แสงสุรีย์ได้เห็นพระอัคนีทีมีเปลวเพลิงรอบพระเศียรรับรู้ด้วยญาณว่ามกุฎราชกุมารสีตลราชใช้พลังที่ได้รับพรมาทำการกบฏแย่งราชบัลลังก์พระบิดา บ้านเมืองล้วนเป็นน้ำแข็งเย็นไปทั่วเหลือแต่ราชวังที่กำลังจะเข้าไปช่วงชิงเท่านั้น
เช่นนั้นแล้วพระเทวาท่านจึงยิงศรผ่านประตูเตโชก่อเกิดเป็นสตรีถือมณีสีทับทิม นามว่า “วิศัลย์ศยา” ไปปราบสีตลราชก่อนที่จะทำปิตุฆาต รวมถึงแก้ความหนาวเย็นในเมืองให้กลับมาสงบสุข ต่อมาเธอจึงเดินทางแก้มนตราที่เกี่ยวกับความทรมานจากความหนาวเย็นทั่วทุกถิ่นแดน วันหนึ่งที่เธอกำลังตามแก้มนตราก็ไปพบกับการรวมตัวที่น่าสงสัยของอสูรที่หลงเหลืออยู่
“พวกเราบำเพ็ญขอพรพระศิวะได้แล้ว พวกเทพเทวดาไม่สามารถสังหารพวกเราได้อีกต่อไป” อสูรตนหนึ่งกล่าว
“พระองค์มิโปรดให้ขอความอมตะก็จริง แต่สิ่งที่พวกเราขอก็คงไม่มีใครสังหารพวกเราได้หรอก” อสูรอีกตนกล่าว
“ด้วยเหตุนี้ล่ะ พวกเราจะประกาศสงครามนำพี่น้องของพวกเรากลับมา” พวกเขาไม่พอใจในสิ่งที่พระอินทร์เนรมิตเขตแนวอสุรากั้นดินแดนเอาไว้ไม่ให้อสูรที่อยู่อีกด้านไร้อิสระ ถ้าชนะได้พวกเขาก็กะจะให้กลับมารวมกำลังช่วงชิงความเป็นใหญ่ในแดนต่างๆต่อไป
“พวกเรามีกองกำลังราวสามพัน ครานี้ถ้าพลาดก็ต้องไปสู่ที่แดนอสุราอย่างเดียวแล้ว”
“เช่นนั้นพวกเราก็ต้องชนะเท่านั้นล่ะ”
“ผู้นำหลักมี ๒๐ ตนสินะ” วิศัลย์ศยาพึมพำกับตนเองแล้วจึงเดินทางมุ่งสู่สวรรค์ไปทูลให้พระอินทร์ทรงทราบ
“เรื่องนี้เรามอบให้อยู่ในการดูแลของพระเทวาวิษุวัตแล้ว ไปทูลให้พระองค์ทราบเถิด” พระเทวราชทรงทราบเรื่องแล้วจึงกล่าวกับผู้หวังดี แต่เพราะให้เกียรติกับพระโอรสของพระอินทร์องค์ก่อนจึงยกเรื่องการรบการต่อสู้ให้พระวิษุวัติแทน
“เพคะ” เธอรู้ดังนั้นจึงลาไปยังเกาะแก้วผลึกต่อ
“เรามาเข้าเฝ้าพระเทวาวิษุวัต” เธอเจอผู้ที่เหมือนจะเป็นบริวาร ไม่รู้ทางต่อจึงได้เข้าไปหาหวังจะขอความช่วยเหลือ
“พระองค์เสด็จยังอุทยานกับพระชายา ตามเรามาเถอะอีกไม่นานจะได้พบพระองค์”
ว่าแล้วชายแปลกหน้าก็พาเธอขึ้นไปรอยังหอชิดดารา
“เราคือศรุตเทพ มีเรื่องอะไรเล่าให้เราช่วยฟังก่อนก็ได้นะ”
“ศรุตเทพที่ปราบกษัตริย์สิบสองเมืองนี่เอง เราวิศัลย์ศยา เราได้ยินมาว่าพวกอสูรจะรวมตัวกันทำสงครามกับสวรรค์จึงได้เดินทางมาทูลให้ทรงทราบ”
“เช่นนี้นี่เอง อย่างนั้นพวกเราต้องรวบรวมกำลังพลที่มีฝีมือมาร่วมช่วยกัน”
ในขณะที่ทั้งสามกำลังระลึกใครจะไปนึกเล่าว่าคนที่เหลือจะระลึกในเวลาเดียวกันไปด้วย กายภายนอกของผู้สวมใส่สิ่งวิเศษทั้งสองก็สลับหมุนเวียนคนเปลี่ยนก็ไปพร้อมๆกับการระลึกชาติ
จันทราภามีอดีตชาติคือพระจันทร์ทรงนำอินทุสินธุ์จากดวงจันทร์ดวงที่สองที่นำไปสร้างเป็นเขตแนวอสุรามาสร้างให้มาช่วยดูแลเขตแนวอสุราในช่วงแรก ประทานนามว่า “ฤทัยกานต์” ครั้งหนึ่งมารนามว่าชยันตีได้ตั้งพิธีทลายเขตแนวอสุราที่สาม เธอจึงทำทีอาสาถอดดวงใจของชยันตีไปซ่อนให้เป็นอมตะ แต่กลับนำมาสร้างกำแพงซ้อนกันแนวอสุราแทน ชยันตีที่ทนความเจ็บปวดจากการท่องคาถาทำลายไม่ไหวร่างจึงกลายเป็นหินเฝ้าอยู่ทางเข้าแดนอสุรา ภายหลังมีการเปลี่ยนหน้าที่จึงได้เดินทางไปยังที่ต่างๆเพื่อคุ้มครองช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากและช่วยดูแลเลี้ยงดูบุตรธิดาของผู้คนทั้งหลาย
จันทลักษณ์มีอดีตชาติคือพระอัศวินทัสระทรงนำแสงรุ่งอรุณที่ส่องกระทบเมฆมาสร้าง ประทานนามว่า “ขัมปกรณ์” ให้ลงไปยังโลกมนุษย์พร้อมกับพี่น้องอีกคนที่มาจากพระอัศวินอีกองค์ ไปทำหน้าที่แพทย์ดูแลรักษาชาวประชาที่ได้รับผลกระทบจากสงครามของกษัตริย์สิบสองเมือง เมื่อหมดหน้าที่จึงแยกทางกับพี่น้องอีกคนไปรักษาผู้คนทั่วสารทิศรวมถึงหาประสบการณ์และวิธีการในการรักษาให้หลากหลายมากขึ้น ครั้งหนึ่งหมอผู้ถือว่าเป็นเลิศในการรักษาอย่างพิศลยามาท้าให้เข้าร่วมแข่งขันกันรักษาคนโดยให้ผู้ที่มีอาการเดียวกันมาประลอง ในตอนแรกเขาไม่สนใจจนถูกพิศลยาประกาศว่าเป็นผู้ขลาดเขลานัก แต่สุดท้ายแพทย์ผู้นั้นก็ต้องขอขมาแล้วเรียกตัวกลับไปช่วยเพราะรักษาผิดพลาด ด้วยฝีมือการรักษาที่ช่วยชีวิตคนไว้ได้ทันท่วงทีเขาจึงมีชื่อเสียงเป็นที่รู้ในด้านการรักษา
อังคารได้ทราบว่าพระอังคารต้องการผู้ที่มาปราบอสูรที่ชื่อรณภูมิ อสูรตนนี้ขอให้เทพเทวาไม่สามารถสังหารตนได้จึงย่ามใจอาละวาดระรานผู้คนและดลบันดาลให้เกิดน้ำท่วมไปจนถึงป่าหิมพานต์ พระองค์จึงใช้พระขรรค์กรีดฝ่าพระหัตถ์นำโลหิตหยดลงยังหางนกยูงแปรเปลี่ยนเป็นบุรุษนามว่า “ชยานันท์” เขาได้นำพระขรรค์ไปปราบรณภูมิที่เขาจิตตะแห่งหิมพานต์ หลังจากนั้นเขาได้คอยช่วยเป็นกำลังรบให้กับพระอังคาร ไปสู้กับพวกอสูรที่มักจะประกาศจะทำสงครามแต่กลับยกทัพมาลอบโจมตีก่อนที่กล่าวไว้ เรื่องฝีมือการต่อสู้ของชยานันท์เป็นที่เลื่องลือพอๆกับศรุตเทพจึงมีประเด็นถกกันหลายครั้ง แต่เขาทั้งสองไม่เคยพบกันเลย
ปัทมาสน์รับรู้ว่าเหล่ายักษ์อสุราที่ประพฤติตนไม่ดี นอกจากจะไปรังแกเผ่าพันธุ์อื่นแล้วยังมาทำร้ายกันเองจนเกิดเป็นความแตกแยกและต่างพากันใฝ่ที่จะเป็นอสุราที่แข็งแกร่งที่สุด ด้วยเหตุนี้พระเวสสุวรรณจึงนำดอกบัวขาวในสระธรณีมาสร้างให้เป็นยักษีนามว่า “สัตตบุษย์” เพื่อจัดการความวุ่นวายในหมู่อสุรา ด้วยกำลังที่เหมือนรวมบุรุษทั้งเจ็ดมารวมในตนเดียว พวกยักษ์จึงเกิดความหวาดกลัวยอมศิโรราบและทำตามคำสั่งเลิกทำร้ายกันเอง ภายหลังพระกุเวรให้ไปทำหน้าที่ปกป้องรักษาพระเทวีเบญจเนตร ผู้ที่ไม่เคยพบมักนึกว่าเธอเป็นชายโดยคิดว่าเป็นชื่อ“สัตตบุตร” เช่นนี้ในยักษ์ทั้งหลายจึงยกย่องว่าเป็นบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่อสุรา
พุทธรัตน์ได้เห็นว่าพระพุธทรงนำมรกตจำนวนหนึ่งโปรยลงยังเมฆาสร้างสตรีขึ้นมา ประทานนามว่า “นัยน์ปพร” โปรดให้จัดการปัญหาเทวดานามพนากรที่มาปั่นป่วนมิยอมให้พืชพรรณออกตามฤดูกาลสร้างความเสียหายให้กับผู้คนเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังจับคนไปให้เป็นอาหารอสูรในบัญชาตั้งหลายคน เธอต้องเดินทางไปเจรจาในคราแรกนั้นไม่เป็นผลเพราะเขาเอาแต่หันหลังให้ เธอจึงได้ทำทีจากไปเขาจึงหันแล้วเห็นว่ายังอยู่จึงจะสังหารเสีย เธอจึงจ้องเข้าไปในดวงตาแล้วสร้างภาพมายาทำให้พนากรตกอยู่ในความกลัวเสียสติไป ภายหลังเธอจึงไปเดินทางเจรจาทั่วสารทิศเพื่อผูกมิตรไมตรีระหว่างเมืองให้ดีขึ้น
เพชรราหูเฝ้ามองอดีตของตนเห็นว่ามีอสูรนามอิทธิชัยที่ขอพรให้พระราหูสังหารตนไม่ตาย กลับมาล้างแค้นในอดีตที่เคยติดค้างกัน อสูรตนนี้ไล่สังหารอริมามากมายทั้งยังจับมนุษย์จำนวนมากเป็นเชลย แต่เท่าไหร่ก็ไม่สาแก่ใจถ้าไม่ชนะสหายเก่าของตน พระองค์ท่านมิโปรดที่จะเสียเพลามาต่อสู้ด้วย จึงนำกระบองฟาดลงภูเขาลูกหนึ่งสร้างเป็นบุรุษมนุษย์นาม “เตชณัฐ” ทางนั้นไม่ยอมให้ตั้งตัวก็มุ่งโจมตี มองไปเขาก็รู้ในทันทีว่าดวงใจของอิทธิชัยไม่ได้อยู่กับตัวจึงหายตัวไปยังที่เก็บดวงใจในถ้ำแห่งหนึ่งแล้วนำไปเผาไฟเอากุญแจเวทย์มาปลดปล่อยเชลยทั้งหมดให้เป็นอิสระ ภายหลังเดินทางไปปลดพันธนการออกจากผู้ที่ได้รับความเป็นธรรมทั่วทุกถิ่น