ยินดีต้อนรับสู่บ้านอบอุ่นของคนรัก บอย สพล ชนวีร์

เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

Bootsabongkot

เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)
« เมื่อ: กันยายน 02, 2007, 03:30:15 PM »

   วิมานหนึ่ง งดงามยิ่งนัก มีแสงทองนวลๆ ดูอบอุ่น ละมุน ละไม แสงนั้นงดงาม งามยิ่งกว่าแสงรวีในยามรุ่งสางและพลบค่ำ ดอกไม้บุปผาชาติในวิมานแห่งนั้นชูช่องามตายิ่งนัก เทพนารีสง่างามยิ่งนักนางหนึ่ง นางนั้นห่มสไบสีแสงตะวัน ทรงอาภรณ์สีทอง ทุกอย่างดูเข้ากัน นางเหม่อมองออกไปในอุทยานอันน่าสราญรมย์ตรงหน้า ทว่าจิตใจนางในยามนั้น หาได้รื่นรมย์ไม่
   ดอกไม้ดอกงามถูกส่งมาให้ถึงตรงหน้า เทพนารีหันมามองผู้ที่เข้ามา พบบุรุษสง่างาม เขาคือเทพบุตร “ภาสุวรรณ ท่านได้โปรดรับดอกไม้ดอกนี้จากเราเถิด เราไม่อยากเห็นท่านต้องหม่นหมองใจเช่นนี้” เทพบุตรเอ่ย เทพนารีนามภาสุวรรณถอนหายใจ “ทำไมท่านทำเช่นนี้ เมษวุฒิ ทำไมท่านต้องมาทำดีกับเรา” ภาสุวรรณเอ่ย “ท่านยังไม่รู้อีกฤๅ เหตุผลของเรานั้นมีเพียงเหตุผลเดียว” เมษวุฒิตอบ “เหตุผลเดียวของท่านคืออะไรเล่า ท่านไม่เคยเผลวจีให้เราได้รับรู้แม้สักครั้ง” ภาสุวรรณพูด “หากท่านต้องการให้เราบอก เราก็จะบอกท่าน... เรารักท่าน” เมษวุฒิพูด “รักรึ... รักแล้วมีอะไรดีขึ้นไหม... อยากให้เรารับดอกไม้ใช่ไหม... ได้” ภาสุวรรณพูดและรับดอกไม้มาก่อนโยนลงไปกับพื้นวิมานนั้นแล้วเหยียบดอกไม้ดอกนั้นจนหมดงาม เมษวุฒิได้แต่มองตามดอกไม้ดอกนั้นที่แหลกลาญคาเท้าของเทพนารีผู้อยู่ตรงหน้า “คนที่ท่านควรจะไปพบยามนี้ ไม่ใช่เรา ภาสภัสสรพระพี่นางของเราต่างหาก นางรอเจ้าอยู่” ภาสุวรรณพูดและเดินจากไป “เดี๋ยวภาสุวรรณ... เรารักเจ้า ไม่ได้รักนาง” เมษวุฒิเรียกตาม ภาสุวรรณเดินหนีไปทั้งน้ำตาแต่ก็ใจแข็งไม่หันกลับมา เมษวุฒิก้มหน้าลงอย่างจนใจและเหาะออกไป
   ภาสุวรรณเดินมาทั้งน้ำตา “ภาสภัสสรลูกพ่อ...” เสียงหนึ่งดังมาก้องกังวานไปทั่วทั้งวิมาน ภาสุวรรณถึงกับชะงักนิ่งไป ภาสุวรรณท่าทางตกใจกับเสียงนั่นพอควร นางรีบเช็ดน้ำตาแล้ววิ่งไปที่ตำหนักของพระพี่นาง
   ในตำหนักหนึ่ง องค์เทพผู้หนึ่ง โอบกอดร่างของเทพนารีผู้เป็นราชธิดาเอาไว้ นางได้จากไปแล้ว ภาสุวรรณรีบวิ่งเข้ามาถึงก็ทรุดนั่งลงอย่างหมดแรงทันทีที่เห็นภาพนั้น “เสด็จพ่อ...” ภาสุวรรณเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “องค์เทพหันมายังราชธิดาองค์เล็ก “ภาสุวรรณ... ภาสภัสสรพี่เจ้า... ภาสภัสสรพี่เจ้าฆ่าตัวตาย... นางช้ำใจ ช้ำใจเพราะไอ้เทพเมษวุฒิ” องค์เทพองค์นั้นพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ภาสุวรรณเข้ามาช่วยพระบิดาประคองร่างพระพี่นาง น้ำตาของนางนั้นไหลรินลงอาบแก้ม “เสด็จพ่อเตชภาสเทพ พระพี่นางต้องไม่ได้เจ็บคนเดียวเพคะ... ลูกจะลากคอไอ้คนที่ทำร้ายพระพี่นาง มาสำเร็จโทษด้วยมือของลูกเอง” ภาสุวรรณพูด
   สรวงสวรรค์ ที่ริมแม่น้ำ เทพบุตรนามเมษวุฒิเหม่อมองด้วยสายตาทุกข์ตรม และแล้วก็มีพลังบางอย่างพุ่งมาที่แม่น้ำ ผืนน้ำกระจายขึ้น เมษวุฒิรีบถอยออกห่างแม่น้ำทันที ภาสุวรรณกระโดดลงมาข้างหลัง “ไอ้เมษวุฒิ... เจ้าต้องชดใช้ให้กับพระพี่นางภาสภัสสร พระพี่นางปลิดชีพตนเองเพราะเจ้า... เจ้ามันชั่วช้า เราจะเอาชีวิตเจ้าไปสังเวยแก่พระพี่นาง” ภาสุวรรณพูดและเรียกดาบออกมา ภาสุวรรณจะแทงเมษวุฒิ เมษวุฒิหลบไปด้านข้าง “เราทำอะไร... เกิดอะไรขึ้น” เมษวุฒิพูด “เจ้ามันคนลวงโลก เจ้าทำให้พระพี่นางรักเจ้า แล้วเจ้าก็มาบอกว่ารักเรา พระพี่นางของเราทุกข์ใจมากแค่ไหนเจ้าไม่เห็นหรอกรึ พระพี่นางจากไปแล้ว... จากไปเพราะเจ้า เราจะฆ่าเจ้า” ภาสุวรรณพูดและโจมตีเข้าไปเรื่อยๆ เมษวุฒิหลบหลีกได้ทันทุกครั้งแต่ก็ไม่ได้ตอบโต้ใดๆ “ท่านต้องการอะไรจากเราภาสุวรรณ ท่านต้องการสิ่งไหน... บอกเรามา เราให้ท่านได้ทุกอย่าง” เมษวุฒิพูด “พร่ำพลอดออกมาลอยๆอีกแล้วรึ... ครานี้ไม่มีใครเชื่อเจ้า” ภาสุวรรณพูด “ชีวิตเราก็ให้ท่านได้ ความสบายใจของท่าน เราให้ได้เสมอ” เมษวุฒิพูด “ความทรมานของเจ้า นั่นแหละคือสิ่งที่เราต้องการ เราขอสาปตัวเอง หากเราทำให้เจ้าเจ็บปวดทรมานไม่ได้ ขอเราเป็นคนเจ็บปวดทรมานแทน” ภาสุวรรณยกดาบขึ้นมาฟาดฟันลงมาใส่เมษวุฒิ เมษวุฒินิ่งเฉยมองตานางไม่กระพริบ สายตาคู่นั้นของเมษวุฒิมั่นคงยิ่งนัก เทพนารีใจร้อนราวเปลวไฟเหมือนถูกอะไรเข้าขัด นางนิ่งไปเช่นกัน เหมือนหวั่นไหวในใจเล็กน้อย นางรีบหลบตาก่อนที่น้ำตาของนางจะไหลรินลงมา “ฟันสิภาสุวรรณ ท่านอยากเห็นความทรมานของเรามิใช่หรือ รึว่าท่านอยากจะทรมานซะเองหละ” เมษวุฒิพูด ภาสุวรรณน้ำตาไหลออกมาไม่หยุด นางลำบากใจ ท่าทางของนางดูเหมือนจะทำไม่ลง “ไม่เอา... เราทำไม่ได้” นางปล่อยดาบออกจากมือแล้วทรุดลงนั่ง เมษวุฒิรีบโอบประคองนางเอาไว้ “ภาสุวรรณ...” เมษวุฒิเรียก “ต้องได้สิภาสุวรรณ...” เตชภาสเทพเดินมา “เตชภาสเทพ” เมษวุฒิหลุดเสียงออกมา “เสด็จพ่อ... ลูกทำไม่ได้จริงๆเพคะ ลูกฝืนทำไม่ได้ ลูกเสียใจ” ภาสุวรรณพูด “เจ้ารักเมษวุฒิเข้าแล้วรึไงภาสุวรรณ” เตชภาสเทพพูด พระธิดาก้มหน้าลงไม่ตอบ “ถามเมษวุฒิสิ ว่าเค้าจะยอมเจ็บเพื่อเจ้าไหม เพราะถ้าหากเค้าไม่เจ็บ เจ้าก็ต้องเจ็บ” เตชภาสเทพพูด “กระหม่อมยอมทุกอย่างพระเจ้าข้า ภาสุวรรณ คว้าดาบนั่นมา ฟาดฟันเรา เราพร้อมจะทรมานแล้ว” เมษวุฒิพูด “เราจะยอมเจ็บเอง... เจ้าไม่ต้องเจ็บ เราโง่สาปตัวเองเองแหละ” ภาสุวรรณพูด “ถึงเจ้าไม่สาปตัวเอง พ่อก็จะต้องบังคับให้เจ้าทำอยู่แล้ว ฆ่าไอ้คนที่ทำร้ายพี่เจ้าซะภาสุวรรณ เจ้าเห็นคนรัก ดีกว่าสายโลหิตรึไร” เตชภาสเทพยุยง ภาสุวรรณตัดสินใจคว้าดาบมาทั้งน้ำตา ภาสุวรรณฟาดดาบลงไปที่กลางหลังของเมษวุฒิ เสียงร้องดังขึ้น ภาสุวรรณหลับตามิด น้ำตายิ่งไหลลงไปอีก เมษวุฒิทรมานทุรนทุรายเจ็บปวดยิ่งนัก เลือดไหลออกมาแทบหมดกายเพราะบาดแผลที่นางฝากให้นั้นลึกมาก เตชภาสเทพมองด้วยสายตาพอใจแต่ก็ไม่ได้ยิ้มออกมาอย่างออกหน้าออกตา “อีกหลายๆแผล... เราพร้อมรับผิดอย่างลูกผู้ชาย” เสียงของเมษวุฒิช่างทรงพลังและน่าเกรงขามแม้จะไม่เหลือแรงกำลังใดๆอีกแล้ว ภาสุวรรณมองดาบที่แดงฉานไปด้วยเลือด น้ำตาของนางนั้นไหลรินลงมาเรื่อยๆ เปลวเพลิงลุกขึ้นโชติช่วงตรงแผ่นโลหะเฉียบคม ภาสุวรรณมองด้วยสายตาตกใจ “เสด็จพ่อ” ภาสุวรรณหันไปหาพระบิดาแล้วส่ายหน้า “โลหะร้อนนี้ จะสร้างแผลที่ทรมานที่สุด ครานี้เลือดเจ้าได้ไหลออกมาหมดกายแน่ เมษวุฒิ ไอ้คนโอหังเจ้ากล้าทำลูกสาวของเราเจ็บปวด ภาสุวรรณ กรีดแทง... ช้าๆ...” เตชภาสเทพสั่งการแก่พระธิดา ภาสุวรรณร้องไห้ออกมาอย่างจนใจ นางกัดฟันแน่นแล้วหันไปทางอื่น นางก่อนจะทำตามคำสั่งพระบิดา เมษวุฒิเจ็บปวดทรมานยิ่งกว่าครั้งไหนๆ สายโลหิต ไหลรินออกหมดกายา เมษวุฒิสิ้นใจไปร่างก็สลายไปด้วย เปลวเพลิงที่โลหะนั้นหายไป ดาบกลับกลายมาเป็นดาบธรรมดา เตชภาสเทพสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “เราแก้แค้นให้พี่เจ้าสำเร็จแล้ว ภาสุวรรณ” เตชภาสพูด “เพคะ” ภาสุวรรณตอบเพียงเท่านั้น แล้วใช้ดาบนั่นปลิดชีพตนเองตาม “ภาสุวรรณ...” เตชภาสตกใจมาก เตชภาสนั่งลงประคองร่างพระธิดาองค์เล็กไว้ในอ้อมกอด “ภาสุวรรณ... ทำแบบนี้ทำไมลูกพ่อ” เตชภาสกัดฟันเอ่ยขึ้นอย่างเจ็บปวดใจ “ลูกมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้เพคะ ลูกฆ่าคนที่ลูกมีความรู้สึกว่ารัก อยู่ไปก็ทรมานใจจะขาด สู้ตายไปให้พ้นๆ ยังจะยิ่งกว่า ลูกทูลลาเพคะ” ภาสุวรรณสิ้นใจไปทั้งน้ำตาสายโลหิตของเมษวุฒิ และ สายโลหิตของภาสุวรรณ ไหลลงไปรวมกันในแม่น้ำสายนั้น “เราจะตามไปฆ่าเจ้าทุกภพทุกชาติ” เตชภาสเทพเอ่ยอย่างแค้นเคือง

nidajung

Re: เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กันยายน 02, 2007, 03:37:50 PM »
โอ้ มีให้อ่านถึง 2 เรื่องเลย ยังไม่ได้อ่าน หุหุ เด๋วจาปริ้นไปอ่านค่ะ

nanajung

Re: เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กันยายน 02, 2007, 08:45:17 PM »
แล้วมาต่ออีกนะจ๊ะ

Bootsabongkot

Re: เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: กันยายน 03, 2007, 05:20:36 PM »
มหานคราอันร่มเย็นเป็นสุขนามหนึ่ง เวียงวังช่างงดงามสุดจะหาไหนเปรียบ เป็นผืนแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ เป็นนคราที่น่าอยู่ยิ่งนัก ภัคบุรี...
   องค์เหนือหัวแห่งภัคบุรีมีท่าทางที่ร้อนรุ่มยิ่งนักอยู่หน้าห้องๆหนึ่ง ประตูห้องถูกเปิดออก เสียงร้องของเด็กดังขึ้นลั่น องค์เหนือหัวภัคบุรียิ้มออก นางกำนัลอุ้มเด็กทารกออกมา ทารกน้อยนั้นร้องไห้ไม่หยุด “เป็นยังไงบ้าง” องค์เหนือหัวแห่งภัคบุรีพูด “เป็นพระโอรสเพคะ... แต่...” นางกำนัลพูด “อะไร...” องค์เหนือหัวอุ้มพระโอรสมา สีหน้าตกใจเล็กน้อย “บาดแผล...” องค์เหนือหัวพูดอย่างตกใจ แล้วก็มีนารีผู้หนึ่ง แต่งกายดูมีศักดินาที่สูงส่ง นางห่มสไบสีกลีบบัว นางเดินเข้ามาหาองค์เหนือหัว “เป็นยังไงบ้างเพคะเจ้าพี่” นางเอ่ยถาม “ชวาลี... เจ้าดูลูกของพี่ กับมาลย์มินตราสิ” องค์เหนือหัวพูด ชวาลีมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย นางมองเด็กผู้ชายคนนั้นเห็นบาดแผลลึกน่าเกลียดน่ากลัวที่กลางหลัง “ตายจริง...” นางเผลออุทานออกมาอย่างตกใจ “ดูสิ ร้องไห้ไม่หยุดเลย” องค์เหนือหัวพูด “องค์เหนือหัวเพคะ พระมเหสีมาลย์มินตรารู้สึกพระองค์แล้วเพคะ” คุณท้าวออกมากราบทูล
   “คุณท้าววิไล ลูกของเราเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย” มเหสีมาลย์มินตราพูด “ผู้ชาย...” องค์เหนือหัวเดินเข้ามาพร้อมกับอุ้มทารกน้อยที่ร้องไห้ไม่หยุด มาลย์มินตรายิ้มออกแล้วยกมือไหว้พระสวามี “แต่ว่า... พระโอรสของพระพี่นางไม่ปกติเพคะ” ชวาลีพูดในใจแอบเย้ยๆ “ไม่ปกติ... หมายความว่ายังไง” มาลย์มินตราเปลี่ยนสีหน้าทันที องค์เหนือหัวนั่งลงที่แท่นแล้วเอาพระโอรสน้อยให้พระมเหสีมาลย์มินตราดู มาลย์มินตราตกใจมาก “ลูกแม่... กรรมอะไรของเจ้า...” มาลย์มินตราพูด “พระโอรสทรงกันแสงไม่หยุดเลย คงทรมานมากกระมังเพคะ” ชวาลีพูด มาลย์มินตราพลอยร้องไห้ไปด้วย “อย่าร้องไปเลยนะมาลย์มินตรา โหรหลวงต้องมีวิธีแก้ พี่จะให้โหรหลวงทำนายดวงชะตาของลูกเราพรุ่งนี้เช้า” องค์เหนือหัวพูด
   รุ่งเช้าวันต่อมาได้มาถึง บริเวณท้องพระโรง พระมเหสีมาลย์มินตราอุ้มพระโอรสน้อย นางยังคงสะอึกสะอื้น แท่นนั่งตรงข้ามกันนั้น เป็นแท่นนั่งของชวาลี นางนั่งเชิดอยู่ตรงนั้น และบัลลังก์ภัคบุรีก็คือองค์เหนือหัวนั่นเอง “องค์เหนือหัวภูวนาทเจ้าผู้เป็นใหญ่แห่งภัคบุรี และองค์พระมเหสีทั้งสอง ข้าพระองค์ขอพระราชทานอนุญาตกราบทูล” โหรหลวงพูด “มีอะไรก็ว่ามาเร็วๆเถอะท่าน... โหรหลวง” มเหสีชวาลีพูด “คือ บาดแผลของพระโอรส ทางเดียวที่จะทำให้หายได้คือเลือด... เลือดของคนที่สร้างบาดแผลนี้” โหรหลวงพูด “เลือด... แล้วเลือดของใครหละ” องค์ภูวนาทพูด “ข้าพระองค์มิสามารถกราบทูลได้พระเจ้าข้า ในดวงพระชะตาช่างคลุมเครือยิ่งนัก” โหรหลวงพูด “โถ่... ลูกรักของแม่... เจ้าจะต้องทรมานเช่นนี้ไปนานเท่าไหร่กันหนอ” มาลย์มินตราร้องไห้ “ไม่ต้องร้องแล้วนะมาลย์มินตรา ตัดใจคิดซะว่าเป็นของเค้าเถอะ เราจะเรียกลูกของเราว่า เมษกร” องค์เหนือหัวภูวนาทกษัตริย์พูด
   ที่เรือนไทยโบราณงดงามหลังหนึ่ง มเหสีชวาลีเดินขึ้นมาบนเรือนพร้อมกับเหล่านางกำนัลรับใช้ใกล้ชิด “ท่านพ่อทราบเรื่องพระโอรสเมษกรรึยังจ๊ะ” ชวาลีพูด “ทราบแล้วสิขอรับ ท่านอำมาตย์ชัชวาลซะอย่าง จะไม่รู้เรื่องอะไรเลยเป็นไปไม่ได้” บ่าวไพร่พูด “พระโอรสองค์น้อยองค์นั้น จะต้องบาปหนามากๆแน่ๆเลยจะท่านพ่อ” ชวาลีพูด “อืม... ชวาลี เจ้าอยากจะลูกชายสักคนไหม” ชัชวาลพูด “อยากสิจ๊ะท่านพ่อ ถ้ามี ลูกของลูกจะต้องได้เป็นองค์รัชทายาทแน่ๆ” ชวาลีพูด “ถ้างั้น เจ้าก็คงจะไม่ปฏิเสธลูกชายของพี่ชายเจ้า” อำมาตย์ชัชวาลพูด “ลูกชายของพี่ชวาลวัฒน์นาเหรอจ๊ะ” ชวาลีพูด “ใช่... ชวาลวัฒน์ป่วยตายไปแล้ว ชวาลวุฒิหลานชายเจ้าก็เลยไม่มีใครดูแล” อำมาตย์ชัชวาลพูด “ไหนหละจ๊ะหลานชวาลวุฒิ” ชวาลีพูด สาวใช้คนหนึ่งอุ้มเด็กทารกออกมา ชวาลีรับเอามาอุ้ม “ตกลงจะท่านพ่อ ลูกจะทูลเจ้าพี่ ให้รับชวาลวุฒิเป็นพระโอรสบุญธรรม” ชวาลีพูด “ดีแล้วหละ บางที ต่อไปในภายภาคหน้า ชวาลวุฒิ อาจจะได้เป็นใหญ่เหนือกว่าพระโอรสเมษกรนั่น” ชัชวาลพูด “ถึงลูกจะไม่มีลูก แต่อย่างน้อยก็มีหลาน ชวาลวุฒิหลานรัก อาจะทำทุกอย่างให้เจ้าได้เป็นใหญ่ในแผ่นดินภัคบุรี” ชวาลีพูด
   ในตำหนักองค์เหนือหัวภูวนาท “อืม... ก็ดีเหมือนกันนะ มีลูกชายอีกสักคน จะได้คอยดูแลเมษกรด้วย ชวาลวุฒิเป็นพี่ เมษกรเป็นน้อง ได้ตกลงพี่จะรับชวาลวุฒิเป็นลูกบุญธรรมอีกคน” องค์เหนือหัวภูวนาทพูด “ขอบพระทัยเพคะ เป็นพระมหากรุณาธิคุณสำหรับหลานของหม่อมฉันจริงๆเพคะ” ชวาลียกมือไหว้ “ไม่เป็นไร หรอกชวาลี ตอนนี้ชวาลวุฒิเป็นลูกเราแล้วนะ พรุ่งนี้พี่จะประกาศให้ชาวภัคบุรีได้รับรู้ถึงศักดินา พี่จะรักชวาลวุฒิ เหมือนลูกแท้ๆ” องค์เหนือหัวภูวนาทพูด ชวาลียิ้มอย่างดีใจ “ชวาลวุฒิหลานรักของอา... อาจะทำให้เจ้าได้ดีให้ได้” ชวาลีพูดในใจ
   เวลาผันพ้นผ่านไป เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น เวลาก็ล่วงเลยผ่านไปถึงเก้าปี อุทยานในมหานคราภัคบุรี ดูสดชื่นยิ่งนัก พืชพรรณอุดมสมบูรณ์ น้ำดี ดินดี ภัคบุรีคือมหานครที่งดงามเปรียบประดุจเมืองสวรรค์จริงๆ
   ลานซ้อมรบ เด็กผู้ชายอายุราวๆเก้าปี แต่งตัวดีสง่างาม คือพระโอรสน้อยกำลังฟันดาบอยู่กับเด็กคนอื่นๆ ฝีมือนั้นฉกาจเกินกว่าเด็กธรรมดา พระโอรสน้อยกำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบ และแล้วก็มีเด็กผู้ชายแต่งตัวดีพอๆกันอีกคนเดินมา พระโอรสน้อยคนที่มาใหม่นั้นเดินมาสะกิดบริเวณแผ่นหลังของพระโอรสน้อยที่กำลังต่อสู้ “โอ๊ย...” พระโอรสน้อยที่กำลังต่อสู้ร้องลั่นเหมือนจะเจ็บปวดทรมานยิ่งนัก รีบวิ่งออกห่างทันที พระโอรสน้อยกัดฟันแน่นด้วยความเจ็บปวด “เจ็บเหรอเมษกร... พี่ขอโทษก็แล้วกัน” พระโอรสน้อยองค์นั้นพูด

Bootsabongkot

Re: เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: กันยายน 05, 2007, 07:20:32 PM »
“เจ็บเหรอเมษกร... พี่ขอโทษก็แล้วกัน” พระโอรสน้อยองค์นั้นพูด การต่อสู้ถูกหยุดลง “พวกเจ้าจะไปเล่นที่ไหนกันก็ไปซะ ไม่ต้องห่วงพระโอรสเมษกรหรอก” พระโอรสน้อยองค์นั้นพูด “พระเจ้าข้า” เด็กๆก็พากันแยกย้ายกันไป “ชวาลวุฒิ... เจ้ามีอะไรกับเรา” พระโอรสน้อยนามเมษกรเอ่ยถามเหมือนจะมองออกถึงความไม่เป็นมิตร “ปล่าว... พี่ก็แค่อยากจะชวนเจ้าไปหลังวัง” พระโอรสน้อยนามชวาลวุฒิพูด “ไปทำไม...” เมษกรพูด “ไปดูเค้าตีดาบกันไง” ชวาลวุฒิพูด ยังไม่ทันที่จะขาดคำพระโอรสเมษกรรีบพูดขึ้นทันที “ไม่” เมษกรพูด “เจ้าจะไม่คิดเลยเหรอ พี่อยากให้เจ้าไปเห็น ว่ากว่าจะมาเป็นดาบ เค้าทำกันยังไง” ชวาลวุฒิพูด “เรารู้แล้ว” เมษกรพูดอย่างหลีกเลี่ยง “เจ้ากลัวรึ” ชวาลวุฒิพูด “กลัวอะไร” เมษกรพูดเสียงกร้าว “ก็กลัวเหล็กเผาไฟแดงฉานไงหละ ดาบเพลิงหนะ” ชวาลวุฒิพูด “หยุดนะ อย่าพูดถึงดาบเพลิง... โอ๊ย...” เมษกรปวดหัวขึ้นมาทันที มาลย์มินตรารีบเข้ามาจับแขนพระโอรสของนาง “เมษกร... เป็นอะไรไปลูกแม่” มาลย์มินตราพูด “ชวาลวุฒิ... เจ้าทำอะไรน้อง” องค์เหนือหัวภูวนาทเดินมาอย่างกริ้วมาด้วย “ลูกก็แค่พูดถึงดาบเพลิง พูดถึงการตีดาบที่หลังวัง อยากให้น้องไปดูก็เท่านั้น แต่น้องก็ปวดหัวขึ้นมาดื้อๆ” ชวาลวุฒิพูด “เจ้ารู้ไม่ใช่เหรอว่าเมษกรไม่ชอบฟังเรื่องเกี่ยวกับโลหะร้อนๆ เจ้าจะพูดทำไม” องค์ภูวนาทพูด มาลย์มินตราโอบกอดพระโอรสของนางเอาไว้ “โอ๊ย... อย่าพระเจ้าข้าเสด็จแม่... โอ๊ยลูกเจ็บ” เมษกรร้องขึ้น มาลย์มินตราถึงกับน้ำตาไหล “แม่ขอโทษลูก... แม่ก็แค่อยากกอดเจ้าบ้าง เวรกรรมของแม่จริงๆ ที่กอดลูกไม่ได้” มาลย์มินตราพูด “เวรกรรมของลูกเหมือนกัน ลูกก็อยากให้เสด็จแม่กอด แต่ว่า... ทนทรมานไม่ไหวจริงๆพระเจ้าข้า” เมษกรน้ำตาคลอ “ชวาลวุฒิ... หลายครั้งแล้วนะ เห็นทีครั้งนี้พ่อคงจะต้องลงโทษเจ้าแล้ว” ภูวนาทกษัตริย์พูด “อย่าเพคะ” ชวาลีวิ่งเข้ามา นางโอบกอดพระโอรสชวาลวุฒิไว้อย่างอบอุ่น “เจ้าพี่อย่าทรงลงพระอาญาชวาลวุฒิเลยนะเพคะ ไหนบอกว่าจะรักเค้าเหมือนลูกไงเพคะ กษัตริย์ขัตติยะ ตรัสแล้ว คืนคำได้รึเพคะ” ชวาลีพูด เหนือหัวภูวนาทถอนใจแล้วไปประคองมเหสีมาลย์มินตราเดินไปด้วยกันกับพระโอรสเมษกรด้วย ชวาลีมองตามอย่างแอบอิจฉาในใจ
   ในตำหนักของชวาลี ชวาลีร้องไห้กอดพระโอรสชวาลวุฒิไว้อย่างเจ็บแค้นใจ “เจ้าพี่คอยเข้าข้างพวกมันอยู่เรื่อย... ชวาลวุฒิ ความผิดของเจ้ามากเพียงหรือลูก ทำไมเสด็จพ่อต้องทำโทษ ลูกแม่ไม่ได้ทำผิดอะไรนักหนา เจ้าพี่พระทัยร้าย พระทัยร้ายที่สุด” ชวาลีร้องไห้ “เสด็จแม่อย่ากันแสงเลยพระเจ้าข้า เสด็จพ่อไม่รักลูกหรอก ลูกไม่ใช่ลูกแท้ๆของเสด็จพ่อ” ชวาลวุฒิพูด “แต่เจ้าต้องได้ดีกว่าเมษกร ชวาลวุฒิ... ลูกแม่ทั้งเก่งกาจอาจหาญ พอๆกับพระโอรสเมษกรนั่นแหละ ทำไม... ทำไมไม่มีใครชื่นชมลูกแม่บ้างเลย” ชวาลีพูด “พระโอรสบุญธรรมหรือจะสู้พระโอรสแท้ๆพระเจ้าข้า” ชวาลวุฒิพูด “แม่จะกำจัดพวกมันออกไป แม่จะทำทุกอย่าง แม่จะช่วยเจ้าชวาลวุฒิ ไม่นาน พวกมันต้องกระเด็นออกไปจากเมืองนี้” ชวาลีพูด
   ค่ำคืนดึกดื่นแล้ว ในตำหนักพระมเหสีมาลย์มินตรา พระโอรสเมษกรก็ประทับอยู่กับพระมารดา รวมทั้งคุณท้าววิไลด้วย เมษกรตื่นขึ้นมาตอนกลางดึก เมษกรลุกขึ้นและหันไปมองพระมารดาที่ยังคงหลับสนิท คุณท้าววิไลเองก็หลับสนิทอยู่เช่นกัน พระโอรสน้อยตัดสินใจลุกออกไป
   เหมือนทุกอย่างจะถูกตระเตรียมไว้แล้ว ในเวียงวังภัคบุรีช่างเงียบงัน แต่สิ่งที่เมษกรพบคือกลิ่นคาวเลือด “กลิ่นเลือด...” เมษกรพูดและตามกลิ่นนั้นไป เมษกรเดินไปจนพบร่างของพวกทหารที่ถูกฆ่าตายสองสามคน ชวาลวุฒิเดินมาข้างหลังแล้วเมษกรล้มลงไปที่กองเลือดพวกนั้น “ชวาลวุฒิ” เมษกรเรียก “ตามมาสิ” ชวาลวุฒิพูดและวิ่งไป
   ในตำหนักองค์เหนือหัวภูวนาท ในยามราตรีการ องค์เหนือหัวก็ทรงบรรทมอยู่เช่นกัน พระโอรสน้อยชวาลวุฒิวิ่งเข้ามาพร้อมกันกับชวาลี “เจ้าพี่เพคะ” ชวาลีเรียก องค์เหนือหัวภูวนาทรู้สึกตัวขึ้น “ชวาลี ชวาลวุฒิ เจ้าเข้ามาในนี้ได้ยังไง” องค์ภูวนาทพูด “ก็พวกทหารของเจ้าพี่หลับยามกันเสียหมดนาสิเพคะ พระโอรสเมษกรถึงก่อเรื่อง... หม่อมฉันกลัว ไม่กล้าอยู่ในตำหนักเลย” ชวาลีพูด “ทำไม เรื่องอะไรกัน” องค์ภูวนาทพูด เมษกรวิ่งเข้ามาในขณะที่ทั้งเนื้อทั่วเปื้อนเลือดเต็มไปหมด “เกิดอะไรขึ้น” องค์ภูวนาทพูดอย่างตกใจ “มันเป็นปีศาจพระเจ้าข้าเสด็จพ่อ” ชวาลวุฒิพูด “หม่อมฉันกลัวเหลือเกินเพคะเจ้าพี่” ชวาลีพูด “ไม่จริงนะพระเจ้าข้าเสด็จพ่อ” เมษกรพูด “มีหลักฐานด้วยนะพระเจ้าข้าเสด็จพ่อ” ชวาลวุฒิพูด “หลักฐานอะไร” องค์ภูวนาทพูด “ร่างของพวกทหารที่ถูกเมษกรฆ่าไงเพคะเจ้าพี่ เมษกรต้องการเลือด... ตามคำทำนายของท่านโหรหลวง เมษกรคงกำลังตามหาเลือดของคนที่สร้างแผลนี้... อยู่ไม่ได้แล้วเพคะน่ากลัวเหลือเกิน” ชวาลีเข้าไปกอดองค์ภูวนาท องค์ภูวนาทโอบกอดนางเอาไว้อย่างปลอบขวัญ
   ใกล้รุ่ง ในตำหนักองค์ภูวนาท “เกิดอะไรขึ้นเพคะเจ้าพี่” มาลย์มินตราเดินเข้ามา “เมษกร... เมษกรกลายเป็นปีศาจไปแล้วมาลย์มินตรา” องค์ภูวนาทรับสั่ง “อะไรนะเพคะ... ไม่จริง หม่อมฉันเชื่อใจลูกของหม่อมฉัน เมษกรไม่มีทางกลายเป็นปีศาจไปได้” มาลย์มินตราพูด “หม่อมฉันก็เชื่อเช่นนั้นเพคะ” คุณท้าววิไลพูด “เมษกรฆ่าคนตายสามศพ รอยเลือดก็เปื้อนอยู่เต็มตัว นี่ไงหละหลักฐาน” ชวาลีพูด มาลย์มินตราน้ำตาไหลรินลงอาบแก้ว นางขยับตัวเข้าไปใกล้พระโอรสของนาง นางใช้มือเช็ดรอยเลือดที่เปื้อนเปรอะตามตัวลูกแล้วร้องไห้ไปด้วย เมษกรเองก็ร้อง “ลูกไม่ได้ทำจริงๆนะพระเจ้าข้าเสด็จแม่ เสด็จพ่อไม่เชื่อลูกเลย” เมษกรพูด “เจ้าพี่... เมตตาลูกด้วยเถอะเพคะ” มาลย์มินตราพูด “หลักฐานมันฟ้องอยู่ พี่คงต้องให้เมษกรออกจากภัคบุรี” องค์ภูวนาทพูด “เจ้าพี่...

nanajung

Re: เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: กันยายน 05, 2007, 10:18:27 PM »
 :D  :D ;D แล้วมาต่ออีกนะจ๊ะน้องยิม

nidajung

Re: เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: กันยายน 06, 2007, 07:08:30 PM »
รออยู่ค๊าบ ;)

Bootsabongkot

Re: เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: กันยายน 07, 2007, 09:42:15 PM »
“หลักฐานมันฟ้องอยู่ พี่คงต้องให้เมษกรออกจากภัคบุรี” องค์ภูวนาทพูด “เจ้าพี่... อย่าเลยเพคะ ลูกไม่มีความผิด” มาลย์มินตราพูด “ลูกไม่ได้ทำจริงๆนะพระเจ้าข้า ลูกแค่หกล้มใส่กองเลือด” เมษกรพูด ดูเหมือนว่าองค์ภูวนาทจะไม่สนใจในคำแก้ตัว องค์ภูวนาทตัดใจพูดออกไป “พรุ่งนี้ พ่อจะให้ทหารไปส่งเจ้าที่ชายแดน” องค์ภูวนาทพูด ชวาลียิ้มนิดๆ ชวาลวุฒิเองก็เช่นกัน “เจ้าพี่...” มาลย์มินตราพูดอย่างผิดหวัง “ถ้างั้น... หม่อมฉันขอไปกับลูกนะเพคะ” มาลย์มินตราพูด “ถ้าเจ้าอยากจะอยู่กับปีศาจ... ก็ตามใจ” องค์ภูวนาทพูดอย่างเรียบเฉยแล้วเดินจากไปทั้งๆที่น้ำตาคลออยู่ “เจ้าพี่เพคะ รอด้วยสิเพคะ” ชวาลีรีบตามไป ชวาลวุฒิหันมองเมษกร “เจ้าแพ้พี่แล้ว เมษกร” ชวาลวุฒิพูดและเดินไป
   รุ่งเช้าวันต่อมา ที่กำแพงเมืองภัคบุรี พระมเหสีมาลย์มินตรา และ พระโอรสเมษกรเตรียมตัวกำลังจะออกจากเมือง คุณท้าววิไลก็มาส่งด้วย “เชิญเสด็จได้แล้วพระเจ้าข้า” ขุนเวียงราชพูด “เสด็จแม่พระเจ้าข้า... เสด็จพ่อจะไม่เสด็จมาส่งเราเหรอพระเจ้าข้า” เมษกรพูด มาลย์มินตราหันมามองพระโอรสน้อยข้างๆน้ำตาไหล “คงไม่หรอกจะ ไปกันเถอะลูกเมษกร... เราจะไปแล้วนะ คุณท้าววิไล” มาลย์มินตราพูด “โถ่พระมเหสี พระโอรส หม่อมฉันไม่อยากให้เสด็จไปเลยจริงๆเพคะ” คุณท้าววิไลพูด “เราก็ไม่อยากไปไหนเหมือนกันคุณท้าว” เมษกรพูด “”โถ่ พระโอรส... ทูนหัวของหม่อมฉัน” คุณท้าววิไลพูด “ข้าพระองค์จะนำเสด็จไปที่เรือนท่านกรองฤทธิ์นะพระเจ้าข้า” ขุนเวียงราชพูด “ท่านกรองฤทธิ์... ใครเหรอพระเจ้าข้าเสด็จแม่” เมษกรถามอย่างสงสัย “ท่านกรองฤทธิ์หนะมีสำนักฝึกศัสตราวุธอยู่ตรงชายแดนภัคบุรีหนะลูก เมื่อก่อน เค้าเคยมารับราชการในวัง เค้าเป็นขุนทหารที่มีฝีมือฉกาจกล้าคนหนึ่ง” มาลย์มินตราพูด “เชิญเสด็จพระเจ้าข้า” ขุนเวียงราชพูด
   กลางป่า ขุนเวียงราชขี่ม้านำไป ในขณะที่พระมเหสีมาลย์มินตรา และ พระโอรส เมษกร ขี่ม้าตาม แล้วปิดท้ายด้วยเหล่าทหารที่คุมหลังอยู่ ในขณะที่เดินทางนั้น เกิดมีพายุพัดกระหน่ำ “ท่าทางจะไม่ไหวแล้วพระเจ้าข้าพระมเหสี” ขุนเวียงราชพูด “ทำยังไงดีพระเจ้าข้าเสด็จแม่” เมษกรพูด “พระโอรส พระมเหสี ระวังพระองค์ด้วยนะพระเจ้าข้า” ขุนเวียงราชพูด และแล้ว ม้าที่พระโอรสเมษกร และ พระมารดาขี่อยู่นั้น ก็เกิดพยศขึ้นมา “เกิดอะไรขึ้นหนะลูก” มาลย์มินตราพูด “เสด็จแม่จับแน่นๆนะพระเจ้าข้า ม้าพยศ” เมษกรพูด ม้าตัวนั้นวิ่งออกไปไกล วิ่งไม่หยุด “พระมเหสี พระโอรส” ขุนเวียงราชพูดอย่างตกใจและรีบขี่ม้าตามไป
   ม้าตัวนั้นวิ่งออกไปไกลสุดที่ขุนเวียงราชจะตามทัน พายุก็ยังกระหน่ำอยู่ พระมเหสีมาลย์มินตรา และ พระโอรสน้อยตกจากหลังม้า แล้วม้าก็วิ่งไป พายุค่อยๆเบาบางลง มาลย์มินตราเข้าไปประคองพระโอรสของนาง “เป็นไงบ้างลูก เมษกร” มาลย์มินตราพูด “ไม่เป็นอะไรพระเจ้าข้าเสด็จแม่” เมษกรพูด พายุที่โถมกระหน่ำดูเหมือนจะสงบลงแล้ว แสงทองเปล่งกระจ่างอยู่กลางเวหา แสงทองสว่างกลายมาเป็นร่างขององค์เทพเตชภาส มาลย์มินตรา และ เมษกรตกใจมาก มาลย์มินตราเผลอโอบกอดพระโอรสของนางเอาไว้ “โอ๊ย...” เมษกรร้องขึ้น มาลย์มินตรารีบปล่อยมือ “เออ... เมษกร แม่ขอโทษ แม่ขอโทษ แม่ลืมไป” มาลย์มินตราพูด “ไม่เป็นไรหรอกพระเจ้าข้าเสด็จแม่” เมษกรพูด “ดูรักใคร่กันดีนะ ทั้งแม่ทั้งลูก” เตชภาสเทพพูด “ท่านเป็นใคร ต้องการอะไร” มาลย์มินตราพูด “เราคือเตชภาสเทพ เทพแห่งแสงรังสี สิ่งที่เราต้องการก็คือ ชีวิตของไอ้เจ้าเด็กคนนี้” เตชภาสเทพพูดเสียงแข็งกร้าว มาลย์มินตราท่าทางจะหวาดกลัวแต่เมษกรยังมั่นคง “เราไม่มีความแค้น...” มาลย์มินตราพูดยังไม่จบ เตชภาสเทพก็แทรกขึ้นมาทันที “รู้ได้ยังไงว่าไม่มี” เตชภาสเทพพูด มาลย์มินตราถึงกับเงียบกริบ “ไอ้เด็กคนนี้ มันพรากแก้วตา และ ดวงใจของเราไป มันจะต้องชดใช้อย่างสาสม” เตชภาสพูด “แค่นี้ก็สาสมแล้วหนิ ลูกของเราทรมานมากมายเท่าไหร่เราเชื่อว่าท่านรู้” มาลย์มินตราพูด “ยังไม่พอ เจ้าต้องเจ็บมากกว่านี้อีก เมษวุฒิ เจ้าทำร้ายภาสภัสสร และ ภาสุวรรณบุตรีของเราในคราเดียวกัน เจ้ากล้าหยามใจบุตรีทั้งสองของเรา เจ้าต้องรับกรรม” เตชภาสพูด “เราก็แค่เด็กธรรมดา จะไปหยามใจใครได้ยังไง เราก็อยู่แต่ที่ภัคบุรี ตั้งเกิด จนมาถึงตอนนี้” เมษกรพูด “เจ้ากล้ายอกย้อนเรางั้นเหรอ ตายซะเถอะ” เตชภาสเทพพูด เตชภาสรวมพลังไว้ในมือและกำลังจะสาดใส่ มาลย์มินตรา และ เมษกร แต่ก็มีแสงๆหนึ่งฉายมาวาบเอาตัวพระโอรสน้อยเมษกร และ พระมารดาไป “ใครมาช่วยมันไว้นะ” เตชภาสเทพพูด
   ที่อีกมุมหนึ่งของป่า แสงหนึ่งฉายมา ร่างของพระโอรสเมษกร และ พระมเหสีมาลย์มินตราปรากฏขึ้น และก็มีเด็กผู้หญิงอีกคน แต่งตัวดี “ปลอดภัยแล้วนะ” เด็กผู้หญิงคนนั้นส่งยิ้มให้ “ขอบใจหนูมากนะจ๊ะ หนูเป็นใครกัน” มาลย์มินตราถามอย่างอ่อนโยน “ใช่ เจ้าเป็นใครกันเหรอทำไมถึงมีพลังแบบนั้นด้วย” เมษกรพูด “เราชื่อภาสสุนันท์ เป็นพระธิดาของเสด็จพ่อภินท์ไพรี เจ้าแห่งนคร ภิรมย์วงศ์ แล้วเจ้าหละ” เด็กผู้หญิงน่ารักน่าเอ็นดูคนนั้นพูด “เราชื่อเมษกร เป็นพระโอรสของเสด็จพ่อภูวนาท เจ้าแห่งนครภัคบุรี” เมษกรพูด “แล้วทำไมถึงมาอยู่ในป่าสภาพนี้” พระธิดาน้อยพูด “ป้าถูกใส่ร้าย อำมาตย์ชัชวาล บิดาแห่งพระมเหสีอีกคนของเจ้าพี่ คิดการใหญ่ หวังจะให้หลานชายได้เป็นใหญ่ในแผ่นดินภัคบุรี จึงหาทางกำจัดป้า และเมษกร” มาลย์มินตราพูด “อ๋อ เข้าใจแล้วเพคะ ถ้างั้นหม่อมฉันจะลองถามเสด็จพ่อดูว่ารู้จักเมืองภัคบุรีรึปล่าว” ภาสสุนันท์พูด “นครภัคบุรี และ นครภิรมย์วงศ์ เป็นเมืองพี่เมืองน้องกันอยู่แล้ว เพราะว่ามีชายแดนติดกัน น้าอยากจะขอเข้าเฝ้าเสด็จพ่อของเจ้า” มาลย์มินตราพูดและยิ้มอ่อนโยนให้กับพระธิดาน้อย “ได้สิเพคะ พลับพลาอยู่ทางโน้นหม่อมฉันจะพาไป” ภาสสุนันท์พูด

nidajung

Re: เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: กันยายน 08, 2007, 01:59:44 PM »
เย้ อัพแล้ว ;D

Bootsabongkot

Re: เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: กันยายน 09, 2007, 03:47:14 PM »
ที่พลับพลาของเจ้านครภิรมย์วงศ์ องค์เหนือหัวภินท์ไพรี ประทับอยู่กับพระมเหสีสองพระองค์ พร้อมด้วยองค์พระธิดาองค์น้อยๆอีกพระองค์ “เสด็จพ่อเพคะ” พระธิดาน้อยภาสสุนันท์เข้ามาหาพระบิดาที่นั่งเคียงพระมเหสีฝ่ายขวา และพระธิดาน้อยนั่งอยู่ตรงกลาง “ภาสสุนันท์ มานั่งกับแม่ดีกว่าลูก” พระมเหสีฝ่ายซ้ายที่นั่งอยู่อีกแท่นเรียก “แต่ว่าน้องพิลาสฤดี ยังนั่งกับเสด็จพ่อได้เลยนี่เพคะ” ภาสสุนันท์พูด “แต่ เจ้าเป็นลูกแม่ แม่เป็นแค่มเหสีฝ่ายซ้าย ลูกจะเข้าไปอยู่เทียมเทียบพระธิดาพิลาสฤดี ที่เกิดกับมเหสีฝ่ายขวาได้เช่นไร” มเหสีฝ่ายซ้ายพูด ภาสสุนันท์ถอนใจเล็กน้อยและเดินมานั่งข้างๆพระมารดา “เจ้าก็เคร่งเรื่องยศศักดิ์มากไปได้ ศรีสุภา” องค์เหนือหัวภินท์ไพรีพูด “ใช่ ภาสสุนันท์ก็เป็นพระธิดาของเจ้าพี่เหมือนกันนะศรีสุภา ซ้ำยังเป็นพระธิดาองค์แรกอีกด้วย” พระมเหสีฝ่ายขวาพูด “โถ่พระพี่นางสุรางรัตน์เพคะ น้องเป็นคนอบรมนางกำนัลเรื่องกฎเกณฑ์ และ ศักดินา หากน้องปล่อยให้ลูกลืมศักดินา นางกำนัลที่ไหนจะเชื่อถือน้องเล่า” ศรีสุภาพูด “จริงของเจ้า” องค์เหนือหัวภินท์ไพรีพูด “เออ แล้วพี่ภาสสุนันท์รีบเข้ามาแบบนี้ มีอะไรรึปล่าวเพคะ” พระธิดาน้อยนามพิลาสฤดีที่นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างองค์เหนือหัวกับมเหสีฝ่ายขวาเอ่ยถามพระพี่นางที่นั่งอยู่ข้างพระมเหสีฝ่ายซ้าย “อ๋อ เกือบลืมไปเลย เสด็จพ่อเพคะ พระมเหสีจากภัคบุรีขอเข้าเฝ้าหนะเพคะ” ภาสสุนันท์พูด “ให้นางเข้ามา” เหนือหัวภินท์ไพรีพูด พระมเหสีมาลย์มินตรา และ พระโอรสเมษกรเดินเข้ามา เมื่อเข้ามาถึงก็ก้มลงกราบ “มาลย์มินตรา” ศรีสุภาลุกขึ้นยืนอย่างตกใจและดีใจที่ได้พบ “พระพี่นาง” มาลย์มินตรายิ้มออก “เจ้าพี่เพคะ มาลย์มินตราเป็นน้องสาวของหม่อมฉันเองเพคะ” ศรีสุภาพูด
   ในพลับพลา ตะวันคล้อยใกล้จะตกดินแล้ว “เรื่องมันก็เป็นอย่างที่หม่อมฉันทูลถวายนั่นแหละเพคะ เจ้าพี่ไม่เชื่อใจเมษกรเลย เป็นเวรกรรมของหม่อมฉันกับลูกจริงๆ” มาลย์มินตราพูด “ไม่ต้องห่วงหรอกนะมาลย์มินตรา เจ้าเป็นน้องสาวของศรีสุภา ก็เหมือนน้องของเรา ถ้าไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน ก็อยู่ด้วยกันที่ภิรมย์วงศ์สิ เราจะแต่งตั้งเจ้าเป็นพระขนิษฐา แล้วก็แต่งตั้งเมษกรเป็นพระโอรสบุญธรรม เผลอๆจะให้เป็นองค์รัชทายาทเลยด้วยซ้ำ” เหนือหัวภินท์ไพรีพูด “เป็นพระมหากรุณาธิคุณเพคะ” มาลย์มินตราพูด “เป็นพระมหากรุณาธิคุณพระเจ้าข้า” เมษกรพูด “เสด็จพ่อเพคะ พี่สุพรรณวิลาสยังไม่เสด็จกลับมาเลย” พระธิดาน้อยนามพิลาสฤดีพูด “จริงสินะ สุพรรณวิลาสออกไปเที่ยวเล่นตั้งแต่ตอนบ่ายๆ เพลานี้สุริยนย้ำสนธยาแล้ว ยังไม่กลับมาอีก” พระมเหสีฝ่ายขวา นามวรางรัตน์พูด “ลูกออกไปตามเองเพคะ” พระธิดาภาสสุนันท์อาสา “เราไปด้วย” เมษกรพูด “ตามมาสิ” ภาสสุนันท์พูด
   ในถ้ำแห่งหนึ่ง “พี่ชบา เห็นกงจักรตรงนั้นไหม” พระธิดาน้อยองค์หนึ่งเอ่ยขึ้น นางรับใช้มองตามที่พระธิดารับสั่งเห็นกงจักรลอยอยู่ในถ้ำ “เห็นเพคะ แต่หม่อมฉันว่า พระธิดาอย่าสนใจเลยนะเพคะ รีบกลับพลับพลาก่อนเถอะตะวันตกแล้ว” นางรับใช้พูด “ไม่... เราอยากได้กงจักรนั่น” พระธิดาน้อยยืนยัน “โถ่พระธิดา แต่พระบิดา พระมารดาจะทรงเป็นห่วงนะเพคะ เสด็จกลับพลับพลาก่อนเถอะนะเพคะ” ชบาพูดอย่างเกลี่ยกล่อม “ก็บอกว่าไม่ยังไงหละ ไม่ได้ยินเหรอ อยู่เฉยๆน่า” พระธิดาน้อยพูดและเข้าไปหมายจะเอากงจักรนั่นมาเป็นของตน กงจักรหมุนอย่างแรงและเร็ว พระธิดาน้อยไม่ทันระวังถูกบาดเอาที่แขนข้างขวาพระธิดาน้อยรีบถอยออกห่าง “พระธิดาสุพรรณวิลาส” ชบาเรียกอย่างตกใจแล้วถ้ำนั่นก็สั่นไหว “แย่แล้ว” ชบาพูด “รีบออกไปจากถ้ำเร็วชบา” พระธิดาน้อยพูดและรีบวิ่งออกจากถ้ำนั้นทันที
   ในป่า ชบา และ พระธิดาน้อยนามสุพรรณวิลาสวิ่งมาหยุดอย่างหอบเหนื่อย “แทบจะไม่รอดแล้วเห็นไหมเพคะ” ชบาพูด “ใครมันจะไปรู้หละ” สุพรรณวิลาสพูดอย่างดื้อดึง “แล้วนี่จะบอกคนอื่นว่ายังไงหละเพคะ เรื่องแผลเนี่ย” ชบาพูด สุพรรณวิลาสก้มมองแผลท่าทางเจ็บไม่เบาเลย “ก็บอกไปว่า...” พระธิดาน้อยยังไม่ทันเอ่ย แสงสว่างก็ฉายวาบมาตรงหน้าเกิดเป็นร่างของพระธิดาภาสสุนันท์ และ พระโอรสเมษกร “น้องสุพรรณวิลาส เสด็จพ่อเป็นห่วงเจ้าแทบแย่ แล้วนี่แขนไปโดนอะไรมา” ภาสสุนันท์พูด “เจอพวกโจรป่าหนะเพคะ พี่ภาสสุนันท์ น้องก็เลยสู้กับมัน” สุพรรณวิลาสพูด “จริงเหรอชบา” ภาสสุนันท์หันไปถาม สุพรรณวิลาสมองชบาอย่างนัดแนะ “เพคะ จริงเพคะ” ชบาพูด “พี่ภาสสุนันท์ แล้วนี่ใครกันเหรอเพคะ” สุพรรณวิลาสมองเมษกรอย่างสงสัย “เค้าชื่อเมษกร เป็นหลานของเสด็จแม่ศรีสุภา เสด็จพ่อจะรับเป็นพระโอรสบุญธรรม เรากำลังจะมีพี่ชายอีกคนนะน้องสุพรรณวิลาส” ภาสสุนันท์พูด “งั้นเหรอ... เจ้าจะมาเป็นพี่ชายเราเหรอ เมษกร” สุพรรณวิลาสพูด “ใช่ เราก็เป็นพี่ชายเจ้าแล้วนี่นา” เมษกรพูด “ไม่ใช่... เจ้าเป็นหลานเสด็จป้าศรีสุภา ไม่ใช่หลานเสด็จแม่ของเราซะหน่อย เจ้าจะเป็นพี่ชายเราได้ยังไง” สุพรรณวิลาสพูด “เสด็จพ่อบอกจะแต่งตั้งเค้าเป็นพระโอรสบุญธรรมเมื่อกลับภิรมย์วงศ์นะ น้องสุพรรณวิลาส” ภาสสุนันท์พูด “แล้วแต่งตั้งรึยังหละเพคะ” สุพรรณวิลาสยอกย้อนก่อนจะแยกไป “พระธิดา รอด้วยเพคะ” ชบารีบตามเจ้านายไป “ไม่ถือสาใช่ไหม เมษกร” ภาสสุนันท์พูด เมษกรถอนใจแรงๆ “ท่าทางเค้าจะไม่รับเราเป็นพี่ชาย ...เราก็จะไม่รับเค้าเป็นน้องสาวเหมือนกัน” เมษกรพูด
   คืนนั้นที่พลับพลา ทุกอย่างยังคงเงียบสงัด กลางดึกแสงไฟแวบวาบปลาบแปลบแล่นไปทั่วท้องนภา มาลย์มินตราตกใจตื่นขึ้น นางมองขึ้นไปบนฟากฟ้าอย่างกังวลใจ “เสด็จแม่ มีอะไรเหรอพระเจ้าข้า” เมษกรตื่นตามพระมารดา “แม่กำลังคิดว่าแสงไฟพวกนั้นตามเรามา” มาลย์มินตราพูด “แล้วเราจะทำยังไงกันดีหละพระเจ้าข้าเสด็จแม่” เมษกรพูด “เมษกร... เจ้าคิดเหมือนแม่ไหม” มาลย์มินตราพูด “เสด็จแม่ทรงดำริอะไรอยู่หละพระเจ้าข้า” เมษกรพูด “แม่คิดว่า แม่ไม่อยากทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนเรื่องของเรา เจ้าคิดเหมือนแม่ใช่ไหม” มาลย์มินตราพูด “พระเจ้าข้า” เมษกรพูด “งั้นไปกันเถอะลูก ก่อนที่แสงไฟพวกนั้นจะโจมตีเราแล้วทำให้พวกภิรมย์วงศ์ต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย” มาลย์มินตราพูด “พระเจ้าข้า” เมษกรพูดและทั้งสองแม่ลูกก็พากันออกไปจากพลับพลาของเมืองภิรมย์วงศ์เพียงลำพังสองแม่ลูก ในขณะที่แสงไฟนั้นเริ่มมากขึ้นทุกที

nidajung

Re: เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: กันยายน 10, 2007, 09:36:01 PM »
 ;D ;D ;D

nanajung

Re: เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: กันยายน 11, 2007, 10:32:32 PM »
 ;D แล้วมาต่อ อีกนะคะ น้องยิม

Bootsabongkot

Re: เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: กันยายน 12, 2007, 04:28:18 PM »
   ในป่า กลางราตรีกาล พระมเหสีแห่งภัคบุรี และ ราชโอรสเดินอยู่ในป่า แสงไฟนั่นเริ่มโจมตีเข้ามา ทั้งสองแม่ลูกต้องพากันวิ่งหลบ ทั้งสองแม่ลูกลำบากมาก ความมืดที่กลืนกินทั่วธาตรีก็เป็นอุปสรรคเช่นกัน มาลย์มินตรา และ เมษกรต่างก็ล้มลุกคลุกคลานกันไป แล้วก็มีร่างเด็กผู้ชายสองคนกระโดดลงมาขวางกั้น คนหนึ่งคือคนที่รู้จักดี “ชวาลวุฒิ” มาลย์มินตรา และ เมษกรเอ่ยพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดแนะ ส่วนอีกคนนั้น มาจากที่ไหนไม่รู้ “เรามาเอาชีวิตพวกเจ้า” เด็กผู้ชายคนที่มากับชวาลวุฒิพูด มาลย์มินตรา และ เมษกรจะรีบวิ่งหนีไป มาลย์มินตราเกิดหกล้มลง “เสด็จแม่” เมษกรหันมาช่วยพระมารดา “ไม่เป็นไรลูก รีบไปกันเถอะ” มาลย์มินตรารีบลุกขึ้นแม้จะยังเจ็บขาอยู่ ชวาลวุฒิ และ คู่หูรัวลูกไฟใส่ พระโอรสน้อย และ พระมารดารีบก้มลงหลบ “เจ้ามีพระเวทด้วยเหรอชวาลวุฒิ” มาลย์มินตราพูด “ก็มีนาสิ เสด็จป้าอย่าคิดว่าหลานเก่งน้อยกว่าเมษกรสิพระเจ้าข้า ที่หลานยอมแพ้เมษกรทุกครั้งเวลาฟันดาบ ก็เพราะไม่อยากมีเรื่องกับเสด็จพ่อ” ชวาลวุฒิพูด “ไม่เห็นต้องทำอย่างนั้น เสด็จพ่อไม่กริ้วหรอกถ้าเจ้าจะชนะเราหนะ” เมษกรพูด “ถ้างั้นเราขอชนะเจ้าสักคราหนึ่งเถอะ” ชวาลวุฒิพูดและสาดพลังของตนกระหน่ำใส่มาลย์มินตรา และ เมษกร ทั้งสองแม่ลูกรีบวิ่งหนีต่อไป
สองแม่ลูกวิ่งหนีไปจนถึงบริเวณหินผาบริเวณหนึ่ง บริเวณนั้นเป็นซอกเขา “เมษกร ลูกจะหนีไปในซอกเขานั่นเหรอลูก” มาลย์มินตราพูด “พระเจ้าข้า ไม่มีทางอื่นแล้ว” เมษกรพูด “แต่มันจะตันรึปล่าวก็ไม่รู้” มาลย์มินตราพูด ชวาลวุฒิ และ เด็กผู้ชายอีกคนโจมตีด้วยพลังไร้เทียมทานมาจนมาลย์มินตรา และ เมษกรต้องตัดสินใจเข้าไปในซอกเขานั้น ชวาลวุฒิจะตามเข้าไป เด็กผู้ชายอีกคนรั้งแขนไว้ “เดี๋ยว” เด็กคนนั้นพูด “ทำไมหละกูณฑ์รังสี” ชวาลวุฒิพูด “ทำลายชอกเขานี่ให้ถล่มทับพวกมันให้ตายเลยดีกว่า” เด็กผู้ชายนามว่ากูณฑ์รังสีเอ่ยขึ้น “จริงสิ” ชวาลวุฒิพูด ทั้งสองรวมพลังกันทำลายซอกเขา
ในซอกเขา พระโอรสน้อย และ พระมารดาวิ่งหนีเหล่าไพรีอยู่นั้น รอบกายก็สั่นไหวสั่นเครือไปเสียหมด เมษกรล้มลงหลังกระแทกกับพื้น “โอ๊ย” บาดแผลที่เป็นมาตั้งแต่เกิดทำให้พระโอรสน้อยต้องเจ็บปวดทรมานจนลุกไม่ขึ้น มาลย์มินตราหันมามอง “เมษกร” นางเรียกชื่อลูกชายอย่างตกใจ นางเงยหน้าขึ้นมอง ซอกเขากำลังจะถล่มลงมา น้ำตาของนางไหลรินลงอาบแก้ม “เราคงต้องตายแน่ๆแล้วหละลูกเอ๋ย” มาลย์มินตราพูด
ชั่วพริบตาเดียว ซอกเขานั้นพังลงมาถล่มลาย ชวาลวุฒิ และ กูณฑ์รังสีมองดูอย่างพอใจ “ไปกันเถอะ” กูณฑ์รังสีพูด และเด็กผู้ชายสองคนนั่นก็กระโดดขึ้นและเหาะออกไป
ชั่วครู่หลังจากที่ซอกเขาถล่มทลายลงมานั้น แสงๆหนึ่งเปล่งขึ้นกระจ่างวาบ เศษซากของซอกเขากระจายออกคนละทิศคนละทาง ร่างของมาลย์มินตรานั้นสลบอยู่ภายใต้เศษซากของซอกเขา ไม่หากจากเด็กผู้ชายคนหนึ่ง พระโอรสเมษกรนั่นเอง พระโอรสน้อยสวมเกราะบางอย่างอยู่ เกราะนั้นเปล่งแสงสีแดงกระจ่างวาบ แสงนั้นเปล่งขึ้นเจิดจ้าแล้วค่อยๆหายไป
พักใหญ่ พระมเหสีมาลย์มินตราก็รู้สึกพระองค์ขึ้น นางขยับตัวช้าๆ แล้วค่อยๆลุกขึ้นนั่ง “นี่เรายังไม่ตายเหรอเนี่ย” มาลย์มินตราพูดและหันไปมองข้างๆ พระโอรสของนางสวมเกราะอะไรบางอย่างอยู่ “เมษกร” มาลย์มินตราเรียกอย่างแปลกใจ เมษกรเริ่มขยับอย่างรู้สึกตัว เมษกรลุกขึ้นนั่ง เกราะสีโลหิตที่สวมใส่อยู่ดูช่างทรงพลังยิ่งนัก “เสด็จแม่” เมษกรพูด มาลย์มินตรายิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วโอบกอดพระโอรสของนางเอาไว้ในอกอย่างอบอุ่นยิ่งนัก พระโอรสเมษกรก็นิ่งอยู่ในอ้อมกอดของพระมารดา ไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่ทุรนทุรายทรมานอย่างเช่นที่เคย มาลย์มินตรานึกขึ้นได้ก็คลายกอด “ไม่เจ็บเหรอลูก” มาลย์มินตราพูด “ไม่เลยพระเจ้าข้า ไม่มีแผลเลย” เมษกรพูด มาลย์มินตราจ้องมองพระโอรสอย่างดีใจ “คงเป็นเพราะเกราะนี่... แม่ดีใจเหลือเกิน ลูกรักของแม่...” มาลย์มินตราโอบกอดพระโอรสอย่างอบอุ่น “ลูกได้กอดเสด็จแม่แล้ว” เมษกรพูด และแล้วก็มีตัวประหลาดตัวหนึ่งโผล่มา “อยู่นี่เอง เกราะกาลจักร... นี่ไง นี่ไงสิ่งที่ข้าเฝ้ารอมานานแสนนาน ในที่สุด กงจักรกาลจักร ก็กลายมาเป็นเกราะจนได้ โอ้โห วิจิตพิสดารอะไรอย่างนี้” เจ้าตัวประหลาดพูด มาลย์มินตรารีบกอดพระโอรสของนางไว้ “ตัวอะไรเนี่ย” มาลย์มินตราพูด “ข้านาเหรอ ข้าคือ เทพวานรผู้ยิ่งใหญ่ไงหละ” เจ้าตัวประหลาดตัวนั้นพูด มันมีรูปร่างหน้าตาคล้ายคนผสมลิง “นี่นาเหรอเทพวานร ลูกว่าสัตว์นรกมากว่า” เมษกรพูด “อะไร เท่ห์แบบนี้เนี่ยนะสัตว์นรก พูดไปได้” เจ้าตัวประหลาดพูด “แล้วนี่เจ้าเป็นใคร เจ้าเป็นเจ้าของเกราะนี่เหรอ” มาลย์มินตราพูด ตัวประหลาดหัวเราะชอบใจ “แหม แม่เจ้านี่ตาถึงจริงๆ ถูกต้องแล้ว เกราะนี่เป็นของข้า” เจ้าตัวประหลาดพูด “แน่เหรอ สัตว์นรกอย่างเจ้าเนี่ยนะเจ้าของเกราะ” เมษกรพูด “นี่...” ตัวประหลาดคิดจะหาเรื่อง “อย่าทำอะไรลูกเรานะ” มาลย์มินตราพูด “เออน่า ไม่ทำอะไรหรอก” ตัวประหลาดพูด มาลย์มินตราหันมามองพระโอรสของนาง “คืนเค้าไปเถอะลูก” มาลย์มินตราพูด “เสด็จแม่...” เมษกรพูดอย่างแปลกใจ “เกราะนี่มันไม่ใช่ของเรานี่ลูก” มาลย์มินตราพูด “แล้วจะใช่ของไอ้สัตว์นรกตัวเหรอพระเจ้าข้า” เมษกรพูด “คืนเค้าไป” มาลย์มินตราพูด “แต่ลูกไม่อยากมีแผลเป็นนั่นอีก ลูกเจ็บ ลูกกอดกับเสด็จแม่ไม่ได้” เมษกรพูด “แม่ก็อยากกอดเจ้าลูกรักของแม่ แต่ว่าของของใคร ใครก็รักนะลูก” มาลย์มินตราพูด เมษกรถอนหายใจอย่างไม่อยากที่จะถอดเกราะ แต่ก็สุดจะเถียงพระมารดาจึงตัดสินใจถอนเกราะกาลจักรออก เจ้าตัวประหลาดรีบคว้าเกราะมา มันมือสั่นๆ มีดูใจมาก “เกราะกาลจักร... เกราะกาลจักรของข้า เกราะกาลจักร” มันพูดและสวมเกราะกาลจักร ทันทีที่สวมเกราะนั่น ก็มีแสงๆหนึ่งเปล่งขึ้น “โอ๊ย... ไม่ไหวแล้ว โอ๊ย” ตัวประหลาดร้องขึ้น มันรีบถอดเกราะออก เมษกรรีบคว้าเกราะมา แล้วสวมเกราะ “เมษกร ทำไมฉวยโอกาสแบบนี้หละลูก” มาลย์มินตราพูด “เกราะนี่ไม่ใช่ของมันหรอกพระเจ้าข้า ถ้าเป็นเกราะของมัน ก็คงไม่เป็นแบบนี้หรอก” เมษกรพูด “ว่ายังไง เจ้าตัวประหลาด” มาลย์มินตราพูด “ยอมแล้วๆ ยอมก็ได้ ข้าหนะชื่อวานร เป็นผู้เฝ้าเกราะกาลจักร” เจ้าตัวประหลาดพูด “ยอมรับแต่แรกก็หมดเรื่อง” เมษกรพูด “ไปกันเถอะลูกเมษกร สว่างแล้ว” มาลย์มินตราพูด “แล้วเราจะกลับไปที่พลับพลาของภิรมย์วงศ์ไหมพระเจ้าข้า” เมษกรพูด “อย่าดีกว่านะลูก แม่ไม่อยากรบกวนพวกเค้าอีกแล้ว” มาลย์มินตราพูด “แล้วเราจะกลับเมืองภัคบุรีไหมพระเจ้าข้า” เมษกรพูด “เมษกรลูกรัก แล้วนั่นจะต้อนรับเราอยู่รึ” มาลย์มินตราพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ และ น้ำตาคลอ “ต้อนรับสิพระเจ้าข้า ลูกไม่มีแผลนั่นอีกแล้ว ลูกยืนยันกับเสด็จพ่อได้ว่าลูกไม่ใช่ปีศาจ” เมษกรพูด “แม่ว่าอย่าพึ่งดีกว่าลูก” มาลย์มินตราพูด “แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหนกันหละพระเจ้าข้า” เมษกรพูด “เรือนท่านกรองฤทธิ์ไงลูก เราคงต้องไปอาศัยที่นั่นกันก่อน เจ้าเองก็จะได้ฝึกศัสตราวุธด้วย เจ้าบ่นกับแม่ว่าอยากเรียนให้เก่งๆไม่ใช่เหรอ” มาลย์มินตราพูด

nanajung

Re: เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: กันยายน 19, 2007, 11:01:52 PM »
แล้วรีบ มา ต่อนะจ๊ะ  ;D

Bootsabongkot

Re: เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: กันยายน 20, 2007, 05:38:56 PM »
เรือนหลังหนึ่ง เป็นเรือนไม้หลังงาม มีบริเวณลานหน้าเรือนนั้น เป็นลานที่เด็กผู้ชายทั้งในวัยเด็ก และ วัยหนุ่มฟันดาบกัน คนพวกนั้นฝึกดาบกันอยู่ บนเรือนหลังงาม ชายวัยกลางคนนั่งอ่านคัมภีร์อยู่ ก็มีชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามา “ท่านอาจารย์ขอรับ พระมเหสีแห่งภัคบุรีเสด็จแม่ขอรับ” ชายคนนั้นพูด “งั้นเหรอ” ชายวัยกลางคนนั้นลุกขึ้นออกไป
บนเรือนนั้น มาลย์มินตรา และ เมษกรนั่งลงบนแท่นนั่ง เจ้าวานรก็โดดไปโดดมาอยู่ ชายวัยกลางคนเจ้าของเรือน พร้อมกับ ภรรยา และลูกชายซึ่งยังเป็นเด็กอายุไล่ๆกับเมษกร ทั้งสามพ่อแม่ลูกก้มลงกราบ “พระมเหสีเสด็จมาไม่บอกกล่าวก่อนข้าพระองค์ไม่ได้ต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ” ชายวัยกลางคนคนนั้นพูด “ไม่เป็นไรหรอกท่านกรองฤทธิ์ เราไม่ได้มาในฐานะของพระมเหสี” มาลย์มินตราพูด “ถึงอย่างนั้นก็เถอะพระเจ้าข้า” ท่านกรองฤทธิ์พูด “แม่วิภา เป็นยังไงบ้างจ๊ะ” มาลย์มินตราเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน “ก็ดีเพคะ” ภรรยาท่านกรองฤทธิ์พูด “ลูกชายโตเท่านี้แล้วเหรอ อายุเท่าไหร่แล้วนี่ เลี้ยงยากไหม ซนรึเปล่า” มาลย์มินตราพูด “การวิกอายุได้สิบขวบแล้วหละเพคะ เลี้ยงไม่ยากเลย เชื่อฟังพ่อแม่ทุกอย่างเลยเพคะ” วิภาพูด “ชื่อการวิกเหรอ แล้วนี่มีพี่น้องรึปล่าวการวิก” มาลย์มินตราพูด “มีพระเจ้าข้า ข้าพระองค์มีน้องสาวสองคน” การวิกพูด “อ่าวจริงเหรอท่านกรองฤทธิ์ แล้วนี่ลูกสาวไปไหนกันหละ” มาลย์มินตราพูด
ในตลาด มีสังเวียนชนไก่อยู่ มีผู้คนมากมายล้อมกันอยู่ ต่างก็ลุ้นกับไก่ชนในสังเวียน เด็กผู้หญิงน่ารักเอ็นดูคนหนึ่งวัยก็น่าจะประมาณ เก้าขวบก็เช่นกัน “อย่างนั้น... เอออย่างนั้น ดีมากไอ้เพชร เอาอีก เออ...” เด็กผู้หญิงคนนั้นดูจะลุ้นเอามากๆ เด็กผู้หญิงอีกคน ท่าทางจะเป็นน้อง อายุก็น่าจะประมาณแปดขวบสะกิดเรียกผู้สาว “พี่การเวก กลับกันเถอะขโมยไอ้เพชรมาแบบนี้ ถ้าท่านพ่อรู้คงโกรธแย่” เด็กผู้หญิงผู้เป็นน้องสะกิดเรียกพี่สาว “อีกซักรอบน่าการะเกด วันนี้พี่ได้ทั้งวันเลยนะ เดี๋ยวจะซื้อกำไลให้” เด็กผู้หญิงคนนั้นพูด “โถ่พี่การเวก” การะเกดผู้เป็นน้องบ่น
ที่เรือนท่านกรองฤทธิ์ เด็กผู้หญิงสองพี่น้อง การเวก และ การะเกดเดินมา การเวกอุ้มไก่ชนตัวเก่งมา การเวกลูบไก่ชนเบาๆ “วันนี้เจ้าทำดีมากๆเลยนะเจ้าเพชร พรุ่งนี้เอาให้ได้แบบนี้นะ” การเวกพูด “แล้ววันนี้ได้มาเท่าไหร่หละ” เสียงหนึ่งดังเข้ามา เป็นเสียงของท่านกรองฤทธิ์ การะเกดมองบิดาอย่างตกใจ แต่การเวกยังก้มมองแต่ไก่ชนตัวนั้น “ก็มากอยู่นะเจ้าคะ “ การเวกตอบและก็นึกขึ้นได้ การเวกเงยหน้าขึ้น หัวบันไดบิดาของตนยืนรออยู่ “ท่านพ่อ” การเวกพูดอย่างตกใจ
บนเรือน ท่านกรองฤทธิ์นั่งอยู่กับวิภา และ ลูกๆทั้งสาม “พรุ่งนี้จะไปอีกไหมการเวก” ท่านกรองฤทธิ์พูด การเวกก้มหน้า “ไม่ไปเจ้าค่ะ” การเวกตอบเสียงค่อยและไม่เต็มเสียง ไม่เต็มใจ “เสียงดังฟังชัดหน่อยสิ” ท่านกรองฤทธิ์พูด “ไม่ไปแล้วเจ้าค่ะ...” การเวกตะโกน “พอเถอะจะพี่กรองฤทธิ์ พรุ่งนี้ฉันจะกักไว้บนเรือนทั้งวันเลย” วิภาพูด “ท่านแม่” การเวกพูดอย่างขัดแย้ง “ทำไม เจ้ามีอะไรจะเถียงแม่รึการเวก” วิภาพูด “เปล่าเจ้าค่ะ” การเวกพูด “พระอาทิตย์จะตกดินแล้ว ลูกจะลงไปสั่งให้พวกศิษย์ของท่านพ่อลับดาบเก็บนะขอรับ” การวิกพูด ท่านกรองฤทธิ์พยักหน้าการวิกจึงลุกออกไป “เดี๋ยวเจ้าค่ะน้องไปด้วย” การเวกพูด “หยุดเลย การเวก การะเกด แม่จะพาพวกเจ้าเข้าเฝ้าพระมเหสีแห่งภัคบุรี” วิภาพูด “พระมเหสีทรงเสด็จมาเหรอเจ้าค่ะท่านแม่” การะเกดพูด “ใช่จะ ตามแม่มา” วิภาพูด
ในห้องๆหนึ่ง พระมเหสีมาลย์มินตรา และ พระโอรสประทับอยู่ด้วยกัน วิภาก็เข้ามาพร้อมกับเด็กผู้หญิงสองคนซึ่งก็คือ การเวก กับ การะเกดนั่นเอง ทั้งสามแม่ลูกก้มลงกราบอย่างนอบน้อม “อ่าว วิภา” มาลย์มินตราพูด “หม่อมฉันพาลูกสาวมาเข้าเฝ้าเพคะ” วิภาพูด “ตายจริง น่ารักน่าเอ็นดูทั้งคู่เลย ชื่ออะไรกันบ้างเนี่ย” มาลย์มินตราพูด “ขอพระราชทานอนุญาตกราบทูลเพคะ” การะเกดพูด “ว่ามาสิจ๊ะ” มาลย์มินตราพูด หม่อมฉันชื่อการะเกด แล้วนี่ ก็พี่สาวของหม่อมฉันเพคะ พี่การเวก” การะเกดพูด “นารักแบบนี้ ซนไหมจ๊ะแม่วิภา” มาลย์มินตราพูด “การะเกดหนะเลี้ยงง่ายเพคะ เหมือนพี่ชาย แต่การเวกนาสิ ซุกซนจนเกินไปหนะเพคะ” วิภาพูด “อย่าไปว่าเลย เด็กวัยเท่านี้ ก็ต้องซุกซนเป็นธรรมดา ใช่ไหม การเวก” มาลย์มินตราพูดอย่างอ่อนโยน “เพคะ” การเวกพูด “แต่นี่มันเกินไปจริงๆนะเพคะ แล้วที่หายไปวันนี้ ก็แอบหนีไปชนไก่ที่ตลาด พระมเหสีทรงเมตตาอบรมการเวกให้ทีเถอะเพคะ” วิภาพูด “จริงเหรอ” มาลย์มินตราหันมาถามเด็กผู้หญิงน่ารักน่าเอ็นดูตรงหน้า การเวกก้มหน้าลง “เพคะ” เด็กน้อยตอบเสียงค่อยและไม่เต็มเสียง “เด็กผู้หญิงอะไร เล่นชนไก่” เมษกรพูด “เมษกร” มาลย์มินตราหันมาปรามพระโอรสของนาง “ผู้หญิงเล่นไม่ได้เหรอเพคะ หม่อมฉันต้องการเหตุผล พระโอรสรับสั่งมาสิเพคะ บอกหม่อมฉันมาได้รึปล่าว” การเวกพูด “พี่การเวก” การะเกดดึงแขนพี่สาวอย่างเตือนสติว่ากำลังเถียงอยู่กับราชโอรสแห่งภัคบุรี “ไม่เป็นไรหรอกการะเกด พี่สาวเจ้าเป็นโรคบ้า ชอบทรมานสัตว์” เมษกรพูด “เมษกร ใช้คำพูดดีๆก็ได้นี่ลูก” มาลย์มินตราปรามพระโอรสน้อยแล้วหันมาทางการ “การเวก... สัญญากับเราได้ไหม ว่าจะไม่ไปเล่นชนไก่อีก” มาลย์มินตราพูด การเวกก้มหน้าลง “เจ้ารู้ใช่ไหมว่าการชนไก่เป็นการทรมานสัตว์ ถ้ามีใครมาทำกับเจ้าเหมือนอย่างที่เจ้าทำกับไก่บ้างหละ” มาลย์มินตราพูด การเวกก้มหน้าอย่างสมนึก “เพคะ หม่อมฉันจะไม่ทำอีกแล้ว” การเวกพูด “ดีแล้วหละจะ” มาลย์มินตราพูดพลางใช้ฝ่ามือลูบศีรษะเด็กหญิงน้อยอย่างเอ็นดู “การเวก ขอบพระทัยพระมเหสีสิลูก” วิภาพูด “เจ้าค่ะท่านแม่” การเวกรับคำแล้วก้มลงกราบมาลย์มินตรา การะเกดมองพี่สาวแล้วยิ้มออก
เช้าวันรุ่งขึ้น การเวกวิ่งลงเรือนแต่เช้า “การเวก...” เสียงแข็งกร้าวของท่านกรองฤทธิ์ดังมาจากบนเรือน การเวกหยุดวิ่งแล้วหันไป “ท่านพ่อ... คือลูกจะไปตลาดเจ้าค่ะ” การเวกพูด “จะไปดูเค้าชนไก่กันหละสิ” ท่านกรองฤทธิ์พูด การเวกพูดไม่ออก “ก็...” การเวกจะหันขึ้นมาเถียง เสียงของเด็กผู้ชายผู้เป็นพี่ชายก็แทรกมา “ก็เจ้ารับปากว่าจะไม่เล่นชนกัน ไม่ได้รับปากว่าจะไม่ไปดูใช่ไหม” การวิกพูด การเวกเถียงไม่ออก “เมื่อไหร่จะเบื่อซักทีนะการเวก พ่อไม่เห็นว่ามันจะน่าสนุกตรงไหน” กรองฤทธิ์พูด การเวกก้มหน้า “ไม่ไปก็ได้เจ้าค่ะ” การเวกพูด “ดี ไม่ไปไหนก็ดีแล้ว การวิก การเวก มาฟันดาบกันเถอะ” เมษกรเดินมา “เออ....” การวิกอ้ำอึ้ง “ไหวไหมหละ” เมษกรพูด “ไหวอยู่แล้วเพคะ” การเวกพูด “แล้วเจ้าหละ การวิก” เมษกรพูด “เออ...” การวิกพูด “พี่การวิกก็ไหว” การเวกตอบแทนพี่ชาย