ยินดีต้อนรับสู่บ้านอบอุ่นของคนรัก บอย สพล ชนวีร์

ลองทดสอบชิมลางจ้า เรื่องสั้นขนาดยาว : แหวนนาคา

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้


คือพี่เป็นคนตั้งชื่อเรื่องไม่เก่งจ้ะ เลยได้มาแค่นี้เอง เป็นเรื่องสั้นเรื่องแรกที่พี่แต่งตอนปี 2 สมัยเรียนที่ มช. พอครบ 4 ตอนแล้ว พี่จะมาเฉลยว่า มีอะไรเกิดขึ้นหลังจากที่พี่ส่งเรื่องสั้นเรื่องนี้กับอาจารย์ไป และอะไรเป็นแรงบันดาลใจให้พี่เขียนเรื่องนี้ ส่วนเรื่องยาว ขอติดไว้ก่อนนะจ๊ะ พี่ต้องหาต้นฉบับที่เป็นลายมือให้เจอเสียก่อน ที่เคย save ใส่ไฟล์ไว้ มันหายสาบสูญไปแล้ว เพราะตอนนั้นพี่ save ใส่แผ่นดิสก์ไว้ (โธ่ ไฟล์เอ๊ย! :icon_sad:)

ชักเกริ่นยาวไปแล้ว มาเข้่าเรื่องกันเลยนะ


แหวนนาคา 

ท้องฟ้าสีครามจัด จ้ายามบ่ายกลับเปลี่ยนเป็นความมืดดำอย่าง รวดเร็ว เมื่อเมฆดำที่ลอยมาจากแห่งหนใดไม่ปรากฏได้แผ่กระจายจนบดบังแสงอาทิตย์ไปจน หมดสิ้น ลมเริ่มพัดแรงขึ้นทุกขณะจนกลายเป็นพายุพัดโหมกระหน่ำ เศษใบไม้ใบหญ้าฝุ่นละอองปลิวว่อนไปทั่ว ทันใดนั้นเองก็บังเกิดหลุมดำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของหล่อน ภายในหลุมนั้นมีกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ แล่นแปลบปลาบอยู่ไปมา แรงดึงดูดจากหลุมนั้นรุนแรงจนกระทั่งสามารถดูดทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ภายใน รัศมีการดึงดูดนั้นหายเข้าไปในหลุม รวมทั้งตัวหล่อนด้วย!!

กฤษณา สะดุ้งขึ้นสุดตัว เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นเต็มใบหน้าและแผ่นหลัง จนเสื้อนอนหล่อนเปียกชุ่ม หล่อนหอบหายใจอย่างคนที่เพิ่งประสบเหตุการณ์เลวร้ายมาหมาดๆ และแล้วหล่อนก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อรู้ว่าตนเองยังคงอยู่ในห้องนอนของตัวเอง เมื่อสงบสติอารมณ์ได้แล้ว กฤษณาก็ลุกขึ้นจากเตียงเดินไปที่หน้าต่างห้องนอน แล้วเปิดม่านขึ้น

แสง จันทร์เพ็ญส่วนหนึ่งทอดลำแสงนวลเข้ามาในห้องที่มืดมิดให้สลัวรางขึ้น กฤษณาทอดสายตาผ่านกระจกกั้นขึ้นมองบนฟ้าที่กระจ่างใสด้วยแสงจันทร์ ส่วนใดที่แสงจันทร์ทอแสงไปไม่ถึงก็ปรากฏดวงดาวพร่างพรายวับวาวประดุจเข็ม หมุดสีเงินประดับเหนือผืนผ้าสีดำ

หล่อนหลับตาลงครู่หนึ่งเมื่อหวนนึก ถึงความฝันที่เพิ่งผ่านมา นี่ไม่ใช่ความฝันครั้งแรก หากหล่อนฝันเรื่องเดียวกันนี้ติดกันมา ๗ คืนแล้ว มันหมายความว่าอย่างไร จะว่าเป็นเพราะภาพยนตร์ที่ดูก่อนนอนก็คงไม่ใช่ เพราะไม่มีเรื่องราวส่วนใดใกล้เคียงกับความฝันเลยแม้แต่น้อย หล่อนถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ที่บ้านอีกหลังหนึ่งซึ่งเป็นบ้านของลักษมี หล่อนเองก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกับกฤษณาเพื่อนสนิทของหล่อนได้ประสบไม่มีผิด เพี้ยน เหนือขึ้นไปบนท้องฟ้า เหนือหลังคาบ้าน มีหลุมดำเช่นที่เกิดขึ้นในฝันของหล่อนปรากฏอยู่ และมันกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ! เช้าวันใหม่ เมื่อกฤษณามารับลักษมีที่บ้านเพื่อไปมหาวิทยาลัยด้วยกัน หล่อนจึงเล่าความฝันให้เพื่อนรักฟัง แล้วหล่อนก็ต้องแปลกใจอีกครั้งหนึ่ง เมื่อลักษมีบอกหล่อนว่าตนเองก็ฝันเรื่องเดียวกัน ในระยะเวลาและช่วงเวลาที่เท่ากันเช่นเดียวกันกับหล่อน

บ่ายวันนั้น หลังจากที่ทั้งสองเลิกเรียนแล้ว จึงพากันไปห้องสมุด ด้วยหวังที่จะได้พบกับปริศนาที่ทั้งสองกำลังประสบอยู่ ในขณะที่กฤษณากำลังค้นหนังสืออยู่ตามชั้นนั่นเอง พลันหล่อนก็รู้สึกหน้ามืด จนเซไปปะทะกับชั้นหนังสือ ลักษมีซึ่งหาหนังสืออยู่ใกล้ๆกันนั้นเห็นเข้าก็รีบถลันมาประคองเพื่อนก่อน ที่จะทรุดลงไป ปากก็ถามอย่างห่วงใย หากกฤษณาส่ายหน้าช้าๆแทนคำตอบ และแล้วหล่อนก็สะดุ้งขึ้นสุดตัวเมื่อสายตาหล่อนกระทบเข้ากับแหวนเงินที่ตน สวมอยู่ หัวแหวนที่เป็นรูปพญานาคแผ่พังพานนั้นเปล่งแสงสีทองวาบขึ้นวูบหนึ่ง พร้อมๆกับหนังสือเล่มหนึ่งตกลงมาจากชั้น บรรยากาศโดยรอบเยือกเย็นลงฉับพลัน หล่อนหลับตาลงครู่หนึ่งก่อนที่จะสั่งเพื่อนสาวด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเยือก เย็นเฉียบขาดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

"เก็บมันขึ้นมาเดี๋ยวนี้ ลักษ์ อย่ามัวแต่ตกใจอยู่ สิ่งที่เป็นคำตอบอยู่ในนั้นแล้ว"

ลักษมี เก็บหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาไว้ในมือด้วยท่าทีที่ยังไม่หายตกใจดีนัก ไม่กล้าถามอะไรกฤษณาแม้แต่คำเดียว กฤษณาดูเปลี่ยนไปคล้ายกับมีใครอีกคนแฝงอยู่ เมื่อหล่อนเงยหน้าขึ้นมองกฤษณาครั้งแรกนั้นราวกับว่ามีรัศมีเรืองรองอยู่รอบ กายเพื่อนรัก พอหล่อนกระพริบตา รัศมีนั้นก็หายไป

เย็นวันนั้นลักษมี ต้องขับรถพากฤษณามาส่งที่บ้าน ก่อนจากกันกฤษณากำชับให้ลักษมีอ่านหนังสือเล่มนั้นให้ได้ ดวงหน้าและกิริยาที่งดงามเช่นหญิงสูงศักดิ์ของหล่อนในเวลานี้ดูน่ากลัวและ น่าเกรงขามอย่างประหลาด โดยเฉพาะใบหน้างามยามเครียดขึ้งเช่นเวลานี้ ทำให้ลักษมีต้องหลบสายตาหล่อนและไม่กล้าซักไซ้อะไรอีก

"อ่านมันนะลักษ์ สิ่งนี้สำหรับเธอโดยเฉพาะ ส่วนฉันรู้แล้วว่ามันคืออะไร แล้วพรุ่งนี้ฉันจะไปรับเธอเอง"

ลักษมี กลับบ้านโดยแม่ของกฤษณาขับรถไปส่ง กฤษณาเดินกลับเข้าไปในบ้านเมื่อรถหล่อนพ้นประตูบ้านไปแล้ว ทันทีที่หล่อนย่างเหยียบเข้าสู่ห้องนอนของตนเอง หล่อนก็รู้สึกหน้ามืดอีกครั้ง จนต้องประคองพาตัวเองมานอนลงบนเตียง หลับตาลงอย่างอ่อนเพลีย และแล้วหล่อนก็เผลอหลับไป มารู้สึกตัวอีกทีก็พลบค่ำแล้ว กฤษณามองรอบตัวเองอย่างงงงวยจนต้องถามตัวเอง

"ฉันกลับบ้านมาเมื่อไหร่นี่ ก็เมื่อครู่นี้ฉันอยู่ในห้องสมุดนี่นา เอ!หรือยายลักษ์จะพาเรากลับมา"

รุ่งเช้า กฤษณาออกจากบ้านแต่เช้าเพื่อไปรับลักษมีอันเป็นกิจวัตรอย่างหนึ่ง เมื่อเจอหน้าเพื่อนรักหล่อนก็เปิดฉากถามทันที

"เมื่อวานเธอมาส่งฉันที่บ้านใช่ไหมลักษ์ ขอบใจนะ"ลักษมีมองเพื่อนสาวอย่างงงๆแต่ก็ตอบ

"อืม! เออนี่!ที่เธอให้ฉันไปอ่านเมื่อวานนี้น่ะ ฉันอ่านจบแล้วนะ ฉันว่ามันเหมือนทฤษฎีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์ที่นักวิทยาศาสตร์จะเอามาสร้าง ไทม์แมชชีนเลย"

หล่อนพูดพลางชูหนังสือให้เพื่อนดู ทว่ากฤษณาไม่ได้หันมามองเลย หล่อนขับรถไปเรื่อยๆด้วยจิตใจที่เลื่อนลอย จนลักษมีพูดซ้ำ หล่อนจึงได้รู้สึกตัวแล้วก็นิ่งเงียบต่อไปอีก ขณะนั้นเองหล่อนก็รู้สึกวูบไปนิดหนึ่ง พอรู้สึกตัวก็ตกใจสุดขีดเมื่อเห็นภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า หลุมดำ ใหญ่เช่นที่ปรากฏในความฝันนั้น บัดนี้มันมาอยู่ตรงหน้าพวกหล่อนแล้ว เสียงกรีดร้องของทั้งสองดังขึ้นพร้อมๆกับที่รถทะยานพุ่งเข้าไปข้างในหลุม ด้วยแรงดึงดูดบางอย่าง ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเลือนหายไปจากสายตานั้น กฤษณาได้เห็นหัวแหวนนาคของหล่อนเปล่งแสงสีทองวาบขึ้น แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็วูบดับลง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 15, 2009, 06:35:42 PM โดย อินทรายุธ »
     อักษรแต่งสาร   จดจารลงไว้                          มอบหื้อน้องไท้   สรรคำเลือกเฟ้น
ความฮักหนักอก   หยิบยกหื้อเห็น                         แป๋งเป็นค่าวส้อย   ส่งเถิงนุชน้อง
หวังเจ้าหันใจ   หวังให้หันพ้อง                              ส่งค่าวไขบอกเค้า
     เอื้องผึ้งหอมหวาน   พี่ขานบอกเจ้า                   เอื้องผึ้งหวังพึ่งพา
เจ้ายอดมิ่งมิตร   ดวงจิตพี่ยา                               ตึงร่างกายา   ถอดวางหื้อเจ้า
เจ้าแก้วรอมแพง   เช้าแลงคอยเฝ้า                       ถนอมฮักอย่าฮู้ร้าง
     ขอเจ้าแพงนาย   อย่าคลายปล่อยคว้าง             หื้อพี่ว้างดายเดียว
อู้แท้จากใจ   บ่ใช่เพียงเกี้ยว                               กลับเวียงครานี้   จะเตรียมแต่งผ้า
คนใหญ่เจียรจา   มาขอน้องหล้า                          เป็นจอมนาฏนางใหญ่
     เขียนสารฝากแม่ไว้                                     แทนพี่แนบเคียงใกล้ 
นิ่มน้องรอมรอมแพง                                         พี่เฮย ”    

ออฟไลน์ นานะจัง

  • *
  • 7234
  • -3
  • เพศ: หญิง
  • นิศาอรพินท์
    • อีเมล์
เย้พี่อินเอางานเขียนมาให้เชือดดดดดดดดด   O0เอ๊ยยยยยยยยยไม่ใช่มาให้อ่านแย้วววววววววววว :icon_evil:
เด๋วขอไปอ่านก่อนน้าเด๋วมาเมินคร่า แต่ลงไป แค่หนึ่งตอนชิมิ เหลืออีก 3 ;)

Re: ลองทดสอบชิมลางจ้า เรื่องสั้นขนาดยาว : แหวนนาคา
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: เมษายน 15, 2009, 06:33:43 PM »
แหวนนาคา (ต่อ)

ประสาทสัมผัสทั้งห้าค่อยๆกลับคืนมาอย่างช้าๆ พร้อมกับสติของหล่อนค่อยๆกลับคืนมา กฤษณาลืมตาขึ้นอย่างลำบาก รู้สึกราวกับร่างกายของหล่อนหนักอึ้งคล้ายท่อนเหล็กก็ไม่ปาน

หล่อนมองไปรอบกายแล้วก็อดที่จะตกใจไม่ได้ทันทีที่ภาพทั้งหมดประจักษ์แก่สาย ตา หล่อนมานอนอยู่ที่ไหน? ที่นี่คือที่ใด? บ้านของใคร? ทั้งฝาบ้าน พื้นบ้านล้วนแต่เป็นไม้ทั้งสิ้น เมื่อหล่อนชันตัวขึ้นมองผ่านซี่ลูกกรงออกไปภายนอก ผู้คนที่เดินขวักไขว่อยู่ในสนามหญ้าเขียวขจีนั้นล้วนแต่งตัวแปลกๆอย่างที่ เห็นในละครย้อนยุค ราวกับหล่อนย้อนกลับมาสู่อดีตสมัยกรุงศรีอยุธยาอย่างนั้นแหละ

ย้อนอดีตสู่สมัยกรุงศรีอยุธยาเช่นนั้นหรือ! หล่อนแปลกใจตัวเองขึ้นมาครามครัน ทำไมต้องเป็นกรุงศรีอยุธยาด้วย หล่อนรู้ได้อย่างไร ทำไมหล่อนไม่คิดว่านี่เป็นภาพฝันของหล่อนเล่า หล่อนบอกตัวเองไม่ได้ เอ!จริงสิ ถ้าเป็นความฝันล่ะก็ กฤษณาหยิกแก้มตัวเองแล้วก็ร้องออกมาเบาๆด้วยความเจ็บ ไม่ใช่แน่แล้ว นี่ไม่ใช่ความฝันแต่มันคือความจริง แต่….หล่อนยังคิดในแง่ดีต่อไป ถ้านี่คือการถ่ายละครล่ะ ไม่ใช่! บางสิ่งภายในตัวหล่อนขัดแย้งความคิดนี้ จะเป็นการถ่ายละครได้อย่างไรในเมื่อ ไม่มีกล้อง ไม่มีสิ่งใดที่จะบอกได้เลยว่านี่คือการถ่ายละคร

ความคิดหล่อนหยุดลงเพียงเท่านี้ เมื่อนึกถึงลักษมี หล่อนจึงลุกขึ้นจากเตียง แล้วเปิดประตูออกมาภายนอก และแล้วหล่อนก็ต้องนิ่งอึ้งเมื่อเห็นภาพอย่างที่หล่อนเห็นครั้งแรกอย่างไม่ ผิดเพี้ยน

“ฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ คุณหนู”

เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างตัว แม้จะไม่ดังนักแต่ก็ทำให้หล่อนสะดุ้งขึ้นสุดตัว หล่อนมองหาเจ้าของเสียงก็พบหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งนั่งพับเพียบอยู่บนพื้น ข้างๆหล่อน ท่าทางเกรงๆหล่อนอยู่ไม่น้อย หล่อนเริ่มรู้สึกว่ามีบางสิ่งในตัวแปลกไปจากเดิมจึงสำรวจตัวเอง แล้วหล่อนก็ใจหายวูบ

ชุดนักศึกษาของหล่อนกลับกลายเป็นผ้าแถบและโจงกระเบนได้อย่างไร แม้ว่าจะตกใจสักเพียงใด หล่อนก็ยังมีสติพอที่จะถามบ่าวคนเดิมถึงเครื่องแต่งกายเดิมของหล่อนและ ลักษมี รวมถึงการที่หล่อนมาอยู่ที่นี่ด้วย ก็ได้ความว่า มีคนพบหล่อนและลักษมีนอนหมดสติอยู่ที่ริมสระบัวหลังเรือนใหญ่

เมื่อคุณหญิงของบ้านนี้ทราบก็มีบัญชาให้พาพวกเธอมาที่เรือนใหญ่นี้ ส่วนเสื้อผ้าชุดเดิมนั้นคุณหญิงเป็นผู้เก็บรักษาไว้ จากนั้นก็ชี้ทางให้หล่อนไปหาลักษมี กฤษณากล่าวขอบคุณเบาๆ แล้วตามไปหาลักษมี

เมื่อพบกันและได้พูดคุยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ทั้งสองมีแววกังวลใจฉายชัดบนใบหน้า ยังไม่ทันที่จะหารือกันว่าอย่างไร ก็พอดีบานประตูที่ไม่ได้ขัดดาลไว้ก็เปิดออก พร้อมๆกับร่างของชายหนุ่มรูปงามวัยประมาณ ๒๕ ปีก้าวเข้ามาในห้อง เสียงทุ้มนุ่มหูของเขาเอ่ยคำขอโทษ เมื่อเห็นทีท่าตกใจของสองสาว

“ขอโทษเถิดที่ฉันเข้ามารบกวนและเสียกิริยากับหล่อนทั้งสอง”

“หามิได้เจ้าค่ะ เอ้อ…ฉันต่างหากที่มารบกวนท่าน” กฤษณากล่าวตอบในทันทีโดยไม่ติดขัดแม้แต่น้อย รู้สึกแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันที่พูดภาษาไทยแบบชายหนุ่มที่เพิ่งเข้ามาได้ โดยไม่ติดขัด ในขณะที่ลักษมีนิ่งอึ้งอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดี เขาหัวเราะเบาๆแล้วว่า

“อย่าได้เรียกฉันว่าท่านเลย เรียกฉันว่าคุณแสนเถิด ฉันมาตามหล่อนทั้งสอง นายแม่อยากพบ”

“เหตุใดจึงมิให้บ่าวไพร่มาตามเจ้าคะ”

“ฉันอยากเห็นหล่อน ได้ยินว่าเป็นคนแปลกถิ่น”

ชายหนุ่มพูดยิ้มๆ ดวงตาสีเหล็กจับนิ่งอยู่ที่ดวงหน้าของกฤษณานั้นเจือแววหวานอย่างเปิดเผย จนหญิงสาวต้องหลบตาลงมองพื้นอย่างขัดเขิน หล่อนไม่พูดอะไรอีกเลย แต่ในใจกลับนึกค่อนเจ้าของสายตาหวานพราวแพรวของพ่อหนุ่มแปลกหน้าที่จ้องมองหล่อนชนิดไม่เกรงใจกัน ว่าทำให้ตัวหล่อนรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนผ่าวขึ้นมาเสียเฉยๆ 

เมื่อเห็นสองสาวไม่ต่อคำอะไรอีก ชายหนุ่มก็เดินออกจากห้องไปก่อน กฤษณาจึงกระตุกมือลักษมีเบาๆ เป็นเชิงให้ตามเจ้าของเรือนออกไป

จากการที่ได้พบนายแม่หรือคุณหญิงแสนไพรีพ่าย ทำให้กฤษณาทราบว่าทั้งหล่อนและลักษมีพลัดหลงเข้ามาในสมัยอยุธยา เดือนยี่ ปีพุทธศักราช ๒๓๐๙ คุณแสนนั้นเป็นบุตรชายคนโต มีตำแหน่งเป็นขุนแสนพลพ่าย บุตรชายคนเล็กนั้นชื่อคุณสัก เป็นมหาดเล็กเข้าเวรอยู่ในวังยังไม่กลับ ส่วนสามีคุณหญิงแม้นคือเจ้าพระยาแสนไพรีพ่ายนั้น วายชนม์ไปเมื่อครั้งสงครามพระเจ้าอลองพญา ในปีพุทธศักราช ๒๓๐๒

ครั้งหนึ่งคุณหญิงแสนไพรีพ่ายคงสังเกตเห็นแหวนรูปพญานาคที่กฤษณาสวมอยู่บนนิ้วกลางข้างซ้าย จึงเอ่ยปากถาม

“นั่นหล่อนเกิดปีมะโรงรึ แม่กฤษณา”

“ เปล่าเจ้าค่ะ อิฉันเกิดปีมะแม แหวนวงนี้อิฉันซื้อมาเจ้าค่ะ”

“แปลกจริง ฉันไม่เคยเห็นใครใส่แหวนที่ไม่ตรงกับปีเกิดเลย แล้วเวลาตกฟากหล่อนเล่า”

“วันเสาร์ แรม ๕ ค่ำ เดือน ๕ เวลายามสาม เศษ ๕ บาทเจ้าค่ะ”

“วันแรมนี่นะ เสาร์ ๕ อืม…ดีๆ หาคนเกิดวันแข็งเช่นหล่อนนี่ยาก”

กล่าวเพียงแค่นั้นแล้ว คุณหญิงแสนไพรีพ่ายก็เปลี่ยนเรื่องพูดเป็นอย่างอื่นต่อไป

ตลอดเวลาที่พูดคุยกับคุณหญิงแสนไพรีพ่ายนั้น กฤษณารู้สึกคล้ายกับมีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองหล่อนอยู่ตลอด เมื่อลอบมองจึงได้รู้ว่าเจ้าของสายตาคู่นั้นคือ ขุนแสนพลพ่ายนั่นเอง หล่อนรู้สึกหวั่นไหวในสายตานั้นเล็กน้อย เพราะขุนแสนพลพ่ายนั้นนับว่าเป็นชายหนุ่มรูปงามเอาการอยู่เหมือนกัน หล่อนเริ่มเขินมากขึ้นจึงคิดหาทางที่จะหลบออกไปจากที่ตรงนั้นเสีย ประจวบเหมาะกับที่คุณหญิงแสนไพรีพ่ายจบการสนทนาแล้วหล่อนจึงขอตัวกลับห้อง เสีย

เมื่อเข้ามาในห้องและขัดดาลประตูแล้วลักษมีจึงเริ่มเปิดฉากถามทันที

“นี่หล่อนไปหัดพูดภาษาแบบเมื่อกี้มาจากที่ไหนกันยะ คล่องปร๋อเชียว แล้วไอ้เศษ ๕ บาทนั่นมันคืออะไร”

“เปล่านี่ ฉันรู้สึกว่ามันเป็นไปเองตามธรรมชาติ ส่วนเศษ ๕ บาทที่เธอว่าน่ะ มันเป็นเศษของนาทีที่เขาใช้นับกันสมัยก่อน ๖ นาทีเท่ากับ ๑ บาท”

“งั้นเหรอ”

“อืม. นี่มาช่วยกันคิดหน่อยสิว่าเราจะกลับยุคของเราได้ยังไง”

“คิดไปก็เท่านั้น เอ! อยากกลับไปจริงเหรอ เห็นอีตาท่านขุนนั่นจ้องเธอตาไม่กระพริบเลย แบบนี้คงไม่คิดจะกลับไปสู่โลกปัจจุบันแล้วล่ะมั้ง ไม่งั้นคงเสียดายแย่”

ลักษมีเย้าเพื่อนสาวเล่น กฤษณาหยิกหมับเข้าที่แขนลักษมีทันที ทั้งขำทั้งฉิว

“คงมีอารมณ์เสียดายอยู่หรอกนะแม่คุณ ฉันอยากกลับบ้านยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด กลับก่อนกรุงแตกได้ยิ่งดี อีกแค่ ๓ เดือนเท่านั้นเอง”

“เฮ้ย! ไหนว่ากรุงแตกปี ๒๓๑๐ ไง นี่มันแค่ปี ๒๓๐๙ อยู่นะ”

“ฉันจะบอกอะไรให้นะลักษ์ เดือนยี่คือเดือนมกราคม ถ้าเป็นสมัยเราก็คงนับเป็นปี ๒๓๑๐ แล้ว แต่เผอิญนี่มันสมัยอยุธยา วันเปลี่ยนศักราชใหม่ตกราวๆเดือน ๕ และที่สำคัญนะลักษ์ กรุงแตกเดือน ๕ นะ”

ด้วยเหตุการณ์บังคับทำให้ทั้งสองสาวจำต้องอาศัยอยู่ที่เรือนของคุณหญิงแสน ไพรีพ่ายต่อไปในฐานะหลานเป็นการชั่วคราว การงานใดที่พอจะทำได้ก็ช่วยตามกำลัง ความใกล้ชิดทำให้ขุนแสนพลพ่ายและกฤษณาเริ่มมีใจต่อกัน หากแต่หล่อนพยายามจะตัดรอนสัมพันธ์ที่ขุนแสนพลพ่ายทอดมาให้ทั้งๆที่รัก ด้วยรู้ดีว่าในวันใดวันหนึ่งข้างหน้า หล่อนต้องกลับไปสู่ยุคปัจจุบัน กาลเวลาที่ต่างกันจะเป็นดั่งเส้นขนานที่ไม่มีวันจะมาบรรจบกันได้โดยง่าย

“ดูหล่อนจักตัดรอนฉันเหลือเกินนะแม่กฤษณา ทำไมรึ”ขุนแสนพลพ่ายกล่าวตัดพ้อหล่อนอย่างน้อยใจ เมื่ออยู่กัน

ตามลำพังในท้ายสวนวันหนึ่ง

“หามิได้เจ้าค่ะ คือฉันไม่รู้จักพูดให้ท่านขุนเข้าใจว่าอย่างไรดี”

“ท่านขุนอีกแล้ว เคยบอกแล้วอย่างไรว่าให้เรียกฉันว่าคุณแสน”

“ ค่ะ คุณแสน”

กฤษณารับคำแล้ว เขาจึงวกกลับมายังเรื่องที่ได้พูดจากันค้างไว้

“ทำไมเล่ากฤษณา เพราะหล่อนคงเกลียดฉัน หรือว่าหล่อนมีคู่แล้ว”

“มิใช่เช่นนั้นเจ้าค่ะ สักวันคุณแสนคงเข้าใจเอง ”

เขาหน้าหมองลงด้วยความเศร้า จนหล่อนสงสาร เขามองสบตาหล่อนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก็พูด

“ถ้าฉันทายไม่ผิดแล้ว กลับบ้านเมืองหล่อนกระมัง ฉันเข้าใจ เอาเถอะฉันจักมอบสิ่งนี้ไว้ให้แก่หล่อน เพื่อว่าเมื่อหล่อนกลับไปแล้วจักนึกถึงฉันบ้าง”

เขาพูดพลางจับมือซ้ายของหล่อนขึ้นมา หล่อนไม่ขัดขืนเมื่อเขาบรรจงสวมแหวนทองเกลี้ยงเข้าที่นิ้วนางของหล่อน หล่อนมองหน้าเขานิ่งเป็นครู่จึงเอื้อนเอ่ยวาจา

“ขอให้คุณแสนทราบเถิดเจ้าค่ะ ว่าถึงแม้ฉันจักจากที่แห่งนี้ไป ฉันจักไม่มีวันลืมเลือนคุณแสนได้เลย”

หล่อนพูดแล้วก็ต้องเบือนหน้าหนีจากขุนแสนพลพ่าย เพื่อซ่อนน้ำตาที่เริ่มเอ่อคลอขอบตา และเริ่มไหลหยาดลงมาช้าๆ แต่กระนั้นก็ไม่เร็วไปกว่าสายตาของเขา เขาจับตัวหล่อนให้หันหน้ามาเผชิญ

“ร้องไห้หรือ กฤษณา ไม่เอานะอย่าร้อง ฉันไม่อยากเห็นหล่อนต้องโศกเศร้าเลย”

กฤษณาช้อนตาขึ้นมองดูเขา ทว่าภาพที่เห็นนั้นก็ไม่ชัดเจนนัก เพราะม่านน้ำตาทำให้ทุกสิ่งนั้นพร่าเลือนไป สิ่งเดียวที่หล่อนรับรู้ได้นั่นคือ ริมฝีปากที่อบอุ่นเคลื่อนตัวสัมผัสกับหน้าผากหล่อนอย่างแผ่วเบา ความรู้สึกลึกล้ำทำให้หล่อนซบหน้าลงกับอกเขา สะอื้นไห้อยู่อย่างนั้น วงแขนของเขาโอบรัดตัวหล่อนไว้

“ กฤษณา ฉันรักหล่อนแม้จักเป็นเพียงเพลาสั้นๆก็ตาม แลขอสัญญาแก่หล่อนว่าฉันจักรักหล่อนเพียงคนเดียว ส่วนแหวนวงนี้ฉันขอให้หล่อนสวมมันไว้ เคียงคู่กับแหวนนาคของหล่อนตลอดไป”

คำว่ารักนั้นใช่จะกล่าวได้โดยง่าย ลงชายชาตินักรบเช่นขุนแสนพลพ่ายได้กล่าวคำรักแล้ว คำนั้นย่อมหนักแน่นมั่นคง ความข้อนี้กฤษณารู้ดี

ลุปีพุทธศักราช ๒๓๑๐ วันอังคาร ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๕ เวลาราวยามเศษพม่าบุกเข้ากรุงศรีอยุธยาได้สำเร็จ และวันเดียวกันนั้นเอง คือวันที่กฤษณาและลักษมีกลับสู่ยุคปัจจุบันได้สำเร็จโดยไม่คาดฝัน ขุนแสนพลพ่าย พาคุณหญิงแสนไพรีพ่าย หล่อนและลักษมี พร้อมกับทหารอีกบางส่วนหนีทหารพม่าเข้ามาในป่า ที่ต้นไม้ใหญ่เบื้องหน้านั้นกฤษณาได้เห็นแสงเรืองรองขึ้นที่โคนต้น

สามัญสำนึกหล่อนบอกให้รู้ว่านั่นคือหนทางที่จะพาหล่อนกลับสู่โลก ยุคปัจจุบันได้ ขุนแสนพลพ่าย ลักษมีและคนอื่นๆก็เห็นเช่นที่หล่อนเห็น

ขุนแสนพลพ่ายเข้าใจทุกสิ่งในทันทีจึงรีบเร่งให้หล่อนและเพื่อนสาวเข้าไปที่ โคนต้นไม้ต้นนั้นโดยเร็วที่สุด เสียงทหารพม่าร้องเรียกกันและกันดังตามหลังกระชั้นเข้ามาทุกที กฤษณายังลังเลอยู่จนทหารพม่าตามมาทัน เขาและทหารไทยที่เหลือได้ต่อสู่กับทหารพม่าอย่างสุดความสามารถ

เมื่อจวนตัวเต็มทีเขาจึงผลักสองสาวไปทางโคนต้นพร้อมกับทหารพม่าคนหนึ่งตวัด ดาบในมือโดนเขาสะพายแล่งพอดี ดังนั้นก่อนที่หล่อนจะได้กลับสู่โลกปัจจุบันภาพสุดท้ายที่หล่อนได้เห็นคือ ภาพที่ขุนแสนพลพ่ายถูกทหารพม่าฆ่าตายไปต่อหน้า หล่อนเรียกเขาออกมาสุดเสียง แล้วทุกสิ่งก็วูบดับลง

แสงสว่างที่แยงตานั้นปลุกกฤษณาให้ฟื้นตื่นขึ้นจากความหลับใหล เมื่อลืมตาขึ้นได้ หล่อนก็มองไปรอบตัว ภาพต้นไม้ใบหญ้า ทหารพม่า ขุนแสนพลพ่าย ฯลฯ ทุกสิ่งทุกอย่างเลือนหายไปสิ้นแล้ว ณ เวลานี้มีเพียงหล่อนนอนอยู่บนเตียงในห้องทาสีขาวสะอาดเพียงลำพัง

“กริ๊ก”

เสียงบิดลูกบิดประตูดังขึ้นเบาๆพร้อมๆกับบานประตูที่เปิดอ้าออก ร่างหญิงกลางคนผู้หนึ่งที่ชินตา ก้าวเข้ามาในห้อง ทันทีที่หญิงนั้นเห็นหล่อนมองอยู่ก็ถลาเข้ามาที่เตียงหล่อนอย่างดีใจ

“รู้สึกตัวแล้วหรือลูก โล่งอกไปที นี่หนูขับรถยังไงรถถึงแฉลบไปชนต้นไม้ข้างทางได้ล่ะ”

“แม่คะ นี่แม่จริงๆหรือคะ แล้วที่นี่ที่ไหนกัน หนูฝันไปหรือคะ”

“กฤษไม่ได้ฝันหรอกลูก นี่แม่เอง ตอนนี้หนูอยู่ที่โรงพยาบาล อีกเดี๋ยวยายลักษ์คงมาเยี่ยมหนูแล้วล่ะ”

ยังไม่ทันที่กฤษณาจะเอ่ยถามอะไร ก็พอดีลักษมีก้าวเข้ามาในห้อง แม่ของหล่อนจึงเอ่ยทักทายเพื่อนลูกสาวแล้วเลี่ยงออกไปปล่อยให้ทั้งสองได้คุย กันเพียงลำพัง กฤษณามองเพื่อนรักอย่างไม่เข้าใจที่ลักษมีไม่มีบาดแผลใดๆเลย ตัวหล่อนเองเสียอีกที่ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ และมีบาดแผลเล็กๆน้อยๆตามแขน ซ้ำลักษมียังไม่ได้ใส่เสื้อผ้าของโรงพยาบาลเหมือนหล่อนด้วย

“ลักษ์ นี่เธอไม่ได้เป็นอะไรหรือ”

“จะให้ฉันเป็นอะไรจ๊ะ ในเมื่อวันที่เธอเกิดเรื่องน่ะ ฉันรอเธออยู่ที่บ้านพอได้ข่าวเธอฉันก็รีบมาเยี่ยมนี่แหละ”

“เป็นไปได้ยังไง ก็ฉันจำได้ว่าเธอนั่งรถไปกับฉัน แล้วเราก็ย้อนอดีตไปด้วยกันนี่นา”

“บ้าไปแล้วนังกฤษ”

ลักษมีกล่าวหัวเราะๆ แล้วพูดต่อไปว่า

“นี่ฟังนะ ฉันรอเธออยู่ที่บ้าน ก็เธอเองนั่นแหละที่โทรมาหาฉันเมื่อคืนนี้บอกว่ามีเรื่องจะปรึกษาไม่ต้องมา รับ เช้านี้เธอจะมารับฉันเอง”

“ฉัน…โทรไปหาเธอ”

“เออสิ ตี ๓ ฉันยังจำได้เธอจะคุยเรื่องฝันประหลาดอะไรของเธอนี่แหละ”

กฤษณาพยายามทบทวนความทรงจำ เมื่อลักษมียืนยันเช่นนั้นหล่อนก็จำต้องยอมรับ พอลักษมีกลับไปแล้วและไม่มีใครรบกวน หล่อนก็นอนครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆอยู่คนเดียว ครู่หนึ่งหล่อนก็นึกอะไรขึ้นมาได้หล่อนก็ยกมือซ้ายขึ้นดู หากหล่อนย้อนอดีตจริงแหวนที่ขุนแสนพลพ่ายให้หล่อนนั้นต้องยังคงอยู่ แล้วใจหล่อนก็เต้นแรงเมื่อได้เห็นแหวนวงนั้นสวมอยู่ที่นิ้วนางเคียงคู่กับ แหวนนาคที่หล่อนสวมประจำ นึกแปลกใจอยู่นิดหน่อยที่ไม่มีใครถอดแหวนออกไปจากนิ้วหล่อน ยังไม่ทันที่ความคิดของหล่อนจะไปไกลกว่านั้น บานประตูก็เปิดออกอีกครั้ง คราวนี้แม่พาใครเข้ามาด้วยนะ ไม่ใช่พ่อแน่ๆ แต่หล่อนก็รู้สึกคุ้นเคยกับท่าทางของชายคนนี้เหลือเกิน เมื่อเห็นหน้าของผู้ที่เข้ามาใหม่ชัดเจน ใจหล่อนก็เต้นแรงอีกครั้ง ขุนแสนพลพ่ายแน่แล้ว หากหล่อนไม่อุปาทานไปเองแล้วไซร้ หล่อนดูเหมือนเขาจะยิ้มให้หล่อนอย่างดีใจเช่นกัน แม่พาเขาเข้ามาหยุดอยู่ที่ข้างเตียงหล่อน

“กฤษจ๊ะ นี่คุณแสนหาญ เขาช่วยพาหนูมาส่งโรงพยาบาลจ้ะ ถ้าหนูไม่ได้เขาคงแย่”

หล่อนเอ่ยขอบคุณเขาเบาๆพอได้ยินกัน ๓ คน ดวงตาแสนหาญฉายแววยินดีขึ้นวูบหนึ่ง เมื่อเห็นแหวนทองเกลี้ยงบนนิ้วหล่อน ซึ่งหล่อนยังไม่ทันเอามือข้างนั้นไว้ใต้ผ้าห่มดังเดิม แต่วางไว้บนอกนั่นเอง

พยาบาลคนหนึ่งเข้ามาเชิญแม่ให้ออกไปพบแพทย์เพื่อแจ้งวันกลับบ้านของหล่อน ทันทีที่แม่ลับตาไป แสนหาญก็โน้มตัวลงพูดเบาๆที่ข้างหูหล่อน

“กฤษณา ฉันตามหล่อนมาถึงที่นี่แล้ว อย่าได้หนีฉันไปไหนอีกเลย”

กฤษณายิ้มรับเขา ไม่มีใครสังเกตว่าแหวนนาคบนนิ้วหล่อนได้เปล่งแสงสีทองวาบขึ้นมาอีกครั้ง คล้ายจะรับรองความเข้าใจของหล่อนว่าเหตุการณ์ทุกอย่างนั้นได้เกิดขึ้นจริง มิใช่เป็นเพียงความฝัน แต่เหตุใดเล่าลักษมีจึงยืนยันว่าตนไม่ได้นั่งรถและย้อนเวลาไปกับหล่อนด้วย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 15, 2009, 06:39:45 PM โดย อินทรายุธ »
     อักษรแต่งสาร   จดจารลงไว้                          มอบหื้อน้องไท้   สรรคำเลือกเฟ้น
ความฮักหนักอก   หยิบยกหื้อเห็น                         แป๋งเป็นค่าวส้อย   ส่งเถิงนุชน้อง
หวังเจ้าหันใจ   หวังให้หันพ้อง                              ส่งค่าวไขบอกเค้า
     เอื้องผึ้งหอมหวาน   พี่ขานบอกเจ้า                   เอื้องผึ้งหวังพึ่งพา
เจ้ายอดมิ่งมิตร   ดวงจิตพี่ยา                               ตึงร่างกายา   ถอดวางหื้อเจ้า
เจ้าแก้วรอมแพง   เช้าแลงคอยเฝ้า                       ถนอมฮักอย่าฮู้ร้าง
     ขอเจ้าแพงนาย   อย่าคลายปล่อยคว้าง             หื้อพี่ว้างดายเดียว
อู้แท้จากใจ   บ่ใช่เพียงเกี้ยว                               กลับเวียงครานี้   จะเตรียมแต่งผ้า
คนใหญ่เจียรจา   มาขอน้องหล้า                          เป็นจอมนาฏนางใหญ่
     เขียนสารฝากแม่ไว้                                     แทนพี่แนบเคียงใกล้ 
นิ่มน้องรอมรอมแพง                                         พี่เฮย ”    

เย้พี่อินเอางานเขียนมาให้เชือดดดดดดดดด   O0เอ๊ยยยยยยยยยไม่ใช่มาให้อ่านแย้วววววววววววว :icon_evil:
เด๋วขอไปอ่านก่อนน้าเด๋วมาเมินคร่า แต่ลงไป แค่หนึ่งตอนชิมิ เหลืออีก 3 ;)

มาลงให้นานะเชือดแล้วจ้ะ พี่มาต่อรวดเดียวให้จบเลยดีกว่า ไม่แบ่งเป็น 4 ตอนละ (คนแก่ก็ยังงี้แหละ เลือดจะไปลมจะมา  :icon_mad:)

คือพี่ลองแบ่งดูแล้ว ถ้าซอยเป็น 4 ตอน รู้สึกว่าแต่ละตอนมันจะสั้นไปหน่อย ทั้งที่ในต้นฉบับจริงมันดูยาวกว่านี้มากเลยนะ แต่ทำไมพอเอามาลงในเนต มันถึงสั้นจุ๊ดก็ไม่รู้สิ

อ่านจบแล้วคิดเห็นว่าอย่างไร บอกกันได้จ้ะ พี่จะได้เอาไปปรับใช้กับนิยายของพี่ (ด่าได้ ชมได้ ไม่ว่ากันจ้ะ  :icon_idea:)
     อักษรแต่งสาร   จดจารลงไว้                          มอบหื้อน้องไท้   สรรคำเลือกเฟ้น
ความฮักหนักอก   หยิบยกหื้อเห็น                         แป๋งเป็นค่าวส้อย   ส่งเถิงนุชน้อง
หวังเจ้าหันใจ   หวังให้หันพ้อง                              ส่งค่าวไขบอกเค้า
     เอื้องผึ้งหอมหวาน   พี่ขานบอกเจ้า                   เอื้องผึ้งหวังพึ่งพา
เจ้ายอดมิ่งมิตร   ดวงจิตพี่ยา                               ตึงร่างกายา   ถอดวางหื้อเจ้า
เจ้าแก้วรอมแพง   เช้าแลงคอยเฝ้า                       ถนอมฮักอย่าฮู้ร้าง
     ขอเจ้าแพงนาย   อย่าคลายปล่อยคว้าง             หื้อพี่ว้างดายเดียว
อู้แท้จากใจ   บ่ใช่เพียงเกี้ยว                               กลับเวียงครานี้   จะเตรียมแต่งผ้า
คนใหญ่เจียรจา   มาขอน้องหล้า                          เป็นจอมนาฏนางใหญ่
     เขียนสารฝากแม่ไว้                                     แทนพี่แนบเคียงใกล้ 
นิ่มน้องรอมรอมแพง                                         พี่เฮย ”    

ออฟไลน์ กาฬฯ

  • *
  • 6333
  • -4
  • เพศ: หญิง
  • ஐ~ เผ่าพันธุ์นาคีซ่อนพิษไว้เสมอ ~ஐ
Re: ลองทดสอบชิมลางจ้า เรื่องสั้นขนาดยาว : แหวนนาคา
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: เมษายน 15, 2009, 07:26:24 PM »
ยังอ่านไม่จบเลยค่ะ 

อ่านไปได้ค่อนนึง  เรื่องแบบนี้น่าให้เป็นเรื่องยาวนะเนี่ย

แถมหลงเข้าไปเป็นแพ็คเก็ตคู่ด้วย  แล้วยังในสมัยกรุงแตกอีก



อ่านจบแล้วค่า   ;D

ในที่สุดก็กลับมาพบกันในชาติปัจจุบันจนได้

ถ้าตอนที่กรุงแตก  พี่อินน่าจะบรรยายละเอียดกว่านี้หน่อยอ่ะค่ะ   มีบทพูด  มีอารมณ์ตื่นเต้น ตอนที่กำลังหนีทหารพม่า  ตรงนั้นจะได้อารมณ์มากเลย

สำนวนเป็นนิยายไทยดีค่ะ   ไม่ได้อ่านเรื่องที่ใช้  สรรพนามว่า หล่อน มานานแล้ว


ตัวละครลักษมี  อันนี้หลงไปเป็นเพื่อนเฉยๆ เหรอคะ   อยากให้มีบทบาทหรือความสำคัญของลักษมีมากกว่านี้หน่อย  เพราะหลงไปด้วยแล้วไม่ได้มีอะไรพิเศษเลย  แถมกลับมาก็จำไม่ได้อีก  มันน่าเสียดายอ่ะ


ส่วนหนังสือที่ลักษมีเอาไปอ่าน  เกี่ยวกับปฏิสัมพันธ์นั่นกับแหวนนาคา  น่าจะมีละเอียดกว่านี้ค่ะ  โดยเฉพาะแหวนนาคา  ว่าอย่างน้อย  แหวนมาจากไหน  ทำไมถึงใส่  อยู่ๆ เกิดอะไรขึ้น  แต่มันเป็นเรื่องสั้น  เลยมีเนื้อที่จำกัด ทำให้ไม่สามารถอธิบายยาวๆ ได้ 


อยากอ่านเรื่องยาวของพี่อินจังเลยค่า   :P
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 15, 2009, 07:38:24 PM โดย กาฬรหัสย์ »
**จักรวาลนี้กว้างไกลแลไพศาลนัก เราเป็นเพียงละอองธุลีอันน้อยนิดล่องลอย ยากที่จะเรียนรู้ทุกสรรพสิ่งให้จบครบสิ้น
สิ่งที่เรามิเคยเห็น ใช่ว่าจะมิมี แลสิ่งที่มิเคยได้ประสบ ก็ใช่ว่าจะมิเคยเกิดขึ้น**

ออฟไลน์ นานะจัง

  • *
  • 7234
  • -3
  • เพศ: หญิง
  • นิศาอรพินท์
    • อีเมล์
Re: ลองทดสอบชิมลางจ้า เรื่องสั้นขนาดยาว : แหวนนาคา
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: เมษายน 15, 2009, 07:35:12 PM »

มาลงให้นานะเชือดแล้วจ้ะ พี่มาต่อรวดเดียวให้จบเลยดีกว่า ไม่แบ่งเป็น 4 ตอนละ (คนแก่ก็ยังงี้แหละ เลือดจะไปลมจะมา  :icon_mad:)

คือพี่ลองแบ่งดูแล้ว ถ้าซอยเป็น 4 ตอน รู้สึกว่าแต่ละตอนมันจะสั้นไปหน่อย ทั้งที่ในต้นฉบับจริงมันดูยาวกว่านี้มากเลยนะ แต่ทำไมพอเอามาลงในเนต มันถึงสั้นจุ๊ดก็ไม่รู้สิ

อ่านจบแล้วคิดเห็นว่าอย่างไร บอกกันได้จ้ะ พี่จะได้เอาไปปรับใช้กับนิยายของพี่ (ด่าได้ ชมได้ ไม่ว่ากันจ้ะ  :icon_idea:)


พี่ไม่ต้องแปลกใจหรอกค่ะ เพราะว่าเวลาแต่งลง เวริ์ด  มันจะยาวมากกกกก
พอเอามาลงในบอร์ด จะดูสั้นกว่าความเป้นจริง
อย่างแก้วนพเก้าตอน เล่ห์มายา น้องกันย์แต่ง 10 หน้า เวริ์ดนะคะ ขอบอก
คือดูในนี้ไม่เยอะ แต่เป็นหนังสือ คงไม่ต่ำกว่า หมื่นหน้า ค่ะ สำหรับแก้วนพเก้า

เท่าที่อ่านดูนะคะพี่ อิน ทั้งสำนวนภาษาที่ที่ใช้ในการบรรยายสละสลวยและลื่นไหลมากบวก
กับปริศนา ออกแนวลึกลับเหนือ ธรรมชาติ กึ่งๆ วิทยาศาสตร์ เปิดฉากของเรื่องได้น่าสนใจมาก
แต่เรื่องนี้ มันออกจะคล้ายๆนิยาย แนวที่เคยๆแต่งกันอ่ะค่ะ ย้อนอดีต ข้ามเวลาอะไรประมาณนี้
ที่พี่แต่งมา ทำให้นานะจังนึกถึง สายลับวรรณกรรม ตอน ภารกิจ เจนแอร์ งานเขียนเรื่องนี้พี่คล้ายเรื่องนี้มากค่ะ
ตัวนางเอก ก็เจอหลุมดำ ที่เกี่ยวการเวลาในลักษณะ ที่พี่ได้บรรยายไว้เหมือนกันค่ะ แต่เรื่องนี้แนวๆกึ่งวิทยาศาตร์
เป็นเรื่องเกี่ยวกับการลักพาตัวละครใน วรรณกรรม ที่โด่งดังมาก และเกี่ยวกับเรื่องของเงื่อนไขเวลาด้วย

ชอบบทบรรยายนี้มากมายค่ะ

" กฤษณาทอดสายตาผ่านกระจกกั้นขึ้นมองบนฟ้าที่กระจ่างใสด้วยแสงจันทร์ ส่วนใด
ที่แสงจันทร์ทอแสงไปไม่ถึงก็ปรากฏดวงดาวพร่างพรายวับวาวประดุจเข็ม หมุดสีเงินประดับเหนือผืนผ้าสีดำ"

ออฟไลน์ กาฬฯ

  • *
  • 6333
  • -4
  • เพศ: หญิง
  • ஐ~ เผ่าพันธุ์นาคีซ่อนพิษไว้เสมอ ~ஐ
Re: ลองทดสอบชิมลางจ้า เรื่องสั้นขนาดยาว : แหวนนาคา
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: เมษายน 15, 2009, 07:44:00 PM »
" กฤษณาทอดสายตาผ่านกระจกกั้นขึ้นมองบนฟ้าที่กระจ่างใสด้วยแสงจันทร์ ส่วนใด
ที่แสงจันทร์ทอแสงไปไม่ถึงก็ปรากฏดวงดาวพร่างพรายวับวาวประดุจเข็ม หมุดสีเงินประดับเหนือผืนผ้าสีดำ"


เห็นด้วยๆๆ   ชอบประโยคนี้มากเลย  โดยเฉพาะหมุดสีเงินประดับเหนือผืนผ้าสีดำ

ว่าแต่....มันยังไม่จบเหรอ  :-[
**จักรวาลนี้กว้างไกลแลไพศาลนัก เราเป็นเพียงละอองธุลีอันน้อยนิดล่องลอย ยากที่จะเรียนรู้ทุกสรรพสิ่งให้จบครบสิ้น
สิ่งที่เรามิเคยเห็น ใช่ว่าจะมิมี แลสิ่งที่มิเคยได้ประสบ ก็ใช่ว่าจะมิเคยเกิดขึ้น**

ออฟไลน์ นานะจัง

  • *
  • 7234
  • -3
  • เพศ: หญิง
  • นิศาอรพินท์
    • อีเมล์
Re: ลองทดสอบชิมลางจ้า เรื่องสั้นขนาดยาว : แหวนนาคา
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: เมษายน 15, 2009, 09:00:42 PM »
จบแล้วสิน้องกาฬ ก็พระเอกตามหานางเอกมาจนภพปัจจุบันไง

โอเคอ่านจบแล้วค่ะ ขอวิจารณ์แบบตรงไปตรงมาเลยนะคะ เปิดเรื่องมาได้ ลึกลับน่าสนใจมาก
ที่จะพานางเอก ย้อนอดีดไปก่อนกรุงแตก เพื่อ พบเจอกับพระเอก แต่อ่านแล้วยังไม่ค่อยเกิดอารมณ์คล้อยตามไปกับเรื่อง
เท่าที่ควร ผิดกับ ตอนแรกที่ลง ยังให้ความรู้สึกได้มากกว่า  อืมถ้าจะให้ดีพี่ต้อง ใสารายละเอียด เกี่ยวกับตวามรักของ
คนทั้งสองให้คนอ่านรู้สึกผูกพันกันมากกว่านี้  จะทำให้คนเชื่อได้ว่าทั้งสองรักกันจริงๆ และจะติดตามกันไปทุกภพทุกชาติ
พี่ได้ไอเดียนี้ จาก นิราศ สองภพรึป่าวคะ ลักษณะโครงเรื่องคล้ายกัน แต่การให้รายละเอียดต่างกันเนื่องด้วย เพราะเป็นเรื่องสั้น
ไม่ใช่บทละคร เอารวมแล้วภาษาในการบรรยายผ่าน แต่เรื่องยังดำเนินแบบเอื่อยๆไปหน่อย ยังไม่มีจุดเปลี่ยนชัดเจน
หรือการหักมุมในลักษณ์ะของเรื่องสั้น ที่ทำให้คนอ่านรู้สึก เกินคาดได้
นานะจังคิดว่าพี่ต้องใส่รายละเอียดของความรู้สึกหรตือเหตุการณ์ของตัวละครให้มากกว่านี้อีกค่ะ
จะทำให้เรื่องนี้ คนอ่านเกิดอารมณ์ร่วมกับเรื่องได้มากขึ้น 
จบบทวิจารณ์เท่านี้ค่ะ หุห รออ่านนวนิยายเรืง่อยาว ตอนต่อไปค่ะ


เท่าที่นานะจังสังเกตนะคะ จากการอ่านงานของ นินดา น้องกาฬ(ไม่รวมแก้วนพเก้า) พี่ galdewis น้องยิม  พี่อินจะมีลักษณะคล้ายกันมากคือ
ให้ความสำคัยกับบทบรรยายค่อนข้างชัด แต่ในแง่ของอรรถรส หรือความน่าติด จะค่อนข้างจืดไปหน่อย เหมือนกับว่า ทุกคนที่นานะจังเอ่ยมา
จะเก่งด้านภาษา การใช้คำ และค่อนเข้มงอดพอสมควร แต่ยังขาดจินตนาการที่ดูแปลกใหม่ และอารมณ์ขันที่ควรจะมีในงานเขียน
ผิดกับงานของน้อง กันย์ ตรงที่ว่าถึงแม้ภาษาที่ใช้ในการบรรยาย จะไม่ถึงขั้นแต่จินตการและความคิดสร้าง บรรเจิด บวกอารมณ์
และทำให้เรื่องน่าสนใจ ส่วนของพี่ bobenz แม้จะไม่ได้บทบรรยาย แต่ไอเดียแจ่ม แปลกใหม่น่าสนใจ
พออ่าน งานสองคนนี้ จะเกิดอารมณ์ร่วมกับนิยาย ได้มากกว่า งานเขียนที่เข้มงวดเรื่องภาษา อย่างหนังสือนิยายที่ตีพิมพ์ทั่วไป 
อารมณ์ประมาณ นั่งเรือเอื่อยๆ ชมบรรยายกาศยามค่ำคืนอะไรประมาณนี้ 
ได้รับอรรถรสทางภาษา แต่เนื้อหายังไม่น่าติดตามเท่าที่ควร เรื่องนี้
คนที่เขียนหนังสือส่วนใหญ่จะประสบปัญหาเป็นอย่างมากเท่าที่นานะจังอ่านการ์ตูน
และ หนังสือมาบ้าง อาจจะไม่เยอะเท่าคนอ่านๆนะคะ
แต่พอจะจับจุดได้ว่านิยายที่ดังๆส่วนใหญ่จะ กำหนดทิศทางของเรื่องไว้ค่อนข้างชัดเจนพึ่งมาเก็ทตอนดู ซีรีเรื่อง
 The Legend นี่แหละ ก็เลยเอามาประยุคใช้กับ แก้วนพเก้า พอรู้ทิศหางของเรื่องที่แต่ง ว่าจะต้องเป็นไทางไหน
และเป็นการบอกคนอ่านไปในตัว เพื่อให้คนอ่านติดตามว่าจะเป็นอย่างที่คิดไหม
ส่วนในการใสjรายละเอียดแต่ละตอน ก็อยู่ที่ความสามารถและจิตนาการของ
ผู้แต่งแต่ละคน นานะจังก็ไม่ได้คนเขียนดีเท่าไร ภาษษไทยก็โง่มากมาย
แต่บอกได้ว่าตรงไหนมีจุดบอดตรงไหน โดยเอาความรู้สึกของคนอ่านตัดสิน
เพราะนานะจังไม่ใช่นักเขียนอยู่แล้ว  คนที่จะเขียนงานได้ออกมาโดนใจนักอ่านในวงกว้าง
 ต้องเป็นคนที่อ่านสือมาก่อน เพราะเค้าจะรู้ว่า งานไหน
ที่คนอ่านจะชอบ พอเขียนเสร็จ ลองกลับมาในมุมที่กลับกันดู ว่าถ้าเราอ่านเขียนเรื่องนี้แล้ว
(โดยไม่เข้าข้างตัวเองนะคะ ) เราอ่านแล้วเราเกิดอารมณ์ร่วมกับเรื่องได้มากแค่ไหน
ถ้าในความรู้สึกเรา มันยังบอกว่า ไม่น่าติดตามหรือเกิดอารมณ์ร่วมกับเรื่องมากพอ
เรื่องนั้นก็ยังจัดอยู่ในระดับงานเขียนทั่วไป คือภาษาดี แต่เรื่องก็งั้นๆ
จะตีตลาดคนอ่านในวงกว้าง คงจะยากมากกกกกกกกกกกกกก
"จงเขียนในฐาน คนอ่าน แล้งงานจะออกมาประสบความสำรเจ"
"อย่าเขียนงานในแบบของคนเขียนเพราะรเาจะเห็นเพียงด้านเดียว"
ดูอย่างน้องกาฬได้ ความสามารถในการเขียนหนังสือจัดได้ว่า ชั้นยอดในระดับอายุเท่านี้
ไม่นับแต่งกลอน นะคะ แต่พอให้มาแต่งไกรทอง จบเหตุ 555 (อะไรของน้องมันวะเนี่ย)
แต่พอแก้วนพเก้า บอกทิศทางของเรื่องว่าจะต้องเป็นแบบไหน
เท่านั้นแหละเขียนได้อย่างน่าประทับใจมาก สมเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์จริงๆ
แต่น้องกันย์นี่เห็น แววมาตั้งแต่ไกรทองละ ทั้งอารมณ์ขัน และจินตนาการ

ปล.นานะจังอยากเป็นผู้กำกับการแสดงค่ะ 555

ออฟไลน์ กาฬฯ

  • *
  • 6333
  • -4
  • เพศ: หญิง
  • ஐ~ เผ่าพันธุ์นาคีซ่อนพิษไว้เสมอ ~ஐ
Re: ลองทดสอบชิมลางจ้า เรื่องสั้นขนาดยาว : แหวนนาคา
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: เมษายน 15, 2009, 10:41:49 PM »
โอ้วววว  พี่นานะละเอียดยิบ   ;)

นี่แหละค่ะ  ที่มันแก้ยาก  ไม่ใช่เพราะ เราจดจ่อแล้วนะ  แต่อารมณ์ขันมันไม่ขึ้นอ่ะ  ทำยังไงก็เป็นคนมีมุกไม่ได้ซะที   :icon_frown:
ช่วงหลังๆ เลยหันไปแต่งนิยายแบบอื่นที่มันไม่ได้เน้นความเป็นไทยเท่าไหร่  เพื่อจะให้มันพัฒนาตรงนี้  แล้วปัญหามันก็กลายเป็นว่า พอเราเริ่มจะได้อรรถรสแล้ว สำนวนเราดันแย่ลงซะงั้น   
หาความพอดีในตัวเองไม่ได้   :icon_mrgreen:


พล็อตเรื่องแบบนี้  นิยายไทยมีเยอะเลยค่ะ   ไม่ใช่แค่นิราศสองภพ   อตีตาก็มี  ทวิภพ  บารมีพระแม่ป้องปกพื้นธรณิน  สาวหลงยุค 
พล็อตแบบนี้มันก็เลยเหมาะที่จะเป็นเรื่องยาว   เพราะมันมีความละเอียดอ่อนตรงเหตุการณ์  ความแตกต่าง  ความรู้สึกของคนที่หลงยุคไปยุคนั้น  แล้วยังหาทางกลับไมได้

ปัญหาของกาฬ  คือ  ไม่สามารถแต่งเรื่องสั้นได้  เพราะกาฬต้องบรรยายนั่น  บรรยายนี่ ละเอียดซะ  เอาแบบให้คนอ่านเห็นภาพตาม  ไม่งั้นค้างคาใจ
**จักรวาลนี้กว้างไกลแลไพศาลนัก เราเป็นเพียงละอองธุลีอันน้อยนิดล่องลอย ยากที่จะเรียนรู้ทุกสรรพสิ่งให้จบครบสิ้น
สิ่งที่เรามิเคยเห็น ใช่ว่าจะมิมี แลสิ่งที่มิเคยได้ประสบ ก็ใช่ว่าจะมิเคยเกิดขึ้น**

ออฟไลน์ นานะจัง

  • *
  • 7234
  • -3
  • เพศ: หญิง
  • นิศาอรพินท์
    • อีเมล์
Re: ลองทดสอบชิมลางจ้า เรื่องสั้นขนาดยาว : แหวนนาคา
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: เมษายน 16, 2009, 10:12:56 AM »
อืม การแต่งนิยายก็แล้วแต่นิยายแต่ละคนนะ นักเขียนบางคนไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเลย
แต่ดันได้ออกมาได้จี๊ดใจมาก ทำให้เราเกิดอารมณ์ร่วมกับตัวละครนั้นได้จริงๆ
แต่ถ้านักเขียนที่จัดได้ว่า Perfect จริง นอกจากการเก็บรายละเอียด สำนวนภาษาในการถ่ายทอดแล้ว
อารมณ์ขันก็เป็นเสน่ห์ของงานเขียนอีกอย่างนึง ที่จะขาดไม่ได้ ทำยากนิด แต่ก็ใช่ว่าจะทำมได้จริงไหม
โดยส่วนพี่ ชอบอ่านเรื่องสั้นนะ ในขายหัวเราะนี่มีเรื่องที่ชอบอยู่หลายเรื่องเลย
แต่เท่าที่พี่อ่านงานน้องกาฬดู ก็ไม่เหมาะที่จะแต่งเรื่องสั้น เพราะสั้นมันต้องจบในตัวมันเอง
ถ้าเปรียบกับการวาดรูป งานของ น้องกาฬ พี่อิน นินดา น้องยิม พี่ galdewis ก็เปรียบได้กับ ภาพแนวเรียลลิสติก
ที่เน้นความสมจริงของแสงเงา แต่ถ้าเรื่องสั้น ก็เปรียบได้กับ คนที่วาดการ์ตูนที่เน้นแต่ลายเส้น
ที่สามารถถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกต่อคนดูได้ จะสังเกตได้ว่าคนที่วาดภาพเหมือนเก่งๆจะวาด การ์ตูนไม่ได้
ถึงได้ก็ต้องใช้เวลาปรับค่อนข้างนาน

Re: ลองทดสอบชิมลางจ้า เรื่องสั้นขนาดยาว : แหวนนาคา
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: เมษายน 16, 2009, 02:58:44 PM »
เอาล่ะ หลังจากอ่านคอมเม้นท์ (อันยาวยืด) ของน้องๆ แล้ว พี่ยอมรับจ้ะว่าเรื่องสั้นเรื่องนี้มันไม่ค่อยได้ดังใจพี่นักหรอก อย่างที่บอกว่าตอนนั้นพี่แต่งตอนอยู่ปี 2 เป็นการแต่งครั้งแรกในชีวิตเลย

โจทย์ของเรื่องนี้ อาจาย์ผู้สอนท่านให้โจทย์ว่า ขอเป็นเรื่องสั้นออกแนวลึกลับซับซ้อน หรือไม่ก็คลุมเครือๆ หน่อย พี่มืดแปดด้านเลยล่ะตอนนั้น นั่งอยู่ในห้องสมุดคณะเช้าจรดเย็น แล้วก็ได้หนังสือประวัติศาสตร์มาปึกนึง (โดยบังเอิญ) หน้ามันเปิดโป๊ะเชะอยู่ตรงวันเวลาที่กรุงแตกนี่ละ ก็เลยจับตรงนี้มานิดนึง  ที่เหลือก็ไปตามน้ำเรื่อยๆ ด้นจนจบได้ภายใน 1 ชม.

ที่มาของแหวนนาค ไม่มีที่มาที่ไปหรอกจ้ะ พอดีพี่ใส่แหวนรูปงูอยู่แล้ว สายตามันเหลือบไปเห็นที่นิ้วตัวเอง ก็เลยให้นางเอกย้อนอดีตด้วยวิธีนี้เท่านั้นเอง (ฟังดูง่ายดีเนาะ)

ส่วนเรื่องยายลักษมีนั่น พี่ก็ยังงงๆ อยู่ว่าจับมาใส่ทำมั้ย หลังจากที่มานั่งอ่านตอนหลังนี่นะ   ก่อนจะมาถึงบางอ้อว่า ตอนนั้นพี่มีเพื่อนสนิทอยู่คนนึง ไปไหนก็จะไปเป็นแพกเกจคู่อย่างนี้แหละ ก็เลยจับมาประกอบฉากซะงั้น และอีกอย่างหนึ่งที่พี่ขอสารภาพ ชื่อ "กฤษณา" นั่น เกือบจะได้เป็นชื่อจริงของพี่แล้ว แต่คุณยายท่านไม่เห็นชอบ เปลี่ยนเป็นชื่อที่ใช้ในปัจจุบันแทน ถ้าสังเกตให้ดี วันเดือนปีที่ตกฟากของนางเอกนั่น ก็เป็นวันเดือนปีเกิดของพี่เอง ผิดแต่ตรงปีนักษัตรที่เกิดเท่านั้นเอง พูดง่ายๆ พี่จับเอาตัวเองมาทำเป็นนางเอกของเรื่องซะเลย แตพี่ไม่ได้สวยขนาดยายกฤษณาหรอก ส่วนพระเอก หุหุ  :P เป็นผู้ชายที่พี่เคยเห็นในฝันมาครั้งนึงเท่านั้นเอง ไม่มีตัวตนจริงหรอกจ้ะ   

ตอนจบที่ดูเหมือนจะรวบรัดจบ เป็นเพราะพี่เขียนๆไปแล้ว ไม่รู้จะหาที่ลงจบตรงไหน ยิ่งเขียนก็ยิ่งยาวเกินกว่าจะเป็นเรื่องสั้น สุดท้ายเลยต้องเอามานั่งเขียนใหม่ ตัดโน่นตัดนี่ แล้วก็รวบจบอย่างเนี้ย  แข็งโป๊กเลย ทั้งอารมณ์ และความรู้สึก ตอนนั้นคิดในใจว่าได้แค่ 5 คะแนนก็จะเป็นบุญหัวของพี่แล้ว แต่กลับผิดคาดไปจังเบ้อเร่อ

ไอเดียเรื่องนี้เหรอ ไม่ใช่นิราศสองภพ หรือทวิภพหรอกจ้ะ มาจากสายโลหิต + มิติมหัศจรรย์ ต่างหาก หุหุหุ น้องๆเดาผิดหมดเลย 555+   

ณ ช่วงเวลานั้น (ปี 2542-2543) คงยังไม่มีใครแต่งเรื่องสั้นเล่นกับช่วงเวลามั้ง (คิดว่านะ เพราะช่วงนั้นยังไม่ค่อยมีวรรณกรรมโลกไซเบอร์เท่าไหร่)  เรื่องสั้นเรื่องนี้มันเลยเป็นเรื่องที่แปลกใหม่ในสายตาของใครหลายๆคน จนคนวิจารณ์ (แรคำ ประโดยคำ และ นิวัติ พุทธประสาท) ท่านต่างมองข้ามจุดอ่อนในเรื่องสั้นเรื่องนี้กันไปหมด

อ. แรคำบอกว่า เรื่องนี้ลึกลับดี มีที่มาที่ไปของเรื่อง (มีตรงไหน คนเขียนยังไม่รู้เลย) มีการศึกษาข้อมูลประกอบดี และตบท้ายว่า น่าจะเอาไปขยายเป็นนิยาย แล้วก็ให้ 9 คะแนนมา (อ.แรคำให้คะแนนสูงสุดที่ 9 จ้ะ)  พร้อมกับถ่ายเอกสารงานของพี่ไว้ให้รุ่นน้องดูเป็นตัวอย่าง จนเป็นที่เลื่องลือในเมเจอร์มาหลายรุ่นเหมือนกัน

ส่วนคุณนิวัติ บอกว่า นานๆจะได้เจอเรื่องสั้นที่เล่นกับกาลเวลา ทำให้คิดถึงมาลา คำจันทร์ ขึ้นมา (อันนี้ฟังแล้วหนาวหลังวูบ ก็งานของอ.มาลาท่านอยู่สูง ของพี่เทียบไม่ได้เลยสักจึ๋ง) คนเขียนมีแววว่าจะเขียนนิยายได้ สุดท้ายก็ให้รางวัลชมเชย มาเป็นหนังสือ 5 เล่ม ในการประกวดเรื่องสั้น thaiwriter.net สมัยแรกที่ก่อตั้งเว็บ 

เรื่องบรรยายบทรัก...555+ พี่ยังไม่มีความรักกับเขาเลยตอนนั้น มันก็เลยไปไม่ถูก ออกมาแข็งๆ อย่างเนี้ย  และปัญหาของพี่ตอนนี้ก็คือ พี่บรรยายความรู้สึกของผู้หญิงไม่เป็นเลยอ่ะ แต่ถ้าให้ทำในมุมมองของผู้ชาย พี่รู้สึกว่ามันจะง่ายกว่าเยอะ (หรือว่าพี่เป็นคนไม่หวานหว่า  :icon_mad:)  และแน่นอน อารมณ์ขันคงไม่ต้องพูดถึง ยากนะ ยากมากๆ ที่จะทำให้ใครมองเห็นความ "ขัน" ในงานเขียนขอวเราได้ อย่างที่เราอยากให้เห็น  :icon_razz:

ยอมรับจ้ะยอมรับว่า พี่ถนัดบรรยายมากกว่า ทางอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครค่อนไปทางจืดเอามากๆ แล้วก็อย่างที่นานะว่า พายเรือชมจันทร์ประมาณนั้นไป การสร้างความผูกพันของคนอ่านกับตัวละคร และตัวละครกับตัวละครเองก็ยังไม่มากพอ อาจเป็นด้วยเวลาที่จำกัด และด้วยอะไรหลายๆอย่าง ความจริงพี่เคยคิดเหมือนกันว่าจะลองขยายเรื่องนี้เป็นนิยายดู แต่ก็ยังไม่ได้ลงมือทำจริงจัง

เอาล่ะ ทีนี้พี่ก็รู้จุดอ่อนของพี่แล้ว จะได้เอาไปปรับปรุงต่อไป ขอบใจจ้า ทั้งน้องนานะ และน้องกาฬ  :-*

 
     อักษรแต่งสาร   จดจารลงไว้                          มอบหื้อน้องไท้   สรรคำเลือกเฟ้น
ความฮักหนักอก   หยิบยกหื้อเห็น                         แป๋งเป็นค่าวส้อย   ส่งเถิงนุชน้อง
หวังเจ้าหันใจ   หวังให้หันพ้อง                              ส่งค่าวไขบอกเค้า
     เอื้องผึ้งหอมหวาน   พี่ขานบอกเจ้า                   เอื้องผึ้งหวังพึ่งพา
เจ้ายอดมิ่งมิตร   ดวงจิตพี่ยา                               ตึงร่างกายา   ถอดวางหื้อเจ้า
เจ้าแก้วรอมแพง   เช้าแลงคอยเฝ้า                       ถนอมฮักอย่าฮู้ร้าง
     ขอเจ้าแพงนาย   อย่าคลายปล่อยคว้าง             หื้อพี่ว้างดายเดียว
อู้แท้จากใจ   บ่ใช่เพียงเกี้ยว                               กลับเวียงครานี้   จะเตรียมแต่งผ้า
คนใหญ่เจียรจา   มาขอน้องหล้า                          เป็นจอมนาฏนางใหญ่
     เขียนสารฝากแม่ไว้                                     แทนพี่แนบเคียงใกล้ 
นิ่มน้องรอมรอมแพง                                         พี่เฮย ”    

ออฟไลน์ กาฬฯ

  • *
  • 6333
  • -4
  • เพศ: หญิง
  • ஐ~ เผ่าพันธุ์นาคีซ่อนพิษไว้เสมอ ~ஐ
Re: ลองทดสอบชิมลางจ้า เรื่องสั้นขนาดยาว : แหวนนาคา
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: เมษายน 16, 2009, 03:37:58 PM »
เป็นธรรมดาค่า  ที่คนเขียนจะเป็นพระเอกนางเอกในนิยายของตัวเอง
เพราะว่า  การที่เราจะสร้างตัวละครเอกขึ้นมาตัวนึงเนี่ย  เราจะต้องรู้จักมันอย่างถ่องแท้ แล้วเราจะรู้จักใครได้ดีไปกว่าตัวเราเอง  ว่าเราต้องการอะไร  อยากให้อารมณ์ออกมาแบบไหน  ตัวละครนี้บุคลิกยังไง
แถมจะสวยจะงาม จะน่าเกลียดยังไงก็ตามแต่ใจเราเลย

กาฬก็เป็นคล้ายๆ พี่อินเลยค่ะ  คือพระเอกส่วนมากหามาจากในฝัน  (ซึ่งกาฬมีพระเอกหลายคน  :P)

นางเอกของกาฬก็มีหลายบุคลิกหลายลักษณะนะคะ มีอยู่เรื่องนึง  กาฬเขียนให้นางเอกสวยเหมือนศพ  :icon_question:  คือพยายามอธิบายว่า เป็นคนที่มีลักษณะเหมือนศพเลย แต่สวย 



ผลงานของมาลา คำจันทร์  กาฬก็ประทับใจค่ะ อ่านแล้ว ถึงจะดูเก่าๆ เพราะเค้าระบุปี พ.ศ. ชัดเจน  แต่ว่า ก็เป็นนิยายร่วมสมัยที่ไม่เก่าเลย
อย่าง หุบเขากินคน อย่างนี้  เป็นนิยายเรื่องแรกเลย  ที่กาฬอ่าน  อารยธรรมขอม อ่านแล้วได้ความรู้มาก
จะนึกถึงละครของช่อง 7 ทุกครั้ง   ที่ช่อง 3 เอามาทำใหม่ไม่อยากจะพูดถึง   ยำเละไม่มีชิ้นดี   ชื่อเป็นชื่อขอม  แต่แต่งตัวบ้าบออะไรก็ไม่รู้  ยังกะลอร์ดออฟเดอะริง
ใครจะบอกว่าสนุกยังไง  แต่กาฬที่เคยดูของช่อง 7 และอ่านนิยายมาแล้ว  ทนดูไม่ได้



ถ้าพูดถึงเรื่องแนวข้ามเวลาแบบขอมๆ นี่   จันทราอุษาคเนย์ อีกเรื่องที่ประทับใจ   คุณวรรณวรรธน์  แต่งได้หวานมากระหว่างเจ้าชายจิตเสนกับตมิสา  (กาฬคิดว่า คนแต่งก็เเปรียบตัวเองเป็นนางเอกเหมือนกัน เพราะอะไรหลายๆ อย่างคล้ายๆ คนแต่ง)
**จักรวาลนี้กว้างไกลแลไพศาลนัก เราเป็นเพียงละอองธุลีอันน้อยนิดล่องลอย ยากที่จะเรียนรู้ทุกสรรพสิ่งให้จบครบสิ้น
สิ่งที่เรามิเคยเห็น ใช่ว่าจะมิมี แลสิ่งที่มิเคยได้ประสบ ก็ใช่ว่าจะมิเคยเกิดขึ้น**

ออฟไลน์ นานะจัง

  • *
  • 7234
  • -3
  • เพศ: หญิง
  • นิศาอรพินท์
    • อีเมล์
Re: ลองทดสอบชิมลางจ้า เรื่องสั้นขนาดยาว : แหวนนาคา
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: เมษายน 16, 2009, 03:48:57 PM »

โห แต่งตอนอยู่ ปี2 เก่งมากกกกกกกกกกกกกกกกค่ะ พี่ ได้ขนาดนี้ แถมเป็นงานที่ต้องส่งอาจารย์ด้วย
อารมณ์กดดันมันมีกว่าแต่ง ในช่วงเเวลาที่สบายๆตามจินตนาการของเรา มันจะถ่ายทอดได้ดีกว่ากัน
ที่นานะจังอ่านดูก็พอทราบค่ะ ว่านางของเรื่อง คือพี่อิน เพราะตอนพี่ galdewis แต่ง นางเอก ที่ชื่อ แพม ลักษณะนิสัย บุคลิกของตัวละคร
อ่านแล้วก็พี่ galdewis ชัดๆเลย แล้วพระเอกก็ไม่ใช่ใคร พี่วิทย์นั่นเอง นานะจังเป็นคนชอบอ่าน นวนิยายเรื่องสั้นค่ะ
ชอบเรื่องที่จบในตัวมันเอง ได้แง่คิดและอรรถรส แต่ไม่ชอบอ่านเรื่องสั้นซีไรท์นะคะ เหอะๆ เรื่องสั้นขายหัวเราะสนุกกว่ากันเยอะเลย
ส่วนนวนิยายของไทยส่วนใหญ่เคยสัมผัสบางเรื่อง แต่เห็นทีจะไม่แนวค่ะเพราะความอดทนในการอ่านให้จบต่ำมาก
ไม่ชอบนั่งเรือเอื่อยๆ เพราะจะหลับคาเรือค่ะ ชอบแนวตื่นเต้นต้องลุ้นทุกวินาทีอะไรประมาณนี้ เอ่อ ตกลงเราพูดถึงนิยายหรือหนังกันเนี่ย หุหุ

รออ่านเรื่องต่อไป ค่ะพี่ เด๋วว่างจะเอา เรื่องสั้นขายหัวเราะที่นานะจังประทับใจมาฝากนะคะ  ;)