ยินดีต้อนรับสู่บ้านอบอุ่นของคนรัก บอย สพล ชนวีร์

จอมใจ

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

จอมใจ
« เมื่อ: ตุลาคม 09, 2012, 06:58:54 AM »

จอมใจ            เรื่องราวความรักของบุรุษผู้เข้มแข็งเด็ดเดี่ยว  กับหนึ่งหญิงงามที่แสนดื้อรั้น  พร้อมกับการผจยภัย  และอุปสรรคความรัก....   


ออฟไลน์ ชะ

  • *
  • 673
  • 0
  • เพศ: หญิง
  • เปลี่ยนจากshahเป็นชะ จะได้เรียกกันง่ายๆ
Re: จอมใจ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ตุลาคม 09, 2012, 11:45:17 AM »
มารออีกคน


ขอบคุณ ภาพองค์หญิงกำมะลอป่วนกำลัง3 จากGoogle

ออฟไลน์ Soulinda

  • *
  • 93
  • 0
  • เพศ: หญิง
Re: จอมใจ
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ตุลาคม 09, 2012, 07:09:59 PM »
waiting~~~

credit all the picture goes to p'vee

ออฟไลน์ ปากกาแก้ว

  • *
  • 79
  • 0
  • เพศ: หญิง
  • ~"ความรักและความหวังยังอยู่กับเราเสมอ"~
Re: จอมใจ
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ตุลาคม 11, 2012, 12:38:50 AM »
มารอด้วยอีกคนค่ะ

Re: จอมใจ
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: ตุลาคม 18, 2012, 01:46:04 AM »
จอมใจ
 
แนะนำตัวละคร   โดยขอใช้นักแสดงเจ้าบทบาทจากละครหลายเรื่อง  มาประชันฝีมือกันอย่างคับคั่ง
โดยละครจะแยกเป็นตอน  ๆ  ดังนี้

ตอน   จอมใจนครินทร์

บอย   สพล  ชนวีร์        รับบทเป็น       พระโอรสนครินทร์    เจ้าชายองค์โตแห่งเมืองโรมวิสัย        โอรสของเหนือหัวพรหมทัศน์ 

                                                              และมเหสีเกตุมณี    ห้าวหาญ  องอาจสง่างาม  มุทะลุดุดัน  กระหายสงคราม  เป็นยอดนักรบ 
  
                                                              ไม่ชอบความวุ่นวาย  ชอบการผจญภัย   ไม่สนใจใยดีต่อสตรีเพศ   แม้มีหญิงงามมากมายอยู่

                                                               รอบกาย

แยม  รุ้งรดา                  รับบทเป็น      พระธิดาแก้วโกมุท  ธิดาองค์เดียวของเหนือหัวโกเมน  กับมเหสีสุวรรณมาลี

                                                             แห่งรัตนะนคร   งดงามดุจดอกบัวแรกแย้ม   สดใสดุจประกายแห่งแก้วรัตนะทั้งมวล 
 
                                                             แฝงด้วยความดื้อรั้น  เอาแต่ใจ  จอมโวยวาย  อวดดี  ชอบเอาชนะ

ต้น  วรนันท์                  รับบทเป็น     พระโอรสนโรธร  เจ้าชายองค์เล็กแห่งเมืองโรมวิสัย   อ่อนโยน  แต่แฝง

                                                            ไว้ด้วยความสง่างามของบุรุษยอดนักรบ   ผิดกับผู้เป็นพระเชษฐา   รักน้องแก้วโกมุท

                                                            สุดหัวใจ  ยอมเสียสละได้ทุกอย่างเพื่อน้องนางคนเดียว

เจมส์  เลอสรร              รับบทเป็น     พระโอรสวรเทพ   เจ้าชายแห่งคีรีนคร   โอรสของท้าววิรุฬราช  กับมเหสีสุวินตรา
     
                                                            ห้าวหาญ    สง่างาม   อยากได้อะไรต้องได้ตามต้องการ และเมื่อไม่สมปารถนาจึงต้อง

                                                            ทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า    มีนางอันเป็นที่รักเพียงนางเดียวคือ   พระน้องนางแก้วโกมุท 
          
ประภัสสร  (ลูกศร)    รับบทเป็น        พระธิดาโฉมพิลาส  เจ้าหญิงแห่งอมตะนคร  ธิดาของท้าวโกทัณฑ์     และมเหสี

                                                            เกศรินทร์   งดงาม  เย้ายวนใจ  อ่อนหวาน ช่างเจรจา  เอาอกเอาใจ   แต่แฝงด้วยความ

                                                           อิจฉาริษยา   สามารถเปลี่ยนเป็นไฟเผาผลาญทุกสิ่งรอบข้างเมื่อไม่สมปารถนา  เพียง

                                                           เพื่อชายในดวงใจคือเจ้าพี่นครินทร์เพียงองค์เดียวเท่านั้น 
  
ชนากาญน์   (ต้อง)    รับบทเป็น         มณีเนตร   บุตรีของอำมาตย์สิงขร  คนสนิทของเหนือหัวพรหมทัศน์
 
                                                            เป็นพระสหายของพระโอรสนครินทร์ตั้งแต่เยาว์วัย    ภายนอกอ่อนหวาน 
                
                                                            ช่างเอาอกเอาใจ ดุจกลสตรีทุกประการ  แต่พร้อมจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อ

                                                           โอรสนครินทร์ที่นางแอบรัก   มีความจงรักภักดีต่อชายอันเป็นที่รัก  และสามารถกำจัดศัตรู

                                                            หัวใจของนางได้ทุกคน
 
      ร่วมด้วยนักแสดงเจ้าบทบาทคับคั่ง    และเจ้างั่ง  พลิกบทบาทมาเป็น  หัวหมู่ผจญ  คนสนิทของโอรสนครินทร์   เซ่อซ่า  ซุ่มซ่า   ช่างสงสัย   ติดตาม  จอมใจ  และติชมด้วยนะคะ   
                                                           


ตอนที่  1    นครแห่งขุนเขา

ณ  คีรีนคร  ดินแดนแห่งขุนเขา   ท่ามกลางหมู่ป่าเขากว้างใหญ่ไพศาล  อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์และสัตว์ป่านานาชนิด   มีกษัตริย์ครองนครคือท้าววิรุฬราช  และมเหสีสุวินตรา   และมีราชโอรสผู้สง่างาม  ทรง

พระนามว่าวรเทพ      พระโอรสวรเทพทรงโปรดปรานการล่าสัตว์  และการสู้รบทุกรูปแบบ  ด้วยความเป็นโอรสหนุ่มผู้สง่างาม  และองอาจ  แม้มีพระชันษาเพียง  22  พรรษา

“พระโอรสพระเจ้าข้า  ลูกธนูที่ทรงยิงไปไม่พลาดเป้าเลยพระเจ้าข้า”   เสียงหัวหมู่กล้าทหารคนสนิท รายงานพร้อมกับชูนกตัวใหญ่ที่เป็นเหยื่อคมธนูของโอรสวรเทพให้ผู้เป็นเจ้านายดู  “ดีมากหัวหมู่  วันนี้เราเบื่อล่าสัตว์

แล้ว  เราไปขี่ม้าเล่นกันเถอะ”   ว่าแล้วก็ควบม้าสีนิลคู่ใจตะบึงเข้าสู่ป่าหนาทึบข้างหน้า  โดยมีหัวหมู่แก้วควบม้าอีกตัวตามติดเจ้านายไปด้วยความจงรักภักดี

           ภายในพระตำหนักแห่งคีรีนคร   มเหสีกับองค์เหนือหัวกำลังทรงปรึกษาเกี่ยวกับราชโอรสอันเป็นที่รัก

“เจ้าพี่ทรงหมายความว่า  จะทรงส่งสารไปพร้อมเครื่องบรรณาการ  เพื่อขอหมั้นหมายธิดาแห่งรัตนะนคร  ให้กับวรเทพลูกเราเหรอเพคะ”  พระมเหสีสุวินตราทูลถามองค์เหนือหัววิรุราชผู้เป็นพระสวามี 

“ถูกต้องแล้ว  สุวินตรา  ถึงเวลาที่วรเทพจะมีคู่ครอง  และสืบราชบัลลังค์จากเราแล้ว  “   เหนือหัววิรุฬราชตรัสอย่างมุ่งมั่นและหนักแน่น

“แต่วรเทพ  กับราชธิดาของรัตนะนคร  ยังไม่ได้พบเจอกันเลยนะเพคะ  นี่ก็  16  ปีผ่านมาแล้ว  ป่านนี้ไม่รู้ว่าธิดาแห่งรัตนะนครจะมีสิริโฉมงดงาม เป็นที่ต้องตาต้องใจลูกเราหรือเปล่า  อย่าลืมนะเพคะว่าวรเทพมีความ

เป็นตัวของตัวเองสูงและไม่ได้อ่อนโยนเหมือนพระองค์   ถ้าหากเราทำให้ลูกไม่พอใจน้องเกรงว่า..”  ผู้เป็นมเหสียังมิวายกังวลพระทัย 
 
“อย่ากังวลไปเลยน้องสุวินตรา  พี่มั่นใจว่าวรเทพต้องพอใจในรูปโฉมของ ธิดาแห่งรัตนะนคร  น้องดูนี่ซิ”  เหนือหัววิรุราชทรงคลี่ภาพวาดราชธิดาแห่งรัตนะนคร  ออกให้มเหสีทอดพระเนตร  นางในภาพวาดงดงามดั่ง

ดรุณีแรกแย้ม  โอษฐ์บางสีชมพูระเรื่อ   เนตรกลมมนดังเนตรทราย  นาสิกเชิดรั้น  รับกับพักตร์เกลี้ยงเกลา  พระเกศายาวสลวย   “พี่ให้หมื่นสิงหล  ส่งทหารฝีมือดีไปสอดแนมและวาดภาพพระธิดาแก้วโกมุทมาให้

วรเทพได้ดูแล้ว  พี่มั่นใจว่าไม่มีชายใดปฏิเสธ นางในภาพนี่ได้แน่นอน” 

“แหม  เจ้าพี่ทรงรอบครอบเหลือเกินนะเพคะ  เห็นอย่างนี้แล้วหม่อมฉันก็เบาใจ  ลูกเราคงไม่ปฏิเสธแน่นอนเพคะ”

“ดีล่ะ  วันพรุ่ง  เมื่อวรเทพกลับจากล่าสัตว์พี่จะให้เข้าพบที่ท้องพระโรงทันที” 

วันรุ่งขึ้น  ณ  ท้องพระโรงแห่งคีรีนคร  ต่างเต็มไปด้วยข้าราชบริพารคับคั่ง    โอรสวรเทพทรงเสด็จสู่ท้องพระโรงอย่างองอาจ  สง่างามท่ามกลางสายตาชื่นชม ทุกสายตา 

  “ถวายบังคมพระเจ้าข้าเสด็จพ่อ เสด็จแม่   ไม่ทราบว่าวันนี้มีรับสั่งให้ลูกเข้าเฝ้าด่วน   มีราชกิจเร่งด่วนประการใดพระเจ้าข้า”     

“ใจเย็นๆ ลูกวรเทพ  วันนี้พ่อไม่มีกิจเร่งด่วนใดหรอก  เพียงแต่ว่ามีเรื่องสำคัญจะแจ้งให้เจ้าทราบ  อีกเจ็ดราตรี คีรีนครจะได้ต้อนรับการมาเยือนของรัตนะนคร  พ่ออยากให้เจ้าเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อรองรับอาคันตุกะผู้มา

เยือน อย่างสมพระเกียรติ”    องค์เหนือหัววิรุฬราช ตรัสกับพระโอรส ด้วยพระพักตร์ยิ้มแย้ม  สร้างความสงสัยให้กับพระโอรสยิ่งนัก   

“ เอ...ถ้าหม่อมฉันจำไม่ผิด  รัตนะนครเป็นเมืองขนาดกลางทางตอนใต้ของเรา  ที่เสด็จพ่อเคยพาหม่อมฉันไปเยือนเมื่อเยาว์วัยใช่ไหมพระเจ้าข้า”  ทูลถามพระบิดาให้หายสงสัยตามวิสัยที่มุทะลุของตน

“ถูกต้องแล้ววรเทพ   และเจ้าก็จะได้พบกับน้องแก้วของเจ้าด้วย”     

“น้องแก้วที่ตัวอ้วนกลม  ตาโตๆ   แก้มยุ้ยๆ เหรอพระเจ้าข้า  หม่อมฉันจำได้ เด็กผู้หญิงที่เป็นพระธิดาของเสด็จอาโกเมนและเสด็จอาสุวรรณมาลีน่ะหรือพระเจ้าข้า”  ทูลถามเพื่อให้แน่พระทัย   

“ใช่แล้วจ้าวรเทพ  และเสด็จพ่อก็ทรงมีของขวัญประทานให้แก่ลูกด้วยนะจ๊ะ”  มเหสีสุวินตราตรัสพลางนั่งประทับข้างๆพระโอรสและโอบพระหัตถ์ลูบอังสะของโอรสองค์เดียวด้วยความรักใคร่ 

“อย่าบอกนะพระเจ้าข้า  ว่าของขวัญที่ว่าคือน้องแก้ว  เอ่อ....หม่อมฉันขอไม่รับของขวัญชิ้นนี้ได้ไหมพระเจ้าข้า “   

ปฏิเสธเสียงแข็ง  เมื่อนึกถึงภาพในวัยเยาว์  ถึงแม้จริงเจริญวัยขึ้น  น้องแก้วก็คงไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนักกระมัง
 
“เอาเถอะ พ่อให้โอกาสเจ้าอีกเจ็ดราตรี  ค่อยตัดสินใจก็ได้เผื่อว่าเจ้าจะเปลี่ยนใจ”  เหนือหัววิรุราชตรัสด้วยพระพักตร์ยิ้มแย้ม   มีเพียงโอรสวรเทพเท่านั้นที่ทำหน้าพะอืดพะอมเมื่อนึกถึงใบหน้าและรูปร่างอ้วนกลมของ

น้องแก้วเมื่อครั้งเยาว์วัย












« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 18, 2012, 02:16:04 PM โดย supawadee »

ออฟไลน์ นานะจัง

  • *
  • 7234
  • -3
  • เพศ: หญิง
  • นิศาอรพินท์
    • อีเมล์
Re: จอมใจ
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: ตุลาคม 18, 2012, 01:14:24 PM »
ช่วย Edit เคราะห์บรรทัดได้มั้ยคะ มันทำให้อ่านยากอ่ะค่ะ  :icon_smile:

Re: จอมใจ
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: ตุลาคม 18, 2012, 01:15:49 PM »
มีคำติชม  จะถือว่าเป็นกำลังใจสำหรับนักเขียนฝึกหัดนะคะ     

Re: จอมใจ
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: ตุลาคม 18, 2012, 02:23:54 PM »
    ตอนที่  2  ราชธิดาแห่งรัตนะนคร

ณ  รัตนะนคร    ดินแดนทางใต้ของคีรีนคร  เมืองที่อุดมสมบูรณ์   เป็นเมืองท่าขนาดใหญ่  พสกนิกรล้วนมีอาชีพค้าขาย   สำเภาน้อยใหญ่จอดเทียบท่า สินค้ามากมายวางเรียงรายตามตลาดท่าน้ำให้ได้ชม   ทุก ๆ  วัน

จะมีนางกำนัลซึ่งแต่งกายเป็นชาวบ้านธรรมดาเดินแกมวิ่งปะปนไปกับผู้คนในท้องตลาด   คอยติดตามร่างอรชรของบุรุษหนุ่มน้อยหน้าตาจิ้มลิ้ม เที่ยวซุกซนชมตลาดอย่างสำราญใจ 

 “พี่ดวงจันทร์  พี่ดวงใจ  วันนี้เราสนุกมากเลย  ได้ผ้าแพรสวย ๆไปฝากเสด็จแม่เยอะแยะเลย”  หนุ่มน้อยหันมาบอกกับพระพี่เลี้ยงซึ่งคอยติดตามอย่างใกล้ชิด

  “งั้นแสดงว่าวันนี้พระธิดาจะเสด็จกลับเข้าวังแล้วใช่ไหมเพคะ “    พระพี่เลี้ยงดวงใจทูลถามด้วยกิริยาท่าทางกระซิบกระซาบ  เพราะหนุ่มน้อยตรงหน้ากำชับนักกำชับหนาว่าอย่าให้ผู้ใดล่วงรู้ถึงฐานะที่แท้จริงของตนเองเป็น

อันขาด   ไม่เช่นนั้นจะถูกลงโทษด้วยการจับมัดมือแล้วโดนขนไก่แหย่รูจมูกให้จั๊กจี๋เล่น   ซึ่งสองพระพี่เลี้ยงทราบดีว่า วิธีลงโทษที่พระธิดาว่านั้น  มันช่างทรมานนัก


 
  “อืม....ก็ได้วันนี้เรากลับก็ได้  พวกเจ้าสองคนตามเราให้ทันก็แล้วกัน” ว่าพลางออกวิ่งนำหน้าพระพี่เลี้ยงทั้งสองอย่างเร็ว  สองพระพี่เลี้ยงจำเป็นต้องรีบวิ่งตามไปอย่างเร็วเช่นกัน
     
ครั้นกลับถึงพระตำหนักในของพระราชธิดาองค์เดียวแห่งรัตนะนคร  ยังมิทันที่จะเปลี่ยนฉลองพระองค์กลับมาเป็นสตรีผู้งดงาม  นางกำนัลฝ่ายในก็ทูลเชิญเสด็จเข้าเฝ้าพระบิดาและพระมารดาโดยเร่งด่วน

“ดูซิ  พี่ดวงจันทร์พี่ดวงใจ   เสด็จพ่อทรงให้เราเข้าเฝ้าด่วนแบบนี้แสดงว่า ทรงทราบว่าเราหนีเที่ยวแน่เลย  คราวนี้โดนกักบริเวณอีกนาน”  คนพูดมีน้ำเสียงและสีหน้ากร่อยๆ 
  
“โธ่   พระธิดาเพคะก็พระบิดาทรงเป็นห่วงพระธิดามากนี่เพคะ  หม่อมฉันว่าคงไม่ลงโทษอีกหรอกเพคะ  พระธิดารีบเสด็จเข้าเฝ้าเถิดนะเพคะ”   พระพี่เลี้ยงดวงใจ รีบทูลเสด็จเข้าเฝ้าพระบิดาโดยเร็วเพราะเกรงว่าพระราชธิดา

อันเป็นที่รักจะโดนพระบิดาลงโทษอีก
   
“ไปก็ได้  ถ้าเสด็จพ่อทรงกริ้ว  พวกเจ้าต้องช่วยเรานะ”  ตรัสอย่างออดอ้อน   พระพี่เลี้ยงพยักหน้ารับคำ   นางจึงยอมเสด็จออกจากตำหนักเพื่อเฝ้าพระราชบิดา

   ท้องพระโรงจึงเต็มไปด้วยบรรดา  ขุนนาง  คุณท้าว  ตลอดจนทหารกำนัลฝ่ายในทั้งหลาย ที่เข้าเฝ้าเต็มท้องพระโรง  เฉกเช่นกับทุกวันที่มีพระราชกิจเร่งด่วน    เหนือหัวโกเมน และมเหสีสุวรรณมาลีประทับที่

ประแท่นอันสง่างาม    เมื่อร่างระหงของพระธิดาหัวแก้วหัวแหวน  ที่เดินแกมวิ่งเข้ามายังท้องพระโรงพร้อมกับขึ้นไปประทับบนพระแท่นตรงกลางระหว่างพระราชบิดาและพระราชมารดา

เหมือนที่เคยทำแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์ 

 “เสด็จพ่อเสด็จแม่ให้ลูกเข้าเฝ้ามีราชกิจใดสำคัญเร่งด่วนหรือเพคะ   “   เจ้าของร่างอรชรงดงามเอื้อนเอ่ยวาจาอ่อนหวานฉอเลาะพระบิดาและพระมารดาตามปกติวิสัย
 
 “เอ...แก้วโกมุท  พ่อจำได้ว่าพ่อห้ามเจ้าออกนอกพระราชวังเป็นเวลา  1  เดือนมิใช่หรือ  ตั้งแต่เจ้าก่อเรื่องคราวนั้น  ถึงวันนี้ยังไม่ครบเดือนดีนี่นา”  พระบิดาถามด้วยพระสุรเสียงเข้ม 
      
ทำให้พระราชธิดาองค์เดียวพระพักตร์เจื่อ  จนต้องรีบหันมาหาพระมารดาเพื่อขอความเห็นใจ

  “เสด็จพ่อทรงมีเรื่องสำคัญจะแจ้งให้ลูกทราบน่ะจ้ะ  ลูกแก้วจำได้ไหมว่าเมื่อครั้งยังเล็ก ๆ  เราเคยต้อนรับเสด็จลุงกับเสด็จป้าแห่งคีรีนครและก็เจ้าพี่วรเทพของลูกด้วย”   พระมารดาเอ่ยถามเพื่อให้พระธิดานึกถึงผู้มาเยือน

เมื่อครั้นอดีตกาล   พระพักตร์งามยิ้มแย้ม  ดวงหน้ากระจ่างใสเต็มไปด้วยความปิติยินดี 

“จำได้เพคะ  เสด็จลุงวิรุฬราช  เสด็จป้าสุวินตรา  และก็เจ้าพี่วรเทพ  ที่ลูกเคยบังคับให้เป็นม้าให้ลูกขี่หลังวิ่งรอบอุทยาน “ 
  
“ใช่จ้า  รู้ไหมนับแต่วันนั้น ผ่านมา  16  ปี  เจ้าพี่วรเทพของเจ้าก็ขยาดที่จะมาให้เจ้าขี่หลังเล่นอีก  คงจะสนุกสนานจนลืมไม่ลงกระมัง”พระมารดาตรัสปนพระสรวล 

“เสด็จแม่เพคะ  เสด็จแม่จะล้อว่าลูกอ้วนกลมใช่ไหมเพคะ”  ทูลถามเสียงสูงพร้อมกิริยากระเง้ากระงอดพระมารดา  ซึ่งดูเป็นกิริยาที่น่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก  เมื่อยามที่เจ้าตัวเผลอแสดงกิริยาแสนงอนนี้ขึ้นมา   พระมารดาจึงได้

แต่แย้มพระโอษฐ์และชำเลืองมองพระสวามีเพื่อขอความเห็น

“แก้วโกมุท   พรุ่งนี้เราจะไปเยือนคีรีนคร  อีกไม่นานลูกจะได้พบเจ้าพี่วรเทพแล้ว”  พระบิดารับสั่งกับพระธิดาองค์เดียวด้วยความเอ็นดู


 “จริงเหรอเพคะ  ลูกดีใจจังเลย  คราวนี้เจ้าพี่วรเทพจะทำพระพักตร์ยังงัยเมื่อเห็นหน้าลูก” พูดพลางนึกถึงหน้าเจ้าพี่วรเทพที่ขี้หงุดหงิด  แล้วก็แอบยิ้มคนเดียว 
          
พระธิดาแก้วโกมุทกลับมายังพระตำหนักด้วยรอยยิ้ม  รู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก  อีกไม่นานนางจะพบเจ้าพี่วรเทพที่นางรักและเคารพเหมือนพระเชษฐาร่วมอุทร  โดยหารู้ไม่ว่าการเยือนคีรีนครคราวนี้ 

 มีจุดประสงค์เพื่อเจริญสัมพันธไมตรีและเพื่อเชื่อมสัมพันธ์สองนครให้ยิ่งใหญ่เป็นปึกแผ่นสืบไป


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 18, 2012, 02:36:14 PM โดย supawadee »

Re: จอมใจ
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: ตุลาคม 18, 2012, 02:39:37 PM »
    ตอนที่  2  ราชธิดาแห่งรัตนะนคร

ณ  รัตนะนคร    ดินแดนทางใต้ของคีรีนคร  เมืองที่อุดมสมบูรณ์   เป็นเมืองท่าขนาดใหญ่  พสกนิกรล้วนมีอาชีพค้าขาย   สำเภาน้อยใหญ่จอดเทียบท่า สินค้ามากมายวางเรียงรายตามตลาดท่าน้ำให้ได้ชม   ทุก ๆ  วัน

จะมีนางกำนัลซึ่งแต่งกายเป็นชาวบ้านธรรมดาเดินแกมวิ่งปะปนไปกับผู้คนในท้องตลาด   คอยติดตามร่างอรชรของบุรุษหนุ่มน้อยหน้าตาจิ้มลิ้ม เที่ยวซุกซนชมตลาดอย่างสำราญใจ 

 “พี่ดวงจันทร์  พี่ดวงใจ  วันนี้เราสนุกมากเลย  ได้ผ้าแพรสวย ๆไปฝากเสด็จแม่เยอะแยะเลย”  หนุ่มน้อยหันมาบอกกับพระพี่เลี้ยงซึ่งคอยติดตามอย่างใกล้ชิด

  “งั้นแสดงว่าวันนี้พระธิดาจะเสด็จกลับเข้าวังแล้วใช่ไหมเพคะ “    พระพี่เลี้ยงดวงใจทูลถามด้วยกิริยาท่าทางกระซิบกระซาบ  เพราะหนุ่มน้อยตรงหน้ากำชับนักกำชับหนาว่าอย่าให้ผู้ใดล่วงรู้ถึงฐานะที่แท้จริงของตนเองเป็น

อันขาด   ไม่เช่นนั้นจะถูกลงโทษด้วยการจับมัดมือแล้วโดนขนไก่แหย่รูจมูกให้จั๊กจี๋เล่น   ซึ่งสองพระพี่เลี้ยงทราบดีว่า วิธีลงโทษที่พระธิดาว่านั้น  มันช่างทรมานนัก


 
  “อืม....ก็ได้วันนี้เรากลับก็ได้  พวกเจ้าสองคนตามเราให้ทันก็แล้วกัน” ว่าพลางออกวิ่งนำหน้าพระพี่เลี้ยงทั้งสองอย่างเร็ว  สองพระพี่เลี้ยงจำเป็นต้องรีบวิ่งตามไปอย่างเร็วเช่นกัน
     
ครั้นกลับถึงพระตำหนักในของพระราชธิดาองค์เดียวแห่งรัตนะนคร  ยังมิทันที่จะเปลี่ยนฉลองพระองค์กลับมาเป็นสตรีผู้งดงาม  นางกำนัลฝ่ายในก็ทูลเชิญเสด็จเข้าเฝ้าพระบิดาและพระมารดาโดยเร่งด่วน

“ดูซิ  พี่ดวงจันทร์พี่ดวงใจ   เสด็จพ่อทรงให้เราเข้าเฝ้าด่วนแบบนี้แสดงว่า ทรงทราบว่าเราหนีเที่ยวแน่เลย  คราวนี้โดนกักบริเวณอีกนาน”  คนพูดมีน้ำเสียงและสีหน้ากร่อยๆ 
  
“โธ่   พระธิดาเพคะก็พระบิดาทรงเป็นห่วงพระธิดามากนี่เพคะ  หม่อมฉันว่าคงไม่ลงโทษอีกหรอกเพคะ  พระธิดารีบเสด็จเข้าเฝ้าเถิดนะเพคะ”   พระพี่เลี้ยงดวงใจ รีบทูลเสด็จเข้าเฝ้าพระบิดาโดยเร็วเพราะเกรงว่าพระราชธิดา

อันเป็นที่รักจะโดนพระบิดาลงโทษอีก
   
“ไปก็ได้  ถ้าเสด็จพ่อทรงกริ้ว  พวกเจ้าต้องช่วยเรานะ”  ตรัสอย่างออดอ้อน   พระพี่เลี้ยงพยักหน้ารับคำ   นางจึงยอมเสด็จออกจากตำหนักเพื่อเฝ้าพระราชบิดา

   ท้องพระโรงจึงเต็มไปด้วยบรรดา  ขุนนาง  คุณท้าว  ตลอดจนทหารกำนัลฝ่ายในทั้งหลาย ที่เข้าเฝ้าเต็มท้องพระโรง  เฉกเช่นกับทุกวันที่มีพระราชกิจเร่งด่วน    เหนือหัวโกเมน และมเหสีสุวรรณมาลีประทับที่

ประแท่นอันสง่างาม    เมื่อร่างระหงของพระธิดาหัวแก้วหัวแหวน  ที่เดินแกมวิ่งเข้ามายังท้องพระโรงพร้อมกับขึ้นไปประทับบนพระแท่นตรงกลางระหว่างพระราชบิดาและพระราชมารดา

เหมือนที่เคยทำแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์ 

 “เสด็จพ่อเสด็จแม่ให้ลูกเข้าเฝ้ามีราชกิจใดสำคัญเร่งด่วนหรือเพคะ   “   เจ้าของร่างอรชรงดงามเอื้อนเอ่ยวาจาอ่อนหวานฉอเลาะพระบิดาและพระมารดาตามปกติวิสัย
 
 “เอ...แก้วโกมุท  พ่อจำได้ว่าพ่อห้ามเจ้าออกนอกพระราชวังเป็นเวลา  1  เดือนมิใช่หรือ  ตั้งแต่เจ้าก่อเรื่องคราวนั้น  ถึงวันนี้ยังไม่ครบเดือนดีนี่นา”  พระบิดาถามด้วยพระสุรเสียงเข้ม 
      
ทำให้พระราชธิดาองค์เดียวพระพักตร์เจื่อ  จนต้องรีบหันมาหาพระมารดาเพื่อขอความเห็นใจ

  “เสด็จพ่อทรงมีเรื่องสำคัญจะแจ้งให้ลูกทราบน่ะจ้ะ  ลูกแก้วจำได้ไหมว่าเมื่อครั้งยังเล็ก ๆ  เราเคยต้อนรับเสด็จลุงกับเสด็จป้าแห่งคีรีนครและก็เจ้าพี่วรเทพของลูกด้วย”   พระมารดาเอ่ยถามเพื่อให้พระธิดานึกถึงผู้มาเยือน

เมื่อครั้นอดีตกาล   พระพักตร์งามยิ้มแย้ม  ดวงหน้ากระจ่างใสเต็มไปด้วยความปิติยินดี 

“จำได้เพคะ  เสด็จลุงวิรุฬราช  เสด็จป้าสุวินตรา  และก็เจ้าพี่วรเทพ  ที่ลูกเคยบังคับให้เป็นม้าให้ลูกขี่หลังวิ่งรอบอุทยาน “ 
  
“ใช่จ้า  รู้ไหมนับแต่วันนั้น ผ่านมา  16  ปี  เจ้าพี่วรเทพของเจ้าก็ขยาดที่จะมาให้เจ้าขี่หลังเล่นอีก  คงจะสนุกสนานจนลืมไม่ลงกระมัง”พระมารดาตรัสปนพระสรวล 

“เสด็จแม่เพคะ  เสด็จแม่จะล้อว่าลูกอ้วนกลมใช่ไหมเพคะ”  ทูลถามเสียงสูงพร้อมกิริยากระเง้ากระงอดพระมารดา  ซึ่งดูเป็นกิริยาที่น่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก  เมื่อยามที่เจ้าตัวเผลอแสดงกิริยาแสนงอนนี้ขึ้นมา   พระมารดาจึงได้

แต่แย้มพระโอษฐ์และชำเลืองมองพระสวามีเพื่อขอความเห็น

“แก้วโกมุท   พรุ่งนี้เราจะไปเยือนคีรีนคร  อีกไม่นานลูกจะได้พบเจ้าพี่วรเทพแล้ว”  พระบิดารับสั่งกับพระธิดาองค์เดียวด้วยความเอ็นดู


 “จริงเหรอเพคะ  ลูกดีใจจังเลย  คราวนี้เจ้าพี่วรเทพจะทำพระพักตร์ยังงัยเมื่อเห็นหน้าลูก” พูดพลางนึกถึงหน้าเจ้าพี่วรเทพที่ขี้หงุดหงิด  แล้วก็แอบยิ้มคนเดียว 
          
พระธิดาแก้วโกมุทกลับมายังพระตำหนักด้วยรอยยิ้ม  รู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก  อีกไม่นานนางจะพบเจ้าพี่วรเทพที่นางรักและเคารพเหมือนพระเชษฐาร่วมอุทร  โดยหารู้ไม่ว่าการเยือนคีรีนครคราวนี้ 

 มีจุดประสงค์เพื่อเจริญสัมพันธไมตรีและเพื่อเชื่อมสัมพันธ์สองนครให้ยิ่งใหญ่เป็นปึกแผ่นสืบไป


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 18, 2012, 02:48:48 PM โดย supawadee »

Re: จอมใจ
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: ตุลาคม 18, 2012, 05:04:54 PM »
    ตอนที่  2  ราชธิดาแห่งรัตนะนคร

ณ  รัตนะนคร    ดินแดนทางใต้ของคีรีนคร  เมืองที่อุดมสมบูรณ์   เป็นเมืองท่าขนาดใหญ่  พสกนิกรล้วนมีอาชีพ

ค้าขาย   สำเภาน้อยใหญ่จอดเทียบท่า สินค้ามากมายวางเรียงรายตามตลาดท่าน้ำให้ได้ชม   ทุก ๆ  วัน จะมีนางกำนัลซึ่ง

แต่งกายเป็นชาวบ้านธรรมดาเดินแกมวิ่งปะปนไปกับผู้คนในท้องตลาด   คอยติดตามร่างอรชรของบุรุษหนุ่มน้อยหน้าตา

จิ้มลิ้ม เที่ยวซุกซนชมตลาดอย่างสำราญใจ
 
 “พี่ดวงจันทร์  พี่ดวงใจ  วันนี้เราสนุกมากเลย  ได้ผ้าแพรสวย ๆไปฝากเสด็จแม่เยอะแยะเลย” 

หนุ่มน้อยหันมาบอกกับพระพี่เลี้ยงซึ่งคอยติดตามอย่างใกล้ชิด

  “งั้นแสดงว่าวันนี้พระธิดาจะเสด็จกลับเข้าวังแล้วใช่ไหมเพคะ “   

 พระพี่เลี้ยงดวงใจทูลถามด้วยกิริยาท่าทางกระซิบกระซาบ  เพราะหนุ่มน้อยตรงหน้ากำชับนักกำชับหนาว่าอย่าให้ผู้ใด

ล่วงรู้ถึงฐานะที่แท้จริงของตนเองเป็นอันขาด   ไม่เช่นนั้นจะถูกลงโทษด้วยการจับมัดมือแล้วโดนขนไก่แหย่รูจมูกให้จั๊กจี๋เล่น 

 ซึ่งสองพระพี่เลี้ยงทราบดีว่า วิธีลงโทษที่พระธิดาว่านั้น  มันช่างทรมานนัก 

  “อืม....ก็ได้วันนี้เรากลับก็ได้  พวกเจ้าสองคนตามเราให้ทันก็แล้วกัน” ว่าพลางออกวิ่งนำหน้าพระพี่เลี้ยงทั้งสองอย่างเร็ว 

สองพระพี่เลี้ยงจำเป็นต้องรีบวิ่งตามไปอย่างเร็วเช่นกัน   
   
ครั้นกลับถึงพระตำหนักในของพระราชธิดาองค์เดียวแห่งรัตนะนคร  ยังมิทันที่จะเปลี่ยนฉลองพระองค์กลับมา

เป็นสตรีผู้งดงาม  นางกำนัลฝ่ายในก็ทูลเชิญเสด็จเข้าเฝ้าพระบิดาและพระมารดาโดยเร่งด่วน

“ดูซิ  พี่ดวงจันทร์พี่ดวงใจ   เสด็จพ่อทรงให้เราเข้าเฝ้าด่วนแบบนี้แสดงว่า ทรงทราบว่าเราหนีเที่ยวแน่เลย  คราวนี้โดนกัก

บริเวณอีกนาน”  คนพูดมีน้ำเสียงและสีหน้ากร่อยๆ   

“โธ่   พระธิดาเพคะก็พระบิดาทรงเป็นห่วงพระธิดามากนี่เพคะ  หม่อมฉันว่าคงไม่ลงโทษอีกหรอกเพคะ  พระธิดารีบเสด็จ

เข้าเฝ้าเถิดนะเพคะ”   

พระพี่เลี้ยงดวงใจ รีบทูลเสด็จเข้าเฝ้าพระบิดาโดยเร็วเพราะเกรงว่าพระราชธิดาอันเป็นที่รักจะโดนพระบิดาลงโทษอีก   

“ไปก็ได้  ถ้าเสด็จพ่อทรงกริ้ว  พวกเจ้าต้องช่วยเรานะ” 

ตรัสอย่างออดอ้อน   พระพี่เลี้ยงพยักหน้ารับคำ   นางจึงยอมเสด็จออกจากตำหนักเพื่อเฝ้าพระราชบิดา

   ท้องพระโรงจึงเต็มไปด้วยบรรดา  ขุนนาง  คุณท้าว  ตลอดจนทหารกำนัลฝ่ายในทั้งหลาย

ที่เข้าเฝ้าเต็มท้องพระโรง  เฉกเช่นกับทุกวันที่มีพระราชกิจเร่งด่วน    เหนือหัวโกเมน และมเหสีสุวรรณมาลีประทับ

ที่ประแท่นอันสง่างาม    เมื่อร่างระหงของพระธิดาหัวแก้วหัวแหวน  ที่เดินแกมวิ่งเข้ามายังท้องพระโรงพร้อมกับขึ้นไป

ประทับบนพระแท่นตรงกลางระหว่างพระราชบิดาและพระราชมารดาเหมือนที่เคยทำแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์ 

 “เสด็จพ่อเสด็จแม่ให้ลูกเข้าเฝ้ามีราชกิจใดสำคัญเร่งด่วนหรือเพคะ   “ 
 เจ้าของร่างอรชรงดงามเอื้อนเอ่ยวาจาอ่อนหวานฉอเลาะพระบิดาและพระมารดาตามปกติวิสัย

 “เอ...แก้วโกมุท  พ่อจำได้ว่าพ่อห้ามเจ้าออกนอกพระราชวังเป็นเวลา  1  เดือนมิใช่หรือ  ตั้งแต่เจ้าก่อเรื่องคราวนั้น  ถึงวันนี้

ยังไม่ครบเดือนดีนี่นา”

 พระบิดาถามด้วยพระสุรเสียงเข้ม       ทำให้พระราชธิดาองค์เดียวพระพักตร์เจื่อ  จนต้องรีบหันมาหาพระมารดาเพื่อขอ

ความเห็นใจ

  “เสด็จพ่อทรงมีเรื่องสำคัญจะแจ้งให้ลูกทราบน่ะจ้ะ  ลูกแก้วจำได้ไหมว่าเมื่อครั้งยังเล็ก ๆ  เราเคยต้อนรับเสด็จลุงกับเสด็จ

ป้าแห่งคีรีนครและก็เจ้าพี่วรเทพของลูกด้วย”   พระมารดาเอ่ยถามเพื่อให้พระธิดานึกถึงผู้มาเยือนเมื่อครั้นอดีตกาล   

พระพักตร์งามยิ้มแย้ม  ดวงหน้ากระจ่างใสเต็มไปด้วยความปิติยินดี 

“จำได้เพคะ  เสด็จลุงวิรุฬราช  เสด็จป้าสุวินตรา  และก็เจ้าพี่วรเทพ  ที่ลูกเคยบังคับให้เป็นม้าให้ลูกขี่หลังวิ่งรอบอุทยาน “   

“ใช่จ้า  รู้ไหมนับแต่วันนั้น ผ่านมา  16  ปี  เจ้าพี่วรเทพของเจ้าก็ขยาดที่จะมาให้เจ้าขี่หลังเล่นอีก  คงจะสนุกสนานจนลืมไม่

ลงกระมัง”    พระมารดาตรัสปนพระสรวล 

“เสด็จแม่เพคะ  เสด็จแม่จะล้อว่าลูกอ้วนกลมใช่ไหมเพคะ”  ทูลถามเสียงสูงพร้อมกิริยากระเง้ากระงอดพระมารดา  ซึ่งดู

เป็นกิริยาที่น่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก  เมื่อยามที่เจ้าตัวเผลอแสดงกิริยาแสนงอนนี้ขึ้นมา   พระมารดาจึงได้แต่แย้มพระโอษฐ์และ

ชำเลืองมองพระสวามีเพื่อขอความเห็น

“แก้วโกมุท   พรุ่งนี้เราจะไปเยือนคีรีนคร  อีกไม่นานลูกจะได้พบเจ้าพี่วรเทพแล้ว”

  พระบิดารับสั่งกับพระธิดาองค์เดียวด้วยความเอ็นดู

 “จริงเหรอเพคะ  ลูกดีใจจังเลย  คราวนี้เจ้าพี่วรเทพจะทำพระพักตร์ยังงัยเมื่อเห็นหน้าลูก” พูดพลางนึกถึงหน้าเจ้าพี่วรเทพ

ที่ขี้หงุดหงิด  แล้วก็แอบยิ้มคนเดียว   
       
พระธิดาแก้วโกมุทกลับมายังพระตำหนักด้วยรอยยิ้ม  รู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก  อีกไม่นานนางจะพบเจ้าพี่วรเทพ

ที่นางรักและเคารพเหมือนพระเชษฐาร่วมอุทร  โดยหารู้ไม่ว่าการเยือนคีรีนครคราวนี้  มีจุดประสงค์เพื่อเจริญสัมพันธไมตรี

และเพื่อเชื่อมสัมพันธ์สองนครให้ยิ่งใหญ่เป็นปึกแผ่นสืบไป

Re: จอมใจ
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: ตุลาคม 18, 2012, 05:11:34 PM »
ตอนที่  3   ผู้มาเยือน

“ขอต้อนรับน้องโกเมนและน้องสุวรรณมาลีสู่คีรีนครด้วยความยินดียิ่ง”  องค์เหนือหัวแห่งคีรีนคร 

เอื้อนเอ่ยวจีต้อนรับผู้มาเยือนด้วยความปิติยินดี

“ไม่ได้เจอกันนาน  เสด็จพี่วิรุฬราชยังคงสง่างามดังเดิมเลยนะพะเจ้าค่ะ” 

องค์โกเมนตรัสกับพระเชษฐาร่วมสาบาน 

“ดูซิ  สุวินตรา พระเชษฐาของเรามัวแต่มายอกันเอง” 

มเหสีแห่งคีรีนครและรัตนะนครต่างทรงพระสรวลกับกิริยาดีพระทัยของกษัตริย์สองพระองค์ที่ไม่

พบกันนาน

“เออ  ว่าแต่ว่า  นี่พี่ให้ทหารไปตามลูกวรเทพป่านนี้ยังไม่มาเข้าเฝ้าเสด็จอาทั้งสองอีก   เจ้าลูกคนนี้

ดื้อรั้น  มุทะลุจริง ๆ เลย”  องค์วิรุฬราชตรัสอย่างไม่พอพระทัย

“ไม่เป็นไรหรอกพระเจ้าค่ะ  เจ้าพี่  หม่อมฉันว่าเราไม่เจอกันนาน  เราลองมาประลองหมากรุกกันสัก

กระดานเถอะพระเจ้าค่ะ”  องค์โกเมนเอ่ยขึ้น

“ดีเหมือนกัน  สงสัยวรเทพคงจะซ้อมรบกับทหารในอุทยานนี่ล่ะ  หลานแก้วโกมุทก็คงจะซน

ตามเคย  หรือไม่ก็เที่ยวชมดอกไม้ในอุทยานตามประสาผู้หญิง เดี๋ยวก็คงจะได้เจอกันเอง”

เสียงนกร้องอย่างเจ็บปวดในอุทยานแห่งคีรีนคร  พระราชธิดาแก้วโกมุททรงเลี่ยงเหล่านางกำนัล

และพระพี่เลี้ยงมาเดินชมอุทยานเพียงลำพัง   ทรงหยุดชะงักเมื่อได้ยินลูกนกน้อยร้องระงมอยู่ตรงพุ่มไม้
 
นางจึงเดินตรงไปตามเสียงร้องนั้น   ภาพแม่นกโดนลูกธนูเสียบเข้าที่ลำตัวนอนหายใจแผ่ว ๆ   และมีเสียง

ลูกนกร้องระงมอยู่พุ่มไม้ใกล้ ๆกัน   นางเบือนพระพักตร์งามหนีภาพอันแสนหดหู่นั้น  ก่อนจะค่อยๆ เอื้อม

พระหัตถ์ขาวบางไปประคองแม่นกขึ้นมาไว้

“ใครนะ  ทำร้ายเจ้าได้ลงคอ  ใจร้ายที่สุดเลย  คอยดูนะเราจะไปทูลฟ้องเสด็จลุงวิรุฬราช”

“เจ้าเป็นใครบังอาจมาตำหนิเรา  วางแม่นกลงเดี๋ยวนี้ แล้วหันหน้ากลับมา” 

เสียงดุเข้มดังก้องอยู่ข้างหลังไม่ห่างจากตัวนางนัก    แก้วโกมุทอดสะท้านไปกับเสียงที่ทรงพลังอำนาจนั้น

ไม่ได้   ไหล่อันบอบบางไหวระริกเล็กน้อย  ก่อนที่จะค่อยๆวางแม่นกลงและหันพระพักตร์กลับมาหาเจ้าของ

เสียงด้วยสีหน้าที่โกรธระคนตระหนก  ดวงตากลมโตไหวระริก  นวลปรางค์แดงระเรื่อด้วยความโกรธระคน

หวั่นไหวกับเจ้าของเสียงดุกังวานนั้น     หากแต่วรเทพกลับเป็นฝ่ายตะลึงมองเจ้าของพักตร์งามพริ้มเพรานั้น

อย่างลืมตัว  นานแสนนานเหมือนจะจ้องมองให้ลึกถึงข้างในจิตใจของสตรีหน้าตาจิ้มลิ้มงดงามดั่งแก้วปทุม

ตรงหน้านี้ 

“ท่านเองหรอกหรือ  ที่ใจร้ายใจดำทำร้ายนกที่น่าสงสารตัวนี้  ท่านรู้ไหมว่ายังมีอีกหลายชีวิตที่รอการกลับมา

ของแม่นกตัวนี่อยู่  ข้าไม่ได้กลัวท่านหรอกนะ   แต่ข้านึกไม่ถึงว่าคีรีนครจะมีพวกคนใจดำ 

ความทุกข์ทรมานของผู้อื่นเป็นความสนุกของตน”  โอษฐ์บางเอื้อนเอ่ยวจีต่อว่าเจ้าของเสียงที่ทำให้ตนตกใจ

เมื่อครู่อย่างมิได้เกรงกลัว  ด้วยเพราะความโมโหที่แม่นกต้องตายอยู่ในมือของนาง  ทำให้ความตกใจกลัวที่มี

เมื่อครู่มลายหายไปสิ้น
 
“เจ้าเป็นใคร  ถึงได้กล้ามายืนต่อว่าเราอย่างไม่เกรงกลัวอาญาเช่นนี้”

วรเทพถามเจ้าของร่างอรชรงดงามตรงหน้า   พระภูษาพร้อมผ้าสไบแพรสีชมพูเนื้อดี  ประดับด้วยเครื่องประดับ

ทองคำทั้งชุดดูงดงามและขับผิวพรรณของผู้สวมใสให้งดงามตรึงใจยิ่งนัก   นางงดงามราวเทพธิดาน้อย 

น่ารักน่าถนุถนอมยิ่งนัก 

“เจ้าเองนั่นล่ะที่จะโดนลงอาญา  ถ้าหากรู้ว่าเราเป็นใคร”
 
ยังคงเถียงอย่างไม่ลดละ   วรเทพนึกขึ้นได้ว่าพระบิดาทรงแจ้งว่าจะมีอาคันตุกะจากรัตนะนครมาเยือน   

สีหน้าสงสัยใคร่รู้ในตัวนางจึงหมดไป  เปลี่ยนเป็นความชื่นชมยินดีมาแทนที่  โดยที่อีกฝ่ายมิทันรู้ตัว

 “ข้าจะไปฟ้องเสด็จลุง  แล้วเจ้าเองคงเป็นสหายของเจ้าพี่วรเทพซินะ  ดีล่ะข้าจะฟ้องเจ้าพี่วรเทพด้วยระวังตัว

เจ้าไว้ให้ดี”

อาฆาตเอาไว้ก่อนเดินจากไป  ทิ้งให้โอรสวรเทพยืนนิ่งมองตามจนร่างงามหายกลับเข้าไปในตำหนักรับรอง
   
 “น้องแก้วจริงหรือนี่   เวลา  16  ปี  เจ้าเปลี่ยนแปลงเสียจนพี่จำไม่ได้  มิน่าเสด็จพ่อให้ตัดสินใจใหม่
 
ข้าตัดสินใจได้แล้ว  น้องแก้ว  เจ้าจะเป็นน้องแก้วของพี่เพียงคนเดียวเท่านั้น”  วรเทพคิดในใจเพียงลำพัง

พร้อมกับให้สัญญากับตนเองว่านางจะเป็นที่รักของตนเพียงผู้เดียวเท่านั้น 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 20, 2012, 02:41:54 PM โดย supawadee »

Re: จอมใจ
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: ตุลาคม 18, 2012, 05:16:13 PM »
ตอนที่   4   ความรู้สึกที่ไม่แปรเปลี่ยน

พระตำหนักของโอรสวรเทพ  องค์เหนือหัววิรุฬราชทรงเอ่ยถามพระโอรสเมื่ออยู่เพียงลำพัง

“ว่าอย่างไรวรเทพ  เจ้าตัดสินใจได้หรือยัง”  พระบิดาถามโอรสองค์เดียวอีกครั้ง  และคราวนี้คำตอบที่ได้รับ

นั้นกลับทำให้ผู้เป็นพระราชบิดาถึงกับทรงพระสรวลออกมาเสียงดัง

“ให้มันได้อย่างนี้ซิลูกรักของพ่อ  เจ้าคงพบน้องแก้วโกมุทแล้วซินะ  พ่อนึกแล้วว่าเจ้าต้องไม่ปฏิเสธหญิงที่

งดงามเพียบพร้อมเช่นแก้วโกมุท”

“ลูกเต็มใจจะเข้าพิธีอภิเษกกับน้องแก้วพระเจ้าข้า  และถ้าจะให้ดี   ลูกอยากเร่งวันอภิเษกมาให้เร็วที่สุด

พระเจ้าข้า”

“ใจเย็นๆ  วรเทพ  น้องยังไม่ได้ล่วงรู้ถึงข้อตกลงในการเชื่อมสัมพันธภาพระหว่างเราทั้งสองนคร

เมื่อเรารวมกับเป็นปึกแผ่นแล้ว  ดินแดนโรมวิสัยจะเป็นแห่งแรกที่เราจะยึดครองเป็นประเทศราชของเรา”

“ลูกขอสัญญาว่าจะไม่ทำให้เสด็จพ่อทรงผิดหวังพระเจ้าข้า  ถ้าเพียงแต่เสด็จพ่อจะทรงเมตตาทูลขอน้องแก้ว

ให้ลูกโดยเร็ววัน”
   
ภายในพระตำหนักรับรอง  ราชธิดาแก้วโกมุทประทับยืนอยู่ริมหน้าต่าง  ทอดพระเนตรยาวไกลไป

ด้านนอก   เมื่อพระมารดาแจ้งให้ทราบถึงจุดประสงค์ที่จะมาเยือนคีรีนคร          นางรู้สึกขัดเคืองใจยิ่งนัก

เพราะความรู้สึกของนางที่มีต่อเจ้าพี่วรเทพนั่น  คือความรักที่บริสุทธิ์เฉกเช่นความรักที่มีให้พระเชษฐา

ร่วมอุทร   เนื่องจากนางไม่มีพระเชษฐา  ทำให้รู้สึกว่าภาพความทรงจำวัยเยาว์นั้น  เป็นความรู้สึกที่งดงาม

ดั่งเช่นพี่ชายน้องสาวเท่านั้น   พระพักตร์งามจึงบึ้งตึง  ไม่มีร่องรอยของความอ่อนหวานน่ารักสักนิด

“ลูกไม่ได้คิดกับเจ้าพี่วรเทพเช่นนั้นนะเพคะ  แล้วจะเข้าพิธีอภิเษกกันได้อย่างไร” 

“ใจเย็นๆก่อนเถอะลูกแก้วโกมุท   วรเทพเป็นบุรุษที่เพียบพร้อม  แม่เชื่อว่าเจ้าจะมีความสุขอย่างแน่นอน”

“แต่เสด็จแม่เพคะ ลูกคงทำใจให้รักเจ้าพี่วรเทพนอกเหนือจากคำว่าพระเชษฐามิได้หรอกเพคะ  ลูกไม่เคยคิด

เช่นนั้นเลย  และเจ้าพี่ก็คงเช่นกัน”

“แก้วโกมุท  ถึงอย่างไรลูกก็ต้องเข้าพิธีอภิเษกกับวรเทพ      แม่ได้ยินเสด็จพ่อของลูกหารือกับเสด็จลุง

เอาไว้แล้ว  อีกไม่นานลูกต้องเข้าพิธีอภิเษกอย่างแน่นอน  ทำใจให้สบายเถอะนะคนดีของแม่  ไหนดูซิสาว

น้อยที่งดงามของแม่เมื่อครู่ไปอยู่ไหนเอ่ย  ทำไมมีแต่สาวน้อยหน้ายักษ์อยู่ตรงนี้”    พระมารดาทรงหยอกเอิน

ให้ราชธิดาหายกังวลพระทัย

   ภายในศาลารับรองในอุทยานหลวงคีรีนคร  “น้ำจัณฑ์ที่นี่รสโอชายิ่งนักนะพระเจ้าข้าเจ้าพี่”

องค์โกเมนทรงตรัสกับพระเชษฐาร่วมสาบานแห่งคีรีนคร  “แต่คงสู้น้ำจัณฑ์แห่งรัตนะนครไม่ได้หรอก

 เพราะอย่างนี้พี่ถึงอยากจะได้ชิมรสน้ำจัณฑ์ที่รัตนะนครบ่อย ๆ  หลังจากที่เราได้เป็นทองแผ่นเดียวกันแล้ว 

คีรีนครและรัตนะนครจะเป็นหนึ่งเดียว”   สองกษัตริย์ทรงพระสรวลอย่างสำราญ   

“อ้าวมาโน้นแล้ววรเทพหลานชายของเจ้า ดูเถิดขนาดมีเสด็จอามาประทับที่นี่ยังไม่หยุดซ้อมรบมาต้อนรับอีก”

“ไม่เป็นไรหรอกพระเจ้าข้า     หลานวรเทพคงต้องการฝึกปรือทหารให้มีความพร้อมเสมอ 

 หม่อมฉันดีใจยิ่งนัก  ที่แก้วโกมุทจะมีผู้ที่ดูแลที่ดีและเพียบพร้อมเช่นนี้”

โอรสวรเทพเดินเข้ามาประทับยังแท่นประทับใกล้ๆ  กับร่างงามระหงที่วันนี้ทรงอาภรณ์สีฟ้าสดใส

กรองด้วยสไบทองสีผ่องขับฉวีนวลให้ลออตายิ่งนัก  ครั้นเมื่ออยู่ใกล้ก็ได้กลิ่นหอมเย้ายวนใจยากนักที่จะ

หักห้ามใจไม่ให้หลงใหลในตัวน้องนางได้ 

 “ ถวายบังคมพระเจ้าค่ะเสด็จอาทั้งสอง  หม่อมฉันต้องขอประทานอภัยที่มิได้ต้อนรับเสด็จอาและน้องแก้วตั้งแต่

วันแรกที่มาเยือน” 

ร่างงามที่ประทับใกล้ๆ อดชำเลืองมองใบหน้าอันสง่างามของบุรุษข้างๆ มิได้     เจ้าพี่วรเทพสง่างามและ

เพียบพร้อมยิ่งนัก  หากแต่หม่อมฉันก็ขอยืนยันว่ารู้สึกต่อพระองค์เช่นพี่ชายกับน้องสาวเท่านั้น
 
“น้องแก้วจะไปชมดอกไม้ในสวนอีกหรือเปล่า  พี่อาสาพาเจ้าไปเอง”
 
“ดีเหมือนกันวรเทพ  น้องนั่งอยู่กับคนแก่นานแล้ว  พาน้องไปเปิดหูเปิดตาหน่อยก็ดี”  มเหสีสุวินตรากล่าว

กับพระโอรส  กษัตริย์ทุกพระองค์ต่างเห็นดีเห็นงามด้วย  วรเทพยิ้มอย่างยินดี  ผิดกับเจ้าร่างน้อยที่มีสีหน้า

เบื่อหน่ายกับท่าทีเห็นดีเห็นงามของทุกพระองค์

“ไปเถอะน้องแก้ว”   เมื่อถูกคะยั้นคะยอนางจึงลุกเดินนำหน้าเจ้าพี่วรเทพออกไปยังสวนของอุทยาน 
 
“ไม่ยักรู้ว่าโตขึ้น  น้องแก้วจะเปลี่ยนแปลงและงดงามเช่นนี้  พี่รักเจ้าตั้งแต่แรกพบ  และก็มิอาจทนเห็นเจ้าไม่


รักพี่ไม่ได้  เจ้าจะว่าอย่างไรถ้าพี่จะเร่งวันอภิเษกของเราให้เร็วที่สุด”  ทั้งคำพูดและสายตาของผู้พูดสร้าง

ความลำบากใจให้นางมากกว่าความกระดากอายในถ้อยคำบอกรักนั้น ธิดาแห่งรัตนะนครแบ่งรับแบ่งสู้ใน

การตอบคำถามของอีกฝ่าย  นางยังนึกถึงภาพที่แม่นกตกลงมาตายเพราะคมธนู  อย่างโหดร้ายทารุณเพียง

เพราะการซ้อมรบ  หรือเพื่อความเพลิดเพลินเท่านั้น  เจ้าพี่วรเทพของนางช่างโหดร้ายนัก  แล้วนางจะมี

ความสุขได้อย่างไรกัน

“หม่อมฉันว่า มันไม่เร็วไปหรือเพคะเจ้าพี่วรเทพ  เพราะหม่อมฉันทราบมาว่า คีรีนครและรัตนะนครต้องการ

ขยายอาณาเขตให้กว้างใหญ่  ดังนั้นหม่อมฉันอยากให้เจ้าพี่ทรงบุกไปยึดเมืองโรมวิสัยให้สำเร็จก่อน  แล้วเรา

ค่อยอภิเษกกันภายหลังดีกว่านะเพคะ  เพื่อเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเจ้าพี่ทรงรักหม่อมฉันจริงนะเพคะ” 

ท่าทางออเซาะฉอเลาะ   เจรจาอ้างเหตุผลต่างๆนานาของนาง  มีหรือผู้ที่ตกหลุมรักนางเข้าอย่างจัง

 อย่างวรเทพจะปฏิเสธนางได้

 “ถ้าน้องแก้วต้องการอย่างนั้น  พี่ก็ไม่ขัดข้อง  พี่จะเตรียมทัพให้พร้อมและออกรบให้เร็วที่สุด” 

 พระธิดาแก้วโกมุท  ถอนพระทัยที่สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปได้  แต่นางก็เกรงว่า

ผู้ที่จะเดือดร้อนก็คือผู้คนเมืองโรมวิสัยที่ต้องมาสังเวยชีวิตให้กับสงครามแกร่งแย่งชิงอำนาจ  แม้จะ

ทรงคิดว่าเป็นธรรมดาของนครใหญ่ที่ต้องการแสดงให้ทุกเมืองเห็นว่าตนเองเป็นหนึ่งเหนือนครใดๆ


Re: จอมใจ
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: ตุลาคม 18, 2012, 05:28:10 PM »
ตอนที่  5   เดินทาง

   “ลูกพร้อมที่จะออกไปยึดโรมวิสัยมาเป็นเมืองประเทศราชแล้วพระเจ้าข้า”  วรเทพเข้ามากราบทูลลา

เสด็จพ่อเสด็จแม่พร้อมด้วยเสด็จอาทั้งสอง  หากแต่คนที่ต้องการพบกลับไม่อยู่ในที่ตรงนี้ด้วย 

“ไปเถอะลูก  เสด็จอาทั้งสองพร้อมด้วยน้องแก้วโกมุทจะรอเจ้านำชัยชนะกลับมาอยู่ที่นี่” 

ผู้เป็นบิดาให้พรโอรสให้มีชัยชนะกลับมา 

“แล้วน้องแก้วล่ะพระเจ้าข้า” 

ยังถามหาเจ้าของร่างอรชรหอมละมุนที่ไม่เห็นแม้แต่เงาในวันที่ต้องเดินทางเช่นนี้ 

“คงกลัวว่า  จะอดเป็นห่วงไม่ได้กระมัง  จึงหลบอยู่ในพระตำหนัก  ฝากอานำสิ่งนี้มาให้หลาน  และบอกแต่

เพียงว่า  นางจะตามเจ้าพี่วรเทพไปในทุกที่”  มเหสีสุวรรณมาลัยเอ่ย  พร้อมยื่นพระจุฑามณีสีทองงดงามให้กับ

โอรสวรเทพ

“ดูเอาเถิด  ลูกเราทำเป็นใจแข็งมิอยากมาส่ง  ที่แท้ก็อดห่วงไม่ได้ดูซิ  ให้ปิ่นปักผมแทนตัว ว่าเสมือนตาม

เสด็จไปทุกที่” 

 เหนือหัวโกเมนตรัสอย่างเอ็นดูพระธิดาองค์เดียวอย่างรักใคร่

“ได้เวลาแล้ว  เจ้าจงออกเดินทางไปนำชัยชนะกลับมาให้ได้เถิด”   

“พระเจ้าข้าเสด็จพ่อ  หม่อมฉันทูลลาทุกพระองค์พระเจ้าข้า”   

 โอรสวรเทพทรงควบม้าศึกสีนิลคู่ใจ     นำกำลังทัพทหารที่แข่งแกร่งมุ่งตรงไปยังทิศเหนืออันเป็นดินแดน

โรมวิสัย     โดยหารู้ไม่ว่ามีบุรุษน้อยผู้หนึ่งได้ควบม้านำหน้าไปก่อนพร้อมด้วยสองพระพี่เลี้ยงเมื่อหลาย

ชั่วยามที่แล้ว

   กลางป่ากว้างใหญ่  พระพรหมฤาษีบำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่ในอาศรม   ส่งกระแสจิตเรียกสองบุรุษ

รูปงามที่กำลังอาบน้ำในลำธารข้างอาศรมอย่างสนุกสนาน

 “หลานนครินทร์  นโรธร   จงกลับมายังอาศรมเดี๋ยวนี้” 

สองโอรสหนุ่มแห่งโรมวิสัย  ที่ได้มาอาศัยร่ำเรียนวิชากับพระพรหมฤาษี  จนสำเร็จชำนาญด้านการรบ

ทุกแขนง   ได้ยินเสียงเรียกจึงรีบกลับมายังอาศรมโดยเร็ว  “ท่านตามีเรื่องด่วนอันใดหรือเจ้าค่ะ”

 โอรสผู้เคร่งขรึม สง่างาม ผู้เป็นพี่เอ่ยถามเมื่อมาถึง    “ถึงเวลาแล้วที่หลานทั้งสองจะต้องกลับไปปกป้อง

บ้านเมือง  หลานจงเดินทางกลับไปทางเทือกเขาคีรี  เพราะถ้าหลานทั้งสองเดินทางไปในทิศอื่น  หลานจะ

ไม่ได้พบของสำคัญที่จะเป็นตัวต่อรองในสงครามครั้งนี้    จงจำไว้เสมอว่า  อย่าให้ใจเป็นนายของเรา  ชะตา

ได้ลิขิตมาแล้ว มิอาจฝืน หลานต้องรู้จักควบคุมยับยั้งชั่งใจแล้วหลานจะแก้ปัญหาทุกอย่างได้” 

เมื่อโอรสแห่งโรมวิสัยได้ฟังดังนั้น  ก็กราบลาท่านพระพรหมฤาษี  มุ่งหน้าไปยังทิศที่ท่านฤาษีชี้นำทาง 

โดยมีม้าคู่ใจตะบึงเข้าป่าไปพร้อมอาวุธคู่กาย

      ท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพร  ธิดาแห่งรัตนะนครรอนแรมมาค่อนคืน  นางสั่งพี่เลี้ยงหยุดพักม้าใกล้ๆ

น้ำตก  ก่อนจะก่อกองไฟเพื่อให้แสงสว่าง  เสียงจักจั่นเรไรร้องระงม  นกกลางคืนบินออกหากินขวักไขว่ 

บ้างกรีดร้องเสียงเล็กแหลมชวนให้น่าสะพรึงกลัว  พระพี่เลี้ยงทั้งสองมองซ้ายมองขวาอย่างหวาดหวั่น 

เพราะนางทั้งคู่ไม่เคยเดินทางกลางป่าในลักษณะเยี่ยงนี้    ทำไมหนอพระธิดาของพวกนางจึงได้มีความคิด

พิเรนเช่นนี้    การแต่งกายเป็นชายเพื่อหวังสอดแนมทัพของโอรสวรเทพ  และเพื่อคอยขัดขวางการศึก


 ยืดเวลาอภิเษกสมรสของนางให้ยาวนาน      เพื่อรอให้เจ้าพี่วรเทพทรงเปลี่ยนพระทัย  จะได้ผลหรือเปล่าก็

ไม่รู้  แต่นางก็ทำ   ร่างอรชรลงนั่งใกล้ๆ กองไฟ  เรือนผมหอมกรุ่นบัดนี้ถูกพันธนาการไว้ด้วยพระศิโรเวฐน์เนื้อดี 

ม้วนตลบไว้บนศีรษะ  แสงไฟในคืนเดือนแรมส่องสว่างมายังใบหน้าผุดผ่องนั้น   พระพี่เลี้ยงดวงใจได้แต่

มองแล้วแอบถอนใจ  ใครหนอจะเชื่อว่าเป็นชายชาตรี  ใบหน้าเกลี้ยงเกลางดงามลออตาเช่นนี้  จะหลอกใคร

ต่อใครได้อย่างไร  ขนาดนางเป็นหญิงยังชื่นชมความงามที่มิอาจปิดบังซ่อนเร้นด้วยอาภรณ์ธรรมดา ๆ  ได้

แม้แต่น้อย  แต่ก็เอาเถอะเพราะเมื่อพระธิดาได้ตัดสินใจแล้ว  มีหรือนางจะเปลี่ยนใจง่ายๆ  จึงได้แต่ภาวนาให้

ปลอดภัยและให้ทุกคนเห็นว่าพระธิดาของนางเป็นชายหนุ่มน้อยรูปงามก็แล้วกัน  อย่างน้อย ๆ ถ้าไมมีใคร

สังเกตหรือไม่สนใจมองผ่าน ๆ นางก็คงพอรอดตัวไปได้ 

“พี่ดวงใจพี่ดวงจันทร์พวกเจ้าสองคนต้องเรียกเราว่าพ่อแก้วนะ  ส่วนท่านคือพ่อดวง  และพ่อจันทร์  เราจะมุ่ง

หน้าไปรอทัพเจ้าพี่วรเทพที่ชายแดนพระนครโรมวิสัยเมื่อมีโอกาส เราจะต้องก่อกวนทัพหลวงเพื่อมิให้

สามารถทำการออกรบได้สะดวก”

 นางตรัสสั่งพระพี่เลี้ยงทั้งสองถึงแผนการอันแยบยลของนาง  แล้วก็อดยิ้มกับความคิดที่เฉียบแหลมของ

ตนเอง   สองพี่เลี้ยงกระซิบกระซาบกัน 

“พระธิดานะพระธิดา  อุตริดีแท้  เล่นเป็นเด็กขายของถ้าถูกจับโดยฝีมือฝ่ายศัตรูจะทำเช่นไร

ฉันละอ่อนใจจริงๆ” 

“เป็นอะไรไปหรือเจ้าสองคนน่ะ  นี่เราขอเตือนก่อนนะว่าอย่าทำให้เสียแผน  มากับเราไม่ต้องกลัวหรอก 

จำไม่ได้หรือ  เราก็ได้ฝึกการรบมาเหมือนกัน  เจ้าสองคนสบายใจได้  รับรองพี่แก้วคนนี้ไม่ทำให้ผิดหวัง”

 ส่งสายตาและยักคิ้วให้พระพี่เลี้ยงอย่างกับหนุ่มน้อยที่คึกคะนอง  “เฮ้อ...เห็นไหม  ผิดที่ไหนล่ะ  พระธิดาไม่

เปลี่ยนพระทัยง่าย ๆหรอก”   
 
“คืนนี้เรา  นอนกันตรงนี้ล่ะนะ  ผลัดเปลี่ยนกันอยู่เวรยามก็แล้วกัน  เราจะอยู่คนแรกพวกเจ้านอนก่อนเถอะ”

“พระธิดาเพคะ   คือ...เอ่อ....มันจะมี..มีผีไหมเพคะ”   

 คนถูกถามสะดุ้งโหยงมองซ้ายมองขวาเหมือนเพิ่งคิดได้ 

 “เจ้าจะบ้าเหรอดวงจันทร์ดวงใจ  ไอ้ที่เจ้าว่า  ไม่มีหรอก  เหลวไหลจริงๆพวกเจ้าสองคนนี่  นอนได้แล้ว” 

สั่งเฉียบขาด  พระพี่เลี้ยงยกมือไหว้รอบทิศพึมพำงึมงำๆ แล้วล้มตัวลงนอนหลับตาปี๋   ลมเย็นเริ่มพัดผ่านมา

เป็นระลอกๆ   ส่งผลให้พระธิดาคนเก่งแห่งรัตนะนคร  กลืนน้ำลายลงคออย่างฝืด ๆ  ภาวนาในใจขอให้ลูก

ปลอดภัยด้วยเถิด  อย่าให้เจออันตรายใดๆ เลย  แม้แต่พวกสัตว์ป่า  อย่าง  เสือ  และโขลงช้าง 
 
พอนึกถึงโขลงช้างทำให้นางเพิ่งคิดได้ว่า  แนวลำธารเช่นนี้  สัตว์ป่ามักจะแวะมาดื่มน้ำ    เราจะเจอไหมนี่ 

ไม่หรอกเราคงไม่โชคร้ายขนาดนั้นหรอก   ถ้าผ่านคืนนี้ไปได้  เมื่อทัพของเจ้าพี่วรเทพมาถึง นางจะเข้า

ปะปนไปกับทัพหลวงนั้น คงปลอดภัยดี
 
   แสงอาทิตย์ส่องสว่างมาเยือนขอบฟ้า  เหล่าวิหคต่างพากันออกหากินร้องเสียงดังเซ็งแซ่  สัตว์ป่า

น้อยใหญ่  ต่างออกหากินตามวิสัยของมัน   ราชธิดาแห่งรัตนะนครกำลังล้างหน้าล้างตา  ก่อนที่พระพี่เลี้ยงจะ

ออกเก็บผลไม้มาถวาย 

   อีกฝั่งของลำธาร  พระโอรสแห่งโรมวิสัย  กำลังย่างปลาหอมกรุ่น

 “เจ้าพี่ ทรงเสวยเถอะพระเจ้าข้า  หม่อมฉันจะเดินสำรวจแถวลำธารนี่สักหน่อย”

 โอรสนโรธรผู้น้องกล่าว   ซึ่งผู้เป็นพี่ได้แต่เพียงพยักหน้าตามวิสัยคนพูดน้อย    หากพิศดูรูปลักษณ์ของทั้งคู่ 

ก็ดูสง่างามไม่แพ้กัน  หากแต่ผู้พี่นั้นดูเงียบขรึม ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ  ออกมาภายนอกง่ายๆ ยากที่ใครจะ

อ่านข้างในจิตใจภายใต้ใบหน้าเฉยชาไร้ความรู้สึกนั้นได้ ผิดกับผู้น้องที่  มีแววตาอ่อนโยน  ใบหน้าระบาย

ด้วยรอยยิ้ม   ดูอบอุ่นยิ่งนัก

“เจ้าพี่   เราใกล้เขตพระนครของเราแล้วนะพระเจ้าข้า  แต่แปลกที่ทุกครั้งที่เรากลับพระนคร  เราจะเดินทาง

ไปทางตะวันออก  แต่ทำไมคราวนี้ท่านตาให้เราเดินทางมาทางทิศนี้” 

 โอรสนโรธรยังคงคลางแคลงใจกับคำบอกกล่าวของพระพรหมฤาษี

 “ท่านตาสั่งเราไว้  ก็เพราะมีเหตุผลบางประการ  พี่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน  เราก็ทำตามนั้นเถอะ  อะไรจะเกิด

มันก็ต้องเกิด  ตามที่ฟ้าได้ลิขิต”

“ศึกคราวนี้  จะเป็นศึกจากทางไหนเหรอพระเจ้าข้า  หม่อมฉันนึกไม่ออกเลย  ว่าเมืองใดจะมารุกรานเรา 

เพราะตลอด  20 กว่าปีมานี่  เราไม่มีศัตรูที่ไหน”   โอรสนโรธรยังคงสงสัย

“จะเป็นศึกจากเมืองไหนก็ช่าง  พี่จะทำให้ทัพศัตรูพ่ายแพ้กลับไปให้ได้” 
   
“หม่อมฉันก็ไม่ยอมแพ้พระเจ้าข้า”

   ทัพศึกของโอรสวรเทพเดินทางมาใกล้ถึงเขตชายแดนพระนคร   “เราจะตั้งทัพตรงนี้  เพราะที่นี่มี

ความอุดมสมบูรณ์และเหมาะจะเป็นที่ตั้งของกองทัพที่สุด   พวกเจ้าพักกองและจัดเตรียมเสบียง และความ

พร้อมต่าง ๆตามหน้าที่เถอะ  และรอคำสั่งจากเรา  เราจะส่งกองสอดแนมเข้าไปสืบในเมืองโรมวิสัยดู

เสียก่อน”   ผู้เป็นแม่ทัพสั่งทหารอย่างคล่องแคล่ว    ก่อนจะลงประทับใต้ต้นไม้ใหญ่  และหยิบเอาปิ่นปักผม

ของน้องนางในดวงหทัยออกมาดู  “อีกไม่นาน  พี่ทำการศึกสำเร็จ  โรมวิสัยจะเป็นของกำนัลให้แก่เจ้า
 
เนื่องในวันอภิเษกของเรา”

   ฝ่ายราชธิดาของรัตนะนครรอนแรมมาตามแนวลำธารกับพระพี่เลี้ยง  ระหว่างนั้น  นางได้พบกับเจ้า

ถิ่นลายพาดกลอนขนาดใหญ่  สันชาตญาณของสัตว์ป่าเมื่อเจอผู้บุกรุกมันก็พร้อมจะเข้าจู่โจมทันที 

ทั้งสามชีวิต  และม้าต่างเตลิดหนีกันอุตลุด  ทั้งสามวิ่งหนีกระเซอะกระเซิงมายังที่ตั้งของกองทัพโอรสวรเทพ 

  เสียงทหารรายงานผู้บุกรุกให้กับนายกอง  ก่อนที่ท่านหมื่นทิพย์จะวิ่งกระหืดกระหอบมาทูลว่ามีคนบุกเข้า

มายังกองทัพ 

“ใครกัน  บังอาจนัก  ไปจับมันมา  จับเป็นนะ  เราจะสอบสวนมันเอง” 

“พระเจ้าข้า”  รับคำแล้วก็สั่งทหารล้อมจับผู้บุกรุก  ซึ่งเพียงได้เห็นหน้าชัดเจนบรรดาทหารต่างก็นั่งลง

ประนมมือขอประทานอภัยกันยกใหญ่  วรเทพเดินเข้าไปดูโฉมหน้าผู้บุกรุกให้ชัด ๆ  หัวใจแทบจะหยุดเต้น

น้องนางแก้วโกมุทแอบตามเสด็จออกมากับกองทัพ   

“เจ้าพี่วรเทพเพคะ ช่วยน้องด้วยน้องหนีเสือมาเพคะ  มันจะทำร้ายน้องกับพระพี่เลี้ยงเพคะ  น้องกลัว”

 เสียงเจื้อยแจ้วทูลฟ้องปนสะอื้นเล็กน้อยเพราะอาการตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  โอรสวรเทพ ที่

ยังคงตะลึงคาดไม่ถึงว่าจะพบพระคู่หมายที่กลางป่า  หากแต่มือน้อย ๆ และลำแขนกลมกลึงที่โอบเอวพร้อม

กับซบลงมาที่พระอุระนั้น  ทำให้วรเทพตื่นจากภวังค์  กลิ่นกายหอมกรุ่นนั้น  ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งหอมติดปลายจมูกยิ่งนัก


“น้องแก้ว  ไหนเจ้าบอกพี่ซิ  เจ้ามาได้ยังงัย” 

จับเจ้าตัวดีออกจากอกเพื่อมองหน้ากระจ่างใสนั้นชัด ๆ พร้อมรอคำตอบ    คนถูกถามเพิ่งนึกได้
 
อาการตื่นตระหนกเมื่อครู่หายเป็นปลิดทิ้ง  เปลี่ยนเป็นอาการออเซาะฉอเลาะเพื่อกลบเกลื่อนความผิดของตน

 “ก็  หม่อมฉันคิดได้ว่าน่าจะมาลาเจ้าพี่  พร้อมกับส่งเสด็จด้วยตนเองน่ะเพคะ ก็เลย..”     

“เจ้าก็เลยตามพี่มาอย่างนั้นหรือ น้องแก้ว” 

ถามพร้อมกับจ้องหน้าคนตอบ     พระธิดาแก้วโกมุทเหมือนจะจนมุมแต่ก็เฉไฉไปได้อีก     

 “ หม่อมฉันไม่อยากห่างเจ้าพี่นี่เพคะ  อีกอย่างอยู่ทัพกลางป่าจะเสวย  จะบรรทมอย่างไร 

หม่อมฉันก็เลย  เอ่อ..”   

“แล้วเจ้าคิดว่า  เจ้ามานี่จะช่วยอะไรพี่ได้   พี่อยากจับเจ้าตีให้เนื้อเขียวนัก  รู้ไหมเจ้ายิ่งจะทำให้พี่ยิ่งห่วงหน้า

พะวงหลังจนไม่เป็นการทำอะไรเลย” 

 คนพูดตำหนิเล็กน้อยพร้อมสีหน้าเบื่อหน่าย ระคนไปด้วยความเอ็นดู  ก็นางเป็นทั้งดวงหทัยเลยนี่นา   
 
ฝ่ายแก้วโกมุทเมื่อได้ยินเจ้าพี่วรเทพตรัสว่าเมื่อมีนางอยู่พระองค์จะไม่เป็นการทำศึก  ก็เห็นว่าเป็นการดีที่

นางจะยืดเวลาออกไปได้  และจะได้ช่วยผู้คนบริสุทธิ์ในเมืองโรมวิสัยให้รอดพ้นจากสงครามแย่งชิงอำนาจที่

บิดาของนางและพระสหายต้องการขยายอาณาจักรและต้องการเมืองประเทศราชเพื่อความยิ่งใหญ่

ของพระนครทั้งสอง 

 “แต่หม่อมฉัน  ก็มาถึงนี่แล้ว  เจ้าพี่ให้หม่อมฉันตามเสด็จเถิดนะเพคะ  หม่อมฉันสัญญาว่าจะไม่ก่อความ

วุ่นวายใดๆ เลย  อีกอย่างมีเจ้าพี่อยู่อย่างนี้แล้ว หม่อมฉันเชื่อว่าหม่อมฉันต้องปลอดภัยเพคะ” 

กิริยาวาจาประจบประแจง  มีหรือคนฟังจะไม่ใจอ่อน  พระโอรสวรเทพสั่งให้ทหารจัดที่พักให้พระคู่หมั้น

และพระพี่เลี้ยงพร้อมกับมีทหารฝีมือดีคอยอารักขาอย่างใกล้ชิด

 “พวกเจ้าจำไว้นะ  ดูแลนางให้ดี อย่าให้มีรอยขีดข่วนแม้แต่ปลายเล็บ  ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าจะโดนลงอาญา”

“พระเจ้าข้า”

 เหล่าขุนนางและทหารรับคำสั่ง      ฝ่ายพระธิดาแก้วโกมุท  เมื่อถึงกองทัพแล้วเห็นว่าปลอดภัย ก็ค่อยเบาใจ

 นางจึงออกเดินตระเวนตามแนวที่ตั้งกองทัพ  เมื่อเห็นลำธารน้ำใส ๆ ก็อยากสรงน้ำ  จึงสั่งทหารที่ติดตามให้

ออกไปอยู่ห่าง ๆ เพื่อที่นางจะได้เล่นน้ำกับพระพี่เลี้ยง  สามนางดำผุดดำว่ายในลำธารอย่างสนุกสนาน


Re: จอมใจ
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: ตุลาคม 18, 2012, 05:30:44 PM »
ตอนที่  6   แรกพบ

   ฝ่ายสองพระโอรสแห่งโรมวิสัยที่เดินทางลัดเลาะมาตามแนวลำธารอีกฟากของกองทัพ 

เพื่อมาสืบให้แน่ชัดว่าเป็นทัพจากเมืองใด  ครั้นพอใกล้ก็ปักหลักอยู่ใกล้แนวลำธาร  เสียงสตรีสามนาง

หัวเราะคิกคัก  หยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน  “เสียงใครกัน  มาเล่นน้ำแถวนี้    หม่อมฉันขอไปสำรวจดู

สักหน่อยนะพระเจ้าข้า” นโรธรผู้น้องกล่าวกับโอรสนครินทร์ 

“  พี่ไปด้วย  เผื่อมีอะไร จะได้ช่วยกัน”

 สองโอรสจึงค่อยๆ ซุ่มดูอยู่ต้นไม้ใหญ่ใกล้กับลำธาร    เพียงแค่ยื่นหน้ามองลงไปในลำธาร  นโรธรก็ต้อง

ตะลึงกับภาพนางที่งดงามราวเทพธิดาที่แหวกว่ายอยู่กลางลำธารนั้น   นครินทร์สังเกตอาการของพระอนุชา 

จึงโผล่หน้าไปดู เป็นจังหวะเดียวกับที่พระราชธิดาแห่งรัตนะนคร  ดำลงไปในน้ำ  ทำให้เห็นเพียงพระพี่เลี้ยง

สองนาง  จึงหันกลับมาถามพระอนุชา

“นโรธร  ที่เจ้าตะลึงนี่  คงไม่ใช่เพราะพวกนางในลำธารหรอกนะ”

“เผอิญใช่พระเจ้าข้า”  คนตอบยังอยู่ในอาการเหม่อลอย 

“อะไรกัน  นี่เจ้าอยู่ในป่ามายี่สิบปีไม่พบเจอหญิงนางใดเสียเลย มันทำให้เจ้าแยกไม่ออกเลยหรือว่าความ

สวยงามเป็นเช่นไร”

  นครินทร์มองผู้เป็นพระอนุชาและทรงพระสรวลกับกิริยาของโอรสนโรธร 

“ถ้าจะเป็นเอามาก  ไปเถอะรอพวกนางทั้งสองขึ้นจากสระเสียก่อน  เราค่อยไปจับตัวมาสอบถามดู”   

 โอรสนโรธรแปลกใจที่พระเชษฐาบอกว่านางทั้งสอง  ก็ในเมื่อนางมีกันสามคน  แต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไรต่อ
 
ทั้งสองเดินมานั่งรอที่ใต้ต้นไม้  พระเชษฐาจึงตรัสถามเพื่อความแน่ใจ

 “อย่าบอกนะว่าเจ้าชอบนางที่อยู่ในลำธารนั้น”

“หม่อมฉันคิดว่า  คงประมาณนั้นพระเจ้าข้า”      ตอบหน้าตาเฉย  คนฟังหัวเราะชอบใจ

 “เจ้าพี่ขันอะไรหรือพระเจ้าข้า  ถึงได้ทรงพระสรวลเช่นนี้”   
 
 “ขันเจ้านะซิน้องพี่ ท่าทางเจ้าจะฝึกวิชามาหนักจนเบลอไปหมดเห็นอะไรก็สวยงามไปเสียทุกอย่าง”
 ทั้งพูดไปขันไป

“เจ้าพี่นั่นล่ะพระเจ้าข้า  ที่ท่าทางอาการหนัก   ที่ไม่เห็นความงามของนาง  ชายใดได้พบสบพักตร์  ย่อมตก

หลุมรักนางได้ง่ายดาย”      นโรธรเจ้าบทเจ้ากลอน

 “เอาะเถอะ  เจ้าว่างามพี่ก็ว่างาม”   


“เจ้าพี่....อย่าบอกนะพระเจ้าข้า  ว่าเจ้าพี่ก็รักนางเหมือนกัน  คนนี้หม่อมฉันจองนะพระเจ้าข้า” 

พระอนุชาโวยวาย

 “รับรองได้น่า  ว่าไม่ใช่นางในดวงใจของพี่แน่นอน”  พูดพลางนึกถึงโฉมของสองนางในลำธาร   

รักไปได้ยังงัยกัน   นางกำนัลที่โรมวิสัยยังสวยกว่านี้อีก   

        เมื่อฝ่ายราชธิดาขึ้นจากสรงน้ำเรียบร้อยก็แต่งองค์ทรงเครื่องเป็นเช่นบุรุษดังเดิม   เนื่องจากเจ้าพี่วรเทพ

ทรงหวงนักหวงหนาที่จะไม่ให้ผู้ใดได้ยลโฉมของนางในฉลองพระองค์เช่นกุลสตรี  ด้วยเกรงว่าความงดงาม

ต้องตาต้องใจของนางนั้น  จะก่อให้เกิดเรื่องราวต่างๆ มากมายตามมา  โดยหารู้ไม่ว่า  ณ  เพลานี้ 

ความงดงามของนางได้ประจักษ์แจ้งแก่สายตาของอีกหนึ่งบุรุษที่เป็นดังศัตรูเสียแล้ว   

“พระธิดาเพคะ เสด็จกลับไปยังพลับพลาเถิดเพคะ ตะวันคล้อยต่ำแล้วเดี๋ยวพระคู่หมายจะทรงเป็นห่วงนะเพคะ”   

พระพี่เลี้ยงทั้งสองทูลแก่นางด้วยความเป็นห่วง   หากแต่ธิดาน้อยก็ยังคงไม่ยินดียินร้ายกับคำบอกกล่าวนั้น 

“เจ้าจะกลัวอะไรอีก   รอบกายเรารายล้อมด้วยทหารมากมาย  ใครมันจะกล้าเข้ามาทำร้ายเราได้”

“โธ่  ไว้ใจได้หรือเพคะ  เราอยู่แนวชายแดนโรมวิสัยนะเพคะ”

“ชายแดนโรมวิสัยแล้วงัย  เราไม่เห็นกลัวเลย  เจ้าพี่วรเทพสามารถคุ้มครองปกป้องเราได้อย่างแน่นอน”

ทุกอากัปกิริยาของทั้งสามมิอาจรอดพ้นจากสายตาและของสองโอรสแห่งโรมวิสัยได้  นครินทร์จับจ้องที่บุรุษ

ร่างอรชรนั้นไม่วางตา   นางไม่ใช่บุรุษอย่างแน่นอน  และถ้าเดาไม่ผิดนางต้องเป็นบุคคลสำคัญใน

กองทัพคีรีนครเป็นแน่   ดีล่ะเราจะจับนางมาเป็นเชลยในการต่อรองครั้งนี้   

“เจ้าพี่  เราจะทำอย่างไรต่อดีพระเจ้าข้า  จะสะกดรอยตามนางไป  หรือจะจับไว้เป็นเชลยทั้งสามคน” 

นโรธรทูลถามพระพระเชษฐา 


“เราจะจับแค่นางคนเดียวเท่านั้น  ส่วนอีกสองคนจะเป็นภาระให้เราเปล่า ๆ นางคงเป็นพระขนิษฐาของแม่ทัพ

แห่งคีรีนคร” 

“เจ้าพี่  จะจับนางเดี๋ยวนี้เลยไหมพระเจ้าข้า” 

“ยังหรอก นโรธร  เราต้องหาทางหลอกล่อนางผู้ติดตามสองคนนั้นก่อน  จึงจะจับนางได้โดยง่ายและไม่เป็นการโหวกเหวกจนเกินไป”
“ถ้าเช่นนั้น   หม่อมฉันจะล่อนางสองคนนั้นออกไปอีกทางนะพระเจ้าข้า  ส่วนเจ้าพี่ก็ทรงจับตัวนางมา  แต่อย่า

ให้นางต้องเจ็บตัวนะพระเจ้าข้า  นางเป็นหญิงที่...”

“หญิงที่เจ้าหมายตา  ใช่ไหม   พี่รู้หรอกน่า  รับรอง” 

นครินทร์รับคำพระอนุชา  ทั้งยังอดสงสัยไม่ได้  แล้วตอนที่อยู่ในลำธารทำไมจึงไม่เห็นนาง   หรือนางจะเป็น

เนื้อคู่ของนโรธรจริงๆ  จึงทำให้ตนไม่สามารถมองเห็นนางได้   แต่ก็เอาเถอะนางไม่ได้งดงามต้องตาต้องใจ

อะไรกับเราเลย  ก็แค่องค์หญิงหรือนางผู้สูงศักดิ์  คงเหมือนพระราชธิดาเมืองอื่นๆ นั่นแหละ
         
ทันทีที่หลุดจากภวังค์  อนุชาก็ร่ายพระเวทย์กลายเป็นกระต่ายน้อยน่ารักเข้าไปคลอเคลียอยู่ใกล้ๆ     กับที่

นางทั้งสามยืนอยู่   พระธิดาแก้วโกมุทเห็นกระต่ายน้อยน่ารักก็เกิดความเอ็นดู  อยากได้มาไว้เชยชม  จึงให้

พระพี่เลี้ยงช่วยแยกกันล้อมวงจับกระต่ายน้อย 

 เจ้ากระต่ายแปลงหลอกล่อทั้งสามออกห่างจากกองทัพมายังป่าลึก   ตะวันเริ่มพลบค่ำ  รอบข้างเริ่มมืดครึ้ม

สองพระพี่เลี้ยงพลัดหลงกับราชธิดาน้อยแห่งรัตนะนครในป่า  ทั้งสองพยายามเรียกหา  แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ

จากอีกฝ่าย  เนื่องจากบัดนี้วงแขนแข็งแกร่งและหัตถ์แข็งแรงของใครคนหนึ่งได้โอบรัดและปิดโอษฐ์เรียวบาง

ของนางเอาไว้แน่น   ราชธิดาพยายามดิ้นรนให้พ้นจากพันธนาการนั้นแต่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นได้   พระพี่เลี้ยง

เดินผ่านมาทางพุ่มไม้ที่นางยืนอยู่  คนที่อยู่ข้างหลังก็รวบตัวนางลงไปหลบข้างพุ่มไม้   แก้วโกมุทพยายามแกะ

มือนั้นออก  นางดิ้นเต็มแรงมือแข็งแรงก็ยิ่งกดแน่นจนนางรู้สึกถึงความเจ็บนั้น  น้ำตาคลอ

 เนตรงามตอนนี้มีน้ำใส ๆกรอกกลิ้งไปมา  นางทั้งเจ็บทั้งโกรธที่ไอ้คนชั่วบังอาจล่วงเกินนาง   

ฝ่ายโอรสนครินทร์รู้สึกถึงกลิ่นหอมกรุ่นจากกายของร่างบางอรชรในอ้อมแขนที่รัดนางไว้   ยิ่งนางดิ้นก็ยิ่ง

กอดรัดนางแน่นขึ้น  ร่างบางนิ่มเนื้อละมุนยิ่งนัก   เมื่อสองพี่เลี้ยงวิ่งไปอีกทาง  บุรุษข้างหลังจึงปล่อยให้

นางเป็นอิสระ แต่หากยังคงกอดรัดนางเอาไว้หลวม ๆ  แก้วโกมุทจึงหันกลับมาเผชิญหน้าผู้ที่จับนางไว้   

ใบหน้างามนั้นดูเกรี้ยวโกรธ  เชิดรั้นและถือดี   

“เจ้าเป็นใครบังอาจมาแตะเนื้อต้องตัวเรา”   
 
“แล้วเจ้าล่ะ  เป็นใครมาทำอะไรในกองทัพคีรีนครนี่”    นครินทร์ย้อนถาม

“เจ้านี่  มีตาหามีแววไม่  เราคือพระ...เอ่อพระโอรสแห่งรัตนะนคร   
 
มาออกรบกับทัพคีรีนครพร้อมกับเจ้าพี่วรเทพ”

  ปากตอบไปอย่างท้าทายและทะนงตน   นครินทร์มองผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นพระโอรสอยู่เบื้องหน้าด้วยแววตาขันๆ

 เอาเถอะเมื่อเจ้าบอกว่าเจ้าเป็นชาย  เราก็จะลองเชื่อเจ้าดู    แล้วคอยดูซิเจ้าจะมีลูกไม้หรือพิษสงอันใดบ้าง

  โอรสแห่งโรมวิสัยเพ่งมองใบหน้างดงามนั้นก่อนจะเอื้อยเอ่ยวจียียวนกลับไป

“โอรสเหรอ  อืม   แล้วทำไมเจ้าถึงหวงเนื้อหวงตัวนักนะ  ทำยังกับพวกวิปริตทางเพศซะอย่างนั้น 

เราเองก็เป็นผู้ชายเช่นเจ้า”

“แล้วเจ้าจับเรามาด้วย  จุดประสงค์ใด  ถ้าหากเจ้าพี่วรเทพรู้เข้า  เจ้านั่นล่ะจะเดือดร้อน”

“อืม....แม้เราไม่จับตัวเจ้ามา  เราก็ต้องเดือดร้อนอยู่แล้ว   เจ้าว่าจริงไหมล่ะ”

“หมายความว่าอย่างไร  เจ้าเป็นใคร  บอกมาเดี๋ยวนี้นะ” 

พระธิดาในคราบบุรุษน้อยออกคำสั่งกับผู้ที่รูปร่างสูงสง่าตรงหน้า

“เจ้าเป็นใคร  มาออกคำสั่งกับเรา  จะบอกหรือไม่มันเป็นสิทธิ์ของเรา  ตอนนี้เจ้าตกอยู่ในฐานะเชลยของเราแล้ว   

ไม่มีสิทธิ์มาสั่งเรา”

“คอยดูนะ  เจ้าคนอวดดี  เจ้าพี่วรเทพไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่ๆ”

“ไว้เราจะคอยดูนะ  พ่อหนุ่มน้อย”

   ฝ่ายนโรธรเมื่อเห็นว่าหลอกล่อพระพี่เลี้ยงทั้งสองมาไกลแล้วก็กลับกลายร่างเป็นมนุษย์ดังเดิม 

พร้อมกับบอกพระพี้เลี้ยงทั้งสองซึ่งอยู่ในอาการหวาดกลัวว่า

  “เจ้าสองคนไม่ต้องกลัวหรอก  เราแค่ต้องการเจ้านายของเจ้าเพื่อเป็นตัวต่อรองในการศึกครั้งนี้เท่านั้น 

จงกลับไปบอกกับเจ้านายอีกองค์ของพวกเจ้าว่าบัดนี้เราได้จับคนของคีรีนครไว้เรียบร้อยแล้ว  ถ้าคีรีนครยังไม่

ถอนทัพกลับ  จะได้เห็นดีกัน”

“อย่าทำอะไร  พระธิดานะ  นางเป็นพระคู่หมายของโอรสวรเทพ  ไม่เช่นนั้น  โรมวิสัยจะเดือดร้อนกว่าเดิม”

“พระคู่หมายเหรอ”

“ใช่แล้ว  นางเป็นดังดวงใจของโอรสวรเทพ  ถ้านางเป็นอะไรแม้แต่นิดเดียว  พวกเจ้าลำบากแน่ๆ”

“เอาเถอะ  พวกเจ้ากลับไปบอกเจ้านายของเจ้าตามที่เราสั่งก็แล้วกัน”