• Welcome to ยินดีต้อนรับสู่บ้านอบอุ่นของคนรัก บอย สพล ชนวีร์.

!!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!

เริ่มโดย จักรกรด, ธันวาคม 26, 2015, 11:38:38 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

จักรกรด

จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเกราะกายสิทธิ์กับสังวาลย์มณีมาอยู่ในเรื่องเดียวกัน ........

จักรกรด

#1
ก่อนอื่นก็ขอฝากเรื่องนี้ด้วยนะคะ  เป็นนักแต่งมือใหม่แฮะๆ  ถ้ามีการใช้ภาษาผิดก็ขออภัยด้วยนะคะ มีอะไรแนะนำติเตียนได้คะ

แนะนำตัวละครหลัก
ฝั่งเกราะกายสิทธิ์= สุริยะ/ จันทราภา/ อังคาส/พุทธรัตน์/ภูมินทร์/ประกายพฤกษ์/ ศนิวาร
ฝั่งสังวาลย์มณี=แสงสุรีย์/จันทลักษณ์/ปัทมาสน์/เพชรราหู/จินดา/ศุภลักษณ์/เมธาวี
ตัวร้าย= เทพวิษุวัติ/ อัคนิน/บดิศร/ฉันทนา/ ลีลาวดี

และที่แน่ๆขาดไม่ได้เลยก็คือ ตุ้บเท่งกับจั๊กกะแหล่น
เนื้อเรื่องจะเป็นเช่นไรนั้นต้องติดตาม!!

จักรกรด

ณ เมืองรัตนบุรี พระมเหสีฝ่ายขวาได้ประสูติกาพระโอรสซึ่งใช้เวลานานถึง7วัน7คืน ตลอด7 วัน7คืนนี้ได้เกิดเหตุฝนตกหนักมรสุมโหมกระหน่ำเมืองรัตนบุรี ทำความเสียหายเป็นอย่างมาก แต่ที่น่าตกใจนั่นก็คือพระโอรสที่ออกมานั่นพระหัตถ์หงิกงอพรโอษฐ์บิดเบี้ยวน่าเวทนายิ่ง พระราชาก็ทรงกริ้วเป็นอย่างมากแต่โหราได้ห้ามไว้พร้อมบอกว่าในกาลอันหน้าพระโอรสจะทำคุณยิ่งใหญ่ให้แก่เมืองอย่างแน่แท้จึงไม่ไดัทำโทษอันใด.  จนเวลาผ่านไป 9 ปี  พระโอรสได้เจริญพระชันษาขึ้น ก็ยิ่งน่าเวทนาจะไปไหนมาไหนก็ลำบากซ้ำยังไม่มีพระสหายสักคนเดียว แล้ววันไหนโชคร้ายก็จะมีพระโอรสนามว่า"บดิศร" มากลั่นแกล้งสารพัด วันนี้ก็คงโชคร้ายอีกเช่นกัน
"ไอ้ง่อยอยู่ที่ไหนออกมาเดี๋ยวนี้นะ"
"มีอะไรกับเราอีกบดิศร " พระโอรสพูดด้วยความยากลำบาก
" เจ้ามันเป็นไอ้ง่อยที่น่าแกลังที่สุดในชีวิตข้า ฮะๆฮ่า" พระโอรสบดิสรได้ผลักพระโอรสคนโตจนล้มลงแล้วเอาเท้าเหยียบที่กลางอก
"เจ้าจะทำอะไรลูกเรา" พระมเหสีสไบทองเข้ามา รีบตรงไปที่พระโอรส
" ทำไมเจ้าต้องรังแกลูกของเราด้วย ลูกเราผิดอะไร"ทรงเข้ากอดพระโอรสที่กำลังร้องด้วยความเจ็บปวด
" พระมเหสีไสบทองก็น่าจะรู้ดีนะเพคะว่าพระโอรสทรงเป็นอย่างไร ตั้งแต่ประสูติจนบัดนี้บ้านเมืองแห้งแล้งไปหมดไม่ใช่หรอกหรือเพคะ" พระมเหสีสไบแก้วพระมารดาของพระโอรสบดิสรเดินเข้ามาพูด
"สไบแก้วทำไมเจ้าว่าหลานแบบนี้ได้"
" ก็คือความจริงนี่เพคะ ออกไปกันเถอะบดิศรแม่ว่าอยู่ที่นี่นานๆจะติดอะไรที่ไม่ดีไปก็ได้นะ"
" พระเจ้าค่ะเสด็จแม่" ทั้งสองพระองค์ทรงจากไปพร้อมทิ้งคำเสียดสีไว้ในใจของพระโอรส

จักรกรด

พระราชาเกิดระแหงแคลงใจว่าจนป่านนี้แล้วเหตุุใดปัญหาบ้านเมืองแห้งแล้งจึงมีมายาวนานเช่นนี้ จึงได้เรียกโหรมาเข้าเฝ้าเพื่อไต่ถามและทำนายดวงชะตา
" ท่านโหรจนป่านนี้แล้ว บ้านเมืองยังแห้งแล้งอยู่เพราะเหตุใดกัน  ดวงชะตาบ้านเมืองเป็นอย่างไรทำไมถึงโชคร้ายเช่นนี้"
" เหตุนี้เป็นความผิดพลาดของโหรคนก่อนพระเจ้าค่ะ"
" ผิดพลาดอะไร"
"ที่ทำนายว่าพระโอรสจะทำคุณอันยิ่งใหญ่แก่บ้านเมือง แต่จึงๆแล้วดวงชะตาของพระโอรสนี่เองพระเจ้าค่ะที่ทำให้บ้านเมืองเป็นเช่นนี้"
" เป็นความจริงหรือ"
" จริงแท้แน่นอนพะยะค่ะ"
"เจ้าทั้งสองออกไปจากนอกเมือง อย่าได้กลับมาอีก" ทรงมองมายังพระมเหสีสไบทองและพระโอรส
" องค์เหนือหัวเพคะ สุริยะไม่ได้ทำอะไรผิดนะเพคะ ทรงไตร่ตรองอีกทีด้วยเพคะ"
" เราไตร่ตรองดีแล้วไปเถอะ"
"เสด็จพ่อพะยะค่ะ"พระโอรสพูดด้วยความยากลำบากในน้ำเสียงมีปนสะอื้น
" ข้าบอกให้พวกเจ้าไปก็ไปสิ!!!!!!"
"องค์เหนือหัว"
" ทหารเอาสองคนนี้ออกไปอย่าให้ข้าหน้าอีก!!!!"
"พระเจ้าค่ะ" ทหารรับคำสั่งเอาทั้งสองพระองค์ออกจากนอกวังไป

จักรกรด

พระมเหสีสไบแก้วได้สั่งให้อำมาตย์ตามไปสังหารทั้งสองพระองค์ในป่า ได้เกิดการไล่ล่ากันจนสุริยะไปต่อไม่ไหวได้ล้มลงไปแล้วอำมาตย์ทั้ง2ก็ตามมาทัน
" พวกท่านอย่าทำอะไรเรากับลูกเลย ปล่อยเรากับลูกไปเถอะนะ"สไบทองอ้อนวอนขอร้องอำมาตย์ทั้งสอง
" ถ้าไม่ทำข้าก็หัวขาดหละสิ " อำมาตยง้างดาบขึ้นจะฟัน  จากนั้นเองก็มีตัวประหลาดมากระโดดถีบอำมาตย์ทั้งสองเข้าอย่างจัง แล้วก็ได้พาทั้งสองพระองค์เข้ามาในถ้ำ
"พวกเจ้าไม่เป็นอะไรแล้วนะ" ตัวประหลาดท่าทางเหมือนเป็นหัวหน้าพูดขึ้น
" พวกท่านเป็นใครกัน" สไบทองถามด้วยความตื่นตระหนกตกใจ
"พวกข้าคือราชสีห์ ข้าอยู่มาหลายปีเพื่อรอพวกเจ้า "
" ราชสีห์หรือ แล้วพวกท่านรอพวกเราทำไมกัน"
" ข้าก็จะให้สิ่งวิเศษสิ่งหนึ่งแก่ลูกเจ้า มันคือกำหนดของฟ้าดิน. " จากนั้นก็ไปนำของวิเศษออกมา
" สิ่งนี้คือเกราะกายสิทธิ์"
" เกราะกายสิทธิ์!!"
" ให้ลูกเจ้าสวมสิ" จากนั้นสไบทองก็ได้นำเกราะมาสวมให้สุริยะก็ได้เกิดอัศจรรย์ สุริยะไม่มีรูปร่างพิการเข็ญใจกลายเป็นเด็กที่มีสง่าราศีน่าเกรงขาม
"เสด็จแม่"
" สุริยะ ลูกแม่ เจ้าไม่เป็นเหมือนก่อนแล้ว" สไบเข้ากอดลูกด้วยด้วยความปลื้มปิติ
" เจ้าจะไม่ได้มีลูกคนเดียวแล้วเจ้าจะมีลูก7คนหมุนเวียนพลัดเปลี่ยนกันไป อ้อพวกเจ้าควรไปที่ที่ดีกว่านี้เถอะ"
" ขอบคุณท่านราชสีห์"
"ขอบคุณท่านลุงราชสีห์"
"พ่อ ข้าขอไปกับเกราะกายสิทธิ์นะ"
"ไม่ได้"
"ทำไมจะไม่ได้เกราะนี่เป็นของเรานะ"
"เจ้าไปก็มีแต่ปัญหา พวกเจ้าไปเถอะนะ"
"ขอลาท่านราชสีห์"
" ขอลาท่านลุงราชสีห์"
"โชคดี'.    ทั้งสองเดินทางในป่าดงพรงไพรกันต่อเพื่อไปพึ่งบารมีท้าวทิศพล. จนถึงเวลารุ่งขึ้นเป็นอีกวันปรากฎเด็กน่าตาน่ารัก
"ลูกมีนามว่าจันทราภาเพคะ"
"นามของเจ้าเพราะจริงๆเลยนะ"สไบทองยิ้มแล้วลูบหัวลูกด้วยความรักและเอ็นดู ในขณะที่เดินทางไปก็เจอสิ่งหนึ่งกระโดดตัดหน้าเข้า



จักรกรด

"จ๊ะเอ๋ แฮ่!!"  ปรากฏร่างอันคุ้นเคยขึ้น
" เจ้ามาได้ยังไงกันพ่อเจ้าไม่ให้มาไม่ใช่เหรอ"
"พ่อข้าไม่ให้มา ข้าก็หนีมาได้ ที่สำคัญเกราะนี่ก็เป็นของข้าด้วย"
"เกราะนี่เป็นของลูกเรา ฟ้าดินก็กำหนดมาให้  เจ้าไม่มีสิทธิ์"
"เจ้านี่ ฮื่อ!!" ง้างมือขึ้น
"อย่าทำอะไรเสด็จแม่นะ!!!"
" คิดว่าเจ้าเก่งนักหรือไงกัน"
"เก่งไม่เก่งเราไม่รู้แต่ทำร้ายเสด็จแม่เราไม่ยอม"
"ฮ่าๆฮะฮ่ะ อะอะไรเนี่ย"  แล้วก็เกิดแผ่นดินก็เกิดสั่นไหว จนภูเขาเริ่มทลายลงมา
"เกิดอะไรขึ้น"
"รีบหนีก่อนเถอะเพคะ"จันทราภาพาสไบทองหนีเหล่าภูเขาที่ถล่มถลายพังลงมา
"ช่วยข้าด้วย!!!" ตุ๊บเท่งขอความช่วยเหลือหลังจากโดนหินและก้อนดินทับร่างไว้  จากนั้นจันทราภาก็ได้เข้าไปช่วยจนออกมาได้ แต่แล้วก็เจอกับหิ่วห้อยยักษ์ตาสีแดงก่ำออกมา
" หนีเร็ว!!!!" ทั้งสามได้วิ่งหนีจนสไบทองล้มลงไปต่อไม่ไหว
" เสด็จแม่"
" จันทราภาหนีไป อย่าห่วงแม่"
" ไม่เพคะ" จนกระทั่งหิ่งห้อยตามมาทัน
"เราจะไม่ยอมให้เจ้าตามล่าเราอีกแล้ว"จันทราภาลุกขึ้นประจันหน้ากับหิ่งห้อยยักษ์ ทันใดนั้นก็เกิดแสงสีบุษราคัมประกายออกมาสาดส่องหิ่งห้อยยักษ์  จนตกลงมานอนกับพื้น จันทราภาเข้ามาดูและลูบที่ตัวหิ่งห้อย
"จันทราภาระวังนะ"
"เพคะ"
"โอย~"  มีเสียงดังขึ้นมาจากหิ่งห้อย
"เป็นอะไรไหม"
" นี่เราเป็นอะไรไปนี่"
"หน๋อยๆ เจ้าอย่ามาทำไขสือหน่อยเลย เจ้าจะฆ่าพวกเราอยู่ทนโธ่"
"เกราะกายสิทธิ์สุดท้ายก็เจอแล้วผู้สวมใส่เกราะกายสิทธิ์"
" มีอะไรเหรอ"
" ขอติดตามพระธิดาด้วยได้ไหมพระเจ้าค่ะ"
" เจ้ารู้ด้วยเหรอว่าลูกเราเป็นใคร"
" รู้พระเจ้าค่ะพระมเหสีสไบทอง"
" ขอเรียกพี่หิ่งห้อยได้ไหมจ๊ะ"
"ได้อยู่แล้วพระเจ้าค่ะ"
" นี่ก็เย็นแล้ว เราไปหาที่พักกันดีกว่า"
"เพคะเสด็จแม่"
" หิ่งห้อยจะพาไปพระเจ้าค่ะ" เมื่อถึงที่พักก็ไต่ถามว่าเหตุใดถึงเป็นหิ่งห้อยร้ายไปได้ หิ่งห้อยก็ได้เล่าให้ฟัง จนถึงยามกลางคืนทุกคนก็หลับกันหมด

จักรกรด

ในวันรุ่งขึ้นทั้งสองพระองค์และหิ่งห้อยยักษ์ยังหลับอยู่  ตุ้บเท่งก็ได้ตื่นก่อนแล้ว
"เกราะกายสิทธิ์ถ้าขืนยังอยู่กับมันข้าก็ไม่ได้ครอบครองกันพอดี ตอนนี้หละ" ตุ้บเท่งได้ลอบเข้าจับเกราะกายสิทธิ์กำลังจะดึงออกก็มีมือมาจับที่มือของตุ้บเท่ง แล้วก็จับมือของตุ้บเท่งไปตีหน้าเข้าอย่างจัง
"เจ้า กล้าดียังไงขโมยเกราะกายสิทธิ์!!!!" 
" เกิดอะไรขึ้น"
" ก็ไอ้เจ้าตัวประหลาดนี่/สิพระเจ้าค่ะ จะขโมยเกราะกายสิทธิ์จากลูกพระเจ้าค่ะเสด็จแม่"
" โธ่ๆ ข้าก็แค่ดูความเรียบร้อยให้เฉยๆ"
"เจ้าโกหก!!!"
" ลูกแม่อย่าถือสาเขาเลยนะ มาหาแม่เถอะ"
" พระเจ้าค่ะเสด็จแม่"
" เจ้าชื่ออะไรไหนบอกแม่มาสิ"
"ชื่ออังคาสพระเจ้าค่ะเสด็จแม่"
" ดีจริงๆ"
" เสด็จแม่ไม่ต้องลำบากหรอกพระเจ้าค่ะ เดี๋ยวลูกจะไปเก็บไม้ผลและนำน้ำมาถวายนะพระเจ้าคะ"
" พี่หิ่งห้อยดูแลเสด็จแม่ดีๆนะ"
" พระเจ้าค่ะ พระโอรส"
" อังคาสลูกไปคนเดียวมันอันตรายนะ"
" ไม่เป็นไรพระเจ้าค่ะ ลูกมีเกราะคุ้มกายอยู่ ลูกไปนะพระเจ้าค่ะ"
" ระวังตัวดีๆนะอังคาส"  อังคาสได้ไปหาไม้พืชไม้ผลในป่าเพียงลำพังจนไปที่น้ำเพื่อนำน้ำใส่กระบอกไม้ไผ่ไปให้สไบทองผู้เป็นแม่
" เจ้ามีสิทธิอะไรมาตักน้ำที่นี่!!!". อังคาสหันไปมองตามเสียง
" ก็ที่นี่ใครจะมาใช้ก็ไม่ผิด" อังคาสเดินมาประจันหน้ากับเด็กหญิงที่มีอายุไล่เลี่ยกัน  แล้วก็เห็นหน้าตาเด็กคนนี้ที่คิ้วเป็นหยักไม่เหมือนคนทั่วๆไป แล้วก็ยังสวมใส่สังวาลย์มณีสีชมพูอีกด้วย
" แต่ที่นี่เป็นที่ของข้าถิ่นข้าถ้าไม่ได้รับอนุญาตก็ห้ามตัก!!!"
" เจ้านี่เป็นใครมาแต่ไหน แม่น้ำนี่เจ้าสร้างนี่ไง แหล่งน้ำที่ไหนธรรมชาติก็สร้างทัังนั้น"
" เจ้า!!!" เด็กหญิงชี้หน้าอย่างสุดจะทน จากนั้นก็กระทืบเท้าอย่างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ว
" ข้าเป็นยักษ์  วันนี้ข้าจะกินเจ้าให้ไม่เหลือเลย!!!!!" จากนั้นก็เนรมิตรตัวเองให้ใหญ่ขึ้น จับตัวอังคาสที่ตะลึงงันอยู่ขึ้นมาหมายจะกิน แต่อังศาสก็ใช้พระขรรค์ออกมาจะสู้กับยักษ์เด็กตนนี้  ทันใดนั้นหิ่งห้อยยักษ์ก็บินมารับอังคาส ยักษ์น้อยก็ไล่เอามือคว้าให้วุ่น
" พระธิดาปัทมาสน์หยุดนะเพคะ"
" บัวแย้มเจ้าห้ามเราทำไม"
" อย่าทำร้ายชีวิตผู้อื่นเลยนะเพคะ จะเป็นบาปติดตัวได้นะเพคะ"
" ก็ได้ ข้าจะปล่อยให้เจ้าตักน้ำไปก็ได้" ปัทมาสน์พูดเสร็จก็กลับสู่ร่างเท่าเดิม แล้วมองไปที่อังคาสแล้วสังเกตุเก
ห็น
" เกราะกายสิทธิ์เหรอ อืมไว้คราวหน้าดีกว่า เราไปกันเถอะบัวแย้ม"
" เพคะ"
" ขอบใจมากนะหนูบัว" หิ่งห้อยขอบใจด้วยเสียงอันเป็นไมตรี
" จ๊ะ"  ปัทมาสนน์ก็จูงมือไปทางอื่นจนลับตา อังคาสเห็นบัวแย้มก็สงสัยแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก หิ่งห้อยพาอังคาสกลับไปหาสไบทองทานไม้ผล แล้วเดินทางต่อไป



จักรกรด

ทางฝั่งปัทมาสน์ก็จูงมือบัวแย้มมาส่งที่กระท่อมกลางป่า
" บัวแย้ม เราไปก่อนนะว่างๆแล้วจะมาหาใหม่"
"เพคะ พระธิดา" ปัทมาสน์ก็กลับไปยังเมืองคีรีมาศ เมืองของพระบิดา
" เสด็จพ่อ  ลูกกลับมาแล้วเพคะ" ปัทมาสน์เข้ามาหาชายมนุษย์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นกษัตริย์เมืองคีรีมาศที่กำลังเป่าปี่บรรเลงเพลงที่ฟังแล้วน่าสลดใจยิ่ง ปัทมาสน์เห็นท่าไม่ดีจึงรีบแย่งปี่ออกจากพระบิดา
" อีกแล้วนะเพคะเสด็จพ่อเป่าปี่นี่อีกแล้ว ทรงเศร้าก็อย่าเป่าปี่เลยเพคะ รังแต่จะให้ตรอมใจตายปล่าวๆ"
" เสด็จแม่เจ้าเสีย พ่อจะมีความสุขได้หรือ"
"ได้สิเพคะ ราษฎรยังต้องการพระองค์อยู่นะ เพคะ"
" นั่นสินะ เราเป็นกษัตริย์นี่ จะทิ้งราษฎรได้อย่างไร"
" งั้นลูกขอเก็บปี่นะเพคะเสด็จพ่อ" ว่าแล้วก็รีบวิ่งนำปี่ไปเก็บในที่ลับตาทันทีไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหนนอกจากปัทมาสน์ตนเดียวเท่านั้น พอจะกลับตำหนักก็ไปชนกับเด็กคนหนึ่งเข้า
" โอ้ย!!! เดินยังไงไม่มองทิศมองทาง มาชนข้า"
" คิดว่าข้าอยากจะชนเจ้านักสิไอ้ลูกนอกไส้"
" ใครกันแน่ลูกนอกไส้ พูดให้มันดีๆนะ!!"
" เจ้าไง เสด็จพ่อเป็นมนุษย์ แม่เจ้าก็เป็นมนุษย์ แต่เจ้าเป็นยักษ์"
"  ข้าเป็นยักษ์แล้วยังไง ยังไงข้าก็เป็นลูกเสด็จพ่อ ไม่เหมือนเจ้าลูกแท้ๆรึปล่าวก็ไม่รู้!!" แล้วปัทมาสน์ก็ผลักให้พระโอรสต่างพระมารดาหลีกทางกลับไปสู่ตำหนัก หวนคิดเรื่องต่างๆในหัวเกี่ยวกับชาติกำเนิดของตนแต่แล้วก็ปลงเพราะคิดได้ว่าล้วนแต่สวรรค์กำหนดว่าใครเป็นใครเมื่อสวมใส่สังวาลย์มากกว่า จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนหลับไปนาน.....
วันรุ่งขึ้นแล้วแสงปรากฎสาดส่องมายังสังวาลย์ที่สวมใส่เปลี่ยนจากสีชมพูเป็นสีเขียวมรกตสดใสพระธิดายักษ์ก็เปลี่ยนไปเป็นพระโอรสท่าทางนิ่งแต่แฝงด้วยความคมเมื่อเห็น   เช่นเดียวกันกับเกราะกายสิทธิ์ที่เปลี่ยนจากพระโอรสเป็นพระธิดาน่าตาจิ้มริ้มพริ้มพราวน่ารักยิ่ง ทั้งสองสิ่งดำเนินชีวิตอย่างคู่ขนานกันไป อีกวันเปลี่ยนคนสลับกันไปมาหมุนเวียนจนครบกลับมาที่จุดเริ่มต้นคนแรกอีกครั้ง บัดนี้สุริยะกับสไบทองได้มาถึงเมืองทิศพลเมืองแห่งพระบิดาของสไบทองทัังคู่ได้ไปเข้าเฝ้าท้าวนวดล
" สไบทองเหตุใดเจ้ากับลูกถึงได้ระเหเร่รอนมาถึงที่นี่ได้"
" เป็นเพราะคำทำนายใส่ร้ายสุริยะจึงถูกขับออกจากเมืองเพคะเสด็จพ่อ"
" พระสวามีเจ้าก็เชื่อหรือ สไบแก้วไม่ช่วยแก้ต่างเจ้าเลยเหรอไง"
"ไม่ได้ช่วยเพคะ"
" หูเบาที่สุด!! เรื่องแค่นี้ก็เชื่อเหรอ ชักจะลองดีกับเราซะแล้ว!!"
" เสด็จพ่อพระทัยเย็นก่อนเพคะ อย่าได้บาดหมางกันเลย ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกันอีกเลยเพคะ"
" ได้  ดีเราจะเลี้ยงหลานเราให้ดีไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับเมืองรัตนบุรีอีก!!". พออยู่ได้สักพักก็มีข่าวคราวของเมืองรัตนบุรีเข้ามาถึงเมืองทิศพล

จักรกรด

" เกิดเรื่องขึ้นแล้วพระเจ้าค่ะ พระโอรสภูมินทร์"
" เรื่องอะไรหรือจ๊ะพี่หิ่งห้อย"
" ที่เมืองรัตนบุรี องค์เหนือหัวพีรเชษฐ์โดนครอบงำตอนนี้บ้านเมืองระส่ำระส่ายไปหมดเลยพระเจ้าคะ"
"เสด็จพ่อโดนใครครอบงำจ๊ะพี่หิ่งห้อย!!!!"
" ปุโรหิตและพระโอรสบดิศรแห่งรัตนบุรีพระเจ้าค่ะ" เมื่อได้ความว่าเช่นนั้นพระโอรสก็ไม่รอช้า รีบไปหาสไบทอง เล่าเรื่องให้ฟัง และได้ขอไปช่วยท้าวพีรเชษฐ์ด้วย ด้วยความที่สไบทองสองจิตสองใจว่าจะให้พระโอรสไปช่วยดีหรือไม่ก็ได้ไปปรึกษากับพระมเหสีอมรินทร์ผู้เป็นพระมารดา พระมเหสีอมรินทร์ก็ให้คิดตัดสินใจระหว่างรักกับชังสิ่งไหนมีค่ามากกว่าในจิตใจก็เลือกสิ่งนั้น สไบทองเกิดความสับสนขึ้นมาสุดท้ายแล้วก็ใจอ่อนยอมให้พระโอรสไปช่วยเหลือพระบิดา โดยมีตุ้บเท่งกับหิ่งห้อยยักษ์ติดตามไปด้วย แต่เนื่องจากท้าวนวดลไม่ยอมให้ไป จึงต้องหาวิธีหนีออกมาจนสำเร็จให้สไบทองอยู่ที่เมืองทิศพลก่อนเพื่อความปลอดภัย
ทั้งหมดได้เร่งรีบไปเมืองรัตนบุรีไม่ได้พัก2วัน2คืน ก็ได้เดินทางไปถึงเมืองรัตนบุรี ไม่เห็นผู้คนแต่ยังแน่ใจว่ามีคนอยู่  ศนิวารมุ่งหน้าเข้าวังเพื่อไปหาท้าวพีรเชษฐ์ผู้เป็นพระบิดาแต่ก็มีกับดักตกลงมากุมตัวพระโอรสศนิวารเอาไว้  ตุ้บเท่งก็บอกว่าจะช่วยแต่ต้องแลกด้วยเกราะกายสิทธ์ถึงจะช่วย พระโอรสก็ตกลงว่าจะให้เมื่อหมดเรื่องแล้ว ตุ้บเท่งก็ได้ใช้กรงเล็บข่วนตัดบ่วงจนขาด
" ที่นี่มีกับดัก อันตรายจริงๆ ต้องระวังตัวให้มากว่านี้"  เดินเข้าไปก็พบกับชายผู้หนึ่งนั่งอยู่ตั่งท่าทางเลื่อนลอย ศนิวารจึงเข้าไปดูใกล้ๆพร้อมกับหิ่งห้อย โดยให้ตุ้บเท่งรอดูอยู่ข้างนอก


จักรกรด

" องค์เหนือหัวพระเจ้าค่ะ องค์เหนือหัว"
" เสด็จพ่อนี่เสด็จพ่อหรือจ๊ะพี่หิ่งห้อย"
" ใช่แล้วพระเจ้าค่ะ พระโอรส" ศนิวารเข้าไปหาท้าวพีรเชษฐ์ แต่แล้วก็ถูกจับตัวได้ พระโอรสคิดได้ว่ามีเกราะกายสิทธิ์จึงได้ปล่อยพลังออกมาส่องแสงสีม่วงไปทั่ววัง แล้วพาท้าวพีรเชษฐ์หนีออกมาได้  แต่หารู้ไม่ว่าเป็นแผนยึดเมืองรัตนบุรี แต่อะไรจะสำคัญเท่าชีวิตของพระบิดาผู้บังเกิดเกล้า ศนิวารบอกให้หิ่งห้อยเร่งความเร็วเพื่อพาพีรเชษฐ์ไปยังเมืองทิศพลให้ถึงที่โดยเร็วเพื่อความปลอดภัยโดยที่พีรเชษฐ์สติยังเลื่อนลอยไม่รับรู้อะไรเลยสักอย่างเดียว
ในขณะเดียวกันกษัตริย์เมืองคีรีมาศก็เดินทางมาเยี่ยมเยือนเมืองทิศพลตามประสาเมืองที่มีไมตรีต่อกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรโดยมีพระธิดาตามเสด็จมาด้วย การที่มีกษัตริย์มาเยือนท้าวนวดลจึงไม่มีเวลามาหาพระธิดาและพระนัดดาของตนเองเลยไม่รู้ว่าพระนัดดาหนีไปช่วยพีรเชษฐ์ผู้เป็นพระบิดาที่เมืองรัตนบุรี ต่อมาในวันรุ่งขึ้นพระโอรสสุริยะก็กลับมาถึงทันเวลา แต่ต้องซ่อนพีรเชษฐ์ไว้ก่อน ท้าวนวดลมาหาถึงที่ตำหนัก
"สุริยะหลานตา วันนีช่วยพาพระธิดาต่างเมืองชมเมืองต่อทีนะ"
" ได้พระเจ้าคะ"
" ปะ ไปกับตา" หลังจากที่ท้าวนวดลออกไป สไบทองก็ไปหาพีรเชษฐ์มองด้วยความสงสารและรู้สึกเห็นใจพีรเชษฐ์อย่างมากที่สติเลื่อนลอย ยังต้องเสียเมืองไปอีก...



จักรกรด

สุริยะไปกับท้าวนวดลเพื่อพบกับแสงสุรีย์ หลังจากเจอกันก็พาไปชมเมืองให้ทั่วจากนั้นก็พาส่งกลับตำหนักที่รองรับ
" สุริยะ". สุริยะหันมามองตามเสียงของแสงสุรีย์
" มีอะไรหรือปล่าว"
" คราวหน้าชมเมืองกันอีกนะ" แสงสุรีย์ส่งยิ้มอันมีไมตรีจิตให้สุริยะ
" ได้ เราสัญญา" สุริยะก็ยิ้มตอบ จากนั้นก็กลับไปยังตำหนัก ตุ้บเท่งก็กระโดดเข้ามาตัดหน้า
" พระโอรส. ไหนบอกหมดเรื่องหมดราวแล้วจะให้เกราะสิทธิ์แก่ข้าไง ป่านนี้ยังไม่ให้อีก"
" เราไม่ได้สัญญาสักหน่อยนี่ หรือว่าเราสัญญาตอนไหน"
"ก็เมื่อวานนี้ไง พระโอรสศนิวารให้คำสัญญากับข้า"
" แล้วเราชื่ออะไร"
" พระโอรสสุริยะ"
" นั่นหละ ศนิวารตะหากที่ให้สัญญาแก่เจ้า จะมาบอกว่าเราให้สัญญาแก่เจ้าไม่ได้"
" เอ๊ะ!! "
" เราว่ารอถึงวันที่ศนิวารปรากฎตัวก่อนดีกว่าแล้วไปคุยเรื่องนี้กับเขา"
" ก็ได้ๆ ข้ายอมก็ได้ ข้าขอตัวก่อนนะ"
" จะไปไหน? เหรอตุ้บเท่ง"
" เรียกข้าว่าสุดหล่อสิเหมาะกับข้า ออแล้วข้าจะไปไหนมันก็เป็นเรื่องของข้า"
" ก็ได้สุดหล่อก็สุดหล่อ". ทั้งสองแยกย้ายกัน สุริยะเดินเข้าไปในตำหนักแต่ก็หยุดอยู่ที่หน้าประตูมองเห็นพระมารดาสไบทองกำลังป้อนข้าวป้อนน้ำให้พีรเชษฐ์ผู้ที่สติเลื่อนลอย สุริยะมีความรู้สึกเห็นใจทั้งพระมารดาสไบทองและพระบิดาพีรเชษฐ์ที่ต้องเป็นเช่นนี้  สุริยะตัดสินใจเดินเข้าไปหาแล้วนั่งข้างล่าง แล้วเรียกพระบิดา
" เสด็จพ่อพระเจ้าคะ" พีรเชษฐ์มีท่าทางเลื่อนลอยไม่รับรู้เสียงเรียก
" เสด็จพ่อพระเจ้าค่ะ เสด็จพ่อ" แต่ก็ยังไม่มีการตอบสนองใดๆเกิดขึ้นเลย
" สุริยะอย่าได้เรียกเขาเลย เรียกไปก็เท่านั้นเขาไม่รับรู้อะไรอีก" แต่แล้วก็เหมือนจะมีปฏิหารเกิดขึ้น พีรเชษฐ์หันมาทางสุริยะ
" เสด็จพ่อรู้สึกพระองค์แล้วหรือพระเจ้าค่ะ" พระโอรสถามด้วยน้ำเสียงที่ดีใจเหลือล้น
" สุริยะลูกพ่อ"
" ไปหาเสด็จพ่อสิสุริยะ" สุริยะเข้าไปหาพีรเชษฐ์  พีรเชษฐ์ลูบศีรษะของสุริยะ และลูบที่หลังของสุริยะ สุริยะมองตาพระบิดา และพระบิดาก็มองตาสุริยะ ทันใดนั้นเอง!!!

จักรกรด

พีรเชษฐ์ก็ได้ดึงเกราะกายสิทธิ์ออกจากตัวสุริยะ สุริยะกลับไปเป็นร่างไม่สมประกอบอีกครั้ง
" ฮ่าๆๆๆ" พระบิดากับพระมารดาหัวเราะลั่น
" เสด็จพ่อ เสด็จแม่พระเจ้าค่ะทำไม.." พระโรสพูดด้วยความยากลำบากก่อนจะถามให้จบคำ
" ก็พวกเราไม่ใช่พ่อแม่ของเจ้าหละสิ ฮ่าๆ" ทั้งสองเปลี่ยนไปจากเดิมกลายเป็นชายหนุ่มที่ค่อนข้างจะไม่เป็นคนดีสักเท่าไหร่นัก
" หน้าโง่จริงๆแค่รู้สึกอะไรนิดหน่อยก็หลงเชื่อไปหมด"
"ใช่หน้าโง่จริงๆ"
" เสด็จพ่อเสด็จแม่เราอยู่ที่ไหน"
" พ่อแม่เจ้าก็น่าจะอยู่ที่ไหนสักแห่งที่หละ ฮ่าๆ"
" เจ้าเอาเสด็จพ่อเสด็จพ่อไว้ที่ไหนแล้วเจ้าเอาเกราะกายสิทธิ์ไปทำไม"
" ก็เกราะกายสิทธิ์นี่เป็นของเทพวิษุวัติน่ะสิ เราก็แค่มาเอาคืนให้เท่านั้นแหละ"
" แล้วทำไมต้องจับเสด็จพ่อเสด็จแม่เราไปด้วย"
" ก็พ่อแม่เจ้าก็มีความผิดด้วยไง ถ้าอยากได้นักก็ไปเอาเองสิ"
" เราทำอะไรผิดนักหนาถึงต้องทำกับเราเช่นนี้ด้วย เกราะก็ได้ไปแล้วคืนเสด็จพ่อเสด็จแม่ให้เราเถอะนะ เราจะไม่ยุ่งกับเกราะนี่อีก"
" ไม่มีทาง!!"
" เราขอร้องหละปล่อยเสด็จพ่อเสด็จแม่มาเถอะนะ"
"ไม่"
"ปล่อยเสด็จพ่อเสด็จแม่เรามาเถอะนะ"
" บอกว่าไม่ก็ไม่ไง" ข้ารับใช้เทพวิษุวัติถีบสุริยะจนล้มลงกองไปกับพื้น จากนั้นก็มีแสงสีแดงวาบเข้ามาจนแสดตาไปหมด
" หนีเร็วพระเจ้าค่ะพระโอรส"
" หนีเร็วเข้า" หิ่งห้อยกับตุ้บเท่งรีบพาสุริยะหนีออกมาจากตำหนักไปหาท้าวนวดลโดยเร็ว ปรากฎเหลือเด็กผู้หญิงอยู่ในตำหนักประจันหน้ากับข้ารับใช้เทพวิษุวัติ
" พวกท่านมีฤทธิ์มีเดชแต่มารังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าคิดว่าทำถูกแล้วงั้นหรือ" เด็กผู้หญิงคนนั้นก็คือแสงสุรีย์นั่นเอง
" พวกเรามีหน้าที่ต้องทำ เจ้าเป็นเด็กมีสิทธิอะไรมายุ่ง!!"
" มีสิมีอยู่แล้ว คุณธรรมค้ำจุนจิตใจคนให้ทำดี พวกท่านเป็นถึงข้ารับใช้ของเทพ มีฤทธ์มีเดชแต่มาทำร้ายคนทำไมข้าจะยุ่งไม่ได้"
" หน๋อยเด็กนี่ช่างกล้านักนะ"
" ใช่เรากล้า คืนเกราะมาดีกว่าถ้าไม่อยากเจ็บตัว"
" ไม่ ถ้าเจ้าอยากได้นักก็เข้ามาเอาเองสิ!!"
"ได้"  ทั้งสองได้ต่อสู้กันโดยมีอีกหนึ่งถือเกราะกายสิทธิ์ไว้อยู่ จนกระทั่งเริ่มจะสู้แสงสุรีย์ไม่ไหวเลยคิดจะหนีนำเกราะไป. แสงสุรีย์ได้ปลดสังวาลย์ออกมาถือส่องแสงประกายใส่ทั้งสอง จนตกลงมาแต่กระนั้นก็ยังคิดจะหนีต่อ แสงสุรีย์จึงใช้สังวาลย์ส่องไปอีกแต่คราวนี้ไม่ใช่แสงแต่เป็นไฟแทน ทั้งสองทรมานเจ็บปวดแสบร้อนไปหมด แสงสุรีย์ได้ทีไปคว้าเอาเกราะกายสิทธิ์ได้ แล้วจึงดับไฟ
" ไปบอกกับเทพที่เป็นนายของท่านด้วยนะว่าอย่าสั่งใครมาล่อลวงและทำร้ายคนไม่มีทางสู้อีก" พูดจบก็มุ่งหน้าไปหาท้าวนวดล ท้าวธีรชัย และสุริยะ นำเกราะไปสวมให้ดังเดิม
" เราขอบใจมากนะแสงสุรีย์"
" ไม่เป็นไรหรอก"
" เสด็จตาหลานขอไปช่วยเสด็จพ่อเสด็จแม่ก่อนนะพระเจ้าค่ะ""
" เจ้าจงช่วยเสด็จแม่เจ้าอย่าช่วยพ่อเจ้า"
" ทำไมหละพระเจ้าค่ะ"
" เจ้าก็รู้ดีเขาไล่เจ้าออกจากเมืองปล่อยให้เจ้ากับแม่ของเจ้าลำบากแค่ไหน"
" เสด็จตา"
" ท้าวนวดลเพคะ หม่อมฉันว่าพ่อนั้นลูกมีพระคุณต่อลูกต่อลูก หากไม่ช่วยเพราะความผูกพันธ์ก็ควรให้ช่วยเพื่อตอบแทนพระคุณเถอะนะเพคะ"
" ก็ได้ๆ"
"ขอบพระทัยพระเจ้าคะเสด็จตา"
" เราไปด้วย"
" ไม่เป็นไรหรอกนะเราไปกับพี่หิ่งห้อยกับสุดหล่อ กันเองก็ได้"
" ใช่มีข้าอยู่ไม่ต้องกลัว"
"ให้เราไปด้วยก็ดีแล้ว มีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน"
" แล้ว.."
" เสด็จพ่อกลับไปเมืองก่อนนะเพคะแล้วลูกจะตามไปนะเพคะ"
" อย่านานักนะแสงสุรีย์"
" เพคะ ทูลลาเสด็จและท้าวนวดลเพคะ"
" ทูลลาเสด็จตาและท้าวธีรชัยพระเจ้าค่ะ" ทั้งคู่มุ่งหน้าเพื่อไปสู่เมืองรัตนบุรีโดยมีอันตรายต่างๆรออยู่อีกมาก..

จักรกรด

ทางด้านฝั่งของเทพวิษุวัติ ข้ารับใช้ทั้งสองกลับไปหาร่างกายเต็มไปด้วยรอยไหม้ซ้ำยังมามือปล่าวไม่มีเกราะกายสิทธ์มาด้วย สร้างความไม่พอใจให้แก่เทพวิษุวัติเป็นอย่างมาก
" ไม่ได้เรื่อง!!!!! แค่เด็กตัวนิดเดียวแถมยังเป็นผู้หญิงอีกแค่นี้พวกเจ้าก็จัดการไม่ได้!!!"
"ตอนแรกก็จะสู้ได้แล้วพระเจ้าค่ะ"
" แต่ว่าเด็กคนนั้นมีของวิเศษพระเจ้าค่ะ"
" ของวิเศษอะไร"
" สังวาลย์พระเจ้าค่ะ. สังวาลย์นี่ไม่ได้ธรรมดาเลยนะพระเจ้าค่ะ"
" สังวาลย์งั้นเหรอ "
" พระเจ้าค่ะ สังวาลย์นั่น.."
"ไปได้แล้ว"
" อะไรนะพระเจ้าค่ะ"
" ออกไปได้แล้วเราจะอยู่คนเดียว"
" พระเจ้าค่ะ"
" สังวาลย์ที่เป็นของวิเศษงั้นหรือ". เทพวิษุวัติครุ่นคิดอยู่แล้วก็ได้ยินเสียงในหัวเหมือนคิดขึ้นได้ว่า : นอกจากเกราะวิเศษกายสิทธิ์แล้วยังมีสิ่งวิเศษอีกอย่างนึงก็คือสังวาลย์มณีมีฤทธิ์เดชพอกันแต่ถ้ามาอยู่ด้วยกันจะทรงอนุภาพมากที่สุดเลยก็ว่าได้ แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าสิ่งวิเศษนี้อยู่ที่ไหน:
" สุดท้ายเราก็รู้เสียทีว่าสิ่งนี่อยู่ที่ไหน" เทพวิษุวัติยิ้มเหมือนชนะอะไรสักอย่าง. จากนั้นเทพวิษุวัติก็ไปสังเกตุการณ์สุริยะกับแสงสุรีย์ที่กำลังจะถึงเมืองรัตนบุรี
" ไม่ได้การณ์แล้วสิ" เทพวิษุวัติบรรดาลให้เกิดพายุซัดพวกสุริยะไปทางอื่นจนถึงเมืองเมืองหนึ่งที่เหมือนร้าง
" ที่นี่ที่ไหน"
" นั่นสิที่นี่ที่ไหนกัน"



จักรกรด

" ที่นี่มันร้างแปลกๆนะข้าว่า"
" ดูนั่นสิมีวังด้วย"
" ไปดูกันดีไหมพระเจ้าคะพระโอรสพระธิดา"
" ดีสิพี่หิ่งห้อย ไปกันเถอะสุริยะ"
" ไปกันเถอะ" ทั้งสามเดินไปทางเข้าวัง
" นี่ไม่คิดจะชวนข้าไปเลยนะ" ตุ้บเท่งวิ่งตามไป
ที่ท้องพระโรงเต็มไปด้วยใยแมงมุมและใบไม้เกลื่อนไปหมด มีเงาปรากฎผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทั้งสี่หันมองกันให้วุ่น
"พี่หิ่งห้อยหายไปไหนแล้วหละ"
" อ๊ะ!!!" สุริยะหันมองตามเสียงไปแต่ไม่พบอะไร
"  ตุ้บเท่งก็หาย"  ขณะที่ทั้งสองหันหาอยู่นั้นควันก็พวยพุ่งออกมาปกคลุมไปทั่วทั้งสองก็สลบไป...
.
.
.
.
.
.
" สุริยะ สุริยะลูกแม่" สุริยะมองไปมาตามเสียงเรียก
" เสด็จแม่พระเจ้าค่ะ" สุริยะวิ่งไปสไบทองหายไป
" เสด็จแม่!!!!". สุริยะตกใจลืมตาขึ้นมา พบว่าตนเองถูกมัดอยู่
" เจ้าคิดถึงเสด็จแม่เจ้างั้นสิ"  มีผู้หญิงหน้าตาสวยงามดูไม่มีอายุเยอะเท่าไหร่นักพูดพร้อมเข้ามา
" พี่สาวท่านเป็นใครแล้วทำไมเราถึงโดนมัด"
" ไม่ต้องรู้หรอกว่าเราเป็นใคร เอาเกราะกายสิทธิ์แลกกับแม่เจ้าดีไหมหละ"
" ถ้าช่วยเสด็จแม่ได้เกราะนี่ก็ไม่สำคัญอะไร แล้วแสงสุรีย์ สุดหล่อ และพี่หิ่งห้อยหละ"
" พวกเขาก็สบายดีอยู่ เราขอแล้วกันนะ" ไม่รอช้ารีบใช้มืจับเกราะกายสิทธิ์ แต่ก็ไหม้มือ
" โอ้ย!! หึย" เขาได้ใช้มือจับอีกครั้งแต่ก็เผาไหม้มือดังเดิม
" หน๋อย แค่นี้ก็ร้อนได้นะทำไมคนอื่นจับไม่เห็นจะร้อนเลย"
" ก็เจ้าเป็นแม่มดไงหละเกลียวทอง" มีเด็กหญิงออกมาพูดจาฉะฉานใส่เกลียวทองอย่างไม่เกรงกลัว
" อัญญานีเจ้ามาทำไม. ทำไมไม่อยู่ในตำหนัก!!"
"ก็นี่เมืองเสด็จพ่อเรา เราจะไปไหนมาไหนเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์มาห้ามเรา"
" ปากดีนักนะ" ฝ่ามือของเกลียวทองตบหน้าของอัญญานีอย่างไม่หนักแรงมากแต่ทำให้อัญญานีกระเด็นไปได้ ในตอนนั้นนั่นเองแสงอาทิตย์ก็สาดส่องมายังเกราะกายสิทธิ์ทำให้สุริยะกลายเป็นจันทราภาทันที



✡ K.N.K ✡


...ข้าฯ กรรติเกยะ ขอตั้งจิตอธิษฐาน  เพื่อจุติลงไปยังวงศ์วาน  จากวิมานฟากฟ้าสู่แดนดิน...