ยินดีต้อนรับสู่บ้านอบอุ่นของคนรัก บอย สพล ชนวีร์

เราควรรื้อถอนโครงสร้างของละคร 'น้ำเน่า' หรือไม่? เรื่องดีดี ที่ต้องใช้วิจารณญาณ

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ นานะจัง

  • *
  • 7234
  • -3
  • เพศ: หญิง
  • นิศาอรพินท์
    • อีเมล์

นานะจังไปเจอ กระทู้ในพันทิพ มาค่ะ คือนั่งรอว่าHostแก้ไขบอร์ด (เซ็งบอร์ดมีปัญหาตลอด เลย สงสัยปีหน้าคงได้ย้ายโฮสแน่ๆละ) :-[
ที่คอนเน็คดาต้าเบสเสร็จเมื่อไรก็เลยนั่งอ่านไปเรื่อย จนไปเจอกระทู้นี้น่าสนใจดีก็เลยเอามาลงเพื่อถกกันต่อค่ะ
;)

http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A7434879/A7434879.html

เราควรรื้อถอนโครงสร้างของละคร 'น้ำเน่า' หรือไม่? เรื่องดีดี ที่ต้องใช้วิจารณญาณในการรับชม จาก วินทร์ เลียววาริณ   
พอดีได้มีโอกาส อ่านเรื่องนี้ ก็เลยอยากนำเอามาแบ่งปันให้เพื่อนๆในห้องนี้ได้อ่านกันด้วย ถ้าหากว่ามันจะมีประโยชน์ให้กับผู้ใดก็ตามที่มีโอกาสได้มีส่วนร่วมในละคร ไม่ว่าจะเป็น คนสร้าง ดารานักแสดง ทีมงานทุกท่าน ตลอดจนคนดู ก็ขอยก Credit ให้คุณ วินทร์ เลียววาริณ นะคะ

 
โดยส่วนตัวแล้วบอกได้เลยว่าเห็นด้วย โดยเฉพาะ ประโยคนี้

"ตัวอย่างความบันเทิงมากมายในโลกที่สามารถสอดสาระเข้ากับความบันเทิงและยกระดับผู้เสพ ทำให้เราต้องถามตัวเองว่า ถ้าเรารู้ว่าเราสามารถส่งเสียลูกให้เรียนจบปริญญาได้ เราจะยอมให้เขาจบแค่ชั้นอนุบาลหรือ?"





เราควรรื้อถอนโครงสร้างของละคร 'น้ำเน่า' หรือไม่?*


ผมดูละครโทรทัศน์ไทยครั้งแรกเมื่อสามสิบห้าปีมาแล้ว แทบทั้งหมดเป็นนิยายรักที่มีโครงเรื่องเกี่ยวกับการแย่งชิงมรดก การทะเลาะกันระหว่างแม่ผัวกับลูกสะใภ้ การกลั่นแกล้งนางเอก การชิงรักหักสวาท การตบ-จูบ ฯลฯ

ผ่านมา 3.5 ทศวรรษ ดูเหมือนว่าเนื้อหาของละครโทรทัศน์ยังคงรักษารากเดิมอย่างเหนียวแน่น หลายคนปฏิเสธความบันเทิงแบบ 'หนีความจริง' นี้ ด้วยเหตุผลว่า ผู้สร้างละครไม่เคยเปลี่ยนโลกทัศน์ เนื้อเรื่องที่ 'เหนือจริง' เหล่านี้เป็นการดูถูกสติปัญญาของคนดู บ้างก็ว่าทำให้ผู้ชมจมอยู่ในโลกของความเพ้อฝันลมๆ แล้งๆ และทำให้สังคมเราถอยหลัง เพราะรับสารความคิดมาผิดๆ ฯลฯ

ทว่าหากมองในมุมของเวลา สิ่งใดที่อยู่ยืนยงมานานขนาดนี้อาจมีคุณค่าของมัน หรือกระทั่งเป็นเอกลักษณ์แบบไทยๆ ที่มีเสน่ห์ของมัน? คำถามคือเราสมควรรื้อถอนโครงสร้างของละครแบบเดิมๆ นี้หรือไม่? และเพราะอะไร?

นี่ไม่ใช่คำถามใหม่ สังคมรับรู้ปัญหานี้ (หากเราจัดมันเป็นปัญหา!) มานานแล้ว มีหลายความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนของสังคม แต่มันก็ยังคงดำรงอยู่

บางคนแสดงความเห็นว่าคนไทยเกิดในสังคมที่หลอมเหลาให้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือสรรค์สร้างอะไรได้ด้วยตัวเอง ต้องรอโชคและฟ้าประทาน ความคิดนี้จึงสะท้อนในละครไปโดยปริยาย ตั้งแต่ตัวละครประเภทที่รอฟ้าบันดาล ไปถึงโครงเรื่องในรูปของการรอคอยความหวังใหม่ (บ่อยครั้งในรูปของมรดก หรือการแต่งงานกับคนที่รวยมาก)

บางคนเห็นว่า ในชีวิตจริงของแต่ละคนก็เหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าสาหัส กลับถึงบ้านก็ไม่อยากรับรู้อะไรที่หนักหัวอีก การดูละครโทรทัศน์ที่หนีโลกแบบนี้ก็เป็นการคลายเซลล์สมองอย่างหนึ่ง

คนอีกไม่น้อยแย้งว่า ละครเหล่านี้มิได้เป็นเรื่องเหนือจริงแต่ประการใด ชีวิตจริงของคนบางคนไม่น่าเชื่อ (บางคนใช้คำว่า 'น้ำเน่า') เสียยิ่งกว่านิยายเสียอีก



ความจริง คำว่า 'รื้อถอน' นี้มิได้มีนัยของการทำลายโดยสิ้นซาก แต่เป็นการพัฒนาต่อไปไม่ให้ซ้ำรอยเดิมมากกว่า พูดง่ายๆ คือ เราจะเต้นฟุตเวิร์กอยู่กับที่ หรือว่าจะวิ่งออกไปจากจุดเดิม

หากเราเลือกที่จะวิ่งออกไปจากจุดเดิม ก็นำเราไปสู่อีกสองคำถามคือ

1 ทำไมต้องเปลี่ยนแปลง? มันสำคัญนักหรือ? ในเมื่อละครโทรทัศน์ก็เป็นเพียงความบันเทิงราคาถูกสำหรับคนทั่วไป จะหวังเอาสาระอะไรกันนักหนา?

และ 2 เรามีความสามารถเปลี่ยนแปลงได้จริงหรือ ทั้งในแง่นายทุนและผู้สร้างสรรค์งาน?

สำหรับข้อแรก เราต้องเข้าใจตรงกันก่อนว่า สังคมคือการอยู่ร่วมกันของคนกลุ่มใหญ่ คุณค่าของสังคมก็คือความผาสุกของคนส่วนใหญ่, คุณภาพชีวิต และคุณภาพของมนุษย์ (ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้จะมาอยู่รวมกันทำไม) และเครื่องมือหนึ่งที่มีส่วนพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีก็คือศิลปะที่ดี

เมื่อมองอย่างนี้ จะเห็นว่าเราสามารถใช้คุณภาพชีวิตและคุณภาพของมนุษย์เป็นมาตรวัดคุณค่าของศิลปะ ศิลปะที่ดีน่าจะมีส่วนช่วยทำให้มนุษย์มีคุณค่าขึ้น ไม่ทางจิตใจก็ทางความคิด และอะไรก็ตามที่ทำให้มนุษย์ลดค่าลงหรือโง่ลง ไม่ว่ามันจะดำรงอยู่ในสังคมมานานเท่าไร นอกจากจะไม่น่าจัดว่ามีคุณค่าแล้ว อาจจะไม่นับว่าเป็นศิลปะด้วยซ้ำ

ภาพยนตร์เป็นสายหนึ่งของศิลปะ หากเราดูสายธารของศิลปะทุกสายในประวัติศาสตร์โลก ศิลปะเป็นสิ่งที่ไม่อยู่นิ่ง ไม่มีกรอบตายตัว ไม่มีกฎกติกาใดๆ และเนื่องจากมันไม่อยู่นิ่งนี่เอง จึงก่อเกิดสายธารศิลปะมากมายหลายแขนง ยกตัวอย่างเช่นในงานจิตรกรรม หากถือว่าการวาดภาพแบบเรียลิสติกเป็นแนวทางมาตรฐานหรือเอกลักษณ์ที่ต้องอนุรักษ์ดำรงไว้ โลกนี้ก็คงไม่มีทางกำเนิดศิลปะสายอื่นๆ เช่น แนวแอ็บสแตร็คท์ แนวเซอร์เรียลิสม์ แนวป๊อปอาร์ต ฯลฯ และศิลปินอย่าง แวนโก๊ะห์ ปิกัสโซ่ เซอราต์ ดาลี ฯลฯ ก็ไม่มีทางได้เกิด เช่นกันด้วยความเชื่อที่ไม่ยอมถูกจำกัดด้วยกรอบใดๆ โลกเราตอนนี้จึงมีตระกูลนิยายมากมายกว่าสมัยเชกสเปียรส์หลายร้อยเท่า และนี่เป็นสิ่งที่ดีมิใช่หรือ?

ผมเชื่ออย่างโง่ๆ (และอาจจะไร้เดียงสา) ว่า เราสามารถนำพาสังคมของเราไปสู่ความสวยงามและมีคุณค่ากว่าเดิมได้ ผมมองไม่เห็นว่าทำไมเราต้องจำนนทนอยู่กับสิ่งเดิมๆ เพียงเพราะมันอยู่มานาน เราเลือกได้ และเมื่อเราถูกต้อนไปสู่มุมอับที่ดูเหมือนไม่มีทางเลือก เราก็สามารถปฏิเสธทางเลือกที่คนอื่นยื่นให้เราได้ เช่นเดียวกับที่เราปฏิเสธผงชูรส สารกันบูด สีฟอก ฯลฯ เพราะเรารู้ว่าในระยะยาวมันอาจทำให้เราเป็นมะเร็งได้

ปัญญาของคนเราเกิดมาจากการรับสารความคิดหลากหลาย มีใครบ้างที่ร่างกายแข็งแรงจากการเสพข้าวขาหมูอย่างเดียวทุกมื้อทุกวัน? สมองของคนเราก็ต้องการสารอาหารทางปัญญาครบห้าหมู่ ไม่ว่าเราจะรับสารความคิดมาจากการศึกษา ประสบการณ์ หรือผ่านศิลปะ ยิ่งมีทางเลือกมาก ก็ยิ่งทำให้เรารู้จักคิดมากขึ้น และท้ายที่สุดแล้วสังคมก็จะได้คนที่มีคุณภาพมากขึ้น และสังคมยิ่งมีคนมีคุณภาพมากขึ้นเท่าไร คุณภาพชีวิตของเราก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น ไม่เพียงแต่ทำให้เราจะเป็นคนฉลาดขึ้น เราจะมีความสุขขึ้น



สำหรับข้อที่สอง : เรามีความสามารถเปลี่ยนแปลงได้จริงหรือ ทั้งในแง่นายทุนและผู้สร้างสรรค์งาน? นี่เป็นคำถามที่ท้าทายความคิด โดยเฉพาะคนที่เชื่อว่า สภาพทางการตลาดทำให้เราเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ แต่จริงหรือ?

สำหรับความเห็นที่ว่า ในชีวิตจริงของแต่ละคนก็เหน็ดเหนื่อย กลับถึงบ้านก็ไม่อยากรับรู้อะไรที่หนักหัวอีก ข้อแย้งคือการเบื่อชีวิตจริงและความอยากหนีความจริงเข้าไปในโลกแห่งจินตนาการเป็นคนละเรื่องกับการเดินย้อนรอยศิลปะแบบเดิม

ความเห็นว่า 'ชีวิตจริงของคนบางคนน้ำเน่าเสียยิ่งกว่านิยายเสียอีก' นั้นเป็นความจริงแน่นอน แต่นี่ก็เป็นคนละเรื่องกับความจำเจของเนื้อหา เพราะในมุมมองของศิลปะ แก่นเรื่องเดิมๆ ก็สามารถนำเสนอได้ใหม่อย่างสร้างสรรค์ ตัวอย่างความบันเทิงมากมายในโลกที่สามารถสอดสาระเข้ากับความบันเทิงและยกระดับผู้เสพ ทำให้เราต้องถามตัวเองว่า ถ้าเรารู้ว่าเราสามารถส่งเสียลูกให้เรียนจบปริญญาได้ เราจะยอมให้เขาจบแค่ชั้นอนุบาลหรือ?

ผมทำงานในวงการสร้างสรรค์มานานพอที่กล้ายืนยันได้ว่า ศิลปะไม่มีข้อจำกัดอย่างที่คนไม่น้อยชอบใช้เป็นข้ออ้าง ผมไม่เห็นด้วยว่าคนสร้างไม่มีปัญญาคิดเรื่องใหม่ๆ



สำหรับประเด็นที่ว่า แนวทางละครเปลี่ยนไม่ได้เพราะการตลาดหรือเรตติ้งบังคับนั้น เราอาจดูตัวอย่างจากที่ในสมัยหนึ่งทุกคนในประเทศไทยมีความพอใจอย่างยิ่งกับการดูหนังวิดีโอคาสเส็ตต์ จนเมื่อเทคโนโลยีวีซีดีเข้ามา วิดีโอคาสเส็ตต์ก็หายไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อดีวีดีเข้ามา วีซีดีก็ค่อยๆ กลายเป็นอดีตที่ไม่มีใครแยแส

ลองคิดดูเล่นๆ หากตีสามคืนนี้ผู้ผลิตละครโทรทัศน์ทุกรายถูกมนุษย์ต่างดาวจับไปล้างสมอง และวันพรุ่งนี้หันมาผลิตแต่หนังคุณภาพระดับสารอาหารครบห้าหมู่ ประชาชนก็ย่อมไม่มีทางเลือกนอกจากจะรับ และบางทีเมื่อพวกเขารู้รสของ 'ดีวีดี' ก็อาจไม่มีวันหวนกลับไปหา 'วิดีโอคาสเส็ตต์' อีก!

ทว่าเนื่องจากเราไม่มีมนุษย์ต่างดาวมาช่วยตัดสินใจแทนให้ เราก็ต้องเลือกเอาเอง จะเลือกที่จะเปลี่ยนมาก เปลี่ยนน้อย หรือไม่เปลี่ยนเลยก็อยู่ที่เราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นทางใด อย่างน้อยที่สุดในด้านคนสร้างสรรค์งาน ก็ควรมีความรับผิดชอบส่วนหนึ่งในการไม่ใส่สารเมลามีนทางความคิดแก่คนดู ในด้านคนเสพ ก็มีความรับผิดชอบในการกลั่นกรอง รู้จักปฏิเสธสารพิษทางความคิดให้ลูกหลาน

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกอย่างทุกจุดของสิ่งเดิมจะเป็นเรื่องแย่ที่ต้องรื้อถอน หากรู้จักเลือกองค์ประกอบเดิมที่ดีมาใช้ เราก็อาจนำพาละครไทยไปสู่ความบันเทิงแบบไทยๆ ที่มีคุณค่าได้เช่นกัน

เราอาจเดินไปไม่ถึงโลกแห่งความสมบูรณ์แบบ แต่หากเราลองเดิน อย่างน้อยที่สุดเราก็น่าจะได้โลกที่ดีขึ้นกว่าเมื่อวานนี้

และนี่มิใช่เรื่อง 'เหนือจริง' แต่อย่างไร


(* นี่เป็นคำถามที่ตั้งให้ Yahoo! รู้รอบ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2551)

วินทร์ เลียววาริณ
13 ธันวาคม 2551

จากคุณ : ชั้นมาทำอะไรที่นี่  - [ 19 ม.ค. 52 12:00:12 ] 


ออฟไลน์ นานะจัง

  • *
  • 7234
  • -3
  • เพศ: หญิง
  • นิศาอรพินท์
    • อีเมล์
ความคิดของ คุณวินทร์ เลียววาริณ เป็นความคิดที่ดีนะคะ
 แต่เป็นความคิดที่ออกจะเป็นอุดมคติไปซะหน่อย คือ ทางปฏิบัติทำยากมาก
ก็อย่างที่เคยพูดอ่ะค่ะ ละครเป็น เรื่องของการถ่ายทอด
ถ่ายทอดยังไงให้คนดูมีอารมณ์ร่วมกับละครเรื่องนั้นมากที่สุด
ต่างหากคือโจทย์ที่ยากมาก
สาระยังเป็นเรื่องรอง ในความรู้สึกเรา
ซึ่งตอนนี้เราก็เลิกเลิกดูละครไปแล้ว
ไม่มีเรื่องไหนที่ทำให้เราต้องตามดู
และเราก็คิดว่า คนดูไม่ได้ชอบดูละครนำเน่าทุกคนหรอกค่ะ
แต่คนดูชอบดูละครที่สนุกน่าติดตาม ดูแล้วได้รับความสุขต่างหาก
คือประเด็นสำคัญที่คนดูเลือกที่จะเสพละคร ไม่ว่าละครเรื่องนั้น จะน้ำเน่า หรือ จะอัดแน่นไปด้วยสาระ


ว่าแล้วก็ จรลี ไปแต่งแก้นิยาย เรื่อง แก้วนพเก้า ต่อ หุหุ :)

ออฟไลน์ กาฬฯ

  • *
  • 6333
  • -4
  • เพศ: หญิง
  • ஐ~ เผ่าพันธุ์นาคีซ่อนพิษไว้เสมอ ~ஐ
กว่ากาฬจะเข้าบอร์ดได้   ^-^  เข้าทางมือถือก็คอนเน็คไม่ได้เช่นกัน



กาฬอ่านแล้วชอบในความคิดของคุณวินทร์มากๆ  จริงๆ ก็ชอบแนวคิดในการแต่งนิยายหลายๆ เรื่องของคุณวินทร์อยู่แล้ว
แต่มันก็ยังทำยากอยู่ดี  เพราะการเปลี่ยนความคิดคนทุกคน  หรือคนที่ทำละคร  มันไม่ได้ง่ายๆ เลย 

การดูละครเนื้อหาแต่ละเรื่องเป็นยังไง  เป็นการซึมซับความคิดแนวทางในชีวิตไว้โดยที่เราไม่รู้ตัว   อย่างละครน้ำเน่าที่มีอยู่เกลื่อนกลาดนั่นแหละ  เป็นเพราะเราดูกันมานานหลาย 10 ปี  มีแต่ละครแบบนี้   เราก็ซึมซับเข้าไปๆ 

ถ้าหากลองเปลี่ยนเป็นละครที่ถ่ายทอดการใช้ชีวิตที่มุ่งมั่น  สร้างความสำเร็จด้วยตัวเอง  แต่บทละครยังเรียกเสียงหัวเราะคลายเครียดได้   บางทีเราก็อาจจะได้ซึมซับความคิดในการสู้ด้วยตัวเอง  โดยไม่ต้องรอความฝันลมๆ แล้งๆ เหมือนอย่างละครไทย
**จักรวาลนี้กว้างไกลแลไพศาลนัก เราเป็นเพียงละอองธุลีอันน้อยนิดล่องลอย ยากที่จะเรียนรู้ทุกสรรพสิ่งให้จบครบสิ้น
สิ่งที่เรามิเคยเห็น ใช่ว่าจะมิมี แลสิ่งที่มิเคยได้ประสบ ก็ใช่ว่าจะมิเคยเกิดขึ้น**

ออฟไลน์ กันย์ณภัทร

  • *
  • 2248
  • -1
  • จงปลดโซ่ตรวนแห่งพันธนาการ ด้วยคมดาบแห่งใจตน
ใช่ค่ะ มันเป็นความคิดที่ดีมากๆ แต่ก็เป็นไปได้ยากเช่นกันที่จะเปลี่ยนวิถีละครไทยไปอย่างงั้น เพราะในเมื่อคนดูส่วนใหญ่ยังไม่เปลี่ยนรสนิยมการดูละครทีวีแบบน้ำเน่าเดิมๆก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเปลี่ยน (คนที่ชอบดูละครน้ำดีมีน้อยง่า==')

ลองสังเกตสิคะเวลาที่มีละครน้ำดีลงจะมีคนดูน้อยเรตติ้งตก ผู้สร้างใครจะกล้าเอามาลงอีก เคยได้ยินว่าละครน้ำดีหลายๆเรื่องถูกดองเค็มเพราะไม่มีกระแส ประมาณนั้น

แต่อย่างงั้นก็ยังพอมีละครน้ำดีอยู่บ้างที่หลุดรอดออกมาให้พวกเราชมกันเป็นขวัญตา!!

ปล.เราก็ชอบอ่านงานเขียนของวินทร์มากๆ โดยเฉพาะเรื่องสั้นแนววิทยาศาสตร์ซึ่งนอกจากจะไฮเทคโนโลยีเหนือจินตนาการแล้วยังแฝงแง่คิดเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์อีกมาก และก็สนุกมากๆด้วยค่ะ^^

ออฟไลน์ นานะจัง

  • *
  • 7234
  • -3
  • เพศ: หญิง
  • นิศาอรพินท์
    • อีเมล์
พี่ก็เซ็งอ่ะน้องกาฬ เมื่อคืนเข้าได้ซักพักนึง พอเห็นคอมเม้นน้องกาฬใน hi5 จะเข้าอีกที ดาต้าเบส
 ดันมีปัญหาอีก เฮ้อ เซ็งๆ พี่โทรหาโฮสจนมือหงิกเลย
 เค้าก็แก้ไม่เสร็จซักที พี่ก็เลยขี้เกียจรอไปนอน  พี่เพิ่งจ่ายตังไปด้วยทีสำคัญ
ถ้าจะให้ย้าอยโฮสใหม่ตอนนี้ ก็ต้องเสียตังใหม่อีก ไหนจะค่าโดเมนอีก ก็เลย
ใช้ๆไปก่อนนะจ๊ะ ถ้าสุดๆแล้วจริงๆพี่จะหาทางแก้ไขให้นะจ๊ะ เฮ้อ เหนื่อย
แล้วตอนนี้ที่สำคัญบอร์ดบอยคนเล่นเยอะกว่า พี่บอย มีละครซะอีก
ยอดวิว แค่เดือนนี้ จะแปดหมื่นอยู่แล้วอ่ะ สูงสุดตั้งแต่เปิดบอร์ดมาเลย

ออฟไลน์ นานะจัง

  • *
  • 7234
  • -3
  • เพศ: หญิง
  • นิศาอรพินท์
    • อีเมล์

ไปเจอกระทู้นี้ในพันทิพมาค่ะ แบบว่าเห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้มากๆ เลยเอามาให้อ่านกันต่อ

http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A7429064/A7429064.html

รู้สึกใหมครับ ว่าหนังจีนกำลังภายใน กับ ละครไทยพื้นบ้านน สมัยก่อนมนสนุกกว่าสมัยนี้นะ

สมัยก่อน พวกหนังจีนก็มี ไซอิ๋ว  เอี้ยก้วย(เราทันเวอร์ชั่นกู่เทียนเล่อ) เปาบุ้นจิ้น  แปดเทพอสูรมังกรฟ้า ที่ติดมากๆเลย

ส่วนละครไทยพื้นบ้านพวก ดาบเจ็ดสี  เกราะเพชร  มณีนพเก้า ที่ติดต้องตื่นมาดูทุกเช้า

แต่สมัยนี้รู้สึกว่าหนังสไตล์นี้กำลังตกลงเรื่อย หนังจีนก็เหมือนจะอัดCGเยอะๆ เข้าว่าดูไม่สนุก 

ส่วนละครไทยพื้นบ้านก็มีปัญหาคล้ายกัน  (แต่CGเราเเย่กว่าจีนมาก)


ที่บ่นไม่ใช่อะไหรอกครับ คือเราชอบดูทั้ง 2 ประเภทนะ แต่หลังมานี้กับไม่ค่อยมีเรื่องทีสนุกๆลย

จากคุณ : อี้จับสี่   - [ 17 ม.ค. 52 12:03:45 ] 


 : แมวเถื่อน

ออฟไลน์ นานะจัง

  • *
  • 7234
  • -3
  • เพศ: หญิง
  • นิศาอรพินท์
    • อีเมล์
ความคิดเห็นที่ 4   

อาจเป็นเพราะเราโตขึ้น มีประสบการณ์มากขึ้น ถึงได้ดูอะไรที่มันซ้ำๆ ซาก ก็เบื่อไปหมดครับ

อย่างละครพวกขบวนการห้าสี หรืออุลตราแมน ที่ยังย่ำเนื้อเรื่องแบบดูง่าย สบายใจ เพื่อจับกลุ่มเด็กๆ    ในขณะที่ละครไรเดอร์ยุค 2000 กลับเน้นเนื้อหาที่หนักและซับซ้อนขึ้น เพื่อจับกลุ่ม วัยรุ่นและผู้ใหญ่ (ที่เคยเป็นแฟนไรเดอร์รุ่นคลาสสิค) 

ทีนี้พวกละครจักรๆ วงศ์ๆ สมัยนี้ มันน่าเบื่อเพราะมีแต่บทหรือเนื้อหาซ้ำๆ ไม่ก็ออกทะเล  หรือเหมือนกับเอาละครอิจฉาริษยามาเปลี่ยนรูปแบบการแต่งกาย บทพูดและฉากเท่านั้น
สมัยก่อนผมติดจักรๆวงศ์ๆ ของช่อง 3 ที่ฉายช่วงจันทร์ถึงศุกร์ ตอนเย็นๆ มากกว่า  เพราะเนื้อเรือ่งหลากหลายและพิสดารดี    เช่น "หน้ากากทอง"   "เจ้าชายหมาป่า"   "ยอดหญิงกายสิทธิ์"   
ส่วนช่อง 7 ที่ประทับใจคือ  เรื่องอะไรสักอย่างที่เกี่ยวกับ สังวาลย์อัญมณีเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ "มณีณพเก้า" หรือ "เทพสังวาลย์" นะ  เพราะในเรื่องพระเอกเป็นเทพที่โดนลงโทษถอดพลังทิ้ง แต่ได้พลังของอัญมณีมาใช้   ที่บีบหัวใจคือ "ใช้ได้แค่ 5 ครั้ง" เท่านั้น  ฉะนั้นต้องใช้ความสามารถและสติปัญญาล้วนๆ ให้ได้ก่อน ค่อยเอาพลังของอัญมณีมาใช้(ซึ่งดีกว่าเอะอะยิงเปรี้ยงไม่บันยะบันยังในสมัยนี้)

ด้านละครกำลังภายในฮ่องกง ที่น่าเบื่อคือ Remake บ่อยมาก แถมบทยังชวนจักจี้ ไม่ค่อยสมเหตุสมผล  แถมยังบ้า Effect เอะอะ ก็ยัด Effect ใส่ สีสันฉูดฉาดลายตา (ไม่รู้ว่าไปเลียนแบบหนังฟงอวิ๋นมาหรือไง)    ใช้สลิงน่ะไม่ว่าหรอก แต่ควรให้นักแสดงใช้ทักษะวิชาฝีมือมากกว่าทำให้เป็น Dragonball    อีกเรื่องคือการดัดแปลงบทประพันธ์ (โดยเฉพาะกระบี่เย้ยยุทธจักรที่โดนดัดแปลงบ่อยมาก)ที่ไม่ทำตามต้นฉบับ  แต่ชอบดัดนู่นดัดนี่เอาใจตลาดเกินไป

จากคุณ : Zenithius   - [ 17 ม.ค. 52 12:27:31 ] 

ออฟไลน์ นานะจัง

  • *
  • 7234
  • -3
  • เพศ: หญิง
  • นิศาอรพินท์
    • อีเมล์
นานะจังคิดว่า ละครสมัยก่อนไม่ได้เน้นเทคซีจีอะไรมากมายเลย แต่ละครดูสนุกน่าติดตาม
กว่าละครเดี๋ยวนี้ ไม่เฉพาะ ละครจักรๆวงศ์ นะคะ ละครปกติทั่วไปด้วย แต่ก่อนทำดีกว่ามาก
ตอนแรกคิดว่า สงสัยเราเด็กมั้งเวลดูละครอะไรก็สนุกไปหมด แต่พอคิดดูดีๆแล้วมันใช่เลยอ่ะ ละครเดี๋ยวนี้
บทโทรทัศน์แย่มาก เนื้อเรื่องก็วนอยู่ในอ่าง ไม่มีความสนุกน่าติดตามเอาซะเลย ที่มีความเห็นแบบนี้ก็เพราะว่า
ตอนที่ ไซอิ๋ว เวอร์ชัน จางเหว่ยเจียนเอามาฉายอีกครั้ง นานะจังก็เห็นคนดูกันเยอะมาก ดูกี่ครั้งก็สนุก
เลยตัดสินได้ว่า ละครเดี๋ยวมันห่วยแตกจริงๆ ทั้งที่นานะจังเป็นคนที่ชอบดูละครมากเลยนะคะ
แต่ตอนนี้ไม่มีละครเรื่องไหนเลย ที่จะต้องมานั่งรอดู เฮ้อ  :icon_eek: เข้าบอร์ดบอยมาคุยกับน้องๆยังจะสนุกซะกว่าเลย :-X

ออฟไลน์ มณีจันทร์

  • **
  • 536
  • 0
  • เพศ: หญิง
  • If you're my destiny I will meet you (may be !!!)
โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าละครแต่ละเรื่องก็มีข้อคิดที่ให้กับผู้ชมที่แตกต่างกันออกไป
แต่ละครบ้างเรื่องก็น้ำเน่ามากเกินไปหรือบ้างเรื่องก็เกินความเป็นจริงไป
สังคมละครไทยเป็นอย่างนี้มาตลอด...การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่สิ่งไม่ดี
แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นต้องอยู่บนพื้นฐานที่ดีงามด้วย

ก็คงบอกไม่ได้ว่าควรรื้อถอนโครงสร้างของละครน้ำเน่ารึป่าว
เพราะว่าละครน้ำเน่าบ้างเรื่องก็ให้ข้อคิดที่ดีอ่ะ

  :icon_twisted: