"ทูลองค์นาคราช คำว่าธุลีในความหมายทั่วไปใครต่างก็รู้ดีว่ามีความหมายเช่นเดียวกับฝุ่นละอองถ้าจะให้อธิบายความแตกต่างคงกล่าวถึงขนาดที่เล็กลงไป จะกล่าวได้ว่าคำตอบนั้นไม่ผิดไปเสียทีเดียวแต่กลับยังไม่สมบูรณ์ หม่อมฉันจะแจ้งตามหลักธรรมตามที่ทรงปรารถนา อันว่าแท้จริงตามธรรมคำสอนพุทธองค์กล่าวเกี่ยวกับธุลีนั้นคือกิเลสของคนซึ่งมีสามประการเป็นพุทธวาจาของพระศาสดา.."เขาส่งกระดานให้เขียนต่อไปอีก
"ประการที่๑ ราคะชื่อว่าธุลี, แต่ละอองท่านหาเรียกธุลีไม่, คำว่าธุลีเป็นชื่อของราคะ ภิกษุเหล่านั้นละธุลีนั่นได้ขาดแล้ว อยู่ในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากธุลี
ประการที่๒ โทสะชื่อว่าธุลี, แต่ละอองท่านหาเรียกธุลีไม่, คำว่าธุลีเป็นชื่อของโทสะ ภิกษุเหล่านั้นละธุลีนั่นได้ขาดแล้ว อยู่ในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากธุลี
ประการที่๓ โมหะชื่อว่าธุลี, แต่ละอองท่านหาเรียกธุลีไม่, คำว่าธุลีเป็นชื่อของโมหะ ภิกษุเหล่านั้นละธุลีนั่นได้ขาดแล้ว อยู่ในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากธุลี" ยังจะเขียนต่ออีกหรือ พระโอรสติณณกฤตแห่งท้าวเจ้านาคาทิศทักษิณรู้สึกล้าแล้วหนา
" ตอบเท่านี้น่าจะพอนะ"เขาทักท้วงเล็กน้อยกับคนวัยเดียวกัน
" ให้เขาชี้แจงอีกเพียงครั้งเถิด ลูกพ่อต้องรู้จักอดทน พวกเราต่างต้องดูแลข้าราชบริพารอีกมาก ถือว่าฝึกใจให้ร่มเย็นมีสมาธิ" เขาพูดให้เข้าใจ เวลานี้ปริศนาจะกระจ่างจะมิยอมอันใดเลยรึ
"พระเจ้าค่ะ ลูกจะใจเย็น" ว่าแล้วเขาก็รับกระดานที่เขียนเสร็จขึ้นมาอ่านเป็นคราสุดท้าย
" กิเลสเหล่านี้ล้วนเป็นธุลีที่สามารถซึมซับเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับจิตใจนั้นโดยง่าย นับเป็นสิ่งบ่อนทำลายศีลธรรมอันดี ดังนั้นนั้นเราควรระวังตัวตั้งมั่นอยู่ในการทำความดีอย่าให้กิเลสนั้นเข้าครอบงำจิตใจไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม" เสร็จสิ้นคำอ่านพระวิชชุท่านก็แย้มพระโอษฐ์อย่างพอพระทัย
" เห็นชัดว่าท่านมีปัญญาอันเกิดจากการศึกษาพระธรรม... เรามีสิ่งวิเศษมอบให้เป็นถาวรคือแก้วชีวาวชลาศัย พร้อมกับสิทธิ์ที่ท่านจะขอความช่วยเหลือในทุกกาล สิ่งที่เราจะให้เลือกคือรัชตวิมาน ตรีมารุต สังวาลย์มณี ท่านปรารถนาสิ่งใดโปรดเลือกมาเถิด" ถึงจะมีความยินดีแต่ก็ยังมีคนคอยภาวนาไม่ให้นำของวิเศษที่ตัวเองอยากได้ทั้งชีวิตไปเลย คนที่มีสิทธิ์ในการเลือกก็ไม่รู้จะเลือกสิ่งใด ไม่ใช่เพราะความโลภอยากได้ทุกอย่างหากแต่ว่าที่มาที่นี่ก็เพื่ิอจะทายปัญหาอย่างเดียวนี่สิ
" เลือกเถิด อย่าเกรงกังวลใจ" วิชชุนาคราชกล่าวเมื่อเห็นท่าทีของผู้ทายปริศนา แสงสุรีย์ในวัยเยาว์หยิบจับสิ่งของพลางคิดไปว่าชะตาน่าจะเลือกสิ่งที่เหมาะสมให้ตนเอง เธอจับดูวิมานขนาดเล็กเท่าของเล่นนั้นที่สามารถขยายใหญ่ตามใจชอบก็รู้สึกว่าไม่ใช่ ครั้นหยิบตรีได้ครู่สายตาแสนหวงแหนก็มุ่งตรงมาจนน่าอึดอัดใจ
้เมื่อมาถึงชิ้นที่สามปรากฏแสงสว่างวาบครู่หนึ่งเมื่อสัมผัสจนรู้สึกถูกชะตายิ่งนัก
"หรือว่านี่..." มเหสีนาคาเห็นแล้วจึงพูดไปแต่ก็ยั้งไว้คอยดูที
"หม่อมฉันประสงค์สังวาลย์เส้นนี้เพคะ" เธอเขียนลงกระดานคำเพื่อทูลต่อนาคราชา
"สวมใส่ดูเถิด ของสิ่งนี้ก็เลือกเจ้าของ หากไม่ใช่อย่าฝืนเลย" เขาแนะให้ทำเช่นนั้น อีกคนจึงได้ทำตามสวมใส่แล้วเกิดแสงสีแดงขึ้นมารู้สึดราวกับว่าร่างกายมีใครเพิ่มมาอีกหลายๆคน ร่างกายเปลี่ยนแปลงไปใบหน้าก็หายขาดจากแผลลึกอย่างไม่น่าเชื่อ
"แผลเราหายแล้วเหรอ...เสียงก็พูดได้.. . ขอบพระทัยเพคะ"นอกจากจะทำให้ร่างกายหายจากบาดแผลแล้วน้ำเสียงก็กลับมา ตอนนี้ร่างกายเป็นคนปกติทั่วไปแล้วแต่ยังไงก็ไม่ลืมที่จะขอบคุณเลย
"เป็นสิ่งที่ท่านควรได้รับ ต่อไปภายภาคหน้าท่านจะต้องได้ใช้อาวุธนี้รักษาความเป็นธรรมไว้ เรารู้จักกับฤๅษีมฤคินทร์จะฝากฝังให้เป็นศิษย์ร่วมกับโอรสเรา.. อย่าได้ปฏิเสธเลย" นับตั้งแต่วันนั้นก็ร่ำเรียนวิชาร่วมกันมานั่นเอง
"ผู้ติดตามที่ชื่อพุดจีบเขาออกเรือนไปแล้ว ส่วนติณณกฤตเราไม่ได้เจอเขามาสี่ปีได้" จบการเล่าเรื่องก็มีเหล่านางกำนัลมาเชิญไปทานอาหารมื้อเย็นเสียหน่อย
.....
" เดินทางมาตั้งหลักนี่ก็ดีไปอย่าง แต่ว่านะทำไมในวังไร้วี่แววผู้คนอย่างนี้!! " เจ้าสิงโตหาทั่ววังทิศพลไม่เจอชาววังเสียสักคนมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
" มันเป็นแบบนี้เพราะคนพวกนั้นแน่ แสดงว่าตอนนี้เหล่าพระวงศ์และข้าหลวงคงจะถูกบีบบังคับให้เดินทางไปยังเมืองรัตนบุรีเป็นแน่"หิ่งห้อยยักษ์กล่าว ดูจากรูปการณ์แล้วไม่มีทางจะคิดเป็นอื่นได้หรอก
"แล้วจะไปช่วยทางไหนก่อนดีล่ะ....เอาเป็นฝั่งที่คดที่อยู่ได้ก่อนดีไหม" เขาออกคววมคิดเห็น เพราะมันน่าจะตามหาง่ายกว่า
"เราก็เห็นควรเช่นกันเพราะอย่างน้อยก็น่าจะช่วยได้ก่อนจะออกตามหา แต่ยังห่วงว่าพระโอรสจะเป็นอย่างไร พวกเราก็ยังไม่รู้เลยว่ากระแสน้ำนำพระโอรสไปยังที่ใดแล้วได้อยู่กับพระธิดาแสงสุรีย์รึเปล่านี่สิ" เขายังหนักใจนักกับเรื่องที่เกิดขึ้น หานายของเขาอยู่ตามลำพังจะปลอดภัยหรือไม่
"ยังไงคราวนี้ก็ไปช่วยพวกเสด็จแม่กันก่อน ส่วนพระโอรสของเจ้า ข้าเชื่อว่าต้องไม่เป็นอะไรไปง่ายๆหรอก"
เมื่อตัดสินใจเช่นนี้แล้วทั้งสองก็เดินทางมุ่งสู่รัตนบุรีโดยทันที
.....
"ทำไมถึงไม่ให้เราเข้าไปยังป่าจินตภพแต่กลับให้มาพบที่ป่านี่แทน" ดาบสไม่เข้าใจอีกฝ่ายว่าเหตุใดถึงได้กีดกันไม่ให้ตนเข้าไปในเขตที่พำนักของสหายเก่าแก่ด้วย
"ท่านตาทมิฬล่ะก็ ใจเย็นสิเจ้าค่ะ ท่านตาของจั๊กน่ะต้องการแบบนี้ ใครก็ห้ามไม่ได้หรอกนะเจ้าคะ" ถ่วงเวลานานแล้วช่างน่ากังวลเหลือเกินที่จะถูกจับได้ ต่อจากนั้นควรจะทำอย่างไรดี เพราะตนนั้นไม่ได้นัดแนะกับฤๅษีมฤคินทร์ไว้เลย
"ยังใจร้อนมิเปลี่ยนเลยนะ ดูสิจั๊กแหล่นหน้าถอดสีหมดแล้ว" ดาบสใบหน้าที่เป็นราชสีห์นั้นไม่มีดังแต่ก่อนกลับเป็นมนุษย์ที่มาพบกันในวันนี้ ทั้งที่หลานสาวก็มิได้นัดหมายไว้จริงๆ
"ท่านตา ท่านตาจริงๆเหรอจ๊ะ " ถึงจะไม่ข้าใจในรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปอยู่บ้าง แต่ก็ดีใจที่ได้เจอไม่อย่างนั้นคงไม่รอดเป็นแน่
"ตาเองน่ะสิ...ทมิฬ ศิษย์ของเราก็ไม่อยู่แล้ว จะตามหาเราทำไมอีกล่ะ เห็นชัดว่าศิษย์เจ้าน่ะเหนือศิษย์ของเราและอนุชิตนัก" เขาก็พูดตามที่รู้ ตนไม่เหลือศิษย์ที่เป็นศัตรูอีกฝ่ายแล้วจะมาเอาอะไรกับตนอีก
"เรามาก็ใช่เพราะศิษย์ตัวดีของเจ้าไม่ เรามาทวงน้ำเต้าอมฤตของเราคืน คนพวกนั้นไม่มีน้ำเต้า มันต้องอยู่กับคนเจ้าเล่ห์อย่างเจ้าแน่" นึกว่าเรื่่องอะไรที่แทก็แค่น้ำเต้า
"น้ำเต้าอมฤตนี้พวกเราทั้งสามก็ร่วมกันสร้างขึ้นมาไม่ใช่หรอกรึ เจ้าอ้างสิทธิ์ครอบครองแต่เพียงผู้เดียวไม่ได้ ตราบใดที่ยังอยู่กับพวกเราหนึ่งในสามก็ไม่เท่ากับสูญหายหรอก" ก็น่าให้ว่าอยู่หรอกของก็ร่วมสร้างพร้อมกันแท้ๆยังจะถือว่าเป็นของตัวเองคนเดียวอีก
"เจ้านี่มันยังไง ข้าก็ครอบครองอยู่ดีๆแต่ถูกแย่งเอาไป ข้ามาทวงดีไม่ได้เลยรึอย่างไร" เขาชักจะโมโหเสียแล้ว ใจร้อนเท่าคนรุ่นหนุ่มสาวก็มิปาน
"คิดทบทวนให้ดีก่อนจะพูดออกมา ใครทำใครก่อนก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจ อีกอย่างหนึ่งเจ้าก็เป็นผู้ทรงศีล สำรวมกิริยาบ้างเสียก็ดี" ว่าก็ว่าเถิด ใครทำใครก่อนกันถ้าไม่ใช่คนที่บูชาเทพวิษุวัตเสียเป็นบ้าเป็นหลัง
"ส่งมาให้เราเสียสิ จะได้เลิกแล้วต่อกัน" กล่าวง่ายดีนี่ คิดจริงๆหรือว่าจะหยุดแค่นี้ ได้คืบคงหวังศอกเสียกระมัง
"ส่งให้ไมได้ อยากได้ก็ไปหาอนุชิต แต่เขาคงอยากจะให้เจ้าอยู่หรอก" เป็นหนึ่งในส่วนร่วมของการทำลายชีวิตคนขนาดนี้ ผู้ทรงศีลที่ไหนจะยอมกัน
"พูดมากไปแล้ว ข้าจะจัดการเจ้าก่อน ส่วนน้ำเต้าอมฤตจะทวงจากอนุชิตเอง" เขาใช้ไม้เท้าปล่อยพลังเข้าทำร้ายอีกฝ่าย ทางนั้นก็ไม่ยอมตอบโต้กลับโดยทันที
ค่ำก็ได้ความมืดเข้าช่วย ทมิฬดาบสกะจะใช้พลังลอบโจมตีแต่ช้ากว่าอีกฝ่ายไปก้าวเดียว ทางนั้นก็บาดเจ็บต้องกลับไปตั้งหลักก่อนจึงจะมาพบกันใหม่
"ท่านตา ท่านตาไม่เป็นอะไรใช่ไหมเจ้าคะ"จั๊กแหล่นเข้ามาดูอาการด้วยความเป็นห่วง
'"ไม่เป็นอะไรหรอก ตาก็แค่อ่อนเพลียไปตามสังขารที่เหลืออยู่...ใจจริงตาก็อยากช่วยให้ถึงที่สุด แต่ว่านี่ก็เหมันตฤดูแล้ว ใกล้จะถึงวันบำเพ็ญเพียร ดังนั้นก่อนที่ตาจะไม่อยู่ เจ้าจงจำสิ่งที่ตาบอกให้ดี..." ผู้ทรงศีลกล่าวให้รับรู้ทุกสื่งโดยไม่ขาดตก เพื่อหวังว่าจะให้ความช่วยเหลือและแจงแนวทางให้รับมือกันต่อไป
......
"พระแม่เจ้าเสวยพระกระยาหารเสียหน่อยเถอะเพคะ ไม่เช่นนั้นพวกหม่อมฉันจะต้องโทษนะเพคะ"เหล่านางฟ้าข้าบาทต่างหนักใจในการกระทำของอัญญานี หาเหตุผลนานาก็มิยอม ต้องกล่าวตามจริงหวังให้ใจอ่อนลง
"ไม่ เราไม่ชอบอาหารที่พวกเจ้าเอามาให้ จะเปลี่ยนกี่ครั้งก็ไม่ถูกใจเรา พวกเจ้าจะถูกลงโทษเพราะเรื่องนี้ก็คิดดูว่านายตัวเองสมควรจะเป็นเจ้านายได้อีกเหรอ" แกล้งโดวยวายใหญ่โต กะจะไล่ให้ออกไป
"หากพระแม่เจ้ามิทรงโปรดก็อย่าฝืนพระทัยเลย...ราตรีนี้ให้หม่อมฉันอยู่ปรนนิบัตินะเพคะ" สันต์สินีเข้ามาได้ครู่พวกที่เหลือก็พร้อมใจกันออกไปในทันที ออกมได้ไม่นานก็สนทนาถีงคนด้านใน
"พระแม่เจ้าในตอนนี้เอาแต่พระทัยนัก เราสงสัยว่านางจะเป็นแค่คนหน้าเหมือนรึเปล่า"
"แต่ว่ามั่นใจกันขนาดนี้คงจะใช่ ปล่อยให้สันต์สินีดูแลเถอะ เป็นคนสนิทที่สุดแล้วนี่" ว่าแล้วก็ไปทำหน้าที่อื่นต่อ
ทางด้านอัญญานีก็เริ่มคิดไม่ตกเสียแล้ว ตอนแรกวางแผนไว้ว่าจะหนีตอนไม่มีใครอยู่ จะหายตัวไปต่อหน้าต่อตาก็ต้องมีใครไปรายงานเทพท่านแน่
"พระแม่เจ้า...ไม่สบายพระทัยหรือเพคะ หม่อมฉันก็พอจะทราบ ตั้งแต่ครานั้นที่พระนางจากไป พระเทวาก็ติดตามหาพระแม่เจ้าในชาติภพนี้ ความรู้สึกของพระแม่เจ้าไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปาริชาติจะทำให้ความรู้สึกกลับมาอีกครั้งได้หรือไม่ แต่หม่อมฉันจะทูลความจริงข้อหนึ่งให้ทรงทราบ"
"ความจริงอะไรกัน"" ทีแรกก็ร้อนใจจะไปอยู่หรอกแต่พอได้ฟังดังนั้นก็เกิดความสงสัยใคร่รู้ขึ้นมา
"ที่ศรุตเทพทำกับพระนางนับว่าไม่น่าให้อภัยยิ่งนัก ความทรมาณอันเกิดจากอาการประชวรของพระนางนั้นกัดกินพระวรกายไปทีละส่วนในขณะที่รอเขาไปนำเกราะกายสิทธิ์มา แต่สุดท้ายแล้วความโลภของศรุตเทพก็มาบดบังหน้าที่อันควรกระทำ เขาไม่กลับมา พระเทวาต้องส่งเหล่าเทวดาไปตามหาเขา แต่ว่าเขาเอาสิ่งนี้ไปซ่อนไว้ที่ใดไม่มีใครรู้ นั่นก็ไม่ทัน พระนางได้สิ้นพระชนม์ เขาก็คือคนเดียวกับสุริยะที่ท่านไว้พระทัยเป็นสหาย ถึงแม้เขาจะตายเป็นหมื่นครั้งก็มิอาจทดแทนได้" ฟังเช่นนี้ก็พอจะรู้เหตุผลบ้างแต่ยังไม่มากพอจะทำให้เธอเปลี่ยนใจมามองเทพพระองค์ดีขึ้นได้
"คงอยู่่หรือดับไปก็เป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นวัฏจักรสงสารของสิ่งต่างๆ พวกท่านกระทำดีมาเท่าใดกว่าจะมาเป็นเทพบุตรเทพธิดา มันไม่ถูกต้องจะอ้างสิทธิ์มาทำร้ายใครนี่ อีกอย่างฟังแต่ข้างท่านพูด เราไม่เข้าใจว่าทำไมกัน สุริยะเขาจำชาติภพที่แล้วไม่ได้ด้วยซ้ำจะแก้ต่างให้ตัวเองยังไม่ได้้เลย" ส่วนตัวอยากจะฟังทั้งสองข้างแต่อีกฝั่งไม่ความทรงจำนั้นจะพูดอะไรได้กัน
"ไม่ว่าอย่างไร พระนางมีพระประสงค์ที่จะออกตามหาสุริยะใช่หรือไม่เพคะ"
"ใช่...แสงสุรีย์ก็ด้วย"
"ธานินทร์เล่าให้หม่อมฉันฟังว่าพวกเขาสิ้นใจใต้ท้องทะเลแล้ว...เริ่มต้นใหม่อีกครั้งเถอะเพคะ"เธอพูดเช่นนั้น จะให้เชื่อทันทีมันก็ไม่ได้หรอก
"อย่าคิดจะหลอกลวงเราเลย" เธอไม่เข้าใจทำไมต้องหลอกกันด้วย
"ไม่มีเหตุผลที่หม่อมฉันจะต้องกล่าวเท็จ เพราะต่อให้พระนางออกไปได้ พวกเขาก็ไม่อยู่พบพระนางอยู่ดี"
คำพูดที่จริงจังนี้ทำให้หวั่นใจไม่น้อยเลย
"ออกไป เราอยากอยู่คนเดียว"ตนก็จริงจังกับประโยคนี้ ขออยู่คนเดียวเถอะ อารมณ์นี้พร้อมระเบิดตลอดเวลา อีกฝ่ายก็ตามใจจึงยอมถอยให้แล้วจากไป
........
"มาอีกแล้วเหรอ ไม่ได้เจอกันนาน คราวนี้คงลำบากน่าดูถึงได้มามารบกวนคนอื่น ยังพาเพื่อนมาอีก"พระธิดานาคีเปิดวาทะทักทายไม่เป็นมิตรทันทีที่มาถึง
"ทำไมทำตัวไร้อารยะขนาดนี้ ลีลาวดีอย่ากระทำารเสื่อมเสีย"พระโอรสที่ตามมาก็พูดตักเตือนน้องสาวเป็นการใหญ่
"ก็มันจริงนี่.."รู้สึกว่าเธอนั้ไม่ถูกกับสตรีไร้เสียงผู้นี้เอาเสียเลย
"แม่ไม่เคยสอนให้เจ้าเป็นแบบนี้ หรือเพราะแม่ไปไว้ใจฝากผู้อื่นดูแลถึงได้มีกิริยาไม่น่าเคารพ" คำท้วงติงของพระมารดาทำให้เธอระงับอารมณ์ไว้บ้าง
"เรารับรู้เรื่องของเจ้าแล้วแสงสุรีย์ ตอนนี้เสด็จพ่อกำลังว่าราชการเพิ่มเติม มีอะไรที่เราช่วยเจ้ากับสหายได้บอกเราได้เลย" เขาเป็นห่วงสหายคนนี้อย่างมากต่างกับคนเมื่อกครู่อย่างสิ้นเชิง
""เราคงไม่รบกวนมากหรอก"เธอเขียนกระดานตอบไปไม่อยากให้ห่วงมาก
".. คงจะเป็นสุริยะสินะ... เราติณณกฤต"เขาไม่อยากที่จะไม่ช่่วยจึงหาทางไปเข้าทางสหายอีกคนแทน
"เราสุริยะเอง..ยินดีที่ได้พบท่าน" เขาส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร นอกจากคนในครอบครัวแล้ว เขาก็ไม่มีเพื่อนชายสักคน
"อย่าได้เกรงใจ มีอะไรบอกเราได้...ทำไมท่านถึงได้อักษรสาปได้"เขาจับมือเพื่อแสดงความยินดีที่ได้เป็นมิตรกัน แต่้ด้วยทักษะความสามารถพิเศษที่ฝึกฝนมาของเขาที่สัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติ จึงสงสัยในสิ่งที่พบ
"อักษรสาป.. เราไม่รู้มาก่อนเลยว่าเราจะมีได้"สุริยะฉงนนักไปทำอะไรมาถึงมีอักษรสาปเกิดขีฃึ้นกับตัว
"ต้องดูให้ดีอีกที่ อักษรนี่อยู่ที่หลัง เร่งตรวจสอบก่อนดีกว่า เราไม่แน่ใจว่าที่รู้สึกว่ามันจริงรึเปล่า"ถึงจะสงสัยแต่ก็ยังไม่อยากจะเชื่อตัวเองขนาดนั้น จึงได้พาไปดูอักษร โดยแสงสุรีย์ไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกันจึงไปที่ห้องส่องกระจกดู พอเสร็จแล้วจึงมารวมตัวกันดังเดิม
" มีจริงๆด้วย ทั้งสองคนมีอักษรสาปเป็นตัว {ว} แต่ว่าไม่รู้ว่าใครสาป แล้วสาปเพื่อจุดประสงค์อะไรด้วย" เขาพูดอย่างนั้นทั้งสองก็ต้องทบทวนอยู่สักพัก
"ตอนที่พวกเรากำลังต่อสู้เหมือนมีคนมีแตะต้องเราจากด้านหลังเป็นคนฝั่งนั้นแน่แต่เราไม่แน่ใจ" เธอเขียนบอกเท่าที่จะนึกออกได้
" ลักษณะแบบนั้นน่าจะเป็นแม่มดเกลียวทอง... เป็นไปได้ไหมว่าตัว{ว}จะย่อมาจากคำว่า{วิชา}" เขาอ่านแล้วก็คิดตาม เห็นท่าจะจริง แล้วน่าจะมีเหตุการณ์ที่เกี่ยวช้องด้วย
" ทำไมถึงคิดว่าเป็นคำว่าวิชาล่ะ"นาคาหนุ่มสงสัย ทำไมถึงด่วนคิดนัก
"ตอนก่อนที่พวกเราจะถูกไล่ล่า พวกเราใช้วิชาดูว่าที่นี่คือที่ไหน ทั้งที่ไม่น่าจะมาตรงสถานที่ได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้" เขาพูดมีเหตุผล ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะไม่สงสัยเรื่องนี้ ก็เห็นๆกันอยู่ สหายหญิงก็พยักหน้าว่าที่บอกนั้นจริงแล้วน่าจะเป็นไปได้มากด้วย
"อย่างนั้นก็ลองดูสิ อย่าได้ปล่อยความสงสัยไว้เลย"ติณณกฤตคว้ามือสหายทั้งสองไปยังชายหาดทันที เมื่อมาถึงเขาก็ให้คิดท่องคาถาในใจที่เป็บแบบการเอาตัวรอดง่ายๆอย่างการแปลงเป็นนกฮูก ไม่นานนักแสงสว่างก็มาทำให้ทั้งสามไหวตัวหลบทัน นาคาในร่างมนุษย์ใช่มนตราแทนที่นกที่สหายแปลงกายเมื่อครู่แล้ว
" มันอาจจะมีการเข้าใจก็ได้นะปัจจา เราดูนกสองตัวนี้ก็ไม่ใช่พวกนนั้น พวกนั้นไม่รอดแล้ว" ธานินทร์ที่หายตัวมาตามอักษรสาปพร้อมกับผู้ร่วมงานก็ตามหาคนที่ล่าไม่เจอ ไม่แน่มันอาจเป็นแค่เรื่องผิดพลาดเท่านั้น ปัจจาไม่พูดอะไรแต่สีหน้าก็รู้ว่าสงสัยเต็มทน
"กลับกันเถอะ"สุดท้ายเขาก็ยอมกลับ เพราะดูนานแล้วก็ไม่เห็นร่องรอยเลย เมื่อพวกนั้นไปพวกเขาจึงปรึกษากัน
"เห็นชัดว่าเป็นความจริง คงจะต้องอดทนไม่ใช้วิชาไปสักพักใหญ่เลย เพราะใช้ทีไรคนทางนั้นก็รู้ที่อยู่ตลอด"เขาแนะต่อเพื่อนทั้งสอง
"พวกเราจะสามารถแก้อักษรสาปได้อย่างไรกันล่ะ""ชายง่อยพูดไปก็เหนื่อยแรงแต่ยังจะมีหวังในการแก้คำสาปเสียหน่อย แม้จะไม่สารมารถใช้วิชาได้เลยก็เถอะ
"มีวิธีเดียว ต้องสังหารคนที่สาปเท่านั้น เลี่ยงไม่ได้เพราะต้องนำโลหิตตอนสิ้นมาทำการชำระล้าง" เขาใช้คำนี้เพราะรู้ว่าสหายคงไม่อยากทำ
"ทำได้ก็ทำ เสียหนึ่งย่อมดีกว่าเสียสูญสิ้น" เธอเขียนบนผืนทรายตอบ เธอไม่อยากทำหรอกมากสุดก็แค่ทำให้เจ็บไม่เคยถึงตาย เช่นเดียวกันเขาก็ไม่ต่าง แต่ถ้าจำเป็น อะไรก็เลี่ยงไม่ได้
" น่าจะได้เพลาแล้ว พวกเราไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อกันดีกว่า" ฟังเช่นนั้นก็วางใจเพราะกลัวว่าสหายจะใจอ่อนเสีย เสร็จแล้วจึงได้ชักชวนกันกลับไป พอกลับไปยัง"
ท้องพระโรงก็เข้าเรื่องทันที
" ที่เราทราบพวกท่านคงมิได้มาขอความช่วยเหลือเรื่องที่พักใดๆหรือขออาวุธใหม่เป็นแน่....พวกท่านทั้งหลายออกไปก่อนเถิด เรื่องนี้เราขอสงวนให้รับรู้เพียงราชวงศ์"สิ้นคำกล่าวของพระวิชชุนาคราช เหล่าบริวารแลขุนนางทั้งหลายได้ไปนอกท้องพระโรงทั้งหมด
"มีวิธีที่จะรู้ได้ว่าจะทำอย่างไรให้สิ่งวิเศษทั้งสองนี้กลับมาดังเดิม.... นั่นคือจะต้องออกเดินทางไปสอบถามศิลาพยากรณ์ในเขตแนวอสุราที่๒ เพราะเขารู้ทุกอย่างในสามโลกนี้และสามารถตอบคำถามได้โดยไม่แบ่งแยกฝ่ายใด โดยจะต้องเดินทางจากที่แห่งนี้ลงไปทิศทักษิณจนถึงมหาสมุทรสีชาดแล้วเข้าไปในมหาสมุทรนั้นจะพบกับเขตแนวอสุรา" ท้าวนาคาแดนใต้แนะนำเพราะรู้ว่าทั้งสองคงต้องการจะใช้อาวุธเดิมเป็นแน่ ไม่ใช่เพียงเพื่อนำพลังมาต่อสู้แต่ยังนำเหล่าครอบครัวกลับมาด้วยเช่นกัน เขตแนวอสุรานี้พระอินทร์พระองค์ก่อนนั้นได้สร้างมาเพื่อเป็นแดนคั่นระหว่างมนุษย์กับเหล่าอสูรไว้ไม่ให้ทำร้ายกันเพราะเมื่อก่อนกาลมักเกิดสงครามดินแดนกดขี่กันระหว่างมนุษย์และอสูรบ่อยครั้ง ครบ๗,๐๐๐ปีคราใดจะให้กลับมาอยู่ร่วมกันดังเดิมโดยที่จะไม่มีเหตุการณ์นองเลือดเกิดขึ้นอีก
" ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ" สุริยะนอบน้อมทำความเคารพในเมตตาแนะนำ
"ขอบพระทัยเพคะ" แสงสุรีย์ก็มิต่างกัน
"เมื่อถึงที่นั่นอักรสาปจะไม่เกิดผลวางใจได้ แต่ระหว่างการเดินทางอันตรายมาก อาจไปอย่างไม่สะดวกเท่าใดเพราะใช้วิชาไม่ได้ พวกเขาจะล่วงรู้ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ ดังนั้นเราจะให้ธิดาของเราดูแลท่านทั้งสอง" ท้าวเธอมองมายังพระธิดาลีลาวดีที่ดูท่าจะไม่พอใจเสียแล้ว แต่คนเป็นพี่ออกตัวก่อนใคร
" น้องไม่สบายใจจะไป ให้ลูกไปเถอะพระเจ้าค่ะ"เขาขอร้องพระบิดา
" ไม่ได้ ลูกลืมแล้วหรือว่ามีเรื่องที่จะช่วยพ่อจัดการให้เรียบร้อย.. ลีลาวดีอย่าได้ลำบากใจ การช่วยเหลือคนนับเป็นเรื่องดี อย่าปฏิเสธเพราะเรื่องนี้เลย" พูดเสียขนาดนี้ก็คงต้องยอมไปตามระเบียบ
"เริ่มออกเดินทางพรุ่งนี้เลยแล้วกัน ช้ากว่านี้เราไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ส่วนวันนี้พักผ่อนกันก่อนเถิด" เมื่อสิ้นคำก็ต่างแยกย้ายไปเตรียมตัวแล้วพักผ่อนให้เพียงพอรอวันที่จะได้กลับมาใช้สิ่งวิเศษนี้ดังเดิม