ยินดีต้อนรับสู่บ้านอบอุ่นของคนรัก บอย สพล ชนวีร์

คัมภีร์ไตรเวทยันตร์ค่ะ นิยายที่เริ่มเขียนเรื่องแรก (อ่านบทเต็มได้ใน dek-d)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

arisara52


       
                                                                                                             ---1----

      ค่ำคืนเดือนหงาย ดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวลอยเด่นกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงวิบวับจากกลุ่มดาวน้อยใหญ่รายล้อมรอบ ทำให้ทั่วทั้งป่าในค่ำคืนนี้ดูมืดสลัวอึมครึมกว่าคืนก่อน อีกทั้งเสียงนกกลางคืนหวีดร้องผสมกับเสียงสัตว์บางตัวโหยหวนแว่วมาแต่ไกลเป็นระยะ   บรรยากาศจึงดูหน้ากลัววังเวงหากต้องมาคนเดียว
           แต่ใครคนหนึ่งไม่ได้สนใจต่อสภาพที่ชวนน่าขนลุกแม้แต่น้อย  เสียงฝีเท้าที่เหยียบย่างแต่ละก้าวเงียบลงเมื่อจวนจะถึงเนินเขาบนสุด  บุรุษชราถือครองเพศนักบวช  ชูคบเพลิงให้สูงขึ้นมากว่าเดิม เพื่อให้มองเห็นทางข้างหน้าได้ถนัดตา
   “ถึงแล้วสิ นะ ถ้ำมรกต”  เสียงแหบแห้งพึมพำกับตนเอง เหมือนบอกให้รู้ว่าได้มาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว การมาครั้งนี้มาเพียงลำพังคนเดียว ด้วยจุดหมายบางอย่าง
   ปากทางเข้าถ้ำมรกตมีกิ่งเถาวัลย์และวัชพืชปกคลุมจนแทบมองไม่เห็นหากไม่ได้สังเกตให้ดี    เขาก้าวเข้าไปในถ้ำที่มืดมิด อาศัยแสงไฟจากคบเพลิงส่องสว่างมองเห็นผนังถ้ำตลอดทางเดิน แต่หากไม่ชำนาญทางหรือไม่เคยอยู่มาก่อน อาจจะต้องคอยระวังหินงอกหินย้อยที่ห้อยลงมาจากผนังถ้ำไม่เช่นนั้นอาจเดินชน   สุดปลายถ้ำเป็นโถงโล่งกว้างใหญ่ เงียบสงัดได้ยินเพียงเสียงหยดน้ำที่ไหลระหว่างซอกหินในถ้ำ   ดาบสชราผู้นั้นยกคบไฟขึ้นเหนือหัวเพื่อให้ได้มองเห็นผนังถ้ำทุกด้านอย่างชัดเจน ทุกด้านเต็มไปด้วยตัวอักขระโบราณถูกสลักไว้จนแทบไม่มีที่เหลือว่างเลย
   “ถึงเวลาแล้วที่ข้าจะได้ทำสิ่งที่ถูกต้องเสียที”
          คนพูดรำพันกับตนเอง  มองหาที่วางคบไฟจนพบว่าอยู่ด้านซ้ายมือ จึงเดินเข้าไปเพื่อเสียบคบไฟ  คืนนี้จะต้องทำการบางอย่างให้เสร็จสิ้น หากเลยไปแล้วทุกอย่างคงสายเกินไป  ดาบสจัดคบไฟให้อยู่ในลักษณะส่องได้ทั่วทั้งโถงถ้ำ แต่พอหันหลังจะกลับมาเท่านั้น  บางสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
   “สวบ”
              ดาบสชราไม่ทันได้ระแวดระวังภัยที่จะมาถึงตนเองเพราะคาดไม่ถึงเช่นกัน แม้คิดว่าตนรอบคอบแล้วแต่ก็พลาดจนได้ ไม่มีใครแอบติดตามมา เขามั่นใจ คนๆนี้ซุ่มดักรออยู่ก่อนแล้ว   ประกายคมวาวสะท้อนกับแสงไฟเพียงแวบเดียวเท่านั้นก่อนจะพุ่งมาเสียบที่หน้าท้อง   ความเจ็บปวดแผ่ซ่านจากบริเวณที่ดาบคมยาวแทงเข้าไปจนมิดด้าม  เลือดพุ่งทะลักออกมาทั้งจากแผลลึกและริมฝีปากด้านหนึ่ง  ร่างชราตัวงอสีหน้าบูดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวด   จ้องมองคนที่ลอบเข้ามาฆ่าตนเอง
   “แก.............ไอ้เนรคุณ” 
   “ข้าเสียใจ พระอาจารย์ ข้าไม่มีวันยอมให้ท่านทำลายคัมภีร์ของข้า ข้าผู้เดียวนั้นจะได้ครอบครอง”
    ร่างชราฟุบลงกับพื้นถ้ำ เลือดไหลเจิ่งนองคาวคลุ้งไปทั่ว   ศิษย์ทรยศกระชากดาบลงอาคมออกมา ร่างนั้นกระตุกเฮือกอีกหน
   “เชิญพระอาจารย์อยู่เฝ้าคัมภีร์ที่ท่านหวงนักหนาต่อไป  ท่านได้แต่เฝ้า แต่ข้าต่างหากได้ครอบครอง”
   “เจ้า... สาบานไว้แล้ว เจ้าผิดคำพูด จะไม่มีวัน....” เสียงพูดเริ่มขาดหายพร้อมลมหายใจเริ่มติดขัด
   “ข้าไม่มีวันเชื่อท่าน  ข้าจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ให้ดู คำสาบานที่บังคับกันไม่มีทางสัมฤทธิ์ผลได้” ศิษย์ชั่วใช้เท้าเตะร่างใกล้สิ้นลมกลิ้งกับพื้น  สายตาเย้ยหยันสะใจในชัยชนะครั้งนี้
   “ลาก่อน พระอาจารย์ พรุ่งนี้ข้าจะได้ให้คนมาจัดการศพของท่านให้ ไม่ต้องห่วง พวกนกแร้งข้างนอกคงหิวเต็มที”
               คนผู้นั้นเมื่อกล่าวจบก็คว้าคบเพลิงเดินจากไป ดาบสพยายามตะเกียกตะกายคืบคลานกับพื้น ลมหายใจเริ่มแผ่วเบา พร้อมสายตาพร่าเลือน  เมื่อรู้ชะตากรรมว่าคงไม่อาจมีชีวิตรอดได้จึงได้ทำบางอย่างเป็นครั้งสุดท้าย    สองมือเกาะตามพื้นคืบคลานด้วยเจ็บทรมานไปสุดผนังถ้ำด้านหนึ่ง ยกมือที่เต็มไปด้วยเลือดป้ายเขียนบางอย่างไว้
   “ข้าอาโปสดาบส ขอสาบานจะกลับมาที่นี่อีกครั้งเพื่อหยุดยั้งกรรมทั้งหมด”
           ดาบสกระเสือกกระสนจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต พยายามจะร่างคำสัตย์สาบานให้จบ “   กรรมที่ข้าได้ร่วมก่อขึ้นมา ข้าสำนึกผิดแล้ว ยินดีจะใช้ชีวิตของตนชดใช้  ในทุกภพทุกชาติ  แม้จะต้องถึงตายจะขอทำลายล้างคัมภีร์มรณะให้จงได้”
   
        ชายหนุ่มวัยยี่สิบสะดุ้งตื่นลืมตาโพลงในความสลัวของยามเช้ามืด    
            “ฝันน่ากลัวอีกแล้ว ”  กฤตย์สะบัดศีรษะก่อนจะหย่อนขาลงจากเตียง สองมือกุมขมับ ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้ฝันซ้ำซากตลอดมาตั้งแต่เล็กจนโต  เขาเคยเล่าให้แม่ฟังหนหนึ่ง   แต่แม่กลับหัวเราะขำ     “หนูคงอ่านหนังสือโบราณคดีมากไปมั้ง เก็บเอามาฝันเป็นตุเป็นตะ
   “ทำไมรู้สึกเจ็บทุกครั้งเหมือนว่าเราถูกแทงเอง  แล้วคนที่แทงเราเป็นลูกศิษย์ บ้าไปคิดได้ไง” ระหว่างกำลังครุ่นคิดถึงความฝันที่ซ้ำหลายครั้งจนจำได้ทุกรายละเอียด เสียงแม่ก็เคาะประตูขึ้นมา
   “กฤตย์ ตื่นเถอะหนู ลูกมีกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยไม่ใช่หรือ หนู”
   “ผมตื่นแล้วครับแม่ เดี๋ยวผมจะลงไปครับ”
   เขาตะโกนตอบ คนอยู่หลังประตูพอได้ยินแล้ว ก็เดินกลับไปข้างล่าง ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน เก็บที่นอนให้เรียบร้อย
   “ช่างเถอะ คงอ่านหนังสือของลุงมากไปอย่างว่าแม่จริงๆ”  เขาเลิกคิดเรื่องไร้สาระ แล้วคว้าผ้าขนหนูเดินเข้าไปในห้องน้ำ

        “เร็วๆเข้าครับ พวกน้องทั้งหลาย อีกประมาณ 20 นาทีเราต้องเริ่มเดินทางกันได้แล้วนะครับ น้องผู้ชายที่มาถึงแล้ว ช่วยกันยกของของคณะ ขึ้นไปรถด้วยครับ  ส่วนน้องผู้หญิง ช่วยทยอยขึ้นรถได้แล้วนะครับ พวกคนที่มาใหม่ให้ไปลงชื่อกับพี่ขนุนด้านหน้าครับ   รถเราใกล้จะออกแล้ว ”
   เสียงโทรโข่งดังก้องจากลานหน้าตึกเรียนรวม  เสียงลากกระเป๋าหนักผสมกับเสียงพูดคุยตะโกนข้ามหัวไปมาทั้งที่ห่างกันไม่กี่ก้าว  และยังดังขึ้นไปอีกเมื่อเริ่มมีเสียงเคาะกลอง และไม้กระทบกันเป็นจังหวะในตอนท้ายของรถบัสนำเที่ยวหนึ่งในสามคัน 
   รถยนต์กลางเก่ากลางใหม่คันหนึ่งค่อยแล่นมาจอดทางด้านหน้ารถบัสคันแรก  เมื่อรถยนต์จอดสนิทเรียบร้อย คนขับรถวัยกลางคนรีบผลักประตู   แล้วเดินมาที่ท้ายรถยกเอากระเป๋าเดินทางใบใหญ่มาวางกับพื้น สตรีสูงวัยในชุดสีครีมเรียบก้าวลงมาจากเบาะด้านหลัง พร้อมชายหนุ่มท่าทางเรียบร้อย   เธอยืนอยู่ข้างรถพร้อมมองใบหน้าเขาด้วยแววตาอ่อนโยนแต่แฝงไว้ด้วยความกังวลใจ
“กฤตย์ลูกแม่   แม่ไม่อยากให้หนูไปเลยลูก ยกเลิกได้ไหม แม่ไม่ชอบเลยสักนิด หนูจะลำบากนะลูก ใครจะคอยดูแลหนู”   
“แม่ มันเป็นกิจกรรมที่ต้องทำร่วมกันนะครับ แม่อย่าห่วงผมเลย ผมดูแลตัวเองได้แล้วนะ” เขาพยายามพูดให้ผู้เป็นมารดาคลายกังวล
“ถึงยังไงแม่ก็เป็นห่วงหนูอยู่ดี อย่าลืมกินยาตามที่หมอสั่งนะลูก อย่านอนดึก ถ้ารุ่นพี่ให้ทำอะไรที่ดูจะหนักไป หนูก็บอกเขาไปนะว่าหนูมีโรคประจำตัว  ”  เธอดึงร่างลูกชายมาสวมกอด   เสียงแตรรถบัสดังออกมาเป็นสัญญาณบอกว่าได้เวลาแล้ว  กฤตย์ผละจากผู้เป็นแม่  รับกระเป๋าเดินทางจากคนขับรถแล้วเดินตรงไปที่รถบัสคันหลังสุด เนื่องจากสองคันแรกมีคนนั่งอยู่เต็มรถแล้ว    แม่อรดีตะโกนเสียงแหบออกมาอีกระหว่างที่เขากำลังก้าวขึ้นบันไดขั้นที่สอง
“อย่าลืม ทานวิตามินรวม ด้วยนะลูก  ”
 กฤตย์เดินตามทางเดินระหว่างเบาะนั่งเพื่อหาที่ว่าง มีที่ว่างอยู่สองสามที่ แต่เมื่อเวลาเขาทำท่าจะไปนั่ง คนข้างๆมักจะเขยิบตัวขวางไว้ เขาจึงต้องเดินไปอีกเกือบท้ายรถ
      “อย่าลืมทานวิตามินนะลูก”  ใครบางคนในกลุ่มผู้ชายที่เบาะยาวท้ายรถพยายามบีบเสียงให้เล็กแหลม  น้ำเสียงเย้ยหยันอย่างสนุกปาก    กฤตย์ไม่คิดจะโต้ตอบอะไร เขาเดินหาที่นั่ง 
     ตัวเขาถลาคะมำไปข้างหน้าเมื่อไปสะดุดขาใครสักคนที่ยื่นออกมาระหว่างทาง  กระเป๋าเดินทางหล่นลงข้างตัว  กระปุกยาทรงกลมล่วงออกมาจากกระเป๋า เขาไม่ได้สนใจหันไปมองว่าที่ต้องสะดุดล้มคว่ำมาจากเขาซุ่มซ่ามเองหรือถูกแกล้งกันแน่ เพราะมัวแต่ไล่เก็บกระปุกยา
                   “ของเธอใชไหมคะ” มือเรียวยาวช่วยเก็บขึ้นมาให้   เสียงใสๆ ถาม  กฤตย์ยืนนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะรับกระปุกยาคืนจากเธอ
      “ ขอบคุณมากครับ” ชายหนุ่มส่งยิ้มให้   แล้วยกกระเป๋าขึ้นมาจากพื้น ยัดกระปุกยาใส่กลับเข้าไปข้างใน   เธอจึงเอ่ยปากถามเขาอีกครั้ง
   “ยังไม่มีที่นั่งใช่ไหมคะ บังเอิญเพื่อนฉันเขาป่วยกะทันหัน เพิ่งโทรมาบอกเมื่อกี้นี้  ที่ข้างเรามีที่ว่างอีกหนึ่งที่ ถ้ายังไงนั่งได้เลยนะ  ”
   กฤตย์ มองไปรอบๆ ไม่มีที่นั่งว่างให้เขานั่งเลยสักที่ตอนนี้   จะยืนไปตลอดทางคงไม่ไหว  ในเมื่อไม่มีทางเลือก กฤตย์ โยนกระเป๋าขึ้นไปบนที่วางกระเป๋าเหนือเบาะ  นั่งลงข้างหญิงสาวซึ่งกำลังมองไปนอกหน้าต่างโดยไม่ได้สนใจอะไร เสียงกลองท้ายรถเคาะถี่รัวและดังขึ้นมา โห่ร้องเป็นเพลงไปตามอารมณ์ตลกโปกฮาระหว่างที่รถแล่นไปด้วยความเร็วคงที่               
        ชายหนุ่มกระชับเสื้อแจ๊คเก็ตตัวหนาที่ใส่มาให้รัดกุมมากขึ้นเพื่อป้องกันความเย็นจากสายลมที่พัดเข้ามาทางหน้าต่าง     หันไปชำเลืองมองหญิงสาวที่นั่งข้าง ๆ แวบหนึ่ง  เธอกำลังนอนหลับอยู่ 
               “เธอคนนี้น่ารักดีแฮะ”
               ปกติ กฤตย์ไม่ค่อยมองผู้หญิง แต่จะว่าไม่สนใจคงไม่ใช่ทีเดียว แต่เพราะวันๆ ชีวิตไม่อยู่กับบ้านก็โรงเรียนและเป็นโรงเรียนชายล้วนต่างหาก ถ้าไม่ก้มหน้าก้มตาเรียนก็นอนซมเพราะโรคประจำตัวอยู่กับบ้าน
               ใบหน้าเธอสวยสะอาดหมดจดชวนมอง  ขนตางอนเข้ากับรูปตาเรียว  ริมฝีปากโอบอิ่มชมพูระเรื่อรับกับสันจมูกที่โด่งสวย กฤตย์รีบหันหน้ากลับมาทันทีที่เห็นเปลือกตาของเธอกำลังเผยอขึ้น   เสียงร้องเพลงแหกปากอย่างไม่เป็นเพลงยังคงดังอย่างต่อเนื่องไม่ลดละ 
   วันนี้เป็นอีกวันที่ลูกชายคนเดียวของนายตำรวจใหญ่ต้องไกลบ้าน กฤตย์เกิดมาตอนที่แม่อายุเกือบจะเลยวัยที่ควรมีลูกได้เพราะสุขภาพแม่เป็นเหตุ  กฤตย์สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงตั้งแต่เล็ก การเลี้ยงดูจึงถูกประคบกระหงมมากเกินพอดี ขาดเรียนซ้ำบ่อยครั้งจนแทบไม่มีเพื่อน  แต่เขาเป็นคนหัวดีเรียนสอบได้คะแนนนำคนอื่นทุกครั้ง
          กฤตย์เลือกเรียนโบราณคดีเพราะเขาฝังใจแต่เด็ก  เขาชอบไปที่ร้านขายของโบราณของลุงแก้วพี่ชายแม่บ่อยๆ  อันที่จริงที่นั่นเป็นที่เดียวที่เขาจะไปได้ โดยแม่ไม่ห้าม  แม่ไม่เคยยอมปล่อยให้เขาไปไหนไกล  นอกจากบ้านและโรงเรียนหรือไม่ก็ที่เรียนพิเศษเท่านั้น   โดยมีลุงสมคิดคนขับรถไปรับส่งและช่วยเป็นหูเป็นตาแทนแม่  บางทีเขาก็รู้สึกอึดอัดเต็มทีแต่ก็อยากทำให้แม่สบายใจ       
   เขานอนหลับตาไม่สนิทนักเพราะรถแล่นโครมครามเมื่อมันผ่านถนนที่ขรุขระ นานประมาณสี่ห้าชั่วโมง  เขาก็สะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงคนคุยกันดังลั่นและพากันลุกจากที่นั่งของตนเอง 
   “น้องทั้งหลาย ช่วยกรุณารีบลงมาจากรถได้แล้วครับ ได้เวลาปฏิบัติกิจกรรมแรกกันได้แล้ว  ยังไงช่วยกันลงมาเข้าแถวด้านล่างกันนะครับ” เสียงโทรโข่งแว่วมาจากด้านล่างรถ   กฤตย์ลุกขึ้นมาจากที่นั่งเดินตามทุกคนลงไปด้านล่าง  เจ้าของเสียงโทรโข่งเป็นชายร่างสูงโปร่ง หน้าแหลมผิวคล้ำ  เขายังคงถือโทรโข่งแล้วประกาศอะไรต่อไปหลังจากที่น้องใหม่กำลังรวมกลุ่มล้อมวงเข้ามาใกล้
   “พวกน้องๆจะได้รู้จัก โบราณสถานแห่งนี้ เดี๋ยวเราจะมีเจ้าหน้าที่นำทางพวกน้องเดินเข้าชมภายในปราสาทเมืองศิขริน เมืองเก่าโบราณที่มีอายุประมาณสามพันกว่าปี   และถูกค้นพบเมื่อหกปีที่แล้วโดยกองโบราณคดี   พวกน้องจะได้รับแจกกระดาษหนึ่งชุด พี่จะให้น้องเข้าไปชมภายในปราสาทและบันทึกเรื่องราวเอาให้ละเอียด เพราะคืนนี้เราจะมีกิจกรรมให้ตอบคำถามใครตอบผิดละก็นะ คงรู้ว่าต้องทำยังไง”

 มีเสียงฮือฮาดังอยู่ชั่วครู่   ก่อนจะเงียบอีกครั้ง เมื่อพวกรุ่นพี่ให้สัญญาณ
         “ เงียบๆ หน่อยได้ไหมครับ   มีบางสิ่งที่พี่จะบอก   ห้ามน้องเข้าไปบริเวณที่เขาติดป้ายบอกว่ากำลังอยู่ระหว่างการบูรณะซ่อมแซมเด็ดขาด พี่เตือนแล้วนะ  เพราะอาจเกิดอันตรายได้  ขอให้แยกย้ายกันได้แล้ว อย่าลืมนะครับ มารวมตัวกันที่นี่ห้าโมงเย็น เราจะได้ไปที่พักกัน”   
   เมื่อทุกคนได้รับกระดาษแจกและปากกาจากรุ่นพี่ผู้หญิงกันครบแล้ว  ทั้งหมดเดินตามเจ้าหน้าที่ไปถึงตัวปราสาท แล้วจึงพากันแยกย้ายไปตามจุดต่างๆ     กฤตย์พลิกหน้ากระดาษสองด้าน
            “ตกลงแล้ว เราต้องทำตัวเป็นเด็กประถมมาทัศนศึกษาหรือไง”
        เขาคิดติดตลก แต่ก็ทำได้แค่บ่นในใจ  ยังเป็นรุ่นน้องปีหนึ่ง เขาว่าไงก็ว่ากัน   
           กฤตย์มองมุมกว้างของตัวปราสาทเมืองศิขริน คะเนได้ว่ามีอาณาเขตประมาณหลายสิบไร่ได้  ประกอบด้วยกลุ่มปราสาทหินสีแดงใจกลางเมือง  และซากปรักหักพังของอาคารทรงสี่เหลี่ยมอยู่รายรอบ  กฤตย์เริ่มต้นจากตัวปราสาทด้านใน เขาเริ่มใช้ปากกาบันทึกตามคำอธิบายที่ทางศูนย์นำมาติดตั้งไว้ไห้อ่าน   
          เวลาผ่านไปเกือบเที่ยงวัน แสงแดดร้อนอบอ้าวจนตาเขาลายไปหมด เสียงโทรโข่งประกาศให้ไปรับประทานอาหารกล่องที่ศาลาพักผ่อนใกล้กับที่จอดรถ กฤตย์หยุดอยู่แค่นั้น แล้วเดินตามกลุ่มคนกลุ่มใหญ่ที่เดินนำอยู่แล้วไปที่รับประทานอาหาร ข้าวผัดกระเพราอุ่นราดไข่ดาวธรรมดา  ส่งกลิ่นหอมน่ากิน เขารับมันมาแล้วหาที่นั่งที่ม้าหินตัวหนึ่งที่ไกลจากผู้คน  ตักข้าวใส่ปากด้วยความหิว   จนลืมสังเกตว่ามีใครคนหนึ่งเดินมานั่งตรงข้ามเขา
      “ขอนั่งด้วยคนนะ” เสียงกังวานใสของผู้หญิงที่นั่งข้างเขาตลอดการเดินทางมานั่นเอง
 กฤตย์รีบกลืนข้าวจนมันจุกเกือบติดคอ เขารีบคว้าขวดน้ำดื่มอึกหนึ่ง  ก่อนจะตอบว่า
      “ได้ครับ เอ่อ เธอ…..”
      “ณิชชาคะ เรียก ณิช เฉยๆก็ได้คะ  แล้วเธอล่ะ นั่งรถมาด้วยกันตลอดยังไม่รู้จักชื่อเลย ”
      “ กฤตย์ธรครับ เรียกกฤตย์ ก็ได้ครับ แล้วไม่มีเพื่อนมาด้วยหรือ”
      “อ๋อ ณิชไม่ชอบนั่งกับกลุ่มคนเยอะๆคะ   ขอบคุณนะ ที่ให้เรานั่งด้วย”
   “ไม่เป็นไร มีคนกินเป็นเพื่อนก็ดี จะได้ไม่เหงามากนัก”   กฤตย์พูดด้วยท่าทีสดชื่นแจ่มใสขึ้นมาทันทีทั้งทีอากาศอบอ้าว ท่ามกลางการพูดคุยของชายหนุ่มหญิงสาวมีสายตาไม่พอใจของคนสองสามคน มองเขม็งมาที่พวกเขา
   หลังอาหารตอนบ่ายแก่ๆ  กลุ่มน้องใหม่ที่ได้รับมอบหมายงานก็เริ่มทยอยไปที่ปราสาทหินทีละคน กฤตย์ก็เริ่มเดินออกไปที่ตัวปราสาทบ้าง  ขณะกำลังเดินอ่านสิ่งที่เขาบันทึกไปก่อนหน้านั้น มือของเพื่อนชายร่วมคณะก็โอบรอบคอเขาและบีบแน่นอย่างแรง ส่วนชายหนุ่มอีกสองคนเดินขนาบประชิดตัวใกล้
   “ไง  ปลื้มใจมากใช่ไหม ไอ้กฤตย์  เรามีเรื่องต้องคุยกันนิดหน่อย”
        กฤตย์รู้สึกงงงวย  แต่ก็ยอมเดินตามการลากของเจ้าสามคนนั้นอย่างง่ายดาย  พวกนั้นพาเขาเดินอ้อมไปไกลจากแนวกำแพงเตี้ยสีแดงปูนที่ล้อมรอบตัวอาคารต่างๆ   และอยู่ห่างจากตัวปราสาทได้สักร้อยก้าวได้ไม่มีใครอยู่ที่นั่น  เป็นห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดเล็ก  สร้างจากหินศิลาก้อนใหญ่หลายก้อน   กลางห้องมีบ่อน้ำโบราณสร้างด้วยหินก้อนใหญ่เช่นเดียวกัน    พวกนั้นจับตัวเขากระแทกกับกำแพงด้านใน
   “ว่าไงวะ ข้าถามว่า แกปลื้มมากหรือไงไอ้กฤตย์  กะอีแค่ได้นั่งรถร่วมกับน้องณิชว่าที่ดาวมหาลัยคนสวย แถมไปนั่งกินข้าวด้วยกันด้วยอีก   แกนี่ไม่เบานี่หวา เห็นหยิมๆ อย่างนี้”   สหชาติตบแก้มเขาเบาๆ  แกมหยอกเล่นแต่สีหน้าดุดัน
   “ก็ผมไม่มีที่นั่งแล้วนี่ครับ แล้วเมื่อกลางวัน เขามาขอนั่งกับผมเอง เขาคงไม่มีที่นั่งกินข้าว” กฤตย์พยายามหาข้อแก้ตัวให้ดูดีที่สุด  ตอนนี้เขารู้แล้วว่าพวกนั้นไม่พอใจอะไรเขาถึงกับดึงตัวมาคุยที่นี่ลำพัง
   “อ๋อ แกพยายามจะบอกอะไรข้านะ แกว่าน้องมาขอนั่งกับแก แกมันมีเสน่ห์  แกมันหล่อ โธ่  ไอ้ลูกแหง่!!”  สหชาติเขย่าตัวเขาอย่างแรง ตะคอกกลับเสียงดังสั่นเครือด้วยอารมณ์โกรธจัด  กฤตย์เห็นท่าไม่มีดีนัก แต่พยายามใจดีสู้เสือ
   “ผมไม่ได้คิดอะไรกับเธอจริงๆ เราเป็นเพื่อนกัน เหมือนผมกับพวกนาย เอ่อ ผมต้องรีบไป ผมยังเดินดูไม่ทั่วเลย” เขาจะไปแต่พวกนั้นเอาตัวขวางไว้
   “กูไม่ใช่เพื่อนมึง  อยากรู้ไหมไอ้คนที่ทำตัวเด่นต้องโดนอะไรบ้าง  เอ้ย ไอ้หนุ่ม ไอ้กล้า จับมันไว้”  สองคนช่วยกันปลุกปล้ำกอดจับเขาไว้
              “ปล่อยผม พวกนายจะทำอะไร ปล่อยผมไป ช่วยด้วย ช่วยด้วย !”   
          กฤตย์พยายามดิ้นต่อสู้แต่ก็ไม่เป็นผล หนึ่งคนหรือจะสู้สามแรง    พวกมันจับเขาหงายหน้าลงกับพื้นดิน รวบมือทั้งสองข้างอยู่เหนือศีรษะแล้วมัดด้วยเชือกที่เตรียมมาอย่างหนาแน่น  เขาถูกจับให้ยืนขึ้นเพื่อสหชาติได้สมน้ำหน้าได้อย่างสะใจ      สหชาติชกท้องเขาหนึ่งทีจนเสียดตัวงอ         
   “นี่คือบทเรียนสำหรับคนกล้าลองดีกับกู   น้องณิช กูกำลังจีบเธออยู่ อยากรู้นักแกจะกล้าอีกไหม เอ้ย จับมันโยนลงไปในบ่อ”
   กฤตย์ตกใจสุดขีดที่ได้ยินสหชาติบอกเช่นนั้น  เขาใช้ขาทั้งเตะทั้งถีบคนที่กำลังช่วยกันยกเขาให้ลอยขึ้น มือที่ถูกมัดเหวี่ยงสะเปะสะปะไปมาด้วยแรงทั้งหมดที่มีอยู่
             “ปล่อยผมนะ  ผมไปทำอะไรให้  ช่วยด้วย  ช่วยด้วย” กฤตย์พยายามร้องตะโกนให้ดังที่สุดเพื่อให้คนอื่นได้ยิน แต่บริเวณนั้นไม่มีใครเข้ามายุ่มย่ามเพราะเป็นที่ต้องห้าม
   “อย่า ปล่อยเดี๋ยวนี้  ปล่อย ช่วยด้วย ครับ ช่วยด้วย !!”   เสียงร้องขอความช่วยเหลือต้องสิ้นสุดลงเมื่อพวกนั้นเอาอะไรอุดปากเขาไว้ เขาได้แต่ใช้แรงทั้งหมดที่มีอยู่ดิ้นไปมาเพื่อให้หลุดพ้น  สุดท้ายเขาก็ถูกรวบขาและยกตัวลอยไปที่ปากบ่อ มันทั้งทึบและลึกมองไม่เห็นอะไรเลย   พวกนั้นหัวเราะสนุกปาก จับร่างผลักลงไปในบ่อ  ใจหายวาบเสียวขณะกำลังร่วงลงไป  บ่อที่ไม่รู้ว่าลึกเท่าไรอาจจะมากจนเขาหล่นไปตายก็ได้  เชือกที่มัดแขนเขาด้านบนมันกระตุกอย่างแรงจนเจ็บร้าวทั้งแขน     พวกนั้นกำลังหย่อนตัวเขาลงมาจนขาแตะพื้นได้  แสดงว่าพวกข้างบนได้ตระเตรียมเชือกไว้ยาวพอดีเท่าความลึกของบ่อนี้สำหรับเขาโดยเฉพาะ  ทั้งสามคนมองเขามาจากปากบ่อ เขาเห็นเพียงเงาสลัว ได้ยินเสียงตะโกนเย้ยก้อง
   
   “อยู่ให้สบายพรรคพวกเย็นนี้ข้าจะมาดึงขึ้นไป ไปก่อนนะพวก ฮ่าๆๆๆ”
   “อย่าเพิ่ง เอาผมขึ้นไปก่อน ผมกลัว  ขอร้องผมกลัว” เขาเริ่มกำลังจะร้องไห้ แต่คนข้างบนไม่สนใจกลับเดินหนีไปแล้ว
             กฤตย์ กอดอกตัวสั่นระริก  เขากำลังถูกขังอยู่ในนี้ตามลำพัง  มืดสนิทมีเพียงแสงจากด้านบนบางๆ บ่อนี้น่าจะลึกสัก 6-7 เมตรได้   เขาพยายามแก้เชือกด้วยมือที่ถูกมัดอยู่ มันแน่นมากจนไม่ออก   
          เขาเริ่มนั่งลงทอดอาลัยตายอยากไปกับพื้นบ่อ และสัมผัสถึงวัตถุอะไรที่ใต้ขาเขา  ใช้มือที่ถูกมัดอยู่หยิบมันขึ้นมา  มันเป็นเศษก้อนหินเล็กๆแหลมๆ  เขาใช้ปลายแหลมของมันค่อยหั่นเชือกที่มัดอยู่ ไม่นานนักก็ขาดหลุดจากกัน    เขาดึงเอาผ้าที่อุดปากอยู่ออก และตะเบ็งเสียงตะโกนขอความเหลือ  เสียงที่ตะโกนออกไปมันก้องสะท้อนอยู่ไปมาภายในบ่อนี้  มีเล็ดลอดออกไปน้อยมาก
   “จริงสิ เราโทรไปขอความช่วยเหลือได้นี่”
         เขานึกได้ว่ามีมือถืออยู่ในกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ต จึงรีบนำมันออกมาเพื่อโทรหาใครสักคน สัญญาณมือถือก็เหมือนคลื่นเสียงเมื่อสักครู่มันถูกตัดขาดเช่นกัน  กฤตย์สบถออกมาอย่างโมโห  เอาหลังพิงผนังบ่อและเริ่มทรุดตัวลงไปกับพื้นอีกครั้ง   
ชายหนุ่มนั่งพิงอยู่อย่างนั้นเวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้  ทั้งหิวน้ำทั้งเหนื่อยล้าหมดหวัง  พวกนั้นจะมาเอาเขาขึ้นไปตอนเย็นเหมือนที่บอกไหม ถ้าพวกนั้นลืมหรือตั้งใจจะทิ้งเขาไว้ เขาต้องตายเดียวดายในบ่อนี้ 
“ทำไมหนาวจัง” เขาเริ่มรู้สึกผิวหนังสัมผัสกับความเย็นเยียบ
 มีอะไรบางอย่างอยู่ภายนอกที่ผิดปกติธรรมชาติ อากาศในบ่อโบราณเริ่มเย็นลง  แสงสว่างจากด้านบนมันเริ่มสลัวลงเรื่อยๆ   ทำให้ภายในบ่อมืดสนิทมากกว่าเก่า  กฤตย์อาศัยแสงสว่างจากมือถือของตนเอง  เกิดอะไรขึ้นด้านนอก ทำไมถึงได้มืดเร็วทั้งที่แค่บ่ายสามโมง  การที่เวลากลางวันจะดูมืดครึ้มลงเร็วมีเพียงไม่กี่เหตุผล เขาใช้ความคิดนึกให้ออก ต้องเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติบางอย่าง  เช่นอาจเกิดสุริยะปราคา 
เขาจำได้ว่ามีข่าวว่าจะมีการเกิดสุริยะปราคาขึ้นมาในไม่กี่วัน  แต่ไม่น่าจะบังเอิญขนาดนี้  ถ้าใช่ก็นึกเสียดายที่ไม่ได้ชมมัน   
กฤตย์ใช้มือถือส่องไปโดยรอบๆ  ผนังบ่อเป็นหินแดงก้อนใหญ่และขรุขระเรียงต่อกัน       สายตาเขาไปสะดุดกับหินก้อนหนึ่งเข้า มันไม่ได้ขรุขระเพราะเกิดจากการกัดกร่อนตามธรรมชาติ  เขาพยายามเพ่งมอง  มันเป็นร่องเล็กๆ ลากไปมา  คล้ายมีคนเอาวัตถุปลายแหลมไปขูดเขียน เขาใช้มือลูบเบาๆ  มันดูคล้ายตัวอักษรอะไรสักอย่างมากกว่าภาพเขียนเล่น
 “ก้นบ่อแบบนี้ ใครนะ มาขีดเขียนเล่น”
 มีความร้อนพุ่งขึ้นมาจากใต้บริเวณที่มือเขาสัมผัส กฤตย์ตกใจและพยายามชักมือกลับ แต่เหมือนมีแรงอะไรบางอย่างดูดมือเขาไว้  บังเกิดแสงสว่างเป็นวงกว้างจากกำแพงข้างหน้าเขา 
“โอ้ย บ้าอะไรนี่!!   ร้อน !”    
ร่างทั้งร่างกำลังถูกกลืนลงไปในแสงนั้น   เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกอบในเตาไฟแทบละลาย  แล้วเหมือนตัวเองกำลังร่วงหล่นมาจากที่สูง   แล้วมารู้สึกตัวอีกทีก็นอนคว่ำหน้าลงบนพื้นหญ้าที่นุ่ม ๆ  ได้กลิ่นไอดิน   เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็ต้องตะลึง เขาอยู่ที่ไหนสักแห่งหนึ่งที่ไม่ใช่ก้นบ่อโบราณ และก็ไม่ใช่ปราสาทเมืองศิขริน   
         
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 03, 2009, 09:49:20 PM โดย arisara52 »

arisara52

                                                                                          - 2 -

   “เกิดอะไรขึ้น”
          กฤตย์กำลังยืนงงงันอยู่บนเนินดินเตี้ยๆที่มีป่าไม้อยู่ล้อมรอบตัวเขาเต็มไปหมด  ภูเขาหลายลูกตั้งตระหง่านห่างออกไปสุดลูกหูลูกตา     ที่นี่คือที่ไหนกัน  แล้วเขามาได้ยังไง 
            “กุบกับๆ”         
          เขาได้ยินเสียงคล้ายเสียงม้ากำลังวิ่งเหยาะๆ        กฤตย์หันหลังกลับไป มีกลุ่มคนกำลังเดินมาใกล้เขา  เขาค่อยใจชื้นขึ้นมาบ้างอย่างน้อยก็รู้ว่าไม่ได้อยู่ลำพังเพียงคนเดียว    สักพักกลุ่มคนสามสี่คนที่อยู่บนหลังม้าก็โผล่ออกมาจากดงไม้พุ่มใหญ่   และอีกสามคนก็ถูกลากจูงให้เดินตามกันมา   เมื่อพวกนั้นเห็นกฤตย์   พวกเขาก็มุ่งหน้ามาหยุดตรงหน้าเขา  หนึ่งในชายร่างกำยำใหญ่ ใบหน้าแดงดำลงมาจากหลังม้า  เขาเดินมองชายแปลกหน้าที่เพิ่งพบตั้งแต่หัวจรดเท้า  เดินวนรอบตัวเขารอบสองรอบ  แล้วก็เดินกลับกระซิบกระซาบอะไรกับชายอีกคนที่อยู่บนหลังม้า  ชายคนนั้นหันมาจ้องหน้ากฤตย์เขม็ง   กฤตย์ พยายามรักษาระยะห่างเอาไว้ก่อนเพราะไม่น่าไว้ใจ
   “ไอ้หนุ่ม เจ้าเป็นคนต่างถิ่นใช่หรือไม่  แล้วกำลังหลงทางอยู่ละสิ” ชายคนที่จ้องหน้าเขาถามเขาด้วยเสียงกร้าวแข็ง   
   “ครับ ผมหลงทางมา  ผมกำลังจะกลับบ้าน  ผมอยู่ที่ไหน  แล้วพวกคุณช่วยบอกทางผมได้ไหม”
“สำเนียงและการแต่งกายของเจ้า ช่างพิลึกเสียจริง    หึหึ ถ้าเจ้าเจอคนอื่นเขาอาจจะพาเจ้ากลับบ้านก็เป็นได้   แต่สำหรับพวกข้า จะไม่มีวันยอมปล่อยอัฐแม้เพียงน้อยนิดให้หลุดมือไปได้ พวกข้าเป็นพวกค้าทาส  กำลังเอาพวกทาสไปส่งในเมือง  เจ้าโชคร้ายเองที่เจอข้า เสียดายนะ รูปร่างเจ้าไม่แข็งแกร่งเอาเสียเลย  ได้ราคาไม่งามนัก  แต่ก็เอาเถอะ อย่างน้อยได้ค่าม้าสักตัวก็ยังดี”
   กฤตย์ได้ยินทุกถ้อยคำที่ชายหน้าเหี้ยมดุบอกเขา  เขากำลังหูฝาดหรือเปล่า พวกค้าทาสนะหรือ เป็นไปได้อย่างไร  ระบบทาสถูกยกเลิกมาตั้งแต่สมัยไหนกันแล้ว คนพวกนี้ถือกฎบ้านไหนเมืองไหนกัน  ก่อนที่จะทันตั้งตัว  ชายอีกสองคนเดินมาใกล้ตัวเขาอย่างรวดเร็ว
“พวกคุณจะทำอะไร  อย่านะ!”  กฤตย์พยายามจะวิ่งหนี แต่ไม่ทันแล้ว
“ผลัวะ”
 ไม้ท่อนใหญ่ทั้งหนักและแข็งกระแทกเต็มหลังคอ  ปวดตุบมึนงงตาพร่าพราย  ก่อนจะถูกเตะเข้าที่ท้องจนทรุดฮวบ   พวกมันมัดเขาด้วยอะไรสักอย่างที่เหมือนเชือกแต่แข็งและหนากว่าดูคล้ายเถาวัลย์ไม้เหนียวๆ อีกครั้งที่ข้อมือเขาถูกมัดอย่างแน่นหนากว่าเดิม
เขาถูกกระชากลากจูงไปกับกลุ่มทาสอีกสามคน   เดินเลี้ยวลดไปตามป่าทึบ  ผ่านที่ราบแห้งแล้ง พื้นดินแตกระแหงเป็นร่องยาวตะปุ่มตะป่ำไม่เสมอกัน        การเดินทางที่แสนไกลโข บวกกับ แสงแดดจากดวงอาทิตย์ที่แผดกล้า  มันเผาผลาญทุกอย่างให้เป็นจุณรวมทั้งตัวเขาด้วย    ทุกอณูในร่างกายของเขาได้รับการทรมานจนเดินต่อไปแทบไม่ไหวแล้ว แต่เขาก็ต้องถูกบังคับให้เดินต่อไป  พวกค้าทาสเหี้ยมโหดและไร้ความปราณี
การเดินทางหยุดที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขากว้างพอที่จะบดบังแสงแดดอันร้อนแรง  พวกนั้นยังมีความกรุณาให้น้ำเขาดื่ม น้ำใสไหลผ่านคอที่กำลังแห้งผากเพียงไม่กี่หยด ก็ต้องถูกดึงออกไปจากปากเขา
“พอ น้ำมันมีน้อย อีกไม่ช้าก็จะถึงเมืองกัลลคาม  พวกแกค่อยไปกินข้าวปลาอาหารที่นั่น ที่ให้ดื่มน้ำก็ดีแค่ไหนแล้ว เดี๋ยวพวกแกจะตายไปก่อน”         
 กฤตย์ไม่เคยพบเจอใครที่เขาน่าเกลียดชังมากมายขนาดนี้ พวกนี้ทำให้สหชาติดูเป็นคนดีไปเลย  เขายังไม่ทันหายเหนื่อยหอบก็ต้องถูกบังคับลากให้เดินไปกับพวกมัน   
แสงอาทิตย์ทอลอดผ่านดงไม้  ขอบฟ้าสีส้มที่แผ่กระจายเต็มท้องฟ้าเสมือนเป็นฉากหลังให้พวกนกพวกกาโผบินเป็นตัวละครตัวหนึ่ง  ใกล้ค่ำแล้ว การเดินทางจึงหยุดลงแค่นี้   พวกมันปลดเชือกที่มัดมือเขาออกแต่ยังคงมัดขาเขาไว้กันหนี
 “เอ้ากินเข้าไป” พวกมันแจกห่อใส่ใบตองคนละห่อ ข้างในเป็นข้าวกับปลาแห้งเหลือแต่ก้าง ความหิวและเหนื่อยทั้งวัน ทำให้กฤตย์ไม่สนใจว่าอาหารมื้อค่ำมันไม่น่าจะกินลง
 “เร็วๆ อย่าสนิมสร้อยนัก  พวกเจ้ารีบกินรีบนอนซะ  พรุ่งนี้ต้องไปแต่เช้า  แล้วอย่าคิดหนีละ ไม่งั้น”  คนพูดขู่ยกคมดาบขึ้นมา  “คงไม่อยากมีใครอยากลิ้มรสดาบข้าหรอกนะ”
      พวกทาสรวมทั้งกฤตย์มองไปที่คมดาบ กลืนข้าวลงอย่างฝืดคอ     
   กฤตย์นอนไม่หลับ  แต่ต้องทำทีว่าหลับแล้วเพื่อไม่ให้พวกนั้นหาเรื่องทำร้ายเขา   ทั้งสับสนว้าวุ่นจับต้นชนปลายไม่ถูก เขาอยู่ที่ไหนกันแล้วเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่  เขาคิดถึงแม่อรจับใจป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง จะรู้ไหมว่าลูกชายคนเดียวต้องถูกใครที่ไหนไม่รู้บังคับให้เดินเท้าทั้งวัน นอนกับพื้นดินแข็งกระด้างและหนาวเหน็บ แล้วกำลังจะถูกขายไปเป็นทาส
      เสียงหวีดร้องของอะไรสักอย่างดังก้องสะท้านไปทั่วป่า มาพร้อมลมพัดกรรโชกแรงน่ากลัว จนทุกคนในที่แห่งนั้นต้องตื่นตกใจตามๆ กันรวมทั้งเขาด้วย 
    “เกิดอะไรขึ้นวะ” หนึ่งในนั้นถาม  ทุกคนล้วนแต่โคลงศีรษะ 
      “บ๊ะ มาด้วยกันจะรู้ได้ไง เจ้านี่”
ลมยังคงพัดแรงเป็นระลอก  แต่ละคนแทบยืนไม่อยู่ แล้วได้ยินเสียงพรึบพรับดังอยู่ด้านบนตามมาด้วยเสียงกรีดร้องแหลมน่ากลัว  กฤตย์แหงนหน้าขึ้นไปมองข้างบนเหมือนคนอื่น ก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติ
            เงาทะมึนดำใหญ่แผ่กว้างบดบังแสงจันทร์มืดมิด  พร้อมเสียงแหลมที่ร้องน่ากลัว  เป็นสัตว์อะไรสักอย่างหนึ่งค้างคาวก็ไม่ใช่ นกก็ไม่เชิง หน้าตามองไม่ถนัดเพราะอยู่ในความมืด  แต่มันก็เหมือนร่างคนมีปีกหน้าเป็นปีศาจ ที่เห็นชัดมากคือ  ดวงตาอันแดงฉานลุกโชนเหมือนสัตว์กระหายเหยื่อ
“ผีเว...ตาล ผี...
 ต่างคนต่างวิ่งกระจัดกระจายหนีความตายคนละทิศละทาง   กฤตย์และพวกทาสคนอื่นที่วิ่งไม่ได้ทำเพราะถูกมัดมือมัดเท้า ได้แต่พากันกระโดดไม่ก็กลิ้งไปตามพื้น พยายามหาที่หลบหลังต้นไม้ให้ปลอดภัยที่สุด เวตาลตัวนั้นบินถลาลงมา ใช้ปีกใหญ่กว้างกวาดคนที่กำลังวิ่งอยู่ ตัวลอยกระแทกพื้นบ้างต้นไม้บ้างตายน่าอนาถ ชายหนุ่มมองอยู่ภาพสยดสยองอยู่หลังพุ่มไม้ ใจเต้นถี่รัว  เนื้อตัวเย็นเยียบเพราะความกลัวพาเลือดแทบหยุดไหลเวียนทั้งร่างกาย
         “ตัวอะไร น่ากลัว เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น”

ใครสักคนคงคิดว่า เจ้าปีศาจมีปีกยักษ์ตนนี้ถ้าได้คาบใครไปเป็นอาหารจะได้ไปเสียที  เพื่อเอาตัวเองให้รอดจึงต้องหาเหยื่อ แล้วกฤตย์ก็ถูกเลือกให้เป็นเหยื่อเพราะอยู่หน้าสุด เขาถูกผลักจากคนที่หลบหนีความตายด้วยกันด้านหลัง ออกมากลางแจ้ง
‘เฮ้ย  อะไร.วะ...”
         พูดไม่ทันจบประโยค ตัวเวตาลก็โผมาใกล้เขา  ชายหนุ่มร้องลั่นด้วยความกลัวสุดชีวิต


 “อย่า ออกไป ช่วยด้วย ออกไป” ชายหนุ่มใช้มือยกขึ้นสู้เต็มแรงที่มีอยู่ด้วยกลัวความตาย  ขากล้ามใหญ่ของมันเข้ามาหนีบกลางตัวเขา  ถูกบีบจนแทบจะกระอักเลือดออก
    “อ๊าก ช่วยด้วย ใครก็ได้ ช่วยที”  คนใกล้ตายร้องลั่น ความหวาดกลัวอยู่ทุกรูขุมขนที่กำลังลุกชัน  เขากำลังหน้ามืดคล้ายจะเป็นลมล้มพับไป  ดีเหมือนกัน เวลาที่เจ้านกยักษ์กำลังจะกินเขาจะได้ไม่ต้องเจ็บปวด   ก่อนที่สติสัมปชัญญะจะหายไป เขาเห็นแสงสีแดงพวยพุ่งข้ามศีรษะไป    แล้วเหมือนตนเองกำลังลอยละล่อง   

   กฤตย์รู้สึกร้อนวูบวาบ
 “ที่นี่นรกภูมิขุมไหนกันนะ”  เขาคิดอยู่ในใจ    เขาตายเป็นผีไปแล้วหรือไร  เป็นวิญญาณแล้วไฉนถึงได้เจ็บแสบไปทั้งร่าง     เขาลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ     พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ข้างกองไฟที่ร้อนระอุ    บุรุษต่างวัยสองคน อยู่อีกด้านหนึ่งของเปลวไฟ
   “เจ้าฟื้นแล้วหรือ”  บุรุษผู้เยาว์กว่าเดินมานั่งข้างตัว   กฤตย์พยายามที่จะยันตัวเองขึ้นอย่างยากลำบาก  รอบข้อมือทั้งสองข้างเขียวระบม    แถมตามเนื้อตัวมีรอยถากเป็นแผลเนื่องมาจากการถูกพวกค้าทาสลากไถไปกับพื้น  ชายผู้นั้นช่วยพยุงตัวเขาให้อยู่ในท่าครึ่งนั่งครึ่งนอน
   “ผมยังไม่ตายใช่ไหม  ”   ลำคอที่แห้งผากทำให้เสียงที่ลอดออกมาแผ่วเบา   
“นี่คือกระท่อมของพระอาจารย์ของเราเอง   พระอาจารย์ช่วยท่านมาจากเวตาล  ข้าชื่อว่าสิงหราช เรียกสิงห์ก็ได้  ”
“เวตาล” เขาทวนชื่อตัวประหลาด  เหมือนเคยได้ยินลุงเล่าให้ฟังว่าเป็นภูตผีตนหนึ่งที่อยู่ตามป่าช้าในสมัยโบราณ
 “ใช่ คงเป็นของพวกหมออาคมสักคนเลี้ยงไว้”
บุรุษชราผมขาวโพลนทั้งศีรษะรวบมัดเป็นมวยไปข้างหลัง   อยู่ในชุดพราหมณ์ขาว ย่างก้าวช้าๆ   ผู้ทรงศีลยิ้มและมองกฤตย์ด้วยความเมตตา   กฤตย์ขยับตัวให้อยู่ท่านั่ง แล้วก้มลงกราบด้วยความซาบซึ้งในพระคุณผู้ช่วยชีวิตเขาให้รอดพ้นจากเงื้อมมือมัจจุราชมาได้
“เจ้าพักผ่อนให้หายดีเสียก่อนเถอะ  พรุ่งนี้ค่อยว่ากันนะ” บุรุษชราบอกเขาอย่างอ่อนโยน  สิงหราชช่วยพยุงร่างเขาให้นอนราบบนแคร่ไม้ยาว ความเหนื่อยล้าทำให้กฤตย์เข้าสู่นิทรารมณ์อย่างรวดเร็ว
เขาฝันร้าย ฝันว่ากำลังยืนมองแม่อรดีนั่งร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าเวทนาอยู่ข้างบ่อน้ำโบราณที่เขาตกลงไป    กฤตย์พยายามตะโกนบอกว่า  เขาอยู่ที่นี่ เขาไม่เป็นไรแล้ว  มิไยที่แม่จะได้ยิน
กฤตย์ตกใจตื่นลืมตาขึ้นมา แสงสีส้มทองเรืองรองทางมาทิศตะวันออกบอกให้รู้ว่าเป็นเวลาใกล้รุ่ง  เสียงสกุณาบินออกหาอาหารเป็นกลุ่มใหญ่  กฤตย์ค่อยมีแรงขึ้นมาจนสามารถลุกเดินโขยกเขยกได้เอง   ไม่มีใครอยู่เลยสักคน  เมื่อคืนเขาฝันไปหรือเปล่า พบชายหนุ่มที่เขาไม่เคยรู้จักกับผู้ทรงศีลท่านหนึ่ง
กองไฟมอดลงมีเพียงควันบางๆลอยคุกกรุ่นจากท่อนฟืนที่ยังดับไม่สนิทดี เป็นหลักฐานว่าเรื่องเมื่อคืนเป็นความจริง     ก่อนที่เขาจะคิดอะไรออก ความกระวนกระวายใจเรื่องแม่ก็แทรกขึ้นมาสมอง เธอกำลังรอเขาอยู่ด้วยหัวใจสลาย กฤตย์เป็นห่วงแม่มาก เขาอยากกราบลาผู้มีพระคุณทั้งสองก่อน แต่เขาช้าไม่ได้แล้ว เขาหยิบถ่านสีดำจากกองฟืนเขียนลงบนแผ่นหินก้อนใหญ่ใจความว่า
“ขอโทษครับที่ต้องจากไปอย่างรีบด่วนโดยไม่ได้ลา บุญคุณครั้งนี้จะไม่มีวันลืม  ถ้ามีโอกาสผมจะกลับมาตอบแทน”
   กฤตย์เดินไปทางทิศเดียวกับที่ดวงอาทิตย์กำลังขึ้นจากขอบฟ้า  เขาจำคร่าวๆได้ถึงรูปร่างของเทือกเขาที่จากมา   ยิ่งเดินเข้าในป่าเท่าไร ป่าก็ยิ่งรกและหนาทึบทุกที  มันปกคลุมจนมืดครึ้มไปตลอดทางเดิน    กฤตย์หยุดนั่งพักเหนื่อยเมื่อเดินไปได้สักพักใหญ่  เขาทุบแข้งขาที่เมื่อยขบเบาๆ   
“โฮก โฮก” เสียงเสือขู่คำรามอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เขาสะดุ้งหายใจเข้าเฮือกใหญ่   เสือร้ายลายพาดกลอนตัวเขื่องยืนอยู่ข้างหลังเขาไม่กี่ก้าว กฤตย์ยืนหันไปมองตัวแข็งทื่อ ท้องไส้โหวงเหวงหายใจไม่ทั่วท้อง   มันแยกเขี้ยวคำรามเตรียมพร้อมที่กระโจนใส่เขาทุกเมื่อซึ่งเขาไม่มีโอกาสที่จะก้าวหนีได้ทัน
“ตายแน่เรา  แม่ครับ ช่วยผมด้วย” เขายืนหลับตาแน่น ขาก็อยากจะก้าวถอย แต่ขาสองข้างก็แข็งเหมือนกับใครมาตอกหมุดไว้ เสียงเสือยังขู่คำรามน่ากลัว เมื่อคืนเจอนกประหลาด แล้วคราวนี้เจอเสือลาดพาดกลอนอีก
 ธนูแหวกอากาศมาจากทางใดไม่รู้พุ่งปักมาตรงหน้าเจ้าเสือร้าย ชายหนุ่มสันทัดผิวดำแดง สะพายลูกธนูไว้บนแผ่นหลังกว้างแข็งแรง เข้ามายืนขวางระหว่างกฤตย์กับเสือลายพาดกลอน  สิงหราชง้างคันธนูตั้งท่าคอยจังหวะที่จะยิงมันออกไป  ต่างฝ่ายต่างจ้องมองกันและกัน  สักครู่มันก็เลี้ยวหันหลังเดินจากไปอย่างง่ายดายราวกับลูกแมวเชื่อง       
“ข้าตามหาเจ้าจนทั่ว พระอาจารย์เดาว่าเจ้าน่าจะเดินมาทางนี้   ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามีเหตุผลใดถึงได้จากมาโดยไม่บอกกล่าวผู้ใดเลย” สิงหราชตำหนิติเตียนเรื่องมารยาทที่ดีของแขกผู้มาเยือน
“ผมจำเป็นต้องรีบกลับบ้าน แม่กำลังรอผมอยู่ด้วยความทุกข์ใจ ผมกลัวว่า แม่ผมจะเสียใจเรื่องการหายตัวของผมจนไม่สบาย ผมได้เขียนข้อความบอกไว้แล้วครับ”
   “ข้อความไร ข้าไม่เห็นรู้เรื่องสักคำ  แล้วไงละ ถ้าข้ามาไม่ทัน ป่านนี้ เจ้าคงโดนเสือขย้ำไปแล้วกระมัง  ตอนนี้จะไปก็ไปสิ ข้าหวังว่าคงจะถึงจุดหมายปลายทางโดยไม่โดนช้างป่าเหยียบตาย หรือไม่ก็เสือร้ายย้อนกลับมาเล่นงานอีก”
กฤตย์ได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกใจหายวาบ   ใจหนึ่งก็เป็นห่วงมารดา  อีกใจหนึ่งก็กลัวจะไปตายกลางทางเสียก่อน  เขาตัดสินใจคุกเข่าต่อหน้าสิงหราช  วิงวอนขอความเมตตาจากเขา
   “ได้โปรด ช่วยผมด้วย  ไม่เห็นแก่ผมก็เห็นแก่ผู้หญิงที่น่าสงสารคนหนึ่งด้วยเถอะครับ ช่วยพาผมกลับบ้านได้ไหม”
สิงหราชมองเขาอย่างกึ่งสมเพชกึ่งสงสาร  เวทนา  เขาก้มหน้าใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย ปากออกมาว่า
“ตกลง ข้าจะพาท่านกลับบ้าน   แต่ ข้ามีงานต้องทำมากมาย ข้าต้องปรนนิบัติรับใช้พระอาจารย์  “
“ผมจะช่วย ผมเต็มใจจะทำงานทุกอย่างแทนให้ ขอเพียงได้กลับบ้าน ผมยอมทุกอย่าง” กฤตย์ดีใจมากสิงหราช
ยอมช่วยเหลือเขา 
 “เจ้าบอกเองนะว่าเจ้าจะช่วยข้าทำงาน ข้าไม่ได้ขอให้ท่านทำนะ ก็ดี งั้นเรากลับไปที่กระท่อมกัน มีงานรอให้ทำอยู่”
         กฤตย์จำต้องเดินตามสิงหราชกลับไป ขากลับดูจะรวดเร็วกว่าตอนเดินจากมามาก  เมื่อไปถึงสิงหราชก็โยนชะลอมสานสองใบใหญ่พร้อมคานหาบ พาเดินลงมาที่น้ำตกใหญ่ข้างล่างเนินเขา  เขาต้องหาบน้ำใส่ชะลอมไปใส่ภาชนะจนเต็มทั้งสามใบ บนเส้นทางเขาที่ลาดชันและ ขรุขระ ชีวิตกฤตย์ไม่เคยจับงานหนักแบบนี้มาก่อนทำให้การหาบน้ำเป็นไปอย่างชักช้าจนเกือบหมดวัน  กว่าน้ำจะเต็มตุ่มทั้งสามใบก็เล่นจนเหนื่อยหอบ   
   งานต่อไปของเขาคือผ่าฟืนที่กองอยู่แล้วนำมาเรียงกันจนมากพอสำหรับก่อไฟยามกลางคืน  เขาดูเก้ๆกังๆเวลาจับด้านขวานจามลงไปที่ดุ้นฟืน จนสิงหราชรำคาญตามาก จึงขอปลีกตัวไปเก็บผลไม้มาเป็นเสบียง เมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว และความมืดของยามราตรีเข้ามาแทน วันนี้เกือบทั้งวันเขาช่วยสิงหราชทำงานจนหมด เขาจะได้กลับบ้านในวันพรุ่งนี้  กฤตย์รีบนอนแต่หัวค่ำเพื่อพักเอาแรงสำหรับการเดินทาง
                เช้าอีกวันมาถึง   เขารีบลุกขึ้นเหยียดกายบิดขี้เกียจสองสามรอบ     สิงหราชก็หอบเอาผลไม้หลายผลมาให้  ตั้งแต่เมื่อวานมีเพียงกล้วยสุกงอมสองสามลูกตกถึงท้องเท่านั้น   ดังนั้นเขารีบคว้าผลไม้สุกลูกหนึ่งกัดกินอย่างหิวโหย        อีกไม่กี่ชั่วโมงเขาก็จะได้รับประทานอาหารอร่อยลิ้นจากฝีมือแม่อรดี     กฤตย์เดินลงมากจากกระท่อมเมื่อท้องอิ่มสบาย สิงหราชกำลังยืนอยู่ข้างตุ่มใส่น้ำข้างกระท่อม  พ่นลมหายใจออกมา
   “แย่จัง  เรามีน้ำเหลือแค่นี้ แล้วจะเพียงพอสำหรับพระอาจารย์ได้อย่างไรกัน เห็นทีต้องไปหาบเพิ่มอีก และ เฮ้อ…”   สิงหราชหันมองไปที่เก็บฟืนด้านหลังกระท่อม 
   “แล้วฟืนก็จวนจะหมดแล้วด้วย    ต้องไปหาตัดมาเพิ่มอีก”
   กฤตย์งงเป็นไก่ตาแตก เมื่อวานนี้เขาตักน้ำจนเต็มภาชนะ   และผ่าฟืนจนหมดกองใหญ่   แล้วเช้านี้ทำไมมันถึงเหมือนไม่ได้ทำอะไรเลยสักอย่าง สองศิษย์อาจารย์ใช้น้ำใช้ฟืนเปลืองขนาดนี้เชียวหรือ  สิงหราชทำเป็นคว้าชะลอมเตรียมจะไปหาบน้ำ  กฤตย์รีบยื้อมา
   “ปล่อยเป็นหน้าที่ของผม ผมจะทำให้  ผมรับปากแล้วว่าผมจะทำงานให้คุณทุกอย่าง “
   “เจ้าไม่ลืมคำพูดของเจ้า ดีเหมือนกัน ข้าจะได้มีเวลาไปฝึกวิชาก่อน  เอาไว้ป้องกันเจ้าไง เอ้านี่เอาไป” สิงหราชเสือกชะลอมอีกใบพร้อมคาบหาบให้เขา   แล้วเดินจากไปอย่างสบายอารมณ์  กฤตย์มองสิ่งของในมือ อีกวันสำหรับการออกแรงที่หนักหน่วง
         เหตุการณ์เป็นเช่นนี้ติดต่อกันเป็นวันที่สี่ ทุกๆเช้า น้ำจะหายไปจนเหลือก้นตุ่ม กองฟืนร่อยหลอลง   และเขาก็ต้องทำตามที่ได้ลั่นวาจาเอาไว้ ทั้งที่ยังสงสัยไม่หาย สิงหราชอ้างว่าเพราะพระอาจารย์จำเป็นต้องใช้น้ำสำหรับต้มยาสมุนไพรรักษาโรคระบาดที่หมู่บ้านข้างๆ และอากาศช่วงกลางคืนหนาวจัดจนต้องใช้ฟืนค่อนข้างมาก  กฤตย์อดทนก้มหน้าก้มตาหาบน้ำผ่าฟืน เขาเฝ้าภาวนาให้อีกไม่นานสมุนไพรจะถูกปรุงจนมากพอที่พระอาจารย์ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำอีกแล้ว อากาศจะอบอุ่นขึ้น   แล้วเขาจะได้กลับบ้านเสียที  เขาไม่อยากให้เวลามันเนิ่นนานไปกว่านี้
             กฤตย์ธรเริ่มปวดหัวตุบๆ  ระหว่างที่หาบน้ำรอบที่สี่  รู้สึกครั่นเนื้อครั่นเหมือนจะมีไข้  เขาหยุดนั่งพักเหนื่อยสักครู่  อากาศร้อนจัดเพราะตะวันส่องตรงลงศีรษะพอดี   ท้องไส้ปั่นป่วนไม่สู้ดีนัก  แล้วเขาก็เริ่มเดินหาบน้ำต่อไปตามทางที่ลาดชันและผืนดินที่ขรุขระแตกระแหง   สายตาเริ่มพร่ามัว  เห็นเป็นสีม่วงๆเขียวๆ เต็มไปหมด  เกิดอะไรขึ้นมาทำไมอากาศรอบตัวมีแต่หมอกหนาทึบ   ทำไมรู้สึกอึดอัดเหมือนใครดูดอากาศหายใจไปหมด  เขาฟุบลงไปกับพื้น  ชะลอมใส่น้ำหกกระจายออกหมด   โรคประจำตัวกำลังกำเริบ
“แม่ครับ ช่วยผมด้วย” กฤตย์คิดถึงแม่ขึ้นมาทันที  แม่ผู้ซึ่งเปรียบเหมือนหมอคอยดูแลเขาไม่ห่างตั้งแต่เล็กจนโต   
“ผมกำลังจะตาย  แม่ครับ ช่วยผมด้วย แม่…………….”   เขาเริ่มหายใจไม่ออกและแน่นหน้าอกมากขึ้นทุกที     แสงสว่างเจิดจ้าส่องเป็นอุโมงค์โค้งปรากฏขึ้นตรงหน้าเพียงไม่กี่เมตร  เห็นเป็นเงาตะคุ่มของคนอยู่ตรงปากอุโมงค์เรืองแสงนั้น
“กฤตย์ธร แม่อยู่นี่ลูก กฤตย์มาหาแม่ แม่อยู่นี่แล้ว…”   
กฤตย์ได้ยินเสียงเพรียกหาของมารดาดังจากอุโมงค์แสง   เขาไม่รอช้ารีบลุกวิ่งไปที่อุโมงค์ทันที    น่าแปลกที่ตัวเบาหวิวไม่มีอาการเจ็บใดๆเหมือนเมื่อสักครู่ ยิ่งวิ่งไปใกล้เท่าไรเขารู้สึกเหมือนอุโมงค์แสงกลับลอยห่างออกไปทุกที
“กฤตย์ ลูกแม่ มาหาแม่เถอะ แม่รออยู่นี่แล้ว” เสียงเย็นเยือกยังคงเรียกเขาอยู่  เขาวิ่งตามติดไปเรื่อยๆ
         “แม่ครับ รอผมด้วย แม่ครับ แม่………”  เขาตะโกนเรียกสุดเสียง ปากอุโมงค์แสงยิ่งเลือนลางห่างไปทุกที    พลันเขารู้สึกกระตุกเหมือนมีประจุไฟฟ้าไหลผ่านร่างกาย และล้มลงกับพื้น  แล้วร่างเขาก็กระตุกขึ้นมาอีกหลายที
      อุโมงค์แสงอยู่ไกลลิบจนเป็นช่องไฟสี่เหลี่ยมเล็ก แล้วหายไปในที่สุด
      “แม่ครับ  แม่…”     กฤตย์ครางเรียกชื่อเบา 
      “คนแปลกหน้า  เจ้าเป็นไงบ้าง ” กฤตย์ค่อยลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ  ก็พบว่าตนเองกำลังนอนอยู่ในกระท่อมของพระอาจารย์  สิงหราชก้มหน้ามองเขาด้วยความกังวลใจ
“ผมอยู่ที่นี่ได้ไง”     กฤตย์เอ่ยถามเสียงสั่นอ่อนเพลียจัด
         “ข้าตกใจจนเกือบสิ้นสติเลยทีเดียว เจ้าฟุบอยู่ตรงตีนเขา ลมหายใจเจ้าอ่อนมาก แต่หน้าอกยังเต้นอยู่  ข้ารีบพาเจ้ามาให้พระอาจารย์ช่วยเหลือ  ข้านึกว่าเจ้าจะตายเสียแล้ว”
กฤตย์กระพริบตาปริบ ๆเขาอยากจะลุกขึ้นนั่ง แต่ไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขนขึ้นเลย
    “เจ้านอนพักอีกหน่อยเถิดนะ พระอาจารย์ลงเขาไปที่หมู่บ้าน   เดี๋ยวสักพักท่านถึงจะกลับ  แล้วข้าจะบอกท่านให้ว่าเจ้าฟื้นแล้ว”
           กฤตย์ธรหลับตาลงอย่างไม่ยาก ความรู้สึกอ่อนล้าหมดแรงเอาชนะความอยากลุกขึ้นมาพูดคุยกับสิงหราช

ออฟไลน์ Moon

  • **
  • 782
  • 0
  • เพศ: หญิง
สนุกดีค่ะ  ;D  ใช้ภาษาดีมากๆเลย

ออฟไลน์ นานะจัง

  • *
  • 7234
  • -3
  • เพศ: หญิง
  • นิศาอรพินท์
    • อีเมล์
 ;D อืมสำนวนภาษาดีมาก อ่านง่าย เปิดเรื่องได้น่าสนใจมาก แต่ถ้าให้ต้องเว้นบรรทัด หน่อยนะคะจะทำให้อ่านง่ายขึ้น :icon_smile:

arisara52

แหะ เพิ่งหัด บางที่ก็ว่ายังไม่ดีพอเลย  เอ้าตอน สามไปอ่านต่อเลยจ้า ขอบคุณมากค่ะสำหรับคำแนะนำ
                                                                 
    ---3----


     กลางดึกที่เงียบสงัด มีแต่เสียงหริ่งเรไรร้องระงมและเสียงกองไฟลุกโชนแตกดังเปรี๊ยะ   กฤตย์ตื่นขึ้นมาเพราะลำคอที่แห้งผาก  มองไปรอบด้านจึงรู้ว่าอยู่ลำพังคนเดียว  เขารู้สึกกระหายน้ำมากจึงยันตัวเองลุกขึ้นเดินโซเซไปดื่มน้ำในลำของกระบอกไม้ไผ่ที่แขวนไว้ข้างประตูจนหมด   เสียงพูดคุยของคนสองคนลอดผ่านช่องเล็กๆของประตูที่แง้มอยู่ กฤตย์เอียงหูแนบฟัง
       
          “เจ้าทำสิ่งใดไป รู้ตัวหรือไม่ สิงหราช”  นักบวชขาวพูดเตือนสติลูกศิษย์
       
         “หลานไม่ได้ตั้งใจ เพียงแต่หลานหมั่นไส้ อยากแกล้งเขาเอาความสนุกเพียงเล็กน้อย แต่ไม่คิดว่าเรื่องมันจะเลยเถิด”  กฤตย์นิ่งฟัง ทั้งที่ใจอยากจะออกไปพูดให้มันรู้เรื่อง ว่าทำไมจึงแกล้งเขา 
       
           “แต่ความสนุกของเจ้า เกือบทำให้เขาตาย เชียวนะ ”
       
          “หลานผิดไปแล้ว  ท่านลุง คืนนี้หลานจะไปนั่งสำนึกผิดที่ถ้ำทั้งคืน  หลานไม่ควรทำแบบนี้ ถ้าเขาเป็นอะไรไป    หลานจะขอลงโทษตัวเองไปตลอดชีวิต หลาน…ขอตัวไปดูแลเขาก่อนจะขึ้นไปที่ถ้ำ”
         
         กฤตย์รีบกลับไปนอนที่เดิม เขาแกล้งทำเป็นหลับสนิท  สิงหราชเข้ามานั่งข้างๆ ใช้มือแตะหน้าผากพร้อมถอนลมหายใจยาวก่อนเดินออกไปจากกระท่อม  เขาลืมตามองตาม  ความโกรธเคืองพุ่งขึ้นมาในใจจนแทบทะลัก
       
      สิงหราชไปนั่งสำนึกความผิดที่ถ้ำจนฟ้าสาง เมื่อเขาเดินกลับมากระท่อมก็พบว่าที่นอนว่างเปล่า   หนุ่มแปลกหน้าหายไป สิงหราชออกตามหาจนทั่วด้วยความร้อนรนกระวนกระวาย ในใจหวังว่ากฤตย์จะไม่คิดอุตริหนีออกไปเหมือนคราวก่อน แล้วก็ต้องโล่งใจเมื่อเห็นเดินหาบน้ำขึ้นมาจากเขา
     
      “เจ้ายังไม่หายดี ไม่ควรออกแรงนะ” กฤตย์ไม่ได้ตอบอะไร เขาเทน้ำใส่ภาชนะ แล้วรีบเดินหาบชะลอมเปล่าไปอย่างรวดเร็ว
 
      “นี่ เจ้าไม่ฟังข้าหรือไง   เจ้าควรไปนอนพัก”  กฤตย์ยังคงก้มหน้าก้มตาเดินโดยไม่รับรู้อะไร   สิงหราชเริ่มโมโห

      “เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือไง”   สิงหราชตะเบ็งเสียงดังขึ้น  กฤตย์หยุดมองตาขวาง   ก่อนจะตอบห้วนๆ

      “ก็ผมบอกแล้วไง ว่าจะทำงานให้ทุกอย่างแลกกับการกลับสู่บ้าน  แล้วจะเอาไงกับผมอีก”   สิงหราชนิ่งเงียบ  พูดอะไรไม่ออก

     “เรื่องนั้น ความจริง…. ” เขาตะกุกตะกัก ไม่รู้ว่าจะเริ่มสารภาพตรงไหนก่อนดี

         “ผมตอบให้ก็ได้    คุณไม่ได้ตั้งใจอยากจะพาผมกลับไปจริงๆ  แค่อยากสนุก อยากเห็นไอ้หน้าเซ่อ ทำอะไรโง่ๆ   แค่นั้นใช่ไหม ผมมัน .. โธ่โว้ย”   กฤตย์พูดเร็วจนแทบไม่หายใจ พร้อมเหวี่ยงหาบชะลอมออกไปด้วยความโมโหสิงหราชถึงกับหน้าซีด

      “ข้า……. ขอโทษเจ้า ข้าเสียใจจริงๆที่เป็นต้นเหตุให้เจ้าเกือบเอาชีวิตไปทิ้ง ข้าสัญญาว่าข้าจะพาเจ้ากลับบ้าน  แล้วงานทั้งหมดเจ้าไม่ต้องทำมัน เจ้าควรกลับไปพักอย่างเต็มที่ “ สิงหราชก้มลงเก็บหาบชะลอมขึ้นมาจากพื้น   

           “ไม่ต้องหรอก ผมจะทำ แต่ไม่ใช่ว่าเพราะหวังว่าคุณจะพาผมกลับบ้าน  ผมแค่อยากตอบแทนบุญคุณผู้ช่วยชีวิตผมไว้   แล้วผมจะไปจากที่นี่  ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมจะไปเพียงลำพัง ผมคงไม่รบกวนคุณหรอก” กฤตย์พูดประชดอย่างไม่แยแสต่อความรู้สึกของคนฟัง เขายื้อแย่งหาบชะลอมตักน้ำ

        “แต่นี่เป็นงานของข้า เจ้าอย่ามายุ่ง” สิงหราชเริ่มมีน้ำเสียงแข็งกลับบ้าง  ต่างคนต่างอยู่ในอารมณ์ขุ่นมัว

      “งั้นเราต่างคนต่างทำ คุณก็ทำของคุณ ผมก็ทำของผม” กฤตย์ดึงชะลอมออกมาจากหาบใบหนึ่ง เดินลิ่วลงจากเขามุ่งหน้าไปที่น้ำตก 

           ทั้งสองทำงานของตนเองโดยไม่พูดจากัน  จนเวลาเกือบเที่ยงวัน   ขณะที่เขากำลังเรียงท่อนฟืนขึ้นเป็นชั้นๆอย่างเป็นระเบียบ  สิงหราชเดินมาข้างหลัง   กฤตย์แกล้งทำเป็นไม่สนใจ และยุ่งอยู่กับท่อนฟืนที่กองระเกะระกะ  เขาไม่อยากที่จะหันกลับไปเผชิญหน้ากันเพราะโทสะยังคุกกรุ่นไม่หาย

        “เจ้าคนแปลกหน้า พระอาจารย์อยากพบเจ้า ” กฤตย์แสร้งเป็นไม่ได้ยินสิงหราช เขายังคงตั้งหน้าตั้งหน้าเรียงฟืนต่อราวกับมันเป็นตัวต่อของเล่นที่น่าสนุก

     “พระอาจารย์อยากคุยอะไรบางอย่างกับเจ้า ถ้าเสร็จแล้ว ไปพบท่านหน่อย” สิงหราชย้ำอีกครั้ง ก่อนเดินสะบัดผมดำหยิกยาวที่รวบไว้เหมือนหางม้าออกไป  กฤตย์มองตามหลัง 

    “ผู้ทรงศีลอยากพบเรา ก็ดีเหมือนกัน จะได้กราบลาท่านเสีย” เขาคิดอยู่ในใจ
 
    เขาค่อยๆคลานไปบนระเบียงไม้ส่วนที่ยื่นมาข้างหน้าของกระท่อม  เพิ่งสังเกตได้อย่างละเอียดว่ากระท่อมนี้สร้างจากไม้ทั้งหลัง เป็นทรงเตี้ยๆ  มุงด้วยหลังคาจากเหมือนบ้านชาวบ้านตามชนบททั่วไป  หากแต่การจัดเรียงไม้เป็นข้างฝาดูเป็นแถวยาวเรียงชิดกันอย่างประณีต   หลังคาถูกมุงอย่างแน่นหนาและคงทนต่อทุกสภาพอากาศ 

     “เจ้าค่อยยังชั่วหรือยัง มาณพน้อย” กฤตย์สะดุ้งเล็กน้อย  ท่านพราหมณ์มานั่งข้างหน้าเขาตั้งแต่เมื่อไร ทำไมเขาไม่ทันเห็น

     “ดีขึ้นมากแล้วครับ ผมขอกราบขอบพระคุณท่านผู้ทรงศีล ที่ช่วยชีวิตผมไว้ถึงสองครั้ง  ชาตินี้ไม่รู้ว่าผมจะตอบแทนบุญคุณอย่างไรดี”

     “ดี ดีมาก ดีจริงๆ”  รอยยิ้มน้อยๆปรากฏบนหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัยชรา แม้ดวงตาที่ลึกโปนเข้าไปข้างในจนเหมือนน่ากลัว  แต่กฤตย์กลับรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยอย่างประหลาด 

     “ผมขอกราบลาท่านเสียตรงนี้ ผมจะขอเดินทางกลับบ้านเลยครับ ถ้าเป็นไปได้วันใดวันหนึ่ง ผมได้เจอท่านอีก ผมจะขออยู่ตอบแทนพระคุณไปช่วยชีวิต แต่เวลานี้ ผมต้องกลับไปดูแลแม่ผมครับ” กฤตย์พนมมือกล่าวอำลา ผู้ทรงศีลมองหน้าเขาอย่างพินิจ  มีความกังวลใจอยู่ลึกๆ
   
     “ความกตัญญูของเจ้า จะพาเจ้าอยู่รอดปลอดภัยจากภยันตรายต่างๆได้ด้วยดี แต่มาณพน้อย ดูก่อน ข้าอยากบอกเจ้าว่า เจ้ายังไม่สามารถกลับบ้านของเจ้าได้ในตอนนี้  ที่ที่เจ้าจากมากับที่นี่มันห่างไกลกันมากนัก”

    กฤตย์อ้าปากค้าง ไม่คิดว่าจะพบคำตอบกลับมาเช่นนี้
   
     “เพราะอะไรครับที่ว่าไกลมาก ไกลแค่ไหน ผมต้องเดินทางกี่ปีกี่เดือนครับ แล้วจะเจออะไรบ้าง  ”

    “อืม ระยะทางมันไม่ได้ไกลนัก แต่มันไกลด้วยระยะเวลา เป็นเวลายาวนานเป็นพันราตรีเชียว” พราหมณ์สิกขาพยายามจะอธิบายให้ฟังด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

    “ผมไม่เข้าใจ ” กฤตย์เริ่มจะงงงวย ท่านผู้ทรงศีลพูดเรื่องอะไร ยาวนานเป็นพันราตรี   นิทานอาหรับหรือไง

    “เอาละ ข้าจะไม่อ้อมค้อม มาณพน้อย เจ้าถูกอาถรรพ์ของสุริยะมนตราผลักให้เจ้ามาจากอีกที่หนึ่งที่ไกลถึงพันปี  เจ้าอยู่ในสถานที่ที่เดิมทุกอย่าง ต่างกันเพียงทิวาราตรี  ทีนี้เจ้าเข้าใจหรือยังว่าทำไมตาถึงบอกว่าเจ้ายังกลับไม่ได้“

   “ไม่จริงครับ ผมไม่เชื่อ   ท่านผู้ทรงศีลกำลังจะบอกว่าผมย้อนเวลามาหรือครับ ท่านกำลังพูดเล่นกับผมเล่นใช่ไหม ให้ผมสบายใจ” กฤตย์อยากหัวเราะออกมาดังๆ  มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน  ลูกศิษย์เขาเพิ่งจะหลอกเขาไปแล้ว  คราวนี้จะมาไม้ไหนอีก
 
       “เจ้าคนแปลกหน้า โง่งม  เจ้าบอกอยู่ว่าพระอาจารย์เป็นผู้ทรงศีลจะมุสาได้อย่างไร   เจ้ากำลังกล่าวคำปรามาสต่อผู้ประพฤติธรรม ระวังจะเป็นบาปกรรม  เจ้าลองใช้ปัญญาของเจ้าคิดดูให้ดีสิว่าที่ผ่านมาเจ้าได้พบอะไรที่ไม่เจอมาก่อนหรือไม่ ”  สิงหราชต่อว่าต่อขานเป็นชุดใหญ่ขณะกำลังเดินมานั่งข้างๆ ในมือถือจักสานที่กำลังขึ้นรูป  เพราะชะลอมใบเมื่อวานถูกกฤตย์เหวี่ยงจนปากชะลอมหลุดไปด้านหนึ่ง สิงหราชจึงต้องสานขึ้นมาใหม่

             กฤตย์นิ่งคิดปะติดปะต่อเหตุการณ์ที่ผ่านมา   เกิดแสงสว่างเจิดจ้าประหลาดที่ก้นบ่อโบราณ  แล้วเขาก็โผล่ที่กลางป่า  ถูกพวกค้าทาสจับตัวแล้วเกือบถูกตัวประหลาดบินได้กิน   จริงอย่างที่สิงหราชบอกทุกอย่าง ในโลกของเขาที่เติบโตขึ้นมา ไม่น่ามีสิ่งเหล่านี้อยู่ได้ 

          กฤตย์เงยหน้าขึ้นมองบุคคลทั้งสองด้วยอยากได้ยินคำตอบที่กระจ่างชัดกว่านี้   ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่พระพราหมณ์บอกเขา   นั่นหมายความความเขากำลังถูกกักขังในอดีตกาลที่ไม่มีใครที่เขารู้จักอยู่เลย แล้วเขาจะทำอย่างไรดี   อารมณ์แห่งความสิ้นหวังเริ่มประดังเข้ามาเหมือนคลื่นยักษ์มหึมา   เกิดความเงียบเชียบขึ้นมาชั่วเวลาหนึ่ง มีแต่เสียงของลมพัดใบไม้ปลิวร่วงลงที่พื้นดิน  กฤตย์ฟุบหน้าลงไปอย่างคนหมดอาลัยตายอยากในชีวิต

             “ผม…. ไม่สามารถกลับบ้านผมได้แล้วใช่ไหม โธ่… แม่ครับ …”กฤตย์เสียงสั่นเครือเหมือนกำลังอยากจะร้องไห้ออกมา   
“เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าบอกรึ ว่าเจ้าไม่สามารถกลับบ้านได้ในตอนนี้ ” พระอาจารย์ของสิงหราชกล่าวย้ำหนักแน่น

                  กฤตย์เงยหน้าขึ้นมอง  เขาเริ่มมีความหวังขึ้นมาลางๆ

           “จริงหรือครับ งั้นเมื่อไรครับ แล้วผมจะกลับอย่างไร ท่านผู้ทรงศีลช่วยผมได้ไหมครับ”

         “ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเพียงผู้เดียว จะช้าหรือเร็ว จะได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับความตั้งใจเพียรของตัวเจ้าเอง ข้าจะช่วยเท่าที่ทำได้ เอาละ จะบอกอะไรให้เจ้ารู้ไว้  สุริยะมนตราจะสำแดงเวทมนต์ เปิดทวารแห่งภพออกมา เพราะมีอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ อย่างแรกเมื่อเกิดเหตุอาเพศที่พระอาทิตย์ถูกบังให้มืดมิดในเวลาไม่สมควร  อย่างที่สองเกิดขึ้นเมื่อมีผู้ทรงเวทมนตร์กล้า ร่ายสุริยะมนตรา “  นักบวชขาวอธิบายยาวยืด กฤตย์ตั้งใจฟังแม้จะรู้สึกเริ่มมึนหัวขึ้นมา

  “  ที่เจ้าประสบมาน่าจะเป็นอย่างแรกมากว่า  ดังนั้นถ้าเจ้าจะกลับไป  ก็ต้องรอเหตุการณ์เหมือนที่เคยเกิดกับเจ้าตอนมาที่นี่อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งอาจยาวนานหลายสิบปีก็เป็นได้ “
 
  “ ไม่ เจ้าก็ต้องเป็นผู้ร่ายคาถาเอง ” สิงหราชช่วยเสริม ยิ่งทำให้กฤตย์เริ่มปวดขมับด้านขวาเพิ่มขึ้นมา
 
     “ผมสงสัย แล้วทำไม  ท่านผู้ทรงศีลถึงไม่ช่วยร่ายพระคาถา อะไรนะ สุริยะมนตรา เพื่อพาผมกลับไปละครับ”

  “เพราะข้ามิอาจล่วงรู้สภาพที่เจ้าจากมา  ไม่รู้ว่าอยู่ ณ ภพใด จึงไม่สามารถพาเจ้ากลับไปที่เดิมได้   เจ้าเข้าใจไหมว่าเจ้าต้องเป็นคนร่ายเวทย์เอง” พระอาจารย์พยายามอธิบายสิ่งที่ยากเย็นเหลือเกินแก่เขา ราวกับสอนเขาหัดอ่านเขียนหนังสือ
 
    “แล้วผมจะทำได้หรือครับ ผมไม่ได้เรื่องสักอย่าง  อ่อนแอ ต้องให้แม่คอยดูแล ผม.. ไม่น่าจะทำอะไรเป็น”

     “ทำไมเจ้าตัดพ้อตัวเองเสียก่อนละ   เด็กน้อยก่อนวิ่งได้ ต้องหัดลุกขึ้นก่อนเสมอ  พระอาจารย์คงเห็นอะไรบางอย่างในตัวเจ้า  ถึงได้คิดว่าเจ้าน่าจะทำได้ ถ้าเจ้ารักแม่เจ้า อยากกลับไป เจ้าก็ต้องทำให้ได้   “ สิงหราชพูดให้กำลังใจพร้อมตบบ่าเบา กฤตย์ปวดร้าวทั้งหัว   ไข้เริ่มกลับ เขาใช้มือบีบขมับ พร้อมส่ายหัวเล็กน้อย

  “ข้าว่าเจ้าควรไปนอกพัก เจ้าต้องนอนแล้วตอนนี้  ข้าจะพาเจ้าไป  “  ชายหนุ่มทั้งสองกราบลาพระอาจารย์  กฤตย์กลับมานอนพักในกระท่อม  สักพักก็เริ่มหลับสนิทเพราะฤทธิ์ยาที่สิงหราชปลุกปล้ำให้ดื่มจนหมด