห่งสงคราม) พระองค์ทรงเป็นโอรสของพระศิวะ และแม่ธรณี เหตุที่เป็นโอรสของนางธรณี พระองค์จึงทรงพระนามที่เรียกว่า อังการคะ เภาวมะ ภูมีบุตร มหิสุต และพระองค์ก็ยังถูกเรียกว่า ศิวะฆะรมาจา (เกิดจากรสอันหวานของพระศิวะ), กากะนลมุข (คบไฟแห่งสวรรค์ – ด้วยดาวอังคารมีสีแดงก่ำ เห็นได้ชัดเจนบนท้องฟ้า สีแดงเหมือนไฟ), โลหิตา (สีแดง), นวฤดี (ผู้มีรังสีทั้งเก้า), กรรติเกยะ (เป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม)

 เทพเจ้ากรรติเกยะ มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า สกันทะ นักรบผู้มีชื่อโด่งดังในมหาภารตยุทธ และ รามายณ บ้างก็ว่า คือ องค์เดียวกับพระอังคาร มีพิเศษอยู่อย่างหนึ่งไม่เหมือนใคร คือ ทรงเป็นโอรสของพระรุทธ หรือ พระศิวะ ซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่ต้องผ่านครรภ์ หรือ ร่างสตรีเรื่องมีอยู่ว่า พระศิวะ ได้นำเชื้อ (อสุจิ) ของพระองค์ หลอมลงไปในกองไฟ แล้วนำมาใส่ในแม่น้ำคงคา จึงเกิดเป็น กรรติเกยะ เพราะเหตุประการฉะนี้ พระองค์จึงมีชื่อเรียกอีกว่า อัคนิภ และ คงคา-ชา ทรงได้รับการเลี้ยงดูจาก กฤติกา (ดาวลูกไก่) นับแต่นั้นมา จึงมี ๖ เศียรพระลักษณะของพระอังคารนั้น มีผู้พรรณาไปหลากหลายความ จนกล่าวว่า กำกวมกันไปก็มี ดังเช่น กล่าวว่า ทรงเหมือนพระอัคนี (ไฟ), คงคา (แม่คงคา) และ บรรพตี (พระชายาพระอิศวร) อย่างไรก็ดี ตำนานของพระอังคารอีกหลายแห่ง ยืนยันว่า พระนางบรรพตี คือ พระมารดาของพระองค์โดยแท้ส่วนใหญ่การอุบัติขึ้นของเทพเจ้าตามคติฮินดู ก็มักจะมีเหตุ อย่างเช่น การอวตารของพระวิษณุแต่ละครั้งก็มีเหตุ ถ้าไม่มีเหตุก็ไม่มีผล


          คัมภีร์ท่านรจนาไว้ว่า พระอังคารอุบัติขึ้นมา ก็เพื่อจะทำลายยักษ์ทาระกะ ยักษ์ทาระกะนี้ เป็น เป็นยักษ์ที่น่ากลัว มักก่อสงครามต่อสู้กับเหล่าทวยเทพเสมอมา กล่าวกันว่า ยักษ์พวกนี้เกิดจากคิติ ซึ่งชักจูงมาโดยกัศยป เป็นสภาวะยักษ์มาร คล้ายความชั่วร้าย ที่ต้องเกิดมาคู่กับเทวดาฝ่ายธรรมะ พวกนี้ การที่รบกับเทวดาได้ ก็ย่อมมีฤทธิ์อันน่าเกรงขาม และมีใบหน้าบึ้งตึง โหดเหี้ยมมาก ทางสวรรค์จึงจำเป็นจะต้องมีนักรบผู้มีฝีมือ กำลังกล้าอย่างพระอังคาร อุบัติขึ้นมาปราบปางที่เสด็จจุติมาปราบยักษ์นี้ พระอังคารเสด็จไปโดยนกยูง อันมีนามว่า ปาราวันนี พระหัตถ์ทรงง้างศร พร้อมที่จะปล่อยออกจากแล่ง พระชายาของพระกรรติเกยะ คือ เกามารี หรือ เสนา การศึกษาพระอังคาร ถ้าศึกษาจากพระนาม หรือ ฉายาของพระองค์ ก็อาจจะทราบเหตุผล และ ชีวประวัติของพระองค์ได้พอสมควร ดังนี้มหาเสนา (นามนี้ หมายถึง เป็นนักรบ เป็นแม่ทัพของแผ่นดิน), เสนาบดี (ก็หมายถึง ปุโรหิต หรือ มนตรีแผ่นดิน ซึ่ง ดาวอังคาร มีความหมายถึงสิ่งนี้ด้วย), สิทธิเสน (ผู้เป็นใหญ่ในกลุ่มนักสิทธิ์ ซึ่งเป็นครึ่งคนครึ่งอมนุษย์ ที่จริงเป็นคนธรรมดา เมื่อบำเพ็ญสมาธิแก่กล้า ก็ไปอยู่ป่าเขา จนมีฤทธิ์ อาจเหาะเหินเดินอากาศได้ บ้างก็ว่า อังคาร คือ เพทยาธร ก็เป็นพวกอมนุษย์ประเภทหนึ่ง อยู่ในกลุ่มเหล่านักสิทธิ์), ยุทธรังคะ หรือ กุมาร (คือ เด็กชาย), คูหะ (ผู้มีความลึกลับหรือซ่อนเร้น), ศักติธร (ผู้ถือหอก เพราะทรงถือหอกเป็นอาวุธ), สุภาพปัญญา (เป็นนามที่ทางอินเดียใช้เรียกพระอังคาร), บุตรแห่งคงคา(ดังได้กล่าวแล้วว่า กำเนิดพระองค์ เกี่ยวข้องกับแม่คงคา จึงทรงถูกเรียกชื่อนี้), สรรู (หมายถึง เกิดในพุ่มไม้หนา), ทรกาชิต (ผู้พิชิตยักษ์ทรกา), ทวาทศ และ ทวาทศจักขุ (ผู้มีมือ ๑๒ มือ มีตา ๑๒ ตา), ริชุกายา (ผู้มีร่างตรง กล่าวคือ พระอังคาร มีลักษณะองอาจผึ่งผาย ยืดหน้าอก ร่างตรง)


         ณ เชิงเขาหิมาลัย มีทางสายหนึ่ง เป็นทางราบเรียบ เกิดจากการแผลงศรจากภูเขาไกรลาสมาทางทิศใต้ มีมูลเหตุดังเรื่องที่จะยกมาอ้างถึง คือ พระอินทร์ กับ กรรติเกยะ (พระอังคาร) ต่างก็ถือตัวว่า มีฤทธิ์ มีกำลังด้วยกันทั้งคู่ จึงตกลงจะประลองกำลังกัน โดยการวิ่งแข่งรอบภูเขาหิมาลัย พอพากันมาถึงเชิงเขา ต่างก็ไม่พอใจ ด้วยทางไม่สะดวก ดังนี้ กรรติเกยะ จึงพุ่งหอกไปยังภูเขา ทำให้เป็นทางยาว หอกคู่มือของพระอังคารนี้ ถูกพุ่งไปยังสัตว์ร้ายมหิงสา และยังนำมาใช้ต่อสู้กับพวกยักษ์ทรกา อันเป็นศัตรูของเทวดา ซึ่ง กรรติเกยะ ประสบชัยชนะในการต่อสู้ทุกครั้งพระอังคารเป็นนักรบฝีมือเข้มแข็ง เพราะว่าพระองค์เกิดแต่แม่พระธรณีกับพระศิวะ



      ในอีกคัมภีร์หนึ่งอ้างว่า พระองค์เป็นโอรสของแม่พระธรณีกับพระนารายณ์ อีกตำราหนึ่งว่า ทรงเกิดจากพระอิศวร โดยยันตพิธี คือ เอาเชื้อพระอิศวรใส่ลงไปในกองไฟ แล้วชุบด้วยแม่น้ำคงคา เพราะเหตุนี้จึงเรียกว่า บุตรพระคงคา ตำนานฝ่ายนี้ดูจะเป็นที่เชื่อถือยกย่องกันมาก อย่างไรก็ดีที่ว่า พระอังคารเป็นโอรสของพระนารายณ์นั้น มีมาในคัมภีร์โบราณว่าพระอังคาร เกิด ณ เมืองอวันติ เป็นกษัตริย์ในวงศ์ภารทวาราชโคคา หรือ วาสิฏฐโคตร พระองค์มีร่างสูงใหญ่ วรรณะดำแดง ทรงพัสตราภรณ์สีแดง ดังนี้ สีแดงจึงเป็นสีของพระอังคาร (ที่จริงสีอันเหมาะกับดาวอังคาร คือ สีม่วงแดง หรือ ชมพู อันเป็นสีแดงเจือทับทิม พระองค์ทรงทัดดอกไม้สีม่วงแดง ทรงศัสตราวุธประจำตน คือ หอก กระบอง และ ศูล -อาวุธเหมือนดาบ แต่ปลายแหลม) ส่วนพาหนะของพระอังคารนั้น ในสมัยเมื่อปราบยักษ์ทาระกะ (ทรกา) ทรงนกยูง บ้างก็ว่า แกะ แต่ในที่แห่งหนึ่งว่า ทรงกระบือ (จากคัมภีร์เฉลิมไตรภพ)

      ในคัมภีร์เฉลิมไตรภพ กล่าวว่า พระอิศวรผู้เป็นเจ้า สร้างพระอังคารด้วยมหิงสา (กระบือ) ๘ ตัว ทรงร่ายพระเวทให้ละเอียดลง แล้วห่อด้วยผ้าสีแดงอ่อน ๆ ของแก้วเพทาย แล้วพรมด้วยน้ำอมฤต ก็เกิดเป็นองค์พระอังคาร เทพเรืองฤทธิ์ขึ้น มีกายเป็นแก้วสีเพทาย (แดงสลัว) บ้างก็ว่าสีลูกหว้า ทรงรัตนโกเมน (แดงแก่)เป็นอาภรณ์ และมีสีวิมานเป็นสีทับทิม (แดง) ทรงราชกาสร (ควาย) เป็นพาหนะ มีหน้าที่รักษาเขาพระสุเมรุ โดยสถิตในอาคเนย์ทิศ (ตะวันออกเฉียงใต้) มีกำลัง ๘ ธาตุลมกรด



ออฟไลน์ มุนานะ

  • *
  • 17
  • 0
  • เพศ: หญิง
Re: พระอังคาร เทพเจ้าแห่งสงคราม
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ธันวาคม 04, 2011, 12:45:30 PM »
ขอบคุณสำหรับข้อมูลค่ะ ข้อมูลแน่นมากเลยค่ะ :icon_eek:

ออฟไลน์ นานะจัง

  • *
  • 7234
  • -3
  • เพศ: หญิง
  • นิศาอรพินท์
    • อีเมล์
Re: พระอังคาร เทพเจ้าแห่งสงคราม
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: มิถุนายน 25, 2012, 01:01:12 PM »
พรแห่งพระขันทกุมาร



เนื่องจากพระองค์คือเทพแห่งสงครามและการต่อสู้ ผู้บูชาพระขันทกุมารทุกคน จึงได้รับความคุ้มครองจากพระองค์
พระองค์จะประทานความกล้าหาญชาญชัย ความเป็นผู้นำผู้อื่น ความมีศักดิ์ศรีในสังคม

นอกจากพระขันทกุมารจะประทาน ความคุ้มครอง แล้ว ยังประทาน กำลังกาย กำลังใจ ในการกระทำการต่างๆให้ลุล่วง
พระองค์ไม่โปรดความอ่อนแอ ขี้ขลาด ลังเลใจ รวมถึงความอิจฉาริษยา

พระขันธกุมารคือตัวแทนแห่งความองอาจ คล่องแคล่วว่องไว ความยุติธรรมและการเรียกร้องความถูกต้อง
การจะได้มาซึ่งชัยชนะของพระขันทกุมารคือการโหมพละกำลังเข้าต่อสู้กับอสูร มีความกล้าได้กล้าเสีย
พระขันธกุมารมีอิทธิฤทธิ์มหาศาล พละกำลังที่พระองค์ใช้ปราบอสูรนั้นเปรียบดั่งพละกำลังของพระศิวะและพระแม่ทุรการวมกัน

ผู้บูชาพระขันทกุมารจะได้รับกำลังใจในการต่อกรกับปัญหาต่างๆ รวมถึงการได้รับความยุติธรรม พ้นจากการถูกเอาเปรียบกลั่นแกล้ง
พระองค์ยึดมั่นในเกียรติยศศักดิ์ศรียิ่งกว่าสิ่งใด ทำให้กษัตริย์ มหาราชา ผู้ครองแคว้นต่างๆ ตลอดจนนักการเมือง นิยมบูชาพระขันทกุมาร

พระขันทกุมาร ปรากฎทิพยรูปในลักษณะของเด็กหนุ่มรูปงาม พระพักต์ผ่องใส สดชื่น แสดงถึงพลังแห่งชายหนุ่มผู้ไม่หวาดหวั่นกับสิ่งใด
ฉลองพระองค์ในชุดขุนศึกสมัยโบราณ ภาพวาดบางภาพมีเสื้อเกราะ หอกศักติ (หอกรูปดอกบัวตูม เป็นหอกแห่งขุนศึก) ประคำหลากสี
พระขันธกุมารมีสัตว์พาหนะคือ นกยูง



คาถาบูชาพระขันทกุมาร

มีหลายบทเลือกสวดบทใดบทหนึ่ง (หรือสวดทั้งหมด)
***** ก่อนการสวดบูชาพระขันทกุมาร จะต้องสวดมนต์ต่อพระพิฆเนศก่อนเสมอ *****

1. โอม สกัณทะ ยะนะมะฮา

2. โอม การติเกยะ นะมะฮา

3. โอม ศรี สะระวัน ภะวายะ นะมะฮา

5. โอม มูรุกัน นะมะฮา

5. โอม ชยะ ศรี มหา สกันทายะ นะมะฮา

6. โอม ไจย ปิไลยาร์ มูรุกัน นะมะฮา
(คือการสวดบูชาพระพิฆเนศและพระขันทกุมารพร้อมกัน)

7. โอม ชยะ ชยะ มหาวีระ ภัควาน ศรี สกันทะ นะโม นะมะฮา

8. โอม ตัตปุรุศายะ วิทมาเห
มหาเสนา ยะ ดีมาฮี
ตันโน สกันทะ ประโจธยาตุ

9. โอม ศักติธาริณัม ตาระกะชิตัม ทวาทศการัม
สะระชัม เกราญจะภิทัม ยุทธรางคัม อุชุกายัม คังคาปุตรัม
มนุระอาสสะนัม เทวัม นะมามิ

10. โอม สะกันทะ เทวะ ชนะมาเรนัง อานุรัก ขันตุ
ทุติยัมปิ สะกันทะ เทวะ ชนะมาเรนัง อานุรัก ขันตุ
ตะติยัมปิ สะกันทะ เทวะ ชนะมาเรนัง อานุรัก ขันตุ





พระวิษณุเทพ มอบมงกุฎและเครื่องประดับเพชรพลอย

พระศิวะเทพ พระบิดา มอบตรีศูล คันศร ลูกศร พินาค ขวาน ปาศุปัต

พระพรหมเทพ มอบด้ายสายสิญจน์ หม้อน้ำมัณฑลุ ลูกธนูพรหมศาสตร์และยุทธศาสตร์ในการทำลายศัตรู พร้อมด้วยมนต์คายตรี

พระอินทร์ มอบช้าง อสุนีบาต

พระวรุณ มอบภาชนะใส่น้ำอมฤต

ท้าวกุเบร มอบไม้อาญาสิทธิ์

กามเทพ มอบลูกธนูแห่งรักและปรารถนา

มหาสมุทรน้ำนม มอบเพชรพลอย กำไลข้อเท้า

พญาครุฑ มอบโอรส คือ พระจิตพรหัณ ให้รับใช้

พระอรุณ มอบไก่แจ้ตามรจูฑ

พระนางปารวตี หรือ พระแม่อุมาเทวี พระมารดา มอบพลังอำนาจ

พระลักษมี มอบทรัพย์สมบัติของล้ำค่า

พระสรัสวดี มอบสิทธิวิทยา ความรู้อันสูงสุดแห่งโยคะ

พระขันทกุมารก็เสด็จไปเป็นผู้ปราบตาระกาสูร อสูรที่กล่าวมาเมื่อตอนต้นนั่นเอง


เครดิต :   http://www.siamganesh.com/sakanda.html