ยินดีต้อนรับสู่บ้านอบอุ่นของคนรัก บอย สพล ชนวีร์

เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

pim_4262

Re: เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)
« ตอบกลับ #30 เมื่อ: ตุลาคม 10, 2007, 07:28:23 PM »
 :)

nidajung

Re: เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)
« ตอบกลับ #31 เมื่อ: ตุลาคม 11, 2007, 09:07:45 AM »
 8)

Bootsabongkot

Re: เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)
« ตอบกลับ #32 เมื่อ: ตุลาคม 13, 2007, 01:14:05 PM »
ภายในราศีกรกฏ พระธิดากรกฏเหมือนถูกบางสิ่งครอบงำจิตใจ มันคือนกยักษ์ที่มาอาละวาดที่ภิรมย์วงศ์ พระธิดาน้อยกรกฏพยายามต่อสู้กับพลังชั่วร้ายที่ครอบงำจิตใจและต่อสู้กับเจ้านกญักษ์กว่าจะสำเร็จนกยักษ์ก็ทำลายภิรมย์วงศ์จนพังยับเยิน ภิรมย์วงศ์ต้องสูญเสียแก้วกษัตริย์ไปแล้วกลายเป็นเมืองร้างด้วยพระมเหสีทั้งสอง และพระธิดาทั้งสามก็ต้องหนีไปเช่นกัน พระธิดาสุพรรณวิลาสจึงผูกอาฆาตจองเวรเกราะกาลจักร ส่วนพระธิดาภาสสุนันท์เหลือเพียงพระธำมรงค์ของพระบิดาเท่านั้นที่พระองค์ท่านให้ไว้ติดตัว หลังจากนั้นพระมเหสีมลย์มินตรา การวิก การเวก และการะเกด รวมไปถึงพระธิดาน้อยก็เสด็จออกมาจากภิรมย์วงศ์ การวิกแนะนำให้ไปที่เรือนท่านอาจารย์โยธา เพื่อนของพ่อของตน ระหว่างการเดินทาง ใกล้จะเข้าราศีสิงห์เต็มที มาลย์มินตราขอร้องให้กรกฏถอดเกราะกาลจักรทิ้งเสียเพราะเกราะนั่นนำมาซึ่งความยากลำบาก พระธิดาน้อยไม่ยอม เพราะวันพรุ่งก็จะเข้าราศีสิงห์แล้ว พระธฺดาต่อรองพระมารดาว่าพรุ่งนี้ค่อยถอดเกราะ
กระทั่งรุ่งเช้ามาถึง มาลย์มินตราพยายามจะถอดเกราะของลูกตั้งแต่ยังไม่เปลี่ยนร่างเพราะไม่อยากจะพบเจอพระโอรสองค์ต่อไป กลัวว่าจะใจอ่อน แต่แล้วก็ไม่ทัน พระโอรสราศีสิงห์พระนามว่าสิงหนาท พระโอรสสิงหนาทเคืองพระทัยพระมารดาจึงเหาะหนีไป การวิกอาสาตามไป ส่วนการเวก การะเกด อาสาจะพามาลย์มินตราตามไป ระหว่างทางทั้งสามเจอพายุจึงพลัดกัน ส่วนการวิกนำทางสิงหนาทไปที่เรือนอาจารย์โยธา ได้พบกับเด็กผู้ชายที่ชือ นภปฎล  นภปฎลรับคำสั่งมาจากท่านอาจารย์โยธาให้ช่วงชิงเกราะกาลจักร พระโอรสสิงหนาทรอพระมารดาอยู่ที่เรือนนั่นหลายวันจนตัดสินใจออกไปตามหาพร้อมด้วยการวิก และ นภปฎล
ฝ่ายมาลย์มินตรามีชาวภัคบุรีไปพบเข้าจึงเอาตัวมาขังไว้ที่ภัคบุรีตามบัญชาเหนือหัวภูวนาท การเวกตามมาเห็นเข้า เด็กผู้หญิงแก่นแก้วอวดเก่งเข้าไปช่วยแต่แล้วก็เสียทีชวาลวุฒิถูกจับขังไว้ด้วยอีกคน

nanajung

Re: เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)
« ตอบกลับ #33 เมื่อ: ตุลาคม 13, 2007, 09:07:31 PM »
 ;) เย้ๆมาต่อแล้ว

Bootsabongkot

Re: เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)
« ตอบกลับ #34 เมื่อ: ตุลาคม 14, 2007, 11:51:47 AM »
สิงหนาท การวิก และ นภปฎล มาที่ภัคบุรี นภปฎลก็คือบุตรชายท่านขุนเวียงราช นภปฎลมีน้องชายหนึ่งคน ตอนนี้ไปเยี่ยมผู้เป็นแม่อยู่ ทุกคนทราบเรื่องก็ร่วมกันวางแผน แล้วชิงตัวมาลย์มินตราออกมา มาลย์มินตราขอโทษลูกแล้วทุกคนก็หนีออกมาจากภัคบุรี นภปฎลแนะนำให้ไปที่เรือนท่านอาจารย์โยธา สิงหนาทรู้ทันไม่ยอมไป เดินทางไปได้ไม่นานก็มีคนมาลักพาตัวมาลย์มินตราไป พระโอรสน้อยพยายามสืบเสาะหาพระมารดาในป่าอยู่หลายวัน จนเข้าราศีกันย์ พระธิดาราศีกันย์นามว่า กิ่งกัญญา การวิก กละ การเวกขอตัวกลับเรือนไปส่งข่าวพ่อแม่ว่าการะเกดหายตัวไป ส่วนกิ่งกัญญา ตามหาพรมารดาไปกับเจ้าเหมหงส์และ นภปฎลที่ปองร้าย แต่แล้วนภปฎลกลับต้องเปลี่ยนใจเมื่อพระธิดากิ่งกัญญานั้นดีกับนภปฎลเหลือเกิน และยังช่วยชีวิตนภปฎลจากอสรพิษร้าย เมื่อหาอย่างไรก็ไม่พบกิ่งกญญาจึงตัดสินใจไปที่สำนักอาจารย์โยธาเพื่อคิดดูก่อน นภปฎลเกิดเป็นห่วงผู้มีพระคุณขึ้นมาจึงไม่อยากให้ไปแต่พระธิดากิ่งกัญญาตัดสินใจแล้ว
เมื่อไปถึงได้พบกับนภศูลน้องชายของนภปฎล นภปฎลถูกอาจารย์ต่อว่าเรื่องของเกราะกาลจักร นภศูลจึงอาสาทำแทน นภศูลมีความแค้นกับเมษกรผู้ทรงเกราะกาลจักรตั้งแต่ครั้งสองสามปีก่อนที่ตนยังอยู่ในภัคบุรี ผู้เป็นแม่ของนภศูลนั้นพลั้งพลาดทำเหล็กร้อนรนไฟไปโดนใส่หลังของเมษกรที่เป็นบาดแผลจนถูกเนรเทศออกไป ส่วนขุนเวียงราชก็สุดจะทำอะไรได้ นภศูลจึงไม่กลับไปที่ภัคบุรีเพราะเคืองใจองค์เหนือหัวและเมษกร เหตุนี้นภศูลจึงพร้อมช่วงชิงเกราะกาลจักร นภปฎลขัดขวางจนเกิดศึกสายเลือด และแล้วนภปฎลก็ช่วยถ่วงเวลาให้พระธิดากิ่งกัญญาเสด็จหนีไปกับเจ้าเหมหงส์
พระธิดาน้อยสุดจะหาหนทางตามหาพระมารดา เจ้าเหมหงส์แนะนำให้ตามดวงดาวราศีกันย์ไป ในราตรีนั้นดวงดาวราศีกันย์ช่างเจิดจ้าจรัสแสงแต่แล้วก็ดับลง

nidajung

Re: เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)
« ตอบกลับ #35 เมื่อ: ตุลาคม 15, 2007, 06:43:29 PM »
 :-*

Bootsabongkot

Re: เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)
« ตอบกลับ #36 เมื่อ: ตุลาคม 15, 2007, 10:21:53 PM »
ดวงดาราดุจดั่งให้ความหวัง
ประหนึ่งดังจะชุบใจให้ชุ่มชื่น
ร้อยดวงใจที่สลายให้กลับคืน
เป็นแสนหมื่นล้านภัยพร้อมผจญ
แต่ดาวดับลับล่วงลาร้างหาย
ดาวมลายกลายจากให้สับสน
พาดวงจิตเปี่ยมหวังพังบัดดล
กลายกังวลรนร้อนดั่งฟอนไฟ
วอนจันทราดารานำทางเถิด
ดาวจงเจิดจรัสหล้าเลื่อมสุกใส
แม้นได้พบมารดาที่อาลัย
มินานไปก็ต้องพรากจากจรกัน
ดวงพักตร์ที่เปี่ยมด้วยความหวังสลดเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด “เสด็จแม่เพคะ... ลูกจะมีบุญได้พบเสด็จแม่รึไม่นั้นลูกไม่รู้ แต่กลุ่มดาวกลุ่มนั้น เราว่าท่านรู้ ท่านนำพาเราไปหาเสด็จแม่เถิด แม้นได้พบอีกมินานก็ต้องพราก เพียงเวลาสั้นๆ สำหรับเราก็มีค่า จันทร์เจ้าขา ส่องแสงให้ดาวกลุ่มนั้นเจิดจ้าขึ้นอีกสักทีหนึ่งเถิด” พระธิดาน้อยเอ่ยทั้งน้ำตาที่คลออยู่ เกิดนิมิตรหมายอันดียิ่งนักดวงดาราที่ดับลับไปเจิดจรัสอีกครั้งประหนึ่งดังสดับยินเสียงพระธิดาน้อยร้องขอ “พระธิดากิ่งกัญญาพระเจ้าข้า ดูนั่น” เจ้าเหมหงส์ส่งเสียงใสให้พระธิดากิ่งกัญญา
กิ่งกัญญาตามกลุ่มดาวกลุ่มนั้นไปจนถึงนครศรศิลา ได้พบกับแสงประภา แสงประภาเจ้าเล่ห์พาพระธิดาน้อยไปพบพระมารดาแล้วขอร้องให้พักอยู่ที่นั่นสักคืน กระทั่งรุ่งเช้า แสงประภาแกล้งทำทีเป็นมากอดมาลย์ฒินตรา มาลย์มินตรานั้นรู้ว่านางเสแสร้ง นางเอบใช้โอกาสนั้นเป่ามนต์บางอย่างใส่มาลย์มินตราแล้วคลายกอด กิ่งกัญญายังไม่รู้ทันแสงประภาจึงไม่ได้คิดอะไร
ตกกลางคืนมาลย์มินตราก็ถูกมนต์สะกดครอบงำจิตใจให้ช่วงชิงเกราะกาลจักร เข้าราศีตุลย์ พระโอรสพระองค์นั้นพระนามว่า ตุลาพงศ์ พระโอรสตุลาพงศ์นั้น จะพาพระมารดาเสด็จกลับภัคบุรี มาลย์มินตรายังไม่รู้ตัวว่าโดนมนต์สะกด พระโอรสเองก็ยังไม่ทราบ ระหว่างทางไปภัคบุรี มาลย์มินตรา และ พระโอรสน้อยไปพักที่เรือนท่านกรองฤทธิ์ คืนนั้นมาลย์มินตราอาละวาด มาลย์มินตราบอกกับลูกว่าไม่รู้สึกตัว พระโอรสเองก็เข้าพระทัย สองแม่ลูกจะออกเดินทางกลับภัคบุรี การวิก และ การเวกอาสาตามไป การเวกพูดเป็นเชิงว่าอยากจะกลับไปหาเรื่องกับพวกลูกเสือลูกจะเข้อย่างชวาลวุฒิที่เคยจับตนขังไว้ เด็กหญิงน้อยแก่นแก้วพูดว่า “ข้ารู้น่า ข้าไม่ได้จะไปเที่ยว จะไปรบต่างหาก จะไปฆ่าไอ้พวกลูกเสือลูกจะเข้ให้หมดแผ่นดินเลย หมั่นไส้มานานละ” การเวกพูด  แต่แม่วิภาไม่ยอมให้การเวกไปอ้างว่าเอาเวลาไปตามหาการะเกดที่หายตัวไปยังจะมีค่ากว่าเยอะ ท่านกรองฤทธิ์เองก็ห้ามการเวกจึงต้องจำใจ
ก่แนหน้าที่จะเดินทางมาถึงภัคบุรี กูณฑ์รังสี กับ ปภาวดี ก็ได้มาเตือนชวาลวุฒิไว้ให้เตรียมรับมือ
ระหว่างทางไปสู่ภัคบุรีพระมเหสีมาลย์มินตรา และ พระโอรสน้อยต้องประสบกับเหล่าเทพที่มาก่อกวนแต่เกราะกาลจักรก็จัดการได้
ภาสพัฒน์ เทพบริวารเตชภาสเทพถูกต่อว่า จนเรื่องพาดพิงไปถึงเทพกูณฑ์รังสี และ เทพปภาวดี ภาสพัฒน์ต่อว่าเทพองค์น้อยทั้งสองเทพว่าไม่เห็นจะช่วยทำอะไร องค์เทพเตชภาสเคืองพระทัยจึงต่อว่าว่าทั้งสองยังเล็กนัก ภาสพัฒน์จึงอ้างเอาว่า ไม่ใช่เพราะสองเทพคือบุตรรังสี และ บุตรีรังสีหรอกรึ
เมื่อพระโอรสตุลาพงศ์มาถึงภัคบุรี พวกทหารพากันรุมล้อม พระโอรสน้อยจัดการได้ เรื่องไปถึงหูเหนือหัวภูวนาทจึงเสด็จลงมาด้วยพระองค์เอง เหนือหัวภูวนาทยังต้องมนต์เสน่ห์อยู่ มาลย์มินตรายิ่งต้องชอกชำใจไปใหญ่เมื่อพระสวามีไม่ใยดี เพียงนี้ใจก็จะสลายอยู่แล้ว สิ่งเลวร้ายช่างถาโถมไม่หยุดหย่อนจริงๆ


ถามว่ารักอยู่รึก็ยังรัก
ใจยังภักดิ์มิผันแปรมิแปรเปลี่ยน
กาลจักรผ่านผันวันหมุนเวียน
เกินจะเขียนถ้อยคำพรรณนา
ว่าเวลาผ่านมาช่างแสนเศร้า
มารรุมเร้าร้อนใจใคร่ครวญหา
เมื่อครั้งก่อนกาลนั้นเคยสัญญา
ประหนึ่งว่าวจีนี้เพียงลม
มาลย์มินตราอิดโรยอ่อนแรงรัก
ต้องห้ามหักกลั้นทุกข์ไร้สุขสม
โอ้นี่รึคือชีวิตแสนเศร้าตรม
ช่างขื่นขมทุกข์ตรมในหทัย
สวามีต้องมนต์จนสับสน
เทพใดดลเหตุให้ต้องคุณไสย
ลืมชายาโอรสาในดวงใจ
ไปหลงใหลมอบใจให้นางมาร

พระโอรสมิอาจเห็นความเจ็บปวดของพระมารดาได้ แทบจะเกิดศึกสายเลือดขึ้น พระโอรสตุลาพงศ์ผู้ทรงคุณธรรมและรักความยุติธรรมเป็นหนักหนาจึงได้ขอต่อรองกับพระบิดาจนได้แอยุ่ในวังตามฐานะเดิม สร้างความคับแค้นใจให้กับชวาลีหนักหนา มโนรัตน์เองก็ยังอยากจะไปเป็นพวกของมาลย์มินตราแต่ด้วยความกลัวเกรงชวาลีจึงมิกล้า ชวาลีดุด่ามโนรัตน์เป็นประจำ แล้วบอกกับชัชวาล ผู้เป็นพ่อว่าเกลียดแม่ของมโนรัตน์
แสงประภาดำเนินแผนการต่อไม่หยุดยั้ง บังคับจิตของมาลย์มินตราในราตรีกาลให้ไปอาละวาดที่ตำหนักองค์เหนือหัว องค์เหนือหัวทรงมีพระเวทอยู่จึงจับตัวนางเอาไว้ได้แล้วกักขังไว้ในตำหนัก พระองค์ทรงให้พวกทหารไปจับตัวตุลาพงศ์ แต่เจ้าเหมหงส์มาพาหนีออกไปได้ทันเวลาส่วนการวิกก็หนีตามออกไปเจอกันที่กลางป่า
อยู่ๆตุลาพงศ์ก็รู้สึกเหมือนมีเสียงแก้วแตกดังขึ้นจึงให้ทุกคนรอก่อนแล้วตามเสียงไป
ตุลาพงศ์เข้าไปแดนที่เรียกว่าบุรีรังสี  ที่ตรงนั้นคือที่ที่องค์เทพเตชภาสประทานให้ภาสสุนันท์ และ สุพรรณวิลาส ตุลาพงศ์เข้าไปพบเจอกับพระธิดาน้อยพิลาสฤดี พระธิดาทรงเรียกพระโอรสว่า พระเชษฐาทุกคำ แล้วขอร้องให้พาออกไปข้างนอกบุรีรังสีบ้าง ตุลาพงศ์พาพิลาสฤดีกลับไปที่ภิรมย์วงศ์ เมืองนั้นกลายเป็นเมืองร้างไปเสียแล้ว พระโอรสตุลาพงศ์พาพระธิดามาส่ง สุพรรณวิลาสต่อว่าพระขนิษฐาว่าเป็นคนอื่นดีกว่าพี่น้อง ด้วยที่อดติเกลียดชังเกราะกาลจักร
ที่ภัคบุรี มาลย์มินตรายังคงถูกกักขังไว้ในตำหนักของเหนือหัวภูวนาท ทรงทรมานพระทัยยิ่งนัก องค์เหนือหัวก็ไม่ยอมปล่อย มาลย์มินตราจึงว่า หากไม่รักตนแล้วทำไมไม่ปล่อยตนไป หรือไม่ก็ฆ่าทิ้งเสีย องค์เหนือหัวไม่ยอมปล่อยนาง ไม่ยอมทำร้ายนางแต่อย่างใด


พระทัยท่านซับซ้อนสุดจะค้น
แสนสับสนใจคนยากค้นหา
การกระทำทั้งใจและวาจา
สื่อเห็นว่าวกวนฉงนใจ
ภูวนาทราชบุรุษสุดสูงศักดิ์
ทรงปกปักษ์ป้องเกศมิหวั่นไหว
ทุกแหล่งหล้านคราเมื่อมีภัย
จะใกล้ไกลพร้อมขจัดพวกไพรี
แต่หนึ่งในพระทัยที่แข็งกล้า
บางเพลาโอนอ่อนลืมศักดิ์ศรี
เทวทูตภูตเทพเกื้อกูลมี
ดวงฤดีแข็งทานต้านมนต์ดำ
ยาเสน่ห์เล่ห์กลมนต์ปีศาจ
อาจมิอาจครอบงำใจสูงล้ำ
คงมิอาจทำร้ายพระทรงธรรม
แม้นได้ทำคงครอบงำเพียงไม่นาน
จึงแสดงแจ้งใจว่าไหวหวั่น
แม้ใจนั้นหวั่นไหวไม่สงสาร
ยังแกล้งกักขังร่างเยาวมาลย์
ให้นงคราญต้องหมองนองน้ำตา
ในพระเนตรกร้าวแข็งยังหวั่นไหว
วจีไวหุนหันพลันชิวหา
การกระทำรุ่มร้อนร้ายกายา
แต่เหมือนว่าภายในใจสั่นคลอน
ภูวนาทยังรักปักใจหลง
ยังพะวงห่วงใยไม่ถ่ายถอน
เอกชายาพระโอรสยังอาวรณ์
แต่กรรมซ้อนให้ต้องมนต์กลลวงตา

nanajung

Re: เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)
« ตอบกลับ #37 เมื่อ: ตุลาคม 18, 2007, 09:48:37 PM »
โห เก่งจังเลย จ๊ะ แต่งได้ไงเนี่ย เห็นแล้วชื่นใจจิงๆเลยนะจ๊ะ ที่เด็กรุ่นใหม่ แต่งกลอนได้ขนาดนี้
ต่อไปเขียนหนังสือได้เลยนะจ๊ะเนี่ย ยอดเยี่ยม มาก ๆ เลยจ้ะน้องยิม  :-*

Bootsabongkot

Re: เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)
« ตอบกลับ #38 เมื่อ: ตุลาคม 21, 2007, 12:04:15 PM »
ใกล้ถึงราศีพิจิก อาจารย์โยธาบอกศิษย์เอกทั้งสองคือ นภปฎล แลพ นภศูลว่าพระธฺดาราศีพิจิกเป็นอีกหนึ่งโอกาส สองพี่น้องจึงเดินทางออกมาพบกับพระโอรสตุลาพงศ์กระทั่งเข้าราศีพิจิก พระธิดาพิจิกา ทรงอ่อนโยน อ่อนหวานยิ่งนัก และดูเหมือนจะมองโลกในแง่ดีมาก นภศูลเองยังเห็นเป็นเรื่องแปลก ว่านี่นาเหรอ ผู้ครอบครองเกราะกาลจักร การวิกขอตัวกลับเรือนไปก่อน
อีกด้านหนึ่ง ที่วิมานสุรีย์รังสี องค์เทพเตชภาสตัดสินพระทัยบอกความจริงกับเทพกูณฑ์รังสี และ เทพปภาวดีว่าทั้งสองเทพมีพระมารดา แล้วพาทั้งสองเทพไปพบพระมารดาที่ วิมานหนึ่ง งดงามมาก นามฤทธิวิมาน เป็นที่ของเทพนารีผู้เป็นมารดาของเทพทั้งสอง สองเทพเคืองใจเตชภาสเทพหนักหนาที่โกหกว่าทั้งสองเป็นเด็กกำพร้า ก่อนหน้านี้เคยคิดว่าเตชภาสเทพคือผู้มีพระคุณเพียงหนึ่งเดียว บัดนี้กลับตรงกันข้าม และเมื่อไปถึงฤทธิวิมานได้พบกับเทพนฤนาท เทพบุตรน้อยองค์หนึ่ง เตชภาสเทพท่าทางจะไม่ค่อยชอบเทพบุตรน้อยนี้เลย ไปถึงฤทธิวิมาน แต่เทพนารีมารดาของสองเทพกลับไม่อยู่ สองเทพจึงตัดสนิใจหนีเทพเตชภาสไปอยู่ที่มณีแสง
ครานั้น เทพกูณฑ์รังสี และ เทพ ปภาวดีเสด็จมาที่ฤทธิวิมานอีก เกิดการต่อสู้ระหว่างเทพกูณฑ์รังสี กับ เทพนฤนาท โดยมีเทพปภาวดียืนมองอย่างเฉยชาไม่คิดเข้าไปช่วย และแล้วเทพนารีนางหนึ่งสง่างามด้วยอาภรณ์สีเงินก็เข้ามาห้าม พระนางนามว่า ฤทธีรินทร์ พระมารดาให้เด็กทั้งสาม นฤนาท กูณฑ์รังสี ปภาวดีเป็นพี่น้องกัน
พระธิดาพิจิกาขอร้องให้นภศูล และ นภปฎลพามาที่ภัคบุรี ทั้งสองพาพระธิดามาที่เรือนขุนเวียงราช ผู้เป็นบิดาของตน พระธิดาพิจิกาถามหาพระมารดาจากท่านขุน ท่านขุนบอกว่ามาลย์มินตราถูกกักขังไว้ในตำหนักองค์เหนือหัว
ในตำหนักองค์เหนือหัวภูวนาท มาลย์มินตราถูกขังไว้ในตาข่าย นภศูล และ พิจิกาเข้ามา แล้วพากันหนีออกไปได้สำเร็จ
ไปกันที่เรือนท่านขุน องค์เหนือหัวพอเข้ามาในตำหนักก็ทราบเรื่องว่ามาลย์มินตรามีคนมาพาไปแล้วจึงให้ทหารไปเชิญท่านขุนเวียงราชมาเข้าเฝ้าแล้วให้ค้นให้ทั่วเรือน พระธิดาพิจิกา และ พระมารดานั่งอยู่บนพระแท่น นภศูล และ นภปฎลลุกขึ้นยืนขวางไว้อย่างถวายชีวิต มาลย์มินตราแนะนำพระธิดาให้ใช้เกราะ พระธิดาน้อยทำตามแล้วก็รีบพากันหนีลงเรือนไป
องคเหนือหัวภูวนาทเฝ้ารออยู่ข้างล่างแล้ว
ในตำหนักองค์เหนือหัวภูวนาท พระมเหสีมาลย์มินตราถูกจับมัดมือมัดเท้าไว้ พระธฺดาพิจิกากอดกระมารดาแน่น นภศูล และ นภปฎลเองยังมองด้วยความเห็นใจ ลืมหน้าที่ที่อาจารย์มอบหมายให้เสียหมดสิ้น องค์เหนือหัวสั่งทหารให้ไปถอดเกราะพระธิดน้อย แต่นภปฎล และ นภศูลยืนขวางไว้ ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เลยสักคน องค์เหนือหัวจึงเปลี่ยนคำสั่งให้เอาตัวมาลย์มินตราไปถ่วงนำ มาลย์มินตราเหมือนจะยอมไปแต่โดยดีผลักพระธฺดาออกจากอ้อมอกแล้วยอมไป นภศูล และ นภปฎลบอกให้พระธิดาพิจิกาเสด็จหนี แต่พระธิดาบอกว่าจะไปกับพระมารดา นภศูลจึงพาตัวพระธิดาเหาะออกไปทางหน้าต่าง นภปฎลก็ตามออกไป
เพทฤทธีรินทร์เองก็จะออกไปบำเพ็ญตบะใต้บาดาล ขอให้กูณฑ์รังสี และ ปภาวดีกลับไปอยู่ที่มณีแสงก่อน เพราะที่นั่นปลอดภัยที่สุดจากเทพเตชภาส

กลางกระแสสินธุ์สายพระสมุทร
ช่างแสนสุดลึกล้นเกินค้นหา
นารีราชกัญญารัตน์แสนเอกา
สรวงสุดาอยู่เคว้งคว้างกลางนที
ล่วงถึงเจ็ดราตรีที่ลอยล่อง
บุญประคองชีวาตามวิถี
ให้แคล้วคลาดอริราชศัตรูมี
อันไพรีให้ออกห่างจากนางไป
เทวดาอารักษ์ในกระแส
ได้ดูแลประสาทพรชีวิตให้
ให้นางอยู่มาได้อย่างปลอดภัย
แล้วดลใจให้มีผู้มาพบพาล
เทพนารีศรีศักดิ์ทรงสง่า
ภาวนาบารมีมหาศาล
นางลืมเนตรขึ้นพบแสงสีกาฬ
ทอพาดผ่านเป็นทางกลางทะเล
ด้วยอำนาจวาสนาพามาสู่
ให้พบผู้เกื้อหนุนยามหักเห
มาลย์มินตราจมลงใต้ทะเล
แล้วร่อนเร่มาตามนิลประภา
   กลางท้องทะเล พายุสีนิลกาฬพัดพาเอาร่างของพระมเหสีมาลย์มินตราลงมาใต้ท้องทะเลอันลึกล้น บริเวณนั้น เทพฤทธีรินทร์ราชเทวี เทพนารีผู้ทรงศักดิ์กำลังเดินตามแสงสีนิลกาฬเล่นกันอยู่ “แสงนั้นมาจากไหนกันนะ น่าแปลกพิกล” เทพฤทธีรินทร์บ่นพึมพำ พลันแสงสีนิลดำก็พาเทพฤทธีรินทร์ไปพบร่างนารีนางหนึ่งสิ้นสติอยู่ใต้บาดาล “ตายจริง... มนุษย์นี่นา จะรอดไหมเนี่ย” เทพฤทธีรินทร์พูดพลางเข้าไปพลิกตัวพระมเหสีมาลย์มินตรา
 ฝ่ายพระธิดาพิจิก นภปฎลขอตัวกลับไปหาอาจารย์โยธา นภศูลขอไปด้วย พิจิกาบอกว่าจะทั้งเราไปหมดเหรอ นภศูลจึงบอกว่า “ไม่ทิ้งหรอกพระเจ้าข้า ข้าพระองค์ไปด้วยก็ได้” นภศูลพูด พิจิกาเช็ดน้ำตา แล้วยิ้มอย่างดีใจ
ที่ฤทธิวิมานมาลย์มินตราเพ้อถึงลูกนั่นก็คือเมษกร เทพฤทธีรินทร์จึงรู้ว่าที่แท้นางก็คือมารดาของเทพกาลจักร พอนางฟื้นก็ถามไถ่จนรู้ความแล้วให้นฤนาทออกไปตามหาพวกเกราะกาลจักรแล้วพามาที่ฤทธิวิมาน
พระธฺดาพิจิกาตามหาพระมารดาแถวๆทะเลแล้วแต่ก็ไม่พบ คำวันหนึ่ง ขณะที่นภศูลนำผลไม้มาถวายพระธิดา นฤนาทก็กระโดดลงมาที่ตรงนั้น นภศูลตกใจรีบเข้าขวางพระธิดาพิจิกาในพลัน นฤนาทบอกว่ามาดี นฤนาทบอกว่าให้ตามมาหากว่าอยากพบกบคนที่ตามหาอยู่ นั่นก็หมายถึงมาลย์มินตรานั่นเอง นภศูลไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น จึงขอไปก่อน ให้พิจิการออยู่ตรงนั้น หากว่าเกิดเรื่องร้ายขึ้น พิจิกาจะได้ปลอดภัย โดยพูดว่า “พระธิดารอข้าพระองค์ก่อน ข้าพระองค์จะลองตามไปดู ไม่อยากให้พระธิดาต้องเสี่ยง ถ้าโชคดีข้าพระองค์จะกลับมาหาที่นี่” นภศูลพูด พระธิดาเรียกนภศูลว่าพี่ทุกคำ "พี่นภศูล ระวังด้วยนะ" พิจิกาเตือน นฤนาทจึงชอบต่อว่าหาเรื่อง เจ้ากับพี่ชายคงรักกันมากสินะ
กลางอากาส นภศูลเหาะตามนฤนาทไป พระธิดาพิจิกาตามมาอ้างว่าไม่อยากอยู่คนเดียว
ไปจนถึงฤทธิวิมาน เทพฤทธีรินทร์ดูจะเอ็นดูพิจิกาอยู่พอตัว เทพฤทธีรินทร์พร้อมช่วยเหลือทุกอย่างให้พระมเหสีมาลย์มินตรานั่งสมาธิเพื่อยับยั้งมนต์สะกดของแสงประภา คืนนั้นจึงให้พระธิดาพิจิกามานอนด้วย แล้วให้นภศูลไปนอนที่ตำหนักเทพนฤนาท ยิ่งทั้งสองไม่ค่อยถูกกันอยู่ด้วย
ฤทธิ์มนตสะกดในตัวมาลย์มินตราสมาธิกเอาไม่อยู่ นางกรีดร้องลั่นในราตรีกาล ทำเอาพระธิดาพิจิกาตกใจตื่นแล้วมองไปข้างกาย เทพฤทธีรินทร์ยังนอนนิ่ง แต่แท้จริงแล้วหาไม่ นางไม่ได้หลับลึกอะไรหรอก แต่นางนั้นไม่ได้หลับเลยคอยร่ายคาถาช่วยอยู่ตลอดเวลา พิจิกาไม่รู้จึงพยายามเรียกให้นางตื่น
ส่วนนภศูลยินเสียงแล้วก็พรวดลุกขึ้น แต่นฤนาทเองก็ยังนิ่ง นภศูลพยายามสะกิดเรียก แต่นฤนาทเอาแต่ขี้เซา “เทพนฤนาท... เทพนฤนาท” นภศูลสะกิดเรียก “อะไรของเจ้า” นฤนาทตอบทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่เลย “เสียงอะไร” นภศูลพูด “ก็มเหสีมาลย์มินตราไงหละ” นฤนาทพูดแต่ยังนอนนิ่งอยู่ “นี่ พระมเหสีกรีดร้องลั่นขนาดนี้ท่านยังจะนอนนิ่งอยู่ได้ ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ” นภศูลพูดและเข้าไปกระชากแขนเทพนฤนาทวิ่งออกไป
เทพฤทธีรินทร์ลืมตาขึ้นพลันแล้วรีบออกไปเช่นกัน
นฤนาทพยายามเคาะประตูเรียกมาลย์มินตรา นฤนาทนั่งลงพิงประตูห้องนั้นหลับต่อ "เทพประสาอะไร" นภศูลต่อว่า เทพฤทธีรินทร์มาถึงจึงบอกนภศูลว่าอย่าเข้าไป แล้วต่อว่าเทพนฤนาท แล้วสั่งทุกคนแยกย้ายกันกลับไปนอน พระธิดาพิจิกาขอร้อง ขอเข้าไปดูพระมารดา แต่เทพฤทธีรินทร์ห้ามไว้ พระธิดาน้อยจึงยอมกลับไปนอนอย่างว่าง่าย
รุ้งเช้ามาลย์มินตราและลูกตัดสนิใจไปจากฤทธิวิมาน ไม่อยากให้คนอื่นต้องพลอยเดือดร้อน
เย็นย่ำค่ำพลบในป่า มาลย์มินตราตัดสินใจให้นภศูลพาพระธิดาพิจิกาเสด็จไป แล้วให้ทิ้งนงไว้ในป่า พระธิดาพิจิกาไม่ยอมไป มาลย์มินตราเองก็ไม่อยากทำแบบนั้นแต่ในเมื่อมีเหตุจำเป็นจึงต้องทำไป มาลย์มินตราขอให้นภศูลดูแลพิจิกเหมือนเป็นพี่น้องแท้ๆ
“แม่รักเจ้า แล้วแม่ก็เป็นห่วงเจ้าด้วย แม่ให้เจ้าไป เพราะเป็นห่วง ไม่ใช่ผลักไส ไปเถอะนะลูกแล้วคิดเสมอเหมือนว่าคนที่พาไปนั้นคือเชษฐาของเจ้า” มาลย์มินตราพูด พระธิดาน้อยก้มหน้าน้ำตาคลอ “นภศูล... พาพิจิกาไปที่ไหนก็ได้ ที่ปลอดภัยจากเรานะ เราไว้ใจเจ้าว่าจะไม่ทำร้ายลูกเราแน่นอน” มาลย์มินตราพูด ประโยคนั้นทำให้นภศูลถึงกับชะงักไปนิดหน่อย “รีบไป” มาลย์มินตราพูด “เออ...” นภศูลคุกเข่าลงตรงหน้าพิจิกา “ข้าพระองค์จะพาพระธิดาพิจิกาไป แล้วขอให้คำสัตย์ต่อพระพักตร์ในครานี้ ข้าพระองค์นภศูลผู้นี้ จะจงรักภักดี แล้วพร้อมยอมพลีทุกสิ่งถวายชีวิตนี้ให้เป็นของพระธิดาพระเจ้าข้า” นภศูลพูด มาลย์มินตราพยักหน้าอย่างพอใจ “ขอบใจมากนภศูล ขอบใจจริงๆ” มาลย์มินตราพูดน้ำตาของนางก็ไหลไปด้วย แล้วนางก็รีบถอยจากพระธิดาของนางไป “เสด็จแม่...” พิจิการ้องเรียกแล้วจะเข้าไปรั้ง “อย่าไปพระเจ้าข้า” นภศูลพูด พิจิกาหยุด สองแม่ลูกต่างแลมองมาหากันจนกว่าจะลับสายตาไป

จำจากจรจากเจ้าใจจะขาด
ใจจะคลาดจรจากเจ้าจอมขวัญ
ใจร้าวรานอกแม่สิ้นไปพลัน
โอ้ชีวันจากนี้เป็นเช่นไร
แม่ต้องทุกข์โศกาอาลัยเจ้า
แม่ต้องเศร้าดวงแดแม่หวั่นไหว
ราชบุตรบุตรีมีชื่นใจ
จากนี้ไร้เงาเจ้าอยู่ข้างกาย
ส่วนลูกนั้นยังเยาว์ชันษาอยู่
แต่จำสู้หักใจจากร้างหาย
หากวันพรุ่งรักจากแม่จักมลาย
เหมือนต้องตายทั้งเป็นแต่ยังเยาว์
มาลย์มินตราร่ำไห้อาลัยลูก
ความพันผูกปลอบใจยามเปลี่ยวเหงา
เมษกรพิชญ์พฤษภแม่รักเจ้า
ยังมีเงามิติวุฒิอยู่ติดตา
กรกฏแม่ยังฝังอยู่ในจิต
ยังหวนคิดสิงหนาทครั้งสิงหา
เจ้าดวงใจลูกรักกิ่งกัญญา
ในสายตาตุลาพงศ์หลงปักใจ
พิจิกาเจ้าเอ๋ยดวงใจแม่
เจ้าดวงแดจะจากแม่ไฉน
แม่ยังพบไม่ครบยอดดวงใจ
จากนี้ไปเมื่อใดจักพบพาน
เจ้าธนูมังกรอยู่ไหนหนอ
แม่เฝ้ารออย่างหมดหวังน่าสงสาร
ราศีกุมภ์และมีนเยาวมาลย์
นานแสนนานใจแม่คงขาดรอน
แล้วมองตาอาลัยก่อนจากเจ้า
ใจเปลี่ยวเหงาดั่งว่าถูกแทงด้วยศร
อัสสุชลหลั่งไหลใจอาวรณ์
จะขาดรอนแล้วรึเจ้าดวงใจ

นภศูลจึงพาพระธิดาพิจิกาไปอยู่ที่เรือนทานกรองฤทธิ์ พิจิกาเคยถามว่าทำไมไม่พาไปที่สำนักอาจารย์โยธา เหตุผลที่นภูศลไม่กล้ากราทูลก็คือ ที่ไม่พาพิจิกาไปที่นั่นเพราะที่นั่นอันตรายเกินไป อาจารย์โยธาเหมือนมีตาทิพย์ทราบเรื่องจึงได้สั่งให้นภปฎลมาเรียกนภศูลกลับไป นภศูลคุยกับการวิก ได้ฝากกราบทูลลาพระธิดา แล้วบอกว่าอย่าให้พระธิดาตามมา โดยพูดว่า
“ฝากทูลลาพระธิดาด้วยแล้วกัน ข้าคงต้องไป แล้วอย่าให้พระธิดาตามข้าไปหละ ข้าขอสั่ง... ในฐานะเชษฐา” นภศูลพูด
เมื่อกลับไปถึงสำนัก อาจารย์โยธาก็ต่อว่าทั้งสองพี่น้องว่าใจอ่อน นี่ขนาดยังเด็ก หากว่าโตขึ้น จะขนาดไหน

Bootsabongkot

Re: เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)
« ตอบกลับ #39 เมื่อ: ตุลาคม 26, 2007, 09:26:17 AM »
อ่านต่อได้ที่เว็บเด็กดี ตอนล่าสุดเลยนะ

http://my.dek-d.com/07_70407/story/view.php?id=312867

เริ่มตั้งแต่ตอน 55 เลย

bobenz

Re: เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)
« ตอบกลับ #40 เมื่อ: ตุลาคม 26, 2007, 11:18:05 AM »
พี่อ่านครบไปตั้งนานแล้วตอนใหม่ไม่ลงซะทีล่ะ :D

Bootsabongkot

Re: เกราะกาลจักร(บุษบงกช กรไชย)
« ตอบกลับ #41 เมื่อ: ตุลาคม 26, 2007, 04:38:44 PM »
รับทราบ...ครับผม จะลงให้เดี๋ยวนี้ครับ