ในปฐมยามที่สองวันนั้นเองที่เมืองทิศพล เหล่าคณะเดินทางได้มาถึงเป็นที่เรียบร้อย เจ้าเมืองจึงได้ต้อนรับพระนัดดาและพระสหายยังท้องพระโรง เหล่าข้าราชบริพารที่ได้พบกับพระสหายที่ไม่ใช่มนุษย์ที่คุ้นเคยอย่างเจ้าตุ้บเท่งกับหิ่งห้อยยักษ์นั้นพอจะทำใจให้ชินได้บ้าง แต่เจ้าผีโครงกระดูกที่มีแต่ศีรษะกับแขนนี่สิน่าขนลุกขนพองเพลาที่อยู่ในท้องพระโรงนัก
"ถวายบังคมเพคะ/พระเจ้าค่ะ" เหล่าคณะเดินทางได้เข้าถวายบังคมกษัตริย์นวดลและมเหสีอัมรินทร์
"ขอให้จำเริญๆเถิด หลานตาโตขึ้นมากเลยนะ พวกหลานสำเร็จวิชาจากฤๅษีอนุชิตแล้วหรือ ถึงได้มาเยือนเมืองของตาได้น่ะ" ท้าวเธอถามขึ้นมาเพราะสาเหตุที่ไม่พบกันเพราะติดร่ำเรียนวิชานานมาสิบปีไม่มีทางที่ดาบสจะให้กลับมาได้แน่ถ้ามิจบการศึกษาวิชา นี่ถ้าไม่มีเกราะกายสิทธิ์อยู่กับตัวคงจะจำหลานมิได้
"สำเร็จวิชาแล้วเพคะเสด็จตา พวกหลานจึงเดินทางมาเข้าเฝ้าเพคะ ระหว่างทางพวกหม่อมฉันได้พบกับพวกเขา... "เธอตอบพลางผายมือไปทางผู้แปลกหน้าทั้งสองแล้วเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พระอัยกาฟัง เมื่อฟังได้ความดังนั้นแล้วจึงคิดต่อว่าตนเองที่เป็นเหตุที่ทำให้อัญญานีต้องไปอยู่กับแม่มดใจร้ายที่แปลงกายมาหลอกล่อ
" อย่าทรงเป็นกังวลเลยนะเพคะ ไม่เช่นนั้นพระวรกายไม่แข็งแรงอีกจะประชวรได้" พระมเหสีตรัสให้นึกขึ้นได้
"เสด็จตาเพคะ ตลอดสิบปีมานี้เสด็จตาประชวรหนักหรืือเพคะ" พระธิดาวันพุธถามอย่างเป็นห่วง
"ก็ธรรมดาของคนมีอายุนั่นล่ะหลานอย่าไปสนใจเลย เสด็จยายเจ้าก็เหมือนกันน่ะห่วงมากเกินไป ไม่ห่วงตัวเองบ้างเลย" ท้าวเธอปฏิเสธแต่กลับบอกว่าพระชายาเสียอีก
" โธ่ หม่อมฉันมิได้เป็นอะไรนี่เพคะ อย่าตรัสให้หลานห่วงพวกเราเลยจะดีกว่านะเพคะ"พระนางมิต้องการให้หลานห่วงไปกว่านี้แล้ว ยิ่งพูดยิ่งไม่ใช่เรื่องดี
" ถึงจะว่าอย่างนั้น อย่างไรเสียหลานก็อดห่วงไม่ได้เพคะ" คนห่วงไปแล้วจะเลิกห่วงก็กระไรอยู่
"ช่างเถอะน่า ตอนนี้เดินทางกันมาเหนื่อยๆพักผ่อนกันก่อนดีกว่านะ ไว้พรุ่งนี้มาช่วยกันคิดหาทางช่วยเหลืออัญญานีกันต่อ" ท้าวเธอว่าแล้วจึงพากันแยกย้ายไปตำหนักต่างๆเพื่อพักผ่อน
" บัวทำไมสีหน้าไม่ดีเลยล่ะ" พุทธรัตน์ที่เข้ามาดูความเรียบร้อยให้เห็นความเศร้าหมองในตัวอีกคน
" บัว..บัวคิดถึงพระธิดาอัญญานีเพคะ จริงอยู่ที่จะกลับไปอยู่สุขสบายกายแต่เท่าที่หม่อมฉันทราบ พระธิดาไม่สบายใจแน่เพคะ" ความกังวลใจชัดขึ้นหลังจากที่ตอบคำถามอีกฝ่าย
"เราเข้าใจนะบัว การพลัดพรากน่ะไม่ดีหรอก เพียงแต่เราต้องตั้งสติไว้ก่อน ทำใจให้สบาย ค่อยๆคิดค่อยๆแก้ปัญหา บางทีพรุ่งนี้ภูมินทร์อาจจะช่วยได้มากขึ้นก็ได้" เธอพูดหวังให้ใจอีกฝ่ายสงบบ้าง
" เพคะ บัวจะตั้งสติแล้วทำใจให้สบายเพคะ" เธอยิ้มให้อีกคนไม่ใช่เพราะหายกังวลแล้วหากแต่ไม่อยากรบกวนใจอีกฝ่ายไปมากกว่านี้
....
"ท่านอยู่พักในตำหนักนี้ก่อนนะ ไว้พรุ่งนี้พวกเราจะเดินทาง ส่วนเราจะไปพักที่อาศรมพระอาจารย์"เพชรราหูกล่าวบอกหญิงในการช่วยเหลือเมื่อเห็นว่าอาการดีมากแล้ว
" เรารบกวนท่านมากไปหรือป่าว ที่ทำให้ท่านต้องไปพักที่อื่น" อัญญานีกล่าว
"ไม่หรอกเราเต็มใจ อีกอย่างที่นี่นอกเหนือจากพวกเรามีเสด็จพ่อเท่านั้นที่รู้ว่ามีท่านอยู่ ถ้าจัดตำหนักรับรองให้ เรื่องต้องถึงหูอัคนิน"
" อัคนินเกี่ยวอะไรหรือ ทำไมถึงได้ต้องปิดบัง"
" เขาเป็นคนของเทพวิษุวัตไปแน่แล้ว อีกอย่างข้ารับใช้ในวังเป็นหูตาให้อัคนินที่เราไม่รู้อีกตะหาก ท่านพักผ่อนเสียดีกว่าพรุ่งนี้จะได้เร่งเดินทาง" กล่าวจบแล้วจึงเข้าสู่ป่าจินตภพทันที
......
" ลูกได้ของดีมาในเพลาเหมาะเช่นนี้ นับว่าโอกาสของพวกเรามาถึงแล้ว" ผกากรองได้ฟังคำเล่าของบุตรชายหลังจากกลับมาก็กล่าวอย่างยินดียิ่ง
" หมายความว่ายังไงกันท่านแม่"ลูกสงสัยในพาทีของแม่
" วันที่พวกเรารอคอยมาถึงแล้ว คืนนี้พระจิตขององค์เหนือหัวไม่มั่นคงเหมาะแก่การทำการใหญ่"
" การใหญ่อะไรกันท่านแม่"
" แม่จะทำพิธีควบคุมและยึดพระวรกายของพระองค์มาเป็นของแม่ แต่แม่ต้องสละสังขารชีพ แม่จึงต้องเตือนเจ้าไว้ให้เตรียมใจ"
" แต่อย่างนี้มันอันตรายมากนะท่านแม่ ถ้าทำไม่สำเร็จท่านก็จะต้อง.. ต้องตาย"
" อย่ากลัวเลย อุตส่าห์รอคอยมานานขนาดนี้มีหรือว่าแม่จะไม่ระวังตัว" ว่าแล้วเธอจึงเริ่มทำพิธีทันที
......
วันถัดมาดูท่าฝนฟ้าคะนองเสียเหลือเกิน แต่ถึงกระนั้นถ้าคิดจะทำการอันใดไว้ก็ต้องทำให้ได้
" แม่ขอให้ลูกโชคดีบดิศร"วิมาลามารดากล่าวอวยพรลูกยาเมื่อเขากำลังจะเดินทางไปกำจัดศัตรู
" แล้วท่าน.. เสด็จตาอยู่ที่ใดกันพระเจ้าค่ะ ลูกมิเห็นเลย" เขาถามหาผู้ที่เป็นเจ้าเมืองนี้ที่ไม่พบหน้าเลยตั้งแต่กลับมา ด้วยเพราะต้องเตรียมตัวรับพระบัญชาจึงไม่ได้ถามตั้งแต่แรก
"ตาของลูกน่ะไปเมืองรัตนบุรีเพื่อทำทีเจริญสัมพันธไมตรี จากนั้นแล้วเราจะได้แก้แค้นกัน" เธอพูดพลางยิ้มอย่างมีหวัง
"แต่ว่าทำไมต้องไปหาเสด็จพ่อด้วยพระเจ้าค่ะในเมื่อพวกนั้นก็อยู่ที่เมืองทิศพล" เขาสงสัยนัก
"ลูกเคยบอกแม่แล้วนี่ว่าเมืองเมืองนี้สักวันนึงมันก็ต้องสลายหายไปไม่ได้ยืนยงเหมือนชื่อของมัน ดังนั้นแล้วขณะที่ลูกจัดการกับฝั่งนั้นแล้ว เสด็จตาจะจัดการกับที่เหลือจะได้ทำการเสร็จได้ไวๆ"เธอกล่าวอย่างมุ่งมั่น
" แล้วเสด็จพ่อจะเป็นอันตรายหรือไม่พระเจ้าค่ะ" ถึงจะจากกันเช่นนั้นแต่เขาก็ยังห่วงบิดาอยู่ดี
" ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตหรอกนะลูก เพียงแต่เสด็จพ่อของลูกจะต้องช่วยเรามันก็เท่านั้นเอง"เธอพูดพลางส่งยิ้มให้ลูกนั้นคลายกังวล
" แล้วเสด็จพ่อจะยอมช่วยพวกเราหรือพระเจ้าค่ะ"
" ช่วยแน่นอน แม่เชื่อในเสด็จตาของลูก แม่ว่าพวกเราอย่าเสียเพลาอีกเลยดีกว่า เร่งทำการให้เสร็จสิ้นพวกเราจะได้อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขเสียที" เมื่อนางกล่าวเช่นนั้นแล้วบดิศรจึงลานางมุ่งสู่เมืองทิศพลทันที
...
"ท่านกลับมาแล้วหรือ.. .."อัญญานีถามขึ้นหลังจากการกลับมาของคนที่พอจะเรียกว่าสหายพร้อมส่งสายตาเชิงอยากเรียกแต่ไม่รู้นาม
" เรากลับมาแล้วล่ะอัญญานี เราชื่อจินดา"เธอตอบอีกคนพร้อมยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
" อาการของเราดีขึ้นมากแล้วล่ะ เราจะขอลาไปตามหาคนของเราเองจะดีกว่า " เธอไม่อยากรบกวนอีกจึงได้บอกไป
"ไม่ต้องหรอกเราจะไปด้วย ถือเสียว่าเราจะได้ไปพบสหายของเราด้วยกัน อย่าคิดว่าเป็นการรบกวนเลย"เธอกล่าวให้ฟังเพราะไม่อยากให้อีกคนลำบากใจและตามที่พูดก็เป็นความจริงที่จะไปพบสหายด้วย
" ใคร!! "เสียงเคาะประตูห้องบรรทมดังขึ้นมาทำให้พระธิดาวันพฤหัสบดีเกิดคำถามขึ้นเพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่ามีคนอีกคนในนี้ จะได้ออกไปด้านนอกแทน
" จั๊กเองเจ้าค่ะ จั๊กเอง เกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ" ว่าแล้วจึงเปิดประตูที่ไม่ได้ลั่นดานแล้วเข้าไป
"มีอะไรหรือที่ว่าเกิดเรื่อง จั๊กแหล่น" อัญญานีถามด้วยความสงสัย
" วันนี้มีข่าวว่าพระสนมผกากรองสิ้นพระชนม์แล้วเพคะ อีกประเดี๋ยวก็จะเรียกเข้าท้องพระโรงตามเวลาแล้ว "
" เช่นนั้นจะช้ามิได้แล้ว เห็นทีเราจะต้องรีบไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ เราไปก่อนนะ" จินดาได้ยินดังนั้นจึงไม่อยู่เฉยเร่งไปยังท้องพระโรงทันทีเพราะใกล้ถึงเพลาเต็มที
เมื่อมาถึงจึงได้พบว่าเรื่องที่ได้ยินมานั้นจริงสุดจะบรรยาย ภาพตรงหน้าน้ำตานองอัคนินเสียเหลือเกิน
" นางสิ้นโดยไม่ใช่วิถีธรรมชาติ นี่ต้องเป็นการสังหารจากบาดแผลที่เกิดจากการแทง อัคนินเจ้าอย่าเสียใจให้มา เราขอถามว่าเมื่อคืนนี้เจ้าได้ไปที่ตำหนักพระสนมหรือไม่" ท้าวธริษตรีเธอถามเพื่อสาวความหาข้อเท็จจริง
"ไม่ได้ไปพระเจ้าค่ะ เมื่อคืนนี้หม่อมฉันเป็นไข้จึงอยู่แต่ในตำหนักตนเองตลอดทั้งวันทั้งคืน" เขาตอบเสียงปนสะอื้นไห้แต่หามีความจริงไม่
" ถ้าเป็นเช่นนั้น มารดาเจ้ามิได้ไปเยี่ยมเยือนเจ้าบ้างเลยหรือ"
" ไม่ได้มาพระเจ้าค่ะ แต่ส่งนางกำนัลมาดูอาการแทนเพราะเสด็จแม่ประชวรด้วยเช่นกันพระเจ้าค่ะ เสด็จพ่อจะต้องให้ความเป็นธรรมให้กับหม่อมฉันนะพระเจ้าค่ะ"
" เรื่องความเป็นธรรมเราต้องให้อยู่แล้ว นางมีปัญหากับใครหรือป่าว"
" ไม่มีพระเจ้าค่ะ จะมีก็แต่คนอื่นที่มามีปัญหา"เขาทูลพลางส่งสายตาไปยังพระธิดาจินดา
" ได้ เช่นนั้นเราจะเร่งหาตัวคนร้ายให้เร็วที่สุด ตลอดการพิจารณาคดีนี้ห้ามมิให้ผู้ใดเดินทางออกจากเมืองของเราเป็นอันขาด แม้แต่เจ้าจินดา อัคคนิน เอาล่ะวันนี้พอแค่นี้ก่อน เราต้องจัดพิธีให้กับผกากรอง"
" น้อมรับพระบัญชาพระเจ้าค่ะ/เพคะ" และแล้วทั้งหมดจึงได้แยกย้ายกันไป
....
"พระองค์เสด็จมาจากศาศวัตบุรีด้วยตนเอง เรายินดียิ่งที่จะต้อนรับกัลยาณมิตรใหม่ของเมืองเรา" ท้าวพีรเชษฐ์กล่าวกับเจ้าเมืองที่มาเจริญสัมพันธไมตรี
" ด้วยเห็นพระบารมีที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์ เราเห็นว่าการมาครั้งนี้มิเสียแรงเลยจริงๆ" นรราชเจ้าเมือง อดีตปุโรหิตที่ใช้นามหน้าใหม่กล่าวกับอีกฝ่าย เขาน่ะที่เคยเป็นพ่อตามาก่อนย่อมรู้ว่าชอบอะไรไม่ชอบอะไร ความสนิทชิดเชื้อที่ท้าวพีรเชษฐ์ได้มารู้สึกเหมือนเจอมิตรแท้ในช่วงเวลาเดียวนั้นเอง เพราะท้าวเธอน่ะเชื่อคนง่ายแถามสบายใจไม่มีอะไรต้องกลัวแล้วจึงไม่ระวังเอาเสียเลย
"องค์เหนือหัวเพคะ หม่อมฉันรู้สึกว่าเจ้าเมืองคนนี้มิน่าไว้ใจเลย" สไบทองสังเกตการณ์ตลอดวันจึงได้กล่าวเมื่อกษัตริย์ต่างเมืองไปยังพระตำหนักรับรองแล้ว
"อย่ากังกลไปเลย ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาก็เป็นคนดีอีกด้วยนะ" คนไม่ระวังตัวกล่าวตอบอีกคนให้สบายใจ
"แต่ถึงอย่างไรหม่อมฉันก็ไม่ไว้ใจที่เจ้าเมืองคนนี้ทำทีรู้เสียทุกเรื่องไป อย่างนี้แล้วจะไม่ดีต่อพระองค์เองนะเพคะ" เธอเตือนพระสวามีด้วยความหวังดี
"ไม่หรอกน่า นี่ล่ะมิตรแท้ที่ฟ้าประทานมาให้แก่เรา"คนดื้อจะทำอย่างไรก็มิฟังหรอก เธอได้แต่ถอดถอนหายใจมิพูดอันใดอีกแต่จะคอยพึงระวังไว้ พระราชาคนนี้ที่พบกันวันเดียวข้อมูลที่จะมีมาคุยกันได้ขนาดนี้เป็นไปไม่ได้เลย
.....
"เพิ่งมาได้คืนกับอีกวันเดียวจะจากตาไปอีกแล้วรึ" ท้าวนวดลถามเมื่อผู้เป็นพระนัดดาทูลลาไปตามหาคน
" พระเจ้าค่ะเสด็จตา หลานจะต้องช่วยเหลืออัญญานีกับบัวแย้มให้ได้พบกันพระเจ้าค่ะ" ภูมินทร์กล่าวตอบพระอัยกีด้วยความเป็นมนุษยธรรม
"เมื่อพบกันแล้วจะไปยังที่ใดกันล่ะ จะกลับเมืองเก่าก็ไม่มีแล้ว"พระอัยกีอัมรินทร์กล่าวด้วยความห่วงใย
" ก็คงจะต้องหาที่อยู่ทำกระท่อมในป่าเพคะ"บัวแย้มทูล
" แล้วอีกฝั่งเขาจะยอมหรือ พวกเขาจะต้องตามหาพวกเจ้าจนพบแล้วถูกนำตัวไปอีกล่ะจะทำยังไง" พระมเหสีกล่าวต่อไป
" เอาอย่างนี้เถอะ เราจะช่วยอุปถัมภ์พวกเจ้าเอง มาอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวเสียที่นี่ล่ะ เพลามีเรื่องขึ้นมาจะได้ช่วยเหลือกัน ห้ามปฏิเสธเชียว" ท้าวนวดลเธอเสนอให้
" ช่างเป็นความคิดที่ดีจริงๆ แต่ท่านคิดหรือว่าบ้านเมืองนี้จะไม่พังทลายไปเสียก่อน" เสียงพูดดังขึ้นมาพร้อมกับการปรบมือทำให้ความสนใจมุ่งสู่คนพูดทันที
" ท่านเป็นใคร มาจากไหนกัน"ภูมินทร์ถามอย่างสัย บุรุษนี้เป็นใครกัน แล้วเข้ามาได้ยังไง
"เราเป็นใครมาจากไหนไม่สำคัญ แต่วันนี้เราจะมาทำลายพวกเจ้าให้สิ้นซาก"คนใส่เกราะเหล็กกล่าวอย่างอวดดี
" พระโอรสบดิศร" บัวแย้มที่เคยพบหน้ามาก่อนจึงรู้ได้ทันทีแบบไม่ต้องนึก
" บดิศร เราจบเรื่องนี้กันไปแล้วอย่าได้จองเวรจองกรรมกันอีกเลย" เมื่อเขาได้ยินดังนั้นจึงได้เจรจาอย่างสันติ
" ไม่มีวันที่จะจบ จนกว่าพวกเจ้าทั้งเจ็ดคนจะถูกทำลาย!! " ว่าแล้วเขาจึงใช้พลังจากเกราะเหล็กพุ่งทำร้ายอีกคนโดยไม่ทันตั้งตัว
"ทุกคนหนีก่อน พี่หิ่งห้อยพาเสด็จตากับเสด็จยายหนีไปก่อนเถอะจะ ทางนี้น้องจัดการต่อเอง"คนที่ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีที่หลบได้แบบฉิวเฉียดรีบบอกให้คนอื่นหนีไปแล้วตนจะได้สู้กันแค่สองคนพอ
" พระเจ้าค่ะพระโอรส องค์เหนือหัวพระมเหสีพระเจ้าค่ะไปกันเถอะพระเจ้าค่ะ" ว่าแล้วทั้งสองจึงขึ้นเจ้าแมลงยักษ์ไปที่ปลอดภัยก่อน
" สู้เขานะพระโอรส"เจ้าตุ้บเท่งที่ไม่ยอมไปไหนได้เฝ้ารอดูพลังสิ่งวิเศษชิ้นใหม่พร้อมให้กำลังใจ
"หนูบัวยังไม่ไปอีกเหรอ" ตาหวานถามเมื่อจะพาไปหลบก่อนส่วนตนจะกลับมาช่วย
" ไม่จะ บัวไม่ไป ถ้าพระโอรสภูมินทร์เป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง" เธอจะคอยช่วยดูสถานการณ์ ถ้าไม่ดีจริงๆเธอก็พอจะช่วยต่อรองกับบดิศรได้บ้าง
บดิศรพุ่งหมัดซ้ายตรงไปยังใบหน้าของอีกฝ่ายพร้อมกับก้าวเท้าซ้ายสืบไปข้างหน้า ภูมินทร์ที่เป็นฝ่ายรับรีบก้าวเท้าซ้ายสืบเท้าเข้าหาตัวฝ่ายรุกตรงหน้า แขนขวาปัดแขนซ้ายบดิศรให้พ้นจากตัวแล้วใช้ช่องว่างยกเท้าขวาเตะกราดบริเวณชายโครงของอีกฝ่าย บดิศรไหวตัวรีบผลักตัวถอยเท้าซ้ายไปข้างหลัง ราวกึ่งซ้ายย่อตัวใช้ศอกขวาถองที่ขาขวาท่อนบนของฝ่ายรุกตน ดีที่ภูมินทร์มีความไหวตัวพอกันจึงหลบหลีกได้ทัน ตอนนั้นนั่นเองบดิศรจึงใช้พลังจากเกราะเหล็กเข้าโจมตีภูมินทร์ แล้วเขาจึงตอบกลับโดยการใช้พลังจากเกราะกายสิทธิ์เช่นเดียวกัน ตอนนี้พลังทั้งสองปะทะกันอยู่ตรงกลางในระยะทางที่เท่ากัน
"เราว่าพวกเราคุยกันดีๆได้นะบดิศร" พระโอรสวันพฤหัสบดีคิดจะเจรจาอีกครั้งในการต่อสู้
"ไม่ต้องพูดแล้ว" เขาเพิ่มพลังมากขึ้นจนพลังของเขาสามารถดันไปยังฝ่ายตรงข้ามได้มากกว่าพลังของอีกฝ่าย อีกฝ่ายเห็นท่าไม่ดีจึงได้เพิ่มพลังไป ตอนนี้พลังทั้งคู่ผลัดกันดันพลังของอีกฝ่ายไปมาแต่ไม่มีทีท่าว่าจะถึงตัวอีกฝ่ายสักที
"อย่าออมมือ!! " บดิศรเขาใช้พลังเกินขีดจำกัดที่ร่างกายจะรับไหวเข้าจู่โจมภูมินทร์ อีกคนไม่มีทางเลือกจึงต้องใช้พลังขั้นสุดกับเขาด้วยความจำเป็นที่ต้องปกป้องร่างกายไว้ เมื่อพลังปะทะกันรุนแรงอาคารสถานท้องพระโรงจึงพังทลายลงมา พวกที่ดูอยู่จึงพาบัวแย้มออกมาจากที่นั่นก่อนจะถูกถล่มทับ สองคนที่สู้กันนั้นแม้จะมีสิ่งก่อสร้างถล่มลงมาก็ทำอันตรายไม่ได้เพราะพลังที่มหาศาลนั้น ไม่นานนักทั้งสองก็ต้องผละออกจากกันเพราะถึงจะไม่ถูกพลังทำลายตรงๆแต่เมื่อใช้พลังปะทะกันนานเข้ามีแต่จะทำให้ช้ำใน เมื่อผละออกจากกันได้แล้วทั้งคู่อาการมิสู้ดีเลย
"พระโอรสพระเจ้าค่ะ เจ้าตุ้บเท่งมาพยุงพระโอรสสิเร็วเข้า" ตาหวานเข้าดูภูมินทร์ทันทีพร้อมกับสั่งให้เจ้าตัวประหลาดช่วยพยุงตัวคนที่เขาติดตาม
"พระโอรสภูมินทร์ทรงเป็นอย่างไรบ้างเพคะ" บัวเข้าไปดูอาการด้วยคน
"เราไม่เป็นอะไรมาก แต่บดิศรล่ะ" เจ้าตัวตอบขณะที่เลือดก็ทะลักมาจากปาก ถึงตัวจะเจ็บแต่ยังห่วงน้องต่างแม่อยู่ดี บัวจึงเข้าไปดูและประคองให้
" พระโอรสบดิศรเพคะ ทรงเป็นอย่างไรบ้างเพคะ" เธอถามอาการ เขานึกว่าจะไม่มีใครใครสนใจเสียแล้ว
" บัว.. เรา.." ไม่ทันจบประโยคปัจจาได้รีบเข้ามาแย่งนำร่างของบดิศรหายตัวไปในทันที
"ไปแล้ว!!" บัวแย้มตกใจจึงได้พูดขึ้น
"เกราะกายสิทธิ์มีรอยร้าว ฮือดูดูมันทำสิ!!" เสียงตกใจอีกคนดังกว่าทันทีที่เจ้าสุดหล่อเห็นรอยขีดร้าวบนเกราะขีดเดียวก็เหมือนใจจะแตกสลาย
"บัวว่าอย่าช้าเลยดีกว่าจะ รีบพาพระโอรสไปยังห้องพระโอสถก่อน เผื่อจะช่วยได้บ้าง ปล่อยไว้อย่างนี้ไม่ดีแน่ ส่วนเกราะกายสิทธิ์ค่อยหาทางแก้เถอะนะสุดหล่อ"เธอออกความเห็น ชีวิตคนก็สำคัญเจ้าตุ้บเท่งมิได้ใจไม้ไส้ระกำขนาดนั้นจึงตัดสินใจแบกพระโอรสวันพฤหัสบดีไปหาทางรักษาต่อไป
...
" ที่ท่านแม่ต้องตายเปล่าก็เป็นเพราะพวกเจ้า อย่างนี้แล้วข้าจะฆ่าพวกเจ้าเสียบัดนี้" อัคนินที่คิดอยู่นานตัดสินใจหยิบสังวาลย์ศิลาหมายจะสังหารผู้เป็นเหตุให้มารดาต้องถึงแก่ความตาย
"องค์เหนือหัวเสด็จพระเจ้าค่ะ" มหาดเล็กเข้ามาทูลบอก ไม่ทันจะทำอะไรเข้ามาเสียแล้วเจ้าหนึ่งในตัวสาเหตุนี่
" พวกเจ้าออกไปก่อน" ทันทีที่พระราชาเข้ามาได้จึงให้เหล่าบริวารทั้งหมดออกไปเสียจะได้ไม่รบกวนเรื่องส่วนตัว
"อัคนินลูกยังเสียใจอยู่อีกเหรอ แล้วสังวาลย์หินนี่จะไปทำอะไรน่ะ" เขาถามด้วยความเป็นห่วงและประหลาดใจที่อยู่ๆก็ได้เห็นอัคนินคว้าสังวาลยังกะจะไปฆ่าใครได้
"ปล่าวหรอกพระเจ้าค่ะ ลูกก็แค่ดูของต่างหน้าเสด็จแม่"
"ของพระเทวาน่ะสิ" เขาหน้าถอดสีเมื่อได้ยินคำคนที่ชื่อว่าพระบิดาที่รู้เท่าทัน
" อัคนิน นี่แม่เองลูก"เขาเปลี่ยนจากท่าทีจริงจังมายิ้มอย่างสบายใจ
"ท่านแม่ ลูกตกใจหมดเลย" เขาขวัญเสียไปทีแล้วหนา
"แม่ขอโทษที่ไม่ได้บอกลูกตั้งแต่แรก แม่อยากรู้ว่าจะสามารถเล่นเป็นองค์เหนือหัวได้ดีจนไม่มีใครผิดสังเกตหรือป่าว"
"แล้วพระวิญญาณขององค์เหนือหัวล่ะท่านแม่"
" ก็บรรทมน่ะสิ เรากำลังจะได้ทุกสิ่งอย่างแล้ว แม่ขอเจ้าวันนี้วันเดียว แล้วพรุ่งนี้แม่จะให้เจ้าใช้สังวาลย์กำจัดมันโดยไม่ผิดใจคนอื่น" เธอยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
" ทำไมหรือจ๊ะ ลูกอยากจะฆ่าพวกมันจะแย่" เขาร้อนใจยิ่งนัก
"เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ได้ฆ่า การที่จะได้คนมาทั้งหมดมากกว่าจากหยิบมือมันต้องซื้อใจให้เจ้า ให้พวกนั้นเข้าข้างเจ้า ถึงเวลานั้นเจ้าสับมันให้เป็นชิ้นๆ พวกนั้นก็จะเห็นดีเห็นงามด้วย" ว่าแล้วถึงจึงเล่าแผนที่เตรียมมาต่อไป
...
" เรารอได้ เรื่องใหญ่เช่นนี้องค์เหนือหัวคงไม่อาจละเว้นได้"อัญญานีกล่าว
" เราขอบใจที่เข้าใจ เราเห็นท่านพยายามใช้ธำมรงค์แก้วศุภรมาสักพักแล้ว มีปัญหาอันใดกัน"จินดาที่มองดูพฤติกรรมมาก่อนหน้าจึงถามเพื่อจะได้ช่วยแก้ไข
"แต่ก่อนแหวนวงนี้น่ะพาเราหนีได้ ใช้พลังได้แต่ตอนถูกจับใช้ไม่ได้เลย จันทราภาเคยบอกว่าหากจิตไม่มั่นคงพอจะไม่สามารถใช้พลังจากวัตถุที่สวมใส่ได้ แต่เราลองทำใจให้มั่นคงแล้วก็ยังใช้ไม่ได้อยู่ดี"เธอกล่าวให้ฟังหวังจะได้รับการแนะนำจากผู้สวมใส่สิ่งวิเศษ
"เราว่าลึกๆแล้วท่านยังคิดมากอยู่ คนเราต้องจะระเบียบความคิดกันตลอดเวลา เราว่าการทำสมาธิจะช่วยท่านได้" เธอพูดจากประสบการณ์
" ให้เรานั่งสมาธิอย่างเดียวมันจะดีเหรอ"
" ทำสมาธิไม่จำเป็นต้องนั่งทำอย่างเดียว อริยาบถใดก็ได้เพื่อที่จะฝึกให้ใจมีความมั่นคง แบบใดถนัดท่านก็สามารถทำได้" เธอแนะนำ อีกคนจึงทำตามพร้อมหาวิธีทำสมาธิในแบบของตนเองพร้อมกับฝึกใช้แหวนเรื่อยๆเพื่อที่จะทำตามความปรารถนาของตนดังเดิม
....
"พระมเหสีทอดพระเนตรเห็นท้าวพีรเชษฐ์หรือไม่"นรราชเดินเข้ามาถามในสวนพฤกษศาสตร์เป็นการส่วนพระองค์ ขณะที่พระนางอยู่ตามลำพังเพราะให้นางบริวารแยกย้ายกันหาเก็บดอกไม้ไปร้อยพวงมาลัย
" พระองค์คงจะอยู่ที่ลานฝึกอาวุธของพวกทหารกระมังเพคะ" นางจำตอบอีกฝ่ายแม้จะไม่เต็มใจ
"เราขอบพระทัยท่าน เพื่อเห็นแก่ไมตรีของเรา โปรดรับบุปผานี้เถิด" เขายกดอกไม้ให้ ท่าทีมันออกชัดว่าเขานั้นออกจะชอบพออยู่
"ขอบพระทัยเพคะ" นางกะจะรับดอกไม้เสียให้จบๆไปจะได้ไปที่อื่น แต่ว่ามืออีกคนก็ก้าวก่ายเป็นปลาหมึกเลยนี่สิ
" ทำอะไรกันอยู่น่ะ" ท้าวพีรเชษฐ์เสด็จพอดีได้เห็นภาพคนสองคนจับไม้จับมือกันก็สงสัย
" พอดีเราให้ดอกไม้กับพระนางแต่ว่าดอกไม้จะตกเลยรับไว้ก็เลยกลายเป็นการผิดพลาดจับมือกันเสีย" โกหกน่าไม่อายตัวเองจงใจแท้ๆ
"ไม่หรอกเพคะ พระองค์คงจะหลงลืมทอดพระเนตรเห็นมือของหม่อมฉันเป็นดอกไม้เสียมากกว่า" เธอพูดเสียเป็นเชิงว่าอีกคงน่ะจงใจ
"พอเถอะสไบทอง" เขากล่าวกับชายาแล้วจึงจะคุยธุระกับสหายต่างเมืองต่อ
" หม่อมฉันทูลลาเพคะ"ว่าแล้วตนก็ไปในทันที
ทั้งสองเดินทางคุยกันอยู่มินานก็เกือบจะถึงตำหนักที่ดูจะไม่มีคนอยู่แล้ว
" นี่ตำหนักใครกันหรือ ทำไมเหมือนไม่มีใครอยู่เลย"
"ตำหนักพระโอรสบดิศรของเราน่ะ แต่ตอนนี้เขาไม่อยู่แล้ว"
"อย่าว่าเรารบกวนท่านเลยนะ ช่วยพาเราไปชมจะได้ไหม"
" ได้สิ" เมื่อทั้งสองที่เดินทางเข้าตำหนักกันตามลำพัง อดีตปุโรหิตเฒ่าที่กลายเป็นชายวัยกลางคนได้ใช้ไฟจุดกำยานให้อีกคนสลบไปและเร่งทำพิธีควบคุมอีกฝ่ายให้เป็นพวกของตนในทันที
...
" พระโอรสดีขึ้นหรือยังเพคะ" บัวถามอาการหลังจากที่ให้ยาภูมินทร์ทานแล้ว
" เราดีขึ้นแล้ว ท่านอย่าห่วงเลย" เขาตอบอีกฝ่าย
"พระโอรสพระเจ้าค่ะ พระโอรสบาดเจ็บหรือพระเจ้าค่ะ"
เจ้าหิ่งห้อยยักษ์บินมาดูสถานการณ์หลังจากที่นำพระอัยกาและพระอัยกีไปยังที่ปลอดภัย
"น้องไม่เป็นอะไรแล้วจะพี่หิ่งห้อย อย่าห่วงเลย" พระโอรสตอบถึงแม้จะยังมีอาการเจ็บอยู่ก็ตาม
"จริงสิพระเจ้าค่ะพระโอรส พวกเรายังเหลือพืชสังกรณีกับน้ำจากสระอโนดาตอยู่ น่าจะช่วยพระอาการของพระโอรสให้ดีขึ้นกว่านี้ก็ได้นะพระเจ้าค่ะ" เขากล่าว
"เดี๋ยวพี่ตาหวานจะไปนำมาให้ แต่เราจะไปเจอกันที่ไหนล่ะ ควรจะพาพระโอรสไปพักเสียก่อนนะ" ตาหวานอาสาจะไปนำมาให้ แต่ก็ต้องการให้พระโอรสอยู่ในที่ที่ปลอดภัย
" ไปเจอกันที่ทิศพายัพของท้องพระโรงนะ ที่นั่นน่ะมีพระราชฐานใต้ดินอยู่" เมื่อตกลงจึงพากันแยกย้ายและลงยังชั้นใต้ดินทีี่สร้างมาเพื่อรองรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นและได้ใช้จริงๆก็คือวันนี้
...
"บดิศรเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง" เทพวิษุวัตกล่าวถามเมื่อปัจจาได้พาตัวมารักษา
" หม่อมฉันรู้สึกเหมือนถูกฉีกร่างตอนที่พลังใช้ถึงขีดสุดพระเจ้าค่ะ แต่ว่าฝั่งนั้นก็ยังได้รับบาดเจ็บเหมือนกันพระเจ้าค่ะ ตอนที่หม่อมฉันสู้เหมือนการที่มีคนเจ็ดคนมาสู้ด้วยกันเลยพระเจ้าค่ะ " เขาตอบพลางให้ข้อมูลแด่พระเทวา
"เราพอจะเข้าใจแล้ว เราให้เจ้าพักรักษาตัวให้ดีเสียก่อน เราจะไปตกลงกับสุริยเทพ เมื่อถึงวันที่เกิดสุริยะคราสแล้วนั้น จะได้จัดการพวกนั้นได้ ส่วนเจ้าธานินทร์นำข่าวไปแจ้งต่ออัคนินว่าอย่าเพิ่งลงมือ "เมื่อจบพระบัญชาต่างก็ทำตามกันต่อไป ตอนนี้คงต้องให้เจ้าพวกนั้นพักไปก่อนแต่ไม่นานเกินรอจะได้กำจัดพวกนั้นให้สิ้นเสียที