ยินดีต้อนรับสู่บ้านอบอุ่นของคนรัก บอย สพล ชนวีร์

!!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ จักรกรด

  • *
  • 145
  • 0
  • เพศ: หญิง
  • จิตฺเตน นียติ โลโก. โลกอันจิตย่อมนำไป .
    • อีเมล์
Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
« ตอบกลับ #30 เมื่อ: มิถุนายน 23, 2018, 04:24:53 PM »
" พุทธรัตน์หนีไปลูก ไม่ต้องห่วงแม่ "  สไบทองพูดให้ดวงใจหนีไปด้วยกลัวว่าจะเป็นอันตราย
" นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมสไบทองถึงมาอยู่ที่นี่ได้ " ท้าวพีรเชษฐ์กังขากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
" คือว่า..." สไบแก้วไม่อาจจะสรรหาคำพูดใดมาตอบองค์ภัสดา
"กระหม่อมจับมาเองพระเจ้าค่ะ " ชายชราที่จับตัวสไบทองทูลต่อเจ้าแผ่นดิน
" ไม่เห็นจะต้องทำขนาดนี้ เราขอให้ท่านปล่อยสไบทองเถอะ อย่าได้ทำร้ายนางเลยนะท่านปุโรหิต "  ท้าวเธอยังรู้สึกห่วงอดีตพระมเหสีอยู่บ้างจึงได้ออกคำสั่งกับคนที่จับพระนางไว้
"ไม่พระเจ้าค่ะ กว่าเกราะนี่จะมาไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะพระเจ้าค่ะ " ปุโรหิตยืนกราน
" ท่านปุโรหิต ปล่อยเสด็จแม่เราเถอะนะ ท่านอยากได้อะไรเราจะให้ท่านทุกอย่าง พุทธรัตน์อ้อนวอนต่อบิดาของสไบแก้ว
" ได้พระเจ้าค่ะ แต่พระธิดาจะต้องยกเกราะกายสิทธิ์ให้กับกระหม่อม" ผู้เฒ่าเสนอข้อต่อรอง
" เรายอมแล้ว ขอเพียงปล่อยเสด็จแม่ของเราก็พอ"
" อย่านะลูก!! " พระมารดาได้ค้านความคิดของพระบุตรี
หิ่งห้อยยักษ์เห็นท่าไม่ดีจึงคิดเข้าไปช่วยแต่มิอาจทำได้ด้วยเหตุเพราะมีมนต์ดำคุ้มกันไว้ไม่ให้เข้าไปใกล้
" ทหารมาเร็วเข้า ทหาร!! " เจ้าเมืองเรียกทหารอย่างร้อนรน ในขณะที่เจ้าเมืองเรียกอยู่นั้นพระธิดาได้ถอดเกราะกายสิทธิ์ออกปรากฏร่างอันพิการน่าสงสารของพระโอรสสุริยะมาแทนที่
" ปล่อยเสด็จแม่เราเถอะนะ แล้วเราจะให้เกราะกายสิทธิ์แก่ท่าน " พระโอรสพูดอย่างทุลักทุเล
"ไม่ได้พระเจ้าค่ะ พระโอรสต้องส่งเกราะมาให้กระหม่อมก่อนแล้วกระหม่อมจะปล่อย"
ท้าวพีรเชษฐ์ร้อนใจนัก เรียกหาทหารสักเท่าใดไม่เห็นใครมา ใครเล่าจะมา ในเมื่อมีคนของปุโรหิตขัดขวางอยู่ ท้าวเธอจึงตัดสินใจลงมาห้ามภอีกครั้ง
"หยุดนะ !!จะทำอะไรไม่สนเราเลยเหรอ ท่านไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้ ปุโรหิต "
" สนพระเจ้าค่ะแต่เกราะนี้ก็สำคัญไม่แพ้กัน " ชายชรากล่าวตอบพลางจับสไบทองไว้แน่นกว่าเดิม
" รับเกราะของเราไปเถอะ " พระโอรสส่งเกราะกายสิทธิ์ให้กับเฒ่าเจ้าเล่ห์ผู้นั้นอย่างมีหวังให้ปล่อยพระมารดา  แต่ทว่าเมื่อปุโรหิตได้เกราะวิเศษมาก็มิได้ปล่อยสไบทองแต่อย่างใดกลับมีจิตคิดสังหารเจ้าของเกราะด้วยซ้ำไป
"ฮ่าๆ เจ้ามันหน้าโง่ไม่เปลี่ยนแปลง วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าให้ตายซะ" พูดจบทันใดเฒ่าปุโรหิตก็ใช้เกราะกายสิทธิ์ทำร้ายพระโอรสในทันที พระบิดามิอาจทนเห็นพระโอรสวายชนม์จึงนำตนเองมากำบังทำให้สิ้นพระชนม์อย่างรวดเร็ว





ออฟไลน์ จักรกรด

  • *
  • 145
  • 0
  • เพศ: หญิง
  • จิตฺเตน นียติ โลโก. โลกอันจิตย่อมนำไป .
    • อีเมล์
Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
« ตอบกลับ #31 เมื่อ: มิถุนายน 23, 2018, 05:28:43 PM »
"เสด็จพ่อ !! / เสด็จพี!! " พระโอรสสุริยะและพระมเหสีสไบทองร้องเรียกท้าวพีรเชษฐ์อย่างตกใจระคนกับเสียใจเป็นอย่างมาก 
สไบแก้วรีบวิ่งเข้ามาโอบกอดร่างอันไร้วิญญาณของพระสวามีอย่างใจแทบแหลกสลายน้ำตาไหลนองหน้า
" พวกเจ้าทำให้พระสวามีเราต้องตาย...ท่านพ่ออย่าได้ไว้ชีวิตพวกมัน " สไบแก้วบอกพ่อของตนเสียงสั่นสะท้าน
ปุโรหิตได้ยินดังนั้นจึงใช้เกราะกายสิทธิ์ทำการสังหารพระโอรสอีกครั้งเพราะคิดว่าไม่มีผู้ใดจะสามารถขัดขวางได้อีก
แต่ผิดคาด  ในขณะที่ใช้เกราะวิเศษอยู่นั้นมีแสงสีโกเมนสาดส่องมาต้านพลังของเกราะกายสิทธิ์ให้หายไป ซึ่งแสงนั้นมาจากสังวาลย์ของพระโอรสเพชรราหูแห่งท้าวธีรชัย ช่วงที่แสงสาดส่องสร้างความเจ็บแสบในดวงตาของผู้คนในท้องพระโรงอยู่นั้น เพชรราหูได้ชิงเกราะกายสิทธิ์จากปุโรหิตและนำพรรคพวกของตนออกมายังป่าบริเวณรอบเมืองรัตนบุรีในเพลาใกล้รุ่ง
" พวกเรารอดปลอดภัยแล้ว ต่อไปก็กลับกันเถอะ " พระโอรสแห่งเมืองคีรีมาศพูดพลางส่งเกราะกายสิทธิ์ให้พระโอรสสุริยะสวม แต่พระโอรสสุริยะไม่สวมเกราะกลับกอดไว้กันแสงพร้อมกับพระมารดา
" อะไรกัน จะร้องไห้ไปทำไมนัก..เอ่อ..พระเจ้าค่ะ ปลอดภัยก็ดีแล้วจะได้เกราะคืน ..เอ๊ย!!...กลับเมือง" ตุ๊บเท่งถามขึ้นอย่างสงสัยในกริยาของสองเชื่อกษัตริย์
" เสด็จพี่ปกป้องเรากับลูกให้พ้นอันตรายจนถึงแก่ชีวิต เราจะดีใจได้ยังไงกัน " สไบทองอาลัยองค์ภัสดาเป็นอย่างมาก
" เราไม่ดีเองที่เกิดมาพิการเป็นง่อย รังแต่จะทำให้เสด็จแม่กับเสด็จพ่อต้องลำบากพระวรกายและพระทัย มีเกราะกายสิทธิ์แล้วยังไง เราก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี "  สุริยะกล่าวโทษเป็นความผิดของตนอย่างเจ็บปวด
" อย่าพูดอย่างนี้เลยลูกแม่ ลูกไม่ผิดอะไร " สไบทองกอดลูกสะอื้นไห้ไม่หยุดหย่อน  สุดหล่อทนฟังเสียงร้องไห้ต่อไปไม่ไหวจึงเดินหนีไปไกลๆ หิ่งห้อยนิ่งเงียบไม่รู้จะปลอบอย่างไร เพชรราหูเห็นเช่นนั้นก็สังเวชทำได้ถอดถอนใจที่ไม่อาจช่วยคลายความเศร้าใจได้ ผ่านไปสักเพลาหนึ่ง แสงจากดวงอาทิตย์ได้สาดส่องลงมากระทบสังวาลย์มณีทำให้พระโอรสเปลี่ยนเป็นพระธิดาในอีกวัน...

ออฟไลน์ NingM

  • *
  • 2
  • 0
Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
« ตอบกลับ #32 เมื่อ: มิถุนายน 28, 2018, 03:31:15 AM »
สู้ๆนะค่ะเอาใจช่วยอยู่เสมอ  w26

ออฟไลน์ จักรกรด

  • *
  • 145
  • 0
  • เพศ: หญิง
  • จิตฺเตน นียติ โลโก. โลกอันจิตย่อมนำไป .
    • อีเมล์
Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
« ตอบกลับ #33 เมื่อ: กรกฎาคม 05, 2018, 09:11:35 AM »
ขอบคุณคุณ NingM มากค่ะ เว้นมาเป็นอาทิตย์แล้วยังไม่ได้แต่งต่อเลยวันนี้พอมีเวลาว่างจะแต่งต่อค่ะ  w8 w8

ออฟไลน์ จักรกรด

  • *
  • 145
  • 0
  • เพศ: หญิง
  • จิตฺเตน นียติ โลโก. โลกอันจิตย่อมนำไป .
    • อีเมล์
Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
« ตอบกลับ #34 เมื่อ: กรกฎาคม 05, 2018, 09:46:05 AM »
" เกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกท่านถึงได้ร้องไห้กันขนาดนี้ " พระธิดาจินดาผู้ใส่สังวาลย์สีบุษราคัมถามขึ้นเมื่อพบกับคนสองคนกันแสงไม่หยุดหย่อน
ทางฝั่งพระมเหสีสไบทองและพระโอรสสุริยะได้ยินเสียงถามไถ่ก็มิอาจทำใจตอบได้ยังคงกันแสงต่อไป หิ่งห้อยยักษ์จึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้จินดาฟัง เมื่อจินดาฟังดังนั้นจึงนึกได้แล้วกล่าวกับสองแม่ลูก
" ได้โปรดหยุดกันแสงเถอะเพคะพระมเหสี พระโอรส กันแสงไปก็ไม่สามารถจะทำให้พระพีรเชษฐ์ฟื้นคืนมาได้หรอกนะเพคะ "
" เจ้าจะเข้าใจอะไรพวกเรา เจ้าไม่เคยสูญเสียเหมือนกับพวกเราทั้งสอง" สไบทองกล่าวตอบเสียงปนสะอื้นแล้วกอดลูกร้องไห้ต่อ
พระธิดาจินดามีหรือจะไม่เข้าใจความสูญเสียในเมื่อตนนั้นสูญเสียพระมารดาตั้งแต่ยังไม่รู้ความ ถึงจะไม่ใช่การสูญเสียที่รับรู้ในคราวแรกแต่เป็นการสูญเสียระยะยาวเสมอมาตลอดชีวิต
" หม่อมฉันอาจจะไม่เข้าใจแต่ว่า..หม่อมฉันยังพอมีวิธีที่จะทำให้พระพีรเชษฐ์ฟื้นคืนชีพมาได้เพคะ " จินดากล่าวขึ้นมาทำให้สไบทองหยุดร้องไห้หันมาด้วยความฉงนระคนกับดีใจ
" จะทำได้จริงเหรอ....แต่ว่าองค์เหนือหัวสิ้นไปแล้วจะกลับมาได้ยังไง "
" ทำได้เพคะ หม่อมฉันได้ดูดวงพระชะตาของพระองค์ยังไม่ถึงฆาต ตราบใดที่พระวรกายและพระวิญญาณยังอยู่ก็สามารถทำพิธีเรียกพระวิญญาณคืนสู่พระวรกายได้เพคะ "
"จริงเหรอช่วยเสด็จพ่อได้จริงๆใช่ไหม " สุริยะได้ยินสิ่งที่จินดาพูดจึงถามอีกครั้งให้แน่ใจ
" จริงสิ เราไม่โกหกหรอก สวมเกราะก่อนดีกว่าจะได้ช่วยพระองค์ต่อไป " พระธิดากล่าวพร้อมกับส่งเกราะกายสิทธิ์ให้พระโอรสสวม พระโอรสสุริยะรับเกราะมาสวมเปลี่ยนร่างจากพิการสู่ร่างที่สมบูรณ์ของพระโอรสอีกพระองค์คือพระโอรสภูมินทร์ผู้มีรัศมีแห่งความเมตตา   
 จากนั้นทั้งหมดยกเว้นตุ้บเท่งจึงได้ร่วมกันคิดวางแผนที่จะนำพระวรกายแห่งท้าวพีรเชษฐ์มายังป่านี้ต่อไป


ออฟไลน์ จักรกรด

  • *
  • 145
  • 0
  • เพศ: หญิง
  • จิตฺเตน นียติ โลโก. โลกอันจิตย่อมนำไป .
    • อีเมล์
Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
« ตอบกลับ #35 เมื่อ: กรกฎาคม 05, 2018, 10:52:04 AM »
 ด้านฝั่งในวังเมืองรัตนบุรี เหล่าขุนนางและข้าราชบริพารทั้งน้อยใหญ่ได้ทราบข่าวการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์ผู้ครองเมืองสร้างความเสียใจและความแปลกใจแก่ทุกคนเป็นอย่างมาก แต่ถึงกระนั้นเหล่าขุนนางตัดสินใจที่ยังจะไม่บอกกล่าวแก่ประชาชนชาวเมืองที่อยู่นอกวังให้รับรู้การจากไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้
  ปุโรหิตเฒ่าไม่ต้องการให้เสียตำแหน่งจึงรีบกล่าวกับเหล่าขุนนางให้รีบแต่งตั้งพระโอรสบดิศรหลานของตนขึ้นครองราชย์ในทันที แต่ทว่าบดิศรยังไม่ต้องการเพราะยังเสียใจในการจากไปของพระบิดาที่ตนเพิ่งรู้ข่าวเมื่อตอนรุ่งเช้าเท่านั้น   
  ในขณะเดียวกันอำมาตย์เรืองรองนึกเคลือบแคลงสงสัยในตัวปุโรหิตว่าสาเหตุการสิ้นพระชนม์คราวนี้คงต้องเกี่ยวกับปุโรหิตเป็นแน่แท้ แต่มิอาจแสดงออกมาได้ต้องคอยดูท่าทีไปเสียก่อน
................................................
ในพระตำหนักใหญ่ที่มีพระวรกายของท้าวพีรเชษฐ์อยู่นั้น  มีแมลงภู่สองตัวบินมายังที่แห่งนี้เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีผู้ใดอยู่ในตำหนักจึงได้เปลี่ยนจากแมลงภู่กลับคืนสู่ร่างมนุษย์ดังเดิม พระโอรสภูมินทร์เมื่อคืนร่างได้กราบพระบาทของพระบิดาแล้วมองดูพระพักตร์ของพระบิดาตน ขณะเดียวกันกับสองตาหลานได้เดินมาและพูดคุยกันอยู่ด้านหน้าประตู
" ท่านตา ทำไมเสด็จพ่อถึงได้สิ้นพระชนม์ได้ในเมื่อในวังนี่แน่นหนาขนาดนี้ " บดิศรได้ถามขึ้นด้วยเพราะรู้สึกติดข้างอยู่ในใจ
" ก็พระโอรสสุริยะน่ะสิเป็นคนสังหารองค์เหนือหัว " ปุโรหิตตอบคำถามผู้เป็นหลาน
" ไอ้ง่อยน่ะเหรอท่านตา มันง่อยขนาดนั้นหลานก็รังแกมันตลอดมันจะทำอะไรใครได้กัน " หลานนึกฉงน
" ก็พระโอรสง่อยน่ะเป็นภูติผีปีศาจที่ยอมเพราะกลัวบารมีหลานน่ะสิ แต่เพราะแค้นองค์เหนือหัวจึงมาหลอกล่อแล้วฆ่าเสีย " ปุโรหิตนั้นรู้อยู่แก่ใจว่าอะไรเป็นอะไรแต่คิดจะหลอกให้หลานเชื่อใจจึงได้ตอบสิ่งเท็จเช่นนั้น
 ฝั่งพระธิดาจินดาได้ยินเช่นนั้นจึงเตือนพระโอรสภูมินทร์ ทั้งหมดจึงแปลงกายตนและเจ้าเมืองเป็นแมลงภู่พากันบินหนีไปเป็นเวลาเดียวกับที่บดิศรเปิดประตูมาแล้วพบกับความว่างปล่าวบนแท่นบรรทมแลเห็นแต่แมลงภู่ที่บินออกหน้าต่างไปจึงได้กล่าวออกมา
" เสด็จพ่อหายไปไหน ทำไมมีแต่แมลงภู่บินตัวติดกันออกไป"
ปุโรหิตได้ยินดังนั้นก็แจ้งใจในทันทีว่ามีคนแปลงกายมาพาพระวรกายท้าวพีรเชษฐ์ไป จึงได้สั่งเหล่าบริวารให้ตามจับแมลงภู่ แต่มิอาจจับได้เพราะแมลงภู่ได้บินสูงเสียดฟ้าเข้าในม่านเมฆไป แมงภู่ได้แปลงเปลี่ยนเป็นนกแก้วคาบผลองุ่นบินไปยังที่ที่ได้นัดหมายไว้ในป่าแล้วกลับกลายร่างเป็นคนดังเดิม ปุโรหิตเจ็บใจที่ไม่อาจขัดขวางได้แม้แต่แมลงภู่แต่ไม่จนหนทางเพราะรู้ว่าใครเป็นคนทำจึงได้ใช้มนต์ดำตรวจดูว่าอยู่กันที่ใดแล้วจึงตามไปพร้อมกับบดิศร
สไบทองเมื่อเห็นร่างของภัสดามีจึงได้กอดร่างอย่างอาลัย จินดาไม่รอช้ารีบบอกให้พากันไปอยู่ในถ้ำเพื่อให้ปลอดภัย
" แล้วพวกเราจะทำยังไงกันต่อไปล่ะท่าน " พระโอรสได้ถามกับพระธิดา
" เราจะสอนมนต์เรียกพระวิญญาณให้แก่ท่าน แล้วพวกเราก็แยกย้ายกันตามหาพระวิญญาณให้เข้าสู่พระวรกายภายในยามสอง " พระธิดากล่าวตอบ เมื่อสอนมนต์เสร็จจึงได้แยกย้ายกันออกตามหาพระวิญญาณโดยให้พระมเหสีและหิ่งห้อยยักษ์เฝ้าร่างในถ้ำ ก่อนแยกย้ายพระโอรสและพระธิดาได้ใช้มนต์มิติปิดหน้าถ้ำไม่ให้เข้าไปทำอันตรายได้...

ออฟไลน์ จักรกรด

  • *
  • 145
  • 0
  • เพศ: หญิง
  • จิตฺเตน นียติ โลโก. โลกอันจิตย่อมนำไป .
    • อีเมล์
Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
« ตอบกลับ #36 เมื่อ: เมษายน 20, 2020, 12:15:10 PM »
ฝ่ายบรดิศรได้เดินทางออกตามหาก็พบกับถ้ำที่คาดว่าเป็นแหล่งพักพิงและกบดานของมนุษย​์ได้เป็นอย่างดี​ เขาไปที่ปากถ้ำแต่พบว่ามีมนตรากำบังปิดเอาไว้ด้วยความที่รีบร้อนจึงใช้มนตราและกำลังที่ตนได้ฝึกฝนกับผู้ให้กำเนิดมารดาเข้าทำลาย​มนต์​มิตินั้น​ แทนที่จะถูกทำลายกลับทำให้บดิศรต้องไปติดอยู่ในมิตินั้นแทน​
"นี่มันอะไรกัน!! ทำไมข้าถึงติดอยู่ที่นี่​ ปล่อยเราเดี๋ยวนี้นะ!!" เขาใช้มือทุบตีมิติที่แข็งราวกระจกกั้นแต่ไม่แตกง่ายดายเช่นนั้น​ ออกแรงไปได้สักพักต้องหยุดเสียเพราะอ่อนแรง
ด้านฝั่งของพระโอรสภูมินทร์ที่ตามหาวิญญาของพระบิดาได้มายังบริเวณกลางป่าที่อยู่ระหว่างทางเข้าเมืองได้เห็นแสงพระจันทร์​สาดส่องสว่างไสวแจ่มชัดเป็นที่สุดพลางคิดในใจว่า"หากเป็นเสด็จพ่อคงจะอยู่แถวนี้เป็นแน่" เพราะความสว่างคือหนทางที่ทุกผู้คนต่างต้องการ​ คิดดังนั้นแล้วจึงได้ตั้งจิตอฐิษฐาน​ให้ได้พบพระบิดาแล้วกล่าวออกมาว่า
"เสด็จพ่อเจ้าค่ะ ได้โปรดมาพบลูกเถิด​ ชะตาพระองค์ไม่ได้ถึงฆาต​ หากทันเวลาเราจะสามารถช่วยประชาราษฎร์​ให้พ้นภัยได้นะพระเจ้าค่ะเสด็จพ่อ" ในขณะที่​กล่าวสายตาของพระโอรสก็ได้มองหาพระบิดา
"ลูก.. ลูกของพ่อ.. เจ้าคือลูกของพ่อใช่หรือไม่"  เสียงของผู้เป็นบิดาดังขึ้นมาพร้อมความใกล้ชิดที่เข้ามาข้างกายผู้เป็นบุตร
" พระเจ้าค่ะเสด็จพ่อ​ " ภูมินทร์​ดีใจเป็นอย่างมากที่ได้พบกับพระบิดาแต่เมื่อรู้สึกตัวได้ว่ามีเวลาไม่มากสำหรับการคืนชีพจึงได้รีบพาวิญญาณ​ไปยังถ้ำที่ไว้ร่างนั้น​ เมื่อมาถึงจึงได้พบกับร่างสะท้อนในมิติที่เป็นของบดิศรนั่งอ่อนแรงอยู่
"เจ้าเป็นใคร​ ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!! "เมื่อทันทีที่ได้้เห็นคนผ่านมาหมายจะเข้าไปด้านในถ้ำจึงคำนวณได้ไม่ยากว่ามิตินี้เป็นฝีมือของใคร​ เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่พยายามทุบมิติเพื่อเรียกร้องการปลดปล่อยตนจากพันธนาการเสีย
"ภูมินทร์.. กับพระองค์​" จินดาพูดพลางมองไปด้านข้างกายอีกคน​สร้างความไม่เข้าใจให้กับผู้ถูกคุมขัง​ เขาเห็นอยู่กันแค่สองคนแล้วพระองค์​นี่หรือคือใครกัน
"ดีแล้วที่หาพบทันแต่เราไม่มีเวลามากนักคงต้องรีบเสียแล้วล่ะ" พูดพลางผ่าช่องมิติเปิดทางให้ได้เข้าไปด้านในกันทั้งสาม
" ไว้เสร็จ​กิจแล้วเราจะมาคุยด้วยนะบดิศร"กล่าวเสร็จก็รีบรุดเข้าไปทันทีสร้างความไม่พอใจเป็นอย่างมากต่อผู้ถูกเรียกทั้งที่ตนไม่รู้ว่าเขาเป็นใครแต่อีกฝ่ายกลับรู้จักตนเสียนี่
" เสด็จ​แม่​ ลูกมากับเสด็จพ่อแล้วพระเจ้าค่ะ"
"ไหนล่ะเสด็จพ่อของลูก แม่ไม่เห็นเลย" ดวงตาของนางมองหาอดีตภัสดาด้วยอาลัย
" ผู้ที่ใช้จิตตามอัญเชิญ​พระวิญญาณ​จะสามารถเห็นได้เพคะ​ เห็นทีต้องรีบทำพิธีแล้ว.. ภูมินทร์ท่านจำบทเรียกพระวิญญาณที่เราสอนให้ขึ้นใจดีแล้วใช่หรือไม่"จินดาตอบพระมารดาของสหายเฉพาะกิจแล้วถามอีกคนเพื่อความแน่ใจ
" เราจำได้ท่านไม่ต้องกังวล"
"ขอเชิญ​องค์เหนือหัวพีรเชษฐ์​ทรงประทับบนพระวรกายของพระองค์​เพคะ​ ตั้งจิตอฐิษฐาน​ตั้งมั่นแน่วแน่​ เริ่มสวดเรียกพระวิญญาณ​สู่ร่างได้"ท้าวเธอทำตามคำเชิญแล้วพนมมือตั้งจิตมั่นพร้อมกับโอรสาที่ท่องบทสวด  ส่วนผู้นำทำพิธีได้นำใบสรรพชีวีมาโรยรอบพระวรกายราวกับดอกไม้ร่วงงามยามสุขสันต์​แล้วทำการเจิมที่กลางหว่างคิ้วของพระราชาส่งผลให้ร่างกายและวิญญาณ​เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอีกครั้ง​ บัดนี้ทรงได้ฟื้นคืนชีวีมาแล้วนั่นเอง​ สไบทองดีใจและพอใจที่คนที่ตนรักยังไม่สิ้นสูญสลายไป​
"สำเร็จแล้วพระเจ้าค่ะพระโอรส" หิ่งห้อยยักษ์​กล่าวด้วยความยินดีต่ออีกผู้เป็นนาย
"สไบทอง..พี่กลับมาแล้ว" ทันทีที่รู้สึกตัวตนได้เข้าโผกอดหญิงอันเป็นที่รักโดยอีกฝ่ายได้รับความรู้สึกนั้นโดยวางความช้ำชอกจิตเมื่อคราก่อนไว้แล้วกล่าวกับสวามี
"เสด็จ​พี่ทรงกลับมาแล้ว​.. ภูมินทร์ได้ช่วยเสด็จพี่ไว้เพคะ" พลางมองมองไปยังพระบุตรตนที่​สรวลด้วยใจปิติ
"ไม่ใช่ลูกหรอกพระเจ้าค่ะ หากแต่เป็นพระธิดาจินดาที่่ได้ช่วยพระชนม์เสด็จพ่อไว้"
"เอาเป็นว่าเราร่วมมือกันจะเหมาะสมกว่าเพคะ" จินดาธิดาน้อยกล่าว
"จริงสิ.. แล้วบ้านเมืองเราล่ะ​ จะทำอย่างไรดี" เมื่อนึกขึ้นได้ท้าวเธอจึงรีบปรึกษาหาหนทางต่อ
"เท่าที่ลูกไปยังเมืองเพื่อนำพระวรกายเสด็จพ่อมา พบว่าบ้านเมืองยังสงบสุขอยู่พระเจ้าค่ะ ท่านปุโรหิตรอแต่ให้บดิศรขึ้นครองราชย์​เท่านั้น​" เมื่อกล่าวตอบพระบิดาพลันให้นึกถึงผู้ที่ถูกกล่าว​ ตัวเขายังอยู่ในมิติอยู่เลย
" จริงด้วย​ บดิศรยังอยู่ในมนต์มิติ​ เสด็จพ่อ​ เสด็จแม่​ ลูกขอไปนำบดิศรออกมาก่อนนะพระเจ้าค่ะ" ไม่ว่าปล่าวตัวก็รีบรุดไปทันที​ โดยมีจินดาและพี่หิ่งห้อยตามออกไป
" บดิศรตามเรามาถึงนี่เลยหรือ" สไบทองพึมพำออกมาด้วยความประหลาดใจ
"พี่ว่าบดิศรคงมาตามหาพี่​ อย่างไรเสียพี่ก็เป็นพ่อเขาคนนึงเช่นกัน"พีรเชษฐ์​กุมมืออีกฝ่ายแล้วตอบอีกฝ่ายเพื่อคลายกังวล
อีกด้านของถ้ำ​ทั้งสามได้มาพบกับบดิศร
"เราเสร็จกิจธุระแล้วบดิศร​" ภูมินทร์ปรากฏตัวต่อหน้าโอรสาผู้เป็นน้อง
"นี่มันอะไรกัน​ เสด็จพ่อข้าอยู่ไหน​ แล้วรู้ชื่อข้าได้ยังไงกัน!! "น้ำเสียงของอีกฝ่ายมีความโกรธาที่ปะทุอยู่รู้สึกได้ชัดเจน
"เราเป็นพระโอรสของเสด็จพ่อ​ เราอยู่ร่างเดียวกันกับสุริยะ​ เราพอจะรู้เกี่ยวกับท่านเพราะท่านเป็นน้องของเรา"
"ร่างเดียวกัน​ อะไรกันเจ้าพล่ามอะไร​ ไอ้ง่อยมันจะมีพี่น้องร่างเดียวกันได้ยังไง​ ที่สำคัญข้าน่ะไม่ใช่น้องไอ้ง่อยและก็เจ้าด้วย!!"
"มันเกิดจากเกราะกายสิทธิ์​ที่สวมใส่​ ช้ามากคงไม่ทันเล่าหรอก​ เอาเป็นว่าเรากับจินดาจะปล่อยท่านไปก่อนพระอาทิตย์​จะขึ้น"
" คนเช่นนี้เราไม่อยากปล่อยเลย​ ดูพูดกับท่านสิไม่ให้ความเคารพกันอีก" พระธิดาต่างเมืองกล่าวขึ้นมาด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย
" เอาเถอะยังไงเขาก็เป็นลูกคนนึงของเสด็จพ่อ​ เราไม่อยากบาดหมางใจด้วย​" อีกฝ่ายส่งสายตาขอความเห็นใจเพราะมนตรานี้จะต้องแก้ด้วยคนสองคนถึงจะหายไปได้​
" ได้เราตกลง" จากนั้นทั้งสองคนได้​บริกรรม​พระคาถาแต่ทว่าแสงจากดวงอาทิตย์​ได้สาดส่องมาทำให้วันนั้นเปลี่ยนไปกายคนก็เปลี่ยนตาม
" พระธิดาประกายพฤกษ์​พระเจ้าค่ะ" หิ่งห้อยยักษ์เรียกอีกคนเมื่อลืมตามองมายังมิติ
"นี่มันอะไรกันจ๊ะพี่หิ่งห้อย​ ทำไมบดิศรถึงได้ติดอยู่ในนั้น​ " พระธิดารัตนบุรีถามขึ้นด้วยความสงสัย
"จินดาขังใครไว้อีกล่ะนี่" เสียงเด็กชายพูดออกมาหลังจากรู้สึกตัว
"พระธิดาจินดากับพระโอรสภูมินทร์ทรงสร้างมนต์​มิติกันไม่ให้ใครล่วงล้ำไปในถ้ำเพื่อหาองค์เหนือหัวกับพระมเหสีพระเจ้าค่ะ" แมลงส่องแสงตัวใหญ่อธิบายให้สองเชื้อไขกษัตริย์​ฟัง​
"จินดา.. แล้วเขาไปไหนล่ะจ๊ะ"
" นางก็พักผ่อนน่ะสิ​ ออแล้วนี่คงเป็นเกราะกายสิทธิ์​ที่ร่ำลือกันล่ะสิ​ พวกเราก็เหมือนกับเจ้านั่นล่ะที่เปลี่ยนกันไปตามวัน" ศุภลักษณ์​ตอบแทน
" เปลี่ยน.. หมายถึงสังวาลย์​นี่น่ะเหรอ" พระธิดานึกสงสัยขึ้นมา
"ใช่.. สงสัยว่าจินดาคงนึกช่วยคนอีกตามเคยน่ะสิ​ ที่ขังไว้นี่ก็คงไม่ใช่คนดีเท่าไหร่มั้ง" เขาพูดพลางมองไปยังมิตินั้น
บดิศรที่ได้เห็นร่างที่เปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตาจึงประจักษ์​เกราะกายสิทธิ์ที่ว่าเมื่อถูกแสงดวงอาทิตย์​ของอีกวันสาดส่องมาจะทำให้เปลี่ยนคนได้อย่างน่าอัศจรรย์​โดยสังวาลย์นั้นก็ไม่ต่างกันเลย
" เมื่อไหร่จะปล่อยข้าไปสักทีล่ะ" บดิศรอดทักท้วงเสียมิได้เพราะตนถูกจองจำมานานแล้ว
"เราไม่รู้มนต์​อะไรนั่นของภูมินทร์หรอกนะ​ ถึงเรารู้เราก็ไม่ปล่อยเจ้าหรอก​ เท่าที่เรารู้เจ้าน่ะชอบรังแกสุริยะตลอด​ จ้างให้เราก็ไม่ทำ​... พี่หิ่งห้อยเราไปกันเถอะจะพี่หิ่งห้อยน้องอยากพบเสด็จพ่อเสด็จแม่​" ว่าแล้วก็เข้าไปพบบิดรมารดาทันที
"เจ้านี่ไม่ธรรมดาเลยนะชอบรังแกคนซะด้วย  ตอนแรกก็อยากจะช่วยนะ​ แต่เราเปลี่ยนใจดีกว่า​" ว่าแล้วก็กำลังจะจากไป​ แต่เสียงห้ามอีกคนก็ดังขึ้น
" หยุดนะ​!! ปล่อยข้าไปเดี๋ยวนี้!! " มือก็ทุบด้านหน้าอย่างแรงอีกครั้งแต่ไม่เป็นผลให้เสียหายได้เลย
" ถ้าเราปล่อย​เราจะได้อะไรล่ะ" อยู่ๆอีกฝ่ายได้หยุดแล้วสนใจขึ้นมา
" เจ้าอยากได้อะไรข้าจะให้ทุกอย่าง"  เขาเพียงบอกไปเช่นนั้นเอง​ หากออกไปได้คนคนนี้จะถูกจัดการเป็นคนแรกอยู่แล้ว
" งั้นเป็นข้ารับใช้ติดตามเราสิ  เราจะหาคนอีกคนมาช่วยแก้มนต์" ศุภลักษณ์​ยื่นข้อเสนอให้กับบดิศรด้วยความคึกคะนอง​ อีกฝ่ายมีทีท่าจะไม่ยอมตนจึงจะไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด
" ได้ได้ได้ข้ายอม​ จะใช้งานข้ายังไงก็เชิญ" เขารับปากเสียดื้อๆให้มันรู้แล้วจะหลอกตลบหลังเสีย
"เจ้านี่นะจริงๆเลย​ เพียงแค่อยากออกจากมิตินี่ถึงกับต้องยอมทุกอย่างเลย​ ข้าจะบอกอะไรให้นะมนต์​นั่นน่ะมีแต่จินดาที่รู้​ ถึงเรารู้เราก็ไม่ช่วยคนใจคดหรอกฮ่าๆ" ว่าแล้วก็จากไปยังลำธารโดยทันทีทิ้งไว้ให้อีกคนร้องตะโกนด้วยความโมโห
"ถ้าข้าออกไปได้นะ​ข้าจะหักคอเจ้า!! "เสียงเกรี้ยวกราดนั่นทำให้ผู้เป็นตามาพบ
" บดิศรหลานตาทำไมถึงโดนขังอย่างนี้"
" ก็พวกไอ้ง่อยน่ะสิท่านตา​ ใช้กลอุบายร่ายมนต์​ปิดปากถ้ำทำให้หลานต้องมาอยู่ในนี้"
" มนต์​นี่คือมนต์​อะไรกันแน่"
"มันคือมนต์​มิติไงล่ะ.." เสียงคนวัยชราผ่านมาทางนี้พอดี​ เมื่อพิศดูจะรู้ได้ว่าเป็นฤๅษี​อย่างแน่แท้
"ถ้าเช่นนั้นได้โปรดช่วยหลานข้าด้วยเถอะท่านฤาษี"
" ได้สิ.. ไม่ว่ายังไงข้าก็ต้องช่วยเราต่างก็เป็นข้ารับใช้พระเทวาเช่นกัน​ เอาล่ะท่องมนต์​ตามข้า" ว่าแล้วก็ได้สวดคาถาแก้ให้บดิศรหลุดจากพันธนาการได้สำเร็จ
"ท่านตาพวกมันเอาเสด็จพ่อไปไว้ในถ้ำ​ เราต้องไปเอาร่างเสด็จพ่อคืนมานะท่านตา" ว่าแล้วก็รีบไปในถ้ำนั้นทันที
"ท่านปุโรหิต​ บดิศร!!! " ท้าวพีรเชษฐ์​เรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความตกพระทัย
" เสด็จพ่อ​ เสด็จพ่อฟื้นแล้วเหรอพระเจ้าค่ะ​" บดิศรดีใจที่บิดาตนฟื้นคืนชีพแต่ต้องหยุดดีใจเมื่อพบอดีตพระมเหสีอริของมารดา

" เสด็จพ่อ​ พวกนี้สังหารเสด็จพ่อนะพระเจ้าค่ะ​ กลับมากับลูกเถอะนะพระเจ้าค่ะ" ตนก็ว่าไปตามที่รู้มาจากคำโป้ปดของผู้เป็นตา
"ไม่ใช่หรอก​ตาของลูกนั่นล่ะที่ผิด​ เขาใช้เกราะกายสิทธิ์ที่ชิงมาจะฆ่าพี่ของลูก  พ่อเลยต้องกำบังเอาไว้เลยถึงแก่ความตาย" ฝ่ายพ่อได้อธิบายแทนเพราะลูกของตนไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์​
"ถึงยังไงมันก็สมควรตายแล้วนี่พระเจ้าค่ะ​ กาลีบ้านกาลีเมืองเก็บไว้ก็รังแต่จะทำให้เดือดร้อน" เขาอ้างเหตุผล​เข้าข้างตาด้วยการทำนาย
" พ่อด่วนตัดสินใจไปเอง​ พ่อมันเห็นแก่ตัวเพราะกลัวลำบาก​จากภัยแล้ง พี่เขาก็ร่างกายไม่สมประกอบยังได้รับความลำบากมากถ้าไม่มีเกราะวิเศษเขาก็คงไม่รอด​ พ่อตัดสินใจผิดพลาดเองมันไม่ใช่ความผิดของสุริยะที่บ้านเมืองแห้งแล้งเลยสักนิด​ ยังไงซะเขาก็เป็นลูกเราทั้งสุริยะและอีกหกคน"
"เสด็จพ่อ​ .. "ประกายพฤกษ์เรียกด้วยประหลาดใจทั้งที่ท้าวนวดลผู้เป็นตาได้ว่ากล่าวเช่นนั้น​ ทำไมต่างกันเช่นนี้
" ไม่ได้​ ลูกเป็นลูกคนเดียวของเสด็จพ่อเท่านั้นพระเจ้าค่ะ..... เจ้า.. ตายซะเถอะ!! ​ " ว่าแล้วก็เข้าต่อสู้กับประกายพฤกษ์ทันที​ ในขณะที่ทั้งคู่ได้ต่อสู้กันฤๅษทมิฬก็ได้นำองค์​เหนือหัวหายตัวหนีไป
"เสด็จพี่!!  เสด็จพี่หายไปแล้ว" เจ้าตัวคว้าสวามีมิทันจึงได้ร้องเรียก​ ปุโรหิตได้ทีจึงจับตัวนาง​ นางพยายามสู้กับอีกคนแต่ไม่ไหวจึงร้องเรียกบุตรี
" ประกายพฤกษ์หนีไปลูก" เสียงนั้นเองทำให้สมาธิของประกายพฤกษา์สั่นคลอนจึงถูกบดิศรทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ​ หิ่งห้อยใช้ทีเผลอของปุโรหิตเข้าโจมตีชิงตัวมารดาผู้เป็นนายมาได้แล้วส่งแสงวาบทำให้มองไม่เห็นตัว​ แล้วจึงพาพระธิดากับพระมารดาหนีมายังลำธารอีกฟากกับศุภลักษณ์​ที่กำลังพักผ่อนอยู่
" นี่มันอะไรกันเหรอ​ พวกท่านยังปลอดภัยดีไหม" ศุภลักษณ์​ส่งเสียงถามคนที่อยู่อีกฝั่งของลำธารเมื่อเห็นทีท่าว่าไม่ดีเสียแล้ว
"พระโอรส.. เอ่อ..​ตอนนี้บดิศรสามารถออกมาจากมิติได้แล้วพระเจ้าค่ะ​ เกิดเรื่องใหญ่อีกด้วยที่องค์​เหนือหัวถูกฤๅษีพาหนีหายไปพระเจ้าค่ะ" หิ่งห้อยทูลต่ออีกฝั่ง
" ประกายพฤกษ์ลูกแม่​ ลูกเจ็บตรงไหนบ้าง" น้ำเสียงคนเป็นแม่สั่นคลอนที่ลูกตนถูกทำร้ายเช่นนี้
"ลูกไม่เป็นไรเพคะเสด็จแม่"ทั้งที่มีอาการบอบช้ำอยู่แต่บุตรีก็เลี่ยงที่จะบอกไปเพราะห่วงมารดาจะวิตก​ คนอีกฝั่งก็ได้ข้ามมาถึงอีกฝั่งพอดี
" บดิศรหลุดออกมาได้ยังไงกัน​หรือฤๅษี​นั่นจะเป็นคนช่วยกันนะ.. เอ่อพระมารดากับพระธิดาเสวยผลจุลภัยเสียก่อนเถอะ​ จะได้บรรเทาการอาการเจ็บปวดได้บ้าง" พระโอรสต่างเมืองไม่พูดปล่าวอีกทั้งยังส่งผลไม้ที่เล็กเท่าเม็ดมะยมแต่ส่องแสงประกายออกมา​
"ขอบใจมากนะ..เอ่อ.. เจ้าชื่ออะไรเหรอ"ประกายพฤกษ์รับผลพืชมาแล้วหวังขอบน้ำใจแต่หารู้ชื่อคนอีกฝ่ายไม่
" เราศุภลักษณ์​... ตกลงแล้วเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ทำไมถึงดูเป็นเรื่องใหญ่ซะขนาดนี้" เจ้าตัวตอบคำถามเสร็จแล้วจึงถามหาเรื่องราว​ เจ้าหิ่งห้อยยักษ์​ได้เล่าเหตุการณ์​ที่ผ่านมาให้ได้เข้าใจถึงเรื่องราว
"จินดาชุบชีวิตคนแบบนี้ยิ่งจะทำให้อายุสั้นลง​ เฮ้อจริงๆเลยเชียว" พระโอรสพูดถึงอีกคนในร่างที่มักจะตัดสินใจช่วยคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ
" อายุสั้นลงงั้นเหรอ​ เช่นนั้นแล้วเราขออภัยแทนพระสวามีของเราด้วยนะ​ เราไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นเลย" เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูด​ ตนก็อดละอายใจไม่ได้จึงได้กล่าวขอโทษไป
" ไม่ต้องหรอกพระเจ้าค่ะ​ ชีวิตเพียงหนึ่งปีที่สูญหายเทียบไม่ได้กับคนทั้งบ้านเมืองหรอกพระเจ้าค่ะ" เขากล่าวตอบพลางคิดในใจว่าไม่ควรพูดออกมาอย่างนั้นเลยแท้ๆ
" พระธิดา​ เสด็จแม่" เสียงตะโกนเรียกหานั้นทำให้รู้สึกไม่วางใจทั้งหมดจึงระวังตัว
"ใครน่ะ" ประกายพฤกษ์ถามอีกฝ่ายที่มองไม่เห็นตัว
" สุดหล่อเองพระเจ้าค่ะ​ น..เหนื่อยจังเล้ย" ไม่ว่าปล่าวยังล้มตัวลงนอนแอ้งแม้งด้วยเพราะเหนื่อยล้า
"นี่เจ้าหายไปไหนมาทำไมเพิ่งจะมาเอาวันนี้"หิ่งห้อยยักษ์​ถามตัวประหลาดขึ้นมา
"ไม่ได้ไปไหนมาหรอกก็ข้าน่ะพักกับพระธิดาปัทมาสน์​  ก่อนนอนพักข้าก็ไปหาผลไม้กิน​ แต่เจ้าผลไม้นี่สิกินไปคำเดียวก็สลบไปตั้งนาน​ เมื่อฟื้นข้าก็ตามมาเพราะ..เพราะเป็นห่วงเสด็จแม่และพระธิดานะพระเจ้าค่ะ" คำพูดสุดท้ายนั่นทำให้รู้สึกแปลกประหลาดในน้ำเสียงขึ้นมาเสียอย่างนั้น
" เจ้าห่วงเกราะกายสิทธิ์น่ะสิไม่ว่า"พระธิดาเธอรู้ดีว่าอเวจีน่ะจะมีสักกี่อย่างที่เขาห่วงกัน
" โถโถโธ่พระธิดา​ มีเรอะสุดหล่อจะไม่ห่วงเกราะกายสิทธิ์​ แต่สุดหล่อน่ะก็ห่วงเสด็จแม่และพระธิดาไม่แพ้กัน" คำพูดที่ออกมามีความจริงปนอยู่บ้างแต่ก็แฝงด้วยความปากหวานก้นเปรี้ยวไม่น้อย
" ฟังแล้วจะอ้วก​ อย่างเจ้าน่ะเหรอจะห่วงใครนอกจากของวิเศษ" หิ่งห้อยทนไม่ได้จึงพูดขัดคอ
" ของวิเศษมีประโยชน์อยู่แล้วใครจะไม่สนล่ะ"พูดถึงของวิเศษเขาก็มองหาสังวาลย์มณีสิ่งวิเศษ
" ไม่ต้องมองหานักหรอกของวิเศษที่เจ้าหมายปองก็อยู่ครบดี" ศุภลักษณ์​พูดขึ้นมาเพราะรู้ถึงความต้องการที่ตัวประหลาดมีชัดเจนดี
" แฮะๆ​ แหมพระโอรสล่ะก็​ สุดหล่อไม่ได้หวังแค่ของวิเศษหรอกพระเจ้าค่า" เขาพูดแสร้งตีหน้าเขินเข้าใส่
"อ.. โอ๊ย​ ปวด.. เราปวดเหลือเกิน" อยู่พระอาการของมเหสีเจ้าก็กำเริบขึ้นมาจุกเสียดที่หน้าอกเข้าอย่างจัง
"เสด็จแม่เพคะ​ เสด็จแม่ทรงเป็นอย่างไรบ้างเพคะ" พระธิดาเข้าประคองพระมารดา
"ประกายพฤกษ์​ แม่.. แม่ปวดอกเหลือเกิน" ความเจ็บปวดเข้าเล่นงานทรวงในจนต้องถึงกับกุมดวงใจไว้แน่นขนัด
" นี่มันอะไรกัน​ พระโอรสทรงให้เสวยผลจุลภัยแล้วนี่พะยะค่ะ" หิ่งห้อยถามขึ้นมาด้วยสงสัยถึงอาการเจ็บปวดนั้น
" หรือว่านี่จะเป็นคำสาปที่เกิดจากแม่มดเกลียวทองกัน" พระโอรสกล่าวขึ้นมาเนื่องจากปะติปะต่อเรื่องราวได้จากเหตุการณ์​ที่ฟังมาประกอบกับที่ผลจุลภัยไม่สามารถจะแก้อาการบาดเจ็บจากคำสาปได้
จึงอนุมานได้เป็นเช่นนั้น
" น่าจะ.. ใช่.. เพราะนางเคยบอกเราว่า.. ว่าต่อให้เราหนีไปไกลแค่ไหนก็.. ต้องกลับไป.. หานาง" เสียงของสไบทองกล่าวระคนความเจ็บปวดอย่างสาหัส
"ไม่ได้การแล้วล่ะ​ อย่างนี้พวกเราต้องกลับไปยังโกสุมพิสัยก่อนแล้วค่อยหาวิธีช่วยเหลือท้าวพีรเชษฐ์​ทีหลัง" พระโอรสต่างเมืองกล่าว
" พวกเเราจะรอช้าไม่ได้แล้ว.. ​ ไปกันเลยเถอะจะพี่หิ่งห้อย"พระธิดาเจ้าเมืองได้พาระมารดาขึ้นบนหลังหิ่งห้อยยักษ์แล้วมุ่งหน้าไปยังเมืองที่แม่มดได้ครอบครอง
" สุดหล่อไปด้วยพระโอรส​"เพราะตัวขึ้นหิ่งห้อยยักษ์​ไม่ทันจึงขอร้องอีกคนแทน
" ได้สิ​ จับขาเราไว้ให้ดีๆล่ะ" กล่าวแล้วก็เร่งรุดใช้เมฆนำพาเหาะตามกันไป​  ทั้งหมดเดินทางกันไปยังเมืองโกสุมพิสัยแล้วถึงในเวลาค่ำ​เพื่อพบกับแม่มดเกลียวทอง
"แม่มดเกลียวทองเจ้าอยู่ไหนออกมาเดี๋ยวนี้นะ"เสียงเรียกของพระธิดาแสดงความไม่พอใจต่อคนที่ตนหาอยู่เป็นอย่างมาก
" เราอยู่นี่​  ครั้งที่แล้วมาทำเราเสียสายตาหมด​ ดีนะที่เราร่ายคำสาปใส่แม่ของเจ้าแล้ว​" เกลียวทองเดินออกมายิ้มชอบใจในความคิดของคำสาปที่ให้ไว้ซึ่งเป็นผลดีกับตนก็คราวนี้
" จันทราภาทำอย่างนั้นก็สมควรแล้วล่ะ​ รีบแก้คำสาปให้เสด็จแม่ของเราเดี๋ยวนี้ก่อนที่จะไม่มีดวงตาไว้ดูโลกอีกเลย" ประกายพฤกษ์บอกไปเพื่อที่จะได้ช่วยแม่ของตนให้พ้นจากความทรมานนี้
" ดูพูดขู่เข็ญเราเข้าสิ​ หึ  นี่เหรอผู้ขอแก้คำสาป​ ทางที่ดีนี่นะรีบนำเกราะกายสิทธิ์​มาให้เราดีกว่า​ ไม่เช่นนั้นเราจะทำให้เป็นยิ่งกว่านี้" แม่มดสาวว่าพลางใช้ฤทธิ์ของตนเข้าทำร้ายวรกายมเหสีหมายมุ่งให้ทรมานร้าวรานไปทั้งกายา
"เสด็จแม่!! แม่มดเกลียวทองเจ้าทำร้ายเสด็จแม่ของเรา​ เราจะทำให้เจ้าแก้คำสาปให้เสด็จแม่" พระธิดาเข้าสู้กับแม่มดร้าย​ นางใช้เล่ห์เพทุบายร่ายมนตราให้เห็นตนมีหลายร่าง​หวังหลอกล่อให้อีกฝ่ายสับสนแล้วโจมตีทวีความทรมานให้กับพระมารดา
"เจ้าน่ะมีปัญญาแต่รังแกเด็กผู้หญิง​ กับคนที่ไม่มีทางสู้งั้นเหรอแม่มดเกลียวทอง" เสียงจะศุภลักษณ์​กังวานขึ้นมาแต่กลับไม่เห็นตัว
"ไม่ใช่แค่นั้นหรอก​ แม้แต่เจ้าก็ด้วย​ เจ้าเป็นเด็กไม่มีทางสู้ล่ะสิถึงได้เอาแต่หลบอยู่อย่างนั้น" ร่างทุกร่างของนางแม่มดได้พูดพร้อมกัน
" อ้าวๆจะว่าอย่างนี้ก็ไม่ถูกสิ​ เราก็สู้คนนะ​ ลองผงนี่หน่อยเป็นไง" กล่าวแล้วเขาก็โยนผงพิษไปยังร่างทั้งหมดของนาง​ ทำให้นางร้อนดวงตามอดไหม้เพราะนั่นเป็นฤทธิ์จากยาพิษที่ตนคิดขึ้นเอง​ จนเหลือแต่ร่างจริงปรากฏอยู่
" เจ้า​ เจ้าเอาผงยามาได้ยังไงกัน​ " นางหันหน้าหาเสียงให้ทั่วแม้ดวงตาจะมองไม่เห็นก็ตาม
" ห้องเจ้าน่ะหายากนักเหรอ​ ขอโทษนะ​ เรามันพวกชอบหาของเล่นพอดี​ เรามียาแก้ด้วยนะจะเอาไหมล่ะ" พระโอรสกล่าวกับอีกฝ่าย
"เอายาแก้มาให้เราถ้าไม่อยากตาย!!!" นางขู่อีกคนหวังให้อีกคนกลัวตนเหมือนที่เคยทำมา
" เอาใหม่สิ.. แก้คำสาปให้พระมเหสีแล้วเราจะให้ยาแก้ผงนี่​ ออ​ ได้ข่าวว่ามีแค่ขวดเดียวนี่นาอีกไม่นานคงบอดสนิท" เขาไม่ลดละยื่นเงื่อนไขใหม่ให้กับอีกฝ่าย
" รีบแก้คำสาปให้กับเสด็จแม่เราเดี๋ยวนี้ถ้าไม่อยากตาบอดสนิท"พระธิดารีบเสริมให้อีกฝ่ายยอมรับ
"คำสาปนั่นนะต้องใช้เลือดเราเท่านั้นล่ะมาแก้​ แต่แก้ได้ยังไงล่ะ​ ก็เรามองไม่เห็นอย่างนี้"  นางก็ยังคงยืนยันคำเดิม
เสียงขวดโหลแก้ว​ตกแตกหลายชิ้นเนื่องจากศุภลักษณ์​จงใจทำมันตกเช่นนั้นเพื่อให้อีกฝ่ายยอมรับข้อเสนอ
" ต่อไปขวดไหนดีล่ะ​ เอาขวดสีมรกตนี่ดีกว่ามั้ยนะ​ จะได้หมดเรื่องไป"
" เจ้าทำลายยาของเราไม่ได้นะ​ ถ้าทำอย่างนั้นเราจะไม่ให้เลือดเราเลย"
"ยอมดีๆก็จบแล้วลีลาอยู่ได้​ เอากริชรีดเลือดออกมาเดี๋ยวนี้เลย" เสียงที่เล่นอยู่ก็ค่อยเปลี่ยนเป็นเสียงจริงจังของพระโอรสที่ส่งสิ่งมีคมให้​พร้อมเอาภาชนะมารองรับ
" เร็วเข้าสิ​ เสด็จแม่เราจะทนไม่ไหวแล้วนะ" ประกายพฤกษ์รีบทวงเมื่อเห็นว่าอีกคนชักช้าไม่ทันใจ









ออฟไลน์ จักรกรด

  • *
  • 145
  • 0
  • เพศ: หญิง
  • จิตฺเตน นียติ โลโก. โลกอันจิตย่อมนำไป .
    • อีเมล์
Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
« ตอบกลับ #37 เมื่อ: เมษายน 20, 2020, 12:17:13 PM »
" รู้แล้ว  เราก็ทำอยู่นี่ไง"เกลียวทองเมื่อกรีดเอาโลหิตตนออกมาแล้วนั้นร่างที่สาวสะพรั่งก็กลับกายเป็นร่างหญิงชรามีอายุมากแต่ยังคงเค้าโครงเดิมของรูปร่างอยู่บ้าง
"แล้วทำยังไงต่อล่ะ" พระธิดาเมื่อได้รับเลือดแม่มดได้ถามขึ้นเพราะไม่รู้วิธีแก้
"เอาเลือดเราไปสัมผัสกับมือนางแค่นี้คำสาปก็หายแล้ว" เมื่อได้ยินดังนั้นพระบุตรีได้ประคองพระมารดานำพระหัตถ์​ลงยังภาชนะรองโลหิตแล้วนั้นคำสาปที่มีอยู่ในวรกายได้หายเป็นปกติ
"เรา.. เราหายปวดแล้ว​ ประกายพฤกษ์แม่หายเจ็บปวดแล้วลูก" เมื่ออาการนั้นได้หายไปเธอก็โอบกอดลูกยาด้วยความดีใจ
" พวกเราไปกันเถอะพระเจ้าค่ะพระมเหสี​ พระธิดา" หิ่งห้อยยักษ์​ได้บอกให้นายตนรีบไปยังที่แห่งอื่นจะได้ไม่เกิดอันตรายถึงตัวอีก
"ไปกันเถอะเพคะเสด็จแม่" ว่าแล้วก็ได้พากันเดินทางออกจากเมืองไปโดยศุภลักษณ์​ยังคงอยู่กับเกลียวทอง
"แล้วยาเราล่ะ​ ไหนล่ะจะให้ยาแก้แก่เรา" แม่มดร่างชราถามหายาแก้พิษ​ร้ายต่อดวงตาที่มองไม่เห็น
"อยู่นี่" พระโอรสยื่นโอสถให้ตรงหน้านางแต่ยังไม่ส่งให้
"เอามาให้เรานะ" มีนาง​ขวักไขว่​ไปทั่วเพื่อจะคว้าเอายา
"รับดีๆนะ" เขาจงใจปล่อยขวดยาสุดท้ายนี้ลงเข้ากับพื้นเสียงแตกกระจายดังพร้อมๆกับไฟที่ลุกโชนมาจากฝั่งห้องยาของนาง
"เจ้า.. เจ้ามันไร้สัจจะ​ ถ้าเรารอดไปได้เราจะไม่ไว้ชีวิตเจ้า!!!" นางว่ากราดไปตัวก็พยายามตะเกียกตะกายหนีความร้อนของอัคคี
"ถึงวันนั้นแล้วค่อยว่ากันนะ​ เราไปล่ะ​ สุดหล่อเราไปกันเถอะ" ว่าพลางเรียกเมฆามาพาเหาะขึ้นฟ้า
"พระเจ้าค่ะ.. ฮ่าๆสมน้ำหน้านักมายุ่งกับของวิเศษข้า​โดนดีเข้าแล้วสิ" อเวจีได้จับที่ข้อพระบาทตามติดไป​ ตามจริงแล้วศุภลักษณ์ได้วางแผนการที่จะตลบหลังแม่มดเกลียวทองโดยตนมุ่งหน้าไปยังพระตำหนักเก่าที่กลายเป็นห้องยาและสมุนไพรเพื่อหายาพิษและยาแก้พิษนั้นแล้วให้ตุ้บเท่งรอสัญญาณเพื่อที่จะได้เผาเมืองไปพร้อมกับนาง
.....
ทางฝั่งเมืองรัตนบุรีบดิศรกับตาได้กลับมายังพระราชวังเมื่อพบกับความผิดคาดที่ฤๅษี​คนนั้นเอาองค์เหนือหัวพีรเชษฐ์​ไป
"ท่านพ่อ​ เป็นอย่างไรบ้าง​จ๊ะ ทำไมถึงกลับมาแบบนี้แล้ว.. แล้วพระวรกายองค์เหนือหัวล่ะจ๊ะ" นางถามหาร่างสวามีด้วยใจห่วงหาแม้เหลือแต่กายาเท่านั้น​ นางเห็นท่าทีดูแล้วรู้สึกว่าพวกนางกำนัลอยู่ด้วยแล้วล้วนขัดหูขัดตานางจึงให้พวกข้ารับใช้ออกไปยังด้านนอก
"เสด็จพ่อทรงฟื้นพระชนม์ชีพแล้วพระเจ้าค่ะเสด็จแม่" บดิศรตอบแทนผู้เป็นตาที่มีอารมณ์​ค่อนข้างเสียและมัวแต่ครุ่นคิดอยู่
"จริงเหรอบดิศร.. แล้วนี่ลูกทำไมถึงรอยช้ำตามตัวแบบนี้" นางได้เข้าไปดูลูกชายของตนใกล้ๆด้วยความเป็นห่วงของแม่
"จริงพระเจ้าค่ะเสด็จแม่​ แถมเสด็จพ่อยังเข้าข้างพวกไอ้ง่อยนั่นอีก​ ทรงรักมันไม่เห็นใจลูก ลูกเลยสู้กับมันแต่มันก็มีแรงไม่น้อยเลยพระเจ้าค่ะ" ไม่ตอบปล่าวยังฟ้องร้องว่าตนนั้นรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอีกด้วย
" องค์เหนือหัวไม่น่าทำกับลูกเช่นนี้เลย​ ตอนนั้นไล่มันไปแล้วแท้ๆอีกทั้งสัญญาว่าจะรักลูกยิ่งกว่าใคร​ ลูกเป็นลูกคนเดียว"
" มันก็น่าโมโหยิ่งกว่าที่ฤๅษี​ตนนั้นทำทีว่าจะมาช่วยพวกเราแต่ลักพาเอาองค์พีรเชษฐ์​ไปจนได้" ปุโรหิตพูดแล้วตนก็รู้สึกเจ็บใจอย่างยิ่งยวด
"ฤๅษี​ตนนั้นทำไมเหรอจ๊ะท่านพ่อ​ ท่านถึงได้วางใจ"
" มันช่วยบดิศรมาจากมนต์มิติและมันก็บอกพ่อว่าพวกเรารับใช้พระเทวาเหมือนกัน​ สงสัยว่าคงหมายถึงเทพวิษุวัติพ่อเลยวางใจ"
" แล้วอย่างนี้เราจะทำยังไงกันต่อไปดีล่ะจ๊ะ" สไบแก้วถามขึ้นมาด้วยความร้อนใจ
"เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน​  มีลางร้ายก็ยังปรากฏลางดี​ นี่ล่ะเป็นโอกาสแล้วที่บดิศรจะขึ้นครองบัลลังก์​"
" แต่ว่าเสด็จพ่อยังทรงไม่สิ้นแล้วหลานจะทำแบบนั้นได้ยังไงล่ะจ๊ะท่านตา​"หลานไม่แน่ใจนักกับความคิดนี้ด้วยเห็นพ่อสำคัญ
" แต่ชาววังเขาก็รู้กันว่าสิ้นแล้วแต่ไม่รู้ว่าฟื้นนี่​ บดิศรเจ้าลองตรองให้ดีสิ​ ระหว่างอำนาจบัลลังก์​กับเสด็จพ่อที่รักพระนางสไบทองและพระโอรสธิดาฝั่งนั้นมากกว่าเจ้า​ เจ้าไม่เห็นประโยชน์จากสิ่งไหนมากกว่ากัน"เขาใช้สองมือจับบนไหล่หลานรักเพื่อเพิ่มส่งต่ออารมณ์​คำพูดนั้น
" ได้จะท่านตา​ หลานจะครองบัลลังก์​นี้เอง"เมื่อคิดดูแล้วตนก็ตัดสินใจทำตามแม้จะขัดแย้งอยู่บ้างก็ตาม
" พรุ่งนี้​เตรียมตัวประกาศกำนดพิธีขึ้นครองราชย์ได้เลย​ ชักช้าไปกว่านี้คงไม่ได้แล้ว​ "ปุโรหิตพูดขึ้นด้วยสีหน้าพอใจต่อคำตอบรับของพระโอรสองค์รองของเมืองรัตนบุรีแล้วตระเตรียมทำธุระต่อไปในวันรุ่งขึ้น
---
ที่พนาไพรไม่ใกล้กับเมืองโกสุมพิสัยแต่ไม่ไกลจากเมืองรัตนบุรีทั้งหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์​แลข้ารับใช้ได้มาพำนักอยู่
" ศุภลักษณ์​ทำไมถึงมาช้านักล่ะ" ประกายพฤกษ์ถามขึ้นมาหลังจากอีกคนเพิ่งจะตามมาถึง
"เราก็เอายาแก้พิษ​ให้แม่มดเกลียวทองนั่นล่ะ​ แล้วระหว่างทางก็เก็บผลไม้กับสุดหล่อมาฝากเจ้ากับเสด็จน้าด้วย" เขาพูดพร้อมกับยกยิ้มอย่างสบายใจ
"นี่พระเจ้าค่ะเสด็จแม่​ พระธิดา" อเวจีว่าแล้วก็นำผลไม้มาถวายให้ทั้งสองแต่กลับไม่ให้หิ่งห้อยยักษ์​กินจึงได้ตีกันเหมือนทุกครั้งไป​ แต่พระธิดาก็แบ่งส่วนของตนเองให้พอที่จะปรามให้หยุดทะเลาะกัน
"ขอบใจมากนะสุดหล่อ​และเราก็ขอบพระทัยพระโอรสด้วยนะที่ช่วยเหลือเรา"สไบทองรับผลไม้มาแล้วกล่าวขอบใจในน้ำใจผู้ที่ช่วยเหลือ
"ไม่เป็นไรหรอกพระเจ้าค่ะ​ หม่อมฉัน​เต็มใจ"
"เอาล่ะเราว่าเรารีบกินแล้วก็นอนเอาแรงหน่อยดีกว่าวันนี้เจอเรื่องมาทั้งวันแล้ว" มเหสีออกความเห็นแล้วทั้งหมดจึงทำตามที่กล่าวพักผ่อนกันจนถึงรุ่งเช้า
แสงสุริยันผันผ่านมาถึงอีกวันหนึ่งแล้วนั้นพระธิดากลายกลับเป็นโอรส​ พระโอรสก็ได้เปลี่ยนเป็นพระธิดาเช่นกัน
" ที่นี่ที่ไหนกัน​ เจ้าตัวแสบพาตัวมาถึงนี่เลยเหรอ"ทันนทีที่ตื่นบรรทมพบว่าตนไม่ได้อยู่ในตำหนักเลยแต่หากเป็นป่าใหญ่เสียแทน
"อื้อ..หลับสบายจังเล้ย..อ๊ะ!! พระธิดา​เหรอ​ ตื่นบรรทมแล้วเหรอพระเจ้าค่ะ" ตัวประหลาดตื่นขึ้นมาก็เข้าทักทายอีกคนที่ตื่นมาก่อนหน้านี้ทันที
" เจ้าเป็นใคร​ แล้วทำไมมีคนอื่นอยู่ด้วยล่ะ รู้ได้ยังไงว่าเราเป็นพระธิดาน่ะ" เธอถามด้วยความสงสัยขึ้นมาจากคำเรียก
"ก็ก็..พระโอรสแห่งคีรีมาศน่ะร่างเดียวกับพระธิดานี่นาทำไมล่ะสุดหล่อจะไม่รู้"ตัวก็ตอบไปตามจริงที่รู้
"ใช่แล้วล่ะพระเจ้าค่ะพระธิดา" หิ่งห้อยยักษ์​ตอบด้วยเสริม
" หิ่งห้อยตัวใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ​ เราเพิ่งเคยเห็นแหะ"เธอมองแมลงตัวนั่นด้วยความสนใจ
"ตัวมันก็ใหญ่อย่างนี้นะพระเจ้าค่ะ​ กินเยอะอีกตะหาก"อเวจีได้ทีก็หยอดลงไป
" กระหม่อมก็ตัวใหญ่เช่นนี้ล่ะพระเจ้าค่ะพระธิดาเพราะต้องคอยดูแลหิ่งห้อยตัวอื่น​ แต่เท่าที่เห็นมาทำไมพระธิดากับพระโอรสไม่เห็นจะดูประหลาดใจกับเจ้าอเวจีเลยนะพระเจ้าค่ะ" หิ่งห้อยก็ทูลถามด้วยสงสัยมานานแล้ว
" สุดหล่อตะหากเล่าเรียกให้ถูกสิโธ่"เขาทักท้วงกับคำเรียกที่แปลกไปจากที่ตนชอบ
" ออราชสีห์นี่น่ะเหรอ​  พวกเราเคยเห็นแล้วล่ะไม่ใช่แค่เคยเห็นหรอกนะแต่พวกเราเป็นศิษย์​ของฤๅษี​ราชสีห์​หน้าตาเช่นนี้ด้วย.. ว่าแต่เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่น่ะ​ ศุภลักษณ์ถึงได้มาอยู่ที่นี่กับพวกเจ้า" เธอตอบแล้วถามถึงสาเหตุที่ผู้ร่วมร่างได้มาอยู่กับคนแปลกหน้าได้
หิ่งห้อยยักษ์​ได้เล่าเรื่องราวให้พระธิดาต่างเมืองฟัง​ ขณะเดียวกันพระโอรสศนิวารและพระมเหสีสไบทองก็ได้ตื่นพระบรรทมแต่ไม่อยากให้ขัดจังหวะพระนางจึงพากันกับพระบุตรไปหาเก็บผลไม้มาให้
" ฮั่นแน่พระโอรสลืมสัญญาของสุดหล่อรึปล่าว" จู่ๆเจ้าตัวประหลาดก็โผล่หน้ามายังพุ่มไม้ที่ศนิวารเก็บอยู่ทำให้เผลอตีหน้าไปด้วยความตกใจ
"โอ๊ยพระโอรสน่ะใจร้ายนัก​ แค่ทวงของแค่นี้ถึงกับตีสุดหล่อเลยเหรอ" เขาออกมาจากพุ่มไม้แล้วถามอีกคน
"เราปล่าวนะ​ เจ้านั่นล่ะผิดอยู่ๆก็ออกมาใครบ้างจะไม่ตกใจ"
"โถโธ่โธ่​ สุดหล่อแค่อยากล้อเล่นบ้างเท่านั้นน่าไม่เห็นต้องลงมือเลย"
"ก็สมควรอยู่หรอกเห็นเราเป็นเพื่อนเล่นอยู่ได้"เด็กน้อยบอกพลางเก็บผลไม้
" ตายๆอย่าเปลี่ยนเรื่องสิน่า​พระโอรสสัญญาแล้วนี่จะจบเรื่องแล้วจะคืนเกราะกายสิทธิ์​ให้น่ะ"เจ้าตัวเริ่มทวงสัญญาทันที
" นี่เรียกว่าหมดเรื่องเหรอ​ เสด็จแม่ก็ทรงลำบาก​ เสด็จพ่อยังถูกลักพาตัวไปอีกนี่นะ​ คุยวันหลังเถอะ" ศนิวารเริ่มอารมณ์​ไม่ดีขึ้นมาเมื่อนึกถึงเรื่องที่แม่ตัวเองเล่าแล้วยังต้องมาฟังคำทวงไร้สาระสำหรับเขาเสียอีก
" ก็ได้ๆ​ เสด็จ​แม่สุดหล่อช่วยถือเถอะนะพระเจ้าค่ะ" ว่าแล้วก็เข้าช่วยอีกคนหวังเอาใจเวลาคืนเกราะวิเศษจะได้ไม่ยุ่งยาก​ แล้วทั้งหมดก็มาถึงได้รวมตัวกันกินผลไม้ที่หามา
"เอานี่ไปกินสิเจ้า.. " โอรสตัวไม่รู้ชื่ออีกฝ่ายเลยเอาวางผลไม้ลงมืออีกคนอย่างเสียดื้อๆแทนที่จะเรียกชื่อ
" เราเมธาวี​ ขอบใจนะ​ ว่าแต่เจ้าชื่อ.. " อีกคนรู้ท่าทีจึงบอกชื่อก่อนแล้วค่อยถามอีกฝ่าย
"เราศนิวาร รีบเถอะจะได้ไปช่วยเสด็จพ่อ" ตัวเองกลัวเสียเวลาจึงไม่อยากพูดให้มากความแต่กลับพูดห้วนเกินไปจึงทำให้อีกคนไม่สบอารมณ์
"เราก็กินเร็วอยู่แล้วไม่ต้องมาสั่งหรอก​ เรามาช่วยนะไม่ได้มารับคำสั่งใคร"เธอตอบแล้วจึงรีบเสวยโดยเร็ว
"เราก็ไม่ได้ขอนี่.." เขาตอบยังไม่ทันเสร็จมารดาก็ไว้เสียก่อน
" ศนิวารไม่เอาสิลูก​ อย่าทำอย่างนี้เราต้องถนอมน้ำใจกัน​"นางพูดพลางลูบศีรษะ​บุตรเป็นเชิงสั่งสอน
"พระเจ้าค่ะเสด็จแม่"
"ฤๅษี​ที่ว่านั่นหม่อมฉันว่าน่าจะเป็นฤๅษี​ทมิฬเพคะ"เมธาวีทูลต่อมเหสีต่างเมือง
"ฤๅษี​ทมิฬ​เขาเป็นใครกันเหรอ" พระนางสนใจขึ้นมาจึงได้ถามขึ้น
"เท่าที่หม่อมฉันทราบนะเพคะ​ ฤๅษี​ทมิฬเป็น​ฤๅษี​ศิษย์​ร่วมสำนักกับพระอาจารย์​ของหม่อมฉันเพคะ​ เขาเป็นคนที่บูชาเทพวิษุวัติมากหวังว่าจะได้รับใช้สักวัน​ แต่หารู้ว่าจะมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร" พระธิดาต่างเมืองก็ได้เล่าเรื่องที่ตนรู้มา
"แล้ว​อาศรม​ของฤๅษี​ทมิฬ​นั่นอยู่ที่ไหนกันล่ะ"ศนิวารถามขึ้นด้วยร้อนใจกลัวภัยจะถึงบิดาสาหัส
" ฤๅษี​ทมิฬ​น่ะชอบเปลี่ยนที่อยู่ตลอดมีก็แต่ท่านตาที่รู้​ เอาเป็นว่าเราไปหาท่านตาที่อาศรมป่าจินตภพกันจะได้ถามให้รู้เรื่อง"
ธิดาเธอแนะถึงวิธีที่ดีที่สุด
"ป่าจินตภพเหรอ​ แล้วมันอยู่ที่ไหนกันล่ะ" โอรสเขาถามต่อด้วยเพิ่งได้รู้จักป่านี้
"มันหาไม่ได้แค่ตาเปล่าหรอก​ ที่ไหนก็ไปถึงได้ถ้าใจสื่อถึงน่ะ" อีกคนอธิบาย
"เจ้าหมายความว่ายังไง" อีกคนฉงนในคำพูด
"เราหมายความว่าต้องตั้งจิตประสานกันไปที่อาศรมท่านตาแล้วก้าวเข้าสู่ทิศบูรพาเจ็ดก้าวก็ถึงที่พักของท่านตาแล้ว" ธิดาเธออธิบายต่อไปจนจบ
"มันมีวิธีเข้าอย่างนี้ด้วยเหรอ" ศนิวารค่อนข้างสับสนกับสิ่งที่ได้ยินว่าเป็นความจริงหรือไม่
"มีสิป่าจินตภพน่ะ​อยู่ทุกหนแห่งแต่ต้องใช้จินตภาพร่วมด้วยในการจะเข้าไป​ จะว่าเข้าง่ายก็ง่ายแต่ถ้าจิตไม่นิ่งพอและไม่รู้วิธีก็อย่าหวังจะได้เข้าเลย​ มิหนำซ้ำอาจจะได้แผลมาไม่น้อยด้วย" พระโอรสได้ฟังดังนั้นจึงทำจิตใจเย็นลงเพื่อจะได้เข้าไปถามข้อมูลเพื่อตามหาพระบิดา
"เอาล่ะเราพร้อมแล้ว" ศนิวารบอกพร้อมกับเตรียมตัวหันไปทางด้านทิศตะวันออก
" ศนิวารระวังตัวนะลูก" สไบทองเตือนลูกด้วยห่วงใย
" พระเจ้าค่ะเสด็จแม่" พระโอรสรับปากพระมารดา
" พนมมือแล้วหลับตานึกถึงพระอาศรมพร้อมกับเรานะ" เมธาวีพูดพร้อมทำดังคำพูด​ และแล้วอาศรม​พระฤๅษี​ได้ปรากฏในสายตาทั้งสองคู่นั้น
"เราไปกันเถอะ" ว่าแล้วทั้งคู่ได้เดินทั้งเจ็ดก้าวจนหายวับไปต่อหน้าต่อตาพระมเหสีและบริวารทั้งสอง
" ลูกเราจะไม่เป็นอันตรายใช่ไหม" เกิดความกังวลใจในหัวอกคนเป็นแม่ขึ้นมา
" มีพระธิดาเมธาวีอยู่ด้วยคงไม่เป็นอันตรายหรอกพระเจ้าค่ะ" หิ่งห้อยทูลตอบเพื่อให้เจ้านายคลายกังวลแต่ตนก็อดห่วงไม่ได้​ เช่นเดียวกันที่อเวจีห่วงของวิเศษจะเป็นรอยเอาได้
..........
ขณะเดียวกันด้านฝั่งเมืองรัตนบุรีก็ได้มีการเตรียมจัดทำพระราชพิธีราชาภิเษก​ให้กับพระโอรสบดิศรที่นับว่าเป็นองค์ทายาทผู้เดียวที่เหลืออยู่แม้จะผ่านวันสิ้นพระชนม์​ของกษัตริย์​องค์ก่อนได้ไม่ทันครบเจ็ดวัน
"ตาให้โหราจารย์​ดูฤกษ์ที่เร็วที่สุดให้​ เขาบอกว่าพรุ่งนี้ดีที่สุดเพราะเป็นวันพระอาทิตย์​ทรงกลด​เหมาะแก่การเฉลิมชัยยิ่ง" ปุโรหิตได้พูดกับหลานตนพลางมองเหล่าข้ารับใช้ในวังเตรียมงานกันขันแข็ง
"วันเฉลิมชัย​ ท่านตาหมายความว่ายังไงกัน​ เราจัดการพวกไอ้ง่อยได้ไม่ราบคาบเลยนะจ๊ะ" บดิศรฉงนกับคำกล่าวของผู้เป็นตา
" นี่ล่ะจะเป็นวันจัดการทุกอย่างให้จบสิ้น​ เทพวิษุวัต​ได้บอกกับตาเมื่อคืนนี้ว่าฤๅษี​ทมิฬคือข้ารับใช้ที่จับตัวองค์เหนือหัวไว้เพราะต่อรองกับพวกมัน​ พอจัดการได้แล้วเมืองนี้ทั้งเมืองจะเป็นของเรา​ เกราะกายสิทธิ์​ก็จะเป็นของเทพวิษุวัติ"
" อย่างนี้ก็เท่ากับว่าเราทรยศเสด็จพ่อน่ะสิท่านตา"
"นี่หลานจะใจอ่อนไม่ได้นะ​ ยังไงซะองค์เหนือหัวกลับมาก็ต้องยกเจ้าพระโอรสนั่นขึ้นเป็นยุพราชแน่​ ทุกอย่างที่ตากับแม่เจ้าทำมาก็จะสูญเปล่า​ เจ้าทนดูได้เหรอ​ แลกกับพ่อที่ไม่รักเจ้าแล้วยังไงก็ต้องคิดให้ดี  ไม่มีใครมาว่าเราได้เมื่อเราขึ้นเป็นเจ้าเหนือหัว​ เข้าใจมั้ย"
" เข้าใจจะท่านตา"เขาตอบรับพลางคิดแล้วก็เจ็บใจที่พ่อนั้นสนใจรักลูกคนอื่นอีกครั้งทั้งยังเพิ่มมาอีกหกคน​ ตนคงไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วจริงๆ
..........
ที่ป่าจินตภพทั้งสองเนื้อหน่อ​กษัตรา​ได้เข้ามายังหน้าอาศรมนี้เมื่อลืมตามองไปรอบๆ​จะพบพืชพรรณ​แปลกตามากมายรวมถึงสัตว์ที่ไม่คุ้นตาเอาเสียเลย พิศได้ครู่ฤๅษี​เจ้าของอาศรมก็ได้ออกมาต้อนรับขับสู้โดยปรากฏหน้าค่าตาหลายเป็นเผ่าเดียวกันกับตุ้บเท่งตามที่เล่าไว้
"ท่านตา​ หลานมีเรื่องให้ช่วยเจ้าค่ะ" ธิดาน้อยพนมมือกล่าวกับอาจารย์​ตน
"ฤๅษี​ทมิฬ​น่ะเหรอเขาน่ะอยู่อีกฟากของรัตนบุรีนั่นล่ะ"
"ท่านรู้.." ศนิวารพูดขึ้น
"รู้สิพระโอรสศนิวาร แล้วเราก็รู้ด้วยว่าจะเกิดศึกอาทิตย์​ทรงกลดขึ้นด้วย" ฤๅษี​เฒ่าตอบพลางยิ้มด้วยรู้ดีถึงเหตุการณ์​ที่กำลังจะเกิดขึ้น
" ศึกอาทิตย์​ทรงกลด... คืออะไรหรือเจ้าคะท่านตา"
" พรุ่งนี้เทพวิษุวัติจะใช้รัตนบุรีเป็นสถานที่​ทำศึกเพื่อนำสิ่งวิเศษที่พวกท่านสวมใส่ไป"
" แล้วเทพวิษุวัต​จะมาเอาเกราะกายสิทธิ์​ไปทำไมล่ะ​ท่านฤๅษี​ ไหนจะสังวาลย์​มณีนี่อีก" ศนิวารอดสงสัยไม่ได้
"เขาก็มีเหตุผลเขานั่นล่ะ​ อยากรู้ก็ถามเขาสิ​ เอาล่ะหมดเวลาแล้วกลับไปได้"
" เดี๋ยวสิท่านตา​ ท่านตา!! "  นักบวชมิฟังได้ร่ายคาถาด้วยไม้เท้าให้ลมพัดมาทั้งสองออกจากจินตภพนั้น​จนเซล้มลงตรงหน้าพระพักตร์​มเหสีผู้เฝ้ารอ
" ศนิวาร​ เมธาวี​ เป็นยังไงบ้าง" ตนเห็นดังนั้นจึงเข้าไปดูทั้งสอง
" ไม่เป็นไรพระเจ้าค่ะ/เพคะ"ทั้งสองคนตอบพร้อมกัน
" ดีนะเนี่ยที่ของไม่เป็นรอย"สุดหล่อพูดขึ้นเมื่อมองสิ่งวิเศษทั้งสอง​ ทำให้เจ้าของมองอย่างไม่พอใจ
"ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะเจ้าอเวจี​ หัดห่วงคนอื่นบ้างไม่ใช่แค่ของวิเศษ"หิ่งหัอยยักษ์​สั่งสอนอีกตนให้รู้จักอะไรเสียบ้าง
" เป็นยังไงบ้างลูกข่าวคราวของเสด็จพ่อ" สไบมองเริ่มถามอีกครั้งเมื่อพบว่าบุตรยังปลอดภัยดี
"เสด็จพ่ออยู่กับฤๅษี​ทมิฬที่ป่าอีกฟากของเมืองพวกเราพระเจ้าค่ะ"
" อย่างนั้นเรารีบไปช่วยเสด็จพ่อกันเถอะศนิวารอย่าช้าเลย" มารดาเร่งรุดให้ไปเสียทันทีก่อนมิทันการแล้วทุกคนก็เดินทางมายังป่าอีกฟากพบกับอาศรมของฤๅษี​ทมิฬ​
"ฤๅษี​ทมิฬ​ ปล่อยเสด็จพ่อเรามาเดี๋ยวนี้นะ" ศนิวารได้พูดออกมาเมื่อมาอยู่หน้าอาศรมฤๅษี​เฒ่า
" ฮ่าๆ​ คิดว่าบอกให้เราปล่อย​ เราจะยอมปล่อยให้ง่ายๆงั้นเหรอ"เสียงชายชรากล่าวตอบมาแต่ไร้ซึ่งร่างปรากฏ​
"จะหลบอยู่ทำไมน่ะ​ ไม่ออกมา​เพราะไม่กล้าอย่างนั้นเหรอ" พระโอรสท้าทายอีกฝ่าย
" ตัวเจ้าก็แค่นี้​ ถ้ากลัว​เราน่ะก็ไม่ใช่ข้าพระเทวาแล้ว"
"มาสู้กับเราสิอย่าเอาแต่หลบ"พระโอรสเข้าไปดูด้านในอาศรมแต่ไม่พบฤๅษี​แต่แล้วลำแสงก็พุ่งมาจากบนต้นไม้ลงมายังอาศรม
"ศนิวารระวังลูก!! " มารดาเห็นเช่นนั้นจึงเตือนภัยแก่ลูกยาทำให้เขารู้ตัวหลบทัน
"อยู่ไหนนะ" เมธาวีพยายามมองหาจากต้นกำเนิดแสงแต่ไม่พบ​แต่กลับมีหุ่นพยนต์​ที่เสกจากฟางข้าวรูปคนนับสิบกระโดดลงมาจากต้นไม้นั้น
"ท่าไม่ดีแล้ว​ พี่หิ่งห้อยพาเสด็จแม่ไปหลบก่อนเถอะ" พระโอรสบอกขณะที่หุ่นพยนต์​ทั้งสิบมาล้อมตนเองกับพระธิดาต่างเมืองไว้เป็นวงกลม
"พระเจ้าค่ะพระโอรส​ พระมเหสีพระเจ้าค่ะไปกันเถอะพระเจ้าค่ะ" หิ่งห้อยยักษ์​มารอรับพระมารดาเพื่อจะนำพาพระนางไปยังที่ปลอดภัย
"ไม่​ เราไม่ไปไหนทั้งนั้น​ ลูกเรายังอยู่นี่ทั้งคนน่ะเราจะไปได้ยังไง" สไบทองคัดค้านความคิดที่จะทิ้งบุตรตนให้เจออันตรายลำพัง
"ไม่ไปก็ไม่ไปสิ​ งั้นมาอยู่ในนี้ก็แล้วกัน​  จงเข้าไปน้ำเต้าอมฤต​!! " โยคีเฒ่าปรากฏ​ตัวพร้อมกับใช้น้ำเต้าดูดกลืนร่างของพระมารดา​ หิ่งห้อยยักษ์​และตัวราชสีห์​หน้าประหลาดนี่ไปด้านในทันที
" เสด็จแม่!!! "  ศนิวารพยามยามเข้าไปช่วยแต่ไม่อาจช่วยได้เพราะหุ่นพยนต์​ไปยอมปล่อยไปง่ายๆ​ จึงต้องเข้าต่อสู้ต่อยตีฟัดเหวี่ยงเสียให้วุ่น
"พระฤๅษี​ท่านไม่เห็นจะต้องทำอย่างนี้เลยนี่ คุยกันดีๆไม่ได้เหรอ" เมธาวีช่วยอีกคนสู้เหล่าบริวารปลุกเสกพร้อมกับถามดาบสผู้นี้ไปพลาง
" เรารับใช้พระเทวาวิษุวัต​ ไม่ว่าอะไรที่เราช่วยได้เราก็จะช่วย​ อย่าคิดมาขวางเราเลย  ของวิเศษนั้นน่ะเจ้าใช้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์​หรอก​  พรุ่งนี้​เทพท่านจะมายังเมืืองรัตนบุรีแล้วจะคืนสู่พระองค์ตามสมควรแล้ว" ชายชราตอบอีกฝั่ง
" เทพวิษุวัตอะไรนั่นน่ะ​ ถ้าจะหาคนมารุมรังแกกันขนาดนี้นะ​ อย่าได้เรียกตัวเองว่าเทพเลยเถอะมันน่าละอายนัก!! " พระโอรสพูดประชดอีกฝ่ายขณะสู้กับหุ่นพยนต์​ที่ไม่ว่าจะล้มกี่ครั้งก็กลับมาสู้ได้อยู่ดี
" เจ้าอย่ามาปากดี​ ชีวิตพ่อแม่เจ้าอยู่ในกำมือเราแล้ว​ ระวังเถอะจะไม่เหลืออะไรเลย" คนมีใจบูชาต่อเทพผู้นี้ไม่สบชะตาเข้าไปอีกเมื่อได้ยินคำพูดประชดส่อเสียดต่อเทพเหนือเกล้าตน
" ศนิวาร​ ขืนยังเสียเวลาสู้กับพวกนี้อยู่พวกเราจะหมดแรงเอาได้นะ" เธอพูดกับสหายร่วมสู้ของตน
" งั้นเราอย่าเสียเวลาเลย​ ไหนๆแล้วสิ่งวิเศษก็อยู่กับเราก็ต้องใช้ประโยชน์​อย่าให้ใครมาว่าเราได้" ว่าแล้วทั้งสองพระอง​ค์จึงใช้สิ่งวิเศษ​คู่กายทั้งสองปลดปล่อยพลังทำลายล้างจนเกิดระเบิดไฟลั่นไปทั้งบริเวณ​ ส่งผลให้หุ่นพยนต์​ทั้งหมดเสียหายไม่อาจสู้ได้อีก​ ทั้งสร้างความเจ็บปวดย้อนกลับไปยังเจ้าของอีกด้วย
" ร้ายนักนะเจ้าเด็กพวกนี้!! "ดาบสเฒ่าใช้พลังจากไม้เท้าเข้าหมายทำร้ายทั้งสองศัตรูแต่ทั้งสองได้ร่วมมือกันใช้พลังจากสิ่งวิเศษสองสิ่งพร้อมกัน​ รวมแล้วได้พลังที่มากกว่าหลายเท่าจนท้ายสุดฤๅษี​ทมิฬ​ก็​เพลี่ยงพล้ำ​ จนร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส​ส่งผลให้หมดเรี่ยวแรงจะต่อกรต่อไปได้
" เสด็จพ่อเสด็จแม่​ พี่หิ่งห้อย​ ตุ้บเท่ง" ศนิวารเมื่อสู้เสร็จได้รีบปรี่ไปเข้าไปเอาน้ำเต้าออกมาจากข้างกายของโยคีที่นอนไร้แรงอยู่​ แล้วได้เปิดฝาน้ำเต้าออก
"จงออกมาทั้งหมด​น้้ำเต้าอมฤต!! " กล่าวจบร่างทั้งสี่ก็หลุดจากที่คุมขังออกมายังภายนอก
"โอ๊ยปวดตัวจริงๆเล้ย"อเวจีออกมาก็ออกปากบ่นทันที
" จะบ่นอะไรนักหนาแทนที่จะขอบพระทัยพระโอรสศนิวารกับพระธิดาเมธาวีน่ะเจ้านี่หนิ" หิ่งห้อยติเตียนอรกตน
"เสด็จพ่อเสด็จแม่พระเจ้าค่ะ" ด้วยความดีใจที่พระบิดาและพระมารดายังคงปลอดภัยดีจึงได้เข้าไปหาแล้วกอดบุพาการีอย่างไม่เขินอาย
" ศนิวารลูกไม่เป็นอะไรใช่มั้ย​ บาดเจ็บตรงไหนรึปล่าว"เมื่อผละจากการกอดได้ผู้เป็นแม่ก็ได้ถามไถ่ลูกด้วยความเป็นห่วง
"ลูกไม่เป็นอะไรเลยพระเจ้าค่ะ" ลูกยาแย้มสรวลส่งไปให้มารดาสบายใจ
"ลูกไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วล่ะ​ แล้วนี่เป็นใครกัน" ผู้เป็นพ่อได้ถามขึ้นเมื่อเห็นคนไม่คุ้นตาคนหนึ่งกับตัวประหลาดอีกหนึ่งเพิ่มมาด้วยเนื่องจากตอนอยู่ในน้ำเต้าตนได้สลบอยู่รู้ตัวอีกทีก็ออกมาอยู่ด้านนอกพร้อมกับชายา
" หม่อมฉันเมธาวีเพคะ​ หม่อมฉันมาช่วยตามประสงค์​ของแสงสุรีย์​เพคะ"เมื่อได้ยินดังนั้นตนก็แนะนำตัวไม่ให้ผู้ใหญ่กว่ารอนาน
"ข้ากระหม่อม​มีชื่อว่า​ สุดหล่อ​ พระเจ้าค่ะ​ "ราชสีห์​หนุ่มไม่รอช้ารีบแนะนำตัวตามมาติดๆ
"เราว่าเราหาพักเอาแรงก่อนดีไหม​ พรุ่งนี้ค่อยกลับวังกัน"พีรเชษฐ์​กล่าวเสนอข้อคิดเห็น












ออฟไลน์ จักรกรด

  • *
  • 145
  • 0
  • เพศ: หญิง
  • จิตฺเตน นียติ โลโก. โลกอันจิตย่อมนำไป .
    • อีเมล์
Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
« ตอบกลับ #38 เมื่อ: เมษายน 20, 2020, 12:20:18 PM »
"เห็นสมควรตามนั้นเพคะ​ เพราะพรุ่งนี้เทพวิษุวัตจะมาที่เมืองรัตนบุรี​ ไม่ใช่เรื่องดีแน่" พระธิดาต่างเมืองทูล
"เทพวิษุวัต​มีอะไรกับพวกเราถึงว่าไม่ดีล่ะ" ท้าวเธอฉงนกับคำกล่าวจากเด็กผู้หญิงคนนี้
"ก็เทพวิษุวัตน่ะสิเพคะ​ เป็นคนที่อยากจะได้เกราะกายสิทธิ์​จึงส่งคนมาหมายจะทำร้ายพระองค์เพื่อจะแลกกับสิ่งนั้น"
" ตอนแรกที่ได้ยินคำทำนายของพระฤๅษี​ที่ป่าจินตภพลูกก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งหรอกพระเจ้าค่ะ" พระโอรสกล่าวเสริมแล้วกล่าวต่อไปว่า"แต่พอมาผเชิญหน้ากับฤๅษี​ทมิฬ​ที่พูดเรื่องการมาในวันพรุ่งของพระวิษุวัต​ ทำให้มีน้ำหนักด้านความเป็นจริงขึ้นมา"
" พระอาจารย์​ของหม่อมฉันมักทำนายทายทักแม่นยำเสมอเพคะ​ พรุ่งนี้จะเป็นวันสำคัญที่พระอาทิตย์​จะทรงกลดด้วยเพคะ"
" วันสำคัญที่พระอาทิตย์​ทรงกลด​ สำคัญยังไงกันน่ะ"สไบทองถามขค้นมาด้วยสงสัยในท่าที
" วันพระอาทิตย์​ทรงกลดจะทำให้ร่างทั้งเจ็ดได้แยกออกจากกันหนึ่งวัน​ พอหมดแสงอาทิตย์​จะกลับสู่ร่างเดียวตามเดิมเพคะ​ หม่อมฉันนึกว่าทรงทราบแล้วเสียอีก"พระธิดาตอบไปก็ประหลาดใจพลางนึกไปว่าพวกเขานั้นไม่ได้รู้เรื่องนี้ด้วยงั้นหรือ
" เราไม่รู้หรอกพระธิดา​ ลูกเราเพิ่งจะได้เกราะกายสิทธิ์​มาใช้เมื่อไม่ถึงเดือนนี่เอง" นางได้ไขกังขาให้เด็กน้อยได้ฟัง
" อ๋อ.. อย่างนี้นี่เอง​ พระอาจารย์​ยังเคยบอกว่าหากเกิดสุริยคราส​ ร่างทั้งเจ็ดจะสามารถแยกออกจากกันได้ถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนเพคะ​ แต่ว่า.. ทางที่จะแยกออกจากกันอย่างถาวรยังเป็นที่กังขาอยู่เพคะ" เมธาวีก็รู้อยู่เพียงเท่านี้เอง
" แสดงว่าพรุ่งพวกเราทั้งเจ็ดคนจะออกมาพร้อมกันงั้นเหรอ"ศนิวารถามย้ำเพื่อให้แน่ใจ
" เรื่องนี้เราก็ไม่แน่ใจเกี่ยวกับเกราะกายสิทธิ์​นั่นเท่าไหร่หรอก​ เรารู้แต่ส่วนของเราน่ะ​ คงต้องดูกันอีกที" เธอตอบด้วยเพราะยังไม่รู้ของอีกฝั่งว่าจะมีปรากฏ​การณ์เช่นเดียวกับสังวาลย์​มณีหรือไม่
" ยังไงพรุ่งนี้ไม่ว่าพวกเราจะสามารถแยกร่างกันได้เหมือนพวกเจ้าหรือไม่​ ยังไงซะพวกเราทั้งหมดก็ต้องร่วมมือกันต้านทานอันตรายจากเทพวิษุวัต​ที่ไม่รู้ว่าจะมาแบบไหนด้วย"  เขาตอบด้วยเชื่อใจในสุริยะ​ หากแม้ว่าจะไม่ได้ออกมาแต่เชื่อว่าจะต้องสู้จนสุดใจเช่นเดียวกับตน
อรุณรุ่งขึ้นเวียนวนครบบรรจบขึ้นมาเป็นวันอาทิตย์​ทั้งสองสิ่งวิเศษเปลี่ยนสี​ เช่นเดียวกันกับที่บุคคลเปลี่ยนไป
" วันนี้คงต้องเสด็จเข้าเมืองรัตนบุรีเร็วเสียหน่อยพระเจ้าค่ะพระโอรส​ พระธิดา" เสียงเจ้าหิ่งห้อยบอกกล่าวให้เตรียมตัวเดินทางเร็วขึ้นกว่าเดิม
" มีอะไรเหรอจ๊ะพี่หิ่งห้อย​ ทำไมถึงต้องเดินทางเร็วด้วยล่ะ  เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ก็ปลอดภัยดีแล้ว" สุริยะถามด้วยตนเห็นว่าบิดรมารดาก็อยู่ดีไม่เห็นต้องรีบร้อนเลย
" แต่ว่ารัตนบุรีอาจจะไม่ปลอดภัยนะพระเจ้าค่ะ​ เพราะองค์เทพวิษุวัต​จะเสด็จมา" หิ่งห้อยกล่าวตอบ
"จะเสด็จ.. แล้วไม่ดีตรงไหนเหรอจ๊ะพี่หิ่งห้อย"
" พระโอรสศนิวารและพระธิดาเมธาวีทรงพบกับพระฤๅษี​ที่ป่าจินตภพ​ ท่านทำนายไว้ว่าจะเกิดศึกอาทิตย์​ทรงกลดในวันนี้พระเจ้าค่ะ​ ซึ่งศึกนี้นำโดยพระวิษุวัตพระเจ้าค่ะ"
" ศึกอาทิตย์​ทรงกลด​ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่นะ​ ทำไมต้องทรงทำเช่นนี้ด้วยล่ะ​ " พระโอรสกล่าวด้วยความวิตกเล็กน้อย
" รู้แต่เพียงว่าทรงต้องการเกราะกายสิทธิ์​เท่านั้นพระเจ้าค่ะ​ ส่วนเหตุผลที่ทรงต้องการนั้นไม่มีใครรู้เลยพระเจ้าค่ะ" แมลงตัวใหญ่ตอบ
" พวกเราออกเดินทางกันเลยดีกว่านะ​ จะได้ให้ชาวเมืองและทหารเตรียมการณ์รับมือได้"พีรเชษฐ์​เสนอเพราะตนไม่อยากเห็นชาวประชาล้มตายโดยไม่รู้เรื่องใดด้วยเลย
" พระเจ้าค่ะเสด็จพ่อ​ " ว่าแล้วทุกคนก็มุ่งเดินทางสู่เมืองรัตนบุรีทันที
.....​
ฝ่ายด้านในวังรัตนบุรีนั้นปุโรหิตได้จัดแจงแต่งกายและเตรียมตัวให้กับหลานชายเพื่อเข้าพิธีขึ้นครองราชย์​ ​์โดยมีองค์วิษุวัติมาร่วมอำนวยอวยชัย
"ท่านตา​หลานไม่สบายใจเลยจะ" บดิศรกล่าวพลางถอนหายใจหนักหน่วงหลังจากที่แต่งกายเสร็จแล้ว
"หลานไม่สบายใจเรื่องอะไรกันล่ะ​ วันนี้เป็นวันที่ดีนะ​ เจ้าจะมีอำนาจเหนือผู้คนทั้งหลาย​ ไม่ต้องกลัวอาญาถึงตาย​ ใครก็หมายรับใช้พวกเรา" ผู้เป็นตาพูดขึ้นเมื่อหลานได้มีท่าทีไม่สบายใจเอาเสียมาก
" เสด็จพ่อจะทรงคิดเช่นไรที่หลานรับบัลลังก์ต่อโดยพละการเช่นนี้​ ทั้งหลานยังกังวลใจเหลือเกินว่าเรื่องปกครองจะทำได้ไม่ดีพอ"พระโอรสองค์รองนึกกังวลขึ้นมาเสียอย่างนั้น
" จะทรงคิดเช่นไรก็ทรงคิดไปสิ​ เมื่อทำพิธีแล้วเจ้าก็เป็นใหญ่เหนือทุกคน​ ถึงเวลานั้นพระองค์ก็ไม่อาจทัดทานอำนาจที่เจ้ามีไปได้หรอกนะหลานตา" ปุโรหิตพูดให้หลานตนนั้นสบายใจ​ แต่นั่นไม่ได้ทำให้สบายใจเท่าใดนักด้วยเพราะบดิศรยังรักและห่วงหาพระบิดาเสมอ​และคิดเกี่ยวกับตนเองว่าไม่พร้อมก็ไม่ควรขึ้นครองบัลลังก์​ เขาฟังคำผู้เป็นตาแล้วได้แต่พยักหน้า​ไม่พูดอะไรต่ออีก​ เพียงแค่รอเวลาที่จะได้เช้าพิธีราชาภิเษกเท่านั้น
..
"เจ้าว่าอะไรนะ​ วันนี้จะมีพิธีราชาภิเษกเรอะ!!" เจ้าตัวประหลาดที่เอาผ้าปิดหน้าตนไปพูดคุยกับชาวบ้านกลับได้รับข่าวที่น่าประหลาดใจ
"ก็ใช่น่ะสิ​ นี่ล่ะนะในวังตีกลองให้รู้กันว่าพระราชาองค์​ก่อนน่ะสิ้นแล้วและมีประกาศแจ้งมาว่าทรงสิ้นนานแล้วแต่เพิ่งประกาศเพื่อความมั่นคง​ วันนี้พระโอรสบดิศรจะทรงเข้าพิธีราชาภิเษกเพื่อเป็นกษัตริย์​องค์ต่อไปของรัตนบุรี" ชาวบ้านก็ตอบตามคำถาม
เจ้าสุดหล่อได้ไปดูลาดเลามาแล้วจึงทูลเล่าเรื่องราวที่ได้ยินมาให้องค์เหนือหัวฟัง
" อะไรนะ​ บดิศรจะขึ้นครองราชย์!! "ท้าวเจ้าเมืองกล่าวด้วยตกพระทัย​ เหตุใดหนาพระโอรสที่เชื่อใจจึงได้ทำ เช่นนี้
" เรายังไม่ตายและก็ยังไม่สละราชสมบัติ​ ทำไมถึงได้ทำกับเราเช่นนี้นะ" เขากล่าวต่อไปด้วยความสับสน
"เสด็จพี่เพคะ​ หม่อมฉันว่าควรเข้าไปเขตพระราช​ฐาน​แล้วถามให้รู้เรื่องกันเสียก่อนดีไหมเพคะ" สไบทองแนะพระสวามี
"ดี​ พวกเราไปกันเถอะ" ท้าวเธอก็ตอบรับ
"เสด็จพ่อเสด็จแม่พระเจ้าค่ะ​ เสด็จไปกับพี่ห้องหิ่งห้อยก่อนเถอะพระเจ้าค่ะ​ ไว้ลูกเตือนชาวเมืองแล้วลูกจะรีบตามไป" สุริยะกล่าว
" เราไปด้วย" แสงสุรีย์พูดหลังจากที่เงียบมาเสียนานเพราะกำลังคิดถึงการเกิดของอาทิตย์ทรงกลดอยู่
"เช่นนั้นแล้วพ่อกับแม่จะไปกับพี่หิ่งห้อยของลูกก่อน​ ระวังตัวด้วยนะลูก​ พระธิดา" สไบทองตอบรับ
" พระเจ้าค่ะ/เพคะ"ทั้งสองก็ตอบรับที่จะระวังตัว​ อย่างน้อยๆก็พกอเวจีไปคงไม่น่าเป็นปัญหาอะไร​ สิ้นการสนทนาลงก็แยกย้ายเป็นสองฝั่ง
"วันนี้เป็นวันดีไม่ใช่เรอะ​ องค์​เทวาจะมาอวยพรด้วยหนิ​ จะให้พวกเราระวังภัยอะไรล่ะพูดจาแปลกๆ" ชาวบ้านถามขึ้นเมื่อได้ยินเสียงประกาศเตือนกลางเมืองนั้น
"เอาเถอะน่า​ พวกข้าบอกให้หลบก็หลบไปก่อน" ตุ้บเท่งเจ้านึกรำคาญขึ้นมาบ้างแล้ว​ ตนทั้งต้องเตือนทั้งที่ผ้าปิดหน้า​อากาศร้อนแล้วยังมาเจอคนที่ไม่เห็นด้วยลำบากสาธยาย
" ถือว่าพวกเราขอเถอะนะทุกท่าน"พระธิดาต่างเมืองช่วยพูดเสริมเพราะไม่อยากเห็นใครต้องมาร่วมเจ็บปวดสูญเสียจากสงคราม
" ไม่รับคำขอหรอกนะ​ พวกเราจะรอชื่นชมพระบารมีตอนเสด็จเลียบพระนคร" ชาวบ้านก็ไม่ยอมเอาเสียเลย
"หนอยนึกว่าสำคัญนักเหรอ​ อุตส่าห์​มาเตือนยังจะเถียงอีกนะ" สุดหล่อเริ่มขึ้นเสียง
" พอเถอะสุดหล่อ​... เอาเป็นว่าหากเกิดเหตุการณ์​ร้ายแรงขึ้นขอทุกท่านรีบหลีกหนีให้เร็วที่สุดนะ" เขาปรามตัวประหลาดปิดหน้าก่อนที่อารมณ์​จะปะทุไปกว่านี้​แล้วจึงกล่าวให้เตรียมพร้อมอันว่าพอก่อน​ ไม่เช่นนั้นจะ
ถูกต่อต้านคำเตือนเอาเสีย
" ถ้าเกิดเรื่องเช่นนั้นจริงพวกเราจะไม่อยู่เฉยหรอก"
ชาวบ้านต่างตอบพลางเออออกันไป
" สุริยะ​ สุดหล่อ​ พวกเราไปกันเถอะ" จบเรื่องเธอก็ชวนสหายมุ่งสู่วังทันทีโดยติดตามเจ้าถิ่นคนเมืองนี้ไป
...
"บดิศรนี่มันเรื่องอะไรกันแน่" หลังจากที่หิ่งห้อยพาบินลับตาคนเข้าวังมาได้ท้าวพีรเชษฐ์​ก็มุ่งหน้าไปยังท้องพระโรงแล้วพบกับพระโอรสจึงได้ถาม
"เสด็จพ่อ​ คือว่า.. "บดิศรยังไม่ทันได้ตอบดี​ เหล่าบริวารขององค์เทพได้พากันมาก่อนเสด็จแล้วขัดจังหวะเสีย
"ดีจริงๆเลยนะ​ อุตส่าห์​หนีจากฤๅษี​ทมิฬมาได้แล้วยังจะมาหากันซึ่งๆหน้าด้วยอีก" บริวารผู้ที่มีแผลเป็นไหม้ที่ใบหน้ากล่าว
"อย่ามาพูดจาเช่นนี้ใส่องค์เหนือหัวนะ" หิ่งห้อยยักษ์​กล่าวอย่างไม่พอใจ
"ทำไมล่ะ​ องค์เหนือหัวเจ้าใหญ่เท่าไหร่ก็ไม่ใหญ่เท่านายพวกเราหรอก​ ฮ่าๆ" บริวารที่มีแผลอีกคนก็เสริมแล้วหัวเราะขบขันอย่างชอบใจ
" นี่อย่ามาว่าเสด็จพ่อเราอย่างนี้นะ" บดิศรเขาไม่ชอบให้ใครมาพูดเกี่ยวกับบิดาเช่นนี้เลย
" กล้าดีนักนะ​ ทหารมาจับสองคนนี้เร็วเข้า!!" เจ้าเหนือหัวสั่งแต่กลับไร้ซึ่งคนกล้าเผชิญเพราะพอรู้ว่าตนไร้แรงเท่ากันเสียทั้งนั้น
" แค่ปัญญาสั่งคนยังไม่มีเลย​ จะทำอะไรได้" พวกเขาต่างพูดอย่างสนุกปาก
" ข้าให้หยุดพูด​ เอาแต่พูดอยู่ได้!! " บดิศรเธอทนไม่ได้จึงเข้าถีบทำร้ายพวกปากดีจนออกนอกท้องพระโรง​ แค่นั้นยังไม่พอ​ ตนยังออกไปกะจะสั่งสอนเพิ่มเสียให้เข็ดหลาบ​
"บดิศร.."พีรเชษฐ์​เรียกลูกยังไม่ทันได้พูดต่อปุโรหิตและพวกก็ได้เข้าจับกุมตัวทั้งสองพระองค์​ หิ่งห้อยจึงปล่อยลำแสงก่อระเบิดวุ่นวายไปทั่ววังหลวง​ แต่ด้วยฝุ่นตลบอบอวลเกินไปทั้งสองพระองค์​จึงหลีกหนีอย่างยากลำบากส่งผลให้ถูกจับได้ไล่ทัน​ ทั้งคนและหิ่งห้อยก็โดนบ่วงรัดตัวจากบริวารคนที่สามของเทพท่านเสียแล้ว
"บดิศร​กล้าดีนักนะ​ นึกว่าตัวเองวิเศษวิโสนักเหรอที่ทำอย่างนี้" บริวารที่ถูกกระทำได้เปิดฉากสาดน้ำลาย
"ข้าไม่วิเศษอะไรทั้งนั้นล่ะ​ แต่ว่ามาว่าเสด็จข้า​ ข้าไม่ยอม" เขาตอบพลางวิ่งไปกะจะกระทืบอีกคนให้มิดพสุธาแต่ทว่าเทวดารับใช้นี้ใช้มือรับเท้าไว้ได้ทัน
"เสด็จพ่อ​ เสด็จแม่​ พี่หิ่งห้อย!! " เสียงเรียกที่ตกใจของสุริยะทำให้บดิศรหันกลับไปมองพลางใช้เท้าเตะคนที่ตนสั่งสอนทีเพลอเสียเข้าเต็มๆ
" พวกนี้อีกแล้วเหรอ​ ระวังเถอะจะเสียใจที่มาที่นี่" พระโอรสองค์รองว่า
"ไว้ก่อนเถอะ​ ตอนนี้ใกล้เพลาองค์ท่านเสด็จแล้ว​  พวกเรามาร่วมมือกันจัดการมัน​ก่อนดีกว่า"บริวารผู้ที่ใช้บ่วงมัดได้ออกความเห็น
"มาเลย" สุริยะท้าทายแล้วเริ่มเข้าต่อสู้โรมรันกับบดิศร​ ซึ่งเหล่าทหารที่ดูเหตุการณ์​ก็เข้ามาร่วมหมายจะตะลุมบอน​ แต่ทายาทเจ้าแห่งสิงสาก็ดักหน้าจัดการ
" ครั้งที่แล้วพวกท่านยังไม่รู้สำนึกอีกเหรอ" แสงสุรีย์​ดักทางเจ้าบริวารทั้งสองที่เป็นอริก่อนเก่าเมื่อคราวเมืองทิศพล
"สำนึกอะไรล่ะ​ เกราะนั่นเป็นของพระวิษุวัต​ เรามาเอาคืนให้ก็ถูกแล้ว" เขาเถียงเด็กหญิงพลางนึกถึงเหตุการณ์​ที่เกิดแล้วนึกแค้นที่โดนเผาอย่างนั้น
"ของใครเราไม่รู้ด้วยหรอก​ เรารู้แต่ว่าถ้าเอาโดยวิธีทำร้ายเช่นนี้ก็ถือว่าผิด" เธอตอบแล้วทั้งสองก็เข้าต่อสู้ด้วยทันที
" ยอมซะเถอะบดิศร​ เราไม่อยากใช้พลังทำร้ายเจ้า"สุริยะพูดขณะที่กำลังฟัดเหวี่ยงพลัดปล้ำกับอีกฝ่าย
"ไม่ต้องพูด​ไอ้ง่อย" เขาไม่พูดปล่าวยังจะใช้มือยื้อดึงเกราะเสียให้ได้​ แต่เจ้าของไม่ยอมง่ายๆจึงสู้ด้วยความลำบาก​
" พระวิษุวัตเจ้าเสด็จแล้ว!! " บริวารกล่าวดังขึ้นเพื่อหยุดการต่อสู้เสีย​ ทั้งสองฝ่ายผละจากกันแล้วมารวมตัวกันไว้
"สุริยะ​ เจ้าจงคืนเกราะกายสิทธิ์​ให้แก่เราเสียเถิด​ แล้วเราจะปล่อยพ่อกับแม่ของเจ้าไป" ลงมาได้ไม่นานพนะเทวาก็กล่าวเอาเงื่อนไขเข้าแลกเสียแล้ว
"ไม่นะลูก​ ไม่ว่าแม่จะเป็นยังไงก็อย่าให้เกราะกายสิทธิ์​เด็ดขาด" พระมารดาบอกพระบุตรเพราะตนไม่อาจทนเห็นลูกในสภาพที่พิการเข็ญใจได้อีกแล้ว
" เจ้าก็คิดดูเถอะว่าอะไรสำคัญ" เทพเธอก็เสริมไปอีก
" ที่พระองค์​บอกว่าคืน​ หมายความว่าอะไรเพคะ" แสงสุรีย์​ถามด้วยสงสัย​ เมฆาบนฟ้าก็คลาเคลื่อนใกล้เวลา
" เกราะกายสิทธิ์​เป็นของเรา​ แต่เจ้าเทพบุตรโกวิท​กลับลักขโมยหยิบเอาของของเราไป" เขาพูดพลางชี้ไปยังเด็กที่ใส่ชุดเกราะวิเศษพลางสังเกตเห็นสังวาลย์​ที่คล้องตัวเด็กที่ถามตน
" แต่นี่คือสุริยะนะเพคะ​ พระองค์​ทรงแน่ใจได้ยังไงว่าเป็นเขาจนมาราวีกัน" แสงสุรีย์​มิลดละที่จะถามหาเหตุผล
" รู้สิก็เราให้เขาลงมาเกิดเอง​ แต่ว่าเจ้าโกวิทไม่บอกแหล่งเก็บเกราะนี่จนมาใช้งานนี่ล่ะ​ เจ้าเถอะไปได้สังวาลย์มณีมาจากที่ไหนล่ะ" เทพท่านได้ถามกลับบ้าง​   สีรุ้งเริ่มปรากฏ​ข้างดวงอาทิตย์​ใกล้เป็นวงเข้าทุกที
" หม่อมฉันได้มายังไงก็ไม่ใช่ของของพระองค์หรอกเพคะ" ตอบเช่นนี้มีหรือเทพท่านจะพอพระทัย
" ยังไงซะ​ สิ่งวิเศษพวกนี้ก็ไม่ใช่ของที่พวกเจ้าจะใช้ประโยชน์ได้หรอก​ เราว่าจะใช้เงื่อนไขแลกเปลี่ยน​แต่ตอนนี้เราเปลี่ยนใจแล้ว" ว่าแล้วเทพวิษุวัต​ก็ใช้พลังประจำพระองค์ลงมาหมายจะเอาสิ่งวิเศษทั้งสองแต่ทว่าเมฆที่บดบังดวงสุริยันได้เคลื่อนคลายไปทำให้แสงอาทิตย์​ทรงกลดสาดส่องยังสิ่งวิเศษทั้งสองบังเกิดแสงประหลาดแสบเนตรนัยน์จนหายไป​ แล้วปรากฏ​เป็นเด็กที่แยกออกมาเป็นร่างทั้งสิบสี่คน​
" นี่มันอะไรกัน" เทพเธอฉงนได้พูดไปแต่แล้วไม่นานตนก็ต้องนคกถึงผลเสียที่จะตามมาจะได้จงใจปล่อยลูกไฟประลัยกัลป์​ลงมาเป็นห่าใหญ่เข้าหมายโจมตีเด็กที่สวมใส่สิ่งวิเศษเสียให้ราบคาบ​  ร่างที่ออกมายังไม่ทันตั้งตัวดีจึงพากันหลบหลีก
"พระฉายส่องสิทธิ์​!!" พระโอรสภูมินทร์ใช้พลังจากเกราะกายสิทธิ์​เข้ากันทุกคนไว้เป็นแนวกระจกสะท้อนลูกไฟกลับไป
"จันทราภา​ พุทธ​รัตน์​ ประกายพฤกษ์​ฝากไปช่วยเสด็จพ่อเสด็จแม่​และพี่หิ่งห้อยทีนะ​ " สุริยะเริ่มบอกแบ่งหน้าที่ทันทีที่มีโอกาส​ พวกบริวารเริ่มเห็นท่าไม่ดีจึงเข้าต่อสู้กับพวกเกราะกายสิทธิ์​และสังวาลย์​มณีทันที
"คิดว่ากระจกสะท้อนแล้วเราจะทำลายไม่ได้เหรอ" เทพวิษุวัตจึงจำขวานเพชรเข้าจามพระฉายส่องสิทธิ์
" แก้วทวาราสันตี!! " จินดาใช้พลังจากสังวาลย์​มณีสร้างประตูแก้วกั้นเพดานฟ้าเมืองไว้
"ปัทมาสน์ช่วยกั้นขวางประตูให้ทีอย่าให้พระวิษุวัตเข้าทำลายได้" แสงสุรีย์บอกกับธิดาอสุรา
"ได้!! " ปัทมาสน์ตอบรับแล้วแปลงกายใหญ่พร้อมนำพลังจากสังวาลย์ขึ้นมาช่วยต้านพลังทำลายของเทพท่าน
"เราไม่มีความแค้นต่อกัน​ ปล่อยเสด็จพ่อกับเสด็จแม่เรานะ" ประกายพฤกษ์ต่อรองกับอีกฝ่ายที่มัดร่างพระบิดามารดาไว้
" ไม่ได้​ เรารับใช้องค์เทพ​ จะไม่ยอมปล่อยคนให้อริเด็ดขาด" แล้วบริวารก็เข้าสู้กันกับทั้งสามพระธิดา​
จันทลักษณ์เข้าแก้บ่วงให้ทั้งสองพระองค์และหิ่งห้อยยักษ์​จนหลุดจากพันธนาการ
" คนเราน้อยกว่า​ อาจต้านไม่ไหวนะธานินทร์" บริวารของพระวิษุวัตพูดกับสหายตัวขณะต่อสู้
" บดิศรตามาช่วยเจ้าแล้ว" ปุโรหิตโร่เข้ามาใช้หุ่นพยนต์​นับร้อยเข้ามาช่วยสู้
"กะจะใช้วิธีนี้มารุมเหรอ​ อย่าคิดว่ามีคนเดียวเลย" ศุภลักษณ์​ก็ใช้วิชาเสกหุ่นพยนต์​มาสู้อีกฝ่ายด้วยเช่นกัน
" อีกนานไหม​ เราจะต้านไม่ไหวแล้วนะ" ปัทมาสน์ท้วงเมื่อแรงโจมตีของขวานเพชรนี้หนักขึ้นหลายเท่าทวีคูณ
" เราก็อยากให้จบเร็วๆอยู่หรอก" อังคาสตอบแล้วเข้าพลัดรับพลัดสู้กับดิศร
" เพชรราหูสร้างพันธนาการเถอะอย่างนี้ไม่ไหวแน่" แสงสุรีย์กล่าว
"เรากำลังเร่งอยู่​ ทนไว้ก่อนนะ" เพชรราหูใช้พลังสร้างกรงขังที่อยู่ใต้พสุธา​แต่ยังไม่ทันเสร็จดีเพราะมีคนเข้าขวาง​ การต่อสู้วุ่นวายหาทางหลบหลีกช่างยากเย็นต่อผู้ที่ต่อกรไม่ได้อย่างเจ้าเมืองและมเหสี​
" เสด็จพ่อ​ เสด็จแม่มาอยู่ในนี้ก่อนนะพระเจ้าค่ะ​ จงนำพระบิดามารดาเราเข้าไปน้ำเต้าอมฤต" ศนิวารใช้น้ำเต้าที่เก็บมาจากโยคีเฒ่ามาใช้เก็บรักษาพระบิดามารดาไว้ก่อน
" พุทธรัตน์​" จันทราภาเรียกอีกคนที่ถูกบ่วงบาศก์เข้ารัดแน่นก่อนจะเข้าช่วยแก้ไข​ แต่ไม่ทันระวังตัวจึงจะถูกหุ่นพยนต์​ทำร้ายแต่เมธาวีมาช่วยได้ทัน​ จากนั้นก็เข้าสู้กันต่อ
" โอมไพรีจงเข้าที่พันธนาการ"เพชรราหูสร้างกรงขังใต้พสุธาเสร็จก็ใช้พลังดึงคนอีกฝ่ายลงสู่ธรณีสูบ​แต่คนเยอะไปจึงยังค้างคาไม่ลงถึงใต้ธรณี​
"เราช่วยนะ" อังคาสเข้าช่วยเพิ่มพลังให้กับพันธนาการจนสามารถสูบคนเข้าพันธนาการได้ แต่ทว่าขณะเดียวกันยักษ์​เฝ้ากันประตูไม่สามารถทนแรงทำลายต่อไปได้​ ทวาราจึงแตกแยกและขณะเดียวกันปัทมาสน์ก็กลับสู่ร่างปกติด้วยอาการบาดเจ็บ
"เราเสียเวลามามากพอแล้ว​  ให้มันจบลงตรงนี้เถะ"ว่าแล้วก็ใช้พลานุภาพส่งต่อพลังสู้ขวานเพชรหมายจะจัดการทุกคนในคราวเดียว
"พวกเรารวมพลัง" สุริยะพูดแล้วเกราะกายสิทธิ์​ทุกคนก็รวมกำลังเข้าเป็นโล่พลังกั้นแล้วโต้ตอบกลับไปโดยพลังยังคงต้านทานกันคนละครึ่งทาง​  ฝ่ายสังวาลย์มณีก็ช่วยเอาพลังเข้าช่วยอีกแรงจนพลังมาก​เกินส่งผลให้เสียการควบคุมจนทั้งสองฝ่ายต้องผละออกจากกัน​  เทพวิษุวัตและอีกฝ่ายก็ต่างเจ็บกับเสียระบม
"พระโอรส​ พระธิดาพระเจ้าค่ะ" หิ่งห้อยยักษ์​ที่เฝ้าดูเหตุการณ์​อยู่ได้ปรี่เข้าไปดูเหล่าเชื้อไขกษัตราทันที​ ทันใดนั้นเองมีแสงสีมรกตประกายแก้วสาดส่องลงมายังพื้นที่เมืองรัตนบุรีท่วนทั่วกัน​ ปรากฏ​พระเทวราชาองค์อินทร์​แห่งแดน​ดาวดึงส์​ประจักษ์​สู่สายตาประชาชาวมนุษย์​และเทพเทวัญ
" วิษุวัต​ เหตุใดเล่าท่านจึงได้กระทำการเช่นนี้" ท้าวมรุตวานท่านถามถึงเทวาในการปกครอง
"ข้าพุทธ​เจ้าได้รับทุกขเวทนาจากการกระทำของเทพบุตรโกวิทย์​ บัดนี้เพียงมาขอสิ่งของของข้าพุทธ​เจ้าคืนเท่านั้น​พระเจ้าค่ะ"เทพวิษุวัตทูลตอบพระเทวราชา
"เรื่องนั้นเราว่าเขาก็ได้รับโทษทัณฑ์​จากท่านแล้ว สิทธิ์​ในเกราะกายสิทธิ์​นั้นเป็นของเทพบุตร​โกวิท​ตามสมควร​ แต่ท่านใช้กำลังทำร้ายผู้เยาว์และต้องการสังวาลย์​มณีด้วยนั้นเราเห็นว่าไม่สมควร​ เช่นนี้แล้วเราขอให้ท่านละจากการดูแลโลกมนุษย์​เป็นเวลาหนึ่ง​ทศวรรษ​เพื่อที่จะได้บำเพ็ญเพียรให้จิตบริสุทธิ์​มากยิ่งขึ้น​ เราให้เวลาท่านจัดการเรื่องที่ดูแลที่ยังไม่แล้วเสร็จภายในเจ็ดวันแล้วเริ่มการบำเพ็ญโดยทันที" พระโกสีย์เธอมอบหมายให้ตามเห็นสมควร
" ข้าพุทธ​เจ้าขอน้อมรับพระบัญชา
เป็นพระมหากรุณาธิคุณ​พระเจ้าค่ะ​" วิษุวัตเทพกล่าวตอบรับกับข้อมอบหมายแห่งองค์เจ้าเทวัญ
" ส่วนพวกท่าน​ เราจะช่วยรักษาอาการทุกข์​ยากแล้วเราจะคืนสู่วิมาน" กล่าวแล้วทรงดลบันดาลให้เกิดพิรุณร่วงลงสู่พื้นปฐพีรัตนบุรีที่แห้งแล้งมีร่วมเก้าปี​ นอกจากจะเป็นน้ำฝนที่ช่วยให้ความแห้งแล้งกลับกลายเป็นความอุดมสมบูรณ์​แล้วนั้น​ ยังรักษาอาการบาดเจ็บจากการต่อสู้แลบูรณะสิ่งก่อสร้างที่เสียหายได้อย่างน่าอัศจรรย์​ใจ
" เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่ง​พระเจ้าค่ะ/เพคะ" เหล่าพระโอรสพระธิดาต่างล้วนซาบซึ้ง​ในองค์อินทร์
"เราขอให้ท่านทั้งหลายประพฤติ​ชอบอยู่ในความดี​ ขจัดทุกข์​ยากให้ผู้คน​ เราไม่สามารถจะช่วยใครได้ทั่วถึง​ ถือว่าคือคำขอของเราเถิด​ ได้เพลาแล้วเราลาก่อน" พูดจบแสงมรกตประกายแก้วหายไปพร้อมกับร่างขององค์อินทร์นั่นเอง
.......
พระโอรสศนิวารได้นำพระปิตุรงค์​และพระมาตุเรศออกมาจากจากน้ำเต้าอมฤตแล้วเหล่าปรัตยาทั้งหมดรวมถึงพระสหายได้เข้าเฝ้าถวายบังคมพระกษัตริย์​ในท้องพระโรง
" บัดนี้บ้านเมืองเราได้กลับคืนสู่ซึ่งความสุขไร้อาเพศ​แล้ว​ ทั้งนี้เป็นเพราะพระมหากรุณาธิคุณ​ของพระองค์อมเรศวร  เราเห็นควรว่าลดการเก็บส่วยแลอากรลดเสียหนึ่งปีตลอดจนบริจาคทานเพื่อเป็นการช่วยสร้างขวัญกำลังใจให้เหล่าประชาทำการต่อไปได้" ท้าวพีรเชษฐ์​ได้พระบัญชาตามเห็นชอบ
" รับด้วยเกล้าพระเจ้าค่ะ"อำมาตย์เรืองรอง​รับพระบัญชาของพระมหากษัตริย์​เพื่อจะได้กระทำการต่อไป
" อีกทั้งเราต้องขอบพระทัยพระโอรส​ พระธิดาของเรารวมถึงพระสหายที่มาช่วยป้องกันรัตนบุรีอย่างสุดกำลัง​ อีกทั้งยังช่วยชีวิตเราและพระมเหสีให้พ้นโพยภัย" ท้าวเธอกล่าวพร้อมแย้มพระโอษฐ์​
" พวกหม่อมฉันยินดีพระเจ้าค่ะ/เพคะ" ผู้ที่ได้รับคำขอบใจต่างตอบด้วยความยินดี​
"วันนี้รบกวนพวกท่านมากพอแล้ว​ พักผ่อนกันก่อนเถอะนะ"กล่าวแล้วก็ถือว่าการประชุมได้สิ้นสุดลง​ เหล่าข้าในวังได้พาเหล่าอาคันตุกะมายังพระตำนักรับรอง











ออฟไลน์ จักรกรด

  • *
  • 145
  • 0
  • เพศ: หญิง
  • จิตฺเตน นียติ โลโก. โลกอันจิตย่อมนำไป .
    • อีเมล์
Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
« ตอบกลับ #39 เมื่อ: เมษายน 20, 2020, 12:23:02 PM »
"วันนี้เหนื่อยจังเลยนะ​ เฮ้​อ" ศุภลักษณ์​พูดพลางนอนลงยังพระแท่นบรรทม
"อย่างนี้เราช่วยสำเร็จแล้วสินะ" เมธาวีกล่าวต่อ
"ใช่แล้วล่ะ​" แสงสุรีย์​ตอบ
"เช่นนี้พวกเราก็กลับบ้านกลับเมืองกันได้แล้วล่ะสิ" ปัทมาสน์กล่าวขึ้น
"ใช่​ แต่เวลานี้ก็ใกล้ค่ำแล้ว​ วันนี้พักที่นี่เสียก่อน​แล้ววันพรุ่งเราจะเดินทางต่อให้" จันทลักษณ์​บอกพลางมองยังแสงสุรีย์​
"เราขอบใจมาก"แสงสุรีย์รับรู้ได้ถึงน้ำใจอีกคน
" แล้วผู้คนที่ถูกจองจำในกรงใต้ดินล่ะจะเป็นอย่างไร" จินดาถามกับเพชราหู
"ผู้คนที่อยู่ในนั้นยังมีชีวิตอยู่อย่าห่วงเลย​ ทางเข้าสู่ด้านล่างก็คือทิศหรดีของวังนั่นล่ะ​ ไว้พรุ่งนี้ก็ทูลให้ทรงทราบด้วยแล้วกันนะจันทลักษณ์" เพชรราหูกล่าวตอบพลางบอกเจ้าของวันพรุ่ง
" ได้​ เราตกลง"
"เสียดายอยู่ด้วยเดี๋ยวเดียวก็ต้องรวมกันกัน​แล้ว​"ศุภลักษณ์พูดเชิงบ่นเล็กน้อย
"เอาน่าอาทิตย์​ทรงกลดเกิดขึ้นได้ไม่ยากหรอก​ ไว้มีอีกเมื่อไหร่คิดอยากทำอะไรก็ทำได้" เมธาวีพูดตอบ
" เฮ้อ" เสียงทอดถอนหายใจประสานคู่ของปัทมาสน์และศุภลักษณ์​ดังขึ้นบอกถึงความเหนื่อยใจอย่างยิ่งยวด
..
ด้านฝั่งเจ้าเมือง​  ชายา​ บุตรธิดา​ของเมืองก็ได้เข้าพูดคุยกันเป็นการส่วนพระองค์
" ลูกของพ่อ​ พ่อขออภัยลูกจริงๆที่พ่อทำการไล่เจ้าไปเพราะคำทำนายเพียงไม่กี่คำ​ ทำให้พวกลูกกับแม่ต้องลำบากอยู่ในพงไพร" พีรเชษฐ์​กล่าวด้วยจิตสำนึก
"ไม่เป็นไรหรอกพระเจ้าค่ะ​ เดินทางไม่นานหม่อมฉันกับเสด็จแม่ก็ถึงเมืองพระอัยกาแล้วพระเจ้า" สุริยะกล่าว​ เขาเข้าใจที่บิดาทำไปนั้นเพียงเพราะเพื่อบ้านเมือง
"แต่ว่าเสด็จตาคงพระราชทานอภัยยากอยู่นะพระเจ้าค่ะ"ศนิวารกล่าวทูลพระบิดา
" จริงสิเพคะ​ เสด็จพ่อทรงทราบแล้วพระพิโรธมาก​ เป็นเช่นนี้คงไม่ดีแน่" สไบทองกล่าวเสริม
" เอาเช่นนี้ไหมเพคะ​ ทรงมีลายพระหัตถ์​เรขาถึงพระอัยกา​ แล้วพวกหม่อมฉันนำไปถวายและจะกราบทูลพระองค์​ให้พระราชทานอภัย"จันทราภาเสนอแนวคิด
" อะไรกัน​ พ่อควรจะเป็นคนขอพระราชทานอภัยด้วยตนเองสิ​ ลูกจะลำบากทำไมกัน"บิดากล่าวเพราะไม่เห็นด้วย
" ตอนนี้เสด็จพ่อเพิ่งจะกลับเข้าสู่พระตำแหน่ง​ ยังถือว่าไม่มั่นคงดีอย่าเสด็จไปเลยพระเจ้าค่ะ"ภูมินทร์กล่าวช่วยแจง
" จริงด้วยเพคะ​ จันทราภากับภูมินทร์​กล่าวตามเห็นสมควรแล้ว"พุทธ​รัตน์​กล่าวเสริม
" พ่อยอมก็ได้​พ่อจะเขียนให้​ "
" แต่ว่าไม่ทันไรก็จะเดินทางอีกแล้วเหรอ​ พวกเราเพิ่งอยู่ด้วยกันไม่นานเองนะ"มเหสีรู้สึกไม่สบายใจ
" เสด็จพ่ออย่าทรงวิตกเลยเพคะ​ เมื่อเสร็จธุระแล้วพวกหม่อมฉันจะรีบกลับมาอย่างปลอดภัยเพคะ"ประกายพฤกษ์กล่าวมิให้มารดาหม่นหมอง
"หากลูกต้องการเช่นนั้น​ แม่ก็คงห้ามไม่ได้"
" แล้วเรื่องพวกปุโรหิตกับบดิศรจะทรงทำเช่นไรหรือพระเจ้าค่ะ"อังคาสถามขึ้น
"พวกเขานั้นก็ควรได้รับโทษที่ก่อไว้​ แต่ความชอบแต่ก่อนเก่าก็มีอยู่​ จะให้โทษถึงประหารไม่ได้​ อย่างไรเสียพรุ่งนี้พ่อจะให้โทษแก่พวกเขาตามสมควร" ท้าวเธอตอบพลางมองดวงอาทิตย์​ที่ลาลับไป​ ร่างทั้งหมดก็เหลือแต่พระโอรสเพียงพระองค์เดียวเพราะหมดซึ่งแสงตะวันแล้วนั่นเอง

" เอามาอีกๆ​ สุดหล่อยังไม่อิ่มเลย  เร็วๆสิ" อีกตำหนักรับรองได้มีเจ้าตัวประหลาดและหิ่งห้อยอาศัยอยู่ก็ได้อิ่มหนำจากอาหารที่มาจากห้องเครื่อง
"นี่เจ้าตุ้บเท่งอย่าใช้คนมากนักสิ  เขาก็กล้าๆกลังอยู่แล้วยังจะไม่เร่งเร้าขู่เข็ญอีก" หิ่งห้อยยักษ์เตือน
"เอ๊ะ​ เจ้านี่หนิ  ข้าพอใจจะสั่งก็สั่งเถอะ​ อีกไม่นานน่ะนะเกราะกายสิทธิ์​ก็จะเป็นของข้าฮ่าๆ​ เป้าหมายต่อไปก็จะเป็นสังวาลย์​มณีที่ข้าจะติดตาม​"
"เจ้านี่คิดแต่จะเอาของคนอื่นอยู่ได้​ ถ้าได้คืบจะเอาศอกอีก​ โตมายังไงกัน"เขาต่อว่าอีกฝ่าย
" โตมาอย่างคนเอ๊ยราชสีห์หล่อนั่นล่ะ​ อย่าว่านักเลยน่าเกิดมาทั้งทีต้องได้ของดีติดตัวกันบ้าง"เขาพูดไปก็กินไปไม่รู้จักหยุดหย่อน
" เอาเถอะ​ ไม่อยากจะยุ่งด้วยแล้ว"หิ่งห้อยระอาที่เจ้าตัวประหลาดเอาแต่ได้สอนไม่ได้เต็มทนจนเลิกต่อว่าไป
ในกลางดึกคืนนั้นเองมีแสงเปล่งประกายแก้วทางประจิมทิศของพระราชวังทำให้คนที่นอนไม่หลับทั้งสองต้องไปดูเสียให้รู้ว่าเป็นสิ่งใด
" สุริยะ​ ท่านก็เห็นแสงประกายแก้วเหมือนกับเราเหรอ" ธิดาต่างเมืองถามเพราะอีกฝ่ายมาคงด้วยเหตุผลเดียวกัน
"ใช่แล้วล่ะ​ แปลกจริงๆเลย​ กลางคืนดึกดื่นแต่มีแสงประกายมากได้น่าพิศวงนัก" โอรสเจ้าเมืองตอบอักฝ่าย
"เช่นนี้แล้วพวกเราไปตามหาต้นกำเนิดแสงกันเถอะ" แสงสุรีย์เชิญชวนแล้วทั้งสองได้ช่วยกันตามหาจนเจอต้นกำเนิดแสง
"นี่คือธำมรงค์​แก้วล่ะ​ แต่เมื่ออยู่ในมือแล้วไม่มีแสงมากจนชัดเมื่อตอนยังไม่พบเลย"สุริยะเจอแหวนแก้วแล้วได้บอกอีกคน
" ตรงนี้.. เป็นที่ที่เราต่อสู้กับพระเทวาวิษุวัต​ก่อนพระเทวราชาจะเสด็จนี่​ ไม่แน่ว่าธำรงค์วงนี้อาจจะเกิดจากปะทะของพลังก็เป็นได้นะ" เธอพูดตามที่เข้าใจ
" เช่นนั้นแล้วเราขอยกธำรงค์นี้ให้ท่าน"เขาพูดพลางยื่นแหวนให้อีกฝ่าย
" อย่าเลย​ เก็บไว้ให้คนที่คู่ควรจะใช้เถิด​ นี่ก็ดึกมากแล้ว​ เราว่าไปพักผ่อนต่อเถอะ​ พรุ่งนี้อีกคนของพวกเราจะได้มีแรง" ว่าแล้วทั้งสองต่างแยกย้ายไปพักต่อไป
..
วันต่อมา​ องค์เหนือหัวรัตนบุรีมีรับสั่งให้นำตัวพระมเหสีฝ่ายซ้ายมายังท้องพระโรง
"องค์เหนือหัวเพคะ​ พระราชทานอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ​ หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ"สไบแก้วทูลขออภัยจากพระสวามีหวังให้เห็นใจตน
" เสด็จแม่"บดิศรเข้าไปหามารดาด้วยใจห่วงหาหลังจากได้รับการปล่อยตัวจากที่คุมขังโดยจันทลักษณ์​เป็นคนพาเหล่่าทหารไปนำตัวเหล่าปุโรหิตและพระโอรสมายังที่แห่งนี้
" กระหม่อมขอพระราชทาน​อภัยพระเจ้าค่ะ​ ทั้งหมดเป็นความผิดของกระหม่อมเพียงคนเดียว" ปุโรหิตเฒ่าทูลบอกให้ความผิดตกแต่ตนเท่านั้น
"เราเห็นควรลงโทษท่านอยู่แล้ว​ แต่จะละเว้นบุตรีของท่านเห็นจะไม่ได้​ ความผิดที่ท่านจะตั้งพระโอรสบดิศรแทนเรา​ เราถือว่าไม่ใช่ความผิดของบดิศร​ แต่เห็นเมื่อครั้งก่อนที่ท่านทำคุณให้เรากับบ้านเมือง​ เราจะให้ท่านปุโรหิตและบุตรีออกจากเมืองของเราไปเสียอย่าได้กลับมาอีก​ ส่วนบดิศรเราจะดูแลเอง"ท้าวพีรเชษฐ์​รับสั่งเพื่อตัดปัญหาที่อาจตามมาถ้าอภัย
" เสด็จพ่ออย่าให้ท่านตากับเสด็จแม่ไปเลยนะพระเจ้าค่ะ​ หากไปแล้วหม่อมฉันจะอยู่ได้อย่างไร"บดิศรค้านพระบัญชา
" ไม่ได้หรอก​ เพียงเราไม่ให้โทษประหารก็ดีพอแล้ว​ ส่วนเจ้าก็อย่าอาลัย​เลย​  บ้านเมืองนั้นสำคัญกว่านักนะ"พระบิดากล่าวตอบข้อค้าน
"เช่นนั้นแล้ว  หม่อมฉันจะขอติดตามท่านตาและเสด็จแม่ไปด้วยพระเจ้าค่ะ"
" บดิศรไม่นะลูก"สไบแก้วกล่าวเพราะไม่อยากให้ลูกต้องทนระกำลำบากไปกับตน
" บดิศร​ เจ้าว่าเช่นนี้​ ไม่เห็นว่าเราเป็นพระบิดาเจ้าแล้วรึถึงได้เลือกอีกฝั่งได้ไม่ลังเล"ท้าวเธอเริ่มกริ้วเสียแล้ว
"ไม่ใช่นะพระเจ้าค่ะ​ หม่อมฉันเลือกติดตามเพื่อที่จะดูแลด้วยรักและแทนคุณ​ตามที่สมควรทำ​ หากไม่ได้กระทำหม่อมฉันคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต" พระโอรสกล่าวแจงเหตุผล
" จริงอย่างที่พระโอรสบดิศรกล่าวนะเพคะ​ คุณธรรมกตัญญู​สำคัญมาก​ ไม่กระทำคงไม่ดีเท่าใดนักนะเพคะ" สไบทองช่วยพูดด้วยสงสาร
" เอาเถอะ​ ถ้าอยากทำตามใจนักเราไม่ห้าม​ แต่ห้ามไม่ให้เจ้ามาพบหน้าเราอีกเลยบดิศร​ ไปได้แล้ว​ ทหารนำตัวไป" เจ้าเมืองออกโอษฐ์ทันทีเสียให้จบเรื่องราว​ เหล่าทหารจึงนำตัวไปในทันที
" พระโอรสจันทลักษณ์​ท่านจะกลับบ้านเสียวันนี้แล้วหรือ​ ไม่พัักที่เมืองเราหลายวันก่อนล่ะ" จบเรื่องก็ตรัสถามพระโอรสเมืองคีรีมาศต่อ
" หามิได้พระเจ้าค่ะ​ หากแต่หม่อมฉันจากเมืองมาหลายวัน​ เห็นสมควรจะต้องเดินทางกลับเสียทีพระเจ้าค่ะ"
"เสียดาย​จริง​ ท่านช่วยเหลือพวกเราเสียมากหากแต่ไม่อาจตอบแทนได้เท่า​ เราขอยกสมบัติที่มีอยู่ให้กับท่านตามเห็นสมควร" ข้าราชบริพาร​นำเพชรนิลจินดาพร้อมเครื่องทองมากมายมาถวายให้
" ขอพระราชทาน​อภัย​ หม่อมฉันมิอาจรับไว้ได้พระเจ้าค่ะ​" จันทลักษณ์​ไม่อยากได้ของมีค่าใดเลยเพียงแค่อยากช่วยเท่านั้น
" เรารู้ว่าท่านลำบากใจ​ ถ้าเช่นนั้นนำสิ่งใดไปสิ่งหนึ่งเถิดหนา​ ถือว่าไม่เสียน้ำใจกัน" พีรเชษฐ์​กล่าวเช่นนั้นอีกฝ่ายคงปฏิเสธไม่ได้แล้วจึงขอเพียงพันธุ์​แวววิเชียรดอกไม้ประจำเมืองที่เก็บไว้รอสิ้นภัยแล้งส่วนหนึ่งไปเพื่อทำการปลูกตามความชอบของตน
"เสด็จพ่อเพคะ​ หม่อมฉันขอร่วมทางไปส่งจันลักษณ์​และไปยังเมืองทิศพลด้วยนะเพคะ"จันทราภาทูลขอ
" เราเพิ่งอยู่ด้วยกันได้ไม่นาน​ จะออกเดินทางอีกแล้วหรือ​ เอาเถอะ​อย่างไรก็ตามพ่อคงห้ามไม่ได้​ ระวังตัวด้วยนะลูก"
"เพคะเสด็จพ่อ​ ลูกจะกลับมาอย่างปลอดภัยเพคะ"
"อย่าไปลำพังเลยนะลูก​ ให้ตุ้บเท่งกับหิ่งห้อยไปเป็นเพื่อนด้วยนะ​ พอกลับจะได้มีเพื่อน" สไบทองใจหายแต่คิดดูคงไม่มีใครมาปองร้ายลูกของตนได้อีกแล้วเพราะอริราชศัตรูต่างก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้อีกจึงปล่อยไปทำตามใจ
ทั้งหมดลาแล้วเดินทางกันต่อไป
" พระธิดาจันทราภาจบเรื่องแล้ว​ ขอเกราะคืนให้สุดหล่อนะนะนะ"สุดหล่อขอร้อง
" เราสัญญากับสุดหล่อด้วยเหรอจ๊ะ"ธิดาฉงน
" ถ้าถอดออกจะให้เดินทางยังไงล่ะ" โอรสต่างเมืองถาม
"ก็พระโอรสศนิวารสัญญาไว้นี่พระเจ้าค่ะ​ ถอดแล้วก็เดินทางเหมือนเช่นเคยๆล่ะพระเจ้าค่ะพระโอรส"
"ศนิวารไม่ใช่เรา​ อยากทวงสุดหล่อก็ไปทวงกับเขาเถอะนะ​ อย่าทวงกับเราเลย"
"อีกแล้วนะพระเจ้าค่ะ​ พูดเหมือนพระโอรสสุริยะเหมือนเดิมไม่ผิดเลย"
แต่แล้วต้องพบกับพญาไกรสรราชสีห์​บิดาของตุ้บเท่ง
" เจ้าตุ้บเท่งเอ๊ย​ ไม่ยอมกลับอยู่บ้าน​ เกราะนั่นมิใช่ของเจ้าหรอกอย่าติดตามอีกเลย​" เขากล่าวกับบุตรชาย
"ไม่นะท่านพ่อ​ เกราะนี่เป็นของพวกเราอยู่กับพวกเรามานานกว่าอีกจะเป็นของมั...พระธิดาได้ยังไงล่ะ" อเวจีมิฟังทัดทานของพ่อ
"ไม่ต้องมาเถียงเลยกลับไปเดี๋ยวนี้!! " เขาดุดันใส่ผู้เป็นลูกเสียจนขวัญเสีย​ เขาต้องกลับไปแม้จะไม่เห็นด้วยก็ตาม
" พระธิดา​ พระโอรส​ เจ้าหิ่งห้อยคงไม่สบายใจแย่เลยที่ลูกข้าคอยเอาแต่ติดสอยห้อยตายเสมอ​ ทั้งยังเอาแต่ทวงของที่ไม่ใช่ของตนเองอีก" เขากล่าว
"ไม่เป็นไรหรอกท่าน​ สุดหล่อก็ช่วยพวกเราไว้มากเหมือนกัน" จันทราภาตอบ
"ข้าถือว่ารบกวนล่ะนะ​ เอาล่ะพวกเราต้องลากันตรงนี้แล้ว​  ข้ากับลูกขอตัวก่อน​ ขอให้พวกท่านโชคดี​" ว่าแล้วจึงแยกทางที่ต่างมีจุดมุ่งหมายต่างกันไป
วันเปลี่ยนไปจนถึงศุกร์จึงถึงทิศพลนคร
" ถวายบังคมเพคะ/พระเจ้าค่ะ" ประกายพฤกษ์​และศุภลักษณ์เข้าเฝ้าเจ้าเมืองนวดลทันทีที่ถึง
"จำเริญๆกันเถิดหนา​ ประกายพฤกษ์​เสด็จแม่ของหลานไม่เห็นมาด้วยเลย  หรือมันเกิดอะไรขึ้น" พระอัยกาไถ่ถามพระนัดดาอย่างใคร่รู้
"เสด็จแม่ประทับที่รัตนบุรีกับเสด็จพ่อเพคะ"
"ว่ายังไงนะ​  คนอย่างพีรเชษฐ์​น่ะถ้าอยู่ด้วยแล้วก็จะประสบเรื่องไม่เป็นเรื่อง​เหมือนอย่างที่แม่กับหลานเจอมาแล้วนี่​ ตาไม่ให้ข้องเกี่ยวกันอีกไม่ใช่หรือ​ หรือว่าลืมคำเราหมดสิ้นกัน"ท้าวเธอได้ฟังเช่นนั้นก็รู้สึกหงุดหงิดอยู่เนืองๆที่เป็นมันไม่เป็นดั่งใจ
" เสด็จพ่อกับเสด็จแม่เข้าพระทัยกันแล้วเพคะ​ หลานยังเห็นว่าพวกเราควรให้อภัยกันนะเพคะ​ เสด็จยังทรงอักษรลงในสานส์มาขอขมาเสด็จตาด้วยนะเพคะ"เธอพูดพลางส่งสานส์ให้กับอัยกาของตน
" ถึงจะมีสิ่งนี้มามอบให้เรา​ แล้วมีเหตุผลอะไรที่จะเชื่อว่าจริงใจไม่ทอดทิ้งพวกเจ้าอีกครั้งล่ะ" เจ้าเมืองไม่ยอมยกโทษให้เสียง่ายๆ
" สุริยะเล่าให้หลานฟังว่าเสด็จพ่อทรงนำพระวรกายของพระองค์​เข้าป้องกันไม่ใช่เขาโดนทำร้ายจนถึงพระชนม์​ชีพ​ ถ้าไม่ได้รับการช่วยจากพระธิดาจินดาแห่งคีรีมาศ​ ป่านนี้พวกเราคงไม่ได้อยู่ร่วมกันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้วเพคะ" นัดดาเธอแจงให้ฟัง
"องค์เหนือหัวเพคะ​ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว​พวกเราควรให้อภัยแก่เขาเถอะนะเพคะ"พระอัยยิกา​ทูลขอกับภัสดา
" เอาเถอะๆ​ ถือว่าครั้งนี้พลาดผิดไป​ หากมีครั้งต่อไปเราจะไม่ให้โอกาสอีกเลย" ท้าวนวดลยอมรับแม้จะยังคัดเคืองอยู่มิน้อย
" ขอบพระทัย​เพคะ​เสด็จ​ตา" ประกายพฤกษ์​ดีใจที่ท่านยอมยกโทษให้
" พระโอรส.. องค์ธริษตรีแห่งเมืองคีรีมาศเสด็จกลับก่อนแล้ว อย่างไรเสียท่านพักที่นี่ก่อนเถิดไว้วันต่อไปจึงเดินทาง" ท้าวเธอกล่าวชวนอาคันตุกะน้อย
" ไม่เป็นไรหรอกพระเจ้าค่ะ​ เดินทางต่อไปไม่หนักกว่าแรง​ หม่อมฉันมิขอรบกวนจะดีกว่าพระเจ้าค่ะ" ศุภลักษณ์​กล่าวตอบ
"ตามใจเถิด​ เรารู้ว่าห้ามไปท่านคงมีเหตุผลมาแย้งอีก"นวดลเธอพูดพร้อมยิ้มอย่างอ่อนโยน
" องค์เหนือหัวพระเจ้าค่ะ​ มีผู้ขอเข้าเฝ้าพระเจ้าค่ะ​ พวกท่านนั้นบอกว่าเป็นพระญาติขององค์หญิงอัญญานีด้วยพระเจ้าค่ะ​ " นายทหารคนหนึ่งเข้าบังคมทูล
" งั้นหรอ​ เช่นนั้นก็เชิญพวกเขาเข้ามา​ ไปเชิญอัญญานีมายังท้องพระโรงด้วย"เจ้าเมืองรับรู้จึงให้เชิญมา
"ถวายบังคมเพคะหม่อมฉันเป็นปิตุจฉาของพระธิดาอัญญานีเพคะ" หญิงสาวและบริวารมาเข้าเฝ้า​ น้ำเสียงนั้นดูคุ้นเคยสำหรับผู้เยาว์ทั้งสองแต่รูปกายกลับมิคุ้นเลย
"ท่านเป็นพระญาติแล้วเหตุ​ใดถึงเพิ่งมาตามหากันเล่า​ ปล่อยให้องค์หญิงต้องเดียวดายเสียเช่นนี้​ ทั้งยังตามหาถูกเมืองเสียด้วย" ท้าวเธอฉงนเสียจริง
" หม่อมฉัน​เพิ่งได้มาเยี่ยมเยือนเสด็จพี่และหลานที่โกสุมพิสัยกลับพบแต่เพียงวังร้างที่ถูกเผาไหม้เหลือให้เห็นแต่โครงสร้างเพียงเท่านั้นเพคะ​ จากนั้นหม่อมฉันได้ขอให้พระสวามีให้ทรงมีรับสั่งให้ตามหา​ ได้ข่าวว่าพระองค์รับดูแลองค์​หญิง​เมื่อสอบถามจึงรู้ว่าเป็นอัญญานีเพคะ" นางชี้แจงแถลงไข
" ออ​ องค์หญิง​อัญญานีมาแล้ว​ นี่ใช่พระญาติของท่านหรือปล่าว"ท้าวท่านถามผู้ในอุปถัมภ์​
" หม่อมฉันไม่เคยเห็นเขามาก่อนนะเพคะ" อัญญานีมองดูอีกคนแต่ไม่คุ้นหน้าเอาเสียเลย
" โถ​ อาจากเมืองไปเสียตั้งนานหลานคงจำไม่ได้​ อาคือทรรศนีย์ ขนิษฐา​ขององค์​ทรงพลบดีแห่งเมืองโกสุมพิสัยไงล่ะหลานอัญญานี " เธอพูดพลางมองผู้ที่ถูกเอ่ยชื่อ​ เจ้าตัวก็ครุ่นคิดในขณะครุ่นคิดเสียงที่ได้ยินจากใจหาใช่กรรณไม่
"อัญญานียอมไปกับเราเสียเถอะ​ เจ้าน่ะเป็นคู่ขององค์เทพวิษุวัต​ เมื่อเติบใหญ่จะได้ไปอยู่ด้วยกับพระองค์​ ทรงให้เรามารับเจ้าไปเลี้ยงดู" เธอสื่อในใจให้องค์หญิงได้ยิน
"ทำไมเราต้องไปด้วยล่ะ  คู่อะไรอีก​ นึกอะไรถึงจะเอาเราเป็นชายายยามโตล่ะ​ ไม่ยอมหรอก" อัญญานตอบในใจกลับไป
" เจ้าอยากให้คนทั้งเมืองต้องมาตายเพราะเจ้าคนเดียวงั้นเหรอ​ อย่าคิดว่ามีพวกที่มีสิ่งวิเศษอยู่ด้วยแล้วจะปากดี​ เจ้าพวกนี้น่ะสู้องค์เทพวิษุวัตยังไม่ชนะเลยจะเอาอะไรมาประกัน​ ตามใจเถอะนะถ้าอยากเห็นบ้านเมืองคนอื่นที่อาศัยต้องพินาศย่อยยับเพราะเจ้า" เธอตอบกลับไปพร้อมกับแสร้งถามเร่งเร้าอีกคนให้ยอมรับ
" ว่ายังไงล่ะ​ จำอาได้หรือไม่"ทรรศนีย์ถาม
" เสด็จอา.. เสด็จอาเองหรือเพคะ​ หม่อมฉันความจำไม่ดีเองเพคะ" อัญญานีตอบในใจก็พลอยบอกอีกฝ่าย
" ยอมก็ได้​ แต่จำไว้เลยว่าเราจะไม่ยอมเป็นชายาของเทพพวกเจ้าแน่"
" เช่นนั้นแล้วนับเป็นเรื่องดีมากเลยล่ะ" ท้าวนวดลกล่าวอย่างพอใจ
" เก่งให้ตลอดเถอะอัญญานี​ เอาล่ะพวกเราต้องรีบไปแล้ว" เธอตอบในใจอีกฝ่ายเช่นกัน
" เช่นนั้นหม่อมฉันขอพาอัญญานีกลับไปอยู่กับเมืองของพระสวามีหม่อมฉันนะเพคะ" ทรรศนีย์กล่าวกับราชา
" จะไปเสียเดี๋ยวนี้เลยรึ​ มิพักก่อนล่ะท่าน​ อัญญานีก็ยังเล็กอยู่​ อยู่ๆจะเดินทางไปมาก็กระไรอยู่นะ"ราชาท่านถามด้วยสงสัย
" ไม่เป็นไรเพคะ​ หม่อมฉันมิอาจรบกวนพระองค์​ต่อไปได้หรอกเพคะองค์เหนือหัว"อัญญานีทูลจะได้จบปัญหา
" เจ้าจะไปแล้ว​ แบบนี้จันทราภาคงเสียใจแย่เลย"ประกายพฤกษ์กล่าว
" เอาเถอะ​ หากเรามีวาสนาต่อกันต้องได้เจอกันอีกแน่"องค์หญิงต่างเมืองกล่าวตอบ
" เช่นนั้นแล้วได้โปรดรับธำมรงค์​แก้วศุภร​ของเราไว้ด้วยเถอะนะ" ว่าแล้วจึงส่งแหวนให้กับสหาย
"ธำมรงค์แก้วศุภรงั้นเหรอ" อัญญานีรับแล้วจึงทวนชื่อ
" จันทราภาตั้งใจจะมอบให้เจ้านะ​ ไม่คิดว่าจะจากกันเสียแล้ว"
" ขอบใจมากนะ"
และแล้วทางด้านพระโอรสและองค์หญิงต่างเมืองก็ทูลลาจากเมืองไป​ ชีวิตทุกคนก็ดำเนินไปตามทางของตนเอง
" บดิศร​ เรามาช่วยแล้ว" บริวารเทพวิษุวัตชื่อธานินทร์​ที่หนีออกมาโดยร่างแปลงจากที่คุมขังเดียวกันตามหากันจนพบ
" ช่วย​ ช่วยยังไง" บดิศรถามอีกคนด้วยสงสัย
" ไม่ต้องทนลำบากทนระกำตามพงไพรหรอกนะ​ ก่อนพระเทวาจะไปบำเพ็ญเพียรไปให้เมืองใหม่กับพวกเจ้า​ ต่อจากนี้นับอีกสิบปีจึงจัดการเรื่องกันต่อไป"
" เมืองใหม่แล้วนี้จะเป็นเมืองของพวกเราแน่หรือ" สไบแก้วถาม
"ใช่​ แต่ว่าพวกเจ้าต้องเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามรวมถึงรูปกายด้วย เพื่อไม่ให้ใครจำได้จะได้ดำรงอยู่ยืนยาว"ธานินทร์​ตอบ
" ไม่ล่ะ​ เราไม่ขอเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนหน้าหรอก​ อีกหน่อยโตแล้วไม่มีใครจำเราได้​ อีกอย่างคนชื่อซ้ำกันถมไปใครจะรู้"บดิศรไม่อยากเปลี่ยนชื่อเพราะชื่อนี้คนที่ตั้งให้เรียกคือบิดาของตน
" ถ้าไม่ทำจะวุ่นวายน่ะสิหลานตา" ปุโรหิตออกความเห็น
" ไม่เป็นไรหรอกจะ​ ยังไงเสียหลานจะระวังตัวอยู่"
" ตามใจหลานเถอะท่านพ่อ​ บดิศรน่ะต้องการเพียงเท่านี้คงไม่มากมายอะไร"สไบแก้วเข้าข้างลูกตน
" ออ​ ที่สำคัญพระคู่หมั้นของพระเทวาจะพำนักอยู่ด้วยยังในส่วนพระตำหนักบุษบากร​  อย่าได้ไปกวนพระทัยให้ทรงขุ่นข้องหมองใจเป็นอันขาด" ธานินทร์​ออกเตือนแล้วพาทั้งหมดไปยังเมืองที่เนรมิตขึ้นใหม่นาม​ ศาศวัตบุรี
วันหนึ่ง​ ณ​ เมืองรัตนบุรี​ พระโอรสสุริยะคิดคำนึงถึงคำแนะนำจากพระอัยกาเรื่องการฝึกฝนวิชาไว้ให้มีความรู้ติดตัวกับฤๅษี​อนุชิตที่ป่าหิมพานต์​ แต่การที่จะเข้าสู่ป่าแห่งนั้นจะต้องตั้งจิตคำนึงพร้อมกลั้นหายใจเดินถอยหลังสามก้าวจึงเข้าไปได้​ คิดมาได้สักพัก​ ทำตามแล้วจึงได้พบกับฤๅษี​อนุชิตที่รอพบอยู่​ ตนจึงทำความเคารพอีกฝากฝั่งป่าจินตภพแสงสุรีย์​ได้เข้าพบฤๅษี​มฤคินทร์อาจารย์ของตนเช่นกัน
"โชคดีที่ท่านได้มีสิ่งวิเศษติดตัวไว้​ หากแต่ว่าจิตใจนั้นยังไม่มั่นคงพอ" อนุชิตโยคีกล่าว
"ฉะนั้นแล้วก็ควรฝึกวิธีให้พลังประสานกับจิต" มฤคินทร์ดาบสก็กล่าวเช่นกัน
"เพื่อจะได้ใช้งานต่อไปในภายภาคหน้าเพื่อผดุงคุณธรรมให้ดำรงต่อไป" ทั้งสองกล่าวพร้อมในปนะโยคเดียวกัน
ทั้งหมดจึงฝึกฝนวิชากับอาจารย์์ของตนอย่างขันแข็งรอวันที่จะเติบใหญ่ไปผดุงธรรมดำรงดั่งที่ได้ฟังคำกล่าวของพระอาจารย์​ไว้





ออฟไลน์ จักรกรด

  • *
  • 145
  • 0
  • เพศ: หญิง
  • จิตฺเตน นียติ โลโก. โลกอันจิตย่อมนำไป .
    • อีเมล์
Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
« ตอบกลับ #40 เมื่อ: เมษายน 20, 2020, 12:30:14 PM »
สวัสดีค่ะท่านผู่อ่านทุกท่านที่เข้ามาอ่านผลงานของจักกรดนะคะ
จักรกรดต้องขออภัยที่ไม่สามารถจัดแจงเวลามาแต่งเรื่องต่อได้จนเป็นเวลานานนับหลายปี
เกิดจากความไม่รับผิดชอบของจักรดจริงๆค่ะ
 w6 w6 w6
จักรกรดได้มีเวลามาแต่งต่อจนจบตอนเด็กแล้วนำมาลงค่ะ​ ส่วนตอนโตจะขอลงทุกๆวันเสาร์ต่อจากนี้นะคะ​ จะไม่สัญญาที่จะไม่หายไปแล้วค่ะ​ แต่ถ้าวันไหนต้องหายไปจะแจ้งทราบนะคะ​ หวังว่าจะแต่งเรื่องนี้จนจบไปได้ด้วยดีค่ะ​ ขออภัยอีกครั้งนะคะ
 w8 w8 w15

ออฟไลน์ จักรกรด

  • *
  • 145
  • 0
  • เพศ: หญิง
  • จิตฺเตน นียติ โลโก. โลกอันจิตย่อมนำไป .
    • อีเมล์
Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
« ตอบกลับ #41 เมื่อ: เมษายน 25, 2020, 09:08:42 AM »

          .... ."  อันว่าเข้าทศปีที่ผันผ่าน
                  จะคิดอ่านสิ่งใดสมมาดหมาย
                  สิ่งวิเศษพระเวทย์อยู่ข้างกาย​ 
                  มิห่างหายหากเจ้าเฝ้าคำนึง
                     รวมสัตตะชำนาญการต่อสู้
                  หามิรู้ใครเล่าจะเข้าถึง
                  มีอาเพศเหตุร้ายขอเจ้าจึง
                  ใช้ฤทธิ์​ซึ่ง​เข้าช่วยอำนวยธรรม".....​

  เวลาผันผ่านไปจากเหตุการณ์​ที่เผชิญมาล่วงเข้าสู่วันอาทิตย์​ทรงกลดปีที่สิบเหล่าผู้ถือครองมหาศาสตราวุธทั้งสองได้เติบใหญ่แลสำเร็จวิชาที่ถนัดเหมาะสมเกี่ยวกับพลังจากพระอาจารย์​ของตน​ ทั้งด้านการใช้พลังส่งเสริมเวทย์มนตร์​อาคม​รวมถึงการสร้างศาสตราวุธสุดตามแล้วแต่ใจปรารถนา​เพื่อรอเพลาสามารถใช้ผดุงธรรมสักวัน​ ส่วนวันนี้จะขอทำตามใจสักวัน​คงไม่มีปัญหา​อะไร
"วันนี้พวกเรามาประลองกันดูไหมว่าใครจะเก่งกว่าใคร"
ศุภลักษณ์​กล่าวขึ้นมาขณะที่กำลังพักผ่อนร่วมกับพี่น้อง​ ณ​  พระราชอุทยานในเขตพระราชวังเมืองคีรีมาศ
"เราไม่ประลอง​เห็นจะดีกว่า" จินดาผู้ชอบทำสมาธิมากกว่าใช้พลังฟุ่มเฟือยกล่าวตอบ
"เราก็ไม่ล่ะ​ เราจะไปด้านนอกเสียหน่อยว่าจะมีอะไรเปลี่ยนไปในรอบสิบปีนี้บ้าง"แสงสุรีย์​เตรียมตัวจะไปยังพนาดรรอบๆเมืองเพราะพวกตนได้สัญจรเพียงพระราชวังกับป่าจินตภพตลอดสิบปีนี้
" จริงสิ​ วันนี้เรายังไม่ได้รดน้ำให้แวววิเชียรเลย" จันทลักษณ์​กล่าวขึ้นมาพลางนึกได้
"ไม่ต้องเลยนะจันทลักษณ์​ รดน้ำดอกไม้น่ะให้ข้าในวังทำให้ก็ได้​"ศุภลักษณ์​ท้วง​
"ไม่เอาน่า​ นานๆออกมาวันอื่นทั้งที​ เราไปดูดอกไม้ของเราก่อนดีกว่า" ว่าแล้วเขาก็จากไปไม่รอให้อีกคนท้วงอีก
" เอาล่ะสามคนนี้จะประลองกับเราไหม" ผู้อยากลองวิชาโดนปฏิเสธไปแล้วสามจึงถามกับคนที่เหลือ
" ไม่กลัวเกิดทะเลเพลิงเหรอ​ ท่านตาเคยเตือนแล้วนี่ว่าถ้าเราต่อสู้กันเองจะเกิดทะเลเพลิงแดงฉานไปทั่วบริเวณน่ะ"เพชรราหูพูดเตือน
" ไม่เห็นจำได้เลย" เขาน่ะรู้ดีแต่แค่ดื้อด้านเท่านั้นเอง
" จำไม่ได้​แต่ว่าเพชรราหูก็บอกแล้วนี่ไง​ อยากให้บ้านเมืองวอดวายเพราะอยากลองวิชาน่ะเหรอ​ ไม่เอาด้วยหรอก" เมธาวีช่วยเสริม
" เอาเถอะๆ​ ศุภลักษณ์​วันนี้อย่าลองวิชาที่นี่เลยเถอะ​ ไปเที่ยวเล่นกับเราดีกว่า" ปัทมาสน์กล่าวชวน​เพื่อตัดปัญหา​
"จริงๆเลยนะ​ พร้อมใจกันจริงๆ​ ก็ได้ๆเราไปกับเจ้าก็ได้เผื่อว่าจะดีขึ้นมาบ้างล่ะนะ"เจ้าตัวก็ยอมเสียแต่โดยดีแล้วจึงเดินทางไป
แปลงดอกแวววิเชียรงามสะพรั่งด้วยความเอาใจใส่ของพระโอรสวันจันทร์​ เขามาพิศดูพลางนึกถึงคนเมืองรัตนบุรี​ ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้างหนา
เมืองเจ้าของพันธุ์​ดอกไม้​ ธิดาวันจันทร์ก็ได้ชมแวววิเชียรอ​ยู่เช่นกัน
" จันทราภา​มาชมดอกไม้อยู่นี่เอง​ เราก็นึกว่าไปไหนเสียอีก" พุทธรัตน์​เข้ามาหาพร้อมเก็บดอกไม้ไปพลาง
"ใช่แล้วล่ะพุทธ​รัตน์​ แล้วนี่เข้ามาชมดอกไม้เหมือนกันเหรอ"  เธอก็ถามกลับไป
"ไม่ใช่แค่มาชมดอกไม้หรอก​ เรากะจะเก็บดอกไม้ไปร้อยพวงมาลัยถวายเสด็จแม่" เธอพูดพลางยิ้ม
" งั้นก็ดีเลยสิ​ เราจะทำด้วยคน"ธิดาวันจันทร์กล่าวแล้วจึงหาดอกไม้
" แล้วมาดูกันว่าของใครจะสวยกว่าใคร"ธิดาวันพุทธกล่าวพลางยิ้มสรวลอย่างชอบใจแล้วก็เก็บดอกไม้ต่อ​ เมื่อได้ปริมาณที่พอใจแล้วนั้นทั้งสองจึงพากันไปร้อยมาลัยภายในพระตำหนัก​ อีกฝากฝั่งหนึ่งมีหญิงสาวกับชายหนุ่มรุ่นเดียวกันประลองดาบกันอย่างแข็งขัน
"ศนิวารอย่าออมมือสิ" ประกายพฤกษ์เข้าใช้อาวุธโรมรันอีกฝ่าย
"ถ้าเจ้าเจ็บขึ้นมาใครจะรับผิดชอบล่ะ​" อีกฝ่ายตอบ
"เรารับผิดชอบเอง​ หรือว่าเจ้ากลัว" เธอพูดขึ้นด้วยความท้าทาย
"ไม่กลัว" เขาว่าแล้วจึงต่อสู้สุดกำลัง​ ทั้งสองนั้นฟาดฟันกันดูแรงทั้งที่ไม่ได้ใช้พลังเสียจนเหมือนไม่ใช่การฝึกธรรมดาจนดาบหลุดมือทั้งคู่
"เล่นกันแรงไปหน่อยหรือปล่าว"สุริยะที่ผ่านมาเข้าเก็บดาบให้ขณะที่เหล่าข้าราชบริพารกำลังอกสั่นขวัญแขวนอยู่
"ไม่นะไม่แรงเท่าไหร่" ศนิวารกล่าวตอบ
"เอาเถอะๆ​ อย่าฝึกเล่นมากก็แล้วกัน​ ถ้าเสด็จแม่ผ่านมาเห็นคงมิพอพระทัย" เขาเตือนทั้งสองด้วยความหวังดี​ แล้วเดินจากมาหาภูมินทร์ที่กำลังทบทวนพระเวทย์เหมือนอยู่ในภวังค์​เสียอย่างไรอย่างนั้น
"ขยันซะจริงเลยนะภูมินทร์" เขามาทักทายสักหน่อย
" ขยันอะไรกันล่ะ​ อีกประเดี๋ยวเราก็ไปนั่งสมาธิแล้ว"เขาพูดตอบเสียอีกคนอดยิ้มไม่ได้
" เอ.. เราแยกร่างกันมาสักพักแล้ว​ยังไม่เห็นอังคาสเลยนะ​ เจ้าเห็นบ้างหรือปล่าว" สุริยะเห็นไม่ครบก็ห่วงบ้างเป็นธรรมดา
"อ๋อ.. อังคาสน่ะไปป่าตั้งแต่แสงทรงกลดออกแล้วล่ะ" ภูมินทร์พูดตามที่เห็น
" ขอบใจมากนะ​ เราไม่กวนแล้วล่ะ"เขาพูดเสร็จจึงจากไปเฝ้าพระ​บิดาแลพระมารดร
" สุริยะมีอะไรหรือปล่าวลูก"ท้าวพีรเชษฐ์เธอถามพระโอรส
" เสด็จพ่อ​ เสด็จแม่พระเจ้าค่ะ​ ลูกขอลาเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ไปเฝ้าพระอัยกานะพระเจ้าค่ะ"
" อ้าว.. แล้วลูกบอกกับคนที่เหลือหรือยังล่ะ​ จะไปก็ไปเลยมันไม่ดีต่อหลายฝ่ายหรอกนะลูก" มเหสีสไบทอง​กล่าว
"อาทิตย์​ทรงกลดคราวที่แล้วลูกตกลงกับทุกคนไปแล้วพระเจ้าค่ะว่าลูกจะเริ่มเดินทางไปก่อน​ พอรวมร่างกันแล้วก็จะเดินทางต่อๆกันไป"
" ไม่ได้เจอกับพระอัยกาถึงสิบปี​ไปเฝ้าก็ดีอยู่หรอก​ แต่ว่าแม่กลัวอันตรายจะมาถึงลูกอีก"เธอกลัวเหลือเกินแม้เวลาจะผ่านมานานแล้ว
"ไม่เป็นไรหรอกสไบทอง​ ลูกเราน่ะเรียนวิชามาจากท่านฤๅษี​อนุชิตแล้วนะ​ อีกทั้งยังมีเกราะกายสิทธิ์​อยู่​ ไม่มีใครจะทำอันตรายลูกเราได้อีกแล้วนะ"ท้าวเธอกล่าวให้พระชายาขวัญชื้นฟื้นใจเสีย
" เอาเถอะ​ ขอให้ลูกเดินทางอย่างปลอดภัยนะ​ ระวังตัวด้วยนะลูก" ผู้เป็นแม่นางยอมก็จริงอยู่แต่ใจก็อดห่วงไม่ได้
" ขอให้ลูกโชคดี​ ไร้อันตรายนะ" ผู้เป็นพ่อจึงได้ให้พรอีกคน
" ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ​ ลูกจะรีบกลับมา​ หม่อมฉันทูลลา" ว่าแล้วเขาก็ได้ออกเดินทางไปต่างเมืองพร้อมกับพี่หิ่งห้อยคู่ใจทันที

" เอาเถอะ​ ถ้าอยากทำตามใจนักเราไม่ห้าม​ แต่ห้ามไม่ให้เจ้ามาพบหน้าเราอีกเลยบดิศร​" ประโยคนี้นึกทีไรก็ใจหาย​ ถึงจะอยู่เมืองใหม่สุขสบายแต่ไม่หายคิดถึงเรื่องผ่านมา​ บดิศรพลันนึกถึงเหตุการณ์​คราวนั้นอีกตามเคย​ เขาอยากรู้ว่าพระบิดาจะเป็นอย่างไรบ้าง​ จะเคยนึกถึงลูกอย่างตนบ้างไหม​ หรือว่าไม่เคยเลย เขาถอนหายใจได้ครู่เดียว​มารดาก็เข้ามา
" เป็นอะไรไปลูก​ ถอนหายใจเสียดังเชียว" แม่เขาถามด้วยความเป็นห่วง
"ไม่เป็นอะไรหรอกพระเจ้าค่ะเสด็จแม่​ ลูกแค่คิดอะไรไปเรื่อยๆเท่านั้น" เขาตอบเพราะไม่อยากเอ่ยหาบิดาให้มารดาช้ำใจ
"เช่นนั้นหรอกรึ​ แล้วนี่พวกเราจะไปเยือนเมืองคีรีมาศเมื่อไหร่กันดีล่ะ​ จะได้มีพันธมิตรกัน​ เขาว่ากันว่าเหล่าพระโอรสธิดาของเจ้าเมืองนั้นมีวิชามาก​ ดีไม่ดีเราจะได้มีคนช่วยเราทำงานใหญ่ได้ลุล่วง"
" น่าจะเป็นพรุ่งนี้พระเจ้าค่ะ​ "
" ดี​ แม่เห็นว่าเราต้องเตรียมไว้บ้างเพราะ​ว่าเกราะกายสิทธิ์​น่ะมีฤทธานุภาพมาก​​ ไหนจะพวกที่มีสังวาลย์​จากไหนไม่รู้อีก​ ถ้าเรามีพวกด้วยเยอะๆจะดีไม่น้อย"เธอพูดไปใครจะรู้ล่ะว่าเมืองที่จะผูกพันธมิตรก็คือมิตรก่อนเก่าของศัตรูตนนั่นแล
ที่พระตำหนักบุษากรในศาศวัตบุรีนั่นเอง​ พระธิดาอัญญานีแสร้งเป็นชมดอกไม้ร่วมกับหญิงสาวอีกคนที่ชื่อบัวแย้มเพื่อที่จะหาช่องว่างสู่การหลบหนีเพราะตนพอจะทราบมาว่าอีกไม่นานนี้เทพวิษุวัตจะมารับไปเข้าพิธีวิวาห์​โดยไม่เต็มใจ
"เราอยากอยู่กับบัวแย้มสองคนน่ะ​ ไว้พรุ่งนี้​มาเฝ้าเราแล้วกัน" อัญญานีบอกนางกำนัลทั้งสองที่กำลังถวายงานพัดวีให้อยู่
"แต่ว่าพวกหม่อมฉัน..." นางกำนัลจะกล่าว​ แต่เธอห้ามไว้เสียก่อน
"แต่ว่าอะไรนักล่ะ​ ถ้าเราต้องการอะไรบัวก็ทำให้เราอยู่แล้ว​ ถ้าขัดเราอีก​ล่ะก็จะลงโทษเสียให้เข็ด"เจ้าหญิงทำหน้าขึงขังใส่เสียจนนางกำนัลต้องยอมถอยไปแต่โดยดี​ เธอจัดแจงแต่งผ้าลำลองแล้วจึงจับที่ข้อมืออีกคน
" เราไปกันเถอะบัว" อัญญานีบอกเตรียมที่จะไป
"พระธิดาแน่พระทัยแล้วหรือเพคะที่จะเสด็จโดยธำมรงค์วงนี้"บัวแย้มกล่าวถามด้วยความไม่แน่ใจ
" แน่ใจสิ​ แหวนศุภรน่ะ​เราเพิ่งพบเมื่อคืนว่าสามารถพาเราไปที่ไกลๆได้​ ไม่รู้หรอกว่าที่ไหน​ แต่เราแน่ใจว่าไกลจากที่นี่มาก​ เราไปกันเลยเถอะ"
"เพคะ" ว่าแล้วแหวนก็ได้นำพาทั้งสองมายังป่าที่อยู่ระหว่างอดีตเมืองโกสุมพิสัยและเมืองทิศพล
"มีเสียงลำธารอยู่แถวนี้ด้วยเพคะพระธิดา​ พระธิดารอบัวอยู่ตรงนี้นะเพคะ​ บัวจะไปหาปลากับผลไม้มาถวาย"
" เราไปด้วยไม่ได้เหรอบัว"
" พระธิดาทรงพักผ่อนรอตรงนี้จะดีกว่าเพคะ​ บัวจะรีบหาอาหารและกลับมา"
"ตามใจก็ได้​เราจะรอตรงนี้ล่ะ​ กลับมาไวๆนะ" ว่าแล้วจึงได้นั่งพักอยู่ใต้ร่มไม้และอีกคนจึงเดินทางไปยังลำธารทันที

" เมฆา​ เมฆา"เสียงเรียกของผู้หญิงแต่ไกลทำให้ธิดาอสุราฉงน
" ช่วยด้วยสิ​ ช่วยเราที" พระโอรสวันศุกร์วิ่งขอมาให้ช่วยไม่นานนักเจ้าของเสียงเรียกก็มาถึง
" เมฆาหนีเราทำไมเนี่ย.. อ๊ะ!! .. แล้วนี่ใครน่ะ" หญิงสาวเห็นผู้หญิงที่ควงแขนอยู่กับคนที่เรียกหาก็สงสัยทั้งที่ไม่เห็นหน้า
" อ๋อ... นี่น่ะเหรอ​ นางคือนภาพร  นภาพรหันมาทักทายฉันทนาหน่อยสิ"ว่าแล้วทั้งคู่ก็หันกลับไป
"ย.. ยักษ์!!  นี่มันอะไรกันน่ะเมฆา​ ทำไมถึงมาควงแขนยักษ์แบบนี้ล่ะ"ฉันทนาตกใจแต่ก็สงสัยนัก
" เราต้องถามเจ้ามากกว่า​ว่าเจ้าเป็นใคร​ มายุ่งอะไรกับคนรักของเรากันล่ะ" ยักษีตอบพลางควงรัดแขนอีกคนแน่นกว่าเดิม
" เบาๆหน่อย​เจ็บนะ"คนที่ใช้นามว่าเมฆากระซิบอีกคนเพราะลงแรงมากไปเสียหน่อยกลับกลายเป็นภาพบาดใจอีกคน
" คนรักเหรอ​ เจ้าพูดมาหน้าไม่อาย​ ยักษ์​อย่างเจ้านี่นะ​ เราตะหากล่ะที่เป็นคนรักของเมฆาน่ะ" เธอพูดทำเสียอีกคนแทบปาดเหงื่ิอ
"คนรัก​ โธ่ๆเจ้านี่ไม่รู้อะไรเล้ย​ พวกเราน่ะคู่สร้างคู่สมกัน​ ขนาดชื่อนี่นะยังคล้องจองแถมคู่กันอีก​ เจ้ามีดีอะไรล่ะที่เมฆาจะชอบ" ยักษ์​อ้างชื่อนภาพรกล่าวพลางยิ้มชอบใจที่ได้แกล้งอีกฝ่าย
"หึย.. มีสิ  เราเป็นคน​ สวยก็สวยกว่า​ ผมก็ตรงงาม​ เมฆาก็บอกว่าชอบจนอยากตัดผมเราไปเก็บเสียด้วยซ้ำ" ฉันทนาพูดทำให้นภาพรมองหน้าเมฆาอย่างอดสงสัย​ไม่ได้​ แต่ก็ต้องช่วยเล่นไปก่อน
"เจ้าเจอเมฆาเมื่อไหร่ล่ะ​ เราน่ะดูใจมาสองปีล่ะหนา" เธอพูดกะจะทับถมอีกฝ่าย
"เราอยู่กับเมฆาสามปีแล้ว"อีกคนตอบอย่างมีชัย​ เมฆาไม่พูดอะไรแต่ก็หายใจติดขัด
" งั้นเหรอ​ แสดงว่าเราก็แย่งเจ้างั้นสิ"
"ใช่"
"ว้าย!!.. ตายละ​ เขามีแต่แย่งยัก​ นี่โดนยักษ์แย่ง​ ไปกันเถอะเมฆาอย่าไปสนใจเลย"ว่าแล้วก็รีบพากันควงออกไปปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นอัดอั้นตันใจอยู่​ ไม่นานก็ตัดสินใจตามไปแต่ตามไม่ทันพบแต่อีกาคู่เกาะอยู่บนกิ่งไม้เท่านั้น​ พาลพาให้อารมณ์เสียจนเอาไม้ไล่ตีนกผู้ไม่รู้ประสาจึงหนีไปจนถึงอดีตกระท่อมที่พักของบัวแย้มแล้วกลับสู่ร่างเดิม
" ฮ่าๆ​ ผู้หญิงคนนั้นน่าสนุกดีนี่​ ทำไมล่ะถึงได้หลบหน้าหรือว่าจะเป็นคนรักจริงๆ" ปัทมาสน์จ้องมองอีกคนแบบแกล้งเค้นความจริง
"ไม่ใช่หรอก​ นางน่ะคิดไปเอง​ แค่ชมว่าสวยนิดสวยหน่อยก็หลงเรา​ เราไม่รู้ด้วยนะเออ" ศุภลักษณ์​บ่ายเบี่ยง
"แล้วใช้ชื่อปลอมทำไมล่ะ​ กะจะทิ้งงั้นสิ"
" ไม่ใช่ๆ​ เราแค่ไม่อยากบอกชื่อจริงให้คนแปลกหน้าน่ะ"
" สามปียังจะแปลกหน้าอีกเหรอ"
" ใช่น่ะสิ"
"ปัทมาสน์ศุภลักษณ์​ พวกเจ้าสองคนก็มารำลึกความหลังที่กระท่อมบัวกันเหรอ" แสงสุรีย์เข้ามาด้านหลังทำให้ทั้งคู่ตกใจ​ เมื่อหายแล้วจึงได้ตอบ
" ใช่แล้วล่ะ​ ปัทมาสน์พามา" ศุภลักษณ์​บอก
" นี่เจ้ายังคิดถึงบัวแย้มไม่ลืมเลยล่ะสินะ"ธิดาวันอาทิตย์ถามพลางมองอีกคนอย่างห่วงๆ
" ใครจะไปลืมลง​" นั่นน่ะสิ​ ธิดายักษ์น่ะไม่มีทางลืมหรอกเพราะเธอออกจะรักเหมือนน้องสาวเสียขนาดนั้น
พลางคิดย้อนไปในอดีตที่เจอครั้งสุดท้ายก็สิบปีมาแล้ว
"พระธิดา​ บัวต้องไปแล้วนะเพคะ" เธอตระเตรียมของพร้อมบอกลา
" ไปไหนล่ะบัว" พระธิดาไม่เข้าใจ
"มีคนมารับบัวกับยายไปอยู่ด้วยเพคะ​ บัวต้องตามไปดูแลยาย" เสียงไอทรมานของผู้เป็นยายดังเป็น​ละลอก​
"เฮ้อ​ เราน่ะอยากดูแลมากกว่าอีก​ ถ้าไม่ติดว่ามีอัคนินสักคน​ เสด็จพ่อคงให้เราพาบัวกับยายไปอยู่ด้วยแล้ว"
"ไม่เป็นไรหรอกเพคะ​ ตอนนี้ยายกับบัวก็จะอยู่อย่างที่พระธิดาหวังไว้แล้ว"
" จะดีจริงเหรอ"
" เพคะ​ ยายของบัวไม่เคยอยากให้บัวลำบาก​ ตอนนี้มีคนมาช่วย​ยายด้วย บัวก็สบายใจเพคะ"
" เอาเถอะ​ เราคงห้ามไม่ได้​ ยังไงก็ดูแลตัวเองดีๆนะบัว​เราเชื่อว่าสักวันพวกเราจะได้เจอกันอีก"เธอพูดพลางกุมมืออีกฝ่าย
บัวแย้มดับยายจึงเดินทางไปยังเมืองศาศวัตที่ยายได้ช่วยชีวิตคนคนหนึ่งที่เป็นคนเมืองนั้นไว้
ภาพความทรงจำมีในขณะที่บัวแย้มกำลังหาปลา​ เมื่อพอใจกับปริมาณที่หาแล้วจึงจะไปหาผลไม้ต่อ​ แต่ต้องหยุดเมื่อได้ยินเสียงเหมือนมีคนมาเล่นน้ำ​ ตนจึงลอบมองพบว่าเป็นชายหนุ่มรูปงามสวมเกราะชมพูกำลังใช้มือสาดน้ำไปทั่วๆอย่างสบายใจ​ ตอนนี้เจ้าตัวรู้แล้วล่ะว่ามีคนมาแอบมองอยู่จึงแกล้งพูดออกไป
"ไม่เล่นดีกว่า​ น่าเบื่อจริงๆ" อยู่ดีๆก็ทำท่าเบื่อแล้วเผลอครู่เดียวก็หายตัวไป
"อ้าว​ เมื่อกี้ยังอยู่ตรงนี้อยู่เลยนี่นา" บัวแย้มออกมาดูพลางพูดอย่างสงสัย
"อะไรอยู่ตรงนี้" อังคาสลอบถามจากข้างหลัง
"ก็ผู้ชายที่เล่นน้ำนี่ไง.."เธอพูดพลางหันหน้ามาแบบลืมตัวแล้วพบกับเจ้าตัวเข้าให้
"นี่​มาแอบดู​เราเหรอ" เขาถามพลางขมวดคิ้วมอง
"ป่าวนะ​ เราแค่ผ่านมาเห็นคนมาเล่นน้ำก็แค่มอง​ดูว่าเป็นใคร" เธอพูดให้อีกคนเข้าใจ
"แล้วก็พบว่าเป็นเรา​ ถามหน่อยเถอะเป็นผู้หญิงอยู่ในป่าถ้ามีผู้ชายมาเล่นน้ำจะดูทุกคนเลยไหมล่ะ" เขาถามซะจนผู้ฟังเริ่มไม่สบอารมณ์
"นี่จะบ้าเหรอ​ เราไม่ได้เป็นแบบที่เจ้าถามนะ​ เจ้าน่ะสิอิท่าไหนถึงมาเล่นในป่าดงดูแล้วก็เป็นคนเมืองนี่นา​"
" นั่นมันก็เรื่องของเรา"
" เราผ่านมาเห็นแล้วมองก็เรื่องของเราเหมือนกัน"เธอยอกย้อนอีกฝ่าย
" ย้อนเราเหรอ"อังคาสจับข้อมือบัวแย้มพลางมองอีกฝ่าย
"ย้อนไม่ย้อนก็คิดเอาเองเถอะ​ แต่ปล่อยเราเดี๋ยวนี้นะปล่อย!! "เธอขัดขืนแต่สู้แรงอีกคนไม่ได้
" ไม่ปล่อยจนกว่าจะขอโทษเรา" เขาจับแน่นกว่าเดิมอีก  คนโดนจับเลยคิดที่จะหาทางเลี่ยงความสนใจ
" ย.. ยักษ์!!" เธอร้องพลางมองไปด้านหลังของอีกฝ่ายพลางทำหน้าหวาดกลัวอย่างมาก​อีกคนจึงหันไปดู​ อาศัยทีเผลอสะบัดข้อมือวิ่งหนีไปในทันที
" นี่เจ้า.. เจ้า!!" เขารู้ตัวจึงวิ่งตามไปแต่ไม่รู้ทำไมอีกคนถึงวิ่งเร็วนัก​ แปลกจริงไม่น่าจะวิ่งเร็วขนาดนี้​ แต่ป่าวหรอกเธอแค่หลบไปอีกทางเฉยๆ​ เขาน่ะวิ่งหาไปอีกทาง​ บัวแย้มจึงไปหาผลไม้ต่อไป
อัญญานีรอนานแล้วแต่อีกคนไม่มีทีท่าที่จะกลับมาเลย​ จึงจะตามไปดู​แต่แล้วต้องพบกับอสรพิษร้ายอย่างงูเจ้ากรรมเข้าให้​ เธอไม่อยากทำร้ายมันจึงวิ่งหนีไปเสียดีกว่า​ นั่นทำให้เธอหลงทางเสียจนได้​ สุริยะกับหิ่งห้อยยักษ์​ผ่านทางมาพอดีจึงลงไปดู
"ท่าน​ ทำไมถึงมาเดินป่าคนเดียวล่ะ​ ดูเหมือนท่านจะมีอันตรายเลย" สุริยะถามอีกคน
"เรา​ เราไม่ได้เดินคนเดียวหรอก​ เรามากับภริยาแต่พลัดหลงกัน​ อันตรายน่ะเราไม่มีหรอก​ กลัวแต่หิ่งห้อยยักษ์​ที่มากับท่านเสียมากกว่า" เธอพูดตอบอีกคน​ ถึงจะเคยเห็นหิ่งห้อยยักษ์​มาก่อน​แต่ตัวเองก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นตัวเดียวกันหรือไม่ เขามองเห็นแหวนศุภรพลางมองกับหิ่งห้อยยักษ์​เป็นเชิงว่าอย่าเพิ่งถามจะดีกว่า
"ไม่เป็นไรหรอกจะ​ พี่หิ่งห้อยน่ะไม่ทำร้ายใครแล้ว"หิ่งห้อยยักษ์กล่าวอย่างเป็นมิตร
" เราจะช่วยหาภริยาท่านอีกแรง​ เราสุริยะนะ​ ท่านชื่ออะไรหรือ"เขาแนะนำตัว
" เราอัญ.. อันติมะ" อัญญานีเกือบพลั้งบอกชื่อจริงไปเสียแล้ว
"อันติมะ​ ภริยาท่านชื่ออะไรหรือ​ เราจะช่วยเรียกหาถูก​"เขาถามข้อมูลเพื่อจะช่วยตามหาให้ง่ายขึ้น
"บัวแย้ม​ นางชื่อบัวแย้ม" สิ้นคำตอบไม่ทันไรฝนก็ตกมาเสียอย่างนั้น​ ทั้งหมดจึงต้องหาที่หลบฝนก่อน​ บัวก็ต้องหาที่หลบฝนเหมือนกัน​ แต่ทว่ามาหลบเจอคนที่ทำเจ็บข้อมือเสียซะอย่างนั้น
" นี่เจ้า​ อิท่าไหนล่ะถึงมาหลบฝนที่เดียวกับเรา" อังคาสที่ตอนแรกเหมือนจะขึ้นเสียงแต่ลดเสียงให้คล้ายแกล้งถามไป
"ใครจะไปรู้ล่ะว่าจะมีคนอยู่ในนี้​ เราไปก็ได้" ว่าแล้วเธอจะเดินไปแต่อีกคนก็คว้าข้อมือไว้
"ปล่อยนะ​เราเจ็บ" อีกคนขัดขืนอีก​ แต่นั่นมันจะทำให้เจ็บกว่าเดิมน่ะสิ
" ปล่อยน่ะได้​ แต่ต้องหลบฝนด้วยกันที่นี่นี่ล่ะ​ ส่วนข้อมือนี่เราจะช่วยให้หายเจ็บ​ ฝนตกแรงขนาดนี้​ออกไปจะเปียกไม่น้อยเลย"ว่าแล้วเขาก็คลายมือออก​ อีกคนไม่ได้หนีไปไหนตัวเองเลยเป่ามนต์​ที่เรียนมาให้ข้อมืออีกคนหายเจ็บ
"หายเจ็บแล้ว.. งั้นเหรอ" เธอพึมพำอย่างประหลาดใจ​ อาการหายเหมือนไม่เคยเจ็บเลย
" แทนที่จะขอบใจ​ กลับพึมพำอะไรก็ไม่รู้"
" ไม่ล่ะ​ เราถือว่านี่เป็นสิ่งที่เจ้าต้องทำให้อยู่แล้ว​ เพราะว่าเจ้าทำเราเจ็บตัว"
"พูดอย่างนี้อยากเจ็บตัวอีกล่ะสิ"
"ไม่อยาก​"
"เอ้อนี่​ เจ้าหาปลากับผลไม้ไปกินกับใครน่ะ​ ลักษณะ​อย่างนี้คงไม่กินหรอกคนเดียวหรอก" เขาพูดพลางมองไปที่อาหารที่เก็บมาได้ของอีกคน
"เราหาไปกินกับ.. สามี​ สามีเรา"เธอพูดเพราะคิดได้ว่าอัญญานีกำชับให้แสดงตนเป็นสามีภรรยากันจะได้ไม่มีคนสงสัย
" เจ้ามีสามีแล้ว​ สามีเจ้าไม่ได้เรื่องเลยนะ​ ให้เจ้ามาหาอาหารคนเดียว" เขาพูดพลางบ่นเล็กน้อย
" อย่าว่าสามีเรานะ"
"แตะต้องไม่ได้เลยงั้นสิ"
"ใช่.."สิ้นสุดคำทั้งสองก็ไม่ได้พูดกันอีก​ มีแต่ความเงียบท่ามกลางฝนกระหน่ำ​ เวลาผ่านไปจนค่ำแล้วฝนจึงหยุด​ ตอนนี้ไม่อีกคนซะแล้วสิ​ บัวแย้มก็ได้แต่แปลกใจ​ แต่ไม่ได้การล่ะ​ ตนต้องไปถวายอาหารให้พระธิดานี่​ ป่านนี้คงรอแย่แล้ว​ คิดได้จึงเร่งเดินทาง
" จะทำอย่างไรดีล่ะ​ ค่ำแล้วฝนเพิ่งจะหยุด​ บัวจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้​  "  เธอพร่ำด้วยความเป็นห่วงอีกคน
"อย่างนั้นก็อย่าช้าเลย​ เราไปหากันต่อดีกว่า" ว่าแล้วทั้งหมดจึงไปตามหา
"จะ.. จะไปไหนเหรอน้องสาว" เสียงน่าขนลุกพิลึกดังขึ้นมาหลังบัวแย้ม​ เมื่อหันหลังกลับไปจึงพบกลับผีโครงกระดูก​ มีแต่หัวกับแขน
"ผ.. ผี"เธอตกใจ​แต่พยามยามไม่กลัวมาก​ ต้องตั้งสติเข้าไว้
"ก็ผีน่ะซี​ ช่างเถอะน่า​ตาหวานน่ะไม่ทำอะไรไรเราหรอก​ แค่อยากช่วย​ เหมือนหลงทางเลยนี่"เขาพูดกับอีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร​ ดูท่าจะเป็นผีดีเสียด้วย​ ตนจึงอุ่นใจขึ้นมา
"ไม่ได้หลงทางหรอกจะ​ บัวกำลังจะไปหาสามีของบัว​ แต่ว่าหาไม่พบนี่สิ​" มาที่เดิมแท้ๆแต่ไม่พบน่าฉงนจริง​
" เดี๋ยวพี่ตาหวานจะช่วยหาอีกแรงแล้วกัน"ว่าแล้วทั้งคู่จึงออกตามหาแล้วไปพบกันพอดี
"บัว​ บัวเป็นอะไรรึปล่าว​ เราเห็นว่าบัวไปนานแล้วเราเป็นห่วง​ เราเลยออกตามหา" อัญญานีเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วงพลางจับที่ตัวของบัวดู
" บัวไม่เป็นไรหรอกจะพี่อัน​ พี่ไม่น่าออกตามหาบัวเลย"บัวแย้มเห็นมีคนอื่น​อยู่ด้วยจึงแสร้งเรียกเสมือนภริยา
"ออ.. นี่คือสุริยะกับพี่หิ่งห้อยน่ะ  แล้วนั่นมันผีหนิ  ทำไมถึงอยู่กับผีได้ล่ะ"
" ก็บัวเดินทางมาเจอ​พี่ตาหวาน​ พี่ตาหวานเป็นห่วงเลยมาส่งน่ะจะ"
"นั่นมันเกราะกายสิทธิ์​นี่หว่า​ นี่จะเป็นบุญของเราแล้วกระมัง" ผีตาหวานชี้ไปยังสุริยะ
"คิดจะไรทำอะไรน่ะเจ้าผี" หิ่งห้อยยักษ์​ถามเพราะกลัวจะมาเป็นอีหรอบเดิมเดียวกับเจ้าตัวประหลาดนั่น
" ป่าวๆ​ นี่ท่านน่ะ​ พี่ตาหวานขอติดตามไปด้วยนะ​ มีคนเคยบอกไว้ว่าถ้าตาหวานช่วยทำคุณกับคนที่สวมเกราะกายสิทธิ์​ล่ะก็​ ตาหวานจะไปสู่สุขคติ"
"ได้สิพี่ตาหวาน​ น้องชื่อสุริยะ​ มีอะไรต้องรบกวนด้วยนะ" สุริยะได้ยินยอมพร้อมกับฝากตัวด้วย
"เอาล่ะเรามาหาฟืนก่อไฟกันดีกว่าเถอะ​ มืดมากแล้ว" ผู้อ้างชื่ออันติมะกล่าว​แล้วทุกคนจึงช่วยกันหาก่อไฟกันจนได้คุยกัน
" เราขอถามท่าน​ ธำมรงค์ศุภรที่ท่านสวม​ ท่านไปได้จากไหนมา"สุริยะเปิดประเด็นที่ค้างคาใจมาถาม
" เรา​ เราได้มาจากผู้หญิงคนหนึ่ง" เธอพูดตอบ​ เธอไม่ได้โกหกนี่ก็ได้จากผู้หญิงจริงๆน่ะนะ
" ใครงั้นเหรอ" เขาถามพลางขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความฉงน
"เราจำไม่ได้หรอก​มันนานมาแล้ว​ ว่าแต่เจ้าเถอะรู้จักแหวนวงนี้ได้ยังไง
"เราเคยเจอมาก่อนน่ะ" เขาก็พูดตามจริง
"งั้นเหรอ​ แต่ตอนนี้แหวนี้เป็นของเรา​ ขอเจ้าอย่าถามอีกเลย" เธอตอบ​ ดูท่าแล้วก็ไม่เหมือนผู้ชายเท่าใดเลยนี่  หรือว่าจะเป็นอัญญานีสหายเก่าของจันทราภากันนะ​ เลือกจะไม่เซ้าซี้ดีกว่า​ ไว้พรุ่งนี้ให้เขาคุยกันเอง
"ได้​ เราจะไม่ถามท่านแล้วก็ได้" ทั้งหมดจึงคุยสัพเพเหระเสร็จแล้วจึงนอนหลับพักผ่อนไป
..
" ขยันจริงๆ​เลยนะอัคนิน" แสงสุรีย์เข้ามาทักอีกคนที่ซ้อมดาบจนค่ำแล้วยังไม่หยุด
"เราไม่ได้ขยัน​ มีอะไรรึปล่าว" เขาตอบกลับและถามอย่างห้วนๆ
"เราไม่มีหรอก​ เราแค่อยากมาทักทาย​ เราเห็นเจ้าฝึกซ้อมดาบอย่างนี้เราก็สบายใจ​ ดีแล้วล่ะจะได้เป็นเป็นกำลังพลให้บ้านเมืองต่อไปได้​ อย่าหักโหมนักนะ​ เราไปล่ะ" ว่าแล้วเธอจึงเดินจากไป​ คำพูดที่จะเป็นกำลังพลนั้นมันแทนที่จะให้กำลังใจแต่ว่ากลับเป็นการตอกย้ำในความคิดคนฟังว่าเขาควรเป็นเพียงทหารไม่ใช่คนปกครอง​ ตัวจึงฟาดฟันคู่ซ้อมที่เป็นข้ารับใช้ตนเสียปางตาย
" ดูถูกข้านักเรอะ​ ตายซะเถอะ!! "ว่าแล้วตนก็ใช้ดาบจะฟันอีกคนเสียให้สิ้นถ้าไม่มือมีสตรีมาจับระงับไว้
"อัคนิน  ลูกจะทำอะไรน่ะ​ เจ้าจะฆ่าคนของตัวเองงั้นรึ" ผกากรองมราดาถามลูกที่ทำการอุกอาจเช่นนี้​ เขาถอนหายใจก่อนจะลงมือลง
"อย่าลืมสิ​ พวกเรามีคนแค่หยิบมือ​ ถ้าสังหารพวกข้าใช้สิ้นแล้วใครจะอยู่ข้างพวกเราล่ะ​ เจ้าต้องใจเย็นอดทนรออีกสักนิด" เธอพูดให้บุตรได้คิดตาม
"รอ​ อีกเมื่อไหร่ล่ะท่านแม่​ อีกเมื่อไหร่กัน​ ลูกรอมานานมากแล้วนะ" เขาทำท่าไม่พอใจ
"เชื่อแม่เถอะ​ อีกไม่นานจะเป็นวันของเรา​ แม่เตรียมการใกล้เสร็จสิ้นแล้ว " ลูกที่ได้ฟังก็หุนหันพลันแล่นไม่อยากฟังอีกจึงไปเสียให้พ้นมารดา
..
" อีกไม่นานนี้​เราจะกลับมาอยู่ด้วยกันแล้ว​ อินทรานี"เทพวิษุวัตพูดถึงนางอันเป็นที่รักขณะอยู่ที่หอชิดดาราที่สูงเสียดฟ้าพอที่จะเก็บดาวและความทรงจำเมื่อครั้งก่อนเก่าไว้ได้​ ท่านนึกถึงอดีตครั้งแรกที่พบกันจนถึงวาระสุดท้าย​ นึกแล้วก็พาลให้โกรธเทพบุตรโกวิทหรือนามรองศรุตเทพ​ที่ตนนั้นได้เคยใช้เป็นบริวารที่ไว้ใจมากที่สุด​ แต่ความไว้ใจนั้นกลับถูกทรยศ​เมื่อเขาได้ใช้ให้นำเกราะกายสิทธิ์​มารักษาพระชายา​
กลับนำหนีไปซ่อนไว้จนไม่อาจรักษานางมันจนสิ้นชีพ ถึงจะสาปให้เป็นคนพิการเข็ญใจเท่าใด​ ก็ไม่เท่ากับความแค้นในใจได้​ บัดนี้เขาได้เจอนางจากคำบอกล่าวของฤๅษี​ทมิฬที่รอดมาได้ก็อุ่นใจขึ้นมาบ้าง​ แต่ว่าพระเชษฐภคินีที่สำคัญเท่าชีวิตตนยังหาไม่พบเสียเลย
"พระพี่นางไปอยู่หนแห่งใดกัน​ ป่านฉะนี้แล้วยังไม่พบเลย​" ทำไมกันหนาทั้งทีเป็นพระเทวีเคียงข้างองค์อินทร์ถึงได้หายไปแบบใครก็ตามไม่พบ​ หรือพระนางไม่อยากให้พบกัน​ คงต้องติดตามเสาะหากันต่อไป
..
ที่ถ้ำไม่ไกลจากเมืองรัตนบุรีมากนัก​ เจ้าตัวประหลาดตุ้บเท่งเตรียมตัวจะเดินทางเข้าเมืองในวันพรุ่งซะแล้ว
" ข้ารอมาถึงสิบปี​ ท่านพ่อสิ้นไปแล้ว​ ต่อจากนี้ไม่มีใครจะห้ามข้าได้อีกต่อไป​ เกราะกายสิทธิ์​ต้องเป็นของข้า​ และ​ และสังวาลย์​มณีก็ต้องเป็นของข้าฮ่าๆ" สุดหล่อหัวเราะอย่างชอบใจแล้วจึงจะเดินทางไปในวันพรุ่งเพื่อจะทำสิ่งที่ตนปรารถนาคือครอบครองสิ่งเวษไว้ข้างกาย











ออฟไลน์ จักรกรด

  • *
  • 145
  • 0
  • เพศ: หญิง
  • จิตฺเตน นียติ โลโก. โลกอันจิตย่อมนำไป .
    • อีเมล์
Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
« ตอบกลับ #42 เมื่อ: เมษายน 26, 2020, 06:13:41 PM »
"ขอให้ท่านอยู่และมีเหตุแห่งการสิ้นเฉกเช่นเรา​__ เทพบุตรโกวิทจงไปนำเกราะกายสิทธิ์​มาให้เรา​__ไม่ได้เราจะนำเหตุแห่งสิ้นขององค์ท่านไปให้ไม่ได้​ __ศรุตเทพ​ เสียแรงที่ไว้ใจเจ้า​  เราขอสาปให้เจ้าพิการเป็นง่อย​เข็ญใจจนกว่าจะได้สวมเกราะกายสิทธิ์" ภาพเหตุการณ์​ที่พระอินทร์​ตรัส​-เทพวิษุวัตให้ไปหาเกราะ​- ตนเองอีกคนไม่ยอมนำไปให้-สุดท้ายจึงโดนคำสาป​ ภาพเหล่านี้ตีสลับซ้ำๆไปมาในห้วงฝันของสุริยะ​จนเขาตกใจตื่นในเวลารุ่งสางที่แสงอาทิตย์​ยังไม่ออกชัดดี​ ใบหน้าชุ่มเหงื่อ​ดูท่าไม่ดีเอาเสียเลย  ความฝันนี้เหมือนจริงมากจนน่ากลัว​ กลัวว่าจะเป็นความจริงนี่สิ​ เขามองไปที่เหลือยังไม่เห็นใครจะตื่น​ ตนจึงปลีกวิเวกไปล้างหน้าที่ลำธารคนเดียวก่อนเห็นจะดีกว่า​
"พระโอรสสุริยะ​ มาทำอะไรคนเดียวน่ะพระเจ้าค่ะ" เจ้าผีโครงกระดูกถามอีกคนด้วยความสงสัย
"ก็มาล้างหน้าตามปกติน่ะจะ​ พอดีวันนี้น้องตื่นเช้ากว่าเดิมเลยไม่อยากรบกวน" เขายิ้มให้อีกฝ่าย
"พี่ตาหวานจะรบกวนพระโอรสเสียหน่อน่ะพระเจ้าค่ะ"
"รบกวนอะไรหรือจ๊ะพี่ตาหวาน"
"เวลากลางวันแดดร้อน​ พี่ตาหวานขออยู่ในย่ามให้พระโอรสช่วยให้ได้ไหมพระเจ้าค่ะ"
"ได้สิพี่ตาหวาน"
" ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ​พระโอรส" ผีโครงกระดูกส่งย่ามให้อีกฝ่ายแล้วตนจึงเข้าไปอยู่ในย่ามนั้น​ เสร็จแล้วเขาจึงไปยังที่รวมพล​ พลางคิดก็วิตกไม่หายจึงได้พึมพำไป
" เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่นะ" สิ้นคำไม่นานแสงวันใหม่ได้สาดส่องมายังเกราะกายสิทธิ์​ทำให้คนเปลี่ยนไป
" เรื่องอะไรพระเจ้าค่ะ​ ตรัสเรื่องอะไร" ผีตาหวานถามทั้งๆที่ร่างอยู่ในย่ามนั้น
"เสียงอะไรน่ะ​ แล้วสุริยะสะพายย่ามอะไร" จันทราภาเธอจึงดูในย่ามว่ามีอะไรอยู่ในนั้น
" มีตาหวานพระเจ้าค่ะ​พระธิดา" เขาตอบเมื่อได้ยินเสียงที่เปลี่ยนไปก็พอจะรู้อยู่บ้างว่าไม่ใช่พระโอรสสุริยะแล้วสิ​ เมื่อจันทราภาเห็นก็ตกใจ
"พระธิดาอย่าเพิ่งกลัวเลยนะพระเจ้าค่ะ.." เขาอธิบายเหตุผลให้ฟังเหมือนกับที่บอกกับคนก่อนหน้า​ ทำให้อีกคนสบายใจขึ้นมาเดินมาไม่นานก็ถึงจุดรวมพลเสียที
ซึ่งทุกชีวิตก็ได้ฟื้นคืนตื่นมากันหมดแล้ว​  รอท่าก็แต่อีกคนกับหนึ่งผีเท่านั้นเอง
"อ้าว​ท่าน​ มากินอาหารเช้ากันเร็ว"อันติมะกล่าวเรียกอีกคน​ เพราะตอนนี้มีผลไม้และเหล่าปลาที่ช่วยกันหาของเธอกับภริยากำมะลอระหว่างรอ
"ท่านคงคือผู้ที่เป็นสามีชื่ออันติมะสินะ" จันทราภายิ้มให้อีกคนอย่างมีไมตรีจิต​ แต่เมื่อพิศดูแล้วคนคนนี้เป็นหญิงนี่นา
"ใช่แล้วล่ะ"
" เราจันทราภานะ​ อย่าว่าเราอย่างนั้นอย่างนี้เลย​ ท่านเป็นหญิงทำไมถึงแอบอ้างเป็นชายมีคู่รักล่ะ" อีกคนได้ยินก็ถึงกับผงะ​ ไม่รู้ต้องตกใจที่ได้พบกันกับสหายเก่า​ หรือต้องตกใจที่อีกฝ่ายมองตนออกดี
"ท่านรู้.." เธอคิดอะไรไม่ออกเลยถามไป
"ใช่​ เราเป็นผู้หญิงด้วยกันนะ​ ทำไมจะดูไม่ออกล่ะ... ธำมรงค์​แก้วศุภร ท่านได้มาจากที่ไหน"เธอพูดบอก​ไม่นาน​ก็เห็นแหวนวงนี้ที่คุ้นเคยนี้ที่นิ้วอีกของนาง
"เราได้มาจากประกายพฤกษ์​ เราคืออัญญานี" ว่าแล้วเธอได้แก้ผ้าโพกศีรษะออกทำให้เกศาลงยาวมา​ ส่งผลให้เห็นหน้าคล้ายกับอัญญานีเมื่อวัยเยาว์ไม่มีผิดเพี้ยน
" อัญญานี.. เจ้าจริงๆด้วย​ ทำไมถึงมาเดินป่าแบบนี้ล่ะ​ แล้วบัวแย้มเป็นใครกันน่ะ" จันทราภาถามอย่างอดสงสัย​ไม่ได้​ ถึงขนาดต้องปลอมตัวก็ต้องมีเรื่องเข้าให้แล้ว
"เมื่อสิบปีก่อนหน้านี้​ แม่มดเกลียวทองแปลงกายมาหลอกว่าเป็นเสด็จอาของเรา​ นางว่าถ้าไม่ยอมไปเมืองทิศพลจะพังพินาศ​ ขนาดพลังของสิ่งวิเศษที่พวกเจ้าสวมใส่ยังเอาชนะเทพวิษุวัตไม่ได้​ เราไม่มีทางเลือกเพราะเราไม่อยากให้มีปัญหาเกิดกับผู้บริสุทธิ์​จึงติดตามไปเพื่อหาลู่ทางหนีเมื่อเติบใหญ่ต่อไป​ ส่วนบัวแย้มเป็นคนที่เกลียวทองนำมาเลี้ยงเพื่ออยู่กับเรา​ แต่ว่าบัวเป็นคนดีมากนะ" เธอเล่าให้อีกคนฟัง
" แม่มดเกลียวทอง​ นางยังรอดมาทำเรื่องนี้อีกเหรอ​ ประกาย​พฤกษ์​เคยบอกว่านางกลายเป็นคนชราไร้พิษสงแล้วนี่" พระธิดาวันจันทร์นั้นสบสน
" ตอนนั้นนางหนีมาพบกับยายของบัวเข้าเพคะ​ ยายของบัวจึงช่วยชีวิตนางไว้เพราะสงสาร​ ไม่นึกกว่าเรื่องจะกลายเป็นแบบนี้" บัวแย้มพูดให้ฟังแล้วตนก็นึกถึงยายตนที่เสียไปเมื่อไม่นานนี้เอง
" ที่เราหนีมาได้เพราะแหวนวงนี้ล่ะ​ พาพวกเรามาที่นี่​ แต่บางครั้งเรารู้สึกว่าเหมือนเป็นเพียงแหวนธรรมดาเลย" อัญญานีพูดต่อ
" คงเป็นเพราะไม่ได้ลองใช้จริงจังมากเท่าตอนหนีหรือปล่าวนะ" จันทราภาพูดแล้วทุกคนต่างก็คิดไปอยู่อย่างนั้น
...
"เสด็จแม่​ เสด็จแม่จะบอกสุดหล่อ​ว่าพวกพระโอรสพระธิดาเสด็จไปเมืองทิศพลแล้วงั้นรึ"เจ้าตัวประหลาดเดินทางมาเข้าเฝ้าพระมเหสีเมื่อพบจึงได้ถาม​ ความก็ได้ดั่งที่พูด
" ใช่แล้วล่ะสุดหล่อ​ พระอัยกาน่ะไม่ได้พบกันนับสิบปีแล้ว พวกลูกๆของเราจึงไปเยี่ยมเยือนสักหน่อย"
" อ้าว​ แล้วอย่างนี้จะไปกันสักกี่วันล่ะพระเจ้าค่ะเสด็จแม่"
" ก็แล้วแต่ลูกๆของแม่จะพอใจนั่นล่ะสุดหล่อ" พระนางก็มิอาจรู้ได้เช่นกัน
"ไม่ได้ๆ​ สุดหล่อจะต้องตามไปซะหน่อยแล้ว" เขาเตรียมตัวจะไปหา
" เดี๋ยวสิสุดหล่อ​ ทำไมถึงต้องรีบไปตามหาด้วยล่ะ  พักรอที่นี่ก็ได้"
" ก็สุดหล่อห่วงเกราะ...ห่วงพระโอรสพระธิดาจะมีอันตราย​ บางทีอาจจะมีศัตรูคนใหม่ก็ได้พระเจ้าค่ะ"
" อยากตามไปเราก็จะไม่ห้ามแล้ว​ แต่ว่ากินอะไรเอาแรงหน่อยดีไหมล่ะสุดหล่อ​ แม่เห็นเจ้ามาแต่เช้าน่าจะยังไม่ได้กินอะไร"
" ก็.. ก็ดีพระเจ้าค่ะ" เขานึกถึงอาหารอันโอชาของเมืองนี้จึงตอบตกลงก่อนจะเดินทางต่อไป
...
" องค์​เหนือหัวพระเจ้าค่ะ​ พระอาคันตุกะจากศาศวัตบุรีเสด็จถึงแล้วพระเจ้าค่ะ" นายทหารเข้ามาบังคมทูลยังกษัตริย์​แห่งเมืองคีรีมาศที่ออกว่าราชการแต่เช้า
" เชิญพระอาคันตุกะเข้ามาเถิด"ท้าวธริษตรีกล่าวตอบแล้วทหารจึงไปเชิญมา
"ถวายบังคมพระเจ้าค่ะ​ หม่อมฉันบดิศรจากศาศวัตบุรี​" กล่วทูลแล้วจึงให้เหล่่าบริวารที่ตามมาขนสิ่งมีค่ามาถวายให้
"ยินดีต้อนรับท่านราชทูต​จากศาศบุรีวัตสู่เมืองของเรา​ เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ผูกสัมพันธไมตรีกับเมืองของท่าน" ท้าวเธอกล่าวต้อนรับด้วยความยินดี​ บดิศรจึงยิ้มตอบอีกฝ่าย
" เมืองของหม่อมฉันเพิ่งเป็นเมืองเปิดได้ไม่นาน​ ได้ยินเกี่ยวกับพระบารมีของพระองค์​จึงได้ขอเข้ามาผูกสัมพันธ์​ หวังว่าจะช่วยอำนวยความสบายให้กับเมืองของพระองค์ไม่มากก็น้อยนะพระเจ้าค่ะ"
" อย่าว่าเช่นนั้นเลย เมืองเราต้องรบกวนท่่านหลายเรื่องแน่ในภายภาคหน้า​ ท่านเป็นพระนัดดาของเจ้าเมืองใช่หรือไม่"
" ใช่พระเจ้าค่ะ"
" ดีจริงๆเลยนะที่มีหลานคอยช่วยดูแลงาน​ ท่านก็มีรุ่นราวคราวเดียวกับบุตรเรา​ ช่วงที่พักอยู่ที่นี่เราอยากจะให้เป็นสหายกัน​ จะเป็นการขอมากไปหรือไม่"
" ไม่เลยพระเจ้าค่ะ​ หม่อมฉันยินดี" หลังจากที่คุยกันเสร็จแล้วเจ้าเมืองได้มีรับสั่งให้เชิญพระโอรสทั้งสองมาพบกับบดิศร​  บดิศรเห็นสังวาลย์​จึงต้องคอยดูว่าใช่สังวาลย์มณีที่ช่วยศัตรูตนแต่ก่อนเก่าหรือไม่​ ฝ่ายจันทลักษณ์​ก็สงสัยว่าชื่อน่าจะซ้ำกันมากกว่า​ ป่านนี้ผู้ถูกลงโทษคงอาศัยป่ายังชีพอยู่กระมัง
เจ้าเมืองมีพระดำรัสให้พระบุตรพากันประพาสป่าใกล้ๆพลางล่าสัตว์
" ข้าไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเสด็จพ่อให้เรามาพร้อมกับจันทลักษณ์​ด้วย​ ทำไมไม่เลือกให้มาคนใดคนหนึ่งไปเลย" อัคนินบ่นกับข้าติดตาม
"ถ้าเลือกคนใดคนหนึ่ง​ก็คงเลือกพระโอรสจันทลักษณ์​พระเจ้าค่ะ" บริวารพูดตอบนาย
"พูดอะไรฟังไม่เข้าเรื่อง" เขากำลังจะง้างมือตบปากพล่อยๆของลูกน้อง​แต่มีเสียงเรียกของคนที่ปล่าวถึงเสียก่อน
" อัคนิน เราจะพาบดิศรไปทางไหนดีล่ะ"เขาถามอีกคนเพื่อขอความเห็น
"ไปทิศอาคเนย์​ดูสิ  แถวนั้นสัตว์เยอะดีไม่ใช่เหรอ... เอ... เราว่าพวกเราทั้งสามคนนี่ไปตามลำพังแบบลูกผู้ชายกันดีกว่า​ ให้บริวารตามอย่างนี้ก็ออกจะเกะกะสักหน่อย" เขาออกความเห็น​ กะจะหาเรื่องแกล้งเทำร้ายเสีย
" เราเห็นว่าไปกันตามลำพังก็ดีเหมือนกัน​ แต่การว่าคนอื่นเกะกะนี่ไม่มากไปหน่อยเหรอ"บดิศรเห็นด้วยแต่ว่าก็ขัดอยู่บ้าง​
" ไม่มากไปหรอก​ ไปกันดีกว่า"ว่าแล้วจึงพากันมุ่งหน้าสู่ป่าอาคเนย์​ทิศทันที
...
" พระธิดา​ พระธิดาเพคะ" นางกำนัลที่มาถวายงานเคาะประตูเรียกแต่ไร้คนตอบ
" หรือว่าจะยังไม่ตื่นบรรทม"นางกำนัลอีกคนถาม
" บ้าน่า​สายแล้วนะ  อย่างน้อยคนที่บัวก็น่าจะตื่นแล้ว"
"งั้นก็ดันประตูกันเถอะ​ มันผิดสังเกตแล้ว" ว่าแล้วนางกำนัลทั้งสองจึงดันประตูจนปนะตูเปิดออกก็พบแต่คงามว่างเปล่า​
"ตายแล้ว!! พระธิดาหาย!!" ทั้งสองตกใจจึงรีบไปบอกให้นางแม่มดรู้ข่าว
" หายไปไหน!! " เกลียวทองถามคาดคั้น
" พวกหม่อมฉันก็ไม่ทราบเพคะ"
" ไม่ทราบเหรอ​ ถวายงานกันประสาอะไรถึงได้ปล่อยให้หายตัวได้น่ะ"
"ก็.. ก็พระธิดาสั่งให้พวกหม่อมฉันออกมา​ ถ้าขัดจะลงพระอาญาเพคะ"
"เจ้ากลัวงั้นรึ"
" กลัวเพคะ"
"เพราะว่ากลัวนี่ล่ะถึงได้พลาด​ รับโทษไปซะเถอะ" แม่มดเกลียวทองนางใช้พลังเผาผลาญร่างนางกำนัลจนเป็นจุลแล้วคิดหาทางตามหาคนหลบหนีต่อไป
...
" โอ๊ยยย!! "เสียงร้องดังลั่นของผู้หญิงที่ถูกศรจากบดิศรพลาดใส่เข้าให้
" แม่นางท่านเจ็บมากไหม​"จันทลักษณ์​ลงมาจากหลังม้าก็เข้าประคองคนที่ถูกยิงเธอหันหน้ามาปรากฏ​เป็นตัวประหลาดหน้าเสือเหมือนเจ้าสุดหล่อเลย
"ตัวประหลาดนี่" อัคนินกล่าวเมื่อเห็น
"จั๊กเจ็บ​ เจ๊บเจ็บที่ขาเหลือเกินเจ้าค่ะ" จั๊กกะแหล่นกล่าวพร้อมท่าที่เจ็บมากจนคนที่ประคองอดช่วยไม่ได้​
" แม่นางทนเจ็บหน่อยนะ" ว่าแล้วเขาก็ดึงศรออกมาจากขานางแล้วนำสมุนไพรที่พกมาทาสมานแผลให้ อัคนินสบโอกาสจึงเล็งศรยิงเข้าที่จันทลักษณ์​ทันทีแต่บดิศรยิงตัดปัดธนูไปได้ทัน
" ทำอะไรกันน่ะ"จั๊กแหล่นถามเมื่อเห็นการยิงศรทั้งสองเกิดขึ้น​ จันทลักษณ์​ที่รักษาเสร็จแล้วจึงหันมาดู
" อัคนินจะยิงงูตัวนั้นที่จะฉกจันทลักษณ์​แต่น่าจะพลาด​  เราเลยช่วยยิงน่ะ" เขาอธิบาย​ คนเกือบถูกยิงจึงไปดูพบงูถูกศรปักหัวอยู่จึงโล่งใจ
"เราขอบใจมากนะอัคนิน บดิศร"เขาหันมายิ้มให้ทั้งสอง
"เรายินดี" บดิศรกล่าวตอบ
"ไม่ต้องขอบใจหรอก​ อีกไม่นานก็จะเพล​แล้ว​ จะรีบล่าสัตว์​ก็รีบเถอะจะได้กลับ" อัคนินว่าแล้วจึงล่วงหน้าไปก่อน
"เราต้องขออภัยที่ทำท่านบาดเจ็บนะ"
"ไม่เป็นหรอกเจ้าค่ะ​ จั๊กน่ะไม่เป็นอะไรมากอยู่แล้ว​ ดีซะด้วยซ้ำที่จั๊กได้เจอเนื้อคู่" เธอพูดพลางเขินบิดม้วน
"เนื้อคู่" จันทลักษณ์​มองแล้วก็งงใจนัก
" ใช่เจ้าค่ะ​ ก็พี่จันไงเจ้าคะ​ พี่จันน่ะสวมสังวาลย์มณีแสดงว่าพี่จันก็คือศิษย์ของท่านตา​เป็นเนื้อคู่ของจั๊ก"
"นี่ท่านคือหลานของท่านตาที่ชื่อจั๊กแหล่นล่ะสินะ" ทั้งสองพูดกันเช่นนี้ก็พอจะอนุมานได้แล้วว่าเป็นพวกที่ช่วยอริตนวัยเยาว์นั่นเองในความคิดของบดิศร
"งั้นก็ไปกับเราเถอะนะ​ พวกเราก็เป็นหลานท่านตาเหมือนกัน... บดิศรท่านล่วงหน้าไปก่อนได้เลยนะ"ว่าแล้วเขาจึงประคองอีกตนขึ้นม้าไปแล้วตัวจูงเดินเอา
" เช่นนี้แล้วเมื่อไหร่จะถึงล่ะ" บดิศรถาม
"อย่าห่วงเลย​ ล่าสัตว์ให้สนุกเถิด" เขาจึงล่วงหน้าไปยังทิศทางที่อัคนินไป
"ทำไมมันต้องมาขัดขวางข้าด้วยนะ"อัคนินบ่นเสียไม่สบอารมณ์
" ถ้าเราไม่ขัดขวางก็คงเห็นคนลอบกัดกันซะแล้ว​ ดีไม่ดีนี่คงจะโทษเป็นความผิดเราน่ะสิ" บดิศรที่ตามมาได้ยินเข้าจึงตอบ
" เจ้าว่าข้าเป็นพวกลอบกัดหรือไง!! "เขาเริ่มโมโหอีกคน
"ก็ไม่ใช่อย่างนั้นทีเดียวหรอก​ นับว่าเป็นกลยุทธ์​ทีเผลอแต่ออกจะไร้ชั้นเชิงเสียหน่อย... เราน่ะเคยพลาดมาก่อนจึงอยากเตือนไว้" เขาตอบอีกคนอย่างใจเย็น
" ไม่ใช่เพราะว่าเจ้าน่ะอยากเป็นเพื่อนกับเจ้านั่นรึไง"
"เราก็อยากเป็นเพื่อนกับทุกคนนั่นล่ะ​ ดูท่าเจ้าจะไม่ชอบพี่น้องคนนี้เอาเสียเลยนี่  อยากกำจัดขนาดนั้นเชียว"
" ใช่​ ข้าน่ะอยากกำลังจัดพวกมันทุกคน"
" งั้นก็มารับใช้เทพวิษุวัตซะสิ​ ลำพังเราคนเดียวคงกำจัดไม่ไหวหรอก"
" ไหนว่าเจ้าอยากเป็นเพื่อนกับเจ้านั่นด้วยไม่ใช่เหรอ​ รับใช้เทพอะไรนั่นแล้วจะกำจัดพวกนั้นยังไง"
" เดี๋ยวเจ้าก็เข้าใจเองล่ะถ้าเจ้าตกลง" บดิศรยิ้มเล็กน้อยก่อนจะไปหาอะไรติดไม้ติดมือก่อนกลับ
.....​
" ลองทำตามที่เราสอนแล้วเป็นยังไงบ้าง​ ใช้พลังงานจากแหวนได้ไหม" จันทราภาถามสหายที่ตนช่วยลองสอนวิธีที่น่าจะใช้งานได้ เพื่อจะได้ใช้งานอย่างจริงจัง
" เรารู้สึกว่าแหวนจะช่วยตามที่เราต้องการมากขึ้นนะ"อัญญานีตอบกลับ
" ดีแล้วล่ะ​ พระอาจารย์​เคยสอนเราว่าหากต้องการใช้สิ่งวิเศษก็ต้องให้สิ่งวิเศษเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับใจเสียก่อน"เธอยิ้มพลางมองสหายอย่างเชื่อมั่นในความสามารถ​ อัญญานีลองใช้แหวนมุ่งไปยังพุ่มไม้พุ่มหนึ่งแล้วลำแสงก็พุ่งเข้าทำลายพุ่มไม้ทันที
" แบบนี้ก็ดีน่ะสิ​ จะได้ป้องกันตัวได้"อัญญานีพูดอย่างพอใจที่แหวนเป็นไปตามปรารถนา
" พระธิดาทรงพระปรีชายิ่งเพคะ"บัวแย้มให้กำลังใจ
ทั้งหมดพักทานอาหารเสร็จจึงเดินทางกันต่อ
" พอจะรู้ไหมว่าที่ที่เจ้าไปอยู่กับแม่มดเกลียวทองน่ะเป็นที่ไหนกัน" จันทราภาถามขึ้นมาเพราะตอนที่เล่าไม่ได้บอกชื่อเมืองให้รู้
" นางให้เราอยู่แต่ด้านตำหนักบุษบากรตลอดนี่ล่ะเลยไม่รู้ว่านี่เป็นเมืองไหน​ บัวพอจะรู้ไหม​ อย่างน้อยบัวก็ได้ออกไปยังด้านนอกบ้าง" อัญญานีตอบแล้วถามอีกคนเพื่อช่วยตอบเผื่อจะรู้
" บัวเคยออกไปครั้งนึงเพคะ​ คนที่ไม่ใช่ฝ่ายพระตำหนักนี้เรียกเมืองนี้ว่าศาศวัตบุรีเพคะ" บัวแย้มก็ช่วยตอบตามที่รู้
" ดีล่ะ​ เราจะได้ระวังตัวไว้และบอกพระอัยกาด้วย" คนถามเมื่อรู้คำตอบจึงบันทึกไว้เผื่อคนต่อไปมาจะได้รู้เรื่องด้วย
"แต่ว่าเรากลัวพรุ่งนี้มากกว่า" จันทราภานึกขึ้นได้จึงพูดขึ้นมา
" พรุ่งนี้? "อัญญานีทวนคำ
" ใช่​ อังคาสคนพรุ่งนี้น่ะมีอารมณ์​โมโหง่าย​ กลัวว่าถ้าทำอะไรให้ไม่ถูกใจขึ้นมาจะยุ่งน่ะสิ"เธอพูดพลางกังวลใจ
" ไม่เป็นไรหรอกพระเจ้าค่ะ​ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่หิ่งห้อยจะช่วยทูลและดูแลเองพระเจ้าค่ะ"หิ่งห้อยยักษ์กล่าว
"พี่ตาหวานก็จะร่วมด้วยช่วยกันพระเจ้าค่ะพระธิดา" ผีโครงกระดูกในย่ามพูดเสริมอีก
" ขอบใจพี่ทั้งสองมากนะจ๊ะ.. แต่ถึงอย่างนั้นพวกเจ้าก็ต้องระวังด้วยนะ​ อัญญานี  บัว" เธอขอบใจแล้วเตือนคนที่เหลือ
" ได้ๆ​ ถ้าไม่มากไปเขาก็น่าจะเป็นคนมีเหตุผลล่ะน่า" อัญญานีพูดให้สบายใจ
"เพคะพระธิดา​ บัวจะระวัง"บัวตอบรับพร้อมยิ้มให้โดยไม่รู้เลยว่าคนคนนั้นน่ะเป็นคนเดียวกับที่เจ้าอารมณ์​ใส่เธอ​ ทั้งหมดจึงมั่งหน้าสู่เมืองทิศพลต่อไปโดยไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
...
"รับใช้เทพวิษุวัตงั้นเหรอ"ผกากรองพูดทวนคำที่ลูกกล่าวบอกเธอ
"ใช่จะ​ ลูกไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่นักแต่มันก็อดคิดไม่ได้" อัคนินพูดตามที่ได้ยินมา
"รับใช้เพื่อจะกำจัดพวกนั้นแสดงว่าต้องเกี่ยวข้องกับสังวาลย์​เปลี่ยนคนที่มันใส่แน่​ ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นเทวดาหรือปีศาจแม่ก็เห็นว่าเป็นโอกาสเหมาะแล้วที่จะร่วมมือกันกำจัดพวกมันให้พ้นทาง"
" แต่ว่าลูกน่ะไม่ชอบเจ้าบดิศรอะไรนั่นเลย​ มันน่ะขัดลูก" เขาพูดเป็นเชิงฟ้อง
"ก็ให้มันขัดเจ้าไปก่อน​ ไว้กำจัดพวกมันสำเร็จแล้วจะจัดการมันต่อแม่ก็ไม่ห้าม"
" งั้นก็ตกลงตามนั้นก็ได้ท่านแม่"  ว่าแล้วเขาก็ไปหาคนที่กล่าวถึงเพื่อรับข้อเสนอและฟังเงื่อนไขร่วมกัน
..
ตกกลางคืนของวันนี้ไม่เห็นรู้มาก่อนเลยว่าที่นี่จะมีค้างคาวผีเสียด้วย มันกำลังจ้องมองเหยื่อที่เดินทางทางมาจะหาที่พักพิง
" เราว่าน่าจะพักที่นี่ก็น่าจะดีนะ" จันทราภาออกความเห็น
" เราก็เห็นด้วย" อัญญานีกล่าวตอบ
"เดี๋ยวหม่อมฉันจะหาฟืนมาก่อไฟนะเพคะ" บัวแย้มอาสา
"พี่ตาหวานไปด้วยสิ​ ช่วยๆกันจะได้เสร็จงานไวๆ" ผีโครงกระดูกตามไปช่วยด้วยเพราะตอนนี้ตนเป็นอิสระจากแสงอาทิตย์แล้ว
"เราไปช่วยด้วยสิ"อัญญานีกล่าว
" ไม่ต้องหรอกพระเจ้าค่ะ​ มีตาหวานอยู่ด้วยสบายใจหายห่วง"  จากนั้นทั้งสองจึงเดินทางออกไป
"ปลีกไปแล้วล่ะสิ​ ไปกับผีที่มีแค่โครงกระดูกนี่นะจะทำอะไรได้​ ฮ่าๆ​ คืนนี้ล่ะเจ้าจะเป็นอาหารอันโอชะของข้า"ค้างคาวผีว่าแล้วจึงบินโฉบมาหมายจะเข้ากัดหญิงสาวแต่เธอไหวตัวทัน
"ค้างคาวผี!! "บัวแย้มพูดเสียงดังพลางหยิบไม้ไว้ป้องกันตัวฟาดเจ้าตัวดูดเลือดแต่ดันคว้าทัน
"เอ๊ยเจ้าผีดิบนี่คิดจะทำร้ายหนูบัวข้าเรอะ​ นี่แน่ะ"ผีตาหวานโยนกองไม้ใส่เจ้าผีค้างคาวแต่มันไม่สะทกสะท้านเลยนี่
"ของแค่นี้จะทำอะไรเราได้เรอะ​ ไอ้เจ้ากระดูกกิ๊กก๊อก" ว่าแล้วมันจึงโยนกองไม้ขนาดหนักกว่าทับกระดูกเคลื่อนที่ไม่ได้​ บัวเห็นท่าไม่ดีรู้ตัวว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ควรจะใช้ของวิเศษมากำราบดีกว่าจึงวิ่งไปขอความช่วยเหลือ​
" พระธิดา​เพคะ​ พี่หิ่งห้อยช่วยบัวด้วย"นางวิ่งไปส่งเสียงไปเผื่อไม่ทัน​ ไม่ทันไรเจ้าผีดูดเลือดก็ขวางหน้าเธอไว้
"จะหนีไปไหนล่ะ​ วันนี้มาเป็นอาหารของข้าซะดีๆ" เจ้าค้างคาวผีเข้าใกล้จะจับกินแต่ก็มีเสียงห้ามซะก่อน
"หยุดนะเจ้าผีร้าย!!" อัญญานีและพวกตามมาดูเพราะได้ยินเสียงบัวขอให้ช่วย​ ได้ทีบัวจึงรีบวิ่งไปดูเจ้าผีที่โดนไม้ทับอยู่
"เจ้ามายุ่งอะไรด้วยห๊ะ!! แห่กันมาขนาดนี้​คืนนี้ข้าจะกินไม่ให้เหลือเลย"ว่าแล้วก็ตรงไปจะเข้าทำร้าย​ อัญญานีจึงใช้พลังจากธำรงค์แก้วศุภรสร้างไฟล้อมรอบเจ้าผีดูดเลือดนั่น​ เห็นว่าอีกฝ่ายมีฤทธิ์ท่าไม่ดีแล้วจึงบินหนีขึ้นฟ้าไป
"เราตามไปกันเถอะจะพี่หิ่งห้อย" จันทราภาจึงขึ้นหลังเจ้าหิ่งห้อยยักษ์​บินตามไป
" พี่ตาหวานไม่เป็นอะไรนะจ๊ะ"บัวนำไม้ที่ทับออกมาทำให้ผีโครงกระดูกหลุดมาได้
"ไม่เป็นอะไรหรอกหนูบัว"
"บัวเป็นอะไรมั้ย" อัญญานีตามมาดูด้วยความเป็นห่วง
"ไม่เป็นไรเพคะพระธิดา​  แล้ว.." บัวมองหาที่เหลือ
" พวกนั้นตามเจ้าค้างคาวผีไป​ เราว่าหาที่ปลอดภัยหลบก่อนเถอะ" ว่าแล้วทุกคนจึงไปหาที่ปลอดภัยพักรอ
ฝ่ายค้างคาวผีที่คิดว่ารอดแล้วผ่านไปเจอนายพรานพอดีตัวเองจะลงไปหาของกิน​ จันทราภาก็ตามมาทันทีที่ผีดูดเลือดจะทำอันตรายนายพราน
" เจ้าจะมาหากินแบบนี้้ไม่ได้นะ" จันทราภาค้านเจ้าค้างคาว
" โอ๊ย​ ข้าไม่กินพวกเจ้ายังตามมารังควานอีก​ พูดไม่รู้เรื่องใช่ไหม" เขาโมโหจึงซัดพลังเข้าใส่หารู้ไม่ว่าอีกฝ่ายก็มีฤทธิ์มิด้อยกว่าคนเมื่อครู่เลย​ จันทราภาใช้พลังจากเกราะกายสิทธิ์​ต้านพลังศัตรูเปล่งแสงประกายเหลืองสว่างสไวไปทั่ว​ เจ้าค้างคาวทนไม่ได้กับแสงจ้าที่เหมือนจะแผดเผาตนให้มอดไหม้จึงยอมแพ้​ และสัญญาว่าจะไม่ทำอีก​ จบเรื่องแล้วจันทราภากับหิ่งห้อยจึงกลับไปรวมกับพวกที่เหลือแล้วจึงพักผ่อนต่อ
"ป่านี้มีอันตรายมากขึ้นจากสิบปีที่แล้วนะ​ สงสัยว่าคงต้องจัดเวรยาม" จันทราภาเสนอ
"พี่ตาหวานจะช่วยดูให้พระเจ้าค่ะ​ พี่ตาหวานเป็นผี​ ผีก็ต้องอยู่กลางคืนได้อยู่แล้ว" เขาอาสา
"พี่หิ่งห้อยก็จะอยู่ยามเป็นเพื่อน​ตาหวานเองพระเจ้าค่ะ​ บรรทมให้สบายเถิด" เขาก็ช่วยอาสาอีกแรง
" อย่างนี้ไม่รบกวนแย่เหรอจ๊ะ​ ผลัดกับบัวก็ได้นะจ๊ะ"บัวพูดเพราะกลัวการเฝ้ายามจะเปลืองแรงทั้งสอง
" ไม่เป็นไรหรอกจะหนูบัว​ หนูบัวคอยหาอาหารหาฝืนมาตลอดแล้วนี่นา​ ไม่ต้องลำบากแล้วนะหลับให้สบายเถอะ" หิ่งห้อยกล่าว
" เอาอย่างนี้เราพักกันก่อนก็ได้​ ไว้พอมีแรงปัจฉิมยามค่อยมาผลัดเวรนะ"อัญญานีเสนอ
" ตกลงตามนี้ล่ะ"จันทราภาว่าแล้วทุกคนก็หลับเอาแรงกันก่อนที่เวลาจะเปลี่ยนเวรมาถึง​ และรอคอยวันใหม่ถัดไป












ออฟไลน์ จักรกรด

  • *
  • 145
  • 0
  • เพศ: หญิง
  • จิตฺเตน นียติ โลโก. โลกอันจิตย่อมนำไป .
    • อีเมล์
Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
« ตอบกลับ #43 เมื่อ: พฤษภาคม 02, 2020, 12:00:42 PM »
 วันที่รอก็มาถึงแต่แสงอาทิตย์​ยังไม่สาดส่องมา​ คนที่ผลัดเวรมาก็ตกลงไปหาอาหารจะได้เดินทางได้เร็วยิ่งขึ้นเมื่อเก็บเสร็จแล้ว​อัญญานีจึงไปอาบน้ำเป็นคนแรกเพราะตนชอบอาบน้ำคนเดียว​ผิดกับอีกสองคนที่ชอบอาบน้ำไปเล่นไป​ จันทราภาจึงชวนบัวแย้มอาบน้ำพร้อมกัน​ หลังจากที่อัญญานีเธอสรงน้ำเสร็จจึงผลัดให้ทั้งสองไปยังน้ำตก
"บัวลงไปก่อนนะเดี๋ยวเราหาที่วางบันทึกก่อน" จันทราภากล่าวกับอีกคนพร้อมนำ
"เพคะพระธิดา" บัวลงไปเป็นคนแรก​ น้ำเย็นมากจริงๆใครที่ลงไปได้เลยก็สบาย​ คนไม่ชินก็ต้องปรับตัวเสียหน่อย
"พระธิดา​น้ำเย็นมากเลยนะเพคะ​ ลงมาสรงเถอะเพคะ" บัวที่กำลังเพลินไปกับน้ำที่เล่นอยู่กล่าวชวนอีกคนที่ยังไม่ยอมลงมาเสียที
" รอก่อนนะบัว​ น้ำเย็นมากเราขอเพลาสักหน่อย" เธอนำมือไปสัมผัสน้ำเพื่อจะปรับให้ชินได้ที่แล้วก็จะลงไป​ แต่ไม่ทันไรเลยแสงอาทิตย์​ได้สาดส่องลงมากระทบเกราะที่ใส่จนเปลี่ยนเป็นอีกคนเป็นที่เรียบร้อย
"พระธิดาทำไมยังไม่เสด็จล่ะเพคะ" นี่ก็นานแล้วหนาทำไมอีกคนไม่ลงมาสักที​ ตนเองจึงหันไปดู
" เจ้า!! " ทั้งสองเจอกันแล้วจึงพูดขึ้นมาพร้อมกันด้วยความตกใจ
"หรือว่าจะเป็นพระโอรสอังคาส" เธอนึกขึ้นมาเขาอยู่ตำแหน่งเดียวกันกับคนเมื่อครู่​ อีกทั้งแสงอาทิตย์​มาแล้วก็น่าจะเดาไม่ยาก
" รู้ชื่อเราได้ยังไง" เขาฉงนนัก​ เจอครั้งที่แล้วยังไม่รู้จักเลย​แต่ครั้งนี้กลับรู้เสียอย่างนั้น
" พระโอรสหันหลังไปก่อนเพคะ​ บัวจะขึ้นแล้ว" เธอตัดสินใจบอกเขา​ จะให้พูดคุยทั้งอย่างนี้ก็ยังไงอยู่
"ก็ได้​ รีบๆหน่อยก็แล้วกัน" เขาหันหลังให้เธอจึงเจอบันทึกรวมของพวกเขาที่จะได้รู้ความเป็นไปของคนก่อนๆ​วางอยู่ใต้ต้นไม้ตนจึงเดินไปเก็บมาไว้กับตัว
"เจ้าเป็นขโมยรึไงกันน่ะ"เขาถามขณะที่กำลังเปิดบันทึกดู
" ไม่ใช่นะเพคะ​ บัวไม่ได้เป็นขโมย" เธอตอบหลังจากแต่งตัวเสร็จจึงเข้ามาดู
" แล้วบันทึกของเรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงล่ะ" เขาถามอีกครั้ง​ เจอแต่บันทึกว่าให้ระวังเมืองศาศวัตอย่างเดียว
"ก็พระธิดาจันทราภาทรงวางไว้น่ะสิเพคะ"
" ของสำคัญอย่างนี้จันทราภาไม่มีทางจะวางไปทั่วแบบนี้หรอก"
" อ้าวก็จะสรงน้ำ​ เอาบันทึกไปด้วยก็เปียกน่ะสิเพคะ"
"ไม่ต้องมาพูดเลย"เอาอีกแล้วเขาจับข้อมือเธอไปจากน้ำตกแล้วร้องหาเจ้าหิ่งห้อยยักษ์​
"ปล่อยนะเพคะ​ ปล่อยบัว" เธอขัดขืนการกระทำอีกฝ่าย
" พระโอรสพระเจ้าค่ะ​ ปล่อยหนูบัวแย้มเถอะพระเจ้าค่ะ"เจ้าหิ่งห้อยที่ได้ยินเสียงเรียกจึงออกตามหามาพบพอดี
" บัวแย้ม.. คนคนนี้ชื่อบัวแย้มงั้นเหรอ​ แล้วมันยังไงกันกันแน่ล่ะ" เขายอมปล่อยน่ะได้แต่ต้องรู้เรื่องด้วย​ หิ่งห้อยเล่าให้ฟังพลางพาไปที่พัก
"งั้นเรื่องสามีเจ้าก็โกหกน่ะสิ"อังคาสฟังเสร็จแล้วสรุปได้จึงถามเจ้าตัว
"ใช่เพคะ​หม่อมฉันโกหก​ แต่คนเราต้องรู้จักเอาตัวรอดมันก็ช่วยไม่ได้" บัวแย้มตอบคำถาม
" เป็นคำขอเราเอง​ อย่าว่านางเลย" อัญญานีช่วยพูดให้เพราะดูเหมือนว่าจะตีกันไม่หยุด
"อ้อเราจำได้แล้ว​ชื่อบัวแย้มนี่น่ะ​ เจ้าเป็นพวกเดียวกันกับยักษ์​นั่นน่ะสิ​ มิน่าล่ะถึงได้นิสัยเสียเหมือนกัน" เขาพูดต่อไป
" อย่าว่าพระธิดาของหม่อมฉันนะเพคะ​ ว่าแต่พระโอรสเถอะไปทำอะไรให้พระธิดาไม่พอพระทัยได้  คงไม่ได้เป็นเรื่องดีเท่าไหร่หรอกสินะเพคะ" เธอปกป้องยักษ์​ที่ถูกกล่าวถึง​แม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้วแต่ความผูกพันธ์ฝังลึก​ การจะมาว่ากันมันไม่มากไปหน่อยหรือ
" นางพาลเองตะหากล่ะ​ นี่นะถ้าตอนนั้นเจ้าไม่มาขวางล่ะก็​ คงเขี้ยวหักไปแล้ว"เขาพูดความจริงที่เข้าใจ​ ทำให้เธอเข้าใจรู้แล้วว่าเขาก็คือเด็กคนนั้นนั่นเอง
" ถ้าบัวรู้ว่าจะต้องเจอพระโอรสแบบนี้ล่ะก็​ ตอนนั้นจะไม่ห้ามเลย"
"พอเถอะๆ​ ทะเลาะกันไปก็ไม่ได้อะไรดีขึ้นมาหรอก​ "อัญญานีต้องปรามอีกครั้งเมื่อทั้งสองเริ่มต่อล้อต่อเถียงกัน​ ทั้งคู่ยอมหยุดให้​ จึงชวนทานอาหารเอาแรงกันเสียหน่อยจึงคิดเดินทางต่อไป
....
"พี่อังคารเจ้าขา​ จั๊กมาหาแล้วเจ้าค่ะ" จั๊กแหล่นหายเจ็บขาเพราะยาขนานดีในคืนเดียว​ เธอรู้ว่าต้องเปลี่ยนวันน่าจะเปลี่ยนคนเธอจึงอดไม่ได้ที่จะมาชมโฉมหน้าเทพบุตรในร่างมนุษย์​คนต่อไป
"นี่น่ะเหรอหลานท่านตา" ปัทมาสน์หันมามองเมื่อมีคนมาหาตนที่ตำหนัก​
"ย.. ยักษ์!!" เธอตกใจอีกตนสะดุ้งโหยงแล้ว
" ใช่​เราเป็นยักษ์​  แล้วมันยังไงล่ะ"
"นี่เจ้า.. เจ้ากินพระโอรสวันอังคารไปแล้วเหรอ​ เจ้าใจร้ายที่สุดกินเขาแล้วยังเอาสังวาลย์​มาใส่อีก" จั๊กแหล่นฟูมฟายเหลือประดา​พาอีกตนรำคาญ
"เรานี่ล่ะคนวันอังคาร  พระโอรสต้องพรุ่งนี้กับวันศุกร์นู่น​ เห็นเราเป็นยักษ์​ใช่จะกินตามใจได้นักสิ  สังวาลย์​นี่ก็เป็นของเรา​ " 
" ว่าไงนะ​ ท่านตาไม่เคยบอกเลยนะว่ามีลูกศิษย์​เป็นยักษ์​ด้วย"
" ทีตาเจ้าเป็นสิงโตยังมาเป็นฤาษี​ได้เลย​ ว่าแต่เจ้าเป็นเสือนี่เป็นตาหลานกันได้ยังไง"
" ก็... ก็ท่านยายจั๊กเป็นเสือไง​"
" รวมกันไม่ได้เป็นพยัคฆ์​ไกรสรเหรอ"
"ก็ออกมาอย่างนี้แล้วนี่นา.. ต้องรอพบพระโอรสพรุ่งนี้อีก"ท่าทีเหี่ยวเฉาออกนอกหน้าเห็นได้ชัด
"รอไปเถอะไม่ตายหรอก​ ไปหาอะไรกินดีกว่าฟังเจ้าพูด"ได้ทีตนก็ไปเสียดีกว่า​ ไม่ชอบดูใครคร่ำครวญ
....
"​นี่ท่านว่าพระคู่หมั้นหายไปงั้นรึ"ธานินทร์​บริวารองค์เทพทวนคำที่ได้ยินจากแม่มดเกลียวทอง
"ใช่​ มั.. พระนางหนีไป​ เราตามหาแล้วแต่ยังไม่พบจึงมาแจ้งข่าวให้ท่านช่วย"เกลียวทองเธอพูดอย่างจริงจังเกือบหลุดคำไม่เหมาะสมเสียแล้ว
"หนีไปได้ยังไงกัน​ อยู่มาสิบปีไม่เคยหนีได้​  ทำไมครางนี้ถึงปล่อยให้หนีไปได้​ ท่านดูแลยังไงกัน" เขาเริ่มจะต่อว่าเธอ
"เราไม่รู้​ คนก็หายไปแล้วจะทำยังได้ล่ะ​ ถ้าท่านไม่ช่วย​ พวกเราทุกคนจะถูกลงโทษกันหมด​ ถ้าพระเทวาเสด็จจากบำเพ็ญเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นล่ะ" นางพูดตัดบทดื้อๆ​ เถียงกันไปไม่ได้ออกตามหากันพอดี
" ช่างเถอะตอนนี้ต้องหาตัวพระนางก่อน​ ท่านก็หาที่ป่าทางด้านประจิมทิศของเมือง​ ส่วนบูรพาทิศเรากับธาราจะไปหาเอง"  เมื่อตกลงกันเสร็จ​แล้วจึงได้ออกตามหา
...
" ปัทมาสน์ไปไหนมาเหรอ​ นี่คือบดิศรฑูตจากเมืองศาศวัตล่ะ" อัคนินมากับบดิศรพร้อมพูดจาดีกับอีกตนอย่างไม่เคยมาก่อน
"คำพูดแปลกไปนะ​ หาความจริงใจเท่าแต่ก่อนไม่ได้เลย"เธอตอบ
" เจ้า!!... เราพูดแบบนี้มันไม่ดีรึไง" เขาโกรธน่ะดูออกแต่ก็พยายามพูดดี
"พูดดีก็ดี​ แต่ไม่จริงใจอย่าพูดเลย" พูดอย่างนี้อยากจะเข้าไปปะทะเสียแล้วให้รู้กันไปแต่อีกคนห้ามไว้จึงไม่ได้ทำ
"พระโอรสอัคนิน  พระสนมมีรับสั่งให้หาพระเจ้าค่ะ"มหาดเล็กเข้ามาทูลพอดี​ เขาจึงต้องจากไปให้ทั้งสองอยู่ด้วยกันตามลำพัง
"เขาอารมณ์​ร้อนเช่นนี้อย่าได้ถือสาเลยนะท่าน"บดิศรได้ช่องจึงพูดคุย
" พูดดีจังนะเพื่อนที่คบกันได้วันเดียวนี่น่ะ​ แต่ก็นะถ้าไม่มีประโยชน์​จะใจเย็นคุยกันได้จนป่านนี้หรอก"เธอพูดพลางมองหน้าอีกฝ่าย
"ประโยชน์​อะไรกัน​ เราไม่เข้าใจ"
"ประโยชน์​ต่อพระเทวาของพวกเจ้าน่ะสิ​ อย่าคิดนะว่าเหตุผลชื่อซ้ำกันแล้วจะดูไม่ออก เจ็ดวันก่อนบำเพ็ญทำอะไรได้ตั้งเยอะ"
"เราไม่.." เขารู้สึกประหลาดใจ​ เธอไปเอาอะไรมามั่นใจนักหนาถึงได้ตัดสินฉับไวขนาดนั้น
" พอเถอะไม่ต้องแก้ตัวหรอก​ เราไม่คิดมากเรื่องคบสหาย​ พวกเราเป็นเพื่อนกันได้นะแต่ฝ่ายใครฝ่ายมัน"เธอพูดอย่างนี้ก็แย่น่ะสิ​ มีอย่างที่ไหนคนละฝ่ายกันจะคบเป็นเพื่อนได้
" ว่ายังไงนะ​ ถ้ารู้แล้ว​ทำไมถึงยังจะเป็นเพื่อนกับเราอีกล่ะ" เพราะสงสัยจึงไม่อยากจะปิดอีกต่อไป
" ดูท่าแล้วเจ้าก็ไม่ได้ร้ายกาจมากกว่าอัคนินหรอก​ หน้าที่ก็คือหน้าที่​ อยากจะทำหน้าที่เจ้าก็ทำไปสิ​ เราอยากคบเพราะอยากเป็นเพื่อนจริงๆ​ พวกเรามีเพื่อนที่จริงใจกันสักครั้งคงไม่ตายหรอกมั้ง" พูดมาแบบนี้อีกคนจะทำตัวถูกไหมล่ะ​
......
"นั่นไง" ธาราชี้คนที่ตามหาให้ธานินทร์​ขณะอยู่บนเมฆ​ ด้วยเพราะเป็นเทวดาด้วยล่ะมั้งที่ทำให้พวกเขาเดินทางเร็วกว่าคนเป็นปกติ
" อย่ารอช้าเลย​ รีบไปจัดการกันดีกว่า"ธานินทร์​กล่าว
" เดี๋ยวก่อน​ ไม่เห็นรึยังไงว่ามากับใคร" เขาทัดทานอีกคนเมื่อมองไปที่คณะเดินทางครบทุกคน
" คนสวมเกราะกายสิทธิ์อีกแล้ว"
"การที่เราจะไปพาพระนางมาน่ะ​ จะพามาตรงๆเห็นจะไม่ได้​ เจ้าก็รู้แล้วนี่ว่าพลังมันเยอะขนาดไหน"
" อย่างนั้นก็ต้องลงทุนกันหน่อย​"  ทั้งสองรู้กันดีจึงสร้างทางวงกตขึ้นมาในระหวางทางที่เดินอยู่รู้ตัวอีกทีป่านี้ก็ซับซ้อนขึ้นมา  ตอนนี้ก็เกิดการพลัดกันเป็นสองกลุ่ม​ โดยอัญญานีอยู่กับเจ้าหิ่งห้อยยักษ์​
"อะไรกันน่ะ​ ทำไมอยู่ดีๆถึงกลายเป็นป่าวงกตไปได้"อัญญานีกล่าวพลางมองสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น
" พระธิดาอย่ากังวลเลยพระเจ้าค่ะ​ เดี๋ยวพี่หิ่งห้อยจะบินขึ้นไปดูด้านบนให้นะพระเจ้าค่ะ" เจ้าหิ่งห้อยยักษ์​บินขึ้นไปหมายจะสำรวจแต่กลับมีเพดานสายฟ้ากั้น​ เจ้าตัวบินไปถูกเข้าอย่างจังทำไมร่างอันใหญ่โตได้รับบาดเจ็บแปรสภาพขนาดตัวเล็กเท่าหิ่งห้อยทั่วไปตกลงมายังพื้น​
" พี่หิ่งห้อย!! " อังคาสที่เห็นเหตุการณ์​เมื่อครู่ร้องออกมาด้วยความตกใจ
" พวกเราต้องรีบหาทางไปแล้วล่ะเพคะ​ พระโอรสไปด้านซ้าย​ แล้วบัวจะไปด้านขวา" บัวแย้มยังพอคุมความตกใจตัดสินใจบอกอีกคนจะได้ช่วยกันแก้ไข
"อย่าไปเลย​ ถ้าหลงกันจะวุ่นกว่าเดิม​ ไปด้วยกันหมดนี่ล่ะ"เขาจูงมืออีกคนเดินไปแต่คราวนี้ไม่รุนแรงออกจะนุ่มนวลเสียมาก
"พี่ตาหวานก็เห็นอย่างนั้นพระเจ้าค่ะ​ รวมตัวกันไว้ดีกว่า"ผีในย่ามเห็นด้วย
" พี่หิ่งห้อย" อัญญานีเข้าดูเจ้าหิ่งห้อยเหลือตัวน้อยนิดบาดเจ็บแล้วนำมาไว้ในฝ่ามือตน​
" พระธิดา​ พี่หิ่งห้อยเป็นอย่างไรบ้างเพคะ" บัวแย้มเข้ามาช่วยดู
"เมื่อครู่นี้พี่หิ่งห้อยบินขึ้นไปถูกสายฟ้าฟาด​ อาการไม่ดีเลยบัว" เธอเริ่มใจไม่ดีเสียแล้ว
" บัว​ เมื่อครู่​พูดรึปล่าว" อังคาสได้ยินเสียงเลยสงสัย
"ไม่นะเพคะ​ บัวยังไม่ได้พูด"
"เราได้ยินเสียงเหมือนเจ้าพูด"
" หรือว่าจะเป็นบริวารของเทพวิษุวัตมากันเพคะ" บัวได้ยินดังนั้นคงประมวลผลไม่ยาก​ ทั้งป่าวงกตทั้งเสียงที่เหมือนตน
" ไม่ได้การแล้ว" อังคาสใช้พลังจากเกราะกายสิทธิ์​เรียกพระขรรค์์วิเชียรชัยชาญด้ามประดับตามภาภรณ์ แล้วใช้ผ่าพุ่มไม้เวทย์มลายสิ้นปรากฏ​ให้เห็นพวกที่เหลือทันที
"บัวแย้มอยู่นั่นแล้วเจ้าเป็นใคร" เห็นดังนั้นเธอจึงรู้ทันทีว่าข้างกายตนไม่ใช่คนสนิท​ อีกคนเมื่อรู้ว่าหลอกไม่ได้แล้วจึงเข้าจับตัวเธอเสีย
"ปล่อยตัวนางเดี๋ยวนี้นะ" อังคาสที่เห็นเหตุการณ์​ร้องห้ามการกระทำของอีกฝ่าย
"ไม่มีหน้าที่อะไรที่ต้องปล่อยหนิ  เรามีหน้าที่ตามกลับไป" ธานินทร์​ที่เปลี่ยนร่างกลับมาตามปกติได้ตอบโต้อีกฝั่ง
"เช่นนั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องเจรจาหรอกนะ" พระโอรสวันอังคารใช้พระขรรค์​ฟาดฟันพลังไปในแนวเส้นตรงสู่บริวารเทพนั้น​ โชคยังดีสำหรับเขาที่หลบได้ไม่ถึงแก่ความตายแต่โชคร้ายขาซ้ายดันขาดสะบั้น​ จนเขาล้มลงไปพร้อมกับว่าที่พระแม่เจ้า​ เธอกำลังจะหนีออกมาทันแล้วเชียวถ้าเกิดเจ้าเทพบาดเจ็บนั่นไม่ใช้พระเวทย์​บ่วงบาศมารัดกายเสียแน่น  ไม่นานนักเหล่ารากไม้ใต้ดินก็ดึงร่างของอริที่ขัดขวางนายตนลงจมสู่ใต้พื้นปฐพี
"ปล่อยเรานะ!!" ดิ้นเท่าใดอัญญานีก็ไม่หลุดพ้นบ่วงนั่นกลับรัดแน่นเข้าไปอีก
"แข็งใจไว้นะธานินทร์​  พาพระนางหนีไปก่อน​ เราจะจัดการต่อเอง" ธาราเข้าคลายความบาดเจ็บให้พร้อมเรียกเมฆเหินฟ้ามารับทั้งสอง​ ธานินทร์​ไม่รอช้ารีบพาไปทันที​ ธาราเข้าจับบัวแย้มที่พยายามหนีจากการจับของรากไม้​ พอดีกับที่รากไม้และแผ่นดินแตกแยกจากพลังของเกราะกายสิทธิ์​จนอังคาสสามารถขึ้นมาได้ต้องพบกับบัวที่กลายเป็นตัวประกันเสียแล้ว​ คราวนี้ตัวเขาไม่ได้อยู่ข้างๆลำตัวเหมือนตัวประกันคนก่อนแต่หากยืนด้านหลังไว้เพื่อเป็นดั่งเกราะกำบังการโจมตีของอีกฝ่าย
"เอาสิ​ อยากใช้พลังนักก็ใช้เลย​" ธารากล่าวท้าทายอีกฝ่ายอย่างได้เปรียบ
"พระโอรสใช้พลังเลยเพคะ​" บัวแย้มกล้ารับเพราะไม่คิดว่าจะมีอะไรต้องเสียแล้ว
"เรารู้หรอกว่าเจ้าไม่กล้า" บริวารนั่นกระหยิ่มยิ้มชอบใจ
"ใครว่าเราไม่กล้า..บัวระวังตัวด้วย" เขาใช้พระขรรค์​ที่เกิดจากพลังซัดเข้าไปยังทั้งสอง​ แต่เจ้านั่นก็พาหลบได้
"มีดีเท่านี้เองรึ" ถามจบประโยคไม่ทันไร​พระขรรค์​เข้ากรรมก็ได้ย้อนมาแทงด้านหลังธารา​ แรงของเขาสิ้นบัวจึงรอดพ้นแล้ววิ่งไปหาพระโอรส
"ไม่เป็นอะไรนะบัว" เขาถามด้วยความเป็นห่วง
" บัวไม่เป็นไรเพคะ" เธอตอบ​ เมื่อสบายใจแล้วเขาจึงเรียกเก็บพระขรรค์​เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเกราะวิเศษเหมือนเดิม
"บอกเรามาว่านำอัญญานี​ไปไว้ที่ไหน" เขาถามผู้บาดเจ็บ
"ต่อให้เราตาย​ เราก็ไม่บอกเจ้าหรอก" เจ็บแล้วยังปากแข็ง​ได้อีก  เขาไม่บอกหรอก​ จงรักภักดีขนาดนั้น
" เจ้า!!" อังคาสเริ่มโมโหเข้าจับตัวอีกฝ่าย
"พวกเจ้าไม่มีวันขัดขวางเรื่องที่จะเกิดต่อจากนี้.. ได้หรอก" สิ้นคำกล่าวเขาสิ้นใจลงในทันทีร่างกายได้สูญสลายไปแล้ว
"พี่หิ่งห้อยเป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ"บัวเห็นหิ่งห้อยอยู่กับพื้นจึงเข้าไปดู​ ช่างน่าเป็นห่วงและน่าสงสารเสียที่สุด​ เสียงสะอื้นเกิดขึ้นมาแบบมิรู้ตัว
"เจ้าหิ่งห้อยอย่าเป็นอะไรนะ​"ผีในย่ามพูดขึ้นมา
" พี่หิ่งห้อยบาดเจ็บแต่ยังไม่ถึงตาย​ เราจะช่วยเอง" ว่าแล้วพระโอรสได้ใช้พระเวทย์เข้ารักษา​ เจ้าหิ่งห้อยพอจะฟื้นคืนชีพได้แล้วนั้นจึงขอบพระทัยเสียใหญ่​ แต่ทว่าร่างกายนี่สิยังไม่สามารถกลับมามโหฬารได้เท่าก่อนเก่า
"แล้วพระธิดาอัญญานีจะทำกันอย่างไรต่อไปดีเพคะ"
" เอาเป็นว่าเราจะช่วยตามหา​ แต่ก่อนหน้านั่นเราต้องเร่งเดินทางพาบัวกับพี่หิ่งห้อยไปอยู่กับพระอัยกาก่อน​ ไม่อย่างนั้นจะเป็นอันตรายกันหมด" เมื่อพูดดังนั้นแล้วทั้งหมดจึงเร่งเดินทางต่อโดยทันที
....
"ปัทมาสน์​ เรากลับเมืองก่อนนะ" หลังจากที่ตกลงเป็นเพื่อนใช้เวลาร่วมกัน​ มันก็คงถึงเวลาแล้วที่ต้องจากกัน
" อะไรกัน​เพิ่งจะผ่านไปเดี๋ยวเดียวเอง​ คิดจะกลับเสียแล้ว" เธอทำเป็นท้วง
"ไม่เป็นไรหรอก​ อย่างไรแล้วเราจะมาอีก" บดิศรกล่าวพลางยิ้มอย่างเป็นมิตร
"มาพร้อมกับเทพวิษุวัต​น่ะเหรอ​ ไม่ต้องมาหรอก" เธอแกล้งพูด​เพราะเหตุการณ์​ไม่น่าจะเดายาก
"ไม่หรอก"
"ก็ได้​ เราเชื่อใจเจ้า​ กลับดีๆล่ะ" ว่าแล้วเธอจึงกลับตำนักของตน​ ความเชื่อใจที่พูดน่ะเป็นจริงก็ดีน่ะสิ​เพราะบดิศรไม่เคยเชื่อใจใครและไม่ได้รับความเชื่อใจเท่าใดนัก​ คงต้องดูยาวๆไปว่ามิตรภาพน่ะสำคัญกว่าฝั่งฝ่ายหรือไม่​ เขาจึงเข้าเฝ้าทูลลากษัตริย์​คีรีมาศกลับบ้านเมืองตนต่อไป
....
"​ท่านธานินทร์​ ทำไมถึงได้บาดเจ็บเช่นนี้ล่ะ" บริวารหญิงเข้าดูแลทันทีที่พากันมาถึง
"ช่างเถอะ​ พาพระนางไปยังห้องพระบรรทมก่อน" ว่าแล้วพวกนางจึงรีบพาร่างอัญญานีที่ถูกบ่วงรัดไปทันทีเมื่อเสร็จแล้วจึงใส่กุญแจ​ไว้กันไม่ให้คนข้างในออกมาเมื่อยังไม่ถึงเวลา
"จัดการแล้วนะธานินทร์​  ทีนี้เจ้าก็คลายบ่วงได้แล้ว​ พระนางคงเจ็บพระวรกายมาก"
"เราคลายให้แล้วล่ะสันต์สินี​ ไม่เจ็บเท่าไหร่หรอกแค่ความรู้สึกมายาเท่านั้น"
"พวกเราทำแบบนี้จะดีเหรอ​ พรุ่งนี้พระเทวาวิษุวัติจะบำเพ็ญครบสิบปีมนุษย์​แล้ว​ ให้พระนางมาอยู่ที่นี่เลย​ จะไม่เป็นการรบกวนพระองค์​หรอกหรือ"
" ช่างเถอะ​ ไว้พรุ่งนี้​เราจะทูลเอง"
" ก็ได้​ งั้นเราจะช่วยพยุงแล้วกัน"
..
" ทำไมแหวนนี่ใช้งานไม่ได้แล้วล่ะ​"อัญญานีวุ่นกับการใช้ธำมรงค์แก้วศุภรเมื่อนึกขึ้นได้​ อย่่างไรเสียนางก็ไม่อยากอยู่ที่นี่เลยแม้แต่ครู่เดียว​ แต่แหวนเจ้ากรรมไม่ตอบสนองความต้องการเอาเสียเลย
" หรือว่าจิตใจเราไม่นิ่งพอนะ" เธอพึมพำกับตัวเองพลางเดินไปมองด้านนอกที่หน้าต่าง​ ปรากฏว่าด้านล่างเป็นมหาสมุทรเสียรอบๆ​ เข้าทุติยยามมองรอบๆห้องนี้ไม่มีแสงสว่างจางหายเลย​ ดูสว่างเหมือนมีแสงอาทิตย์สาดส่องผิดกับด้านนอก​ เธอมิประสงค์​จะอยู่ที่แห่งนี้อีกต่อไป​ ไม่มีทางเลือกแล้ว​ ในเมื่อแหวนใช้การยังไม่ได้​  คนใจเด็ดตัดสินใจกระโดดจากหน้าต่างลงสู่ห้วงมหาสมุทรทันที​ ขณะเดียวกันเสียงมัจฉาวาฬแหวกว่่ายดังเช่นทุกวันเกิดขึ้นกับอีกฝากอย่างเสียงดัง​ นับเป็นความโชคดีอย่างยิ่ง​ เธอว่ายน้ำข้ามสมุทรมาถึงปลายตติยยามได้เห็นเกาะที่เธอจะได้พักสักครู่จึงว่ายต่อไป​ แต่ทว่าอยู่ดีๆน้ำนั้นกลับหมุนวนเป็นวงกลม​ เธอพยายามที่จะว่ายหนีแต่กระแสน้ำแรงเป็นเกลียวอย่างรวดเร็วจนทำให้อัญญานีเข้าสู่กระแสน้ำวน

"ไม่ว่าพระเทวีจะอยู่ที่แห่งใด​ หม่อมฉันจะคอยอภิบาลพระองค์​เสมอไปเพคะ_เร่งไปช่วยอัญญานีให้พ้นภัย​ ตื่นเสียเถิดอย่ามัวหลับใหล​ จะไม่มีเราอีกต่อไป เร็วเข้า" ภาพปัทมาสน์กล่าวต่อหญิงสาวชาวสวรรค์​ที่มีแทนกันว่าพระเทวีสลับกับเทวีนั้นเข้ามาบอกให้ตนช่วยเหลือสลับไปมาจนตกใจตื่น​
"อะไรกันน่ะ" ทันทีที่ตื่นมาเธอต้องปวดเศียรเวียนเกล้าที่พยามนึกเรื่องราว​ แต่ไม่ทันไรเลยแสงสว่างวาบพาเธอไปยังเกาะที่ใกล้สถานการณ์​น้ำสมุทรวนนั้น​ ผู้หญิงคนนั้นกำลังจะไม่รอดแล้ว​ ขืนมัวแต่สงสัยอยู่ได้สิ้นชีพกันพอดี​ จึงแปลงกายให้ใหญ่ยักษ์​คว้าจับคนขึ้นมาบนเกาะได้​
" เรา... เราขอบใจท่านมาก" อัญญานีที่รอดมาอย่างหวุดหวิดกล่าวอย่างทุลักทุเลแต่ยังฟังได้ศัพท์​อยู่
"ไม่เป็นไรหรอก​ แต่ว่านะ..." ยังไม่ทันจบประโยคเลยมีมารมาผจญเสียแล้ว
"เจ้าบังอาจนัก!! ​ พวกข้าจะเอาสตรีนางนี้มาอยู่ด้วย​ คิดทำการขัดขวางเช่นนี้​ เจ้าจะไม่ได้ตายดี​" มวลน้ำวนเมื่อครู่รวมตัวกันเป็นรูปร่างมนุษย์​ราวกับประติมากรรมใสขนาดใหญ่กล่าวว่ายักษีที่มาขัดขวางตน
"เจ้าดีนักเหรอ​ เป็นภูตดูแลสมุทรแท้ๆกลับทำตัวระรานผลาญเอาชีวิต" เธอพอจะรู้อยู่บ้างเพราะคุ้นเคยแหล่งน้ำต่างมาไม่น้อย
" เป็นสิทธิ์ของเรา​ จงรับโทษทัณฑ์!! "น้ำในมหาสมุรซัดวนแรงปานไหลหลากกระชากตัว​นางได้ก็จริงแต่เพียงเซครู่เดียวจึงมั่นคงตามเดิม
"เจ้าน่ะสิรับโทษทัณฑ์!! "ว่าแล้วหญิงชาติอสุราเข้าโรมรันอีกฝ่าย​ เจ้าภูตเหล่านั้นไม่ยอมจึงนำมือเข้าประสานมืออีกฝ่ายเพื่อฉุดยื้อไว้​ เธอใช้แรงผลักออกไปจนสำเร็จแล้วนั้นจึงชกด้วยหมัดซ้ายตรงพร้อมกับก้าวเท้าซ้ายไปข้างหน้าเพื่อที่ถีบยันรูปร่างเนรมิตนั่น​  ​ เซซังยังไม่ทันไรเธอตามด้วยการดึงอวัยวะแขนศัตรูกลับมาชกหมัดซ้ายไปยังบริเวณใบหน้าของอีกฝ่าย
แต่เจ้าพวกนั้นเล่นไม่ซื่อ​ มวลน้ำที่เหลือในบริเวณนั่นเข้าจับรัดกุมคล้องแขนและขาของนางยักษ์​ราวกับโซ่ตรวน
"ไม่นะ" อัญญานีที่ดูเหตุการณ์​โดยที่ร่างกายยังไม่สู้ดีรู้สึกเป็นห่วงผู้ช่วยชีวิตเหลือเกิน
"เราให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้งเดียวจะยอมหยุดดีๆไหม" ร่างยักษ์​ใหญ่กล่าวทั้งๆที่ตนอยู่ในพันธนาการ
"เจ้านะสิที่ต้องหยุดฮ่าๆ" เหล่าภูตพวกนี้เยาะเย้ยจนอีกฝ่ายมิยอมทนแล้ว
"กงจักรพิราลัย​สูญ!! " ปัทมาสน์เรียกอาวุธจากพลังในสังวาลย์เพทายขึ้นมาเข้าตัดกระแสน้ำที่รัดกุมเธอไว้อย่างมิน่าเชื่อแต่ได้เกิดขึ้นแล้ว  เมื่อหลุดพ้นนางจึงชี้นิ้วสั่งการจักรของตนให้เข้าทำลายเหล่าภูตที่รวมอยู่กับมวลน้ำที่เป็นรูปตัวคนเสียทันทีมิฟังเสียงร้องขอแต่อย่างใด​ เสร็จแล้วนางจึงคลายกายตนให้มีขนาดปกติดังเดิม
"ท่านไม่เป็นอะไร" คนที่เกือบสิ้นเพราะน้ำวนดีใจที่ยักษ์​ตนนี้รอดมาได้
"ใช่... เจ้าคืออัญญานีใช่ไหม" หมดเรื่องต้องถามสักหน่อย
"ใช่​ ว่าแต่ท่านรู้ได้ยังไง​ เราไม่เคยพบท่านมาก่อน" พูดถึงเรื่องนี้ก็แปลกใจจริงทั้งชีวิตไม่เคยเจอ
"พระเทวีอะไรไม่รู้​บอกให้เราช่วย​ เจ้ารู้จักกับพวกเทพเทพีรึป่าว"
"ไม่​ เราไม่รู้จัก" เธอตอบไปพลันตัวก็รู้สึกหนาวสั่นขึ้นมา  คงเป็นเพราะช่วงเกิดมหาสมุทรวนนั้นเจ้าภูตพวกนั้นเพิ่มความหนาวเย็นให้นางขาดใจเร็วขึ้น
" ช่างเถอะ​... ตอนเรามาแสงสว่างวาบนั่นพามา​ ตอนกลับไม่มีแสงนั่นจะกลับถูกยังไงนะ​ อยู่ตรงไหนก็ไม่รู้"เธอเห็นออาการหนาวสั่นอีกคนจึงปัดเป่าน้ำที่ยังเปียกผ้าสวมให้แห้ง​แต่ว่าอีกคนหนาวจนถึงภายในแล้วนี่สิ​ ตอนนี้เป็นเวลาปัจฉิมยามแล้ว​ ถ้าไม่รีบกลับอีกคนคงได้ลำบากกว่านี้แน่





ออฟไลน์ จักรกรด

  • *
  • 145
  • 0
  • เพศ: หญิง
  • จิตฺเตน นียติ โลโก. โลกอันจิตย่อมนำไป .
    • อีเมล์
Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
« ตอบกลับ #44 เมื่อ: พฤษภาคม 02, 2020, 12:03:50 PM »
"จิตของท่าน..น่าจะ..มั่นคง​ ใช้แหวนนี้​พา.. กลับไป"​ อัญญานียื่นแหวนให้
"ธำมรงค์แก้วศุภร นี่มันอะ..." ไม่ทันไรผู้ให้แหวนนั้นก็สลบลง
"ไม่ใช่เวลาถามแล้ว​.. ธำมรงค์​แก้วศุภร​ หากเจ้าของยังมีวาสนาพอที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ​ ช่วยนำพวกเราไปยังเมืองคีรีมาศของเราด้วย" ปัทมาสน์อธิษฐานจิตในใจแล้วแสงสว่างวาบเพียงครู่ทั้งคู่ได้กลับมาในห้องบรรทมของพระบุตรแห่งคีรีมาศแล้ว​ เธอรีบวางร่างของอัญญานีลงที่แท่นบรรทมแล้วหายาสมุนไพรสำหรับรักษาที่จันทลักษณ์​เก็บรักษาไว้นำมาป้อนให้​ อาการจึงทุเลาลง
" เกือบตายแล้วไหมล่ะ​" สมุนไพรเหล่านี้รักษาได้ชั่วคราว​อาการจะย้อนกลับมาอีก​ ถ้าได้สมุนไพรเป็นยาดีจากป่าหิมพานต์​ก็เห็นจะช่วยได้  คงต้องพึ่งเพชรราหูที่หายตัวได้ดั่งใจมาช่วยในวันถัดไปเสีย​ ตอนนี้จึงได้เฝ้าอาการไปพลางๆก่อน
.....
วันต่อมาที่ฟ้ากำลังสาดแสง​  ขณะที่คณะเดินทางร่วมเกราะกายสิทธิ์​ได้เร่งเดินทางอยู่นั้นมีสิ่งผิดปกติตามมายังด้านหลังแต่เมื่อหันกลับไปกลับมองไม่เห็น​ พอหันกลับมาทางเดินก็เจอกับตัวประหลาดปรากฏ​ตัวออกมาจากการดำดิน
"สุดหล่อมาได้ยังไงกัน!! " พุทธรัตน์​ผู้สวมเกราะวันพุธถามขึ้นมาหลังจากที่เจ้าตุ้บเท่งมาจากใต้พื้นดินได้ไม่นาน
"ดำดินมาน่ะสิพระเจ้าค่ะ.. พระธิดาพุทธ​รัตน์​หรือนี่​ สวยขึ้นเยอะเลยนะ​ เกราะก็สวยขึ้นด้วย" เขาพอจะเดาบุคคลได้ไม่ยากจากการแต่งกายและสีของเกราะวิเศษที่เขารักหวงหนักหนา
"ใครมาอีกล่ะนั่น​ จากน้ำเสียงพูดประจบประแจงเก่งจริง" ตาหวานที่อยู่ในย่ามกล่าวเมื่อได้ยินประโยคที่ดูไม่จริงใจเอาเสียเลย
" ใคร​ ใครพูดจาว่าร้ายข้า " เขามองหาต้นเสียงก็ไม่พบ
" ไม่ได้ว่าร้ายนะ​ แต่มันรู้สึกจริงๆ" เจ้าผีในย่ามสั่นตอบอีกฝ่ายจึงรู้ว่ามีสิ่งที่พูดได้อยู่ในนั้น
" อะไรในนั้นเหรอพระธิดา" ตุ้บเท่งถามพลางใช้สายตามองไปยังสิ่งที่ขยับเมื่อครู่
"อ๋อนี่พี่ตาหวานน่ะ" ว่าแล้วเธอจึงส่งให้ดู
" สุดหล่อช่วยถือให้นะพระเจ้าค่ะ" เธอตามใจให้ช่วยแต่ไม่รู้เลยว่าเจ้าตัวประหลาดนี่คิดจะทำอะไร
"อ้อ.. นี่คือบัวแย้มนะ​เป็นสหายเราเอง​ ส่วนนี่คือสุดหล่อนะเขาเป็นผู้คุ้มครองน่ะ" เธอแนะนำให้ทั้งสองนั้นรู้จักกัน​
"เอ.. ไม่เห็นเจ้าหิ่งห้อยยักษ์​เลยนะพระเจ้าค่ะ​ หรือจะจะ.. จะตายไปแล้ว!! "ถึงจะพูดแบบตกใจก็เถอะแต่ตัวน่ะดีใจออกจะตายที่จะไม่มีใครขัดคอ​ แต่กับตาหวานก็ไม่แน่​
" พี่หิ่งห้อยได้รับบาดเจ็บน่ะ.. "และเ
พุทธ​รัตน์​ได้เล่าเหตุการณ์​ที่รู้มาให้เจ้าตัวประหลาดฟัง​ เรื่องก็เป็นเช่นนี้แล
เมื่อเดินทางสักพักได้ผ่านมายังสระบัวจึงหยุดพักผ่อนเสียก่อน
" พวกเราพักตรงนี้กันก่อนดีกว่า" ว่าแล้วทั้งหมดจึงพากันหุงหาอาหาร​ เจ้าตุ้บเท่งได้ทีก็โยนย่ามลงสระไปแกล้งว่าทำตกเสียอย่างนั้น
" อ้าวๆ​ ข้าขอโทษนะตาหวาน​ ไม่ได้ตั้งใจ๊ไม่ได้ตั้งใจ" เขาทำทีเป็นขอโทษแต่ก็นั่นล่ะดูจะพอใจผลงานมิน้อยเลย
"เหวยๆ​ เล่นทำข้าตกมาอย่างนี้ก็ถูกแดดส่องเกลี้ยงสิ​เอ็งนี่" เขาผุดมาใต้ใบบัวนั้นแล้วพบว่ามันสามารถกับร่างโครงกระดูกได้จึงเก็บใช้ใบบัวทำเป็นร่มเงากำบัง
เมื่อเมื่อรวบรวมปรุงอาหารเสร็จแล้วจึงได้รับประทาน
ไม่นานนักอาการเจ้าหิ่งห้อยเริ่มไม่ดีเกิดการไอเป็นโลหิตขึ้นมา
" อย่างนี้ไม่ดีแน่เลยเพคะพระธิดา​ จะทำอย่างไรดีเพคะ"บังแย้มกล่าวเมื่อเห็นอาการมิสู้ดีของแมลงตัวนี้
"จริงสิ​ เรามัวแต่เดินทาง​จนลืมไปว่าอาการน่ะแค่ทุเลาแต่ไม่หายขาดดี.. พี่หิ่งห้อยพอทนไหวไหมจ๊ะ" เธอถามด้วยความเป็นห่วง​
"หม่อมฉัน​ไม่เป็นอะไรมากหรอกพระเจ้าค่ะ​ เท่านี้พอทนได้"แมลงน้อยน่าสงสารตอบไปให้สบายใจแต่อาการก็ดูแย่นัก
"เอาอย่างนี้นะ​ เดี๋ยวน้องจะไปนำสมุนไพรจากป่าหิมพานต์​มาช่วยรักษาพี่หิ่งห้อยนะจ๊ะ"
" ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะพระธิดา"
" พวกท่าน​ เราต้องรบกวนแล้ว  รออยู่ที่นี่กับพี่หิ่งห้อยนะ​ ระวังภัยด้วย"
" อ้าวแล้วพระธิดาจะเสด็จอย่างไรรึพระเจ้าค่ะ" ผีโครงกระดูกถือใบบัวถาม
"ไปในแบบของน้องนี่ล่ะ​ ไม่นานเกินรอหรอกจะ​ เราไปนะ​ บัวก็ระวังตัวดีๆ"
" เพคะพระธิดา"  เมื่อจบการสนทนาพุทธรัตน์​จึงกลั้นใจนึกถึงป่าหิมพานต์​แล้วถอยหลังสามก้าวหายไปต่อหน้าทุกคนราวกับหายตัวได้อย่างนั้น
........
" พระโอรสวันพุธ​เจ้าขา" จั๊กแหล่นมาเยี่ยมเยือนที่ตำหนักตั้งแต่รู้สึกได้ว่าเปลี่ยนวันแล้ว แต่แล้วต้องตกใจที่เห็นพระโอรสรูปงามกำลังดูแลสตรีแปลกหน้าที่นอนอยู่บนพระแท่นบรรทมจึงเกือบที่ได้โวยวายแล้วถ้าไม่มีพระหัตถ์​ของพระโอรสมาปิดปากไว้เสียก่อน
"จั๊กกะแหล่น​ชอบเราไหม"อยู่ดีๆถูกถามอย่างนี้ตนจึงผงะบ้างแต่ก็พยักหน้ารับ
"ดีเลย​ ถ้าชอบเราจริงห้ามโวยวายนะ​ ไม่ว่าเราจะบอกอะไรต้องเชื่อและทำตามที่เราบอก" เขาจงใจใช้วิธีพูดดีมาให้เรื่องไม่บานปลาย​ เมื่อเธอตกลงจึงได้ปล่อย
"หูย พระโอรสรู้จักจั๊กด้วยเหรอเพคะ​ จั๊กยังไม่รู้จักชื่อพระโอรสเลยนะเพคะ" เธอเขินตัวบิดหมดแล้ว​ รีบบอกดีกว่าจะได้ตัดปัญหาให้หมดไป
" เราเพชรราหู.. ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สตรีนางนี้​ นางชื่ออัญญานี​ นางได้รับการช่วยเหลือจากปัทมาสน์แต่อาการไม่ดีขึ้นเลย​ จั๊กแหล่นมาได้เพลาพอดี​ เราจะขอให้ดูแลนางระหว่างเราไปนำสมุนไพรจากป่าหิมพานต์​ อย่าเพิ่งให้ใครเข้ามาในตำหนักของเรา​"
"จั๊กก็.. ก็เต็มใจอยู่นะเจ้าคะ​.. แต่ว่าจะไปยังไงล่ะ​ ป่ามันไม่ใช่ใกล้ๆนี่"ถึงจะบอกอย่างนั้นแต่ตัวเองอยากอยู่กับบุรุษ​เนื้อคู่ฟ้าประทานมากกว่าอีก
" ไม่ยากหรอก​ ดูแลนางกับตัวเองดีๆนะจั๊กแหล่น​ เราไปล่ะ"ว่าแล้วตนจึงหายตัวไปยังป่าหิมพานต์​ทันที

เมื่อมาถึงแล้วเพชรราหูจึงเข้าเก็บเทียนสัตตบุษย์ทันที​ พอดีกับที่พุทธรัตน์​มาถึงได้ตักน้ำในสระน้ำอโนดาตไปใช้ในการต้มและสมานแผล​ด้วย​ เมื่อตักน้ำเสร็จตนจึงเข้าเก็บสังกรณีที่อยู่ริมสร​ะ​ แต่ทว่าดึงเท่าใดก็ยังมิออกเสียทีจึงออกแรงขั้นสุดจึงพลาดหงายไปเกือบถึงผืนน้สระนั้น​ ถ้าไม่มีคนที่หมายตักน้ำในสระมาช่วยดึงขึ้นมาจนเผลอสบตาเข้าอย่างจัง​ ฝ่ายชายเผลอยิ้มเอ็นดูอย่างลืมตัว​ ฝ่ายหญิงเธอรู้สึกประทับใจที่ช่วยอยู่แต่ถ้านานกว่านี้คงไม่ดีแน่จึงผละออกจากกัน
"เราขอบใจท่านมาก" พุทธรัตน์​กล่าวต่อคนที่ช่วยเหลือ
"ไม่เป็นไร​ เราเต็มใจช่วย" เพชรราหูตอบรับแต่ใบหน้าระเรื่อสีแดงขึ้นมาเล็กน้อย​ เมื่อพิศดูอีกฝ่ายซึ่งกันดีๆแล้วจึงจำสิ่งวิเศษที่อีกฝ่ายสวมใส่ได้
"เกราะกายสิทธิ์"
"สังวาลย์​มณี"
"หรือว่าท่านคือ..!!" ทั้งสองพูดพร้อมกันแล้วจึงหยุดให้อีกฝ่ายกล่าวก่อน
"ท่านคือเพชรราหูนี่เอง"เธอจำสหายที่ร่วมเดินทางกับเธอครั้งสุดท้ายได้แล้ว
"ท่านก็คือพุทธรัตน์​.. ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอท่านที่นี่"
"นั่นสิ​ ท่านสบายดีหรือ"
"เราสบายดี​ แล้วท่านล่ะ"
" เราก็สบายเช่นกัน​ แต่ตอนนี้ลำบากใจ​ เราต้องรีบไปช่วยพี่หิ่งห้อยของเราที่บาดเจ็บ"เธอเริ่มพูดเมื่อนึกได้​ จะมัวแต่ดีใจเรื่องพบสหายเก่าก็กระไรอยู่
"พี่หิ่งห้อยบาดเจ็บเหรอ​ เราขอให้หายไวๆ​ ทางเราก็มีคนเจ็บไข้เหมือนกัน"เขาได้ฟังดังนั้นจึงพลันนึกถึงคนที่นอนสลบอยู่ในห้องตน
" เช่นนั้นแล้วจะต้องขอลาก่อน​ ไว้มีโอกาสพวกเราน่าจะได้เจอกันอีกนะ" พุทธรัตน์ยิ้มให้อีกคน
"ถ้ามีวาสนาจะได้เจอกันอีก​แน่​ ลาก่อน" เพชรราหูยิ้มตอบอีกฝ่าย​ แล้วทั้งสองจึงแยกย้ายไปยังที่ของตน
.......
ที่หอชิดดารา​ องค์เทพวิษุวัตที่ได้บำเพ็ญตนครบสิบปีตามพระบัญชาของพระอินทร์​ จึงได้ออกจากที่พำนักมายังด้านนอกแล้ว​ปัจจาจึงขอเข้าเฝ้าทันที
"ปัจจา​ เมื่อปลายตติยยามที่ผ่านมาเรารับรู้ถึงการมีอยู่ของพระเชษฐ​ภคินี​ เจ้าได้พบพระเทวีหรือไม่" พระเทวาถามบริวารที่มาเฝ้า
"ขอพระราชทานอภัยพระเจ้าค่ะ​ หม่อมฉันเดินทางไปตามหาแล้วแต่มิพบเลยพระเจ้าค่ะ" เขาทูลไปก็กลัวจะโดนอาญา
"ช่างเถอะ​ นี่เป็นเวลานานเกือบยี่สิบปีมนุษย์​แล้วที่เจ้าเฝ้าตามหาพระเทวี​ การที่เรารับรู้ได้ถึงการมีอยู่นับว่าเป็นสัญญาณอันดี​ เราจะเปลี่ยนให้ผู้อื่นไปแทน​ แล้วเจ้ามาช่วยงานเราดีกว่า"
" เป็นพระมหากรุณาธิคุณ​พระเจ้าค่ะ.... ก่อนหน้านี้หม่อมฉันได้ไปพบธานินทร์​กับธารามาพระเจ้าค่ะ​ แต่ว่าพบแต่ธานินทร์​ได้รับบาดเจ็บอยู่แต่เพียงผู้เดียวพระเจ้าค่ะ"  เมื่อได้ยินดังนั้นด้วยความเป็นห่วงจึงเดินทางไปยังที่พักของบริวารทันที
" ธานินทร์​เกิดอะไรขึ้น" องค์​เทพถามขึ้นหลังจากที่เดินทางมาถึง
" ถวายบังคมพระเจ้าค่ะ​ คือว่าหม่อมฉัน.... "และผู้ที่ถูกถามได้เล่าเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด
" เราจะช่วยรักษาให้เจ้าเอง"ว่าแล้วพระเทวาจึงใช้มนตราสร้างขาด้านซ้ายของธานินทร์​กลับมาปกติดังเดิม
"ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ"
" ถือว่าเป็นการตอบแทนที่เจ้าช่วยพาอินทรานีกลับมา​ เราว่าได้เพลาสมควรที่จะไปพบกับบดิศร​ ปัจจาไปกับเรา​ ธานินทร์​ดูแลพระแม่เจ้าดีๆแล้วเราจะกลับมา"
" พระเจ้าค่ะ"ทั้งสองรับคำแล้วจึงต่างทำหน้าที่ของตน
......
หลังจากที่กลับมาได้แล้วนั้น​ พุทธรัตน์ก็เข้าใช้สมุนไพรรักษา​เจ้าหิ่งห้อยจนอาการดีขึ้น​ เมื่ออาการดีขึ้นมากแล้วร่างกายได้กลับมาใหญ่ดังเดิม​ สร้างความปิติอย่างยิ่ง​ แล้วทั้งหมดจึงเดินทางกันต่อไป
" พี่หิ่งห้อยรู้ไหมจ๊ะ​ว่่าตอนที่น้องไปป่าหิมพานต์​ได้พบกับใคร" เธอพูดขึ้นมาแล้วยิ้มอย่างพอใจ
"ใครหรือพระเจ้าค่ะ​พระธิดา"
"เพชรราหูแห่งสังวาลย์มณีจะ"
"พระโอรส!!" บัวแย้มที่ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามจึงร้องเรียกออกมาอย่างอดเสียไม่ได้
"มีอะไรเหรอบัว​ บัวรู้จักเขาด้วยเหรอ" อีกคนสงสัยจึงถามไป
" รู้จักเพคะ​ ก่อนหน้านี้ที่บัวจะไปอยู่ศาศวัตบุรี​ บัวอาศัยอยู่ในป่ากับยายเพคะ​ ตอนนั้นมีวาสนาได้พบกับพระธิดาแสงสุรีย์​  และพระโอรสพระธิดาให้ความเมตตาบัวกับยายมาตลอดเพคะ"
"อ๋ออย่างนี้นี่เองน่ะ​ รู้อย่างนี้ก่อนล่ะก็​ เราจะบอกเขาให้รู้เลย​ ไว้พวกเราเดินทางถึงเมืองทิศพลแล้วพักผ่แนให้ดี  พวกเราจะพาไปหานะบัว" เธอจับมืออีกคนยิ้มให้กันและกันแล้วจึงเดินทางต่อไป
...
เมื่อเพชรราหูกลับมาใช้สมุนไพรรักษาแล้วนั้น​ อัญญานีได้ฟื้นตื่นขึ้นมา
"ท่านแล้วนาง..นางไปไหนล่ะ"เธอถามถึงผู้ที่ช่วยชีวิตไว้เมื่อไม่พบ
"นางพักแล้วล่ะ​ วันนี้เป็นวันของเราเอง" เขาตอบคำถาม
"ก็พระโอรสน่ะสลับสับเปลี่ยนกับพระธิดาไปในแต่ล่ะวันตามสังวาลย์​มณีไงจ๊ะ" จั๊กแหล่นช่วยเสริม
"เราขอบใจท่านมากนะ... ท่านเป็นสหายของพวกเกราะกายสิทธิ์​หรือป่าว"
" จะเรียกว่าสหายก็จะดูไม่สนิทถึงขนาดนั้นนะ​ ท่านรู้จักได้อย่างไร​ แล้วเรื่องเป็นยังไงกันแน่" เขาตอบแล้วถามอย่างสงสัย
" เราเป็นเพื่อนกับจันทราภา.... "เธอจึงเริ่มเล่าเรื่องให้ฟัง
"เช่นนั้นแล้วถ้าอาการท่านหายเป็นปกติ​ เราจะพาท่านไปพบกับพวกเขาที่เมืองทิศพลนะ  นี่ธำมรงค์แก้วศุภร"
ว่าแล้วจึงยื่นแหวนให้
" เราขอบใจท่านอีกครั้ง"
" เราเต็มใจ​ ได้เพลาเข้าเฝ้าเสด็จพ่อแล้ว​ เราขอตัวก่อนนะ"ว่าแล้วจึงจากไปยังท้องพระโรง
"อ้าวอัคนินไปไหนเสียล่ะ" เขาถามกับมหาดเล็กคู่ใจที่รอเข้าเฝ้าแทน
" พระโอรสอัคนินประชวรพระเจ้าค่ะ​"
" แปลกจริง​ เราไม่เคยเห็นอัคนินป่วยเลย.." เขาได้แต่สงสัยแล้วเจ้าเมืองเสด็จยังท้องพระโรงจึงทำการเข้าเฝ้าต่อไป
.....
" ถวายบังคมพระเจ้าค่ะ" ทั้งบดิศรและอัคนินที่แอบติดตามมาได้เข้าเฝ้าพระเทวาวิษุวัต
"ตามสบายเถอะบดิศร.. คนผู้คือ.." พระองค์​มองหน้าคนที่ไม่ได้อยู่ในความดูแลของตนมาก่อน
" หม่อมฉันอัคนินพระเจ้าค่ะ"
"เขาจะมาช่วยหม่อมฉันกำจัดอริของพระองค์​พระเจ้าค่ะ​ เขาเป็นผู้ร่วมวงศากับผู้ครองสังวาลย์​มณีพระเจ้าค่ะ"
"เช่นนั้นก็ดี​ เอาล่ะเราจะมอบหมายให้พวกเจ้าทำลายเกราะกายสิทธิ์​และสังวาลย์​มณีเสีย​ ไม่ต้องกังวลไป​ เรามีเกราะเหล็กและสังวาลย์​ศิลาที่สามารถต่อกรกับของพวกนั้นได้​ ถ้าหากทำลายได้ไม่ว่าสิ่งใดที่พวกเจ้าปรารถนาเราจะให้ทุกอย่าง" ว่าแล้วปัจจาจึงนำสิ่งวิเศษใหม่ยกให้ทั้งสอง
" ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ"เมื่อรับแล้วเทวดาทั้งสองจึงหายตัวไป​ ทั้งสองจึงทำข้อตกลงในการทำลายศัตรูตนต่อไป