ทั้งสองคนที่ได้รับพระบัญชาของพระเทวาวิษุวัติมาถึงพื้นที่ระหว่างสีน้ำต่างกันคนละวรรณะหรือที่รู้กันดีอยู่แล้วนั่นคือพื้นที่ระหว่างมหาสมุทรสีชาดกับทะเลแดนใต้ มาถึงนี่ก็ไม่ค่อยต่างจากที่พวกฝ่ายอริมาก่อนหน้านี้เท่าไหร่นักเพียงแต่พวกเขาไม่รู้ว่ามีคนมาเยือนที่นี่ก่อนแล้ว หลังจากเข้าสู่ดินแดนอันกลับด้าน ทั้งสองก็เดินทางเข้าสู่เขตแนวอสุรา
“โลหะเคลื่อนย้ายที่ปัจจาให้พวกเรามานี่ดีจริงๆ เพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามก็เดินทางมาถึงที่นี่แล้ว” อัคนินพูดพลางมองสิ่งที่ติดตัวมาอย่างพอใจ เพราะโดยปกติแล้วต่อให้เดินทางด้วยการเหาะจากพลังของสังวาลย์ศิลาที่สวมใส่จะมีความเร็วมากอยู่แต่ก็ไม่ทันใจเขาถึงเพียงนี้
“ปัจจาเตือนเราเอาไว้ว่าที่นี่นั้นมีอันตรายที่สลับสับเปลี่ยนกันมาเผชิญหน้าของผู้มาเยือนแต่ละครั้งโดยเฉพาะ จะต้องระวังให้มาก” บดิศรก็คิดอยู่หรอกว่าโลหะนี่น่ะเร็วอย่างน่าพอใจ แต่เวลานี้ควรคิดเรื่องที่จะทำให้สำคัญเป็นที่สุดก่อน
“เราก็ไม่เห็นจะมีอะไรเลย ออกจะธรรมดาซะด้วยซ้ำไป….คนอย่างเราไม่เคยกลัว อยากสู้ก็ออกมาอย่าเอาแต่เอาหัวซุกอยู่ในกระดอง!!” คนที่ไม่เคยมาที่แบบนี้มันก็มีประเภทระวังตัวกับประเภทกล้าบ้าบิ่น อย่างเขาน่ะมันประเภทที่สอง อยู่ดีๆนึกอยากตะโกนยั่วโทสะให้สิ่งที่บอกว่าอันตรายมาซึ่งๆหน้าจะได้รู้ว่าใครกันแน่ที่ฝีมือเก่งกาจกว่ากัน
“ส่งเสียงไปก็เท่านั้น ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่แล้ว” อีกคนที่ได้ยินก็ส่ายหัวพลางเดินไปที่สะพาน สหายร่วมภารกิจนั่นก็ไม่อยากให้อีกคนนำหน้าเขาจึงแทรกนำไปก่อนจนขึ้นสะพานไปได้ประเดี๋ยวก็ถูกร้องเตือนเสียแล้ว
“อัคนินระวัง!!!!” สิ้นเสียงเตือนของเขา สายฟ้าที่ไม่อาจทราบแหล่งที่มาก็เกิดอสนีบาตลงมาที่สะพานนั้นจนคนที่ยืนอยู่เกือบเอาชีวิตไม่รอด ยังดีที่สวมใส่ของวิเศษที่กันภัยเลยพอที่จะลดความรุนแรงของสิ่งที่พบเจอได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ข้อขาถูกสายฟ้าลงแผ่ไปยังจุดนั้นมากเป็นพิเศษจนคนเสียการทรงตัวตกสะพาน
“นี่ข้ายังไม่ตกลงไปข้างล่างอีกเหรอ” เพียงครู่เดียวตัวของเขาก็ห้อยที่ข้างสะพานจะตกเอาเสียให้ได้ถ้าไม่มีสหายมาดึงมือเขาเอาไว้
“ปล่อยข้า ไม่ต้องช่วย!!!” โอรสเมืองคีรีมาศพูดอย่างนั้นไม่ใช่เพราะห่วงคนด้านบน แต่การที่ต้องรับการช่วยเหลือจากผู้อื่นเช่นนี้ ไม่สู้ตกลงไปผจญภัยเอาด่านล่างนั่นดีกว่า
“อย่านึกว่าเราช่วยเจ้า ที่เราต้องการก็คือไม่ให้สังวาลศิลาต้องเสียหายไปมากกว่านี้…อย่าลืมสิว่าพระองค์ให้พวกเรามาที่นี่ทำไม” ว่าแล้วโอรสเมืองรัตนบุรีก็ดึงอีกคนขึ้นมาจนได้ ยังหายใจไม่ทันทั่วท้องสายไฟสายที่สองก็ผ่าลงมาอัคนียังถูกผลักไปยังอีกด้านของสะพานได้ทันแต่ตัวเขาเองที่ตามหลังไม่ทันการณ์น่ะต้องเสี่ยงภัยอีกคนเสียแล้ว
……………………….
“พระแม่เจ้าตรัสว่าอย่างไรนะเพคะ” สันต์สินีทวนถามถึงคำที่ได้ยินจากโอษฐ์ผู้ที่ได้นับได้ว่าเป็นนายหญิงของตน
“เราอยากไปที่ถวิลรมณีย์” อัญญานีกล่าวตอบ ที่นั่นเป็นที่ตั้งของต้นปาริชาติ เธอน่ะอยากไปให้แน่ใจดู ตนไม่คิดจะอยู่ที่นี่ในคืนนี้เพื่อไปชมดมกลิ่นดอกไม้นี้พร้อมกับเทพผู้นั้นในวันพรุ่งหรอก แต่ตนก็ไม่ใช่ว่าไม่อยากจะรู้อดีตของตนจึงได้คิดที่จะใช้แหวนที่ตนซ่อนไว้นำตนไปยังที่นั่นเพียงแอบนำออกมาได้แค่ดอกเดียวตนก็น่าจะพอทราบเรื่องราวในอดีตชาติที่สงสัยได้แล้ว
“พระแม่เจ้าจะร้อนพระทัยไปไยเพคะ วันพรุ่งนี้จะได้เสด็จกับพระเทวาแล้วนะเพคะ” นางฟ้าที่คอยอยู่ข้างกายมาเสียพักหนึ่งก็ร็สึกว่านางค่อนข้างจะแปลกไปเสียหน่อย เพราะหลายวันมานี้ก็ดูท่าอีกจะเก็บตัวมากด้วยซ้ำ แม้แต่อุทยานที่มีเป็นของตัวเองยังไม่คิดไปชม ไม่รู้คิดยังไงถึงอยากไปชมที่อื่นนักหนา
“เจ้าไม่เข้าใจ” พระธิดาแห่งเมืองโกสุมพิสัยถอนหายใจเสียครู่ อารมณ์ก็มิสู้ดีนัก
“อย่าได้พิโรธหม่อมฉันเลยเพคะ เป็นความผิดของหม่อมฉันเองเพคะที่ไม่เข้าใจพระองค์” เธอก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ไม่เคยเห็นอารมณ์แบบนี้มาตั้งแต่ตอนที่ยอมรับผู้ปกครองตนแล้วนี่นา
“คิดตามเรานะสันต์สินี เพราะว่าพรุ่งนี้นะเป็นวันสำคัญและเราก็ไปในฐานะว่าที่พระชายาจะมัวไปเที่ยวเล่นดูไปทั่วสวรรค์ในวันสำคัญให้เป็นที่ติฉินนินทาจนเสียพระเกียรติของพระเทวาวิษุวัติเชียวนะ ไม่รู้ต้องรอนานแค่ไหนถึงจะได้ไปอยู่ที่นั่นจริงๆ ตัวเราก็อยากบันเทิงใจแต่ทนอึดอัดอย่างนี้เราก็ไม่สบายใจไปตลอด ” เธออ้างเหตุผลที่เตรียมไว้ เพราะรู้ว่ายังไงคนข้างกายต้องไม่ยอมให้ไปแน่
“ใครจะกล้าว่าพระแม่เจ้าได้เพคะ พระองค์ต้องการกระทำสิ่งใดในวันพรุ่งนี้ก็ย่อมทำได้อยู่แล้ว ไม่เป็นไรหรอกเพคะ” เธอได้ยินเหตุผลก็ไม่เข้าใจ ก็นายตนในตอนนี้น่ะรักษาตำแหน่งแทนพระอินทร์ก็เท่าเป็นใหญ่สุดใครไหนเลยจะกล้าวิจารณ์ได้
“ขนาดพระมหาเทวาทั้งสามพระองค์ยังถูกผู้คนธรรมดานินทาต่อว่า พวกเราน่ะคงไม่พ้นคำครหาได้หรอก อย่างไรเสียเราก็ต้องรักษาเกียรติของพระองค์ แต่ตอนนี้ความเศร้าหมองในใจเรามันไม่ทำให้ความงดงามนี้น่าชมเอาเสียแล้วสิ ” เธอแกล้งกล่าวพลางนำหัตถ์มาลูบพักตร์ตน
“เช่นนั้นก็ย่อมได้เพคะ แต่ว่าเพื่อความปลอดภัยจะต้องปลอมตัวเข้าไปนะเพคะ ” สุดท้ายก็ต้องตกปากรับคำพาคนอยากรู้ไปเพราะไม่รู้ว่าผลลัพธ์ที่ตามมาจะเป็นเช่นไร นายตนไม่ได้กลับมานานถ้ามาเห็นว่าคนรักทุกข์ใจคงต้องถูกลงโทษเป็นแน่
หลังจากเตรียมตัวกันดีแล้วทั้งสองก็แสร้งทำเป็นเทพธิดาผู้มาช่วยตระเตรียมงานสำคัญในวันพรุ่ง โอกาสดีร้อยปีจะมีครั้งไหนเลยจะมาชมกันธรรมดาได้ ทั่วสารทิศจะมาเยือนที่แห่งนี้ต้องดูแลให้ดี
“ที่นี่งดงามมาก พรรณไม้นานาพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับก็น่าชมตลอดทางเลย” ถึงจะพูดอย่างนั้นจิตใจของอัญญานีก็คิดถึงแต่ต้นปาริชาติเสียมากกว่า
“เพคะ ยิ่งพรุ่งนี้มีดอกปาริฉัตรบานสะพรั่งออกมาก็จะได้ทอดพระเนตรเห็นดวงดาวรายล้อมไปทั่วดอกไม้นี้ได้อย่างชัดเจนแม้จะเป็นเพลากลางวันด้วยนะเพคะ”
ถึงตอนแรกไม่อยากให้อีกคนมายังที่นี่แต่พอมาจริงๆตัวเองก็อดที่จะสนุกไม่ได้เหมือนกัน ถึงมันจะไม่ใช่วันจริงก็ตาม เดินไปตามทางอย่างเพลิดเพลินอย่างนั้นไม่นานก็มาถึงบริเวณที่ต้องการ ต้นไม้ที่ตั้งอยู่ปรากฏใบไม้สีทองอร่ามไปทั่วต้น หากไม่รู้ว่าเป็นที่ตั้งคงจะคิดว่าเป็นต้นโพธิ์ทองเสียแทนเมื่อมองจากระยะไกล
แต่ว่ากลับไม่เห็นดอกไม้อยู่เลยราวกับล่องหนเสียอย่างนั้น
“พระเทวาตรัสว่าทรงจะนำใบของต้นปาริฉัตรนี้ไปใช้ในพิธีวิวาห์ด้วยนะเพคะ” เธอพูดเมื่อเห็นว่าอีกคนดูสนใจไม้ต้นไม้นี้มากเป็นพิเศษ
“เช่นนั้นก็ดี…แต่ทำไมเราถึงไม่เห็นดอกไม้เลยล่ะ” ว่าที่พระชายาแสร้งยิ้มตอบอย่างพอใจ แต่ก็ยังสงสัยในสิ่งที่เห็นจึงถามไป
“ปาริฉัตรของสวรรค์มีความพิเศษอยู่อย่างหนี่งเพคะ ถ้าหากไม่ใช้เพลาที่บานสะพรั่งดอกไม้เหล่านี้ก็ไม่ปรากฏให้ได้ชมเลยเพคะ” เธอคอยตอบคำถามอย่างเต็มใจอย่างอารมณ์ดี
“ดีล่ะพรุ่งนี้เราก็จะได้เห็นปาริฉัตรที่ดวงดาวล้อมรอบเสียที วันนี้เราสบายใจมากกลับกันเถอะ” ด้วยอารมณ์ที่ดีมากขนาดนั้นก็ทำให้นางฟ้าข้างกายอดยิ้มเสียไม่ได้ เป็นเช่นนี้ก็โล่งใจไปที