เข้ายามวิกาลแล้วเจ้าแมวสีสวาทตัวโปรดของพระสนมผกากรองเดินเข้าไปในตำหนักของเจ้านาย ซึ่งผู้คนในวังต่างก็ทราบดีว่าได้สิ้นชีพมาเป็นระยะเวลาประมาณนึงแล้ว แต่คงเป็นพราะแมวตัวนี้คิดถึงเจ้านายมากจึงได้เข้าไปเยี่ยมชม ไม่มีอะไรให้น่าสงสัย
“ถ้าเราจำไม่ผิด จันทราภากับอัญญานีเคยมาที่นี่” ประกายพฤกษ์กล่าวขึ้นหลังจากที่ผลพรางตัวที่ท้าววิชชุนาคราชทรงให้บริวารตามเอามาให้นั้นหมดฤทธิ์
ด้วยความที่นำสิ่งวิเศษทั้งสองไปรักษาที่เขตแนวอสุราจึงส่งผลให้ความทรงจำเชื่อมต่อกันได้ จึงไม่แปลกที่เธอจะรู้ว่าทั้งสองคนเคยมาที่นี่
“ใช่ จันทราภาวาดรูปศพที่ตั้งไว้ในห้องลับ เป็นพระสนมผกากรอง” หลังจากผลแปลงกายหมดฤทธิ์ แมวสีสวาทก็กลับร่างเป็นศุภลักษณ์เดินมากล่าวตอบพร้อมกับจับเชิงเทียนให้เอนลงจนน้ำตาเทียนหยดปรากฏห้องลับขึ้น
“ดูจากรูปการณ์ เราว่าวิญญาณที่จันลักษณ์รู้สึกได้ว่าไม่ใช่เสด็จพ่อนั่นก็คือพระสนมผกากรอง” โอรสเจ้าเมืองกล่าวพลางพาอีกคนเข้าไปยังห้องลับ ดีที่ครั้งก่อนนั้นไม่มีใครรู้ว่าสองคนนั้นลักลอบเข้าตำหนักจนกับดักได้ถูกใช้งานไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงไม่ถูกโจมตี
“เป็นไปได้ที่นางจะใช้มนตราควบคุมพระวิญญาณที่อ่อนกำลังลงไว้ในจิตใต้สำนึก แล้วนำวิญญาณนางไปรวมอยู่ในพระวรกาย” พระธิดาต่างเมืองแสดงความคิดเห็น
“เราก็คิดเช่นนั้น พอมีเรื่องอย่างนี้แล้วก็มีไม่กี่มนตราหรอก อีกอย่างพวกเราก็เป็นฝ่ายเดียวกัน หากใช้วิธีควบคุมเจ้าเมืองที่เป็นพระบิดาก็ต้องใช้วิธีที่ต่างกันเป็นธรรมดา” ใช่ อัคนินก็เป็นพวกเดียวกับบดิศร ทำไมจะไม่ทำไปทางเดียวกันแค่ต่างวิธีเท่านั้น
“รู้วิธีแก้หรือเปล่า” พระธิดาวันศุกร์ถามดูเผื่ออีกคนจะพอมีข้อมูลบ้าง
“เราไม่รู้หรอก ตอนนี้ต่อให้อยากจะแก้ไขขนาดไหนก็คงไม่ได้เพราะตอนนี้พวกเราต่างก็มีอักษรสาปติดตัว คงจะมีก็แต่ทำให้นางเสียใจเล่นซะแล้วล่ะ ว่าแต่จะร่วมกับเราด้วยไหม”
“ได้สิ เจ้าคิดว่ายังไงก็เอาตามนั้น เสร็จจากตรงนี้จะได้เดินทางต่อ”
ทั้งสองได้นำเทียนจากเชิงเทียนออกมาเผาร่างอันไร้วิญญาณ เท่านั้นไม่ได้สมใจของพระโอรสวันศุกร์เท่าไหร่นัก ไหนก็เผาร่างแล้วเล่นใหญ่ไปหน่อยคงไม่เป็นไร ตนก็เลยใช้ฟางที่พกติดตัวถึงแม้จะยังใช้เป็นหุ่นพยนต์ไม่ได้ในตอนนี้แต่ก็สามารถมาสุมไฟเผาทั้งตำหนักได้ในปริมาณที่เพียงพอ ก่อนที่มันจะลามจนคนด้านนอกรู้ทั้งสองก็ไม่รอช้ารีบหนีทันที ด้วยที่คนเมืองนี้รู้ทางหนีทีไล่ดีจึงออกมาได้เร็วขึ้นกว่าผู้ก่อการรายอื่นนัก
“นางรู้เรื่องคงจะโกรธแย่แล้ว นิสัยนางน่ะชอบยึดติดกับสังขาร กลับคืนร่างเดิมก็ไม่ได้แท้ๆ ยังเอาแต่เก็บไว้ดูต่างหน้าอยู่นั่น” เขาพูดหลังจากที่หนีจนมาถึงเส้นทางที่ไม่ต้องเร่งรีบหนีมากแล้ว นับว่าใจกล้ามาก ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่ใจดำทำขนาดนี้ได้หรอกกระมัง
“แย่แล้วพระเจ้าค่ะองค์เหนือหัว ที่พระตำหนักของพระสนม ม..,ม..ไหม้ไหม้เป็นไฟลุกโชนขนาดใหญ่โตเลยพระเจ้าค่ะ” นายทหารตรวจการในรั้ววังเจอสถาการณ์อันน่าตื่นตระหนกตกใจเช่นนี้ในเขตพระราชฐาน มีหรือที่เขาจะไม่รีบมาทูลให้เจ้าเมืองทรงทราบ
“ดูแลกันยังไงถึงได้เกิดเรื่องนี้!!!” เธอในร่างสวามีปาจอกสุราที่ใช้ย้อมใจเรื่องบุตรต้องจากไปทำภารกิจ ไม่ทันทำใจให้เย็นลงเท่าใดเลยยังมาเจอเรื่องนี้อีก ยากที่จะควบคุมอารมณ์ให้ดีได้แล้ว
“ทหาร!! ไปดับไฟเข้าสิ มัวแต่เฉยไม่ยอมทำหน้าที่อยู่ได้!!” นางรีบไปดูสถานการณ์พร้อมตะโกนเรียกคนเสียงดังไปทั่ววัง
เวลาผ่านไปกว่าจะควบคุมเหตุเพลิงไหม้ได้ มันก็ทำให้สังขารของผกากรองไหม้จนเป็นเถ้ากระดูกไปเสียแล้ว
“ออกไป!! ออกไปให้พ้น!!” ใจหนึ่งก็รู้สึกโกรธ อีกใจหนึ่งก็กลัวว่าใครจะพบเห็นเถ้ากระดูกของนางแล้วรับรู้ว่ามีร่างของใครบางคนอยู่ในที่เกิดเหตุล่ะก็ต้องไม่ส่งผลดีกับตนแน่ ดังนั้นนางจึงตะเบ็งเสียงไล่คนให้ตะเพิดไป ด้วยอารมณ์ที่แปรปรวนมามากในช่วงหลายเดือนนี้ ข้าเหล่าบริวารจึงยินยอมที่จะไปโดยดีเพราะต่างก็ไม่อยากให้หัวหลุดออกจากบ่าตนกันทั้งนั้น
หลังจากที่ทุกคนจากไป นางก็ใช้มือสัมผัสเถ้ากระดูฏเหล่านั้นอย่างอดนึกเสียดายไม่ได้ สู้อยู่ในห้องลับมาเป็นเป็นเดือนแท้ๆแต่กลับต้องมาไหม้เพราะเทียนที่ตกจากเชิงเทียน
“ข้าไม่เชื่อ ให้ตายข้าก็ไม่เชื่อ ในเมื่อเชิงเทียนนี่ข้าเป็นคนจุด ไม่มีทางที่ข้าจะไม่รอบคอบจนเกิดเรื่องเช่นนี้หรอก” นางรู้สึกว่าไม่ใช่อุบัติเหตุแน่ แต่ว่าใครกันล่ะที่เป็นคนทำ ลำพังในแวดวงผู้ใช้คุณไสยมนต์ดำนางก็ศัตรูมากพอตัวอยู่แล้ว บางทีอาจจะมีใครล่วงรู้สิ่งที่นางทำเข้าให้จึงจงใจทำลายสังขารเพื่อเป็นการเตือนก่อนอันดับแรกก็เป็นได้
“ไม่ว่ามันจะเป็นใครข้าจะตามสืบให้ถึงที่สุด แล้วข้าจะลากคอมันมันกราบไหว้เป็นข่ารับใช้ของข้า”
“เจ้านี่ก็จริงๆเลย พาเราทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้ได้” เสียงบ่นของประกายพฤกษ์ดังขึ้นมาหลังจากที่ทั้งสองตัดสินใจพักที่ลำธาร นี่ก็เข้าปัจฉิมยามแล้วเพิ่งจะได้หยุดพักนี่เอง
“เรื่องแบบนี้น่ะเราถนัด ถ้าพวกเราอยู่ด้วยกันเรื่อย ๆก็มีเรื่องให้ทำได้ใหญ่กว่านี้เยอะ” ศุภลักษณ์กล่าวอย่างพอใจในผลงาน ก็ใครใช้ให้สองแม่ลูกนั่นทำกับพวกเขาแบบนั้น ทั้งใส่ร้ายคนทั้งควบคุมวิญญาณยึดร่างอีกต่างหาก ที่เขาทำก็เลยรู้สึกดีเหมือนได้ระบายความทุกข์ออกมา
“พอเถอะ แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเราก็ถูกตำหนิแล้วว่าใจร้ายใจดำ ยิ่งกับภูมินทร์ที่เป็นนักธรรมเทศนานล่ะก็คงหูด้านชาไปหมด” ไม่รู้อะไรดลใจให้ช่วยเหมือนกัน มันออกจะดูแล้งน้ำใจเกินไป ต่อให้ไม่ถูกตำหนิเธอก็ไม่คิดจะทำซ้ำอีกแน่
“ถ้าเจ้าไม่สบายใจเราก็ไม่ทำแล้วก็ได้ เราสัญญาว่าต่อไปนี้อะไรที่เจ้าไม่สบายใจเราจะไม่ทำเด็ดขาด” เขาพูดพลางยกนิ้วก้อยทำท่าทีพร้อมสัญญาเต็มที่
“สัญญาลมปาก เราไม่สนนักหรอกว่าเจ้าจะเอานิ้วก้อยนั้นไปเกี่ยวกับอะไรที่ไหน เราดูที่การกระทำมากกว่า” เธอสบายใจขึ้นมาบ้าง เพราะยังไงต่างฝ่ายก็รู้จักันมานาน จะปล่อยให้ทำผิดจนสุดทางเลยมันก็ยังไงอยู่
ฝ่ายบุรุษยิ้มเล็กน้อยแล้วนำนิ้วก้อยของตนไปเกี่ยวกับอีกฝ่าย
ก่อนที่ฝ่ายสตรีจะทุบตีคืนในความเอาแต่ใจชอบแต่จะแตะเนื้อต้องตัว เขาก็รีบออกห่างแล้วก็แยกกันนอนเก็บเรี่ยวแรงที่ให้คนต่อไปมีกำลังเดินทางต่อไปแม้ว่าเส้นด้ายจะยังคงผูกทั้งสองไว้อยู่ด้วยกันก็ตาม
……..
“ดอกบัวนั้นน่ะจะสามารถป้องกันคนที่อยู่ในนั้นจากการโจมตี ยากที่ใครจะเข้าได้หากเจ้าของมิได้ยินยอม” บัวแย้มนั่งมองดูกำไลปทุมทิพย์พลางนึกถึงคำคนสำคัญที่บอกไว้ก่อนที่จะมีอะไรเกิดขึ้นตามมา โดยถึงแม้ว่าเธอจะรู้ข่าวการสิ้นชีพนั่นมาเป็นเดือนแล้วแต่ก็ยังทำใจไม่ค่อยได้เท่าไหร่นัก
“พระธิดาเพคะ พระธิดาอย่าได้ทรงกังวลเลยนะเพคะ บัวจะดูแลตนเองให้ดีและจะใช้ประโยชน์จากสิ่งที่พระธิดาทรงมอบให้เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นให้ดีที่สุดเพคะ” เธอคิดว่าจะใช้ประโยชน์ในคืนเดือนดับโดยการซ้อนแผนเพิ่ม แต่คงต้องบอกเอาเมื่อถึงเวลาหนี เพราะคิดไปมาหาสู่กันถี่กันไปจะเป็นที่สงสัยเอาได้ ตนยังมีเรื่องห่วงในตัวพระธิดาอัญญาณีอีกคน ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าสามารถได้รับแหวนวิเศษแล้วล่ะก็ ไม่แน่ว่าคืนเดือนดับอาจจะเพ่งจิตจนอำนาจแห่งแหวนศุภรพามาหาเธอก็ได้ แต่ก็ขอให้มาทันเวลาหนีด้วยเถอะ อย่าได้ผิดพลาดเลย
……….
“พวกเราต้องแยกทางกันแล้วล่ะหลานติณกฤต” วัศพลนาคราชกล่าวกับหลานชายในยามรุ่งเช้า เตรียมที่จะแบ่งกำลังไพร่พลเพื่อจะได้ไปตีเมืองบาดาลทั้งสองทิศ ตนน่ะจัดการได้อยู่แล้ว แต่ก็เกรงว่าหลานจะใจอ่อนให้บิดาเสียก่อนน่ะสิ
“เอาอย่างนี้นะหลานรัก พวกเรามาเปลี่ยนที่โจมตีกันไหม ลุงไปทิศใต้ เจ้าก็ไปประมือกับอาเจ้าที่ทิศตะวันตก” เขาลองเสนอดู เพราะยังไงลำพังน้องเล็กของตนที่ชอบอยู่สงบไม่ค่อยฝึกปรือฝีมือไปรบกับใครอยู่แล้ว หลานตนที่ยังไม่รู้ฝีมือมากนักน่าจะจัดการได้ไม่ยาก ส่วนพี่คนรองน่ะเหรอ ระดับนั้นเขาก็ต้องจัดการเอฃสิถึงจะสมน้ำสมเนื้อ
“หลานทำอย่างนั้นไม่ได้พระเจ้าค่ะ นี่เป็นพระกระแสรับสั่งของพระเทวาวิษุวัต หากพวกเราฝ่าฝืนก็เท่ากับไม่เห็นพระองค์อยู่ในสายตา” เขาแย้งทันที เรื่องอะไรจะยอม อุตส่าห์ได้หน้าที่มาแท้ๆจะแย่งความดีความชอบกันหรืออย่างไร
“ถูกแล้วเพคะ ถ้าพระองค์ไม่รับพระบัญชาเช่นนี้หม่อมฉันคงต้องไปทูลพระเทวาให้ทรงทราบเสียแล้ว” ฉันทนาที่เร่งรีบเดินทางไม่หยุดพักประกอบกับโลหะเคลื่อนย้ายที่เสริมความเร็วในการเคลื่อนตัวได้รวดเร็วที่ได้มาจากอาจารย์จึงที่จุดที่พักสองลุงหลานที่ใกล้จะแยกทาง พอได้ยินที่ติณกฤตพูดอย่างนั้นก็เลยช่วยเสริม
“เป็นเจ้าเองหรอกรึที่บดิศรให้มาช่วย นึกว่าจะไปจำศีลตามอาจารย์เจ้าเสียแล้ว” เขาพูดแบบนั้นเพราะไม่เห็นว่าจะมาชุมนุมเลยนึกว่าฤษีทมิฬผู้ภักดีจะเหลือศิษย์ไว้ให้ทำงานแค่คนเดียวเสียอีก
“เพคะ ถึงหม่อมฉันจะมาช้าแต่ก็ดีกว่าไม่มา…… เอาอย่างนี้ดีกว่าเพคะพระองค์ก็ทำตามพระบัญชาตามเดิม ส่วนพระภาติยะติณกฤตให้หม่อมฉันเป็นคนติดตามไปช่วยเองเถอะเพคะ” เธอเสนอไปเพราะก็อยากรู้ว่าสองพ่อลูกคู่นี้จะเล่นตบตาอะไรกัน การที่มีตนไปดูสถานการณ์เช่นนี้ คนที่จ้องจับผิดก็ดิ้นไม่หลุด
“อยากทำอะไรก็ทำ ศิษย์ร่วมสำนักเจ้าเป็นคนโปรดของพระองค์เราจะไม่ยุ่ง ถ้ามีอะไรผิดพลาดล่ะก็เจ้าต้องรับผิดชอบ” เขาอยากขัดก็ขัดไม่ได้เพราะบดิศรน่ะคนโปรด ถ้าคนของเขาไปฟ้องร้อง โทษขัดบัญชาก็จะทวีคูณเสียเปล่าๆ
“คนที่ชื่อบดิศรสงสัยเราจริงๆด้วย สายตาของเขาชัดจนเราต้องระวังตัวเพิ่ม คิดไม่ผิดเลยว่าเมื่อเขาไม่ว่างก็ต้องส่งคนมาจับตาดู เห็นทีเราจะต้องระวังให้มากขึ้นกว่าเดิมแล้ว” พระโอรสแห่งบาดาลแดนทักษิณลอบคิดในใจก่อนจะแสร้งกล่าวตอบไป
“เสด็จลุงอย่าได้ทรงกังวลเลยพระเจ้าค่ะ ยิ่งได้คนมาช่วยอีกแรงเช่นนี้หลานก็จะยิ่งทำสำเร็จเร็วขึ้น ขอย่าได้ต่อว่าเลยพระเจ้าค่ะ ” เขายิ้มรับด้วยยินดีทั้งยังช่วยพูดให้อีกคน
“ตามใจหลานเถอะ ได้เพลาแล้วเร่งแยกย้ายกัน ลุงจะไปกับหลานลีลาวดี เจ้าในฐานะผู้เป็นพี่ก็ไม่ต้องกังวลไป” เขาไม่แยกเปล่ายังเอาตัวหลานคนโปรดไปด้วยกัน เพื่อความอุ่นใจของคนที่ไม่มีบุตรเป็นของตนเอง
“ถ้าเสด็จลุงมีพระประสงค์เช่นนั้น หลานก็ไม่ขัดหรอกพระเจ้าค่ะ” เขาพูดไปอย่างนั้น ใจจริงเขาน่ะห่วงน้องสาวที่ความจำขาด ไม่รู้ว่าจะถูกกลมนตราอะไรเพิ่มหรือไม่ แล้วถ้าหลุดจากอาการนั้นไม่แน่อาจจะโวยวายเรื่องทำร้ายพระบิดาเสียจนเกิดอันตรายก็ได้
“ดี ขอให้หลานทำได้สำเร็จ” ว่าแล้วก็ต่างแยกทางกันไป ในเมื่อมีคนติดตามคอยจับผิดเช่นนี้เห็นทีต้องเปลี่ยนแผนรับมือเสียแล้ว
………
ด้วยความเหนื่อยล้าที่คนก่อนๆสั่งสมกันมาจนคนวันเสาร์ตื่นขึ้นมาก็จะเข้าเวลาเพลเสียให้ได้แล้ว เป็นเมธาวีที่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก่อนอีกคน แต่กลับพบว่าตนนั้นนั่งหลับซบไหล่อีกคน อีกทั้งยังโอบเธอไว้แขนนึงอีกด้วย
“นี่เจ้า!!” เธอตกใจผลักทั้งที่ยังมีอาการงัวเงียร่วมด้วยนิดหน่อย ทำเอาเสียอีกคนตื่นจากภวังค์
“อะไรของเจ้าน่ะ เราไปทำอะไรให้” เขาถามเธอด้วยสีหน้ามึนงงเล็กน้อย
“ตอนก่อนสองคนนั้นนอนแยกกันคนละต้นไม้เลยนี่ ทำไมเราตื่นมาเจ้าก็..เจ้าก็โอบตัวเราไว้ล่ะ” สติเธอกลับมาได้ดีแล้วตอนนี้อาการดีขึ้นมากไม่สู้ว่ามึนหัวเท่าใดนัก
“เรื่องนี้นี่เอง นั่นก็เป็นเพราะว่าช่วงรุ่งสางศุภลักษณ์น่ะหนาวสั่น ดูท่าแล้วก็ไม่ได้แกล้งทำ ประกายพฤกษ์ที่เห็นก็เลยดูอาการรวมไปถึงช่วยโอบกายเขาจนอรุณมาถึง ตัวเจ้าเองก็ไม่ได้คลายหนาวลงเราเลยโอบต่อ เราไม่ได้มีเจตนาไม่ดีตัวราก็เพลียมากเลยเผลอหลับไปน่ะ” ศนิวารล้างหน้าที่ลำธารอย่างสบายใจรับการตื่นอย่างเต็มที่ เมื่อเห็นอย่างนั้นอีกคนก็ล้างหน้าตาให้ดีเสียก่อนถึงจะเอ่ยคำที่ควรเอ่ย
“เราขอบใจเจ้ามาก….เจ้ารอเราตรงนี้ก่อนได้ไหม ” เธอกล่าวขอบคุณอย่างเดียวคงไม่พอหรอกมันต้องทำอย่างอื่นด้วยสิ
“เรายินดี..แล้วเจ้าจะไปไหน” เขาตอบรับด้วยไมตรี แต่ก็สงสัยอยู่ดีว่าอีกคนจะไปไหนไกลมากได้ก็ในเมื่อทั้งสองคนก็เชื่อมต่อกันด้วยเส้นด้ายยืดหยุ่นแค่นั้น
“เราจะไปดินแดนจินตภพ ที่นั่นมีดินมลายมนตรา” เธอพูดตอบความสงสัยไป
“ดินมลายมนตราอย่างนั้นเหรอ จะเอามาแก้ด้ายเลื่อมประภัสสรที่ผูกเราสองคนใช่ไหม” ฟังจากชื่อก็น่าจะเป็นของที่ช่วยแก้ให้รอดพ้นบ่วงไม่ยอมแก้ของคนเริ่มได้
“ดินนี้ช่วยแก้มนต์ได้เวลาที่ไม่รู้มนต์แก้ แต่มีข้อจำกัดไว้ว่าให้ใช้ได้แค่ปีละ๓ครั้งเท่านั้น โชคยังดีที่ปีนี้ยังไม่ได้ใช้เลยสักครั้ง นี่น่าจะพอช่วยพวกเราในวิกฤตอื่นๆได้อีกด้วย” ที่เธอพูดมันก็ถูกแต่ว่าเธอมีอักษรสาปอยู่ไม่ใช่เหรอ จะไปที่นั่นมันจะไม่เป็นอะไรแน่เหรอ เพราะตอนนี้ฤษีมฤคินทร์ก็จำศีลไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วยนี่สิ คราวนี้ถ้ามีคนบุกมาก็แย่กันหมด
“ยังดีที่ใช้จิตเข้าไปไม่ได้ใช้มนตรา แล้วทำไมไม่ให้เราไปด้วยล่ะ” เขาก็ต้องรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง แต่ก่อนน่ะก็เคยไปด้วยกันแล้วตั้งครั้งนึง ทำไมถึงไปด้วยกันไม่ได้
“ถ้าเราไปพร้อมเจ้าเราก็ไม่มีสมาธิกันพอดี” เธอหันหน้าหลบไปทางอื่น ถึงจะรู้สึกขอบคุณที่อีกคนหวังดีแต่ว่าเธอยังทำใจไม่ให้รู้สึกอายไม่ได้นี่
“จะโทษเราอย่างงั้นเหรอ เราไม่ใช่พวกจิตอ่อนไม่มีทางทำเจ้าจิตเสียหรอก” เขาเริ่มไม่สบอารมณ์เล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้เอาความอะไร เพราะเขาดูเหมือนจะไม่รู้สึกรู้สาถึงอารมณ์ของอีกคนเท่าใดนัก
“เอาเถอะ ถือว่าเราผิดเอง…พวกเราไปกันเลยดีกว่า” เธอตั้งสติใหม่ เวลาแบบนี้มัวแต่เขินแล้วจะได้ทำอะไรกันล่ะ เธอคิดแล้วก็สลัดความทิ้งเสียจะดีที่สุด
ไม่นานนักทั้งสองก็มาถึงป่าจินตภพ รู้สึกว่ามาครั้งนี้พืชพรรณที่ปลูกใหม่ในคราวนั้นตอนนี้เจริญงอกงามได้ดีไปทั่ว อาศรมที่ดูโล่งๆก็มีดอกไม้ขึ้นรอบๆ แล้วที่นี่ก็ไม่ค่อยหนาวเหมือนด้านเท่าไหร่ด้วย ถ้าไม่ติดว่ามีเรื่องต้องทำคงจะค้างคืนที่นี่เสียหน่อย
“ท่านตา หลานมาขอดินมลายมนตราไปแล้วนะเจ้าคะ” เมธาวีมาไหว้เคารพแล้วบอกให้ได้รับรู้ ถึงแม้อีกฝ่ายจะนั่งสมาธิจำศีลด้วยจิตมุ่งมั่นอยู่ก็ตามที
“ที่นี่มีลิขิตเขียนไว้” ศนิวารที่รออีกคนอยู่ได้เห็นจดหมายที่แนบไว้ตรงระเบียงจึงได้เรียกบอกสหาย
“อ่านให้ฟังเลยก็ได้ เรากำลังหาผอบดินมลายมนตราอยู่” เธอพูดอนุญาต จริงๆก็ไม่มีเรื่องอะไรต้องปิดบังกัน การที่อ่านจดหมายแทนกันคงไม่ล้ำเส้นกันเกินไปนักหรอก
……“ สิ่งที่คิดหาได้ใช่ไกลอยู่
สิ่งที่รู้เร่งแจ้งอย่าแคลงหาย
สิ่งเจ้าปรารถนาไม่เสื่อมคลาย
สิ่งย่อมได้เจ้าจักได้ในเร็ววัน
อุปสรรคจักต้องเร่งหาทางแก้
ทำนายแน่เคราะห์สามคราอย่าโมหันธ์
สิ่งสำคัญอย่าจำแนกแตกแยกกัน
มิเช่นนั้นจะทุกข์ตรมขมขื่นใจ”……
เนื้อความในนี้คงจะเป็นประโยชน์อยู่ไม่น้อย บางทีถ้าผ่านเคราะห์ได้คงได้พบความสงบสุขที่แท้จริงอย่างนั้นสินะ ไม่ว่าจะยังไงก็ตามต่อจากนี้พวกเขาต้องระวังตัวให้มากขึ้นเสียแล้ว ไม่เช่นนั้นคงจะมีปัญหาที่แก้ยากขึ้นอีกเป็นเท่าตัวเลย