ยินดีต้อนรับสู่บ้านอบอุ่นของคนรัก บอย สพล ชนวีร์

!!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ จักรกรด

  • *
  • 145
  • 0
  • เพศ: หญิง
  • จิตฺเตน นียติ โลโก. โลกอันจิตย่อมนำไป .
    • อีเมล์
Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
« ตอบกลับ #75 เมื่อ: ตุลาคม 21, 2020, 09:45:08 PM »
สัปดาห์​นี้ต้องจัดการเรื่องโปรเจคจบก่อนสอบปลายภาคค่ะจึงต้องขอเลื่อนไปอัพเดตนิยายในวันที่28ตุลาคม​ ต่อเนื่องเป็นแบบรายสัปดาห์จนถึงวันที่4 พฤศจิกายน​  และจะทำการเปลี่ยนรูปแบบการอัพเดตนิยายเป็นรายเดือนแทนค่ะเพื่อที่จะได้จัดสรรเวลา​ หาข้อมูลและจัดวางลำดับเรื่องให้ดีขึ้นค่ะ​ ขออภัย​ท่านผู้อ่านทุกท่านด้วยนะคะ

ออฟไลน์ จักรกรด

  • *
  • 145
  • 0
  • เพศ: หญิง
  • จิตฺเตน นียติ โลโก. โลกอันจิตย่อมนำไป .
    • อีเมล์
Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
« ตอบกลับ #76 เมื่อ: ตุลาคม 28, 2020, 09:01:11 PM »

"ลูกแม่​จะเป็นอย่างไรก็ไม่อาจรู้ได้เลย" มเหสีผู้ได้รับความลำบากมาทั้งวันจวบจนกลางคืนเพิ่งจะมีเวลาพักกกายา​ ไม่มีสิ่งใดทำจึงมองดวงจันทร์​บนท้องนภารำลึกนึกถึงลูกยา  ใจคนเป็นมารดามีหรือจะไม่ห่วงบุตรของตนที่ชะตาพลิกผันอยู่เสมอ​ ดวงตาก็มีน้ำคลออยู่ไม่หาย
"มันจวนจะถึงเพลานอนแล้วมามัวแต่ชมจันทร์​รื่นรมย์​ราวกับยังเป็นมเหสีอยู่ได้​" เสียงที่ไม่พอใจของคนครัวเข้ามาขัดความคิดของเธอจนต้องดึงตัวเองมาพบกับปัจจุบัน​ตรงหน้า
"เราไม่ได้หาความสำราญ​ ขอท่านอย่าคิดเช่นนั้นเลย" เธอพยายามอธิบาย
"อย่ามาอ้างเสียหน่อยเลย​ เวลาจะนอนไม่นอนกะจะคร้านไม่ทำงานวันพรุ่งนะสิ​ ไปตักน้ำมาไว้ทำครัวเสีย​แล้วเข้านอน" คนครัวหญิงมิอยากฟังคำแก้ต่างยกหน้าที่ให้ทำเสียให้จบๆไป
"แต่ว่าหน้าที่นี้.."มันมีคนนำน้ำมาให้ตามเวรตลอดมิใช่รึเหตุใดจึงถืิอโอกาสมาสั่งตนเช่นนี้เล่า
"รู้ว่าจะพูดอะไร​ ได้ยินมาว่าแม่เจ้าเป็นคนแบกหามตักน้ำมิใช่หรอกรึ​ เพลานี้คงจะเหลืองานตักน้ำสักสองสามเที่ยว​ อยากเจอก็ไปเจอ​ อย่าลีลาให้มันมากนัก​ ข้าไปนอนก่อนแล้ว​ อย่าช้านักนะ​ คนอื่นจะพาลว่าข้าได้" เธอกล่าวก็จากไป ถือว่าเป็นคนมีน้ำใจไม่น้อยเพียงแต่มิถนัดใช้วาจาอ่อนหวานก็เท่านั้น​ สไบทองเร่งไปพบกับพระมารดาในทันที
" เสด็จแม่เพคะ.. " ถือว่าโชคช่วยที่ทำให้ได้พบกัน​ หากคลาดอีกก็ไม่รู้ว่าจะพบกันเมื่อใด​ พวกนางกำนัลจากเมืองทิศพลก็ะพลัดทำหน้าที่ตักน้ำเวียนกันไปมาแทนเพื่อให้ระหว่างนี้จะได้พูดคุยกันได้สะดวก
" สไบทอง​ ลูกยังไหวใช่หรือไม่" อมรินทร์​ลูบใบหน้าของธิดาที่ซูบเซียวจากการทำงานครัวและความเศร้าใจ
"กายยังไหวเพคะ​ แต่ใจนั้นกังวลเหลือเกิน​" ถึงจะเชื่อว่าลูกไม่สิ้นชีพแต่อดห่วงถึงความปลอดภัยของลูกตนไม่ไหว​ ซ้ำยังต้องมาเห็นมารดามาอยู่ในฐานะลำบากเช่นนี้​ มีหรือว่าน้ำในเนตรจะไม่ไหลรินลง
" เอาเถิดหนาลูก​จงฟังแม่​ ความลำบากยากเข็ญที่เราเผชิญนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของโชคชะตาเป็นอนิจจาที่ไม่สูญหาย​ ชีวิตเหมือนตะเกียงถึงคราวดับมันก็ต้องดับ​ แต่อย่างไรเสียมันก็ยังเป็นตะเกียง​ การเศร้าโศกเสียใจมีได้แต่มากไปมิใช่เรื่องดี" เธอกล่าวพลางใช้หันถ์เช็ดน้ำตาให้ลูกหญิงอย่างอ่อนโยน
" เพคะ​ ลูกจะพยายามไม่คิดเรื่องนี้มาบั่นทอนกำลังใจมากเกินไป"เธอใช้มืิอจับหุ้มมือมารดาตอบรับ
" อย่างที่แม่พูดไป​ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรเราก็ต้องอยู่ต่อ​ แต่ไม่ใช่การอยู่เฉย" เพราะสไบทองถูกใช้ให้ทำงานครัวตลอดจึงเป็นไปได้ยากนักที่ตาหวานจะมาแจ้งข่าวให้ฟังได้​ วันนี้มีโอกาสจึงควรบอกเสียให้ทราบ
"  คืนเดือนดับต้นยามสามทิศหรดีพวกเราจะหนีไปยังถ้ำของหิ่งห้อยยักษ์​" เธอกล่าวข้างหูของบุตรีเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครได้ยินอีก
" แล้วพวกเราจะสามารถ​หนีไปได้หรือเพคะ" เธอเป็นห่วงความปลอดภัยของทุกคนจึงถามเพื่อความแน่ใจ
"แม่ไม่รู้ว่าจะสามารถ​หนีได้แค่ไหน​ แต่มันก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไร​ จะให้รอพวกหลานมาช่วยก็เกรงว่าจะไม่ได้เสียแล้ว" ถึงจะแอบหวั่นใจแต่ก็ต้องลงมือทำไม่เช่นนั้นก็ไม่รอดถึงฝั่ง
"เพราะเหตุใดการรอคอยถึงมิใช่ทางเลือกแล้วหรือเพคะ" เธอมีหวังจะพบหน้าลูกเท่านั้นมิต้องการทำอย่างอื่น
" ถึงจะไม่สิ้นเชื้อสาย​ พวกเขาก็ต้องเผชิญอุปสรรคจากฝั่งนั้น​ เขาเป็นถึงเทพเทวามิอาจจะยอมให้มนุษย์​ธรรมดามาเอาชัยไปได้​ ถึงอย่างนั้นพวกเราก็ต้องหนีและกระทำสิ่งที่ถูกต้องต่อไป​ เมื่อรอเช่นนี้ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง" ที่เธอพูดมาก็ล้วนเป็นความจริง​ หากเอาแต่รอแล้วเมื่อไหร่จะหลุดพ้น​ ถึงแม้จะต่อกรไม่ได้มากแต่หาทางรับมือไว้ก็ไม่เสียหาย
" ได้เพลาพักแล้ว​ รีบพักเสีย​ หากพรุ่งนี้ใครชักช้าจะถูกโทษหนักมิละเว้น"เสียงประกาศจากผู้คุมให้รวมตัวกลับที่พัก​ จะต้องจากกันไปเสียแล้ว​ จึงวันทาก่อนลาจาก​ ถ้าหากสบโอกาสคืนเดือนดับก็อาจมีทางหนีไปได้



ออฟไลน์ จักรกรด

  • *
  • 145
  • 0
  • เพศ: หญิง
  • จิตฺเตน นียติ โลโก. โลกอันจิตย่อมนำไป .
    • อีเมล์
Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
« ตอบกลับ #77 เมื่อ: พฤศจิกายน 02, 2020, 10:51:31 AM »
เนื่องจากมีประกาศเลื่อนสอบปลายภาคของทางมหาลัยมาเป็นสัปดาห์​นี้​คาบเกี่ยวจนถึงสัปดาห์​หน้า​ จักร​กรดต้องขออภัยอีกครั้งที่ไม่สามารถมาอัพเดตนิยายต่อได้เพราะต้องแบ่งเวลาอ่านหนังสือให้แม่นยำและเข้าใจก่อนค่ะ​
จึงถือโอกาสเรียนผู้อ่านทุกท่านนะคะว่าทางผู้เขียนขอเปลี่ยนการอัพเดตนิยายเป็นเดือนละ1ครั้งค่ะ​ คือทุกวันที่14ของเดือนเวลา​ 20.20น.​ เริ่มทำการอัพเดตตามตารางคือวันที่14พ.ย.นี้ค่ะ​ ต้องขออภัยในการบริหารจัดการเวลาของจักกรดด้วยนะคะ w15
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 02, 2020, 12:43:26 PM โดย จักรกรด »

ออฟไลน์ จักรกรด

  • *
  • 145
  • 0
  • เพศ: หญิง
  • จิตฺเตน นียติ โลโก. โลกอันจิตย่อมนำไป .
    • อีเมล์
Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
« ตอบกลับ #78 เมื่อ: พฤศจิกายน 14, 2020, 08:20:08 PM »
"มันก็ยังเร็วไปอยู่ดีที่จะกลับไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อในตอนนี้ ทางที่ดีเราไปเข้าเฝ้าเสด็จลุงวัศพลเสีย จะได้ไม่ต้องลำบากใจ"ลีลาวดีกล่าวกับตนเองระหว่างเดินทาง แทนที่จะกลับไปยังที่ของตน กลับนำตนไปยังบาดาลที่มีทิศตรงข้ามกันขนาดนั้นแทน ด้วยความที่ชำนาญเส้นทางลัด จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะสามารถเดินทางถึงที่หมายได้เร็วดั่งใจนึก เมื่อไปถึงก็เป็นช่วงเวลาราตรีแล้วแต่เหตุไฉนถึงได้มีคนมากหน้าหลายตามาชุมนุมอยู่ที่ท้องพระโรงในยามนี้ได้ ธิดานาคีฝ้ามองอยูด้านนอกโดยไม่เข้าไปร่วม เพราะอาจสร้างความไม่พอใจให้ผู้ที่ตนนับถือได้ แต่เมื่อสังเกตได้ครู่หนึ่งก็พบพระเชษฐาว่าเป็นหนึ่งในั้นด้วย
"ท่านพี่มาทำอะไรที่นี่ ไหนเสด็จพ่อให้อยู่จัดการเรื่องดูแลบาดาลใต้ให้ไม่ใช่หรอกเหรอ"เธอเห็นแล้วก็พึมพำกับตนเอง ครั้นจะแอบฟังเนื้อความสนทนาก็ได้ยินไม่ถนัดนัก
"เราเห็นว่าอานุภาพของเกราะเหล็กและสังวาลย์ศิลามีอำนาจการทำลายล้างได้ไม่ต่างจากสิ่งวิเศษของฝั่งตรงข้ามเลย นั่นทำให้เราเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะสามารถใช้เพื่อนำชัยมาให้นั้นไม่ใช่เรื่องยาก"พระเทวาวิษุวัตกล่าวถึงสิ่งวิเศษที่มีอยู่ในตอนนี้ขึ้นมาเพราะอาวุธสำคัญที่ตั้งใจช่วงชิงนั้นที่ไม่ได้ครอบก็ได้กำจัดทิ้งไปสิ้น มันอยู่นอกแผนการแรกเริ่มไปเสียหน่อย แต่ก็ยังดีที่มีของที่คิดว่าดีอยู่กับตัวเพราะมันก็สามารถใช้งานดั่งใจได้บ้าง
"ขอพระราชทานอภัยแก่หม่อมฉันด้วยพระเจ้าค่ะ  หากเป็นเช่นนั้นแล้วเหตุใดจึงมิให้ผู้สวมสังวาลย์ศิลามาร่วมการชุมนุมในครั้งนี้ด้วยหรือพระเจ้าค่ะ"ติณกฤตสงสัยจึงได้ขัด ที่แห่งนี้ผู้สวมสิ่งวิเศษมาร่วมฟังก็เห็นจะมีแต่บดิศรเท่านั้น ทั้งที่เรื่องสำคัญเช่นนี้ก็ควรจะมาเพื่อจะได้ปฏิบัติตามได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
"เรามองว่าคนอย่างอัคนินวู่วามไม่ทำตามคำสั่งของเราหลายครั้ง จึงไม่ให้เข้าร่วม และในอีกไม่นานเราจะนำสังวาลย์คืนมาแล้วมอบให้ผู้เหมาะสมตามที่เราเห็นสมควร"คำตอบจากองค์เทพ นั้นทำให้เขาเข้าใจ หากเขาเป็นที่วางใจก็ไม่ยากว่าผู้ครอบครองอาจจะเป็นตัวเขาเอง
"พาทีมากจนน่าสงสัย ไม่อยากจะเชื่อว่านาคที่เพิ่งตัดสินใจออกจากฝั่งตรงข้ามที่เป็นของบิดาตนเอง ปกติแล้วจะยังทำใจไม่ได้และสงบเสงี่ยมนี่"บดิศรที่เข้าร่วมประชุมได้สังเกตสมาชิกใหม่อย่างอดสงสัยไม่ได้ แทนที่จะทูลออกไปก็เลือกที่จะเก็บคิดไว้ใจแล้วหาข้อพิสูจน์เองน่าจะดีกว่า
"ปัญหาตอนนี้ที่สำคัญมีอยู่สองอย่าง หนึ่งคือเราไม่สามารถตามหาพระพี่นางเบญจเนตรได้ เราต้องใช้พลังของพระนางเพื่อความมั่นคงและมั่นใจว่าพระอินทร์อภิรักษ์เพชราจะไม่สามารถต่อกรกับเราได้รวมไปถึงการยืนยันต่อพระเทวาตรีมูรติ​ว่าที่ทำไปนั้นเพราะฝ่ายนั้นมีความผิดสมควรแก่การลงโทษ หากตามหาพระนางได้ก็จะง่ายต่อการทำสิ่งที่ต้องการ แต่นั่ถ้าไม่เจอจริงๆต้องหาวิธีอื่น"  พระเทวีพระองค์นี้ได้รับพรให้ช่วยรักษาป้องกันภัยจากมหาเทวาที่อาจจะมัวเมาในอำนาจจนศีลธรรมที่เคยกระทำมานั้นไม่อาจยับยั้งจิตใจได้อีกต่อไป
"อีกหนึ่งที่้พวกเราต้องจัดการคือพญานาคราชวิทวัส ผู้นี้รวบรวมพลเทพเทวีที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อเรา เพื่อรอการกลับมาของเทวราชา หากไร้ซึ่งพวกนี้การที่จะได้ตแหน่งอันควรจะเป็นของเรานั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากเช่นกัน"
"ใครจะไปยอมให้เป็นอย่างนั้นกัน"โอรสาแห่งวิชชุนาคราชลอบคิดอยู่ในใจขณะที่ฟังแต่ก็ไม่ลืมที่จะแสร้งแสดงท่าทีเห็นพ้องต้องกัน
"หม่อมฉันเห็นสมควรว่าต้องจัดการกองหนุนสำคัญของวิทวัสเสียก่อนพระเจ้าค่ะ นั่นก็คือวิชชุแห่งทิศทักษิณ กับวิศรุตแห่งทิศประจิมอนุชาทั้งสองของหม่อมฉัน"วัศพลนาคราชออกความเห็น
"เราก็เห็นสมควรเช่นนั้น นี่เป็นงานแรกที่ต้องจัดการ ท้าววัศพลจงมุ่งไปยังบาดาลประจิมทิศ ติณกฤตมุ่งไปจัดการที่บาดาลทักษิณ " อย่างนี้ก็เท่ากับว่าจงใจให้ลูกไปทำรายพ่อตนเองน่ะสิ
"ข้าแต่พระองค์ หม่อมฉันไม่คิดว่าติณกฤตจะทำได้นะพระเจ้าค่ะ ยังไงวิชชุก็เป็นบิดา เรื่องเช่นนั้นมันจะ...." นาคราชแดนเหนือไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไหร่ ถ้าหลานชายทำใจไม่ได้ก็เสียแผนกันพอดี
"หลานไม่เป็นอะไรหรอกพระเจ้าค่ะ เมื่อตั้งใจจะรับใช้พระเทวาแล้วไม่ว่าจะเป็นพระประสงค์สิ่งใด หลานก็จะทำโดยไม่นึกเสียดายเลย" เป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้ หากจะเอาใจเขามาก็ต้องกล้าที่จะทำตามอย่างไม่มีเงื่อนไขถึงมันจะไม่ดีต่อจิตใจตนเท่าใดนัก แต่เพื่อให้สิ่งที่หวังไว้สำเร็จก็ต้องเสี่ยงดู
"เราขอบใจท่านมาก หวังว่าจะทำได้ตามที่กล่าวไว้ ส่วนบดิศรเรานึกถึงเรื่องสิ่งที่จะทำให้สิ่งวิเศษคืนสภาพได้ จำเป็นจะต้องใช้งานอัคนินอีกครั้งก่อนทำการผลัดเปลี่ยนผู้สวมใส่ จงเดินทางสู่เขตแนวอสุราที่๓พร้อมกับอัคนินเพื่อใช้ปราพกสินธุ์​จากภูเขาร้อน​ แต่ก่อนหน้านั้นเราขอให้ถามคำถามเรื่องการมีอยู่ของพระเทวีเบญจเนตรให้ดีกับศิลาพยากรณ์​"
"พระเจ้าค่ะ"บดิศรรับคำ​ นี่ตนต้องเดินทางไปกับทำภารกิจร่วมกับคนอย่างอัคนินอีกแล้วหรือนี่​ แต่มันก็เลี่ยงไม่ได้​ ให้ถือว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะร่วมงานเพราะจะได้เปลี่ยนผู้สวมใส่คนใหม่เสียที
"เราจะลองตามหาพระพี่นางด้วยตนเองอีกสักครั้ง​ วันที่ดอกปาริชาติบานขอให้มาชุมนุมกันอีกที" จบคำพระเทวาก็เสด็จยังที่อื่นทันทีมิได้พำนักค้างคืนที่บาดาลเหนือต่อไป
"รับด้วยเกล้าพระเจ้าค่ะ​"เหล่าบริวารรับคำแล้วแยกย้ายไปที่ของตน​ ส่วนผู้มีหน้าที่โจมตีเหล่านาคราชทั้งสองนั้นต้องปรึกษากันให้ดีและพักผ่อนให้เต็มที่เสียก่อน​
"ลีลาวดี​ หลานจะอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม"เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครเห็นจนเปิดปากพูดเรื่ิองนี้​ วัศพลนาคราชก็เรียกผู้ที่แอบฟังให้ออกมาเพื่อเจรจา
"เสด็จลุงเพคะ​ เรื่องที่ว่าจะจัดการทำลายวังบาดาลอื่น​จะทรงกระทำการนั้นจริงๆหรือเพคะ​"ไม่มีเหตุผลที่ต้องหลบอีกต่อไป​ เธอทวนสิ่งที่เธอได้ยินมาอีกครั้ง​ การกระทำเช่นนี้กับสายเลือดเดียวกันมันจะดีแล้วหรือ​ หนึ่งในนั้นก็เป็นสถานที่ของตนด้วย
"ฟังลุงให้ดีนะลีลาวดี​ การกระทำเช่นนี้นับเป็นการดีแล้ว​ พระเทวาก็ทรงเห็นด้วยกับการนี้​ พวกเราไม่ได้สังหารเพียงแค่ทำให้พวกเขาไม่มาขัดขวางเพียงเท่านั้น"​ ในขณะที่พูดตัวเองก็ใช้มือของตนลูบศีรษะ​ของธิดาอนุชาเป็นเชิงปลอบโยนแต่แฝงด้วยเลศนัย​ เพียงครู่หนึ่งเธอก็มีอาการแน่นิ่งและดูเชื่อฟังขึ้นมา
"หลานก็เห็นว่าน่าจะเป็นผลดีเพคะ "ดวงตาที่มีความเลื่ิอนลอยนั้นดูเริ่มมีความเป็นธรรมชาติขึ้นเหมือนเป็นปกติดีแต่แอบแปลกไปจนผู้เป็นพี่อดสงสัยไม่ได้
"เสด็จพี่ก็ทำตามหน้าที่ไปเถอะ​ น้องจะไปช่วยเสด็จลุงอีกแรงเพื่ิอสนองพระโองการ "คำเรียกแทนตัวนั้นแปลกไป​ ทั้งที่แต่ก่อนนั้นก็ท้วงเองว่ามันห่างเหินมิใช่หรือ
"เป็นเช่นนั้นพี่ก็สบายใจ" จะสบายได้อย่างไรกัน​ ขนิษฐา​เธอนั้นจะเข้าร่วมทั้งที่ไม่ได้มีแผนตลบหลังเลยด้วยซ้ำ​ อีกทั้งดูเหมือนว่าจะเต็มใจเสียเต็มเปี่ยม
"เช่นนั้นก็พักผ่อนเสียเถิด​ ยังมีเรื่องที่ต้องเตรียมตัวอีก​มาก​ เร็วที่สุดอาจจะเป็นหนึ่งถึงสองวันนี้แล้วจึงแยกย้ายไปตามที่ได้รับเอา"กล่าวจบท้าวท่านก็เสด็จยังที่บรรทม​ปล่อยให้พี่น้องได้พูดคุยกัน

ออฟไลน์ จักรกรด

  • *
  • 145
  • 0
  • เพศ: หญิง
  • จิตฺเตน นียติ โลโก. โลกอันจิตย่อมนำไป .
    • อีเมล์
Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
« ตอบกลับ #79 เมื่อ: ธันวาคม 14, 2020, 08:01:35 PM »

"ลีลาวดี ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ แล้วสองคนนั้นล่ะ" เขาถามน้องสาวทันทีหลังจากอีกบุคคลได้ออกจากท้องพระโรงด้วยเสียงที่เบาพอจยแน่ใจว่าจะได้ยินกันเพียงสองคน
"หม่อมฉันก็เดินทางมาจากเมืองของพวกเราน่ะสิเพคะ แล้วสองคนที่ทรงกล่าวถึงคือผู้ใดกัน"เธอได้ยินก็รู้สึกสงสัยในวาจาเพราะเท่าที่จำได้เธอก็เดินทางมาจากบ้านเมืองโดยตรง จะเอาเวลาที่ไหนมาพบปะผู้อื่นได้อีก
"ก็...ก็สายใจกับสายธารน่ะสิ ไปไหนมาไหนก็ไม่เคยห่างกัน" จริงๆเขาก็จะพูดถึงเจ้าของสิ่งวิเศษทั้งสองอยู่หรอก แค่รู้สึกไม่ชอบมาพากลเสียแล้วจึงแสร้งกล่าวถึงนางกำนัลคนสนิทข้างตัวของนางแทน
"พวกนางปากมากเกินไป เกรงว่าให้ติดตามมาด้วยก็คงไม่พ้นเอาเรื่องไปทูลเสด็จพ่อแน่ เสด็จพี่ก็ทรงทราบว่าเรื่องนี้สำคัญเพียงใด" ท่าทีเธอแข็งกร้าวขึ้น พูดอะไรก็ดูขัดกับความจริงที่ได้ไปเผชิญมา
"เอาเถอะ ตอนนี้ก็ดึกแล้วพี่ว่าเจ้าก็ไปพักผ่อนเสียก่อนดีกว่า" เขาไม่คิดจะกล่าวสิ่งใดต่อเพราะอาจเป็นการปล่อยข้อมูลสำคัญไปสู่ศัตรู ถือว่ายังดีที่ลีลาวดีจำเรื่องที่ผ่านมาไม่ครบถ้วน ไม่เช่นนั้นเรื่องการที่ยังมีชีวิตอยู่ของทั้งสองคนนั้นต้องไปถึงพระกรรณของพระเทวาวิษุวัตเป็นแน่
"เพคะ หม่อมฉันทูลลา" เธอแยกตัวออกไปในทันทีเพรารู้สึกเสียเวลาที่ต้องมาพูดเรื่องอื่นที่ไม่ใช่การรับใช้พระเทวาที่ตนเคารพ
"การที่นางแยกตัวออกมาก็มีสองอย่างคือทิ้งซึ่งหน้าที่ไม่ก็คงส่งคนเข้าเขตแนวอสุราได้แล้ว ถ้าเอาตามจริงนางคงไม่คิดจะอยู่จนสำเร็จแน่ ไม่รู้ว่าสองคนนั้นจะเป็นเช่นไร "เขาคิดในใจอดห่วงใยสหายไม่ได้ จะไปตามดูให้รู้ก็เกรงว่าจะไม่ทันเวลากลับมาอาจทำให้อีกฝ่ายไม่วางใจในตน ทั้งน้องสาวก็มาเป็นอย่างนี้อีก ต้องหักห้ามใจให้เย็นลงคิดหาวิธีรับมือต่อไปจะดีกว่า
..........
หลังจากที่เดินทางออกจากเขตแนวอสุราที่สาม ตอนนี้ก็ได้กลับสู่เขตแนวอสุราที่สองเสียที่แต่ทว่าที่ที่ออกมาพบนั้นเป็นทุ่งดอกไม้ที่รวมตัวเรียงกันเป็นวงกลมวางเป็นเกาะกลางแม่น้ำที่ล้อมรอบแทน
"ตอนที่เดินทางมาที่ที่สองคนนั้นเจอ เราจำได้ว่าที่แห่งนี้ใกล้เคียงกับความแล้งมีต้นไม้ไม่กี่ต้นหาได้มีพืชพรรณที่พื้นไม่"จินดาที่รับรู้เรื่องราวผ่านทางจิตวิญญาณกล่าวขึ้นเมื่อพบว่าสภาพแวดล้อมได้ต่างไปจากเดิมมาก
"จริงอย่างที่ท่านว่า ตอนนี้ก็ไม่เห็นต้นไม้ใดๆมีเพียงทุ่งดอกไม้เท่านั้น อีกทั้งแม่น้ไม่ด้เป็นสายแต่ล้อมรอบแทน บางทีอาจเป็นเพราะที่นี่คือเขตแนวอสุราจึงเปลี่ยนสิ่งที่ผู้เดินทางพบเจอไปเสมอ " ภููมินทร์กล่าวตอบ ก็จริงอย่างที่เขาว่า เพราะสภาพแวดล้อมของเขตแนวอสุราจะปรับเปลี่ยนไปตามความเหมาะสมต่อผู้มาเยือนยกเว้นเขตแนวที่สามที่คงสภาพเดิมไว้จนกว่าใครที่ไปเยือนจะทำให้มันเปลี่ยนแปลง
"เราก็เห็นเป็นเช่นนั้น...เรื่องที่พวกเราจะต้องจัดการต่อเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ที่พระเทวาวิษุวัตต้องการกำจัดเกราะกายสิทธิ์และสังวาลย์มณีก็เพื่ิอทำการใหญ่ นี่ต้องเกี่ยวข้องกับพระเทวราชาเพราะเมื่อสิบปีก่อนหน้าที่ช่วงชิงไม่สำเร็จด้วยพระบารมีของพระอินทร์ทรงห้ามการกระทำครั้งนั้นไว้ " เธอเข้าเรื่องสำคัญต่อเพราะนี่ไม่ใช่แค่ความขัดแย้งในอดีตของศรุตเทพแต่เพียงผู้เดียวอีกต่อไปแล้ว
"คราวนี้ไม่ได้ครอบครองก็คิดทำลายแทน อาจเป็นเพราะมีเกราะเหล็กกับสังวาลย์​ศิลาแล้ว  แต่ก่อนจะรวมพลังสู้กันก็ลวงให้พวกเราใช้พลังต่อสู้กันเอง นั่นก็เพื่อที่จะทำลายได้ง่ายขึ้นสินะ  เป็นไปได้ว่าถ้าอาวุธของทั้งสองคนนั้นต่อสู้ทำลายกันเองก็คงมีผลไม่ต่างจากของพวกเราเท่าไหร่นัก" เขา​วิเคราะห์​จากเหตุการณ์​ที่ผ่านมาดู ถ้าคนพวกนั้นไม่ทำแบบนั้นทั้งคู่คงไม่ต้องเดินทางมาถึงที่นี่หรอก
"ก็เป็นไปได้  แต่ก่อนหน้านั้นที่จะทำอะไรต่อไปเราเห็นสมควรว่าจะต้องไปแก้อักษรสาปจากแม่มดเกลียวทองเสียก่อน"ก็จริงอย่างที่ว่านั่นเป็นเรื่องที่ควรจัดการก่อนเป็นอันดับแรกเพราะถือว่านั่นคืออุปสรรค  จะทำอะไรก็ลำบาก  หากใช้ฤทธิ์​เดชขึ้นมาอีกฝ่ายรู้ว่ายังไม่สิ้นคงจะดิ้นด้นค้นหาตามทำลายเป็นแน่
"ใช่แล้วเราควรจะแก้อักษรสาปเสียก่อนทำการอันใด ต้องเดินทางไปยังเมืองรัตนบุรีต่อ ทางที่ดีเราควรที่จะไปขอบพระทัยท้าววิชชุนาคราชก่อนแล้วจึงเดินทางต่อไป" เขาออกความเห็นเพราะคนที่บอกให้รู้เรื่องพวกนี้แล้วทำให้พวกเขากลับมาคือพญานาคแห่งบาดาลใต้
"เพลานี้ก็ดึกมากแล้ว  อีกทั้งต่างก็ใช้กำลังต่อสู้มาพอสมควร พวกเราพักกันก่อนดีกว่าวันถัดไปจะได้มาแรงเดินทาง" ว่าแล้วเธอก็หาที่พักว่างๆท่ามกลางทุ่งดอกไม้นั่นเสียแล้วจึงนั่งสมาธิตามแบบที่ตนถนัด และนับว่าเป็นการพักผ่อนที่ผ่อนคลายที่สุด  เขาที่เห็นสหายทำเช่นนั้นก็นั่งสมาธิเป็นเพื่อนไม่ต่างกัน

รุ่งเช้าแสงแห่งอรุณก็ได้สาดส่องลงมาทำให้ผู้สวมใส่สิ่งวิเศษ​ทั้งสองผลัดเปลี่ยนเวียนมาเป็นพระโอรสและและพระธิดาแห่งวันศุกร์แทน
"เรารู้นะว่าเจ้าตื่นแล้ว  รีบลุกขึ้นมาจะได้ออกเดินทาง"ประกายพฤกษ์​เรียกอีกคนที่เอาแต่นั่งสมาธิแน่นิ่งเหมือนไม่ตื่นจากภวังค์​ พร้อมที่จะเดินทางต่อเต็มที่แล้ว "ให้เราพักอีกสักหน่อยสิ เรานะปวดตัวมากเลยไม่รู้ว่าจินดานั่งสมาธิท่าไหนถึงได้้ปวดตัวขนาดนี้"ศุภลักษณ์​เปลี่ยนท่าพักให้สบายขึ้นก็เพียงแค่จะท่วงเวลาให้อยู่ท่ามกลางดอกไม้แม้จะชั่วคราวก็ตาม
"มัวแต่ชักช้าแล้วเมื่อไหร่จะได้แก้อักษรสาปล่ะ  เจ้าอย่าเอาแต่ขี้เกียจนักสิ  ลุกขึ้นมาเลย! "เธอเท้าสะเอวยืนจ้องหน้ามองคนที่นั่งอยู่อย่างนั้น เขาก็ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือส่งไปให้อีกคน
"ช่วยดึงเราขึ้นไปหน่อยสิ" เขามองอย่างนั้นก็ชอบกลอยู่
"คนอะไรลุกเองก็ไม่เป็น" เธอบ่นพลางยื่นมือไปรับดึงขึ้นมา อีกคนก็ถือจังหวะลุกแล้วทำเป็นทรงตัวไม่อยู่เพื่อจะถือโอกาสใกล้ชิด  แต่เธอรู้ทันก็เหวี่ยงอีกคนแล้วปล่อยมือถีบส่งเสียเพื่อแกล้งกลับ
"โอ๊ย!! เราเจ็บนะ" เขาท้วงการกระทำของเธอเมื่อครู่ ดูท่าจะลงแรงไม่น้อย  ได้ปวดตัวจริงๆก็คราวนี้
"ก็เห็นว่าอยากปวดตัวพอดีนี่  อีกอย่างเราก็รู้ว่าเจ้าน่ะจอมฉวยโอกาส  เมื่อครู่เราไม่ทำให้บาดเจ็บมากก็ดีเท่าไหร่แล้ว คราวนี้จะไปได้หรือยัง" เธอทวงต่อไม่รอให้อีกคนโต้ตอบมากนัก
"เกลียดนักคนรู้ทัน.. "เขาพึมพำกับตนเองก่อนจะตอบอีกคน
"ไปกันเถอะ เราตามใจเจ้าเลยนะ"เขาลุกขึ้นเตรียมพร้อมออกเดินทาง  แต่ก่อนจะได้ทำอะไรเสียงตีแม่น้ำลูกใหญ่ของปลาก็ได้มารบกวนพวกเขาเข้าให้แล้ว
"อะไรกัน!! ขากลับยังจะมีอุปสรรคอีกเหรอ" โอรสวันศุุกร์ที่โดนน้ำสาดกระเซ็นมาโดนตัวรู้สึกว่านี่ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลยขามาก็เสี่ยงอันตรายแล้วยังจะถูกทดสอบอะไรอีกงั้นหรือ
"เรามีหน้าที่  รับมือให้ดีก็พอแล้ว"ปลามีเขาตัวยักษ์​นั้นกล่าวขึ้นหลังจากคำของคนได้จบลง จากนั้นก็ใช้หางตวัดเอาน้ำมาสาดใส่เสียรุนแรงทำเอาคนสองคนทรงตัวบนเกาะดอกไม้แทบไม่อยู่ แต่หาได้มีเพียงน้ำที่เข้ามาโจมตีไม่ เพียงครู่เดียวเกาะดอกไม้เหล่านั้นก็นพลิกฝั่งกลับด้านล่างขึ้นมาบนปรากฏ​เป็นหนามแหลมหมายจะแทงบาทาให้บาดเจ็บ  ดีที่ว่าศุภลักษณ์​เป็นคนว่องไวจึงหลบได้ทัน  จะขาดก็แต่ประกายพฤกษ์​ที่กำลังจะหลบได้ต้องมาผิดจังหวะเพราะคนที่ล่วงหน้าไปก่อน
"ให้ตายเถอะ!! " ธิดาวันศุกร์ยังนึกได้ในยามคับขัน ทำให้เธอใช้อาวุธดาบที่ย่อส่วนติดตัวตนมาใช้ปักเป็นฐานยืนบนด้ามให้สูงจากหนามร้ายได้ระยะหนึ่งซึ่งก็พอที่จะทำให้อีกคนเข้ามารับทัน บุรุษขี่เมฆาลอยฟ้ามาพลางส่งมือดึงให้หญิงสาวขึ้นไปยังที่มั่นคง
"ขอบใจ.. "เธอกล่าวตอบรับการกระทำที่แสนจะมีน้ำใจของอีกคน  แต่ไม่ทันไรปลาตัวใหญ่ก็ได้กระโดดจากน้ำมาหมายจะใช้เขาที่ตัวทิ่มแทงคนทั้งสองบนเมฆนั่น  "เกือบไปแล้วไหมล่ะ"เขาเอ่ยขึ้นหลังที่หลบได้ เป็นอีกครั้งที่รอดได้อย่างหวุดหวิด​แต่ก็เกือบทำให้ทั้งสองเกือบตกจากเมฆลอยฟ้าแล้วไม่ได้ด้ายสีเลื่อมประภัสสร​ที่มีความแข็งแรงมากพันข้อมือขึงดึงกันและกันไว้
"เจ้าเอาด้ายมาพันเชื่อมกับเราไว้ทำไมกัน! "พระธิดาเธอท้วง มันจะเคลื่อนไหวได้ลำบากน่ะสิ คนนึงข้างพันซ้ายคนนึงพันข้างขวาชุลมุนขึ้นมาล่ะแย่แน่
"อย่าเพิ่งว่าเราเลย  ตอนนี้ต้องร่วมมือกันก่อน "จะทำยังไงก็ตัวไม่สามารถ​ห่างกันได้อย่างนี้
"อย่ามัวแต่สนใจอย่างอื่นสิ "ศฤงคมัสยาเตือนก่อนจะโจมตีขั้นถัดไป  ก็ถือว่าดีกว่าด่านก่อนๆที่ไม่ได้เตือนอะไรมุ่งจะโจมตีอย่างเดียว  ด้วยหางที่ตวัดอย่างรวดเร็วหลังคำกล่าวจบ เกาะพื้นหนามเหล่านั้นก็รวมตัวเป็นวัตถุทรงกลมแหลมกลมซัดใส่ทั้งสองช่างง่ายดายราวกับว่ามันคือลูกตะกร้อ​ที่เอาไว้ใช้เล่นเพื่อความเพลิดเพลินอย่างนั้น แต่ว่าคนที่โดนไม่สนุกด้วยน่ะสิ
"พวกเราแยกกันเถอะ" เขากล่าวกับอีกคน ถึงแม้จะไม่เข้าใจนักแต่เธอก็วิ่งแยกไปคนละทางกับเขาเพราะไม่มีเวลามาคิดแล้ว
"อย่างนี้นี่เอง"เธอที่วิ่งออกห่างได้รู้ว่าแท้จริงแล้วด้ายนี่มีความยืดหยุ่นไม่ได้ตึงขึงไว้กับที่แม้จะผูกกันอยู่นี่เอง  ลูกหนามใหญ่ได้เข้าตรงกลางระหว่างทั้งคู่ไปโดนกับด้ายนั่น  น่าแปลกนักว่าแทนที่เนื้อผิวด้ายจะนุ่มนวลเหมือนที่อยู่บนข้อมือคนแต่กลับคมบาดลูกหนามยักษ์เสียขาดเป็นครึ่งซีก  ไม่ต้องรอให้ชักช้า  คราวนี้ประกายพฤกษ์​รู้ว่าต้องทำอย่างไรก็วิ่งเอาดาบทำเป็นหมายจะเข้าทิ่มที่ลำตัวของปลาใหญ่  อีกฝ่ายเห็นดังนั้นก็ได้ใช้ครีบมากันโดยที่ศุภลักษณ์​ก็ใช้ความไวเข้าพันรอบตัวปลาเสียให้วุ่นโดยยังไม่ให้โดนผิวกาย  ธิดาเมืองรัตนบุรีได้ทีหลบการตอบโต้ก็เข้าร่วมกันพันด้ายไปด้วย ผู้ถูกพันด้ายก็รู้ได้แต่สายเกินเพียงไม่กี่พริบตาด้ายก็รายล้อม​รอบตัวเขาจนจะประชิดผิวกายให้ระคายเคืองอยู่แล้ว
"ยอมแพ้เถอะน่าถ้าไม่อยากเป็นปลาถูกหั่น "โอรสเมืองคีรีมาศกล่าวตามแบบฉบับคนติดการยั่วโทสะอีกฝ่าย
"ทำไมเราจะต้องยอม "ทายาทปลาที่ว่าครั้งนึงเคยลากเรือเมื่อคราวน้ำท่วมใหญ่น่ะหรือจะยอมแพ้ง่ายๆถึงตัวจะขยับไม่ได้ก็ตามที เจ้าของร่างที่ครึ่งหนึ่งของกายอยู่ใต้น้ำได้ตั้งจิตแน่วแน่ส่งพลังไปยังเขาที่ตั้งบนหน้าผากของตนก่อเกิดลำแสงที่ผ่าสายฟ้าไปด้านบน
นั่นเป็นการเรียกฝนกรดให้ตกลงมาหมายจะทำลายชีวิตตนไปพร้อมกับศัตรู
"พวกเราก็ตายไปด้วยกันนี่ล่ะ" ปลายักษ์​เจ้ากล่าวพลางคิดว่าได้ทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่แล้ว  ทั้งสองไม่ทางเลือกจำเป็นต้องดึงด้ายตึงขึงให้ร่างกายเจ้าของฝนกรดได้รับบาดแผลลึกจนโลหิตหลั่งไหลเป็นสีเลื่อมพรายโดยพยายามไม่ให้ร่างกายขาดสะบั้นในทีเดียวนั่นส่งผลให้อีกฝ่ายทนพิษบาดแผลไม่ไหวจนสลบแน่นิ่งก่อนที่จะพากันลงยังใต้แม่น้ำไป  โชคยังดีที่ฝนกรดที่ตกลงมานั้นยังไม่มากพอจะกลบฤทธิ์ความเย็นใต้แม่น้ำใหญ่ได้ ทั้งสองส่งสัญญาณให้กันเป็นอันรู้ว่าปลดปล่อยปลาตัวนี้ไปก่อนแล้วรับมือกับฝนกรดที่กำลังเพิ่มความเข้มข้นในแม่น้ำนี่จะดีกว่า  เมื่อตกลงกันอย่างนั้นแล้ว ศุภลักษณ์​ก็ได้ว่ายไปเหนือน้ำใช้พลังจากสังวาลย์​มณีสร้างรัศมีกั้นชั่วคราวไว้ก่อนจริงๆก็ไม่เชิงว่ากั้นมิดปิดอันใด  มันเพียงช่วยให้อนุภาคของเม็ดฝนเล็กลงก็เท่านั้น ที่นี้ก็ยังได้รับบาดเจ็บน้อยลงแต่ก็เหมือนเข็มเล็กตกลงมากระทบสู่เนื้อให้มีเลือดซิบๆ
"หากเรายังมีวาสนาผดุงซึ่งความเป็นธรรมอยู่  ขอให้จิตเราตั้งมั่นพอที่จะกั้นฝนกรดนี้ด้วยเถิด" ว่าแล้วลำแสงสีครามก็ได้เปล่งแสงไปทั่วฟ้าด้านบนจนรัศมีแข็งแรงพอให้ฝนกรดสะท้อนกลับออกไปแต่ทว่าฝนกรดเหล่านั้นมันจะไปทำลายขอบกั้นเขตที่สองจนเห็นช่องว่างสู่แนวเขตที่หนึ่งกับสามเสียแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเขตแนวอสุราคงจะหลอมรวมกันจนเหลือเพียงหนึ่งเดียวเสียกระมัง
"หากความจำของเรานั้นไม่ผิดเพี้ยนไปจากเดิม  ที่แห่งกำลังกลับด้านอยู่ฉะนั้นวิธีที่จะทำได้คือใช้ฝนช่วยดับฝน" เมื่อคิดในใจได้เช่นนั้นประกายพฤกษ์​ก็ได้ใช้พลังจากเกราะกายสิทธิ์​เรียกเอาแม่น้ำที่ตนกำลังดำอยู่ตอนนี้นั้นให้กลายเป็นฝนโดยทันที แน่นอนว่าเมื่อทำอย่างนั้นแล้วน้ำไม่ได้ตกลงสู่ด้านล่างแต่ได้ย้อนกลับไปขึ้นสู่ด้านบนแทน  เวลาผ่านไปนอกจากจะช่วยให้ฝนกรดหยุดตกแล้วยังช่วยให้ร่องรอยที่ขาดจากกันของเขตแนวทั้งสามกลับมาสมบูรณ์​ดังเดิม
"เป็นยังไงบ้าง" ผู้เป็นสตรีได้เข้าไปดูอาการสหายที่ผูกด้ายเลื่อมประภัสสรด้วยกันนั้นดู เพราะตอนนั้นเห็นมีเลือดไหลออกจากกายอยู่เนืองๆ
"ไม่เป็นไร  ขอบใจที่เป็นห่วงเรานะ" อาการของบุรุษผู้นี้ดีขึ้นจากฝนของเธอนั่นล่ะแต่ก็อดไม่ได้ที่จะส่งรอยยิ้มที่เอ็นดูกลับไปด้วยเพราะรู้ว่าอีกคนห่วงตนหาใช่เพียงถามเพื่อเป็นมารยาทของคนร่วมทางไม่
"ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว.. แต่ว่าศฤงคมัสยาล่ะหายไปไหนแล้ว" เพราะไม่ทันสังเกตเลยคลาดสายตาไปชั่วขณะ  ตอนนี้ปลาร่างยักษ์​ได้หายไปเสียแล้วสิ
"เราเกือบที่จะทำเรื่องใหญ่เข้าให้แล้ว" อยู่ดีๆก็มีเทพบุตร​เดินออกมาได้อย่างสะดวกไม่มีแม้กระทั่งบาดแผลใด จากคำพูดก็คงไม่ต้องเดาว่าเขาก็คือศัตรูที่ต่อสู้กัยเมื่อครู่นี้
" เราต้องขออภัยพวกท่านด้วย  เราเพียงกระทำตามหน้าที่ ด้วยหน้าที่นี้เราได้รับพรมาข้อหนึ่งว่าหากจวนตัวแล้วให้ใช้พลังทำให้เกิดฝนกรดแล้วที่แห่งนี้เป็นศิลาทั้งหมด.." เขาเริ่มเล่าเรื่องที่ว่านั่นมันเป็นเหตุผลที่เขาจะต้องใช้ขั้นสุดท้ายมาบอกกล่าว
"พอที่แห่งนี้เชื่อมต่อกันและเป็นศิลาทั้งก็จะสามารถ​ตัดขาดแดนอสุรากับแดนมนุษย์​ไปอีกหมื่นปีเพราะใครก็ตามที่ผ่านที่แห่งนี้ไปก็จะไม่ใช่การผจญภยันตราย​แต่เป็นการถูกสาปให้เป็นหินแทน" วิธีนั้นก็นับว่าน่าใช้ในการกั้นเขตดีอยู่แต่ว่ามันจะไม่โหดร้ายเกินไปหน่อยหรือ
"แต่ท่านก็เกือบจะทำให้มันเป็นจริงแล้ว  เพียงแค่ตนเองจะถูกทำให้ฉีกขาดถึงกับต้องใช้วิธีนี้" โอรสเธอกล่าวเมื่อได้ยินเช่นนั้น  มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าถึงขนาดนี้เลยนี่นา
" เราคิดว่ามันจะดีที่สุดน่ะสิเพราะด้ายนั่นพระมหาดาบสสุรดิษได้เคยใช้ในการข้ามไปถึงยังแดนอสุราแล้วมาที่มนุษยโลกอย่างง่ายดาย หากผู้ใดได้ใช้มันอีกก็คงจะวุ่นวายไม่น้อยแน่ แต่ก็ดีแล้วที่เป็นท่านทั้งสอง ต่อจากนี้ชะตาของมนุษยโลกและสวรรคโลก​คงจะวางใจให้พวกท่านดูแลได้" เขามองทั้งสองอย่างถี่ถ้วนอีกครั้งคราวนี้สีหน้าดูวางใจและเป็นมิตรมากเสมือนกับว่าเขานั้นนรู้จักทั้งสองมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
"พวกเราเคยเจอกันมาก่อนหรือไม่" ธิดาเธอถามขึ้นมา  ขนาดสุริยะยังเคยมีอดีตชาติ คนที่เหลือที่มาร่วมชะตาเดียวกันก็คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่
" แน่นอนว่าใช่  ตอนแรกเราก็จำมิได้หรอกตอนที่ต่อสู้กัน  เมื่อยุติมาพิจดูก็รู้แจ้ง ก่อนหน้าที่จะจุติท่านก็คือพระราชธิดาแห่งพระศุกร์ และท่านก็คือพระโอรสแห่งพระอัศวิน" เขายิ้มอย่างพึงพอใจที่ได้บอกไปเพราะทั้งคู่ก็เคยเป็นสหายของตนอยู่ ถึงจะไม่ได้อยู่ในสถานะเดิมแต่ก็เล็งเห็นความตั้งใจที่จะรักษาความสงบของโลกนี้ไว้ไม่เปลี่ยนแปลง
" จริงเหรอ แล้วเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ ทำไมพวกเราถึงมาอยู่ในร่างเดียวกันหลายๆคน อีกทั้งยัง..." เขาได้ยินแบบนั้นก็จะถามคำถามอีก เทพบุตรยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้พอก่อนจะดีกว่าเพราะนี่ก็กินเวลามาพอสมควรแล้ว
"เรื่องนี้คงเหลือเพลาเล่าไม่มากเท่าใด ทางที่ดีที่สุดก็คือให้สูดกลิ่นดอกปาริชาติ​ที่จะเบ่งบานบนสวรรค์​ในวันที่ต่อหลังจากคืนเดือนดับ พวกท่านก็จะจำได้เอง เราก็ต้องไปเฝ้าพระวิษณุ​กรรมด้วยหลังจากนี้ เนื่องจากพวกท่านได้ช่วยไม่ให้ที่แห่งนี้กลายเป็นแดนศิลาก็ขอให้เดินทางต่อไปโดยไม่ต้องเผชิญอันตรายใดอีกเลย"ว่าแล้วเขาก็เปิดทางให้ทั้งสองเล็งเห็นมหาสมุทร​สีชาดด้านนอกที่ตัดกับพื้นที่ท้องฟ้าที่กลับหัวกับน้ำสีวรรณะเย็น
" เราขอบใจท่านมาก" ประกายพฤกษ์​กล่าวต่อเทวาผู้รักษาเพราะอย่างน้อยเธอก็พอได้รู้อดีตชาติของตนจากเขา
" เราก็เช่นกัน  ก่อนจากกันขอทราบนามท่านได้หรือไม่" เขาถามสหายในอดีตชาติก่อนจะจากกัน
"เราคือชยทัต" จบคำตอบของอีกฝ่าย  ก็เหมือนลมพัดให้ทั้งสองคนหายไปทั้งๆที่อยู่ใต้ทะเล รู้ตัวอีกทีก็ได้มาถึงยังวังบาดาลใต้เสียแล้ว


ออฟไลน์ จักรกรด

  • *
  • 145
  • 0
  • เพศ: หญิง
  • จิตฺเตน นียติ โลโก. โลกอันจิตย่อมนำไป .
    • อีเมล์
Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
« ตอบกลับ #80 เมื่อ: มกราคม 14, 2021, 08:00:20 PM »
"มากันแล้วเหรอ" วิชชุนาคราชกล่าวเมื่อพบว่าคนทั้งสองได้กลับมาจากเขตแนวอสุราสู่ท้องพระโรงบาดาลใต้โดยได้สวมสิ่งวิเศษดังเดิมแล้ว
"พระเจ้าค่ะ ต้องใช้เพลาเสียหลายวันจึงได้คืนมาดังเดิม แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจใช้งานได้ทันทีตราบใดที่ยังมีอักษรสาปอยู่กับตัวเช่นนี้ได้พระเจ้าค่ะ"ลำพังเท่านี้ก็ไม่สบายเสียแย่แล้วยังจะด้ายเลื่อมประภัสสรมาคล้องทั้งคู่ไว้ไม่ให้ห่างไปไหนก็สร้างความลำบากใจแก่สตรีที่อยู่เคียงข้างกับบุรุษอีกคนมิใช่น้อยจนเจ้าแห่งเหล่านาคสังเกตเห็นได้
"เหตุใดจึงผูกด้ายไว้ด้วยกันเช่นนั้น ไม่นำออกเสียเล่าท่าน"เขาหันหน้าถามคนที่ดูท่าอึดอัดทั้งๆที่มันไม่น่าใช่เรื่องยากอะไร
"ด้ายนี้เกิดขึ้นได้เพราะมนตราของศุภลักษณ์เพคะ เขาเป็นคนสร้างขึ้นมาแต่ไม่รู้วิธีแก้จนถึงตอนนี้ก็ยังแยกกันไม่ได้เลยเพคะ"ถึงแม้ด้ายเส้นนี้จะยืดหยุ่นเรื่องความยาวก็จริงอยู่แต่จะให้ผูกกันตลอดชีวิตก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ
"เป็นความผิดของหลานเองพระเจ้าค่ะที่เอาแต่เรียนผูกไม่ยอมเรียนแก้เลยทำให้ไม่สามารถคลายมนตราได้"เขากล่าวเช่นนั้นด้วยสีหน้าที่เป็นกังกลแต่ก็ลอบกระหยิ่มยิ้มอยู่ภายในใจอย่างนั้น
"เอาเถิด ถึงจะแก้ไขไม่ได้ก็จริงอยู่แต่บางทีคนในวันถัดไปก็คงหาวิธีแก้ได้แน่ พวกท่านก็อย่าได้กังวลเสียให้มากเลย" ก็จริงดังว่าถึงวันนี้จะแก้ไขไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนวันอื่นจะไม่สามารถแก้ไขได้นี่
"เพคะ เรื่องนี้หากไม่มากเกินไปหม่อมฉันก็พอจะรอได้ หากแต่ว่ามีเรื่องสำคัญอีกมากที่ต้องจัดการ หากทรงมิว่าอะไร พวกหม่อมฉันก็จะขอทูลลาไปก่อนเพคะ"  เธอกล่าวเพราะไม่ต้องการให้เวลาล่วงเลยไปนานกว่านี้อีก
"ใจจริงเราก็อยากให้พักที่นี่เสียก่อน  แต่ก็มีเรื่องหลายอย่างที่รั้งรอไม่ได้เช่นกัน ขอให้พวกท่านรักษาตัวกันดีๆอย่าได้มีโพยภัยใดๆทำอันตรายต่อพวกท่านได้เลย"
"ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ/เพคะ"ทั้งคู่กล่าวพร้อมกันจากนั้นจึงได้ออกเดินทางโดยทันที
............................
เทพบุตรชยทัตได้เดินทางเข้าเฝ้าพระวิษณุกรรมเพื่อทูลเกี่ยวกับเขตแนวอสุรา จะได้หาทางแก้ไขต่อไป
"ครานี้สิ่งวิเศษทั้งสองได้กลับมาอีกครั้งหนึ่งแล้วเนื่องด้วยฤทธิ์แห่งปราพกสินธุ์  เขตแนวอสุราที่สามตอนนี้ก็เหน็บหนาวกว่าเดิมมากด้วยฤทธิ์เย็นของอินทุสินธุ์ เดิมทีเราคิดว่าน่าจะปล่อยให้ที่นั้นล้วนแต่มีความแข็งและเย็นไปรอบบริเวณ แต่ว่าหากปล่อยให้เป็นเช่นนั้นอาจถูกทำลายจากเหล่าอสุราเสียได้ง่าย"พระวิษณุกรรมตรัสเมื่อได้ทราบความเป็นไปตามคำทูลของเทวดาผู้รักษาที่แห่งนั้น ด้วยความไว้วางพระทัยของพระเทวราชาพระองค์ก่อนจึงให้เทพท่านนั้นช่วยดูแลสถานที่แห่งนี้ คอยปรับเปลี่ยนโครงสร้างอยู่เสมอเพื่อรับมือกับการมาเยือนของสิ่งต่างๆ
"เช่นนั้นแล้วเราจะให้ที่แห่งนั้นเป็นมหาสมุทรอีกขั้นหนึ่ง มีนามว่าสีตกุณฑ์" เมื่อกล่าวเสร็จก็ดลบันดาลให้เขตแนวอสุราที่สามนั้นแปรเปลี่ยนจากพื้นน้ำแข็งธรรมดากลายเป็นมหาสมุทรที่กลางวันนั้นจะมีความร้อนแรงราวกับไฟแผดเผา ส่วนกลางคืนนั้นให้มีความเย็นยะเยือกมิให้ผู้ใดผ่านที่แห่งนี้ไปได้อีกจนกว่าจะครบวาระการแบ่งดินแดนกั้นของพระอินทร์ท่าน ส่วนตัวของชยทัตนั้นก็มิคิดขอต่อรองไปทำหน้าที่อื่นจึงได้เดินทางไปรักษาดินแดนดังเดิม แต่ก็ไม่แน่ว่าเขาคงจะได้มีโอกาสช่วยเหลืออดีตสหายรักก็เป็นได้
....................
"พวกเราไปที่เมืองคีรีมาศกันก่อนดีกว่าเจ้าจะได้รู้ความเป็นไปของบ้านเมืองของเจ้าด้วย"ประกายพฤกษ์กล่าวเมื่อมาถึงริมหาดแล้ว
"มันจะไม่เสียเพลาจนเกินไปหรอกเหรอ"เขาค่อนข้างจะแปลกใจเสียหน่อยที่อีกคนยอมแวะสถานที่อื่นไม่เอาแต่จะมุ่งไปทำภารกิจอย่างเดียว
"เอาเถอะ เมื่อครั้งที่พวกเรายังเด็กก็ยังช่วยเหลืออยู่ที่บ้านเมืองของเราตั้งนานคราวนี้จะไปดูความเป็นไปเสียหน่อยก็ไม่น่าเสียหายอะไร หากไม่มีอักษรสาปที่ตัวของพวกเราล่ะก็เราก็จะช่วยเหลือเจ้ากลับเช่นกัน" ความมีน้ำใจของอีกฝ่ายทำให้โอรสวันศุกร์นั้นอดยิ้มมิได้ซ้ำยิ่งยิ้มไปอีกเมื่อได้ยินคำว่าพวกเราแบบนี้
"ขอบใจเจ้ามาก เอาเป็นว่าพวกเราไปกับเมฆาเลยเสียดีกว่าจะได้ไปถึงไวยิ่งขึ้น"ว่าแล้วก็ตั้งมือพนมเพื่อที่จะเรียกเมฆให้ลอยมา แต่ก็ต้องยั้งเมื่ออีกคนนั้นได้จับมือตนให้ลงจากการพนมเพื่อคัดค้าน
"เดี๋ยวก่อนสิื เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าไม่ใช้มนตราคาถาได้ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นการเรียกให้พวกนั้นมาตามพวกเราเจอ"เธอกล่าวขณะที่ยังจับมืออีกคนอยู่อย่างลืมตัว
"เอาเป็นว่าเราพอมีวิธี แต่ตอนนี้ต้องขอบางอย่างจากเจ้าเสียก่อน" เขามองมาที่เธอและมือข้างนั้นที่จับเขาไว้ เธอผละตัวออกอย่างเร็วก่อนที่จะถามไป

"อะไรล่ะ"ธานินทร์ที่ตามปัจจามาริมหาดนั้นก็ค่อนข้างไม่สบอารมณ์ที่อักสรสาปนั้นเอาแต่เรียกพวกเขาไม่หยุดหย่อน
"คราวนี้เจ้าก็รู้สึกไม่ต่างจากเรา ที่แห่งนี้เป็นอีกครั้งที่เรียกพวกเรามา บางทีอาจไม่ใช่ความผิดพลาดแต่อาจเป็นความจริงที่สองคนนั้นยังไม่ตาย ถ้าหากว่าไม่เห็นศพก็ไม่อาจวางใจได้อีกต่อไปแล้ว" เขากล่าวถูกต้อง เมื่อไม่เห็นร่างอันไร้วิญญาณของทั้งสองก็ไม่อาจแน่ใจได้อีกต่อไป มันไปไม่ได้หรอกที่มนตราของเกลียวทองนั้นจะผิดพลาดได้ถึงขนาดนี้
"ตามใจเจ้าเถอะ เร่งหาจะได้เร่งกลับ"เขานั้นไม่อยากเถียงอีกฝ่ายให้เสียเวลา ตัวก็ต้องรวบรวมกำลังพลตามพระบัญชายังต้องมาพะวงกับเรื่องของเจ้าของสิ่งวิเศษที่ถูกทำลายไปแล้วอีก มันช่างกวนใจเสียจริง
ทั้งคู่ท่องมนต์หาสิ่งี่อยู่ในทะเล สุดท้ายก็พบศพของคนทั้งสองด้วยสภาพที่ไม่น่าดูเท่าไหร่นัก
"นี่ไงเล่าคือศพของทั้งสองทีนี้เจ้าจะ...นี่เจ้าทำอะไร"ยังไม่ทันขาดคำ คนี่ดูจริงจังอย่างปัจจาก็เข้าพลิกศพที่ขึ้นอืดนั้น
"ทำแบบนั้นทำไมกัน น่าขยะแขยงจะตายไป"ธานินทร์มองดูผู้ร่วมงานเข้าจับศพที่ขึ้นอืดได้อย่างไม่มีทีท่ารังเกียจเช่นนั้นก็อดที่จะขนลุกไม่ได้
"เราอยากแน่ใจว่าทั้งคู่คือสองคนนั้นจริงๆ"สุดท้ายแล้วเขาก็พบร่องลอยอักษร{ว}ที่ปรากฏด้านหลังของทั้งคู่ เท่านี้ก็พอจะวางใจได้บ้าง  เพียงครู่เดียวเขาก็ร่ายคาถาฝังร่างทั้งคู่ไว้ให้เป็นที่ทาง
"ไม่เห็นจำเป็นจะต้องมีน้ำใจขนาดนั้นเลยนี่"เขาเห็นสหายทำเช่นนั้นก็ไม่เห็นจะเข้าใจเลยสักนิด
"เพราะไม่ได้ตายดีก็อาจจะมีห่วงก็ได้เจ้าก็รู้ว่าวิญญาณที่ถูกผูกด้วยมนต์ดำจะไม่สามารถมองเห็น บางทีที่พวกเราต้องมาที่นี่เพราะความทรมานของสองคนนี้ก็เป็นได้ อย่างน้อยๆก็ให้ทั้งสองคลายกังวลหมดทุกข์โศก ไม่ต้องรบกวนพวกเราอีก"เขาพูดเสียอีกคนหันหน้าหนีด้วยความไม่พอใจที่ไม่อาจขัดใจได้
"ถ้าย้อนเพลาไปได้เราจะไม่รับหน้าที่รับรู้ที่อยู่ของสองคนนี้หรอก นี่ก็เสียเพลามามากแล้วเราว่าพวกเราไปกันดีกว่า"ว่าแล้วทั้งคู่ก็หายตัวไปทำภารกิจต่อไป
........
"เจ้าว่ายังไงนะ พระเทวาวิษุวัติมีพระบัญชาให้ไปเขตแนวอสุราเพื่อรักษาเกราะเหล็กกับสังวาลย์ศิลา!!!"อัคนินทวนสิ่งที่ได้ยินจากบดิศรด้วยเสียงที่รับรู้ได้ถึงความไม่พอใจ แค่ทำให้ศัตรูของตนถึงแก่ความตายมันก็น่าจะเพียงพอแล้ว ยังจะต้องการอะไรจากเขาอีก
"ใช่  ห้ามขัดพระบัญชาโดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเราก็ไม่รับรองเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้" จากคำพูดจาของอีกคนนั้นไม่ค่อยจะดับความโมโหในใจเขาเสียเท่าไหร่นัก แต่ถ้าทำอะไรบุ่มบ่ามไปมันก็ไม่เกิดผลดีต่อเขาเป็นแน่ ก็ได้แต่ข่มใจรักษาเสียงพูดให้เป็นปกติ
"แล้วจะไปเมื่อไหร่ล่ะ" เขาถามเพื่อจะได้พอมีเวลาเตรียมตัวอีกสักหน่อย อย่างน้อยๆก็พอที่จะไม่ต้องทนคิกถึงหญิงที่ตนรักมากเกินไป
"วันนี้ มีอะไรก็เร่งจัดการให้เรียบร้อยอย่าได้ชักช้าเสียจนเสียเพลา" เขาพูดไปก็พลางมองแมวสีสวาทที่ผ่านหน้าไป แต่เจ้าของก็ไม่ได้สนใจเพราะมัวแต่สนใจในระยะเวลาที่น้อยเกินไปขนาดนั้น
"......ก็ได้ อีกสักพักเดินทางกันไปได้เลย" ถึงแม้จะไม่พอใจแต่ไม่อาจขัดใจได้จึงเร่งไปแจ้งมารดาในร่างองค์เหนือหัวเจ้าเมืองให้ทราบโดยทันที
............
อัญญานีครุ่นคิดถึงเรื่องในฝันเมื่อคืนวานที่อุทยานในเกาะแก้วผลึกนั้นช่างเสมือนกับความจริงเสียเหลือเกิน     ราวกับว่าตนนั้นเป็นคนคนเดียวกับอินทราณีตามที่เทพท่่านกล่าวอ้างก็ไม่ปาน
"อินทราณี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เราจะไม่ยอมพลัดพรากจากเจ้า จะรักเจ้าเพียงผู้เดียวเช่นนี้ตลอดไป" คำกล่าวอันเต็มไปด้วยความรักที่แสนซาบซึ้งเสียจับใจผ่านน้ำเสียงและแววตาที่เทพวิษุวัติมีต่อนาง ไม่นานนักเหตุการณ์ก็เปลี่ยนไปเล่าถึงตอนที่พบกับพระเทวีเบญจเนตรเป็นครั้งแรก พระนางนั้นมีความงามอันเป็นเบญจกัลยาณีอีกทั้งพระนลาฎยังมีสัญลักษณ์เป็นสีชาดหนึ่งเส้นปรากฏอยู่ เธอจำความงามไว้จับใจไม่่แปลกเลยที่จะเคียงคู่พระบารมีกับพระมหาเทวราชา  แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่เธอฉงน หากแต่ว่าเหมือนกับข้าบริวารนั้นไม่ค่อยยอมให้เธอเข้าใกล้เสียเท่าไหร่นัก เท่าที่จำในฝันได้มีอยู่วันหนึ่งที่พระนางมาพบตนด้วยพระองค์เองแล้วกล่าวว่า
"อินทราณี ท่านนั้นรู้จักเทพวิษุวัติอนุชาของเราดีกว่าเรามาก ท่านน่าจะรู้ดีว่าในตอนนี้อนุชาของเราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ชะตาที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ไม่มีอะไรแน่นอน เรานั้นมีเรื่องให้ท่านช่วย....  " สีหน้าอันเป็นกังวลนั้นเห็นได้ชัด น่าจะเป็นเหตุการณ์เดียวกับที่เทพท่านโทสะจนเป็นเหตุแห่งการพลั้งพลาดประทุษร้ายเสียกระมัง
"ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด หม่อมฉันจะสนองตามพระประสงค์เพคะ" ถึงจะฝันถึงขั้นนั้นแต่ว่าตนก็ไม่สามารถเรียกความทรงจำกลับมาได้ บางทีเรื่องที่ให้ช่วยคงเกี่ยวกับการหายไปของพระนางก็เป็นได้
"ทำไมถึงจำไม่ได้เลยนะ"เธอพึมพำกับตนเองขณะที่กำลังชมบุปผาปานมณีอยู่ เพราะอยู่ๆก็พูดออกมา เหล่านางฟ้าที่คอยดูแลก็ได้ยินเลยคิดเอาว่าอัญญานีนั้นพยายามรื้อฟื้นความจำที่มีร่วมกับพระเทวานายของตนมากกว่า
"ถึงจะหาคำตอบเรื่องนี้ไม่ได้ แต่ยังไงเรื่องที่สำคัญกับเราที่สุดในตอนนี้คือจะหนียังไงดีในคืนพรุ่งนี้"เธอลอบคิดในใจ คืนพรุ่งนี้แล้วที่จะเป็นคืนเดือนดับ ต้องคิดหาทงหนีเสียก่อนจะคิดเรื่องอื่นต่อไป

ออฟไลน์ จักรกรด

  • *
  • 145
  • 0
  • เพศ: หญิง
  • จิตฺเตน นียติ โลโก. โลกอันจิตย่อมนำไป .
    • อีเมล์
Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
« ตอบกลับ #81 เมื่อ: มกราคม 14, 2021, 08:04:03 PM »
ทางจักรกรดขอชี้แจงเรื่องการอัพเดตนิยายนะคะ จะเปลี่ยนรูปแบบการอัพเดตนิยายเป็นเดือนละ2ครั้ง คือวันที่14กับ28ของทุกเดือน เวลา20.00น.ค่ะ เริ่มอัพเดตเป็นรูปแบบนี้ตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไปค่ะ ขอบคุณ​ผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ จักรกรด

  • *
  • 145
  • 0
  • เพศ: หญิง
  • จิตฺเตน นียติ โลโก. โลกอันจิตย่อมนำไป .
    • อีเมล์
Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
« ตอบกลับ #82 เมื่อ: มกราคม 28, 2021, 02:48:55 PM »
สวัสดีคุณผู้อ่านทุกท่านค่ะ จักกรดต้องขออภัยในความไม่สะดวกในการอัพเดทนิยายรอบนี้นะคะ เนื่องจากมีปัญหาสุขภาพประกอบกับต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบกลางภาคทำให้ไม่สามารถแต่งนิยายได้มากเท่าที่ควร ดังนั้นจักรกรดจึงขออัพเดทนิยายไปรวมทบยอดกับของวันที่14ในเดือนถัดไปแทน ต้องขออภัยทุกท่านเป็นอย่างสูงด้วยค่ะ w6

ออฟไลน์ จักรกรด

  • *
  • 145
  • 0
  • เพศ: หญิง
  • จิตฺเตน นียติ โลโก. โลกอันจิตย่อมนำไป .
    • อีเมล์
Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
« ตอบกลับ #83 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 14, 2021, 06:35:36 PM »
สวัสดีค่ะ วันนี้ต้องขออภัยอีกครั้งนะคะที่ไม่สามารถอัพเดทนิยายได้ ด้วยปัญหาสุขภาพและปัญหาในด้านอื่นๆจึงต้องจัดการจัดแจงตัวเองใหม่อีกครั้งค่ะ จึงของดการอัพเดทนิยายเรื่องนี้ไปก่อนนะคะ จะกลับมาอัพเดทนิยายอีกครั้งในเดือนหน้า ต้องขออภัยที่ล่าช้าและไม่สามารถจัดการปัญหาและเวลาได้ลงตัว ขอโทษนะคะ

ออฟไลน์ จักรกรด

  • *
  • 145
  • 0
  • เพศ: หญิง
  • จิตฺเตน นียติ โลโก. โลกอันจิตย่อมนำไป .
    • อีเมล์
Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
« ตอบกลับ #84 เมื่อ: มีนาคม 14, 2021, 08:08:08 PM »
แจ้งงดอัพเดตนิยายไปก่อนนะคะ ตามเดิมที่จักรกรดเคยแจ้งว่าจะทำการอัพเดตนิยายต่อใเดือนนี้จำเป็นต้องเลื่อนไปก่อนด้วยเช่นกันค่ะเพราะไฟล์​ที่แต่งไว้เสียหายจากไวรัสในเครื่องน่ะค่ะ ประกอบกับที่ช่วงนี้จนไปถึงเดือนมิถุนายนจะไม่ว่างเลยด้วยต้องดูแลกิจกรรมของสาขา และจัดการเรื่องเรียนให้ลงตัวด้วยค่ะ จึงเรียนมาให้ท่านผู้อ่านได้ทราบว่าจะทำการงดอัพเดตนิยายไปก่อนเป็นเวลานานเลยค่ะ เท่าที่ดูตารางแล้วน่าจะลงตัวได้ที่เดือนกรกฎาคม ดังนั้นแล้วจักรกรดจึงขออัพเดตนิยายในเดือนกรกฎา​คมแทนนะคะ เพื่อจะได้เนื้อหาที่เพิ่มเติมขึ้นและสามารถ​แน่ใจได้ว่าไฟล์จะไม่เสียหายอีกค่ะ ขออภัย​ไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

ออฟไลน์ จักรกรด

  • *
  • 145
  • 0
  • เพศ: หญิง
  • จิตฺเตน นียติ โลโก. โลกอันจิตย่อมนำไป .
    • อีเมล์
Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
« ตอบกลับ #85 เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2021, 07:40:54 PM »
เวลานี้แสงตะวันดูสีจางลงเสียมากเพราะใกล้จะตกเย็นเต็มที ในถ้ำกลางป่าค่อนข้างลึกตั้งอยู่ระหว่างเมืองโกสุมพิสัยกับเมืองทิศพลได้มีการชุมนุมวางฃแผนกันอยู่ของสิ่งมีชีวิตจำนวนหนึ่ง
“ในคืนพรุ่งนี้จะเป็นคืนเดือนดับแล้ว ซึ่งนั้นก็หมายความว่าจะได้พาพระอัยกาพระอัยกี พระมเหสีรวมไปถึงเหล่าข้าราชบริพารหนีออกมาได้” หิ่งห้อยยักษ์กล่าวขึ้นมากับเหล่าพี่น้องหิ่งห้อยที่มีขนาดปกติ โดยมีเจ้าสิงโตร่วมฟังอยู่ไม่ห่าง
“แล้วแน่ใจได้ยังไงว่าคนพวกนั้นจะไม่เห็น ยิ่งมืดยิ่งเห็นหิ่งห้อยชัดเจนไม่ใช่เหรอ” ตุ๊บเท่งแย้งหลังจากที่ได้ฟังมาพอสมควร
“ก็รู้อยู่หรอกเจ้าตุ๊บเท่ง แต่มันไม่ใช่ว่าจะไม่มีวิธีนี่” เจ้าของความคิดตอบกลับ
“เพราะอย่างนี้เลยต้องจัดเตรียมแยกไว้สองถึงสามกลุ่ม ช่วยเสียกลุ่มหนึ่งที่เหลือก็คอยล่อลวงทางไป” หนึ่งในบรรดาญาติของหิ่งห้อยยักษ์กล่าวเสริม
“ความมืดน่ะมันดีแค่ไหนแล้วที่สามารถอำพรางผู้คนไปซ่อนไว้ที่ใดก่อนก็ย่อมได้ บางทีกลุ่มที่ช่วยนำพวกเขาไปซ่อนเสร็จก็มาช่วยหลอกล่อให้หลงทิศทางอีกแรงได้” เจ้าของความคิดก็กล่าวต่อให้สมบูรณ์ขึ้นอีก
“มีใครอยู่มั้ย มีใครอยู่รึเปล่า!!” เสียงเรียกดังมาจากหน้าปากถ้ำ เป็นเสียงที่คุ้นเคยแต่ไม่อาจทราบว่าเป็นใคร
“ใครน่ะ…นอกจากพวกเราแล้วก็ยังไม่มีใครรู้จักที่นี่เลยนะ” สองสหายสิงโตหิ่งห้อยกระซิบแผ่วเบาคุยกันถึงความผิดปกตินี้
“พี่หิ่งห้อย ตุ้บเท่งอยู่ที่นี่กันมั้ย” ไม่เรียกเปล่า เจ้าของเสียงก็เคลื่อนไหวให้ตนเองเข้าไปตามมทางถ้ำ แต่มันก็มืดมากจริงๆแถมบรรยากาศก็วังเวลเหลือเกิน
“หรือว่าข้าจะจำผิดถ้ำ…น่ากลัวยิ่งมืดก็ยิ่งซับซ้อน” จั๊กแหล่นพูดกับตัวเองอย่างนั้นเพราะมาตนเดียว และความเงียบในถ้ำเหล่านั้นก็ไม่ได้ทำให้เธอใจกล้าเลยสักนิด
“จั๊กแหล่น!!!” เสียงเรียกชื่อพร้อมการจับไหล่จากด้านหลังก็ทำให้ผู้ที่กลัวอยู่แล้วตกใจร้องลั่น
“ฮ่า ๆ ข้าก็นึกว่าใคร…เห็นแบบนี้ก็กลัวซะลนลานเชียวนะ” สุดหล่อได้ทีก็เอาใหญ่ หัวเราะอีกฝ่ายที่เกือบขวัญเสียอย่างชอบใจ
“โอ้ยไอ้ตุ้บเท่ง!! มาไม่ให้ซุ่มให้เสียงข้าก็ตกใจน่ะสิ” เสือสาวทุบไหล่อีกคนคืน เมื่อครู่หัวใจจะวายให้ได้อยู่แล้ว ถ้าตายไปก็จบเห่กันพอดีสิ
“ข้าเจ็บนะ ตีแรงขนาดนี้จะฆ่ากันให้ตายเลยรึไงกัน” เขาโต้ตอบการกระทำที่เกินแรงนี้มันทำให้เขาเจ็บปวดร่างกายเป็นอย่างมาก
“เอาเลยมั้ยล่ะ ข้าจะได้สงเคราะห์ให้” ทั้งคู่ตั้งท่าพร้อมตีกันสุดฤทธิ์ ถ้าไม่ได้เจ้าหิ่งห้อยยักษ์ห้ามปรามคงไม่เลิกราแน่
“พอสักทีเถอะทั้งคู่ สถานการณ์แบบนี้ยังจะมัวมาทะเลาะกันกันอยู่ได้” ก็จริงล่ะในตอนนี้ที่ไม่มีเหล่าพระโอรสพระธิดาอยู่ด้วยก็ว่าแย่แล้ว ยังคิดจะแตกสามัคคีกันเองอีก
“พี่หิ่งห้อยอยู่ด้วยก็ดีแล้ว นี่เตรียมจะทำอะไรกันเหรอจ๊ะ” เสือสาวเปลี่ยนความสนใจไปที่เหล่าหิ่งห้อยที่มาชุมนุมร่วมกันอย่างมากมายเช่นนี้
“ก็นัดแนะไปช่วยเหลือพวกเสด็จแม่น่ะสิ” สิงโตชิงตอบคำถามแทน
“ก็ตามที่ได้ยิน เราวานสหายแมลงที่พอพูดจาภาษามนุษย์แฝงตัวไปบอกข่าวให้ตาหวานรับรู้แล้ว ว่าแต่เจ้าเถอะทำไมถึงมาที่นี่ได้” หิ่งห้อยกล่าวต่อหลังจากนั้นจึงได้กล่าวถามกลับไปด้วยความสงสัย
“ก็ท่านตาน่ะสิจ้ะ คนที่เป็นอาจารย์ของพระโอรสพระธิดาสังวาลมณีทั้งหลายน่ะบอกทางจั๊กมา นี่นะได้ยินมาว่าถูกน้ำซัดกันไปคนละทิศทาง ไม่เป็นอะไรมากใช่มั้ย” เธอถามด้วยความเป็นห่วงในสุขภาพถึงแม้จะปลอดภัยก็ยังไม่ควรวางใจนัก
“พวกเราน่ะไม่เป็นอะไรหรอก แต่เหล่าพระโอรสพระธิดานี่สิ…” หิ่งห้อยกล่าวด้วยความหนักใจอย่างเห็นได้ชัด
“เกราะกายสิทธิ์กับสังวาลย์มณีน่ะมันพังหมดแล้วน่ะสิ ฮือ” ตุ้บเท่งพูดแทรกต่อหลังจากจบคำสหายแล้วร่ำไห้อาลัยของรักที่ดูเหมือนจะมีคุณค่าทางใจมากกกว่าตัวบุคคลเสียอีก
“อย่าเศร้าไปเลย ท่านตาบอกกับจั๊กว่าทั้งสิบที่พระองค์ยังรอดพ้นกันได้พราะชะตรายังไม่ถึงฆาต อีกไม่นานก็จะได้เจอกัน” นับว่าเป็นข่าวที่น่ายินดียิ่งนักที่ทั้งหมดยังคงมีชีวิตอยู่
“แต่ตอนนี้พวกเราจะต้องช่วยพวกเสด็จแม่ก่อน เพราะแยกกันหลายทางไม่ดี ต้องรวมๆกันไว้” จั๊กแหล่นกล่าวต่อ
“เช่นนั้นก็ดี เอาเป็นว่าพวกเราเตรียมกำลังแรงกายไว้ให้พร้อม จะได้ทำภารกิจในวคืนพรุ่งนี้ให้ลุล่วงนะ” เจ้าหิ่งห้อยยักษ์กล่าวระคนดีใจที่จะได้ช่วยเหลือเพื่อรวมตัวกันรอวันพบหน้าโดยพร้อมเพรียง
……

“คราวนี้พระเทวาวิษุวัตคิดการใหญ่อะไรขนาดไหนถึงต้องเรียกตัวลูกของเราเดินทางไปไกลขนาดนั้น แค่กำจัดพวกเสี้ยนหนามนั่นก็น่าจะเพียงพอแล้วแท้ๆ” พิมาลาพูดขึ้นตามความกังวลใจถึงแม้ตอนนี้ตนจะร้อยพวงมาลัยหวังให้ใจสงบลง แต่คนเป็นแม่มีหรือจะไม่ห่วงลูก จิตใจก็ย่อมว้าวุ่นเป็นธรรมดา
“เจ้ากล่าวเช่นนี้เห็นทีว่าจะไม่เคารพพระองค์ท่านเสียเท่าไหร่เลยนะ” แม่มดที่ยังดูสาวตำแหน่งที่ปรึกษาส่วนพระกษัตริย์รัตนบุรี เข้ามาในตำหนักพร้อมกล่าวด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
“น้องเกลียวทอง. เอ่อ..เสาวภา”เธอเผลอหลุดปากไปด้วยเพราะเคยชินที่อยู่กันตามลำพังเสียมากกว่า
“พวกเจ้าออกไปก่อน” เธอรีบสั่งให้เหล่านางกำนัลไปยังด้านนอกจะได้พูดคุยกันให้สะดวกยิ่งขึ้น
“เผลอนิดเดียวก็เรียกชื่อเดิมเราต่อหน้าคนอื่นซะแล้ว...ไหนบอกนักหนาว่าจะเป็นคนใหม่ไม่ใช่หรอกเหรอ” เจ้าของชื่อต่อว่าทันทีหลังจากที่คนนอกเรื่องออกไปจนครบ
“น้องเกลียวทองเป็นอะไรไปทำไมถึงพูดแบบนั้น เคืองใจพี่มากขนาดนั้นเชียวหรือ” อดีตหญิงนามสไบแก้วถามอีกฝั่งที่เกรี้ยวกราดเกี่ยวกับเรื่องนี้เสียเหลือเกิน
“ก็เจ้าน่ะสิ พระองค์ทรงวางพระทัยให้บดิศรไปทำภารกิจเพียงนิดหน่อยก็บ่นนักบ่นหนา ทำท่าทีแข็งขันไม่อ่อนน้อมเหมือนคราวที่พวกเกราะกายสิทธิ์นั่นยังอยู่เลย”
“โถ่น้องเกลียวทอง พี่ก็แค่เป็นห่วงลูกของพี่ก็เท่านั้นเองนะจ้ะ ไม่ได้มีเจตนาจะต่อว่าพระองค์ท่านเลยแม้แต่น้อย”
“เป็นห่วงก็ส่วนเป็นห่วง ไม่ควรกล่าวคำพวกนั้นออกมา ไม่ว่าจะมีพระประสงค์สิ่งใดก็อย่าได้คิดแม้แต่จะสงสัยใคร่รู้” นางพูดจาแนวข่มสั่งสอน เอาเข้าจริงอายุแท้ของนางก็อาวุโสกว่าอีกคนมากอยู่หลายเท่า นางจริงไม่ได้ใส่ใจลำดับน้องพี่จอมปลอมอะไรนั่นมากนัก
“เอาเถอะ เอาเป็นว่าพี่ผิดเอง ต่อไปพี่จะไม่กล่าวเช่นนั้นอีก จะมีก็แต่กล่าวสรรเสริญให้พระองค์สำเร็จซึ่งพระประสงค์” เธอรับปากไปเพราะต่อให้เถียงกันไปมาก็ใช่ว่าจะจบในวันสองวัน ช้าเร็วเธอก็คงเถียงไม่ชนะอยู่ดี อีกอย่างบุตรตนก็ออกเดินทางไปแล้วหาประโยชน์จากคำพูดเหล่านั้นไม่ได้หรอก

ออฟไลน์ จักรกรด

  • *
  • 145
  • 0
  • เพศ: หญิง
  • จิตฺเตน นียติ โลโก. โลกอันจิตย่อมนำไป .
    • อีเมล์
Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
« ตอบกลับ #86 เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2021, 07:43:33 PM »
“ทูลพระมเหสี พระ...นางคนครัวสไบมาเข้าเฝ้าตามรับสั่งแล้วเพคะ” นางกำนัลในสังกัดเข้ามารายงาน ที่นางเรียกหาไม่ใช่ว่าจะแก้สถานการณ์ที่ลูกยาจากเมืองไปได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเรื่องบันเทิงให้ทำเลยนี่นา
“เราขอตัว” เกลียวทองทิ้งคำสั้นๆไว้แล้วเดินจากไปไม่ใคร่จะมัวดูความบันเทิงของคนอื่นหรอก ประกอบที่คนเข้าเฝ้ามาพอดีไม่มีเหตุผลที่มเหสีจะรั้งไว้
“พระนางทรงเรียกหาหม่อมฉันด้วยเหตุอันใดหรือเพคะ” ตามจริงสไบทองก็ไม่อยากจะพูดจาต่อหน้ากันดีๆเท่าไหร่นัก แต่ก็ถือว่านี่จะเป็นครั้งเดียวที่จะทำเพราะคืนวันพรุ่งนี้ก็จะจากไปแล้ว
“เราก็แค่คิดถึงวันเวลาเก่าๆ ที่พวกเราทั้งสองสนิทชิดเชื้อเป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน”
พิมาลากล่าวพลางประคองคนที่คุกเข่าด้วยท่าทีเป็นมิตรที่คิดจะผลักอีกคนลงเอาให้พอสะใจ แต่กลับต้องเสียจังหวะก่อนแล้ว
“อย่ากล่าวเช่นนั้นเลยเพคะ ในเมื่อพระองค์มิได้นิยมชมชอบในตัวหม่อมฉันเสียสักเท่าไหร่” อดีตมเหสีผละตัวออกจากการประคองได้ทันท่วงทีพร้อมกับก้มหน้าตาสงวนทีท่า
“เจ้านี่รู้จักปรับตัวดี สมกับเวลาที่ตกเป็นทาสมานานนับเดือน” ท่าทีเปลี่ยนไปจากแรกๆดีกลับไปเป็นนิสัยใจคอเดิมของคนที่ชนะไม่รู้จักพอ
“เราน่ะอยากให้ลูกๆของเจ้าได้เห็นสภาพของเจ้าในตอนนี้นัก ทั้งผอมแห้ง ดวงตารึนับวันก็ยิ่งไร้แวว แต่เสียดายที่ลูกที่มีของเจ้าก็ด่วนตายจากทิ้งเจ้าไปจนหมด ช่างเป็นลูกอกตัญญูกันเสียจริง” เธอกล่าวว่าอีกคนด้วยนอยากแกล้งดูว่าสถานภาพที่เป็นอยู่จะทำให้นางทนโทสะไม่ให้ตนเสี่ยงหัวขาดได้หรือไม่
“ถึงลูกๆที่มีของเราจะสิ้นหมด แต่ก็ใช่ว่าลูกคนเดียวของใครจะเป็นอมตะไปตลอดชีพนี่” เรื่องอะไรจะต้องทน ลำพังเรื่องอื่นน่ะทนได้แต่ถ้าก้าวล่วงถึงบุตรธิดาตนไม่ยอมเป็นแน่
“นี่เจ้า!!” มเหสีชี้หน้าด้วยความโกรธ ไม่นึกว่าตนจะเป็นฝ่ายถูกยอกย้อนเอาเสียได้
“เราอุตส่าห์ให้ความเคารพเจ้าตามฐานะดีๆกับเจ้า ตัวเจ้ากลับว่าลูกของเรา เราว่าเอาเพลาเช่นนี้ไปกังวลชีวิตที่เหลืออยู่บนบ่าของลูกเจ้าให้ดี หากทำให้เทพวิษุวัตไม่พอพระทัยขึ้นมา ถึงเจ้าจะมีสิบหัวก็แลกกันไม่ได้” หญิงชาวครัวกล่าวพลางนำมือที่ชี้ตนอย่างจาบจ้วงให้ต่ำลงสู่พื้น
“น้องพิมาลา น้องพิมาลาอยู่ที่นี่หรือไม่ น้องห่างพี่นานแล้ว น้องรู้หรือไม่ว่าพี่แทบขาดใจ”ท้าวพีรเชษฐ์ตามหานางตั้งนานทีแรกก็นึกว่าไปอุทยานหลวงเสียอีก
“เป็นความผิดของหม่อมฉันเองเพคะที่ล่วงเกินพระมเหสี หม่อมฉันสมควรได้รับโทษ” ไม่ว่าให้เสียปล่าวสไบทองคุกเข่าตบหน้าลงโทษตัวเองอย่างรวดเร็วด้วยสำเนียงเอะอะเป็นการใหญ่
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ ใครใช้ในเจ้าทำร้ายตนเองในเขตพระราชวัง” เจ้าเมืองเข้ามาเห็นเหตุการณ์พอดีจึงได้ร้องห้าม
“เป็นความผิดของหม่อมฉันเองเพคะที่ล่วงเกินพระมเหสี เอาแต่เสนอเครื่องเสวยของหวานที่องค์เหนือหัวทรงโปรด แต่พระมเหสีไม่ทรงโปรด….เป็นขนมแดกงาเพคะ” เธอชิงพูดก่อนอีกคนที่มัวแต่งุนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้นไวเช่นนี้
“ขนมนี่น่ะหรือเป็นปัญหากวนใจน้องพิมาลาก็จริงอยู่ แม้รูปไม่งามพอชวนให้ลิ้มรส แต่รสชาติเป็นเลิศ สงสัยต้องให้คนครัวที่ชื่อสไบช่วยทำให้เรา”
“คนครัวที่ชื่อสไบเป็นหม่อมฉันเองเพคะ”
“ดีเลยพรุ่งนี้วานให้เจ้าทำขนมแดกงาให้เราด้วยแล้วกัน ส่วนเรื่องวันนี้ก็ขอให้แล้วกันไป ไปพักเถอะ”
“เพคะ” ด้วยสถานการณ์หลายๆอย่างเธอก็เข้าใจดีว่าสวามีจำเธอไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก ถึงจะห่วงแค่ไหนเธอก็ยังพอมั่นใจว่าสไบแก้วจะดูแลเขาเป็นอย่างดีอยู่แล้ว
………

ฉันทนาครุ่นคิดเรื่องงานสมรสอยู่เกือบเดือน นับเป็นเรื่องที่หนักใจที่สุดก็ว่าได้ เธอไม่ได้รู้สึกรักอัคนินเลยแม้แต่น้อย ในใจของเธอคะนึงหาแต่เพียงศุภลักษณ์ทั้งๆที่รู้ดีว่าคนนั้นไม่มีวันที่กลับมาหรือไม่ได้ที่จะรักเธอตอบเลย
“เราจะทำยังไงดี ทำไมเรายังลืมเขาไม่ได้ หรือแม้แต่จะรักอัคนินสักนิดก็ไม่มี” หวนถึงคืนนั้นที่ท้าวเจ้าเมืองคีรีมาศเสด็จมาพบตนได้ถามถึงความสมัครใจของตัวเองเกี่ยวกับเรื่องวิวาห์ ในเรื่องที่ว่าคนขอจัดงานก็โป้ปดร่วมด้วย ตนก็เออออตามน้ำไป ต้องการไว้หน้าอีกคนก็เท่านั้น พอคิดดูช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันสิ่งใดก็ได้รับจากเขาไม่เคยขาด แม้แต่ตอนที่บาดเจ็บก็เป็นตัวเขาเองที่ดูแล
“ฉันทนา…เรามาลา” อัคนินเข้ามาหาด้วยท่าทีที่หนักใจ
“จะไปไหน..เทพวิษุวัตมีรับสั่งให้ทำภารกิจเหรอ” เธอถามกลับด้วยสงสัย
“ถูกต้อง ทรงมีประสงค์ให้ไปรักษาเกราะเหล็กสังวาลศิลาพร้อมกับบดิศร”เขารู้สึกถึงแววตาผู้ฟังว่าอยากมีส่วนร่วมขนาดไหน
“จะเอาแต่คิดน้อยใจไปก็ใช่เรื่อง”ศิษย์ร่วมสำนักเข้ามาเห็นแววตานั่นก็รู้ความในใจ อาจารย์ให้คอยท่าช่วยเหลือตลอดแท้ๆ แต่กลับไม่มีรับสั่งมาเลย
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ในเมื่อเจ้าร้อนใจเราก็มีงานให้เจ้าทำ..ออกเดินทางไปช่วยท้าววัศพลนาคราชรบกับท้าววิชชุนาคราช บอกกับท่านว่าเราให้ช่วยไม่ถูกปฏิเสธหรอก อีกอย่างคือต้องจับตาดูติณกฤตให้ดี” ถ้าเขาเดาไม่ผิดผู้นี้ต้องเป็นไส้ศึก เพียงแค่หลักฐานไม่เพียงพอ
“ติณกฤต ถ้าเราจำไม่ผิดเป็นโอรสของวิชชุนาคราช เจ้าสงสัยเขาสินะ” ฉันทนาเข้าใจเจตนาของเขาในทันทีแบบไม่ต้องถามให้มากความ
“ก็ดีเราจะได้ไม่ต้องว่างเกินไป”
“แต่ว่า..”อัคนินจะคัดค้านด้วยห่วงคนที่ตนรัก แต่ต้องชะงัดไป
“ได้เวลาแล้ว ต่อล้อต่อเถียงไปก็ไร้ประโยชน์” ว่าแล้วอัคนินก็จูงมือสหายที่ไม่ค่อยสนิทนั้นไปทำภารกิจต่อในทันที

ออฟไลน์ จักรกรด

  • *
  • 145
  • 0
  • เพศ: หญิง
  • จิตฺเตน นียติ โลโก. โลกอันจิตย่อมนำไป .
    • อีเมล์
Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
« ตอบกลับ #87 เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2021, 07:50:12 PM »
แจ้งวันเวลาอัพเดตนิยายต่อจากนี้นะคะ อัพเดตทุกวันที่14 และ28ของทุกเดือนเวลาประมาณ20.00น.ค่ะ
ต้องขออภัยท่านผู้อ่านทุกท่านเป็นอย่างสูงเลยนะคะที่เว้นช่วงการอัพเดตนิยายมานานมาก ทางผู้เขียนได้แต่งไว้ในสมุดได้ประมาณหนึ่งแล้วแต่ยังไม่ค่อยมีเวลาพิมพ์นานมากนัก รอบนี้จึงลงได้เพียงสั้นๆ ในรอบต่อไปจะเร่งสปีดในการพิมพ์ต่อนะคะ ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านเลยนะคะ w8 w8 O0

ออฟไลน์ จักรกรด

  • *
  • 145
  • 0
  • เพศ: หญิง
  • จิตฺเตน นียติ โลโก. โลกอันจิตย่อมนำไป .
    • อีเมล์
Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
« ตอบกลับ #88 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2021, 08:07:53 PM »
เข้ายามวิกาลแล้วเจ้าแมวสีสวาทตัวโปรดของพระสนมผกากรองเดินเข้าไปในตำหนักของเจ้านาย  ซึ่งผู้คนในวังต่างก็ทราบดีว่าได้สิ้นชีพมาเป็นระยะเวลาประมาณนึงแล้ว แต่คงเป็นพราะแมวตัวนี้คิดถึงเจ้านายมากจึงได้เข้าไปเยี่ยมชม ไม่มีอะไรให้น่าสงสัย
“ถ้าเราจำไม่ผิด จันทราภากับอัญญานีเคยมาที่นี่” ประกายพฤกษ์กล่าวขึ้นหลังจากที่ผลพรางตัวที่ท้าววิชชุนาคราชทรงให้บริวารตามเอามาให้นั้นหมดฤทธิ์
ด้วยความที่นำสิ่งวิเศษทั้งสองไปรักษาที่เขตแนวอสุราจึงส่งผลให้ความทรงจำเชื่อมต่อกันได้ จึงไม่แปลกที่เธอจะรู้ว่าทั้งสองคนเคยมาที่นี่
“ใช่ จันทราภาวาดรูปศพที่ตั้งไว้ในห้องลับ เป็นพระสนมผกากรอง” หลังจากผลแปลงกายหมดฤทธิ์ แมวสีสวาทก็กลับร่างเป็นศุภลักษณ์เดินมากล่าวตอบพร้อมกับจับเชิงเทียนให้เอนลงจนน้ำตาเทียนหยดปรากฏห้องลับขึ้น
“ดูจากรูปการณ์ เราว่าวิญญาณที่จันลักษณ์รู้สึกได้ว่าไม่ใช่เสด็จพ่อนั่นก็คือพระสนมผกากรอง” โอรสเจ้าเมืองกล่าวพลางพาอีกคนเข้าไปยังห้องลับ ดีที่ครั้งก่อนนั้นไม่มีใครรู้ว่าสองคนนั้นลักลอบเข้าตำหนักจนกับดักได้ถูกใช้งานไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงไม่ถูกโจมตี
“เป็นไปได้ที่นางจะใช้มนตราควบคุมพระวิญญาณที่อ่อนกำลังลงไว้ในจิตใต้สำนึก  แล้วนำวิญญาณนางไปรวมอยู่ในพระวรกาย” พระธิดาต่างเมืองแสดงความคิดเห็น
“เราก็คิดเช่นนั้น พอมีเรื่องอย่างนี้แล้วก็มีไม่กี่มนตราหรอก อีกอย่างพวกเราก็เป็นฝ่ายเดียวกัน หากใช้วิธีควบคุมเจ้าเมืองที่เป็นพระบิดาก็ต้องใช้วิธีที่ต่างกันเป็นธรรมดา” ใช่ อัคนินก็เป็นพวกเดียวกับบดิศร ทำไมจะไม่ทำไปทางเดียวกันแค่ต่างวิธีเท่านั้น
“รู้วิธีแก้หรือเปล่า” พระธิดาวันศุกร์ถามดูเผื่ออีกคนจะพอมีข้อมูลบ้าง
“เราไม่รู้หรอก ตอนนี้ต่อให้อยากจะแก้ไขขนาดไหนก็คงไม่ได้เพราะตอนนี้พวกเราต่างก็มีอักษรสาปติดตัว คงจะมีก็แต่ทำให้นางเสียใจเล่นซะแล้วล่ะ ว่าแต่จะร่วมกับเราด้วยไหม”
“ได้สิ เจ้าคิดว่ายังไงก็เอาตามนั้น เสร็จจากตรงนี้จะได้เดินทางต่อ”
ทั้งสองได้นำเทียนจากเชิงเทียนออกมาเผาร่างอันไร้วิญญาณ เท่านั้นไม่ได้สมใจของพระโอรสวันศุกร์เท่าไหร่นัก ไหนก็เผาร่างแล้วเล่นใหญ่ไปหน่อยคงไม่เป็นไร ตนก็เลยใช้ฟางที่พกติดตัวถึงแม้จะยังใช้เป็นหุ่นพยนต์ไม่ได้ในตอนนี้แต่ก็สามารถมาสุมไฟเผาทั้งตำหนักได้ในปริมาณที่เพียงพอ ก่อนที่มันจะลามจนคนด้านนอกรู้ทั้งสองก็ไม่รอช้ารีบหนีทันที ด้วยที่คนเมืองนี้รู้ทางหนีทีไล่ดีจึงออกมาได้เร็วขึ้นกว่าผู้ก่อการรายอื่นนัก
“นางรู้เรื่องคงจะโกรธแย่แล้ว นิสัยนางน่ะชอบยึดติดกับสังขาร กลับคืนร่างเดิมก็ไม่ได้แท้ๆ ยังเอาแต่เก็บไว้ดูต่างหน้าอยู่นั่น” เขาพูดหลังจากที่หนีจนมาถึงเส้นทางที่ไม่ต้องเร่งรีบหนีมากแล้ว นับว่าใจกล้ามาก ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่ใจดำทำขนาดนี้ได้หรอกกระมัง

“แย่แล้วพระเจ้าค่ะองค์เหนือหัว ที่พระตำหนักของพระสนม ม..,ม..ไหม้ไหม้เป็นไฟลุกโชนขนาดใหญ่โตเลยพระเจ้าค่ะ” นายทหารตรวจการในรั้ววังเจอสถาการณ์อันน่าตื่นตระหนกตกใจเช่นนี้ในเขตพระราชฐาน มีหรือที่เขาจะไม่รีบมาทูลให้เจ้าเมืองทรงทราบ
“ดูแลกันยังไงถึงได้เกิดเรื่องนี้!!!” เธอในร่างสวามีปาจอกสุราที่ใช้ย้อมใจเรื่องบุตรต้องจากไปทำภารกิจ ไม่ทันทำใจให้เย็นลงเท่าใดเลยยังมาเจอเรื่องนี้อีก ยากที่จะควบคุมอารมณ์ให้ดีได้แล้ว
“ทหาร!! ไปดับไฟเข้าสิ มัวแต่เฉยไม่ยอมทำหน้าที่อยู่ได้!!” นางรีบไปดูสถานการณ์พร้อมตะโกนเรียกคนเสียงดังไปทั่ววัง
เวลาผ่านไปกว่าจะควบคุมเหตุเพลิงไหม้ได้ มันก็ทำให้สังขารของผกากรองไหม้จนเป็นเถ้ากระดูกไปเสียแล้ว
“ออกไป!! ออกไปให้พ้น!!” ใจหนึ่งก็รู้สึกโกรธ อีกใจหนึ่งก็กลัวว่าใครจะพบเห็นเถ้ากระดูกของนางแล้วรับรู้ว่ามีร่างของใครบางคนอยู่ในที่เกิดเหตุล่ะก็ต้องไม่ส่งผลดีกับตนแน่ ดังนั้นนางจึงตะเบ็งเสียงไล่คนให้ตะเพิดไป ด้วยอารมณ์ที่แปรปรวนมามากในช่วงหลายเดือนนี้ ข้าเหล่าบริวารจึงยินยอมที่จะไปโดยดีเพราะต่างก็ไม่อยากให้หัวหลุดออกจากบ่าตนกันทั้งนั้น
หลังจากที่ทุกคนจากไป นางก็ใช้มือสัมผัสเถ้ากระดูฏเหล่านั้นอย่างอดนึกเสียดายไม่ได้ สู้อยู่ในห้องลับมาเป็นเป็นเดือนแท้ๆแต่กลับต้องมาไหม้เพราะเทียนที่ตกจากเชิงเทียน
“ข้าไม่เชื่อ ให้ตายข้าก็ไม่เชื่อ ในเมื่อเชิงเทียนนี่ข้าเป็นคนจุด ไม่มีทางที่ข้าจะไม่รอบคอบจนเกิดเรื่องเช่นนี้หรอก” นางรู้สึกว่าไม่ใช่อุบัติเหตุแน่ แต่ว่าใครกันล่ะที่เป็นคนทำ ลำพังในแวดวงผู้ใช้คุณไสยมนต์ดำนางก็ศัตรูมากพอตัวอยู่แล้ว บางทีอาจจะมีใครล่วงรู้สิ่งที่นางทำเข้าให้จึงจงใจทำลายสังขารเพื่อเป็นการเตือนก่อนอันดับแรกก็เป็นได้
“ไม่ว่ามันจะเป็นใครข้าจะตามสืบให้ถึงที่สุด แล้วข้าจะลากคอมันมันกราบไหว้เป็นข่ารับใช้ของข้า”


“เจ้านี่ก็จริงๆเลย พาเราทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้ได้” เสียงบ่นของประกายพฤกษ์ดังขึ้นมาหลังจากที่ทั้งสองตัดสินใจพักที่ลำธาร นี่ก็เข้าปัจฉิมยามแล้วเพิ่งจะได้หยุดพักนี่เอง
“เรื่องแบบนี้น่ะเราถนัด ถ้าพวกเราอยู่ด้วยกันเรื่อย ๆก็มีเรื่องให้ทำได้ใหญ่กว่านี้เยอะ” ศุภลักษณ์กล่าวอย่างพอใจในผลงาน ก็ใครใช้ให้สองแม่ลูกนั่นทำกับพวกเขาแบบนั้น ทั้งใส่ร้ายคนทั้งควบคุมวิญญาณยึดร่างอีกต่างหาก ที่เขาทำก็เลยรู้สึกดีเหมือนได้ระบายความทุกข์ออกมา
“พอเถอะ แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเราก็ถูกตำหนิแล้วว่าใจร้ายใจดำ ยิ่งกับภูมินทร์ที่เป็นนักธรรมเทศนานล่ะก็คงหูด้านชาไปหมด” ไม่รู้อะไรดลใจให้ช่วยเหมือนกัน มันออกจะดูแล้งน้ำใจเกินไป ต่อให้ไม่ถูกตำหนิเธอก็ไม่คิดจะทำซ้ำอีกแน่
“ถ้าเจ้าไม่สบายใจเราก็ไม่ทำแล้วก็ได้ เราสัญญาว่าต่อไปนี้อะไรที่เจ้าไม่สบายใจเราจะไม่ทำเด็ดขาด” เขาพูดพลางยกนิ้วก้อยทำท่าทีพร้อมสัญญาเต็มที่
“สัญญาลมปาก เราไม่สนนักหรอกว่าเจ้าจะเอานิ้วก้อยนั้นไปเกี่ยวกับอะไรที่ไหน เราดูที่การกระทำมากกว่า” เธอสบายใจขึ้นมาบ้าง เพราะยังไงต่างฝ่ายก็รู้จักันมานาน จะปล่อยให้ทำผิดจนสุดทางเลยมันก็ยังไงอยู่
ฝ่ายบุรุษยิ้มเล็กน้อยแล้วนำนิ้วก้อยของตนไปเกี่ยวกับอีกฝ่าย
ก่อนที่ฝ่ายสตรีจะทุบตีคืนในความเอาแต่ใจชอบแต่จะแตะเนื้อต้องตัว เขาก็รีบออกห่างแล้วก็แยกกันนอนเก็บเรี่ยวแรงที่ให้คนต่อไปมีกำลังเดินทางต่อไปแม้ว่าเส้นด้ายจะยังคงผูกทั้งสองไว้อยู่ด้วยกันก็ตาม
……..
 “ดอกบัวนั้นน่ะจะสามารถป้องกันคนที่อยู่ในนั้นจากการโจมตี ยากที่ใครจะเข้าได้หากเจ้าของมิได้ยินยอม” บัวแย้มนั่งมองดูกำไลปทุมทิพย์พลางนึกถึงคำคนสำคัญที่บอกไว้ก่อนที่จะมีอะไรเกิดขึ้นตามมา โดยถึงแม้ว่าเธอจะรู้ข่าวการสิ้นชีพนั่นมาเป็นเดือนแล้วแต่ก็ยังทำใจไม่ค่อยได้เท่าไหร่นัก
“พระธิดาเพคะ พระธิดาอย่าได้ทรงกังวลเลยนะเพคะ บัวจะดูแลตนเองให้ดีและจะใช้ประโยชน์จากสิ่งที่พระธิดาทรงมอบให้เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นให้ดีที่สุดเพคะ” เธอคิดว่าจะใช้ประโยชน์ในคืนเดือนดับโดยการซ้อนแผนเพิ่ม แต่คงต้องบอกเอาเมื่อถึงเวลาหนี เพราะคิดไปมาหาสู่กันถี่กันไปจะเป็นที่สงสัยเอาได้ ตนยังมีเรื่องห่วงในตัวพระธิดาอัญญาณีอีกคน ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าสามารถได้รับแหวนวิเศษแล้วล่ะก็ ไม่แน่ว่าคืนเดือนดับอาจจะเพ่งจิตจนอำนาจแห่งแหวนศุภรพามาหาเธอก็ได้ แต่ก็ขอให้มาทันเวลาหนีด้วยเถอะ อย่าได้ผิดพลาดเลย
……….
“พวกเราต้องแยกทางกันแล้วล่ะหลานติณกฤต” วัศพลนาคราชกล่าวกับหลานชายในยามรุ่งเช้า เตรียมที่จะแบ่งกำลังไพร่พลเพื่อจะได้ไปตีเมืองบาดาลทั้งสองทิศ ตนน่ะจัดการได้อยู่แล้ว แต่ก็เกรงว่าหลานจะใจอ่อนให้บิดาเสียก่อนน่ะสิ
“เอาอย่างนี้นะหลานรัก พวกเรามาเปลี่ยนที่โจมตีกันไหม ลุงไปทิศใต้ เจ้าก็ไปประมือกับอาเจ้าที่ทิศตะวันตก” เขาลองเสนอดู เพราะยังไงลำพังน้องเล็กของตนที่ชอบอยู่สงบไม่ค่อยฝึกปรือฝีมือไปรบกับใครอยู่แล้ว หลานตนที่ยังไม่รู้ฝีมือมากนักน่าจะจัดการได้ไม่ยาก ส่วนพี่คนรองน่ะเหรอ ระดับนั้นเขาก็ต้องจัดการเอฃสิถึงจะสมน้ำสมเนื้อ
“หลานทำอย่างนั้นไม่ได้พระเจ้าค่ะ นี่เป็นพระกระแสรับสั่งของพระเทวาวิษุวัต หากพวกเราฝ่าฝืนก็เท่ากับไม่เห็นพระองค์อยู่ในสายตา” เขาแย้งทันที เรื่องอะไรจะยอม อุตส่าห์ได้หน้าที่มาแท้ๆจะแย่งความดีความชอบกันหรืออย่างไร
“ถูกแล้วเพคะ ถ้าพระองค์ไม่รับพระบัญชาเช่นนี้หม่อมฉันคงต้องไปทูลพระเทวาให้ทรงทราบเสียแล้ว” ฉันทนาที่เร่งรีบเดินทางไม่หยุดพักประกอบกับโลหะเคลื่อนย้ายที่เสริมความเร็วในการเคลื่อนตัวได้รวดเร็วที่ได้มาจากอาจารย์จึงที่จุดที่พักสองลุงหลานที่ใกล้จะแยกทาง พอได้ยินที่ติณกฤตพูดอย่างนั้นก็เลยช่วยเสริม
“เป็นเจ้าเองหรอกรึที่บดิศรให้มาช่วย นึกว่าจะไปจำศีลตามอาจารย์เจ้าเสียแล้ว” เขาพูดแบบนั้นเพราะไม่เห็นว่าจะมาชุมนุมเลยนึกว่าฤษีทมิฬผู้ภักดีจะเหลือศิษย์ไว้ให้ทำงานแค่คนเดียวเสียอีก
“เพคะ ถึงหม่อมฉันจะมาช้าแต่ก็ดีกว่าไม่มา…… เอาอย่างนี้ดีกว่าเพคะพระองค์ก็ทำตามพระบัญชาตามเดิม ส่วนพระภาติยะติณกฤตให้หม่อมฉันเป็นคนติดตามไปช่วยเองเถอะเพคะ” เธอเสนอไปเพราะก็อยากรู้ว่าสองพ่อลูกคู่นี้จะเล่นตบตาอะไรกัน การที่มีตนไปดูสถานการณ์เช่นนี้ คนที่จ้องจับผิดก็ดิ้นไม่หลุด
“อยากทำอะไรก็ทำ ศิษย์ร่วมสำนักเจ้าเป็นคนโปรดของพระองค์เราจะไม่ยุ่ง ถ้ามีอะไรผิดพลาดล่ะก็เจ้าต้องรับผิดชอบ” เขาอยากขัดก็ขัดไม่ได้เพราะบดิศรน่ะคนโปรด ถ้าคนของเขาไปฟ้องร้อง โทษขัดบัญชาก็จะทวีคูณเสียเปล่าๆ
“คนที่ชื่อบดิศรสงสัยเราจริงๆด้วย สายตาของเขาชัดจนเราต้องระวังตัวเพิ่ม คิดไม่ผิดเลยว่าเมื่อเขาไม่ว่างก็ต้องส่งคนมาจับตาดู เห็นทีเราจะต้องระวังให้มากขึ้นกว่าเดิมแล้ว” พระโอรสแห่งบาดาลแดนทักษิณลอบคิดในใจก่อนจะแสร้งกล่าวตอบไป
“เสด็จลุงอย่าได้ทรงกังวลเลยพระเจ้าค่ะ ยิ่งได้คนมาช่วยอีกแรงเช่นนี้หลานก็จะยิ่งทำสำเร็จเร็วขึ้น ขอย่าได้ต่อว่าเลยพระเจ้าค่ะ ” เขายิ้มรับด้วยยินดีทั้งยังช่วยพูดให้อีกคน
“ตามใจหลานเถอะ ได้เพลาแล้วเร่งแยกย้ายกัน ลุงจะไปกับหลานลีลาวดี เจ้าในฐานะผู้เป็นพี่ก็ไม่ต้องกังวลไป” เขาไม่แยกเปล่ายังเอาตัวหลานคนโปรดไปด้วยกัน เพื่อความอุ่นใจของคนที่ไม่มีบุตรเป็นของตนเอง
“ถ้าเสด็จลุงมีพระประสงค์เช่นนั้น หลานก็ไม่ขัดหรอกพระเจ้าค่ะ” เขาพูดไปอย่างนั้น ใจจริงเขาน่ะห่วงน้องสาวที่ความจำขาด ไม่รู้ว่าจะถูกกลมนตราอะไรเพิ่มหรือไม่ แล้วถ้าหลุดจากอาการนั้นไม่แน่อาจจะโวยวายเรื่องทำร้ายพระบิดาเสียจนเกิดอันตรายก็ได้
“ดี ขอให้หลานทำได้สำเร็จ” ว่าแล้วก็ต่างแยกทางกันไป ในเมื่อมีคนติดตามคอยจับผิดเช่นนี้เห็นทีต้องเปลี่ยนแผนรับมือเสียแล้ว
………
ด้วยความเหนื่อยล้าที่คนก่อนๆสั่งสมกันมาจนคนวันเสาร์ตื่นขึ้นมาก็จะเข้าเวลาเพลเสียให้ได้แล้ว เป็นเมธาวีที่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก่อนอีกคน แต่กลับพบว่าตนนั้นนั่งหลับซบไหล่อีกคน อีกทั้งยังโอบเธอไว้แขนนึงอีกด้วย
“นี่เจ้า!!” เธอตกใจผลักทั้งที่ยังมีอาการงัวเงียร่วมด้วยนิดหน่อย ทำเอาเสียอีกคนตื่นจากภวังค์
“อะไรของเจ้าน่ะ เราไปทำอะไรให้” เขาถามเธอด้วยสีหน้ามึนงงเล็กน้อย
“ตอนก่อนสองคนนั้นนอนแยกกันคนละต้นไม้เลยนี่  ทำไมเราตื่นมาเจ้าก็..เจ้าก็โอบตัวเราไว้ล่ะ” สติเธอกลับมาได้ดีแล้วตอนนี้อาการดีขึ้นมากไม่สู้ว่ามึนหัวเท่าใดนัก
“เรื่องนี้นี่เอง นั่นก็เป็นเพราะว่าช่วงรุ่งสางศุภลักษณ์น่ะหนาวสั่น ดูท่าแล้วก็ไม่ได้แกล้งทำ ประกายพฤกษ์ที่เห็นก็เลยดูอาการรวมไปถึงช่วยโอบกายเขาจนอรุณมาถึง ตัวเจ้าเองก็ไม่ได้คลายหนาวลงเราเลยโอบต่อ เราไม่ได้มีเจตนาไม่ดีตัวราก็เพลียมากเลยเผลอหลับไปน่ะ” ศนิวารล้างหน้าที่ลำธารอย่างสบายใจรับการตื่นอย่างเต็มที่ เมื่อเห็นอย่างนั้นอีกคนก็ล้างหน้าตาให้ดีเสียก่อนถึงจะเอ่ยคำที่ควรเอ่ย
“เราขอบใจเจ้ามาก….เจ้ารอเราตรงนี้ก่อนได้ไหม  ” เธอกล่าวขอบคุณอย่างเดียวคงไม่พอหรอกมันต้องทำอย่างอื่นด้วยสิ
“เรายินดี..แล้วเจ้าจะไปไหน” เขาตอบรับด้วยไมตรี แต่ก็สงสัยอยู่ดีว่าอีกคนจะไปไหนไกลมากได้ก็ในเมื่อทั้งสองคนก็เชื่อมต่อกันด้วยเส้นด้ายยืดหยุ่นแค่นั้น
“เราจะไปดินแดนจินตภพ ที่นั่นมีดินมลายมนตรา” เธอพูดตอบความสงสัยไป
“ดินมลายมนตราอย่างนั้นเหรอ จะเอามาแก้ด้ายเลื่อมประภัสสรที่ผูกเราสองคนใช่ไหม” ฟังจากชื่อก็น่าจะเป็นของที่ช่วยแก้ให้รอดพ้นบ่วงไม่ยอมแก้ของคนเริ่มได้
“ดินนี้ช่วยแก้มนต์ได้เวลาที่ไม่รู้มนต์แก้ แต่มีข้อจำกัดไว้ว่าให้ใช้ได้แค่ปีละ๓ครั้งเท่านั้น โชคยังดีที่ปีนี้ยังไม่ได้ใช้เลยสักครั้ง นี่น่าจะพอช่วยพวกเราในวิกฤตอื่นๆได้อีกด้วย”  ที่เธอพูดมันก็ถูกแต่ว่าเธอมีอักษรสาปอยู่ไม่ใช่เหรอ จะไปที่นั่นมันจะไม่เป็นอะไรแน่เหรอ เพราะตอนนี้ฤษีมฤคินทร์ก็จำศีลไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วยนี่สิ คราวนี้ถ้ามีคนบุกมาก็แย่กันหมด
“ยังดีที่ใช้จิตเข้าไปไม่ได้ใช้มนตรา แล้วทำไมไม่ให้เราไปด้วยล่ะ” เขาก็ต้องรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง แต่ก่อนน่ะก็เคยไปด้วยกันแล้วตั้งครั้งนึง ทำไมถึงไปด้วยกันไม่ได้
“ถ้าเราไปพร้อมเจ้าเราก็ไม่มีสมาธิกันพอดี” เธอหันหน้าหลบไปทางอื่น ถึงจะรู้สึกขอบคุณที่อีกคนหวังดีแต่ว่าเธอยังทำใจไม่ให้รู้สึกอายไม่ได้นี่
“จะโทษเราอย่างงั้นเหรอ เราไม่ใช่พวกจิตอ่อนไม่มีทางทำเจ้าจิตเสียหรอก” เขาเริ่มไม่สบอารมณ์เล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้เอาความอะไร เพราะเขาดูเหมือนจะไม่รู้สึกรู้สาถึงอารมณ์ของอีกคนเท่าใดนัก
“เอาเถอะ ถือว่าเราผิดเอง…พวกเราไปกันเลยดีกว่า” เธอตั้งสติใหม่ เวลาแบบนี้มัวแต่เขินแล้วจะได้ทำอะไรกันล่ะ เธอคิดแล้วก็สลัดความทิ้งเสียจะดีที่สุด
 ไม่นานนักทั้งสองก็มาถึงป่าจินตภพ รู้สึกว่ามาครั้งนี้พืชพรรณที่ปลูกใหม่ในคราวนั้นตอนนี้เจริญงอกงามได้ดีไปทั่ว อาศรมที่ดูโล่งๆก็มีดอกไม้ขึ้นรอบๆ แล้วที่นี่ก็ไม่ค่อยหนาวเหมือนด้านเท่าไหร่ด้วย ถ้าไม่ติดว่ามีเรื่องต้องทำคงจะค้างคืนที่นี่เสียหน่อย
“ท่านตา หลานมาขอดินมลายมนตราไปแล้วนะเจ้าคะ” เมธาวีมาไหว้เคารพแล้วบอกให้ได้รับรู้ ถึงแม้อีกฝ่ายจะนั่งสมาธิจำศีลด้วยจิตมุ่งมั่นอยู่ก็ตามที
“ที่นี่มีลิขิตเขียนไว้”  ศนิวารที่รออีกคนอยู่ได้เห็นจดหมายที่แนบไว้ตรงระเบียงจึงได้เรียกบอกสหาย
“อ่านให้ฟังเลยก็ได้ เรากำลังหาผอบดินมลายมนตราอยู่”  เธอพูดอนุญาต จริงๆก็ไม่มีเรื่องอะไรต้องปิดบังกัน การที่อ่านจดหมายแทนกันคงไม่ล้ำเส้นกันเกินไปนักหรอก

……“      สิ่งที่คิดหาได้ใช่ไกลอยู่
            สิ่งที่รู้เร่งแจ้งอย่าแคลงหาย
            สิ่งเจ้าปรารถนาไม่เสื่อมคลาย
            สิ่งย่อมได้เจ้าจักได้ในเร็ววัน
           อุปสรรคจักต้องเร่งหาทางแก้
     ทำนายแน่เคราะห์สามคราอย่าโมหันธ์
          สิ่งสำคัญอย่าจำแนกแตกแยกกัน
         มิเช่นนั้นจะทุกข์ตรมขมขื่นใจ”……

เนื้อความในนี้คงจะเป็นประโยชน์อยู่ไม่น้อย บางทีถ้าผ่านเคราะห์ได้คงได้พบความสงบสุขที่แท้จริงอย่างนั้นสินะ ไม่ว่าจะยังไงก็ตามต่อจากนี้พวกเขาต้องระวังตัวให้มากขึ้นเสียแล้ว ไม่เช่นนั้นคงจะมีปัญหาที่แก้ยากขึ้นอีกเป็นเท่าตัวเลย

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 15, 2021, 09:38:57 AM โดย จักรกรด »

ออฟไลน์ จักรกรด

  • *
  • 145
  • 0
  • เพศ: หญิง
  • จิตฺเตน นียติ โลโก. โลกอันจิตย่อมนำไป .
    • อีเมล์
Re: !!!!เกราะกายสิทธิ์แรงฤทธี สังวาลย์มณีเรืองฤทธา!!!!
« ตอบกลับ #89 เมื่อ: สิงหาคม 28, 2021, 07:23:12 PM »
วันนี้จักรกรดของดอัพเดตนิยายในวันนนี้แล้วเลื่อนไปทบกับวันที่14เดือนหน้านะคะ​ เนื่องจากมีปัญหาสุขภาพในเรื่องปวดศีรษะ​หลายวัน​ ประกอบกับสภาพอากาศในพื้นที่อาศัยเปลี่ยนแปลงบ่อยกว่าปกติเลยปรับตัวไม่ทัน​ ร่างกายต้องการพักผ่อนหลายเวลา​ จึงยังเขียนได้ไม่สมบูรณ์​นัก​ ด้วยเหตุนี้จึงนำไปทบต่อกันในครั้งหน้าจะดีกว่าค่ะ​ ต้องขออภัย​ผู้อ่านทุกท่านด้วยนะคะ