ยินดีต้อนรับสู่บ้านอบอุ่นของคนรัก บอย สพล ชนวีร์

เทพสามฤดู ภาคอดีตชาติ

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

kalrahud

เทพสามฤดู ภาคอดีตชาติ
« เมื่อ: พฤษภาคม 28, 2008, 12:03:15 PM »

มีคนบังคับให้เอามาลง   :P

จริงๆ แต่งไว้ตั้งแต่ตอนที่เทพสามฤดูจบใหม่ๆ แล้วค่ะ    ได้แรงบันดาลใจมาจากฉากหนึ่งในละคร   ที่พระราหูนึกถึงอดีตชาติ แล้วเห็นสุวรรณอัมพร ตอนเป็นนางฟ้าบนสวรรค์

เนื้อเรื่องจะดำเนินมาช่วงก่อนที่ พระพิรุณ พระราหู  จินดาเมลา จะลงไปเกิดเป็นเทพสามฤดู 

แต่จนป่านนี้ก็ยังแต่งไม่จบ   เพราะไม่ได้แต่งต่อเลยตั้งแต่ขึ้นมหาลัย

ตอนนี้ติดโปรเจ็คอื่นที่ต้องเร่งเขียนอยู่ 2-3 เรื่อง  (ถ้าทำโปรเจ็ค 2-3 เรื่องพวกนี้จบ   ก็จะได้หลุดพ้นจากวังวนบ่วงกรรมได้ซะที   ดังนั้น จึงต้องเร่งแบบไม่สามารถแตะเรื่องนี้ได้เลย)

เอาเป็นว่า  ใครยังไม่ได้อ่านก็ลองอ่านกันสนุกๆ (สนุกเปล่าหว่า??) ก่อนนะคะ 





บทที่ ๑

   ลำแสงสีเพลิงประภัสสรสว่างโชติช่วงประดุจอัคนีบาตพวยพุ่งเข้าปะทะกับลำแสงสีฟ้าชุ่มฉ่ำเยือกเย็น ปรากฏเสียงระเบิดกึกก้องและกระจายตกลงมาดังหยาดดอกไม้ไฟระย้ายับ ก่อนจะค่อย ๆ ร่วงหล่นลงไปยังพื้นพิภพแห่งเหล่ามนุษยชาติ

   เทวบุรุษรูปงามสง่าทรงอาภรณ์สีเศวต ลดพระขรรค์แก้วในหัตถ์ลง และเสด็จดำเนินตรงเข้าไปหาเทวบุรุษรูปงามคมคายอีกองค์หนึ่ง  ผู้มีวรกายล่ำสัน เกศาหยักศก และมีพระทาฐะ (เขี้ยว) แหลมเล็กที่มุมโอษฐ์รับกับวงพักตร์งดงาม  ทรงอาภรณ์สีนิล ถือกระบองแก้วศัสตราวุธประจำองค์ในหัตถ์

   “หม่อมฉันจำเป็นต้องไปแล้วพระเจ้าค่ะ  ถึงเวลาที่ฝนจะต้องตกตามฤดูกาลแล้ว”

   พระพิรุณ เทพแห่งฝนตรัสกับพระราหู เทพกึ่งอสูรผู้เปรียบประดุจเชษฐาร่วมอุทร

   “ไปเถิด วันนี้พี่ก็จะกลับไปบำเพ็ญภาวนาต่อเช่นกัน” พระราหูทรงตบอังสาอนุชาผู้ร่วมสาบานกันมา พร้อมทั้งเทพแห่งฝนประณตหัตถ์อัญชลีลา
……………………………………………………………………………………………………..


   พิรุณเทพทอดพระเนตรลงไปเบื้องล่าง ก่อนโปรยสายฝนเป็นรางวัลแก่ความอดทน อุตสาหะของชาวโลกและธัญพืช

   “ฝนตกแล้วหรือเพคะ”

   เทพธิดาจินดาเมขลาทรงแย้มโอษฐ์สดชื่นอย่างยินดียิ่งนักเมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นสายฝนแรก นางทรงโฉมงดงามหาสตรีใดเทียบได้ยากทั้งสามโลก ทรงอาภรณ์สีเหลืองนวลภูษาเขียวแก่ดุจใบพฤกษา อุษณีษ์ จุมพฏ กรองศอ และพาหุรัดเรืองรองบอกศักดิ์แห่งเทวี  (ชุดที่จินดาใส่ตอนอยู่บนสวรรค์ครั้งแรกค่ะ…นางฟ้าที่สังเกตดูเค้าไม่ค่อยเปลี่ยนชุดกันเลย)

   “ใช่! ฝนแรกแห่งฤดูกาล” พิรุณเทพทรงเอื้อนเอ่ยตรัสบอกแก่นาง ผู้เปรียบประดุจขนิษฐาองค์เล็กแห่งเทพราหูแลเทพพิรุณ

   จินดาเมขลาเทวีถลาร่อนออกจากวิมาน เหาะเริงเล่นสายฝนที่ซัดสาดกระหน่ำ พร้อมชูดวงจินดาแวววาวล้ำค่าขึ้นโยนเล่น แสงแก้วทอประกายวาววับดั่งแสงวัชรชวาลา (ฟ้าแลบ)

   “อย่าเพลินนักนะ… จินดา ประเดี๋ยวจะถูกสายวิชชุดาขององค์อัมรินทร์เข้า”

   เทพธิดาโฉมงามทรงเหาะเหิน โยนดวงจินดาขึ้นรำร่ายท่ามกลางม่านพิรุณ เวียนวนไปมาอย่างระเริงหทัย

   เปรี้ยง !!

   เสียงกัมปนาทหวั่นไหวดังสะเทือนเลื่อนลั่นประดุจว่านภาลัยจักถล่มทลาย พร้อมสายอสุนีบาตฟาดเฉียดองค์นาง จินดาเมขลาก้มลงหลบเข้ากลีบเมฆาแล้วเหลียวไปทอดเนตรที่มาของอสุนีบาตและเสียงที่กึกก้องยิ่งกว่าฟ้าคำรณอันผิดแปลกปรากฎการณ์ธรรมชาติ

   “รามสูร!”

   อสุราร่างมหึมาสูงใหญ่ดำทะมึนตระหง่านง้ำควงขวานในมือไปมาพร้อมฟาดฟันสายวิชชุดา หมายให้ต้ององค์นาง

   “จินดาเมขลา! เจ้าจงมอบดวงจินดาให้แก่ข้าแต่โดยดี” รามสูรคำรามกึกก้องลำพอง

   “หากแน่จริงเจ้าก็เข้ามาช่วงชิงไปเองสิ” เทพธิดาเมขลาทรงท้าทายหาเกรงกลัวไม่ แล้วโยนดวงจินดาขึ้นเล่นเยาะหยัน อสุราโกรธเกรี้ยวใหญ่ เขวี้ยงขวานอันเป็นศัสตราวุธเข้าใส่นางเทวี

   เทวธิดาทรงเหาะซ่อนหลีกหลบแต่มิหนีไปไหน หากคอยเย้ายั่วให้อสุรายิ่งเกรี้ยวกราดฮึกเหิมมากขึ้นทุกขณะ

   “จินดาเมขลา… เจ้าอย่าบังคับให้ข้าต้องทำร้ายเจ้าเลย จงเลิกท้าทายข้า และมอบดวงจินดามาแต่โดยดี!”

   จินดาเมขลาเทวีหยุดนิ่ง ลอยองค์อยู่เหนือท้องนภากาศและหันกลับมาเผชิญพักตร์ต่ออสูรร่างทะมึนอย่างมิหวาดหวั่นแม้แต่เพียงน้อยนิด

   “เจ้ามิต้องมาขู่เราหรอก ดวงจินดานี้เป็นของเรา เราหรือจักยอมมอบดวงจินดาล้ำค่านี้นี้ให้แก่เจ้าผู้เป็นอสูรเจ้าเล่ห์  หากเจ้าจักทำร้ายเราก็เชิญ อย่ามัวแต่ขู่อยู่เช่นนี้เลย”

   รามสูรชะงักงันกับคำตรัสจากเทพธิดาโฉมงาม แผดเสียงร้องก้องอย่างคั่งแค้นใจราวฟ้าพิโรธ  เขวี้ยงขวานเข้าใส่นางเป็นพัลวัน

   “จินดาเมขลา… ระวัง!” สุรเสียงจากพิรุณเทพร้องเตือนนางอย่างหนักพระทัยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนเองก็ทำอะไรได้ไม่มากนัก เพียงแค่ซัดสายพิรุณให้กระหน่ำหนักยิ่งขึ้นเป็นม่านพลาหกคอยบังตามิให้รามสูรเห็นจินดาเมขลาได้ถนัดเท่านั้น

   “จินดา! ลงมาเถิด” พระพิรุณทรงเตือนอีกครั้ง หากเทวธิดาหาได้ฟังไม่ ยังคงเชิดดวงจินดาร่อนร่ายหลอกล่อรามสูรให้ไล่ตามไม่หยุดยั้ง

   กระแสวายุพัดหมุนวนรุนแรงผ่านม่านหมอกพิรุณพุ่งตรงเข้าหาเทพแห่งสายฝน  ปรากฏร่างเทวบุรุษรูปงามสง่าประทับยืนเคียงข้างกัน

   “พระพาย!”

   “พระพิรุณ… ไยท่านจึงไม่คิดช่วยนาง” เทพแห่งวาโยโบกพัดพายุใหญ่หมายขับไล่อสุรา หากถูกเทพแห่งฝนปรามไว้ทัน

   “อย่า… พระพาย พวกเราทำอย่างนั้นไม่ได้” พระพายทอดพระเนตรวงพักตร์อีกฝ่ายเป็นเชิงถาม “หากเราทำร้ายรามสูรหรืออสูรตนใดตนหนึ่ง ก็เท่ากับว่าเราเปิดสงครามระหว่างเทพและอสูรโดยตรง”

   พระพายลดหัตถ์ลงอย่างขัดพระทัย

   “แล้วจะช่วยจินดาเมขลาได้อย่างไร”

   มิทันที่พระพิรุณจะได้ทรงตอบ ประกายอสุนีบาตจากขวานแห่งรามสูรก็ตกลงมาระเบิดยังที่ ๆ เทวบุรุษทั้งสองประทับยืนอยู่ สนั่นกึกก้องพร้อมขวานที่พุ่งตรงเข้าหาจินดาเมขลาอย่างที่มิอาจหลีกหลบได้

   “จินดาเมขลา!!”

   สุรเสียงจากพระพิรุณและพระพระพายสะท้านก้องด้วยความตระหนก

   หากยังมิทันที่ขวานอันทรงฤทธาแห่งรามสูรจะได้สัมผัสต้ององค์นาง ลำแสงร้อนแรงเพลิงก็พวยพุ่งเข้าแทรกสกัดกั้นกลาง และผลักดันขวานอสุราให้กระเด็นออกไปไกล

   “เจ้าพี่ราหู!”

   จินดาเมขลาเทวีและพิรุณเทพทรงอุทานอย่างดีพระทัย

   เทพราหูคงจะเป็นเทวาเพียงผู้เดียวที่จักสามารถต่อกรกับอสุราทั้งหลายได้โดยมิต้องเกรงให้เกิดสงคราม

   รามสูรเหลียวมองเจ้าของพลังอานุภาพที่เข้ามาสกัดอำนาจขวานแห่งตนไว้อย่างเจ็บแค้น  ก่อนจะย่อกายให้เล็กลงเท่าเทียมเหล่าเทพเป็นบุรุษหนุ่มกำยำ เข้ามาประจันพักตร์กับเทวบุรุษกึ่งเทพกึ่งอสูรที่ประทับสง่าเหนืออากาศธาตุ

   “เทพราหู! ท่านทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”

   “เจ้าก็รู้อยู่แก่ใจดีแล้ว ยังจะต้องให้เราอธิบายอีกหรือ รามสูร” อสุรเทพทรงย้อนกลับ “เจ้าเบียดเบียนต้องการของ ๆ ผู้อื่น หนำซ้ำยังเป็นอันธพาลคอยระรานเหล่าเทวดานางฟ้าไปทั่ว”

   รามสูรแค่นหัวเราะเยาะเย้ยเพราะความคั่งแค้น

   “ฮะ… ฮะ… ถือดีว่าท่านเป็นผู้เดียวที่ได้ดื่มน้ำอมฤตกระนั้นหรือ จึงไปเข้ากับพวกเทพ ข่มเหงอสูรด้วยกันเช่นนี้”

   “เราก็คือเรา…อสูรหรือเทพก็ไม่ต่างกัน… ไม่มีอนใดจะต้องเปลี่ยน  เจ้าเป็นฝ่ายผิดไล่ชิงดวงจินดาจากจินดาเมขลา แล้วเจ้าจะให้เราช่วยเจ้างั้นหรือ”

   รามสูรสุดปัญญาจะหาข้ออ้างใด ๆ นอกจากจะเอ่ยหยาบหยามในเชื้อสายกึ่งเทพกึ่งอสูรของอีกฝ่ายได้เท่านั้น

   “ราหู! ท่านคิดหรือว่าพวกเทพจะยอมรับท่านโดยง่ายเช่นนี้ ถึงอย่างไรเชื้อสายอสูรในกายของท่านก็ทำให้ท่านหนีความเป็นอสูรไม่พ้นหรอก… ฮ่า… ฮ่า… ฮ่า…”

   เทพราหูมิอาจเย็นพระทัยกับคำถากถางของอสุราได้อีก จึงเอ่ยโอษฐ์ขับไล่อสูรต่อหน้าเหล่าเทวดานางฟ้าทั้งหลาย

   “หยุดดูหมิ่นเราและกลับไปเสียเถิดรามสูร อย่าให้เราต้องใช้กำลังกับเจ้าเลย”

   “ท่านขู่ข้ารึ” รามสูรเกรี้ยวกราดอับอาย

   “เรามิได้ขู่”  เทพราหูทรงย้ำชัดพร้อมแบหัตถ์เปล่งรัศมีสีขาวเจิดจ้าพุ่งเข้าปะทะร่างทะมึน  อสุรายกขวานขึ้นยั้งไว้ แต่ก็มิอาจทานกำลังของอีกฝ่ายได้ สุดท้ายก็ผงะเซไป

   “กลับไปซะเถอะ รามสูร เรามิอยากจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่เปิดสงครามระหว่างฝ่ายเทพและฝ่ายอสูรขึ้นมา”

   รามสูรนิ่งงัน มองเหล่าเทพเทวีที่รายล้อมอยู่อย่างชั่งใจ ก่อนจะยอมล่าถอยจากไป

   จินดาเมขลาประณตหัตถ์กราบเชษฐาองค์ใหญ่  ด้วยซาบซึ้งพระราชหฤทัย

   “ขอบพระทัยเพคะ ที่เข้ามาช่วยน้องไว้ทัน”

   “ไม่เป็นไรหรอกจินดา… แต่ต่อไปนี้เจ้าต้องระวังตัวให้มากขึ้นนะ รามสูรคงอาฆาตเจ้ามากพอดู” นางเทวีพยักพักตร์รับ

   และท่ามกลางม่านหมอกที่เริ่มสร่างซา  เทวบุตรองค์หนึ่งเหินถลาลงมาหยุดตรงหน้าเทวบุรุษและเทวธิดาทั้งสี่

   “มีอะไรเหรอ ท่านมาตุลี” พระพิรุณทรงตรัสถามมาตุลีเทพบุตร  เทพผู้รองบาทองค์อิศเรศ ผู้มีอารมณ์ขำขันได้ตลอดเพลา

   “แหะ ๆ … เมื่อกี้ข้าได้เห็นการต่อสู้ของเทพราหูและรามสูร ช่างดุเดือดเผ็ดมันมาก” มาตุลีเทพบุตรสาธยาย เป็นที่ขบขันแก่เหล่าเทวดานางฟ้าทั้งหลาย

   “อ้าว เช่นนั้นแล้วทำไมท่านไม่เข้ามาร่วมวงกับพวกเราด้วยเล่า” พระพายทรงสัพยอก  ด้วยคุ้นเคยกันดี

   “โอย… ยังไม่ถึงเวลาที่ข้าจะต้องลงมือเองหรอก”

   “ท่านมาตุลีมีเรื่องอะไรรึ” พระราหูตรัสถามเมื่อชักเห็นว่าเทพมาตุลีออกนอกเรื่องไปเยอะแล้ว

   “เออ ข้าลืมไป องค์อิศราทรงมีรับสั่งให้เทพธิดาจินดาเมขลาเข้าเฝ้า” มาตุลีตรัสพร้อมอัญชลีเหนือเกศถึงองค์พระสยมภูวญาณผู้เป็นใหญ่เหนือไตรภพ

   “ทรงมีพระประสงค์สิ่งใด ท่านพอจะทราบบ้างไหม” จินดาเมขลารำพัน เทพมาตุลีได้แต่เพียงสั่นเศียรเร่งให้นางรีบไปเฝ้าเท่านั้น
…………………………………………………………………………………………………………………


   จินดาเมขลาเทวีระยอบหมอบองค์ลงกราบแทบพระบาทองค์พระสยมภูวนาทที่ประทับสถิตเหนืออาสน์บัลลังก์ทอง
ณ ไกรลาสคีรี

   “ได้ยินว่าเจ้ามีเรื่องกับรามสูรอีกแล้วหรือ” พระองค์ตรัสด้วยกระแสปรานี มิได้ทรงพิโรธโกรธาแต่อย่างใด  อาจจะด้วยชินชาต่อพฤติกรรฒนี้เสียแล้ว

   นางแย้มสรวลน้อย ๆ แหงนเงยพักตร์ทอดเนตรเจ้าผู้เป็นใหญ่เป็นการยอมรับโดยดุษฎี  องค์พระสยมภูวญาณทรงสบเนตรกับดวงนัยนาดำขลับสดใสดุจดาราด้วยเอ็นดูยิ่งนัก

   “เจ้าน่ะ คะนองนัก มิกลัวเกรงสิ่งใดเลย  รู้มิใช่หรือ... รามสูรมิได้หมายปองเพียงดวงจินดาของเจ้าเท่านั้น”  พระกระแสรับสั่งปุจฉานั้น  มิได้ต้องการวิสัชณา  หากคือ ความห่วงหา!

   “รามสูรไม่กล้าทำอะไรหม่อมฉันหรอกเพคะ” นางกราบทูลหนักแน่น ให้คลายพระทัย

   “ยังไงก็อย่าประมาท...” ทรงนิ่งไปสักครู่ก่อนจะตรัสออกมา ด้วยความที่ทรงศักดาเหนือสามโลก ทำให้มิอาจแสดงความในพระทัยได้อย่างชัดเจน  “พระราหูและพระพิรุณเป็นห่วงเจ้ามากนะ”

   เทพธิดาโฉมงามหลุบเนตรลง ก้มพักตร์รับอย่างมิอาจเอื้อม ก่อนจกตรัสถามการณ์สำคัญ (จำได้ว่าเคยอ่านเรื่องย่อ องค์อิศรารักจินดาตั้งแต่อยู่บนสวรรค์แล้ว)

   “พระองค์ทรงเรียกหม่อมฉันมา มีอันใดหรือเพคะ”

   ดวงจิตบริสุทธิ์สีขาวเรืองระยิบระยับดุจหมู่ดาราสองกลุ่มค่อย ๆ ล่องลอยขึ้นมายังพิมานที่ประทับแห่งองค์พระสยมภูวญาณ หมุนวนลอยไปมาก่อนจะลงสู่พื้นสีทองคำอร่าม กลับกลายเป็นสตรีงามโสภาผ่องพรรณสองนางเคียงคู่กัน หมอบราบประณตหัตถ์ถวายอัญชลีแด่ผู้เป็นใหญ่เหนือสามโลก ดุจดั่งรูปสลักประติมากรรมแห่งพระวิศวกรรม ที่บรรจงสรรค์สร้างขึ้น งดงามหาที่ติไม่ได้

………………………………………………..................................................



ขอย้ำอีกครั้งค่ะ  ว่าเรื่องนี้ ยังดองอยู่  แต่ก็ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ  การที่ยังมีคนอ่านอยู่ เป็นกำลังใจให้กาฬคิดอยู่เสมอว่า กาฬจะต้องแต่งให้จบให้ได้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 28, 2008, 12:10:08 PM โดย กาฬรหัสย์ »

pakwarn

Re: เทพสามฤดู ภาคอดีตชาติ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พฤษภาคม 31, 2008, 11:19:26 PM »
กรี๊ดดดดดดดดด

ขอบคุณคะพี่กาฬฯ หวานเคยอ่านครั้งหนึ่งคะ แล้วก็เซฟไว้ด้วย แต่ว่า

คอมโดนไวรัส :'( แล้วก็กลับไปหาไม่เจอเลยอ่ะคะ ฮิๆ ขอบคุณคะๆ  ;D ;D ;D

bobenz

Re: เทพสามฤดู ภาคอดีตชาติ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: มิถุนายน 01, 2008, 10:55:18 AM »
พี่ก็เคยอ่านมาแล้วค่ะในดีด้าเก่า ชอบมากๆเลย แต่แต่งให้จบนะคะน้อง มันจะสะดุด อิอิ  ;)

ออฟไลน์ maycute_11

  • *
  • 124
  • 0
  • เพศ: หญิง
    • ศรีมหาคเณศดอทคอม
Re: เทพสามฤดู ภาคอดีตชาติ
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2008, 10:42:34 AM »
พี่ก็เคยอ่านมาแล้วค่ะในดีด้าเก่า ชอบมากๆเลย แต่แต่งให้จบนะคะน้อง มันจะสะดุด อิอิ  ;)

จิงด้วยค่ะ นู๋ก็อ่านแล้วแต่มันยังไม่จบอารมณ์เลยค้าง  ยังไงก็เป็นกำลังใจให้แต่งต่อจนจบนะคะ ;)
จึ่งเห็นจารึกอักษร     นามกรพระโอรสา
ชื่อหยังหยังหนึ่งหรัดอินดรา  อุดากันสาหรีปาตี
อิเหนาเองหยังตาหรา  เมาะตาริยะกัดดังสุรสีห์
ดาหยังอริราชไพรี     เองกะหนะกะหรีกุเรปันฯ

--ศรีมหาคเณศดอทคอม-- http://www.srimahaganesh.com

ออฟไลน์ กันย์ณภัทร

  • *
  • 2248
  • -1
  • จงปลดโซ่ตรวนแห่งพันธนาการ ด้วยคมดาบแห่งใจตน
Re: เทพสามฤดู ภาคอดีตชาติ
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: มกราคม 03, 2009, 01:29:13 PM »
อิอิ ตามมาอ่านเห็นมีคนพูดถึงมากมาย

สนุกสมคำร่ำรือจริงๆ^^ (แต่ความจริงน้องกาฬแต่งก้อสนุกทุกเรื่องแหละ^^)

ว่าแต่จะมาต่ออีกป่ะจ๊ะเนี่ย? อิอิ แอบค้างเฉยเรย55+

แต่ไม่เป็ฯไรหรอกนะไม่ต้องรีบ เพราะพี่ก้อดองไว้หลายเรื่องเหมือนกาน เหอๆ (เข้าใจหัวอกคนดองดีจ้า^^)

ออฟไลน์ กาฬฯ

  • *
  • 6333
  • -4
  • เพศ: หญิง
  • ஐ~ เผ่าพันธุ์นาคีซ่อนพิษไว้เสมอ ~ஐ
Re: เทพสามฤดู ภาคอดีตชาติ
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: มิถุนายน 13, 2009, 08:07:48 PM »
ขอโทษด้วยนะคะ  สำหรับคนที่ยังจำเรื่องนี้ได้   :icon_eek:

และกาฬก็ขอสารภาพต่อว่า...ยังไม่ได้แต่งต่อเลย

แต่แวบมาลงหน่อยนึง  ก็ตอนเก่าๆ นั่นแหละ   ยังไม่รู้เลยว่าจะได้กลับมาแต่งเรื่องนี้อีกเมื่อไหร่





...............................................

บทที่ ๒

   นางหนึ่งงามพิลาสไปทั้งสรรพางค์ เอวองค์อรชรฉวีพรรณขาวนวลดุจโททนต์แห่งคชธาร  ดวงเนตรกลมโตราวดวงมณี นาสิกเชิดรั้น โอษฐ์อิ่มสีลิ้นจี่จิ้ม  หัตถ์พนมดั่งปทุมา ทรงพัสตราภรณ์ชมพูบางพริ้วเป็นสะพัก (สไบ) ภูษาผ้าชมพูแกมทองยาวครองวรกายระหง ทรงทัดกรรเจียกจรสองข้างกรรณ จุมพฏเหนือเกศ  และศิราภรณ์รัดรวบพระเกศาไว้เบื้องหลัง  สายพระศอ  สังวาล  ทองกรครบครัน

   (คือ ชุดแบบตอนที่ ราหูระลึกชาติเห็นอัมพรบนสวรรค์เลยล่ะค่ะ)

             “สุวรรณอัมพร...”

   นางนั้นเงยพักตร์ขึ้นสดับสุรเสียงแห่งองค์พระสยมภูวญาณ

   “จำอดีตชาติของเจ้าได้หรือไม่”

   ภายในห้วงมโนจิตลึกล้ำ หมุนวนราวกระแสธาราไหลย้อนกลับไปยังภพภูมิเดิมยาวนาน  อันมีกำเนิดเป็นมนุษยชาติ...

   
             ราชธิดาสุวรรณอัมพรแห่งนครศิลามาศภายในหมู่บรรพตอันเจริญรุ่งเรือง แวดล้อมด้วยข้าราชบริพารน้อยใหญ่ แม้ปรารถนาสิ่งใด ก็มิเป็นการยากที่ราชาวิศวราชผู้เป็นพระบิดา จักเสาะแสวงหามาให้ราชธิดาองค์เดียวได้

   กระนั้น แม้จักอยู่ภายในหุบเขาล้อมรอบ ก็มิวายที่จะมีอริราชศัตรูมารุกรานหมายปองดินแดนอันอุดมสมบูรณ์หลังหุบเขา ราชาวิศวราชทรงต้านทานและขับไล่หมู่อมิตรออกไปได้หลายครั้งหลายครา แต่ก็มิอาจวางใจได้ว่าศัตรูจะมิกลับมาอีก

   “นครศิลามาศของเรา แม้จะมีหุบเขาล้อมรอบเป็นกำแพงธรรมชาติป้องกันข้าศึกศัตรู แต่เราจะประมาทไม่ได้ มีหลายทางที่อริราชสามารถเล็ดลอดเข้ามาโดยอาศัยกำแพงธรรมชาติเหล่านี้เป็นเกราะกำบัง” ราชาวิศวราชทรงปรารภเช่นนี้กับพระธิดาบ่อยครั้ง เป็นคำสอนสั่งพร่ำให้นางจดจำ ตัวนางเองก้มหมั่นเพียรศึกษาตำรับตำราทางยุทธศาสตร์โดยมิได้ขาด อีกทั้งยังบำรุงเหล่าอาณาประชาราษฎร์ให้ร่มเย็นเป็นสุขแทนพระบิดาอีกด้วย ทั้งที่ทรงมีพระชนมายุเพียงสิบห้าชันษา

…………………………………………………………………………………………..

   พระธิดาสุวรรณอัมพรทรงฉลองพระองค์ด้วยอาภรณ์รัดกุมสำหรับบุรุษ โพกพระเวฐนะ (ผ้าโพกศีรษะ) รอบเศียร และเหน็บพระแสงที่ผ้ารัดพระองค์ เสด็จดำเนินออกจากตำหนักที่ประทับส่วนพระองค์  มีนางข้าหลวงกำนัลวิ่งตามออกมาด้วยกิริยาลุกลี้ลุกลน

   “อย่าเสด็จออกไปอย่างนี้เลยนะเพคะ... พระธิดา...” พระพี่เลี้ยงอนงค์ทูลทัดทาน หากราชธิดาคนงามฤๅจะทรงสนพระทัย ยังคงเสด็จดำเนินต่อไป ราวกับมิสำเหนียกต่อสิ่งใด

   “ขอพระราชทานพระอนุญาตจากองค์เหนือหัวหรือยังเพคะ”  นางอนงค์ทูลถามเสียงเขียว

   พระธิดาสุวรรณอัมพรทรงหยุดดำเนิน หันมาตรัสตอบอย่างมั่นพระราชหฤทัย

   “เสด็จพ่อทรงอนุญาตให้เราออกเยี่ยมเยียนราษฎรได้ทุกเวลา”

   “แต่ก็คงจะมิใช่ในยามที่ปราศจากทหารตามเสด็จ และ... พระธิดาทรงฉลองพระองค์เป็นชายเช่นนี้” สุวรรณอัมพรทอดพระเนตรนางพระพี่เลี้ยงด้วยแววหยอกเย้า ยื่นพักตร์เข้ามาตรัสกระซิบใกล้ ๆ

   “ถ้ามีใครซักคนไปทูลฟ้อง... เสด็จพ่อก็มิทรงอนุญาต”

   “โธ่... พระธิดา” นางอนงค์โอดครวญด้วยความอ่อนใจ ได้แต่เพียงวิ่งตามราชธิดาผู้ทรงโสภาไปอย่างมิอาจขัดได้

   ตลาดในวันนั้นนอกจากจะมีการค้าวาณิชย์เช่นปกติสุขแล้ว ยังมีการกระทำพิธียัญญะบูชา (บูชายัญค่ะ..เรียกให้มันสวยเฉยๆ) อย่างหนึ่ง ที่แม้ประชาราษฎร์ก็มิค่อยได้ประสบบ่อยนักอีกด้วย

   “พระธิดาเพคะ อย่าทรงเข้าไปทอดพระเนตรเลยนะเพคะ... น่ากลัวออก” แม้นางพี่เลี้ยงอนงค์จะคัดค้านเช่นไรก็มิอาจหยุดยั้งความสนพระทัยอันมีมากล้นของราชธิดาได้

   “เราจะเข้าไปดูว่าเขาบูชาอะไรกัน ถ้าเจ้ากลัวก็ไม่ต้องตามเข้าไป”

   ตรัสมิตรัสเปล่า นางยังเคลื่อนองค์เข้าไปทอดพระเนตรอยู่ใกล้ ๆ นางอนงค์นั้น แม้จะกลัวแสนกลัวเพียงไร ก็ต้องคอยตามเสด็จราชธิดาไปทุกหนทุกแห่ง ด้วยอย่างน้อย ตนก็สามารถเป็นเกราะกำบังภัยแก่พระธิดาได้

   “พิธีบูชาอะไร  อนงค์”

   ตรงหน้าพระพักตร์คือแท่นบูชาขนาดใหญ่ ตั้งเทวรูปเคารพไว้ทางทิศพายัพ (ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ) ลักษณะเป็นอสูรดุร้าย ทรงอาภรณ์สีดำสนิทประดับด้วยเครื่องสุวรรณ บูชาด้วยธูปเทียนและน้ำมันสีดำ ดอกไม้ต่าง ๆ   ผ้าโกไสย (ผ้าแพร) สีดำจำนวนหลายผืน แล้วแต่ประชาราษฎร์บางคนจะนำมาบูชาถวายบ้าง เครื่องคาวเครื่องหวาน สุราเมรัย และผลหมากรากพันธุ์

   “พิธียัญญะบูชาเพคะ!” นางอนงค์ทูลตอบ “เราทุกคนเชื่อว่าเทพราหูผู้ทรงเป็นอสุรเทพจะนำทุกข์ภัย ความแร้นแค้น และพินาศล่มจมมาให้มวลมนุษย์ เราจึงต้องกระทำพิธียัญญะบูชาพระองค์ ขออย่านำความทุกข์มาแผ้วพานจนพระองค์ทรงพอพระทัยและขอสิริมงคลแทน”

   “แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าพอใจ” สุวรรณอัมพรทรงซักไซ้ด้วยความมิเห็นด้วย เพราะการที่จะบังเกิดความทุกข์ยากแร้นแค้นนั้นอยู่ที่การกระทำของตนเอง ไม่มีผู้ใดจะมาบังคับได้ อันวิสัยของนาง   ยากนักที่จักปักฤทัยเชื่อในสิ่งต่าง ๆ แต่ถ้าหากเชื่อแล้วก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลงเช่นกัน (เหมือนอัมพรป่ะคะ…เชื่อจังว่าโชตะนาเป็นชายาราหู…)

   มิทันที่นางอนงค์จักหาคำตอบมาถวายราชธิดาได้ เสียงอันโหยหวนแหบพร่าจากร่างของบุรุษชราอันเปรียบประดุจซากศพ ที่นั่งกระทำพิธีบูชายัญญะต่อหน้าเทวรูปสัญลักษณ์แห่งอสุรเทพก็ดังก้องขึ้น

   “ความพินาศ! .…. ความพินาศอุบัติขึ้นแล้ว ณ ที่นี้!”

   เสียงประชานิกรพึมพำกันอย่างหวาดกลัว สุวรรณอัมพรทรงผงะถอยไปก้าวหนึ่งด้วยความตกพระทัย แม้ว่าคำพยากรณ์จากตาเฒ่าชราจะมิเป็นที่สบพระราชหฤทัย ด้วยเพราะเป็นสาปแช่งนครแห่งนาง แต่ก็จำต้องทนสดับฟังต่อไป

   “เงาแห่งอสุรเทพได้กรายกล้ำเข้ามายังนครแห่งนี้... จักกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง และมอบความแห้งแล้งกันดารไว้ให้แทนที่  ในอีกมิช้ามินานนี้... นครศิลามาศถึงกาลวิบัติแล้ว!!”

   ท้องนภากาศอึมครึมขมุกขมัวลง ประสานกับเสียงคำรามจากบุรุษชราผู้ทำพิธียัญญะบูชา ราชธิดามิอาจทนต่อไปได้อีก ทรงหมายจักเข้าไปขัดขวาการประกอบพิธีอันเป็นกาลกิณีต่อบ้านเมืองเช่นนี้ในทันที

   “อย่าเพคะ! พระธิดา”

   หากแต่มิใช่คำทัดทานอันเบาแผ่วจากนางอนงค์ที่สามารถหยุดยั้งราชธิดาได้  สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องพักตร์ต่างหากที่ทำให้ทรงชะงักงัน...

   นางโคสีขาวตัวหนึ่งถูกลากมายังหน้าแท่นพิธี  มันกรีดร้องก้องด้วยความหวาดกลัว ราวกับจะรู้ชะตากรรมของตนเองดี พยายามดิ้นรนให้เชือกสะดึงที่ผูกล่ามจมูกมันไว้อยู่ขาด เพื่อที่จะได้วิ่งหนีไปให้ไกลจากแท่นประหารโดยเร็วที่สุด

   สุวรรณอัมพรกลั้นปัสสาสะทอดพระเนตรภาพตรงหน้าด้วยความระทึก เมื่อเห็นว่าบุรุษชราผู้นั้นเงื้อใบมีดขนาดใหญ่ขาววับคมกริบขึ้นและจ้วงลงไปบนคอเดียรัจฉานผู้เคราะห์ร้ายเต็มแรง   (โหดไปป่ะเนี่ย)

             ชาวประชาราษฎร์กรีดเสียงร้องลั่น เมื่อโลหิตจากซากปศุสัตว์ที่ล้มลงกองอยู่ตรงหน้าแท่นบูชาสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณโดยรอบ ตกต้องเทวรูปสักการะและแผ่ขยายออกไปสัมผัสวรกายงามระหงที่ยังประทับตะลึงงันอยู่เช่นนั้น กลิ่นคาวคละคลุ้งแทบจะวิงเวียน

   ราชธิดาโฉมงามหลับเนตรลงสูดอัสสาสะลึก แทบจะมิได้ยินคำอุทานด้วยความตระหนกและหวาดกลัวจากนางพี่เลี้ยงก่อนจะลืมเนตรขึ้นเรียกความเข้มแข็งกลับมาดุจเดิม

   “กลับเถอะ อนงค์”

   นางรับสั่งบอกกับพระพี่เลี้ยงและหันหลังกลับดำเนินจากไปโดยทันที จึงมิทันได้เห็นสายตาลึกลับที่หลบซ่อนจับจ้องมองนางอยู่ตั้งแต่ต้น โดยมิได้คลาดไปไหน!

   “เพียงแค่หนุ่มน้อยสำอางเพียงคนเดียว... พระโอรสจักทรงสนพระทัยไปทำไมกัน”

   ขุนทหารคนสนิทเอ่ยถามพระราชโอรสหัศดินทร์แห่งนครมันทรา ซึ่งทรงฉลองพระองค์ประดุจสามัญชน!

   “สตรีต่างหาก!” หัศดินทร์ทรงแย้ง  “พระธิดาสุวรรณอัมพรแห่งนครศิลามาศ!!”

    “ทรงทราบได้อย่างไรพระเจ้าค่ะ”

   “เราเคยเห็น... จากรูปวาดที่จิตรกรเร่ร่อนคนหนึ่งวาดไว้พร้อมกับราชธิดาเมืองอื่น ๆ อีกหลายเมือง ขณะเดินทางผ่านมายังนครมันทรา... ”  โอรสหัศดินทร์ทรงตรัสต่อไป ดวงเนตรคมกริบทอประกายของความพอพระทัยชัดเจน

   “เมื่อใดที่เรายึดนครศิลามาศสำเร็จ นาง... จักเป็นเครื่องบรรณาการชิ้นเยี่ยมที่เราปรารถนา!!”

...

   ณ รัตติกาลสงัดเยียบเย็น...

   ราชธิดาแห่งนครศิลามาศทรงสะดุ้งพระองค์ตื่นขึ้นมาอย่างตระหนก ราวกับมีมือยักษ์มากระชากวรกายให้ผวา หยาดเสโทเกาะพราวอยู่บนพระพักตร์นวลประดุจดวงศศิธร เพราะนิมิตร้ายที่เพิ่งผ่านพ้นไป

   ในสุบินนั้น ราชธิดาทรงทอดพระเนตรเห็นทะเลเพลิงท่ามกลางหุบเขาล้อมรอบ!!

   นครศิลามาศอันอุดมสมบูรณ์แห่งนาง กลับกลายเป็นกองอัคคีแผดเผาปราสาทราชมนเทียรที่วิจิตรตระการตาหลงเหลืออยู่เพียงเถ้าธุลี เสียงร่ำไห้กรีดร้องระงมไปทั่ว บ่งบอกถึงความทุกข์เข็ญเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า!

   ... แหละนาง... ยืนอยู่ท่ามกลางเปลวอัคนีที่ร้อนรุ่มแทบขาดพระทัย!!

   เหนือขึ้นไปเบื้องบน ฟากฟ้าแดงเดือดดั่งทาไว้ด้วยเลือดนก หมอกมัวพวยพุ่งปกคลุมล้อมกำแพงหุบเขา  และท่ามกลางม่านหมอกขมุกขมัวนั้น ปรากฏเงาอสูรร้ายตนหนึ่ง รูปกายใหญ่โต สีกายดำคล้ำปนทองสัมฤทธิ์  พักตร์โหดร้ายน่ากลัวกำลังหัวเราะกึกก้องปานฟ้าคำราม ในหัตถ์นั้นถือกระบองหวดบ่ายไปรอบทิศอย่างบ้าคลั่ง และที่น่าหวาดหวั่นที่สุดคือกายท่อนล่างของอสูรร้ายคือขนดหางสีเขียวราวกับหางพญานาคราช!

   เพราะสุบินนิมิตประหลาดนั้น กระทำให้สุวรรณอัมพรมิอาจจะข่มเนตรให้บรรทมต่อไปได้อีกจึงลุกจากแท่นบรรจถรณ์มาประทับรับสายอนิล (ลม) ราตรีที่โบกโบยอยู่หน้าบัญชร เพื่อให้พระทัยที่รุ่มร้อนนั้นผ่อนคลายลง
หากแต่สิ่งที่ได้ทอดพระเนตรกลับยิ่งทำให้ตระหนกขวัญยิ่งกว่าเดิม!

   เทหวัตถุสีพระเพลิงเป็นลำยาวจากฟากฟ้าพุ่งตกลงมานับร้อยดวง สุวรรณอัมพรยกหัตถ์ทาบอุระ ทรงตรัสอุทานแผ่วเบา

   “ลางวิบัติ!!”

   พลันมโนจิตหวนรำลึกไปถึงเหตุการณ์หนึ่งที่ผ่านพ้นมาหลายทิวาราตรีแล้ว ณ ตลาดกลางนครศิลามาศ

                คำพยากรณ์จากเฒ่าชรา และสุบินนิมิตซึ่งดูคล้องกันไปเสียหมด!

             นครศิลามาศจักเกิดฉาตกภัยจริงละหรือ....!!
...


   “เสด็จพ่อเพคะ!”

   ราชธิดาสุวรรณอัมพรทรงเสด็จมาเข้าเฝ้าท้าววิศวราชโดยเร่งด่วน หลังจากได้ทรงสดับถึงปัญหาหนักในการณรงค์สงครามครั้งนี้

   หลังจากเกิดปรากฏการณ์เทห์ฟากฟ้าอันเป็นที่โจษขานเล่าลือของเหล่าประชาราษฎร์ด้วยความหวาดหวั่นได้ไม่นาน  ก็ยังเกิดภัยพิบัติกับการเกษตรผลอันยากจักแก้ไข

                ท้องทุ่งอันเคยเขียวขจีแห้งแล้ง เพราะไร้หยาดพิรุณมาร่วมแรมปี พรรณพืชอื่นเหี่ยวเฉา ปศุสัตว์ล้มตายด้วยโรคระบาด และธารน้ำที่เคยไหลเอื่อยลงมาจากหุบเขาก็แห้งขอดจนพื้นผิวปฐพีแตกระแหง

   เหตุการณ์ดั่งนี้ทวีความร้ายกาจเพิ่มมากขึ้นทุกขณะ พสกนิกรหลายครัวเรือนอพยพหนีความกันดารออกไปแสวงหาที่พักพิงใหม่ และยามที่นครอันอุดมสมบูรณ์เป็นเช่นนี้ ก็เหมาะนักต่อการรุกรานจากอริราชไพรีที่จ้องคอยขบกัดอยู่ทุกระยะ

   กองทัพใหญ่จากมันทราเริ่มตีกระหนาบโอบล้อมศิลามาศเข้ามาเรื่อย ๆ โดยอาศัยช่องระหว่างหุบเขาเล็ดลอดข้ามมาอย่างไม่มีการหยุดยั้ง ในขณะที่ศิลามาศแทบปราศจากซึ่งกำลังอาวุธ และเสบียงกรังสะสมจากภัยธรรมชาติ!!

   “มันทราส่งราชทูตมาเจรจาให้เรายอมจำนนแต่โดยดี มิฉะนั้นนครศิลามาศจักไม่เหลืออะไรเลย” ท้าววิศวราชทรงตรัสแก่ราชธิดาโดยมิต้องรอให้นางถาม

   นางสะอึกอึ้งกับชะตากรรมอันโหดร้ายที่กำลังคืบคลานเข้ามาถึงในไม่ช้า

   “ลูกมิยอมแพ้ง่าย ๆ หรอกเพคะ... ครั้งนี้ลูกจะออกรบเอง!”

...

(รู้สึกว่าเวอร์ชั่นนี้ สุวรรณอัมพร ออกจะบู๊ไปหน่อย…มันติดอ่ะ ชอบแต่งนิยายให้นางเอกบู๊เก่ง  จะพยายามเข้าเรื่องที่สุดค่ะ)
**จักรวาลนี้กว้างไกลแลไพศาลนัก เราเป็นเพียงละอองธุลีอันน้อยนิดล่องลอย ยากที่จะเรียนรู้ทุกสรรพสิ่งให้จบครบสิ้น
สิ่งที่เรามิเคยเห็น ใช่ว่าจะมิมี แลสิ่งที่มิเคยได้ประสบ ก็ใช่ว่าจะมิเคยเกิดขึ้น**

ออฟไลน์ กาฬฯ

  • *
  • 6333
  • -4
  • เพศ: หญิง
  • ஐ~ เผ่าพันธุ์นาคีซ่อนพิษไว้เสมอ ~ஐ
Re: เทพสามฤดู ภาคอดีตชาติ
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: มิถุนายน 13, 2009, 08:12:58 PM »
บทที่ ๓

   “อัมพร!”

   “พระธิดา...”

   เหล่าข้าราชบริพารทุกคนในที่นั้นคาดมิถึง เมื่อได้ยินคำตรัสเช่นนี้ออกจากโอษฐ์ราชธิดาผู้ทรงโฉม

   “ลูกเสียดายนักที่ลูกไม่ได้เกิดมาเป็นผู้ชาย มิฉะนั้นลูกคงจะบัญชาการรบเพื่อปกป้องนครของเราอย่างสุดกำลังความสามารถของลูก”

   “แต่ลูกเป็นหญิง... เป็นธิดาของพ่อ...” ท้าววิศวราชทรงเอ่ยทัดทาน  ดวงพระทัยร้าวราน

   “เพคะ ลูกเป็นธิดาของเสด็จพ่อ ดังนั้นลูกจะยอมให้เสด็จพ่อออกไปต้านทานกำลังจากข้าศึกได้อย่างไร เสด็จพ่อทรงเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของอาณาประชาราษฎร ต้องอยู่บำรุงขวัญทุกคนที่นี่...”

   นางยอบองค์ลงกราบแทบละอองธุลีพระบาทผู้เป็นพระปิตุราช อัสสุชลคลอคลองทั้งบิดาและบุตรี

   “ทรงอนุญาตให้ลูกไปเถิดเพคะ ลูกคงทนไม่ได้แน่ ถ้าหากต้องเห็นนครศิลามาศต้องพ่ายแพ้ไปต่อหน้าต่อตา โดยที่มิได้ช่วยเหลืออะไรเลย”

   “โธ่... อัมพรลูกพ่อ...” ราชาวิศวราชทรงโอบประคองราชธิดาให้ลุกขึ้นด้วยความตื้นตันพระทัย

   “เราจะไม่ยอมแพ้พวกมันใช่ไหมเพคะ เสด็จพ่อ... ใช่ไหมเพคะ” สุวรรณอัมพรตรัสถามราชบิดาเสียงเครือ ชลเนตรที่เอ่อล้นวิบไหวด้วยความหวังว่าพระองค์จะตอบรับกลับมา

   วิศวราชเบือนพักตร์หนี มิอาจสบเนตรกับพระธิดาได้ สั่นเศียรอย่างเจ็บช้ำและร้าวรานไม่แพ้กัน สุวรรณอัมพรรู้สึกพระทัยวูบ มึนงง

   “หมาย... ความ... ว่ายังไง” สุรเสียงที่โผล่พ้นริมโอษฐ์แผ่วเบาราวล่องลอยมากับสายลม

   นางหันไปโดยรอบหวังจะได้คำตอบจากใครสักคน... แต่ก็หามีผู้ใดกล้าสู้หน้าได้

   “ตอบเรามาสิ... เหตุใดจึงนิ่งงันกันไปหมด เราจักมิยอมแพ้อริราชศัตรูใช่หรือไม่” นางตวาดหวังว่าจะได้ยินคำตอบที่น่าพึงพอฤทัยกลับมา

   เสียงศัสตราวุธฟาดฟันดุเดือดดังลั่นมาจากเบื้องนอกท้องพระโรง เพียงครู่เดียว ทหารราษฎร์โลหิตโทรมกายก็กระเสือกกระสนเข้ามาแทนคำปุจฉาจากทุกคน... สุวรรณอัมพรตะลึงงัน เข้าใจความหมายจากภาพตรงหน้านั้นดี!

   “กองทหารของเรา... ต้านทัพมันทรา…ไม่อยู่แล้ว….พระ…เจ้า…ค่ะ” นายทหารผู้นั้นยังมิทันได้กราบกราบทูลจบหมดสิ้น ก็ชะงักกึกตาเหลือกลานก่อนจะล้มฮวบลงไปกองกับพื้นหน้าแท่นอาสน์บัลลังก์ เพราะเกาทัณฑ์ดอกใหญ่หลุดจากแล่งเข้าเสียบเบื้องหลังทหารราษฎร์ผู้รบเพื่อชาติจนกำลังสุดท้าย โลหิตแดงทะลักเจิ่งนอง นางข้าธารกำนัลวี้ดว้ายร้องอุทานเซ็งแซ่  ต่างกระถดกายหนีราชบุรุษผู้เสด็จดำเนินเข้ามาอย่างผึ่งผาย

   วรกายสูงสง่า ดวงเนตรกระหายสงครามทรงเครื่องราชอิสริยาภรณ์สมศักดิ์กษัตริย์ หากแต่แปดเปื้อนไปด้วยโลหิตเคล้าคราบฝุ่นธุลี!

   “หัศดินทร์...”

   วิศวราชราชาตรัสพระนามจอมทัพแห่งนครมันทรา

   “ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ ที่พระองค์ยังทรงจำหม่อมฉันได้ แม้เวลาจะล่วงมาสิบกว่าปีแล้ว นับตั้งแต่หม่อมฉันยังเป็นเพียงเด็กน้อยที่ตัวสั่นเทาอยู่ในอ้อมกอดของพระราชมารดา มองเห็นพระองค์ทรงสังหารฟาดฟันพระราชบิดาของหม่อมฉันอย่างโหดเหี้ยม”

   พระธิดาสุวรรณอัมพรทรงตั้งพระสติสดับฟังราชบุรุษต่างวัยทั้งสองฝ่ายทบทวนอดีตกาลของกันและกันอย่างเจ็บแค้น ราชธิดาทรงทราบว่าท้าววิศวราชก็ทรงเคยเป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่ กำราบแว่นแคว้นโดยรอบให้ตกอยู่ใต้อำนาจ...

   “แต่เจ้าก็รู้ หัศดินทร์... หากวันนั้นเราไม่ฆ่าพ่อของเจ้า พ่อเจ้าก็ต้องฆ่าเราอยู่ดี”

   “แต่วันนั้นเสด็จพ่อก็ทรงสิ้นพระชนม์...” สุรเสียงของโอรสหัศดินทร์แห่งมันทราต่ำลึก สายพระเนตรของสุวรรณอัมพรเหลียวแลหาหนทางต่อสู้!

             “แทนที่จะเป็นพระองค์ ซึ่งเป็นผู้รุกราน...”

   พระธิดาแห่งศิลามาศทรงเหลียวกลับไปมองบัลลังก์อาสน์เบื้องหลังอันอยู่เพียงแค่เอื้อม โดยหามีผู้ใดสังเกตเห็นไม่!

   “และวันนี้... หม่อมฉันแข็งแกร่งขึ้น!”

   และทันใดนั้น... พระหัตถ์เล็กบางก็กระชากพระแสงดาบจากพานสุวรรณบนแท่นราชอาสน์ และกวัดแกว่งศาสตราวุธเข้าห้ำหั่นโอรสหัศดินทร์อย่างรวดเร็ว เพราะความเดือดแค้นแลมุ่งมั่น!

   “อัมพร! ลูก...!!”

   สุรเสียงของราชบิดาสั่นสะท้าน หากยังช้ากว่าฝ่ายอริราชนัก

   หัศดินทร์เบี่ยงองค์หลบคมศาสตราวุธอย่างว่องไว ยังผลให้สุวรรณอัมพรเซซวนเสียหลัก!

   โอรสแห่งมันทราทรงบีบข้อพระกรของราชธิดาน้อยแห่งศิลามาศราวกับจะป่นข้อพระกรอันเรียวงามประดุจโททนต์แห่งคชสารให้แหลกเป็นผงธุลี  นางจำต้องกล้ำกลืนน้ำพระเนตรและคำอุทานไว้ในอุระ ในขณะที่พระหัตถ์นั้นอ่อนแรงมิสามารถจักยึดพระแสงดาบอันทรงเกียรติไว้ได้!

   ศาสตราวุธคู่บัลลังก์... ตกกระทบพื้น... สิ้นเกียรติ!

   พร้อมทั้งวรกายเรียวระหงทรุดลง อัสสุชลไหลริน ไร้เรี่ยวแรงแม้กระทั่งจะอดกลั้นทหารหาญแห่งมันทรายื่นศัสตราวุธเข้าใส่ราชธิดาเพื่ออารักขาพระชนม์ชีพราชโอรสของตน

   “เราจักมิยอมแพ้!!”

   สุวรรณอัมพรเงยพักตร์ขึ้นตรัสราวกับจะประกาศก้อง ดวงเนตรกร้าวแกร่ง

                “แล้วเราจะรอเจ้า…พระธิดาสุวรรณอัมพรผู้โฉมงาม!”

               โอรสแห่งมันทราแย้มโอษฐ์เยาะหยัน ก่อนจะสะบัดผ้าคลุมพระองค์อันเปรอะไปด้วยคราบโลหิตของ ชาวประชาศิลามาศ เดินออกไปจากท้องพระโรง...

   อริราชศัตรูจากไปแล้ว หากมิได้ไปเปล่า กลับนำพาบางสิ่งออกไปจากนครศิลามาศ...     
 
            สิ่งที่อยู่คู่ศิลามาศมาโดยตลอด... อิสรภาพ!
...

   เหมันต์ผ่าน...

   คิมหันต์ผัน....

   วรรษสันต์ล่วงเลย...

   ราชธิดาสุวรรณอัมพรทรงประทับเหนือสีวิกา ช่อฟ้าม่านไหวเพียงบังเปลวสุริยามิให้ต้องพระฉวีให้หมองคล้ำ เสด็จโดยขบวนเสด็จอันสมราชฐานันดร...

   ก็แค่ฐานันดรแห่งเจ้าหญิงเมืองประเทศราช!

   เจ้าหญิงบรรณาการ!!

   พระพักตร์นิ่งเฉย ประดุจมิได้ทรงรับรู้สิ่งใด หากแววพระเนตรกวาดทัศนาเหล่าประชาราษฎร์ของพระองค์อย่างอาวรณ์ ผู้ที่จักมาปกครองศิลามาศในตำแหน่งเมืองประเทศราชจากมันทราจักเมตตาพวกเขาดั่งเช่นราชธิดาน้อยหรือไม่  ฤๅจักข่มเหงเยี่ยงทาสทาสี

   ประชาชีหมอบรอบร่ำไห้ตามรายทางเสด็จ  ด้วยราชธิดาผู้เป็นมิ่งขวัญแห่งศิลามาศจะต้องจากไปไกล จะได้กลับคืนมาตุภูมิ(บ้านเกิด เมืองนอน) ที่ก่อกำเนิดเมื่อไรก็มิมีวันรู้ได้ ทุกคนขาดที่พึ่ง กษัตริย์อันทรงเป็นที่พึ่งพิงให้อุ่นใจ จากไปแล้วทั้งสองพระองค์! 

   ในจำนวนชาวประชามากมายที่มาหมอบเฝ้าเสด็จ สุวรรณอัมพรทรงทอดพระเนตรเห็นบุรุษผู้นั้นที่ทรงได้พบปะในวันที่นางแอบเสด็จออกจากเขตมหามนเทียรกับพระพี่เลี้ยงเพียงลำพังเมื่อขวบปีที่แล้ว

   ตาเฒ่าชรายังคงปฏิบัติดุจเดิม สวดบ่นพึมพำอ้อนวอนต่อหน้าเทวรูปเคารพ ตัวแทนแห่งอสุรเทพ มิได้เสื่อมศรัทธา หากบนแท่นบูชานั้น บัดนี้กลับปราศจากซึ่งส้มสูกลูกไม้และสุราเมรัยดังแต่ก่อน และสกปรกรกร้างราวกับไร้ผู้บำรุงรักษา

   ภาพเบื้องหน้าทำให้ทรงระลึกถึงพระสุบินนิมิตเมื่อเจ็ดราตรีก่อน ก่อนที่พระราชบิดาจักทรงสิ้นพระชนม์!

   อสุรินทราหู... เทพผู้ประทานแต่ความทุกขเวทนา เคราะห์ซ้ำกรรมซัด บัดนี้ได้ประทานกรรมนั้นให้แก่ศิลามาศอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้!


   สุบินนิมิตเดียวกับกาลก่อนที่มันทราจักรุกล้ำเข้ามา เป็นประหนึ่งลางบอกเหตุร้ายอีกครา เมื่อพระราชบิดา... ราชาวิศวราชสิ้นพระชนม์ลงด้วยพิษดุลย์ (ยาพิษ) จากไส้ศึกมันทรา อันเนื่องมาจากขัดพระราชประสงค์โอรสหัศดินทร์แห่งมันทราที่ทรงปรารถนาราชธิดาคนงามแห่งศิลามาศ

                 หากเมื่อนางมิสามารถรักษาพระชนม์ชีพพระราชบิดาไว้ได้ทันท่วงที ก็เหลือเพียงอาณาประชานิกรอันน้อยนิดที่ถูกนำมาต่อรอง (เอ่อ…อันนี้ขอไม่กล่าวถึงนะคะว่าตายเพราะอะไร…เพราะคิดๆ ดูแล้วถ้าพูดถึง มันต้องยืดมากกว่านี้แน่ๆ)   

             สุวรรณอัมพรเหลียวกลับไปทอดพระเนตรตาเฒ่าชราผู้นั้นด้วยความสังเวชฤทัย ขณะที่ขบวนเสด็จเคลื่อนออกจากประตูพระนคร

   ...เหตุใดนะ อสุรเทพผู้ทรงฤทธิไกรหากบันดาลแต่ความโชคร้าย อัปราชัย จึงยังได้รับการบูชาวิงวอนจากมวลมนุษย์ขอความเมตตาปรานีอยู่นั้นแล้ว ทั้งที่มิได้ส่งผลให้สิ่งใดเจริญรุ่งเรืองขึ้นเลยสักน้อยนิด!

...


   สนธยาฟ้าแดงตามทิวากาลที่ผ่านผัน เฉกเดียวกับการเดินทางที่เข้าใกล้นครมันทราเข้ามาทุกขณะ  ทุกผู้ต่างเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าจากการเดินทาง  พลับพลาที่ประทับแรมแวดล้อมด้วยพนาไพร  เพื่อรอพระสุริยาทิตย์โคจรกลับมาอีกคราเมื่ออรุณรุ่งสาง

   “ที่ประทับส่วนพระองค์ของพระธิดา ห้ามผู้ใดล่วงล้ำ!”

   พระพี่เลี้ยงอนงค์ประกาศกร้าว เมื่อเห็นว่านายทหารหนุ่มใบหน้าคมสันมีทีท่าว่าจะย่างก้าวล่วงเข้ามาในพลับพลาที่ประทับ โดยมิกลัวเกรงว่าตำแหน่งของนายทหารผู้นั้นจักสูงศักดิ์เพียงไร หากมากระทำการอุกอาจต่อราชธิดาของนาง นางพระพี่เลี้ยงก็มิยอมหลีกให้เช่นกัน

   “ให้เค้าเข้ามาเถิด อนงค์” กระแสรับสั่งกังวานหวานดุจระฆังแก้วดังออกมา พร้อมวรองค์ระหงเสด็จออกมาประทับบนแท่นหน้าพลับพลา งามสง่าประดุจเทพีแห่งนภาลัย... ผู้ใดเล่าจัก…มิหลงใหล!

   นางพระพี่เลี้ยงเปิดทางให้ทหารหนุ่มเข้าไปเฝ้าตรงหน้าพระพักตร์สุวรรณอัมพรอย่างจำใจ

   “หม่อมฉันนำพระกระยาหารมาถวาย”

   สุวรรณอัมพรทรงเหลือบแลเนื้อกระต่ายป่าที่คุระอุจากเปลวไฟอย่างมิสนพระทัย

   “อีกนานเท่าใดจึงจะถึงมันทรา”  นางรับสั่งถาม

   “เดินทางพรุ่งนี้ เพียงตะวันตรงศีรษะก็ถึงแล้วพระเจ้าค่ะ”

                ...พรุ่งนี้สินะ ที่อิสรภาพแห่งราชธิดาจะหลุดลอยไปโดยสิ้นเชิง... สุวรรณอัมพรทรงปรารถนาจะกันแสงนัก หากแต่ท่ามกลางอริราชไพรีเช่นนี้ จักทำได้อย่างไร!

   “หม่อมฉันรู้ว่าพระธิดาไม่ประสงค์จะเป็นบรรณาการของพระโอรสหัศดินทร์”

   รู้มากเหลือเกิน...

   “ท่านชื่ออะไร” ราชธิดาสุวรรณอัมพรทรงเชิดพระพักตร์ถาม

   “ศรุตพระเจ้าค่ะ... ขุนพลศรุต!”

   ขุนพลหนุ่มเงยหน้าขึ้นชำเลืองมองวงพักตร์งดงามโดยเปิดเผย ก่อนจะเอ่ยต่อไปเบา ๆ

                “หากพระโอรสหัศดินทร์สิ้นพระชนม์ พระธิดาก็มิต้องทรงเป็นบรรณาการของผู้ใด!”






ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ
:icon_eek:
**จักรวาลนี้กว้างไกลแลไพศาลนัก เราเป็นเพียงละอองธุลีอันน้อยนิดล่องลอย ยากที่จะเรียนรู้ทุกสรรพสิ่งให้จบครบสิ้น
สิ่งที่เรามิเคยเห็น ใช่ว่าจะมิมี แลสิ่งที่มิเคยได้ประสบ ก็ใช่ว่าจะมิเคยเกิดขึ้น**

ออฟไลน์ aooy

  • *
  • 174
  • 0
  • เพศ: หญิง
Re: เทพสามฤดู ภาคอดีตชาติ
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: มิถุนายน 18, 2009, 04:52:29 PM »
สนุกมากค่ะ แล้วไว้มาแต่งต่อให้เสร็จนะค่ะจะรอค่ะ  :icon_evil:
แต่ว่าคำราชาศัพท์มากจริง บางคำก็ไม่รู้เหมือนกัน
คุณกาฬเนี่ยเก่งจังเลยนะค่ะ

ออฟไลน์ กาฬฯ

  • *
  • 6333
  • -4
  • เพศ: หญิง
  • ஐ~ เผ่าพันธุ์นาคีซ่อนพิษไว้เสมอ ~ஐ
Re: เทพสามฤดู ภาคอดีตชาติ
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: มิถุนายน 18, 2009, 06:39:31 PM »
สนุกมากค่ะ แล้วไว้มาแต่งต่อให้เสร็จนะค่ะจะรอค่ะ  :icon_evil:
แต่ว่าคำราชาศัพท์มากจริง บางคำก็ไม่รู้เหมือนกัน
คุณกาฬเนี่ยเก่งจังเลยนะค่ะ

คำไหนไม่รู้ถามได้ค่ะ
**จักรวาลนี้กว้างไกลแลไพศาลนัก เราเป็นเพียงละอองธุลีอันน้อยนิดล่องลอย ยากที่จะเรียนรู้ทุกสรรพสิ่งให้จบครบสิ้น
สิ่งที่เรามิเคยเห็น ใช่ว่าจะมิมี แลสิ่งที่มิเคยได้ประสบ ก็ใช่ว่าจะมิเคยเกิดขึ้น**

ออฟไลน์ bobenz

  • *
  • 5780
  • -1
Re: เทพสามฤดู ภาคอดีตชาติ
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: มิถุนายน 18, 2009, 08:51:15 PM »
ยื่นคำขาดเลยน้องกาฬ มาต่อๆๆๆ ตอนจบแต่อารมณ์ไม่จบง่ะ  :icon_question:

ออฟไลน์ taktay2499

  • *
  • 7
  • 0
  • เพศ: หญิง
Re: เทพสามฤดู ภาคอดีตชาติ
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: มิถุนายน 19, 2009, 04:47:36 AM »
สนุกจังค่ะ ว่าแต่สุวรรณอัมพรจะได้คู่กับราหูเหมือนเดิมอ่ะป่าวค่ะ
แต่งให้จบนะค่ะจะติดตาม แต่ขอตัวหนังสือใหญ่ากว่านี้หน่อยได้ไหม? ปวดตามากๆเลย    :D

ออฟไลน์ กาฬฯ

  • *
  • 6333
  • -4
  • เพศ: หญิง
  • ஐ~ เผ่าพันธุ์นาคีซ่อนพิษไว้เสมอ ~ஐ
Re: เทพสามฤดู ภาคอดีตชาติ
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: มิถุนายน 19, 2009, 06:53:52 PM »
สนุกจังค่ะ ว่าแต่สุวรรณอัมพรจะได้คู่กับราหูเหมือนเดิมอ่ะป่าวค่ะ
แต่งให้จบนะค่ะจะติดตาม แต่ขอตัวหนังสือใหญ่ากว่านี้หน่อยได้ไหม? ปวดตามากๆเลย    :D

เนื้อหาของภาคนี้  ที่แต่ง  ก็คือเป็นเรื่องราวก่อนที่เทพทั้งสามจะลงมาเกิดเป็นเทพสามฤดูค่ะ  สุวรรณอัมพรต้องได้คู่กับพระราหูแน่นอนค่ะ  เพราะจะได้เป็นบุพเพสันนิวาส ให้มาพบกันในชาติต่อไป
ได้แรงบันดาลใจมาจากฉากในละครที่องค์อิศราเตือนความจำว่า ทั้งสองเป็นคู่กันมาแต่ปางก่อน และราหูระลึกชาติได้ว่าเคยพบสุวรรณอัมพรบนสวรรค์
ตอนนี้ยังแต่งไม่จบนะคะ  เพราะเรื่องนี้ต้องพักไปนานแล้ว   คราวหน้าจะลงตัวหนังสือใหญ่กว่านี้นะคะ
**จักรวาลนี้กว้างไกลแลไพศาลนัก เราเป็นเพียงละอองธุลีอันน้อยนิดล่องลอย ยากที่จะเรียนรู้ทุกสรรพสิ่งให้จบครบสิ้น
สิ่งที่เรามิเคยเห็น ใช่ว่าจะมิมี แลสิ่งที่มิเคยได้ประสบ ก็ใช่ว่าจะมิเคยเกิดขึ้น**

ออฟไลน์ bobenz

  • *
  • 5780
  • -1
Re: เทพสามฤดู ภาคอดีตชาติ
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: มิถุนายน 20, 2009, 08:07:35 PM »
น้องกาฬ มาแต่งต่อเถอะน๊าๆๆๆ เอารูปมาอ่อยและ คิดถึงเทพสามฤดู  :icon_rolleyes:


ออฟไลน์ กาฬฯ

  • *
  • 6333
  • -4
  • เพศ: หญิง
  • ஐ~ เผ่าพันธุ์นาคีซ่อนพิษไว้เสมอ ~ஐ
Re: เทพสามฤดู ภาคอดีตชาติ
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: มิถุนายน 20, 2009, 08:28:05 PM »
โห  พี่โบว์เบนซ์เอาของมาล่อนี่นา
กาฬก็อยากแต่งต่อนะ  แต่ตอนนี้อยากให้ทำใจ ว่าฝีมือกาฬอาจจะตก มันตกแน่นอนเลยอ่ะ  ภาษาคงจะไม่สวยเหมือนแต่ก่อน
**จักรวาลนี้กว้างไกลแลไพศาลนัก เราเป็นเพียงละอองธุลีอันน้อยนิดล่องลอย ยากที่จะเรียนรู้ทุกสรรพสิ่งให้จบครบสิ้น
สิ่งที่เรามิเคยเห็น ใช่ว่าจะมิมี แลสิ่งที่มิเคยได้ประสบ ก็ใช่ว่าจะมิเคยเกิดขึ้น**

ออฟไลน์ aooy

  • *
  • 174
  • 0
  • เพศ: หญิง
Re: เทพสามฤดู ภาคอดีตชาติ
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: กรกฎาคม 20, 2009, 05:38:40 PM »
แวะมาให้กำลังใจค่ะ จาได้มาแต่งเรื่องนี้ให้อ่าน ไว ๆ  :icon_cool: