ยินดีต้อนรับสู่บ้านอบอุ่นของคนรัก บอย สพล ชนวีร์

เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

nanajung

Re: เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: กันยายน 27, 2007, 08:55:09 PM »
แล้วมาต่ออีกนะจ๊ะ พี่ติดตามอ่านอย่นะจ๊ะ

Bootsabongkot

Re: เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)
« ตอบกลับ #16 เมื่อ: กันยายน 29, 2007, 06:01:00 PM »
มาต่อแล้วนะจ๊ะ

“พี่การวิกก็ไหว” การเวกตอบแทนพี่ชาย “พระโอรสพระเจ้าข้า ข้าพระองค์เกรงว่า...” ท่านกรองฤทธิ์พูด “กลัวเราจะแพ้ลูกท่าน หรือว่ากลัวลูกท่านจะแพ้เราหละ” เมษกรพูด “ยังไงซะ การวิก กับ การเวกก็ต้องพ่ายแพ้พระโอรสอยู่แล้ว อย่าเลยนะพระเจ้าข้า” ท่านกรองฤทธิ์พูด “เราจะฟันซะอย่าง กล้าห้ามเรารึไง” เมษกรพูด “ถ้างั้นก็ตามพระทัยพระโอรสพระเจ้าข้า” ท่านกรองฤทธิ์พูด
ที่ลานซ้อมรบ พวกศิษย์ของท่านกรองฤทธิ์นั่งล้อมรอบพระโอรสเมษกร การวิก และ การเวก การวิกเรียกดาบมาในมือสามเล่ม “พร้อมนะ” การวิกพูด “เราไม่ใช้ดาบก็ได้” เมษกรพูด “พี่การวิกถนัดดาบคู่อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” การเวกพูด การวิกพยักหน้าแล้วโยนดาบหนึ่งเล่มให้การเวก การเวกรับดาบที่พี่ชายโยนให้แล้วพุ่งเข้าโจมตีพระโอรสเมษกรทันที เมษกรเอนตัวหลบแล้วต้านกลับด้วยมือปล่าว การเวกจู่โจมเข้าไปเรื่อยๆทั้งที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบ คมดาบฟันลงไปเกราะกาลจักรก็กันไว้ได้ มีแต่สะท้อนออกทำให้เด็กผู้หญิงแก่นแก้วคนนี้ต้องบาดเจ็บ การวิกเข้ามาช่วยน้องสาวที่ท่าทางจะเสียเปรียบอยู่ด้วยดาบคู่ เมษกรก็ยังหลบได้ทันแล้วต้านกลับไปได้อยู่ดี การต่อสู้ดำเนินไปอย่างที่เมษกรเป็นฝ่ายได้เปรียบ การเวกเสียหลักเซถอยออกมาบาดเจ็บที่ต้นแขนข้างขวา “การเวก” การวิกเรียกชื่อแล้วเข้าไปช่วยประคองน้องสาว “พวกข้าพระองค์ยอมแพ้แล้วพระเจ้าข้า” การวิกพูด “ไม่... ถ้าแน่จริง พระโอรสก็ถอดเกราะนั่นออกสิ” การเวกพูด “ทำไมเราต้องทำทุกอย่าง ตามที่เจ้าบอกด้วย” เมษกรพูด “จะทรงไม่ก็ได้ หากว่าไม่แน่จริง” การเวกพูด “พอทีการเวก เจ้าแพ้แล้วก็ให้รู้จักแพ้สิ” ท่านกรองฤทธิ์เข้ามาหยุดการต่อสู้ “ไม่แพ้หรอก หากว่าพระโอรสถอดเกราะ ทุกอย่างก็จะยุติธรรมกว่านี้” การเวกพูด “การเวก” การวิกเรียกอย่างห้ามปราม เมษกรมองการเวกด้วยสายตาที่กร้าวแข็งแล้วเดินเข้ามา เมษกรใช้พลังจากเกราะกาลจักร เกราะสีโลหิตเปล่งแสงขึ้นมาใส่การเวก บาดแผลของการเวกกลับกลายมาเป็นปกติ เมื่อรักษาให้แล้ว เมษกรก็จะเดินไปจากนั้นก็ลมพัดเยือกเย็นเข้ามา แสงสว่างเจิดจ้าขึ้นทั่วทิศานุทิศ แสงเหล่านั้นกลายมาเป็นร่างของเทพบริวารแห่งเตชภาสเทพ ทุกคนมองอย่างตกใจและแปลกใจ เหล่าศิษย์ของท่านกรองฤทธิ์ยืนขึ้น เหล่าเทพพวกนั้นโจมตีมาด้วยดาบ ทุกคนพร้อมตั้งรับกันอย่างดี
ที่ลานซ้อมรบหน้าเรือนของท่านกรองฤทธิ์เกิดการปะทะกันครั้งใหญ่ระหว่างพวกพระโอรสเมษกร การวิก การเวก ท่านกรองฤทธิ์ กับ เหล่าเทพ “พระโอรสรีบพาพระมารดาเสด็จหนีไปก่อนเถอะพระเจ้าข้า ทางนี้ข้าพระองค์จะกันไว้ให้” ท่านกรองฤทธิ์พูด “จะไหวเหรอขอรับท่านพ่อ” การวิกพูด “ใช่เจ้าค่ะ ท่าทางพวกนี้ไม่ใช่คนซะด้วย” การเวกพูด “พวกนี้เป็นเทพหนะ” เมษกรพูด “นี่พระโอรสไปทำอะไรมาเนี่ย ไปมีเรื่องกับเทพมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” เจ้าวานรตัวกวนโผล่มาตรงเวลาพอดีเปะ “ก็ก่อนหน้าที่จะมีเรื่องกับเจ้านั่นแหละ” เมษกรพูดกระแทกหูเจ้าวานร “โอ๊ย แสบหูหมดแล้ว พูดกันดีๆไม่ได้รึไง” เจ้าวานรพูด “เสด็จไปเถอะพระเจ้าข้าพระโอรสไม่ต้องทรงกังวลไป” ท่านกรองฤทธิ์พูด “ขอบใจท่านมาก” เมษกรพูดแล้วกระโดดขึ้นไปบนเรือน
ในห้องพระมเหสีมาลย์มินตรา “เสด็จแม่พระเจ้าข้า” เมษกรกระโดดเข้ามาทางหน้าต่าง “เมษกรลูกแม่ ทำไมเข้ามาแบบนี้หละลูก” มาลย์มินตราพูดอย่างตกใจ “เรื่องเร่งด่วนหนะพระเจ้าข้า ก็เลยต้องเข้ามาอย่างเร่งด่วน” เมษกรพูด “แล้วเรื่องอะไรหละลูก ไอ้ที่เจ้าว่าเร่งด่วน” มาลย์มินตราพูด “ก็เทพบริวารของเทพแห่งแสงสว่างองค์นั้นนาสิพระเจ้าข้า พากันมาเป็นกองทัพเลย ข้างนอกก็ปะทะกันอยู่” เมษกรพูด “ตายจริง... จริงเหรอลูก” มาลย์มินตราพูด “พระเจ้าข้า เรารีบไปกันเถอะพระเจ้าข้า” เมษกรพูด
กลางป่า สองแม่ลูกพากันเดินป่า “ตรงนี้คงห่างพอที่จะทำให้ที่เรือนท่านกรองฤทธิ์ปลอดภัย หากว่าพวกเทพบุกมานะพระเจ้าข้า เสด็จแม่คงเหนื่อยแล้ว พักกันก่อนก็ได้” เมษกรพูด “จะลูก” มาลย์มินตราพูดอย่างหอบแล้วลูบศีรษะพระโอรสน้อยอย่างเอ็นดู
อรุณรุ่ง ดวงอาทิตย์ล่องลอยขึ้นสาดแสงทั่วหล้า แผ่นดินหนึ่งช่างอุดมสมบูรณ์ ชาวบ้าน ชาวเมือง ได้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข สมกับชื่อเมือง “ภิรมย์วงศ์”
ราชวังภิรมย์วงศ์นั้นช่างเป็นจิตรกรรมที่วิจิตรพิสดารและงดงามยิ่งนัก ในตำหนักหนึ่ง มเหสีฝ่ายซ้ายยืนเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง “เสด็จแม่ ทรงดำริเรื่องอะไรอยู่เหรอเพคะ” พระธิดาน้อยของมเหสีฝ่ายซ้ายเอ่ยถามพระมารดา “อย่าสนใจแม่เลยภาสสุนันท์ เจ้าหนะยังเด็กนัก อย่าอยากรู้อยากเห็นอะไรให้มันมากนักเลย” ศรีสุภาพูด “ถ้าเสด็จแม่ไม่อยากจะบอก ลูกไม่อยากรู้ก็ได้เพคะ ลูกขอออกไปเที่ยวป่าได้ไหมเพคะ” ภาสสุนันท์พูด “เจ้าจะไปกับใคร” ศรีสุภาพูด “ไปกับน้องสุพรรณวิลาส แล้วก็ชบาหนะเพคะ” ภาสสุนันท์พูด “ไปสิลูก เออ ภาสสุนันท์ แม่เตือนเจ้าอย่างหนึ่งนะลูก ดูแลพระน้องดีๆ พระธิดาสุพรรณวิลาส สูงศักดิ์กว่าเจ้าแม้จะเป็นน้อง” ศรีสุภาพูด “เพคะ” ภาสสุนันท์ยกมือไหว้พระมารดาแล้วรีบวิ่งออกไปอย่างดีใจ พระมเหสีศรีสุภายังคงเหม่อมองออกไปอย่างกลัดกลุ้ม “เจ้ากลุ้มใจเรื่องใดรึศรีสุภา บอกพี่มาได้นะ” องค์เหนือหัวภินท์ไพรีพูดพร้อมกับเดินเข้ามา “ถวายบังคมเพคะ” ศรีสุภายกมือไหว้ “ว่ายังไง” องค์ภินท์ไพรีกษัตริย์พูด “คือหม่อมฉันกำลังคิดเรื่องภัคบุรีอยู่หนะเพคะ น้องมาลย์มินตรา กับ เมษกรไม่น่าหนไปเลย” ศรีสุภาพูด “พี่ว่า เรายกไพร่พลพยุหโยธาไปที่ภัคบุรีดีไหม” องค์เหนือหัวภินท์ไพรีพูด “ไปทำไมเพคะ” ศรีสุภาพูด “ชิงนครภัคบุรีให้กับหลานชายไง” องค์เหนือหัวภินท์ไพรีพูด “หลานชาย...” ศรีสุภาพูด “ก็เมษกรไงหละ” เหนือหัวภินท์ไพรีพูด “ขอบพระทัยเพคะ แต่ไม่รู้ว่าเราจะหาหลานพบไหม” ศรีสุภาพูด “พี่จะช่วงชิงนครภัคบุรีมาขึ้นต่อภิรมย์วงศ์เสียก่อน หาหลานพบเมื่อใด ค่อยให้ไปครอบครองเมือง” องค์เหนือหัวภินท์ไพรีพูด ศรีสุภายิ้มออกแล้ว “ก็เป็นการดีเหมือนกันนะเพคะ เอาภัคบุรีมาอยู่ในสายตาเราก่อน” ศรีสุภาพูด

nanajung

Re: เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)
« ตอบกลับ #17 เมื่อ: กันยายน 29, 2007, 10:24:42 PM »
 ;) น่ารักมากจ้ะ

ปล. ครายที่รู้ตัว ว่าทำการหมักดองนิยายไว้นานแล้วไม่ยอมมาแต่งต่อซะที ระวังหนอนขึ้นนะครับ 555 ใช้
น้องการ์ตูน อ๋อ คุณเจ๊บอยคลับของเราด้วย
ศาสตราอสุระ ขึ้นสนิมแล้วนะเจ๊

Bootsabongkot

Re: เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)
« ตอบกลับ #18 เมื่อ: ตุลาคม 04, 2007, 05:31:16 PM »
มาต่อแล้ว เรื่องนี้เรื่องมันเศร้า นี่แค่นำจิ้ม ต่อไปเกราะกาลจักรจะนำพาเรื่องเดือดร้อนมาให้อีกเยอะ

กลางป่า มาลย์มินตรา และ เมษกรนั่งกินผลไม้กันอยู่ ก็มีเทพคนหนึ่งกระโดดลงมา “ชีวิตบนโลกมนุษย์ สนุกไหมเมษวุฒิเทพ” เทพองค์นั้นพูด “ท่านเป็นใคร” มาลย์มินตราพูดอย่างตกใจ “เรานาเหรอ เราก็คือคนของเตชภาสเทพไงหละ ภาสพัฒน์... คือนามของเรา” เทพคนนั้นพูด “ท่านต้องการอะไร” เมษกรพูด ภาสพัฒน์กระชากมาลย์มินตรามา “เสด็จแม่” เมษกรเรียกอย่างตกใจ “ตามไปเอาแม่ของเจ้าคือ ที่เกาะแก้ว” ภาสพัฒน์บอกเพียงเท่านั้นก็เอาตัวของมาลย์มินตราไป “เสด็จแม่” เมษกรเรียกอย่างตกใจ ร่างของพระมารดาหายไปแล้ว เมษกรมองหาและวิ่งตามพร้อมกับเรียกพระมารดาไม่ขาดปาก “เสด็จแม่... เสด็จแม่พระเจ้าข้า เสด็จแม่...” เมษกรวิ่งไป แล้ว เรียกไป พระโอรสน้อยเริ่มน้ำตาคลอแล้ว
ที่ภัคบุรี ในตำหนักของมเหสีชวาลี พระมเหสีชวาลีนั่งจัดดอกไม้อยู่ พระโอรสชวาลวุฒิเดินเข้ามาพร้อมกับ กูณฑ์รังสี “อ่าวว่ายังไงลูก” มเหสีชวาลีพูด “เปล่าพระเจ้าข้า จะมาทูลขออนุญาตไปเที่ยววิมานสุรีย์รังสีพระเจ้าข้า” ชวาลวุฒิพูด “ก็ไปสิลูก” ชวาลียิ้มตอบ เด็กทั้งสองคนก็กระโดดขึ้นไปบนฟ้า ชวาลีมองตามชวาลวุฒิอย่างเอ็นดู “นับวัน อายิ่งอยากได้เจ้าเป็นลูกแท้ๆ” ชวาลีพูด ชั่วครู่องค์เหนือหัวภูวนาทก็เสด็จเข้ามา “เจ้าพี่” ชวาลียกมือไหว้ “ชวาลวุฒิอยู่ไหน” องค์ภูวนาทรับสั่งถามหาพระโอรส “ไปเที่ยวเล่นตามประสาเด็กหนะเพคะ” ชวาลีพูด “แน่ใจนะว่าไม่ได้ไปตามล่าใครเค้า” องค์ภูวนาทพูด “คงไม่นะเพคะ ไม่มีใครให้ชวาลวุฒิตามล่าหรอกเพคะ” ชวาลีพูด “แล้วเจ้าได้ข่าวมาลย์มินตรา กับ เมษกรบ้างไหม” องค์ภูวนาทพูด “พวกมันตายไปตั้งหลายวันแล้วเพคะ” ชวาลีพูด “เจ้ารู้ได้ยังไง” องค์ภูวนาทพูด “แหม ก็ถูกเนรเทศออกจาก ขุนเวียงราชกลับมา ก็บอกว่าเจอพายุ ถ้ายังไม่ตาย มันแปลกแล้วหละเพคะ แต่ไม่แน่ อาจจะรอดก็ได้นะเพคะ ก็พวกเค้าไม่ใช่คนนี่นา” ชวาลีพูด “พอที ไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้วหละ เออถ้าชวาลวุฒิกลับมา ก็บอกข่าวดีกับลูกได้เลยนะ ว่าเราจะแต่งตั้งเค้าเป็นองค์รัชทายาท” องค์ภูวนาทพูด
ที่เกาะกลางอากาศ พื้นเกาะนั่นแวววาวดั่งผลึกแก้ว ภาสพัฒน์โยนตัวมาลย์มินตราลง “รออยู่ที่นี่แหละ อีกไม่นาน ลูกของเจ้ามันคงจะมาช่วย” ภาสพัฒน์พูดและหายตัวไป มาลย์มินตรารีบลุกขึ้นยืน นางมองไปรอบทิศเหมือนพยายามหาหนทางออก น้ำตาของนางคลออยูที่นัยน์ตา “เมษกร... ลูกรักของแม่” นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “พระมเหสี... หม่อมฉันได้รับคำสั่งให้มาถวายการรับใช้เพคะ” เสียงของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งแว่วมา มาลย์มินตรารีบหันไปมองเด็กผู้หญิงคนนั้น “มโนรัตน์...” มาลย์มินตราพูดและรีบเข้าไปหาเด็กผู้หญิงคนนั้น เด็กผู้หญิงคนนั้นก้มลงกราบพระมเหสีมาลย์มินตรา “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน” มาลย์มินตราพูด “พระโอรสชวาลวุฒิเอาตัวหม่อมฉันมาเพคะ หม่อมฉันแอบฟังพระโอรสคุยกับพวกเทพ ว่า...” เด็กหญิงน้อยอ้ำอึ้ง “ว่าอะไร” มาลย์มินตราพูด “พวกเทพจะกำจัดพระโอรสเมษกรเพคะ” มโนรัตน์พูด “เมษกร” มาลย์มินตราพูดอย่างตกใจ มโนรัตน์น้ำตาไหลออกมา “นึกว่าตายไปแล้วซะอีก ตายยากตายเย็นนักนะพวกเจ้า” กูณฑ์รังสีส่งเสียงพร้อมกับเดินเข้ามา ชวาลวุฒิ และเด็กผู้หญิงอีกคนก็เข้ามาด้วย “พระมเหสี” มโนรัตน์พูดอย่างหวาดกลัว “คนพวกนี้ใช่ไหม พวกเทพที่เจ้าว่า” มาลย์มินตราพูด “เพคะ” มโนรัตน์พูดเสียงสั่น “ข้าชื่อกูณฑ์รังสี แล้วนี่ปภาวดีน้องสาวของข้า” กูณฑ์รังสีพูด “พวกข้าหนะ เป็นคนขององค์เตชภาสเทพ ข้าจะมาอยู่ที่นี่เฝ้าพวกเจ้า ข้าหนะพอมีฝีมือ อย่าคิดหนีก็แล้วกันถึงข้าจะเป็นเด็กผู้หญิง แต่ข้าก็เคยฆ่าคนตายมาแล้ว” ปภาวดีพูด “ฝากด้วยนะปภาวดี” ชวาลวุฒิพูด “สบายมาก” ปภาวดีพูด ชวาลวุฒิ และ กูณฑ์รังสีจะเดินไป “เดี๋ยว” มาลย์มินตราเรียก ทั้งสองหยุดเดินแต่ไม่ได้หันมา “ทำไม... ทำไมพวกเจ้าต้องเกลียดลูกของเรา ทำไมต้องตามจองเวรกันด้วย” มาลย์มินตราพูด “เพราะว่ามันคือศัตรูของเทพเตชภาสไงหละ” กูณฑ์รังสีพูด แล้วเด็กผู้ชายสองคนนั้นก็เดินไป
ในป่า พระโอรสน้อยนามเมษกรเฝ้าเดินทางตามหาพระมารดา พระโอรสน้อยทรุดนั่งลงอย่างอ่อนแรง และ อ่อนใจ “นี่ก็ผ่านมาตั้งหลายวันแล้ว เกาะแก้วอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ เสด็จแม่จะทรงเป็นยังไงบ้างนะ” เมษกรพูด “แม่ของเจ้านาเหรอ เพื่อนของพี่ดูแลให้เป็นอย่างดี” ชวาลวุฒิกระโดดลงมาข้างหลังพร้อมกับกูณฑ์รังสี เมษกรรีบลุกขึ้นยืน “เจ้า... เจ้ารู้เหรอว่าเกาะแก้วอยู่ที่ไหน” เมษกรพูด “ก็รู้นาสิ แต่ยังไงพี่ก็ไม่บอกหรอก” ชวาวุฒิพูด “ถ้าอยากรู้ ก็ไปหาเอาเอง หาคำตอบเอาเอง เข้าใจไหม” กูณฑ์รังสีพูด “แล้วเราจะไปยังไงหละ” เมษกรพูด “ถ้าจะโง่เดินไป มันก็เรื่องของเจ้า แต่เราขอเตือนว่าถ้าเจ้าจะเดินไปจริงๆหละก็ นานมาก ซึ่งแม่ของเจ้าก็อาจจะถูกสัตว์ดุร้ายที่เกาะนั่นคาบไปกินแล้วก็เป็นได้” กูณฑ์รังสีพูดและเหาะออกไปพร้อมกับชวาลวุฒิ “ไม่ให้เดินไป แล้วจะไปได้ยังไง” เมษกรพูดอย่างคิดๆและมองตามสองคนนั่นไป ดูเหมือนว่าเมษกรจะคิดอะไรขึ้นได้แล้ว เมษกรกระโดดขึ้นไปบนฟ้า
กลางอากาศ เมษกรเหาะอยู่ “ไม่น่าโง่เดินอยู่ได้ตั้งนาน รู้อย่างนี้เราเหาะแต่แรกแล้ว” เมษกรพูดแล้วเหาะมุ่งหน้าพระมารดาอย่างมีกำลังใจขึ้น
ที่นครภัคบุรี ที่ท้องพระโรง องค์เหนือหัวภูวนาท นั่งเหนือบัลลังก์ภัคบุรี พระมเหสีชวาลีนั่งอยู่ลดหลั่นลงมา เหล่าพยุหเสนาเรียงรายกันตามลำดับชั้น “ชวาลี เจ้าบอกข่าวดีกับลูกรึยังเนี่ย ทำไมชวาลวุฒิถึงไม่เข้าเฝ้าพี่บ้าง” องค์ภูวนาทพูด “ชวาลวุฒิทราบเรื่องแล้วหละเพคะ” ชวาลีพูด “แล้วไปไหน” องค์ภูวนาทพูด “ชวาลวุฒิออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนหนะเพคะ” ชวาลีพูด “เพื่อนไหน พวกเทพนาเหรอ” องค์ภูวนาทพูด “เพคะ” ชวาลีพูด “เป็นเทพทำไมไม่อยู่ส่วนเทพ มายุ่งกับมนุษย์ ชวาลวุฒิกำลังจะได้เป็นองค์รัชทายาท แต่ยังทำตัวเหลวไหลเที่ยวไปเที่ยวมาอยู่ได้ ชาวบ้านชาวเมืองจะหาว่าพี่ตาไม่มีแววเอาได้” องค์ภูวนาทพูด “งั้นเจ้าพี่ก็ทรงแต่งตั้งลูกปีศาจของเจ้าพี่ขึ้นเป็นรัชทายาทสิเพคะ” ชวาลีพูดอย่างประชดประชัน “นี่เจ้า...” องค์ภูวนาทกริ้วขึ้นมา “องค์เหนือหัวทพระเจ้าข้า” ทหารมหาดเล็กเข้ามา องค์ภูวนาทนั่งนิ่งลงอย่างฝืนความพิโรธ “ว่ายังไง” องค์ภูวนาทพูด “สาส์นจากเมืองภิรมย์วงศ์พระเจ้าข้า” มหาดเล็กถวายสาส์นจากภิรมย์วงศ์ให้เหนือหัวภูวนาท เหนือหัวภูวนาทอ่านสาส์นนั้นในใจสีหน้าตกใจ “มีอะไรเหรอเพคะเจ้าพี่” ชวาลีรีบถามขึ้นมา

pim_4262

Re: เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)
« ตอบกลับ #19 เมื่อ: ตุลาคม 04, 2007, 11:30:41 PM »
;) น่ารักมากจ้ะ

ปล. ครายที่รู้ตัว ว่าทำการหมักดองนิยายไว้นานแล้วไม่ยอมมาแต่งต่อซะที ระวังหนอนขึ้นนะครับ 555 ใช้
น้องการ์ตูน อ๋อ คุณเจ๊บอยคลับของเราด้วย
ศาสตราอสุระ ขึ้นสนิมแล้วนะเจ๊

เอ๋.....

ไม่เท่าไหร่หรอกค่า

ดองไว้แค่4-5เรื่องเอง

เนอะพี่นินดา    :)

Bootsabongkot

Re: เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)
« ตอบกลับ #20 เมื่อ: ตุลาคม 07, 2007, 12:27:25 PM »
เกราะกาลจักรเดินเรื่องไปไกลแล้วนะจ๊ะ ก็เลยคิดว่าจะมาเล่าเนื้อเรื่องย่อๆให้ไปจนถึงตอนที่โพสต์ล่าสุดในเด็ฏดีจะได้ไปอ่านกันที่นั่นเลย แต่ถ้าใครอยากจะทราบรายละเอียดก็ขอให้ไปตามหาย้อนดูเองในเด็กดีนะจ๊ะ

องค์เหนือหัวภูวนาทพยายามต่อสู้องค์เหนือหัวภินท์ไพรีเพื่อรักษาภัคบุรีอย่างเต็มกำลังแต่แล้วก็ก็พ่ายแพ้ พระโอรสเมษกรเดินทางไปสู่เกาะแก้วเพื่อช่วยเหลือพระมารดา
มาลย์มินตราระหว่างที่อยู่ที่เกราะแก้วมีเพทธฺดาน้อยปภาวดีมาอยู่เป็นเพื่อน ปภาวดีเป็นเทพธิดากำพร้าทั้งชีวิตมีเพียงพี่ชายคือเทพบุตรน้อยกูณฑ์รังสี และผู้อุปถัมเทพเตชภาส มาลย์มินตราดูจะเอ็นดูเทพธิดาน้อยองค์นี้มาก เมื่อเมษกรช่วยมาลย์มินตราออกมาได้สำเร็จ พระโอรสน้อยและพระมารดาได้พักอยู่ในถ้ำหนึ่ง รุ่งเช้ามาลย์มินตราตื่นขึ้นมาพบว่ามีเด็กหญิงนอนอยู่ข้างกายแทนที่จะเป็นลูกของนาง เด็กน้อยสวมเกราะกาลจักร ราชธิดาน้อยนั้นคือ พระธฺดาพิชญ์พฤษภผู้ทรงเกราะกาลจักรประจำราศีพฤษภนั่นเอง มีความรู้สึกบางอย่างสื่อถึงพระธฺดาพิชญ์พฟษภให้เสด็จไปที่ป่าหิมพานต์ ได้พบกับเหมหงส์คู่บุญ คือหงส์ทองผู้เป็นพาหนะตั้งแต่ครั้งอดีตชาติ จากนั้นพระมเหสีมาลย์มินตราก็รบเร้าราชธิดาให้พากลับภัคบุรี แต่ธิดาน้อยกลับบ่ายเบี่ยงพาไปที่ภิรมย์วงศ์แทน
ระหว่างทางได้พบกับเจ้ามนุษย์วานร มันชื่อวานร ขอร่วมทางไปด้วยมันหวังในเกราะกาลจักร เมื่อไปที่ภิรมย์วงศ์ก็พบว่าธิดาราชแห่งภิรมย์วงศ์ถูกเทพเตชภาสจับตัวไปสองพระองค์นั่นก็คือ ภาสสุนันท์ และ สุพรรณวิลาส พิชญ์พฤษภอาสาออกไปตามหาเพื่อช่วยเหลือ ช่วยได้สำเร็จเหนือหัวภินท์ไพรีก็โปรดให้ไปครอบครองเมืองๆหนึ่ง
เมื่อเดินทางไปถึงเมืองนั้น ก็พบว่าที่นั่นคือภัคบุรีนั่นเอง
ราชธิดาพิชญ์พฤษภทรงประทับเหนือบัลลังก์ภัคบุรีพระบิดาถูกทหารนำตัวเข้ามาประหนึ่งเชลย ราชธิดาลงมาจากบัลลังก์กราบพระบาทพระบิดาแล้วเล่าเรื่องทุกอย่างให้ทรงทราบ
เหตุการณ์สงบสุขได้ไม่นานองค์เทพเตชภาสก็ได้เรียกบริวารซึ่งเป็นอมนุษย์ผู้มีปีนามว่าแสงประภามาหารือวางแผน ได้ส่งเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเป็นเด็กกำพร้าเป็นคนของชวาลีชื่อว่ามโนรัตน์ มโนรัตน์ไม่อยากทำแต่ก็จำเป็น มโนรัตน์เข้าไปรับใช้มาลย์มินตรา มาลย์มินตราก็เอ็นดูเด็กน้อยมากเสียด้วย แสงประภาแกล้งเป็นแม่ของมโนรัตน์ที่ป่วยหนัก มาหลอกเอาเกระกาลจักร
เข้าราศีมิถุนพอดีพระโอรสราศีมิถุนนามมิติวุฒฺรู้ทันแล้วขับไล่ออกไป ส่วนมโนรัตน์นั้นมาลย์มินตราขอไว้ พระโอรสมิติวุฒิซุกซนตามประสาเด็กทูลขอพระบิดาพระมารดาเสด็จออกมาเที่ยวเล่นในป่า มาลย์มินตราจึงฝากสาส์นไปให้ท่านกรองฤทธิ์ เวลาเดียวกันที่เทพธิดาปภาวดีกำลังจะกลับบ้านเมืองนั่นก็คือมณีแสง มณีแสงก็คือเมืองลึกลับ คนในจะไม่ออกมาเพ่นพ่าน คนนอกก็เจ้าเข้าไปไม่ได้ มิติวุฒิพยายามจะตามปภาวดีเข้าสู่ที่ลึกลับแห่งนั้นแต่ไม่สำเร็จ จึงรีบไปทำการตามรับสั่งของพระมารดา สาส์นบอกให้การวิก การเวก และ การะเกดเข้าเมืองมาอยู่ในวังภัคบุรี

เดี๋ยวมาต่อ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 07, 2007, 12:30:18 PM โดย Bootsabongkot »

pim_4262

Re: เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)
« ตอบกลับ #21 เมื่อ: ตุลาคม 07, 2007, 05:36:53 PM »
 ;)

Bootsabongkot

Re: เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)
« ตอบกลับ #22 เมื่อ: ตุลาคม 08, 2007, 06:49:44 PM »
ต่อนะจ๊ะ

พระโอรสมิติวุฒิเสด็จกลับเมืองพร้อมด้วยการวิก การเวก และ การะเกด แต่ก็พบว่าองค์เหนือภูวนาทราชบิดาได้ต้องมนต์เสน่ห์ของชวาลีจนถึงกับจับมาลย์มินตราไปขัง แล้วในเพลานั้น พระองค์ท่นก็กำลังจะแต่งตั้งชวาลวุฒิเป็นรัชทายาทโดยการมอบธำมรงค์ยุพราชให้ มิติวุฒิเข้ามาขัดขวางแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ องค์เหนือหัวภูวนาทต่อรองให้เอาเกราะกาลจักรมาแลกกับชีวิตของมาลย์มินตราที่อยู่ในกำมือของพระองค์
ในคุกหลวงมาลย์มินตราถูกกักขังเอาไว้

แม้เศร้าโศกเสื่อมไร้ซึ่งราศี
ดั่งมาลียังงามทุกยามแย้ม
อัสสุชลดั่งน้ำค้างคืนข้างแรม
รินอาบแก้มพราวพักตร์ประจักษ์ตา
มาลย์มินตรานางแก้วกัญญารัตน์
อีกพราวภัทรทรงศักดิ์ศรีสง่า
ชาญฉลาดงามพร้อมทั้งปัญญา
ดั่งเทวาฟ้าแกล้งแสร้งใจนาง

ทุกคนต่างพากันมาที่คุกหลวงแล้วบังคับให้มิติวุฒิถอดเกราะมาลย์มินตราพยายามห้าม แต่ด้วยความรักพระมารดามิติวุฒิยอมถอดเกราะ มิติวุฒิก็เปลี่ยนเป็นเมษกร เมษกรถูกพวกทหารโยนเข้าไปในคุก องค์เหนือหัวเสด็จไปแล้วส่วนชวาลี และ ชวาลวุฒิ เอาไม้เรียวมาฟาดแผ่นหลังของเมษกรบริเวณที่เป็นแผลตรงนั้น แล้วให้คนรั้งร่างมาลย์มินตราเอาไว้ไม่ให้เข้าไปช่วยลูก คนเป็นแม่ก็ใจแทบขาดอยู่แล้ว
ส่วนการวิก การเวก และ การะเกดก็พยายามหาทางช่วยมาลย์มินตรา และ เมษกร จึงไปปรึกษากับท่านขุนเวียงราช ขุนทหารผู้ภักดี ขุนเวียงราชบอกว่านครภิรมย์วงศ์จะช่วยได้ แต่การที่จะทำให้มเหสีศรีสุภาเชื่อว่าพวกการวิก การเวก การะเกดเป็นคนของมาลย์มินตราจริงๆนั้นต้องมีเครื่องยืนยัน นั่นก็คือ ธำมรงศ์ทอง และ ธำมรงค์แก้วที่พระมเหสีมาลย์มินตราประทานไว้ให้กับบุตรชายทั้งสองของท่านขุนเวียงราช บัดนี้บุตรชายทั้งสองของขุนเวียงราชไปศึกษาวิชาอยู่ที่ชายแดนโน่น แต่แหวนอยู่กับท่านขุน ท่านขุนจึงฝากแหวนไปแล้วให้การวิก กับ การเวกไปเพ็ดทูลเรื่องราวให้เหนือหัวภิรมย์วงศ์ทรงทราบ
การวิก และ การเวกเดินทางไปกราบทูลเหนือหัวภินท์ไพรีแห่งภิรมย์วงศ์แล้ว องค์เหนือหัวภินท์ไพรีจึงยกทัพไปล้อมภัคบุรีพร้อมด้วยพระธิดาภาสสุนันท์ และ สุพรรณวิลาสที่ขอตามเสด็จด้วย
องค์เหนือหัวภินท์ไพรีรับสั่งไว้ว่า “เราจะไม่ฆ่าใคร แต่เราจะกวาดต้อนเชลยให้ได้มากที่สุด” พอถึงภัคบุรี พระธิดาภาสสุนันท์อาสาไปที่คุกหลวงเพื่อช่วยเหลือพระเชษฐา และ สมเด็จน้า สุพรรณวิลาสจึงตามไปด้วย

เมื่อช่วยเหลือออกมาได้สำเร็จพระโอรสเมษกร ก็ไปพักฟื้นร่างกายที่ภิรมย์วงศ์และเตรียมหาทางเอาเกราะคืนมา อาการของเมษกรไม่ดีขึ้นเลย เสียงหนึ่งดังขึ้นในจิตใต้สำนึกของสุพรรณวิลาส ธิดาน้อยได้ยินว่า "เลือด ต้องชดใช้ด้วยเลือด" จึงฉุกคิดขึ้นได้แล้วนึกถึงตอนที่ถูกกงจักรบาดแขน เห็นว่าพระโอรสเมษกรหลับอยู่ ส่วนภาสสุนันท์ และ พิลาสฤดีที่อยู่ด้วยก็มัวแต่คุยกัน สุพรรณวิลาสจึงไปคว้าเอาแจกันมาทุ่มลง แล้วทำให้แจกันบาดมือ สุพรรณวิลาสแอบเอาเลือดไปป้ายที่แขนของเมษกรพิลาสฤดี กับ ภาสสุนันท์มาดูแผลให้ เลือดของสุพรรณวิลาสซึมเข้าไปในร่างของเมษกรอย่างรวดเร็ว ได้ผลจริงๆ พระโอรสดูมีกำลังขึ้นแม้จะยังหลับ

nanajung

Re: เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)
« ตอบกลับ #23 เมื่อ: ตุลาคม 08, 2007, 08:28:02 PM »
 ;D  ขอบคุณคับ นึกว่าจะไม่มาต่อซะและ อิอิ

pim_4262

Re: เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)
« ตอบกลับ #24 เมื่อ: ตุลาคม 09, 2007, 01:42:11 AM »
 ;)

ninda

Re: เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)
« ตอบกลับ #25 เมื่อ: ตุลาคม 09, 2007, 02:11:05 AM »
;) น่ารักมากจ้ะ

ปล. ครายที่รู้ตัว ว่าทำการหมักดองนิยายไว้นานแล้วไม่ยอมมาแต่งต่อซะที ระวังหนอนขึ้นนะครับ 555 ใช้
น้องการ์ตูน อ๋อ คุณเจ๊บอยคลับของเราด้วย
ศาสตราอสุระ ขึ้นสนิมแล้วนะเจ๊

เอ๋.....

ไม่เท่าไหร่หรอกค่า

ดองไว้แค่4-5เรื่องเอง

เนอะพี่นินดา    :)

555+ แต่นินดาเพิ่งประกาศขอยุติ ไป 2 เรื่องนะ ยอมรับว่าไม่ไหวน่ะ ทำอะไรหลาย ๆ อย่างไปทีเดียวไม่ได้ มันสับสน เขียนนิยายมันยากจัง
ก็ว่าจะเขียนเรื่องใหม่น่ะ (ไม่เขียนลงแดงแน่ ๆ ) แบบที่เน้นจินตนาการไม่ต้องเน้นศึกษาความรู้มากน่ะ ของเก่ามันต้องศึกษาเยอะไป ไม่มีเวลาด้วยค่ะ 
นินดาก็ว่าจะแต่งแข่งกับน้องการ์ตูน เรื่อง "อนัลเตเซียร์...สงครามรักต่างมิติ" น่ะ...แข่งว่าใครจะหมักได้เปรี้ยวและเค็มมากกว่ากันน่ะค่ะ  555

ปล. เรื่องของนินดาชื่อว่า "ฟรีหัทยา...ดินแดนแห่งหัวใจอิสระ" จ้ะ คือ ตั้งไว้นานแล้ว แค่ยังไม่ได้ลงมือเขียน แต่คงอีกนานเพราะต้องปั่นงานให้เสร็จภายใน 3 เดือนนี้จ้ะ



ninda

Re: เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)
« ตอบกลับ #26 เมื่อ: ตุลาคม 09, 2007, 02:12:59 AM »
แต่ "บุษบงกช กรไชย" (555 เรียกซะเต็มยศนักเขียนเลยแฮะ)
มีความพยายามเป็นเลิศจริง ๆ ไอเดียบรรเจิดนะ แต่งได้เยอะจริง ๆ หลายเรื่องแล้วด้วย พี่นินดาเขียนยังไม่จบสักเรื่องเลย ทั้ง ๆ ที่แต่งก่อนอีก อายนะเนี่ย... :-[

pim_4262

Re: เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)
« ตอบกลับ #27 เมื่อ: ตุลาคม 09, 2007, 11:22:16 AM »


555+ แต่นินดาเพิ่งประกาศขอยุติ ไป 2 เรื่องนะ ยอมรับว่าไม่ไหวน่ะ ทำอะไรหลาย ๆ อย่างไปทีเดียวไม่ได้ มันสับสน เขียนนิยายมันยากจัง
ก็ว่าจะเขียนเรื่องใหม่น่ะ (ไม่เขียนลงแดงแน่ ๆ ) แบบที่เน้นจินตนาการไม่ต้องเน้นศึกษาความรู้มากน่ะ ของเก่ามันต้องศึกษาเยอะไป ไม่มีเวลาด้วยค่ะ 
นินดาก็ว่าจะแต่งแข่งกับน้องการ์ตูน เรื่อง "อนัลเตเซียร์...สงครามรักต่างมิติ" น่ะ...แข่งว่าใครจะหมักได้เปรี้ยวและเค็มมากกว่ากันน่ะค่ะ  555

ปล. เรื่องของนินดาชื่อว่า "ฟรีหัทยา...ดินแดนแห่งหัวใจอิสระ" จ้ะ คือ ตั้งไว้นานแล้ว แค่ยังไม่ได้ลงมือเขียน แต่คงอีกนานเพราะต้องปั่นงานให้เสร็จภายใน 3 เดือนนี้จ้ะ





5555+ :)

Bootsabongkot

Re: เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)
« ตอบกลับ #28 เมื่อ: ตุลาคม 10, 2007, 05:57:09 PM »
ถึงจะพยายามจนจบทุกเรื่อง แต่ก็ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่หรอกจ้า กำลังใจไม่ค่อยมีเลย อาศัยที่ว่าอยากจะทำให้มันจบ ไม่สนใจใคร ถ้าไม่มีคนอ่าน เดี๋ยวเราแต่งเองอ่านเองก็ได้ก็เลยทนทำมาได้ถึงทุกวันนี้ แล้วก็จะทำต่อไป ขอบคุณพี่นินดามาก และขอบคุณคนส่วนน้อยที่ติดตามนิยายเรื่องต่างๆของเรา แต่สำหรับคนส่วนมากที่ไม่อ่านก็ไม่เป็นไรอีกอย่างเราก็อายุยังน้อย เด็กอายุ สิบสามเศษๆอย่างคนอื่นๆเค้ายังไม่มานั่งพิมพ์หลังขดหลังแข็งอย่างเราเลย แล้วการที่เราทำแบบนี้ก็ไม่ได้ทำให้เสียการเรียนอีกด้วย การเรียนก็ถือว่าจัดอยู่ในระดับดีคนหนึ่งของที่โรงเรียนฉะนั้นเราก็จะทำต่อไปเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยมีใครสนใจก็ตาม


นานเท่าไรให้ทำจะทำต่อ นานเท่าไรให้รอก็รอไหว ให้เธอรับ ให้เธอรู้ว่าฉันจะอยู่ไม่ไปไหน เพียงแค่เธอยืนยันกับฉันหน่อย ทำให้การรอคอยมีจุดหมาย บอกกับฉัน จะลืมเค้านะรับปาก อยากจะรออย่างมั่นใจ...............

แหมร้องเพลงเรียกพลังไปแล้วก็มีกำลังแล้วหละ โอเคนะ มาต่อกันซะที





อาการของพระโอรสเมษกรดีขึ้นตามลำดับด้วยสายโลหิตของพระธฺดาสุพรรณวิลาส หลังจากนั้นก็วางแผนไปช่วงชิงเกราะกาลจักรมา พระธิดาภาสสุนันท์ และ สุพรรณวิลาสเสด็จไปด้วย และเจ้าเหมหงส์ก็ไป
ถึงที่วิมานสุรีย์รังสีของเตชภาสเทพ องค์เทพองค์นั้นให้เกราะปลอมไป เมษกรไม่สวมเกราะแล้วไม่เปลี่ยนร่าง สุพรรณวิลาสต่อว่าองค์เทพเตชภาสแล้วจะต่อสู้ด้วย องค์เทพองค์นั้นมิอาจต่อสู้กับลูกได้เพราะทำร้ายไม่ลงรับสั่งบอกไปว่าเกราะกาลจักรอยู่ที่ป่าปริศนาถ้าอยากได้ก็ให้ไปเอาทุกคนจึงเดินทางไปสู่ป่าปริศนาทันที
ระหว่างทางเมษกรกับสุพรรณวิลาสเกิดเรื่องผิดใจทะเลาะกันไป สุพรรณวิลาสไม่ชอบเมษกร ต่อว่าดูถูกเมษกร เมษกรอ้างตนว่าเป็นพี่ แต่สุพรรณวลาสกลับบอกว่าถ้าตามศักดิ์แล้ว ตนเป็นพี่เมษกรเพราะพระมารดาของตนเป็นพระพี่นางของมาลย์มินตรา คืออายุมากกว่ามาลย์มินตรา ภาสสุนันท์เองก็รำคาญที่สองคนทะเลาะกันไม่หยุดหย่อน เมษกรอวดเก่งแยกตัวไปกับเจ้าเหมหงส์
เข้าเขตป่าปริศนา เจออาถรรพ์ป่าเล่นงานในคืนนั้น เป็นป่าวงกต แถมยังเกิดแผ่นดินไหวขึ้นดื้อ เมษกรคงไม่ไหวล้มลงแล้วสลบไป
กระทั่งรุ่งเช้า ตื่นขึ้นมา เมษกรคุยกับเจ้าเหมหงส์อย่างท้อใจ เจ้าเหมหงส์แนะนำให้เมษกรลองนั่งสมาธิดู ภาวนาถึงเกราะกาลจักร แล้ววิธีนั้นก็สำเร็จ



เลือดโลหิตวิศิษฏ์ฤทธิเดช
แสนวิเศษดั่งจันทร์จรัสหล้า
กาลจักรเกราะเลือดวิจิตรา
ศรีทรงค่าลือไกลใครใครปอง
คือกงจักรทรงเดชวิเศษสุด
แสนทรงวุฒิล้ำค่าหาเป็นสอง
กับโลหิตนารีราชเรืองรอง
มาเกี่ยวดองบังเกิดอัศจรรย์
เทพธิดาภาสุวรรณสวรรค์ศรี
เทพนารีผู้สรรค์สร้างนางชวนฝัน
คือเจ้าของโลหิตฤทธิ์เดชนั้น
ยอดชีวันขวัญใจที่ใฝ่นา
ดวงจิตน้อยแน่นิ่งยิ่งกว่าหิน
ในใจจินต์ผูกพันเหมือนฝันหา
ให้ประจักษ์แจ่มแจ้งเจตนา
ปรารถนาเกราะเพชรเผด็จมาร


ตะวันจันทราอยู่คู่บุญบารมีกลางท้องฟ้าฉันใด หากแต่เป็นเกราะกาลจักรแล้วไซร้ ก็อยู่คู่บุญญาธิการพระโอรสน้อยเมษกรฉันนั้น ความหวังริบหรี่ประหนึ่งแสงเทียนใกล้หมดเล่มกลับโชติช่วงลุกโชนอีกครั้งดั่งกองกูณฑ์ เกราะกาลจักรที่สาบสูญกลับล่องลอยคืนเจ้าของ เมษกรออกจากสมาธิอย่างมีเรี่ยวแรง “สวมเกราะกาลจักรเลยพระเจ้าข้า” เจ้าเหมหงส์พูด เมษกรยิ้มอย่างดีใจแล้วกระโดดขึ้นไปกลางเวหา
เมื่อเปลี่ยนร่างมิติวุฒิ ภาสสุนันท์เดินป่าพบกับกูณฑ์รังสี และ ปภาวดีมิติวุฒิมาพบเข้าก็มาต่อล้อต่อเถียงกับปภาวดีอีกนิดหน่อย กูณฑ์รังสีและปภาวดีตัดสินใจกลับไป มิติวุฒิมองตามไปจากนั้นก็เปลี่ยนร่างเป็นพระธิดาราศีกรกฏ จากนั้นก็มุ่งกลับเมืองภิรมย์วงศ์พร้อมกับพระธิดาภาสสุนันท์ พระธิดาราศีกรกฏรับสั่งถามภาสสุนันท์ถึงสุพรรณซิลาส สุพรรณวิลาสกลับไปก่อนเสียแล้ว ทั้งสองจึงรีบกลับไป
ถึงที่ภิรมย์วงศ์พระธิดาน้อยราศีกรกฏมาถึงก็ไปหาเสด็จแม่ พระธิดาน้อยทรงมีพระนามว่ากรกฏ ท่าทางจะถูกชะตาดีกับการเวก แต่ไม่ชอบการวิกเอาซะเลย

nidajung

Re: เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)
« ตอบกลับ #29 เมื่อ: ตุลาคม 10, 2007, 06:12:06 PM »
 :-*