ยินดีต้อนรับสู่บ้านอบอุ่นของคนรัก บอย สพล ชนวีร์

เรื่องราวในตำนาน (อาณาจักรที่สาบสูญ , ตำนานนางเงือก ฯลฯ)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ นานะจัง

  • *
  • 7234
  • -3
  • เพศ: หญิง
  • นิศาอรพินท์
    • อีเมล์

ช่วงนี้สนใจเรื่องเกี่ยวกับตำนานมากเป็นพิเศษ ก็เลย คิดว่า ตั้งกระทู้ รวบรวมเรื่องราวเรื่องราวในตำนานมาฝากค่ะ

เรื่อง แรก อาณาจักรมู หรือ อาณาจักรแอตแลนติส (Atlantis) ที่หายสาปสูญ


เครดิต : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=shkshk&group=2&month=05-2007&date=02&gblog=1


อาณาจักรแอตแลนติส (Atlantis)


แอตแลนติส (Atlantis) คืออาณาจักรโบราณที่อยู่ในความทรงจำของคนทั้งโลก ซึ่งผู้ที่สร้างตำนานอาณาจักรลึกลับนี้ คือ เพลโต นักปรัชญาชาวกรีกโบราณที่มีอิทธิพลอย่างสูงต่อแนวคิดตะวันตก กล่าวกันว่าอาณาจักรแอตแลนติส เป็นทวีป ๆ หนึ่งที่อยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นที่อยู่อาศัยของพลเมืองผู้ทรงคุณธรรมและเทคโนโลยีที่สูงส่ง กำแพงเมืองเป็นทองคำและวิหารสร้างด้วยเงิน มีอุทยานหย่อนใจและสนามแข่งม้า ทว่ามันถูกทำลายพังพินาศด้วยความพิโรธของเทพเจ้าผู้เนรมิตรมันขึ้นมา


คำทำนายเกี่ยวกับอาณาจักรแอตแลนติส ที่เชื่อกันว่าเป็นแหล่งอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในสมัยแรกของโลก



เอ็ดการ์ เคย์ซี ได้พยากรณ์ไว้ตอนหนึ่งว่า



...ทวีปแอตแลนติส เป็นทวีปที่ใหญ่ที่สุดในโลก
มีขนาดใหญ่กว่ายุโรปทั้งหมด รวมกับแผ่นดิน
รัสเซีย มีดินแดนต่อทอดไปทั่วโลก

ชนชาติทีอาศัยอยู่บนทวีปแอตแลนติส
เป็นชนชาติผิวแดงที่มีความเฉลียวฉลาดเป็นเลิศ
ผู้คนทั่วไปมีประสิทธิภาาพอย่างดียิ่ง
มีความรู้ความสามารถในศาสตร์ต่าง ๆ ทั้งปวง
รวมทั้งงานด้านประติมากรรม วิศวกรรม
และสถาปัตยกรรมด้วย

โดยเฉพาะความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์นั้น
เคย์ซีได้บันทึกไว้เป็นคำพยากรณ์ในบทที่ 2794-L-1
โดยสรุปว่า ชาวแอตแลนติสมีความรู้
ความเจริญก้าวหน้าทางด้านเคมี ฟิสิกส์
และจิตวิทยามาก พวกเขารู้จักประดิษฐ์ไฟฟ้าใช้
รู้จักผลิตพลังปรมาณูจากยูเรเนียม
รู้จักผลิตแสงเลเซอร์ ตลอดจนผลิต
คลื่นวิทยุติดต่อกับดินแดนอื่นได้

สิ่งสำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่งก็คือ
ชาวแอตแลนติสสามารถผลิตพลังงาน
มหาศาลจากพลึกมหัศจรรย์ชนิดหนึ่ง
ซึ่งสามารถรวมเอาพลังธรรมชาติ
ทั้งหมดที่มีอยู่ในโลกและจักรวาล
เข้าด้วยกัน และเป็นที่น่าสังเกตว่า
ความสำเร็จในทางวิทยาศาสตร์
ของชาวแอตแลนติสนั้น อาศัยพลังงาน
แสงอาทิตย์เป็นสำคัญ

วัฒนธรรมสูงส่งของชาวแอตแลนติสพัฒนา
ตลอดมา โดยมีความเกี่ยวพันทางศาสนา
เริ่มตั้งแต่มีการทำพิธีบูชาพระอาทิตย์
และเทพเจ้า

วัฒนธรรมของอาณาจักรแอตแลนติส
หายสาปสูญไปในที่สุด เมื่อเกิดภัยพิบัติ
ครั้งใหญ่ ดินแดนของมหาอาณาจักรเกิด
สั่นสะเทือน และได้ถล่มทลายลงไป
ใต้ทะเล ภายในชั่วคืนกับชั่ววัน ดังน้นเมื่อ
ปี 9500 ก่อนคริสต์กาล ชาติแอตแลนติสก็
หายไปจากโฉมหน้าของโลก

เคย์ซีกล่าวว่า วัฏจักรแห่งประวัติศาสตร์
มักจะหมุนเวียนกลับมาอีกเสมอ
ดังนั้นวิญญาณของชาวแอตแลนติสย่อม
มีโอกาสกลับมาเกิดใหม่ได้อีก
จากดินแดนหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง
และจากทวีปหนึ่งไปยังอีกทวีปหนึ่ง
หรือจากเกาะหนึ่งไปยังเกาะอื่น ๆ

มหาอาณาจักรแอตแลนติสมีความเจริญ
ก้าวหน้าทางวิทยาการเท่ากับโลกเรา
สมัยปัจจุบัน หรือบางอย่างมีความก้าวหน้า
มากกว่า พวกเรารู้จักพัฒนา โดยนำเอา
พลังงานอันมหาศาลมาใช้ให้เกิดประโยชน์

ในปัจจุบันเคย์ซีเชื่อว่า โลกเราได้มีการ
เปลี่ยนแปลงอย่างปัจจุบันทันด่วน
ที่ร้ายแรงที่สุดมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งอาจมีผล
ทำให้อาณานิคมหรือดินแดนบางส่วนของ
มหาอาณาจักรแอตแลนดิสโผล่ขึ้นมาให้ชาวโลก
ได้เห็นอีกก็เป็นได้ เช่น เมื่อปี 2483 เคย์ซี
ทำนายว่าพื้นที่บางส่วนทางด้านตะวันตก
ของแอตแลนติสจะโผล่ขึ้นมาใกล้ ๆ
บริเวณหมู่เกาะบาฮามา

ในช่วงระหว่าง พ.ศ.2511-2512 ปรากฏว่า
คำทำนายของเคย์ซีได้กลายเป็นความจริง
คือ ได้มีการค้นพบซากเมืองใต้บาดาลใกล้ ๆ
หมู่เกาะบาฮามา เรียงต่อกันอย่างประณีต
ราวกับมีการใช้เทคโนโลยีทางวิศวกรรม
และสถาปัตยกรรมชั้นสูง หินบางก้อนมีขนาดใหญ่
พอ ๆ กับขนาดรถบรรทุกเลยดีเดียว
ลำพังจะใช้กำลังคนช่วยกันแบกหาม
ขึ้นไปวางเรียงต่อกันก็คงจะไม่ทำได้
เรียบร้อยและปราณีตเช่นนั้น

เคย์ซียังทำนายต่อไปอีกว่า
ภัยพิบัติครั้งร้ายแรงที่เกิดขึ้น จนทำให้
มหาอาณาจักรแอตแลนติส อันกว้างใหญ่
ไพศาลถล่มทลายพังพินาศจมหายไปใต้
ทะเลนั้น จะเกิดขึ้นอีกหลายแห่งในโลก

เคย์ซีกล่าวว่า
ในช่วงแรกสุดของโลกเรา เมื่อประมาณ
10 ล้านห้าแสนปีมาแล้ว มีอารยธรรม
เกิดขึ้นแล้วเสื่อมสลายไปหลายครั้ง
ยุคเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมชาวแอตแลนติส
อยู่ระหว่างช่วงนับจาก 200000 ลงมา
จนถึงปี 10700 ก่อนคริสต์กาล คือนับตั้งแต่
ช่วงเวลาประมาณ 13000 ปี ถอยหลังเป็นต้นไป
คือสรุปแล้ว จะมีอายุนานประมาณ 80000-
900000 ปี

นี่ก็เป็นคำพยากรณ์บางส่วนของ
เอ็ดการ์ เคย์ซี ที่ทำนายอดีตของโลกเรา
ย้อนหลังไปหลายแสนหลายล้านปี
ซึ่งความเป็นจริงในสิ่งที่เขาพยากรณ์ไว้นั้น
ต้องรอคอยให้นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ในโลก
ปัจจุบันพิสูจน์ให้เห็นเด่นชัดในอนาคต

ออฟไลน์ นานะจัง

  • *
  • 7234
  • -3
  • เพศ: หญิง
  • นิศาอรพินท์
    • อีเมล์
^
^
^

อาณาจักรที่ล่มสลายไปในอดีตกาล ที่ซึ่งนักสำรวจทั่วโลกต่างให้ความสำคัญในการค้นหา จาก บทบันทึกของเพลโตได้กล่าวถึงดินแดนแห่งนี้ไว้ว่า เป็นอาณาจักรที่มีอารยธรรมรุ่งเรืองถึงขีดสุด แต่ได้ล่มสลายลง และถูกคลื่นยักษ์ กวาดกลืนจนไร้ร่องรอย แอตแลนติส (Atlantis) เป็นเรื่องราวที่ปรากฏอยู่ในงานเขียนของเพลโตชื่อทีมาอุส (Timaeus) และ ครีติอัส (Critias) ซึ่งเป็นบทสนทนาเกี่ยวกับสิ่งที่บรรพบุรุษของเพลโตเล่าต่อกันมาว่า แอตแลนติสเป็นชนชาติที่อยู่บนเกาะ ในช่วงระหว่าง 11,500 ปีที่แล้ว ซึ่งได้พัฒนาอารยธรรม จนเจริญก้าวหน้าไปมาก ส่วนสาเหตุที่ทำให้ดินแดนแห่งนี้ล่มสลายนั้นมีทั้งจากภัยธรรมชาติหรือ จากตำนานเทพเจ้ากรีกที่ระบุว่าชาวเมืองแอตแลนติสมีความละโมบ และกระหายอำนาจ เทพเจ้า จึงลงโทษด้วยการทำลายเมืองไปในที่สุด นอกจากนี้ยังมีผู้สงสัยว่า แอตแลนติสที่แท้จริงอาจเป็น เพียงแค่จินตนาการของเพลโตก็เป็นได้

แต่จากความรุ่งเรืองของอารยธรรมแห่งนี้ จึงเป็นมนเสน่ห์ดึงดูดให้ทั้งนักประวัติศาสตร์และนัก สำรวจพยายามค้นหาที่ตั้งของแอตแลนติส จากที่เพลโตได้เขียนไว้ว่า แอตแลนติสตั้งอยู่เลยเสา หินแห่งเฮอร์คิวลีส (Pillars of Hercules) ออกไป ซึ่งในปัจจุบัน คือ ช่องแคบยิบรอลตา (Gibraltar) ดังนั้นแอตแลนติส จึงควรอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก โดยน่าจะเป็นหมู่เกาะ อะซอเรส (Azores) หรือ มาดีราส (Madeiras) หรือ คานารีส (Canaries) แต่การศึกษา ทางโบราณคดีที่หมู่เกาะเหล่านี้ไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ ว่าเคยเป็นอาณาจักรแอตแลนติส มาก่อน เมื่อไม่มีหลักฐานใดๆ ในแอตแลนติก ผู้คนที่ยังมีความศรัทธาในเรื่องของอาณาจักรแอตแลนติส ก็ได้หันมาพิจารณาคำของเพลโต ที่ว่า พิลาร์ ออฟ เฮอร์คิวลีส นั้นจริงๆ แล้ว เพลโตน่าจะหมาย ถึงช่องแคบ ดาร์ดาแนลเลส (Dardanelles) ของทะเลดำ (Black Sea) มากกว่าช่องแคบ ยิบรอลตา ดังนั้นการค้นหาแอตแลนติสจึงได้ถูกย้ายจากมหาสมุทรแอตแลนติกมากระทำในแถบ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) แทน

โรเบิร์ต ซาร์แมสต์ (Robert Sarmast) นักวิจัยจากสหรัฐฯ ค้นพบว่าแอ่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) ได้จมลงไปขณะน้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อประมาณ 1,900 ปีก่อนคริตกาล จึง สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นบริเวณซึ่งเป็นที่ตั้งของแอตแลนติส โดยบริเวณนี้จมลึกลงไปถึง 1 ไมล์ใต้ ้ทะเลระหว่างไซปรัส (Cyprus) และซีเรีย (Syria) จากการสแกนฟังเสียงสะท้อนใต้น้ำลึก แสดงว่ามีสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นบริเวณหุบเขาที่จมน้ำ รวมถึงกำแพงที่ยาวประมาณ 3 กิโลเมตร ซึ่งกั้นอยู่บนยอดเขาและมีคูลึกล้อมรอบอยู่ด้วย เชื่อว่าพื้นที่ดังกล่าวน่าจะเป็นตำแหน่งของวิหาร แห่งเมืองแอตแลนติส

แต่การค้นพบของซาร์แมสต์ ก็ถูกโต้แย้งโดย คริสเตียน ฮูบเชอร์ (Christian Huebscher) นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน ฮูบเชอร์กล่าวว่า พื้นที่ที่ซาร์แมสต์พบนั้นเป็นปรากฏการณ์เมื่อ 10,000 ปี ีที่แล้ว ที่ภูเขาไฟได้พ่นดินโคลนออกมา

ก่อนหน้านี้นักสำรวจได้พุ่งเป้าที่ชายฝั่งของสเปน คิวบา และทางตะวันตกของเกาะอังกฤษ ไม่เว้น แม้กระทั่งทะเลจีนใต้ โดยงานสำรวจที่เป็นชิ้นเป็นอันก่อนหน้านี้คือ ภาพถ่ายดาวเทียมบริเวณ อุทยานแห่งชาติดอนานาของสเปน (Donana) จากนักโบราณคดี มหาวิทยาลัยเอดินเบอร์ก (University Edinburgh) ของอังกฤษ ซึ่งภาพดังกล่าวได้พบสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่รูปสี เหลี่ยม 2 หลังจมอยู่ในโคลนใต้ทะเล โดยพบโลหะที่มีรัศมีเป็นวงกลมและมีสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ล้อมรอบ ทีมวิจัยในครั้งนั้นเชื่อว่าสิ่งก่อสร้างทั้ง 2 คือ วิหารทองคำที่ชาวแอนแลนตีสสร้างขึ้น เพื่อบูชาเทพโพเซดอน และวิหารเงินเพื่อบูชาพระนางไคลโต อันเป็นผู้ถือกำเนิดกษัตริย์ที่ปกครอง นครแอตแลนติส ซึ่งหลังที่ภาพถ่ายดาวเทียมได้ถูกเผยแพร่ออกไปแล้ว พื้นที่ดังกล่าวก็ยังไม่ได้รับ การขุดพิสูจน์แต่อย่างใด

แอตแลนติสจึงเป็นตำนานอันลี้ลับ ให้มนุษย์ได้ศึกษาค้นคว้ากันต่อไป

บทแปลต่อไปนี้ เป็นการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับแอตแลนติส ที่พระอียิปต์รูปหนึ่ง เล่าให้รัฐบุรุษกรีก ชื่อ โซลอน ( Solon ) ฟัง

มีบันทึกเก่าแก่ของเรา เรื่องราวในอดีตแสนไกลว่า เมืองของท่านสกัดการบุกของกองทัพอันเกรียงไกร จากเกาะแสนไกลในมหาสมุทรแอตแลนติกได้อย่างไร กองทัพยิ่งใหญ่ที่มุ่งมั่นโจมตียุโรปทั้งหมด และเอเชียด้วย เอาละ เกาะนี้เป็นเกาะใหญ่มาก ใหญ่กว่าแอฟริกา และเอเชีย รวมกัน - และตั้งอยู่ตรงข้ามกับช่องแคบระหว่างเสาหินของเฮอคิวลีส

เกาะแอตแลนติส ปกครองโดยตระกูลกษัตริย์ ที่ทรงอำนาจ ที่ปกครองมิใช่เพียงเกาะนี้ แต่เกาะอื่นๆ และบางส่วนของแผ่นดินใหญ่ด้วย ราชวงศ์กษัตริย์ ที่ปกครองแอฟริกาเหนือ ไกลออกไปถึงอียิปต์ และยุโรปใต้ไกลออกไปถึงอิตาลี

ราชวงศ์ผู้ปกครองแอตแลนติส เป็นเชื้อสายของ เทพโพซีคอน ที่แบ่งดินแดนให้โอรสสิบองค์ปกครอง โอรสองค์โต เป็นกษัตริย์ของเกาะทั้งหมด เกาะที่มีชื่อเรียกว่าแอตแลนติส ส่วนมหาสมุทรยังเรียกเป็นแอตแลนติก เพราะว่ากษัตริย์พระองค์แรก ชื่อ แอตลาส ( Atlas ) โอรสองค์อื่นๆ ได้รับการจัดสรรดินแดนให้ปกครองทุกองค์ เชื้อสายของกษัตริย์แอตลาสเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก เป็นราช วงศ์ที่ร่ำรวย และทรงอำนาจอย่างที่ไม่เคยมีราชวงศ์ใดเคยทำได้มาก่อน หรือจะมีขึ้นอีก

ชาวแอตแลนติส ไม่เพียงแต่สั่งสินค้าส่วนใหญ่จากภายนอก แต่พวกเขาเองก็ผลิตแทบจะทุกสิ่งได้ที่จำเป็นสำหรับชีวิตประจำวัน โลหะแข็ง โลหะอ่อน และโลหะซึ่งเหลือแต่ชื่อ คือ โอริชาลคัม โลหะที่มีค่ามากที่สุด ยกเว้นทองคำ และแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีต้นไม้สีเขียวทุกหนแห่ง อากาศที่แสนวิเศษ ทำให้ผลไม้สุกปีละสองครั้ง ในแผ่นดินมีช้าง และสัตว์อื่นๆ มากมาย ทั้งสัตว์ป่า และสัตว์เลี้ยง

นครบนเขากลางเกาะ มีเส้นผ่าศูนย์กลางสามพันฟุต และเป็นนครอันชวนพิศวง สะพานถูกสร้างข้ามช่องแคบทะเลโดยโพซีดอน คลองถูกขุดจากนครสู่ทะเล และป้อมปราการเคลือบด้วยตะกั่ว ทองเหลือง และโอริชาลคัมสีแดง

ณ ตำแหน่งใจกลางนคร คือ มหาราชวังและวิหารยิ่งใหญ่แห่งเทพโพซีดอน สถานศักดิ์สิทธิ์ ล้อมรอบด้วยกำแพงทอง ปกคลุมด้วยเงิน เด่นเป็นสง่าด้วยหอคอยทองคำเหนือหลังคางาช้าง ภายในวิหารมีอนุสาวรีย์ทองคำขององค์เทพ ขนาดใหญ่โตมโหฬาร จนกระทั่งสัมผัสหลังคาวิหาร ลากด้วยม้ามีปีกหกตัว ล้อมรอบด้วยเทพแห่งทะเล เป็นจำนวนร้อยขี่ปลาโลมา และที่ด้านนอกวิหาร มีอนุสาวรีย์ทองคำเจ้าชายแห่งแอตแลนติสทุกองค์พร้อมด้วยชายา

และในเกาะมีน้ำพุร้อนและเย็น สำหรับอาบ เป็นน้ำพุประดับ สวนสาธารณะและสวนผลไม้ มีที่สำหรับออกกำลังกายสำหรับบุรุษและม้า สนามม้าแข่งขนาดใหญ่ โรงทหาร ห้องคนเฝ้ายาม อู่เรือ ท่าเรือ เต็มไปด้วยเรือสิน ค้าและเรือทหาร

ที่ราบรอบนครล้อมรอบด้วยภูเขา และคลองหลายคลองลึกหนึ่งร้อยฟุต กว้างหกร้อยฟุต ทั้งหมดรวมกันแล้วยาวมากกว่าสามพันไมล์ แล้วกษัตริย์ทั้งสิบผู้ครองเกาะ ร่วมประชุมกัน ให้สัตย์ปฏิญาณต่อกันว่า จะช่วยเหลือกันเมื่อเผชิญกับสงคราม และพวกเขามีรถศึกหนึ่งหมื่นคัน กองทัพเรือ มีเรือมากกว่าหนึ่งพันลำ

เวลาผ่านไปหลายชั่วอายุสมัย ผู้คนแห่งเกาะเป็นพลเมืองผู้เคารพกฎหมาย กษัตริย์ของพวกเขาก็ปกครองอย่างชาญฉลาดและยุติธรรม ไม่ให้คุณค่าแก่ทรัพย์สมบัติ ยกย่องคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ส่วนที่ดีแห่งจิตวิญญาณของพวกเขาก็ลดน้อยถอยลงไป และในหัวใจมีแต่ความทะเยอทะยานอย่างไม่คำนึงถึงกฎหมาย คลั่งไคล้หลงไหลในอำนาจ

แล้ว ซูส กษัตริย์แห่งทวยเทพ ตระหนักถึงความเสื่อมทรามที่กำลังเกิดกับชนชาวแอตแลนติส ตั้งพระทัยจะลงโทษพวกเขา เพื่อว่าพวกเขาจะได้มีสติขึ้นมาอีก ซูสจึงเรียกทวยเทพมาชุมนุมกัน

ดังนั้น กองทัพแห่งแอตแลนติสจึงรวมกำลังกัน มุ่งหวังจะพิชิตเฮลลาส และอียิปต์ และฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทั้งหมด และแล้ว มันก็เกิดขึ้น พระอียิปต์ปลอบใจโซลอน บุรุษแห่งเอเธนส์ได้แสดงออกถึงความกล้าหาญและความเก่งกล้าต่อโลก ในตอนแรก และในฐานะผู้นำของเฮลเลนส์ และแล้วก็ยืนอยู่อย่างเดียวดาย เมื่อถูกคนอื่น ๆ ผละหนีหาย หลังจากที่ได้เผชิญกับสุดยอดแห่งภยันตรายแล้ว เขาก็สามารถเอาชนะฝ่ายรุกรานได้ และสร้างอนุสรณ์สถานเอาไว้ รักษาความเป็นอิสระแก่คนจากความเป็นทาส และปลดปล่อยคนอื่น ๆ จากความเป็นทาส

แต่แล้วก็เกิดมหันตภัยธรรมชาติ แผ่นดินไหวและน้ำท่วมใหญ่ ทั้งวันและคืนที่โหดร้าย แผ่นดินแยกและกลืนกินชีวิตนักรบของเอเธนส์ทั้งหมด ในขณะที่เกาะยิ่งใหญ่แห่งแอตแลนติสก็จมหายไปในทะเล และมาถึงทุกวันนี้ น้ำมหาสมุทรที่ตำแหน่งนั้นก็ตื้นเขิน เรือผ่านไม่ได้ กลายเป็นสันดอนดินโคลน ซึ่งเกิดจากแผ่นดินเมื่อเกาะถล่ม

ออฟไลน์ นานะจัง

  • *
  • 7234
  • -3
  • เพศ: หญิง
  • นิศาอรพินท์
    • อีเมล์
ตำนานนางเงือก
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2009, 10:33:46 AM »
ต่อด้วยตำนานนางเงือก

เครดิต:  http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=shkshk&month=10-2008&date=18&group=2&gblog=3


ตำนานนางเงือก



เงือก หรือ นางเงือก เป็นอมนุษย์ชนิดหนึ่งตามความเชื่อนิยายปรัมปราเกี่ยวกับน้ำ โดยเป็นจินตนาการเกี่ยวกับสัตว์น้ำ โดยมากจะเล่ากันว่าเงือกนั้นเป็นสัตว์ครึ่งมนุษย์ มีส่วนครึ่งท่อนบนเป็นคน ส่วนครึ่งท่อนล่างเป็นปลา ในหลายประเทศทั่วโลก มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับตำนานเงือกมากมาย

เงือกเป็นปริศนาเล้นลับหลายศรรตวรรษที่ผ่านมามีเรื่องเล่าขานกันว่าถ้าบนบกมีสัตว์ที่ครึ่งคนครึ่งม้า ในน้ำก็ต้องมีครึ่งคนครึ่งปลาข้อสรุปนี้อาจเป็นสมมุติฐานที่เลื่อนลอยแต่เราเคยพบปลารูปร่างหน้าตาเหมือนหมู แต่ไม่ได้หมายความว่าในน้ำมีหมูอยู่จริง



เงือก" ในภาษาอังกฤษเธอชื่อ Mermaid แปลว่าหญิงสาวแห่งท้องทะเล เป็นสิ่งมีชีวิตเพียงในตำนาน ร่างกายครึ่งบนเป็นหญิงสาวครึ่งล่างเป็นปลา ส่วนพวกพ้องเธอที่เป็นชาย เรียก เมอร์แมน - Merman ตำนานว่าเป็นเผ่าพันธุ์อมนุษย์สะเทินน้ำสะเทินบก อาจมีถิ่นกำเนิดบนฝั่งบริตานี และว่ายข้ามช่องแคบอังกฤษไปยังคอร์นวอลล์ เป็นที่มาของชื่อ เมอร์เมด-เมอร์แมน อันเป็นคำผสมแองโกล-ฝรั่งเศส

จากคอร์นวอลล์เงือกก็แพร่พันธุ์ไปจนถึงฝั่งตะวันตกของเกาะอังกฤษ ไปถึงรอบๆ สกอตแลนด์ตอนเหนือ สู่สแกนดิเนเวีย นอกจากนั้น ยังอาจพบเห็นเงือกในจุดต่างๆ ตลอดแนวฝั่งยุโรปด้วย อาจเป็นเพราะเงือกชอบอากาศเย็นและแนวฝั่งแอตแลนติกของอังกฤษกับไอร์แลนด์ โดยที่ไอริชแห่งไอร์แลนด์เรียกเงือกว่า เมอร์โรว์ และ เมอรูชา

บางครั้งนางเงือกก็ได้รับสมญานามว่าพรหมจารีแห่งทะเล มีลักษณะสวยงาม กระจกของนางเงือกคือสิ่งที่แทนวงพระจันทร์ และผมที่สยายยาวคือสาหร่ายทะเล หรือรังสีบนผิวน้ำ (Jobes 1961: 1093)แต่บางครั้งก็กล่าวว่ากะลาสีเรือเดินทางไปในเรือนานๆเข้า ไม่ได้เห็นผู้หญิงเลยก็เกิดภาพหลอนขึ้นมา นั่นคือนางเงือกไร้ตัวตนอย่างสิ้นเชิง แต่พวกเดินทางทางเรือเกิดจินตนาการเพราะว้าเหว่คิดถึงครอบครัว

ความเชื่อในเรื่องดังกล่าว บางคนเสนอว่า บางทีอาจเป็นเพราะผู้คนในสมัยโบราณเข้าใจผิด คิดว่า พะยูน คือเงือกก็เป็นได้


ออฟไลน์ นานะจัง

  • *
  • 7234
  • -3
  • เพศ: หญิง
  • นิศาอรพินท์
    • อีเมล์
ตำนานนางเงือก
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2009, 10:40:40 AM »
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=shkshk&month=10-2008&date=18&group=2&gblog=3

เงือกในประเทศไทย



เงือกในประเทศไทย ถูกกล่าวขานาตั้งแต่สมัยอดีต ผ่านเรื่องราวต่างๆ มากมาย แต่เป็นเงือกที่ได้รับความนิยม และกล่าวขวัญกันมากที่สุดก็คือ เงือกในวรรณคดีของ สุนทรภู่ เรื่อง พระอภัยมณี ที่นางเงือก (เงือกสาว) และเงือกตายาย ช่วยพาพระอภัยมณีหนีจาก ผีเสื้อสมุทรได้จนสำเร็จ และนางเงือกได้เป็นชายาของพระอภัยมณี จนมีโอรสด้วยกัน 1 องค์ ชื่อว่า สุดสาคร

งู กับ เงือก คือคำเดียวกัน คำนี้ใช้มาเรื่อยจนกระทั่งเวลาผ่านมานับร้อยปี ถึงยุค ลิลิตพระลอ นักวรรณคดียังถกเถียงกันไม่จบว่าแต่งในแผ่นดินกษัตริย์องค์ใดกันแน่ แต่ก็ลงความเห็นตรงกันว่าเป็นยุคก่อนสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

ในเรื่องนี้ เงือกกลายเป็นอะไรอีกอย่างหนึ่งที่ไม่ใช่งูอีกต่อไป อ่านแล้วคิดว่าเป็นผีน้ำประเภทหนึ่ง คล้ายๆคนเช่นมีผมยาว มีดวงตาโตกลอกไปมาได้ดูน่ากลัว เมื่อใครลงเล่นน้ำเงือกก็เอาผมพันรัดคอแล้วฉุดลงไปใต้น้ำจนจมน้ำตาย เพื่อเอาไปกินหรือแค่ทำให้ตายอย่างเดียว เรื่องนี้ไม่ได้แจกแจง มีอยู่ในตอนนางรื่นนางโรยไปหาปู่เจ้าสมิงพรายที่ภูเขาซึ่งปู่เจ้าสถิตย์อยู่ ผ่านป่าเชิงเขาเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย นางก็ขวัญหนีดีฝ่อตามประสาชาววังไม่เคยเห็นป่า

เอ็นดูสองนางตกใจกลัว ระรัวหัวอกสั่น ลั่นทะทึกทะทาว สราวตามหมอผะผ้ำ เห็นแนวน้ำบางบึง ชรทึงธารห้วยหนอง จระเข้มองแฝงฝั่ง สระพรั่งหัวขึ้นขวักไขว่ ช้างน้ำไล่แทงเงา เงือกเอาคนใต้น้ำ กระล่ำตากระเลือก กระเกลือกกลอกตากลม ผมกระหวัดจำตาย

สาวครึ่งคนครึ่งปลามีอีกคำหนึ่ง คือ "นางมัจฉา" แต่ก็ไม่ติดปากคนเท่ากับคำว่าเงือก อย่างนางสุพรรณมัจฉาใน รามเกียรติ์ เป็นลูกสาวทศกัณฐ์ตอนแปลงกายเป็นปลา ไปสมสู่กับนางปลา เกิดลูกออกมาเป็นหญิงสาวครึ่งคนครึ่งปลา ชื่อนางสุพรรณมัจฉา ในที่สุดก็ได้กับหนุมาน แล้วมีลูกด้วยกันคนหนึ่งคือมัจฉานุ ตัวเป็นลิงแต่หางเป็นปลา หลังจากคลอดลูกแล้วบทบาทของนางก็หายไปนิทานพื้นบ้านโรมันบอกว่าเศษไม้จากซากเรือรบที่ถูกเผาวอดในสงครามกรุงทรอย กลายสภาพเป็นเลือดเนื้อและเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตคือเงือก

ด้านชาวไอริชบอกว่าเงือกคือผู้หญิงนอกศาสนาที่ถูกเนรเทศออกไปจากแผ่นดิน ขณะที่อีกบางท้องถิ่นว่าเงือกคือลูกๆ ของฟาโรห์ที่จมน้ำในทะเลแดง

เทพปกรณัมของกรีก
เทพปกรณัมของกรีกเล่าว่า ต้นตระกูลเงือกคือ ไตรตอน โอรส โพเซดอน เทพแห่งท้องทะเล กับพรายน้ำสาว ไตรตอนมีหางเป็นปลา ไว้หนวดเครายาว ทรงอำนาจในท้องทะเลเหมือนพ่อ อาศัยอยู่ในปราสาททองคำที่ซ่อนตัวอยู่ก้นทะเล มีตรีศูล (ฉมวกสามง่าม) เป็นอาวุธ และมีแตรหอยสังข์เป่าควบคุมทะเลให้สงบหรือบ้าคลั่ง ไตรตอนจึงมีสมญาหนึ่งว่า นักเป่าแตรแห่งท้องทะเล

อีกเรื่องกล่าวว่าเงือกมาจาก โอนเนส เทพแห่งทะเลของบาบิโลน มีพลังอำนาจต่อดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ร่างกายเป็นมนุษย์ ศีรษะเป็นปลา ปรากฏกายขึ้นจากทะเลในยามเช้าและกลับลงทะเลตอนพลบค่ำ ต่อมา เทพอียา ครึ่งคนครึ่งปลาเหมือนกัน ได้เข้ามามีบทบาทแทนที่โอนเนส ที่สุดก็เชื่อกันว่าอียาเป็นบรรพบุรุษเงือก เช่นเดียวกับอาทาร์การ์ติส ที่มีลักษณะครึ่งคนครึ่งปลาเช่นกัน เหตุที่เทพเจ้าบาบิโลนมีลักษณะดังกล่าว เพราะเชื่อว่าเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจในแต่ละวันดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จะกลับลงทะเล เทพของอาทิตย์และจันทร์จึงควรมีรูปลักษณะที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ทั้งในน้ำและบนบก

นิยายปรัมปราอีกเรื่องพูดถึงเงือกแนวดุดัน ว่าเป็นลูกหลานของมนุษย์คนหนึ่งที่ถูกเทพแห่งท้องทะเลสาปเอาไว้เนื่องจากได้ล่วงเกินท่าน จากนั้นมาเขาได้กลายเป็นครึ่งคนครึ่งปลา ต้องดื่มเลือดหรือกินเนื้อสดๆ ทุกวัน มีผิวสีเทา ซีด คล้ำ คล้ายกับศพที่ไร้เลือด มีฟันอันคมกริบหากแต่จำแลงไว้ ครึ่งท่อนล่างเป็นปลาเกล็ดสีน้ำตาลคล้ำ ส่วนเกล็ดส่วนหางสามารถเปลี่ยนสีตามอารมณ์ได้

เงือกในอัสซีเรีย

 

ตำนานเงือกทางอัสซีเรียก็มี เล่าว่าเทพธิดาเซมิรามิสรักกับหนุ่มเลี้ยงแกะ และได้ทำให้เขาตาย ด้วยความละอายเธอได้กระโดดลงทะเลสาบไป แต่เพราะเทวภาพทำให้ไม่จมน้ำ เธอจึงแปลงร่างให้ครึ่งล่างเป็นปลาจนเป็นเงือก สำหรับเงือกที่เป็นนิทาน เล่าเรื่องอย่างเป็นระบบในหนังสือ เงือกน้อย และเรื่องอื่นๆ ของ ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เสน เป็นที่ชื่นชอบทั่วโลกถึงวันนี้กว่า 200 ปีแล้ว

เงือกในญี่ปุ่น


 

ณ ญี่ปุ่นประเทศดินแดนที่ประกอบไปด้วยเกาะน้อยใหญ่มากมาย เรียงรายนับร้อยเกาะ ทอดตัวยาวลงมา โดยฟากหนึ่งนั้นเบี่ยงไปทางเกาหลี จีน และรัสเซีย และอีกฟากทอดตัวไปทางมหาสมุทรแปซิฟิกนับได้หลายร้อยกิโลเมตร เรื่องราวมากมายเกี่ยวกับเงือกได้เกิดขึ้นมากมายในสังคมวัฒนธรรมญี่ปุ่นนับแต่สมัยเฮอันเคียวลงมาจนกระทั่งในยุคเฮเซหรือสมัยปัจจุบันนั้นยังคงมีเรื่องเช่นนี้ให้เล่าสู่กันฟังได้อย่างน่าประหลาด ในหมู่ชาวประมง จนไปถึงผู้อาศัยอยู่ริมทะเล

ที่ฟูกูโอกะ FUKUOKA นั้นมีวัดริวกุ หรือวัดนางเงือกอันมีชื่อเสียงโด่งดัง ว่ากันว่าทุกๆปีจะมีการเปิดให้คนเข้าชมหีบที่บรรจุกระดูกเงือก โดยผู้เฒ่าผู้แก่แถบนั้นต่างพูดถึงเงือกในลักษณะที่ว่า เงือกนั้นมักอาศัยอยู่แถบช่องแคบเกาหลี และเรื่อยมาจนถึงด้านเหนือสุดของเกาะคิวชู ที่วัดริวกุ RYUKU เราจะพบจารึกโบราณที่เขียนว่า “ เมื่อศักราชที่ 1222 จับเงือกได้หนึ่งตัว ชะรอยมันตายจึงได้ฝังไว้ในเขตคามแห่งวัดอูกินิโดะ นับว่าเป็นศุภสัญญาณมงคลว่าจักรวรรดิเราจะดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ เชื่อกันว่าเงือกตัวนี้มาจากริวกุ วังของเทพเจ้าแห่งท้องทะเล ดังนั้นแล้วไซร้วัดแห่งนี้จึงได้มงคลนามใหม่ไป่ว่า วัดริวกุ ฯ ”

จากจารึกดังกล่าว เราจะเห็นว่า ความเชื่อเรื่องนิรันดร์มีส่วนเกี่ยวข้องกับเงือกโดยตรง เนื่องจากชาวอาทิตย์อุทัยเชื่อแต่เดิมว่าหากผู้ไดได้กินเนื้อนางเงือกจะมีชีวิตที่อมตะ ดั่งเรื่องเล่าเก่าของนครเฮอันเคียว HEANKYO หรือเกียวโต KYOTO ในปัจจุบันว่าเมื่อก่อนนครเฮอันเคียวจะสร้างได้นั้น ในสมัยพระจักรพรรดิมิคาโดะ MIKADO ทรงมีพระบัญชาให้พระชายาของพระอนุชาซาวาระเสวยเนื้อนางเงือกเพื่อให้เป็นอมตะ เพื่อปกป้องนครเฮอันเคียวแห่งใหม่จากผีร้ายทั้งหลาย ฯ

และอีกเรื่องราว ก็เล่าเกี่ยวกับแม่ชี เบคุนิว่า เมื่อเธอยังเป็นหญิงสาวเธอได้ช่วยชีวิตนางเงือกเอาไว้ นางเงือกซาบซึ้งในเมตตาจึงได้มอบเนื้อเงือกให้และบอกว่าเป็นของวิเศษ หากแม้นใครได้กินจะไม่แก่เฒ่า เมื่อเธอกินเข้าไปก็เป็นไปตามนั่นหากแต่นางได้เป็นอมตะไปด้วย แต่ ของจากอมนุษย์ย่อมเหมือนดาบสองคม เพราะคนรอบข้างนางทุกๆคนต่างตายไปตามอายุขัย เหลือแต่นางเพียงคนเดียว นางจึงทนไม่ได้จึงไปบวชเป็นชีมีชื่อว่า เบคุนิ

หลักฐานการพบเงือกในที่ต่างๆ
หลักฐานที่พบจากหนังสือพิมพ์เซ้าอาฟริกัน ฟรีเทอร์เรียนิวส์ ฉบับวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 1977 รายงานว่ามีคนพบเงือกตนหนึ่งขึ้นมาเหนือน้ำขณะที่ทะเลคลั่งและท้องฟ้ามีแต่ดาวมีร่างท่อนบนเป็นหญิงสาวแสนสวยลอยเหนือผิวน้ำสักพักก็จมหายไปแต่เห็นมีส่วนที่คล้ายหางของปลาชูขึ้นแล้วจมหายลงไปในทะเล

เรื่องหนึ่งที่น่าประหลาดเกิดขึ้นในปี ค.ศ.1608 มีคนพบคนครึ่งปลากลุ่มใหญ่ออกมาปิดปากถ้ำที่เซ็นไอเว่ส์แถบชายฝั่งเบ็นโอเวอร์เนื่องจากเรือหลายลำได้รับคำสั่งให้ไปจับคนนอกศาสนามาทำโทษและจัดการฆ่าทิ้งศพลงทะเล เหตุการณ์นี้ยังเป็นที่งุนงงมาถึงปัจจุบันว่าจริงหรือไม่

หลักฐานอีกอย่างที่สนับสนุนเรื่องเงือกมีจริงเมื่อปี1685ได้มีชาวประมงพบซากสัตว์ที่ดูคล้ายคนครึ่งปลานอนตายเกยชายฝั่งของฟิลิปปินไปทางตะวันตก และ ปี 1741ได้มีคนพบซากของปลามีหัวเป็นคนที่ฝั่งทางตอนใต้ของออสเตเรีย แต่ที่สำคัญเมื่อ ปี 1985 ได้มีคนค้นพบปลาชนิดหนึ่งมีหัวคล้ายๆหน้าของมนุษย์ตัวเป็นปลาต่อมาได้ให้ชื่อปลาชนิดนี้ว่า HUMANFISH



ข้อมูลจาก
th.wikipedia.org/wiki/เงือก
http://www.vcharkarn.com/varticle/256
http://www.dek-d.com/board/view.php?id=646918
http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/เงือก
horoscope.thaiza.com/ตำนานนางเงือก_1212_107189_1212_.html

ภาพประกอบจากการค้นหาในเว็บ Google


ออฟไลน์ กาฬฯ

  • *
  • 6333
  • -4
  • เพศ: หญิง
  • ஐ~ เผ่าพันธุ์นาคีซ่อนพิษไว้เสมอ ~ஐ
ยังอ่านไม่หมด  แต่กาฬขอคอมเมนต์กระทู้หัวข้อก่อนเลย

ทฤษฏีของแอตแลนติสเป็นทฤษฏีที่กาฬเชื่อถือมากที่สุด  กาฬเชื่อว่าโลกของเรามีอารยธรรมเกิดขึ้นมากมายและล่มสลายไปตามกาลเวลา  แอตแลนติสเป็นอารยธรรมหนึ่งที่เจริญถึงขีดสุดและก็ล่มจมอยู่ใต้มหาสมุทรเพราะการเปลี่ยนแปลงของโลก  ซึ่งต่อไปในอนาคต  ดินแดนที่เรากำลังเหยียบอยู่ในปัจจุบันก็จะเป็นเช่นนั้น   จนกระทั่งโลกได้รับการฟื้นฟูและเริ่มต้นอีกครั้ง   มนุษย์โลกกลับไปสู่จุดเริ่มต้นมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง

อ้างถึง
เคย์ซีกล่าวว่า วัฏจักรแห่งประวัติศาสตร์
มักจะหมุนเวียนกลับมาอีกเสมอ
ดังนั้นวิญญาณของชาวแอตแลนติสย่อม
มีโอกาสกลับมาเกิดใหม่ได้อีก
จากดินแดนหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง
และจากทวีปหนึ่งไปยังอีกทวีปหนึ่ง
หรือจากเกาะหนึ่งไปยังเกาะอื่น ๆ


มนุษยชาติในยุคแอตแลนติสก็คงไม่ได้ต่างจากมนุษย์ยุคปัจจุบ้นนักใช่มั้ยคะ
ความหมายนี้  กาฬชอบรูปประโยคมากเลย 

"วิญญาณของชาวแอตแลนติสย่อมมีโอกาสกลับมาเกิดใหม่ได้อีกจากดินแดนหนี่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง"

เป็นไปได้ว่า  ต่อไป  อาจจะเกิดอารยธรรมเหมือนแอตแลนดิสขึ้นที่ใดที่หนึ่งของโลกอีกครั้ง  ตราบใดที่โลกยังคงหมุนเวียนอยู่เช่นเดิม



แต่แล้วก็เกิดมหันตภัยธรรมชาติ แผ่นดินไหวและน้ำท่วมใหญ่ ทั้งวันและคืนที่โหดร้าย แผ่นดินแยกและกลืนกินชีวิตนักรบของเอเธนส์ทั้งหมด ในขณะที่เกาะยิ่งใหญ่แห่งแอตแลนติสก็จมหายไปในทะเล และมาถึงทุกวันนี้ น้ำมหาสมุทรที่ตำแหน่งนั้นก็ตื้นเขิน เรือผ่านไม่ได้ กลายเป็นสันดอนดินโคลน ซึ่งเกิดจากแผ่นดินเมื่อเกาะถล่ม

ส่วนประโยคนี้  เป็นเหมือนคำทำนายที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า  ซึ่งหลายฝ่ายกล่าวกันว่า เวลาแห่งหายนะเคลื่อนใกล้เข้ามาทุกทีและในที่สุดก็ไม่อาจหลีกพ้นได้
หลังจากนั้น  ทุกสิ่งทุกอย่างจะเริ่มต้นใหม่  มนุษย์จะต้องกลับไปอาศัยอยู่ในถ้ำและเริ่มคิดค้นประดิษฐ์วิทยาการต่างๆ ขึ้นมาใหม่


--------------------

ความเชื่อในเรื่องของเงือก  ก็ไม่ต่างจากความเชื่อของนาคในดินแดนแถบสุวรรณภูมิ  ซึ่งยังหาข้อพิสูจน์ในเรื่องราวเกี่ยวกับอมนุษย์ชนิดนี้ไม่ได้

เงือกอาจจะเป็นเพียงปลาพะยูนที่ชาวประมงเห็นแล้วเกิดความเข้าใจ  หรืออย่างที่ว่าเงือกคือหญิงสาวที่ถูกเนรเทศออกไป  จึงเรียกว่าเงือก  หรือจะเป็นเงือกครึ่งคนครึ่งปลาจริงๆ 

เช่นเดียวกับตำนาคนาค  นาคอาจจะเป็นบุคคลบรรพบุรุษผู้เป็นเจ้าของดินแดนสุวรรณภูมิมาแต่แรก  ก่อนจะถูกชาวอารยันรุกรานเข้ามา  และเรียกชนชาติเดิมว่านาค  ดังเช่นหญิงสาวที่ได้รับเลือกเป็นมเหสีในสมัยอาณาจักรขอม  คือหญิงที่มาจากตระกูลพื้นเมืองซึ่งเรียกว่า นาค   เป็นกลวิธีอย่างหนึ่งที่ชนชาติดั้งเดิมของแผ่นดินถ่วงดุนอำนาจกษัตริย์ที่เข้ามาตั้งรกรากและมีเชื้อสายมาจากดินแดนอื่น 
แต่ตำนานชนพื้นเมืองที่ถูกเรียกว่านาค  ก็ไปสอดคล้องกับตำนาน  นาคที่เป็นงูใหญ่มีอิทธิฤทธิ์สามารถแปลงเป็นคนได้   ขึ้นมาสมสู่กับมนุษย์จนเกิดเป็นเชื้อสาย  ว่าชนชาติดั้งเดิมของดินแดนแถบสุวรรณภูมิสืบเชื้อสายมาจากนาค ที่เป็นอมนุษย์   

กษัตริย์และผู้มีบุญญาธิการหลายพระองค์  มีตำนานว่าเป็นเชื้อสายนาคราช  ดังเช่น พระร่วงเจ้า (จำได้ป่ะ พี่นานะ  ที่อ่านในบาดาลน่ะ)


-----

เงือกที่หลายคนรู้จักกันดี คือเรื่องเจ้าหญิงเงือกน้อย  ที่ไม่ว่าจะจบด้วยน้ำตาหรือแฮปปี้เอนดิ้ง แต่เนื้อหาก็ไม่ได้แตกต่างกัน
คือเป็นเงือกสาวแสนสวยในมหาสมุทรแอตแลนติค  ดินแดนใต้ท้องทะเลซึ่งเป็นที่อาศัย  คือ  แอตแลนติกา   ซึ่งอยู่ในบริเวณแอตแลนติสที่ล่มจม  เป็นธิดาของ  ไตรตัน หรือ ไตรตอน ตามข้อมูลที่พี่นานะหามา   
มีผมยาวสยาย  เสียงร้องไพเราะ  หลงรักเจ้าชายมนุษย์จนยอมแลกเสียงกับขาที่จะก้าวเดินบนพื้นดิน  โดยมีข้อแม้ว่าหากเจ้าชายแต่งงานกับหญิงอื่น ร่างของนางก็จะกลายเป็นฟองน้ำ   
นี่คือเรื่องราวที่ ฮัน คริสเตียน แอนเดอสันแต่งขึ้น   แต่ในฉบับดิสนีย์ปรับเปลี่ยนให้จบอย่างสมหวัง  ไม่ได้กลายเป็นฟองน้ำ   แต่ได้เป็นมนุษย์เต็มตัวแต่งงานกับเจ้าชาย   จนกระทั่งมีภาค 2 (ซึ่งกาฬชอบดู  ตอนนี้แผ่นไปอยู่ไหนแล้วก็ไม่รู้ :D)

เรื่อง เจ้าหญิงเงือกน้อย ที่ฮัน คริสเตียน แอนเดอสันแต่งขึ้น  ถ่ายทอดมาจากหญิงสาวคนหนึ่งในชีวิตของ ฮัน  (อันนี้คือเรื่องราวที่กาฬได้ดูจากหนัง  เทพนิยายแอนเดอสันนะคะ)
หญิงสาวคนหนึ่งนามว่า  เยสเท  มองเห็นความดีที่คนอื่นไม่สนใจในตัวฮัน  เธอคอยเคียงข้างและพยายามช่วยเหลือเขาจนกลายเป็นนักเล่านิทานผู้โด่งดัง  น้ำเสียงของเธอไพเราะ แต่ว่าเธอขาพิการ   ฮันไปหลงรักนักร้องสาวคนหนึ่งพยายามติดตามเฝ้าขอความรัก แต่หญิงสาวคนนั้นก็ไม่เคยสนใจ  และตัวฮันเองก็ลืมที่จะมองหญิงสาวอีกคนที่คอยเคียงข้างเขา
กระทั่งเยสเทท้อแท้ที่จะได้รับความรักตอบจากฮัน  เธอจึงออกเดินทางท่องเที่ยวไปในทะเล  เกิดอุบัติเหตุไฟไหม้เรือ  ข่าวการเสียชีวิตของเยสเทถูกส่งมาถึงฮันและครอบครัวของเธอ  นั่นคือจุดจบที่ฮันเพิ่งรู้ตัวว่าได้สูญเสียหญิงสาวที่รักเขาไปตลอดกาล   
ตัวละครเยสเท  เปรียบเหมือนเจ้าหญิงเงือกน้อย  ที่ช่วยเจ้าชายจากพายุกลางทะเล แต่เจ้าชายกลับไม่เคยมองเห็น 

----


อ้างถึง
ที่ฟูกูโอกะ FUKUOKA นั้นมีวัดริวกุ หรือวัดนางเงือกอันมีชื่อเสียงโด่งดัง ว่ากันว่าทุกๆปีจะมีการเปิดให้คนเข้าชมหีบที่บรรจุกระดูกเงือก โดยผู้เฒ่าผู้แก่แถบนั้นต่างพูดถึงเงือกในลักษณะที่ว่า เงือกนั้นมักอาศัยอยู่แถบช่องแคบเกาหลี


โอ้ว  พี่กันย์  ช่องแคบเกาหลี   :icon_idea:
กาฬเคยอ่านฟิคดงบังเรื่องนึง  ที่เป็นเงือกด้วยแหละ  อ่านแล้วแบบ อยากลงไปว่ายในทะเลเลย   แบบยูชอนเป็นมนุษย์และตกลงไปในทะเล จุนซูเป็นเงือกมาช่วยไว้และพาไปรักษาตัวใต้ท้องทะเล  ยุนเป็นราชาเงือก และแน่นอนราชินีจะเป็นใครไปไม่ได้... :o  พอรู้ว่ามีมนุษย์ลงมาอยู่ข้างล่างก็ไปขอร้องให้ยูชอนกลับขึ้นไป  เพราะเงือกและมนุษย์ไม่ควรจะเกี่ยวข้องกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 13, 2009, 08:30:15 PM โดย กาฬรหัสย์ »
**จักรวาลนี้กว้างไกลแลไพศาลนัก เราเป็นเพียงละอองธุลีอันน้อยนิดล่องลอย ยากที่จะเรียนรู้ทุกสรรพสิ่งให้จบครบสิ้น
สิ่งที่เรามิเคยเห็น ใช่ว่าจะมิมี แลสิ่งที่มิเคยได้ประสบ ก็ใช่ว่าจะมิเคยเกิดขึ้น**

ออฟไลน์ ปากกาเวทมนตร์

  • รักการอ่าน รักเสียงเพลง
  • **
  • 1161
  • 0
  • เพศ: หญิง
    • เฟซบุ๊คของเราเอง
    • อีเมล์
นาคเป็นอมนุษย์เหรอคะ

ออฟไลน์ กาฬฯ

  • *
  • 6333
  • -4
  • เพศ: หญิง
  • ஐ~ เผ่าพันธุ์นาคีซ่อนพิษไว้เสมอ ~ஐ
นาคเป็นอมนุษย์เหรอคะ


อมนุษย์  คือ คำชั้นต้นในการเรียกสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้เป็นมนุษย์เสียทีเดียว  แต่มีส่วนคล้ายคลึงกับมนุษย์อยู่มาก  อาจจะมีแบ่งย่อยออกไปเป็น 2 ฝ่ายคือ อมนุษย์ในด้านดี และอมนุษย์ในด้านไม่ดี
คำว่าอมนุษย์ใช้เรียกสัตว์หรือเทพหลายประเภทมากมาย  อย่างสัตว์หิมพานต์ก็เรียกอมนุษย์ หรือ ปิศาจก็เรียกอมนุษย์

นาคในตำนานและประวัติศาสตร์จารึก  มีทั้งที่เป็น กึ่งสัตว์กึ่งเทพ และชนเผ่าพื้นเมืองที่ถูกเรียกว่านาค
นาคยังแบ่งได้อีกเป็นหลายประเภท  เดี๋ยวจะมาลงข้อมูลให้นะคะ


จริงๆ มีเรื่องเกี่ยวกับ อาณาจักรเลมูเรีย  ทวีปอีกทวีปหนึ่งในช่วงยุคสมัยเดียวกับแอตแลนติส  ว่าจะเอามาลงยังไม่ได้ลงซักที
**จักรวาลนี้กว้างไกลแลไพศาลนัก เราเป็นเพียงละอองธุลีอันน้อยนิดล่องลอย ยากที่จะเรียนรู้ทุกสรรพสิ่งให้จบครบสิ้น
สิ่งที่เรามิเคยเห็น ใช่ว่าจะมิมี แลสิ่งที่มิเคยได้ประสบ ก็ใช่ว่าจะมิเคยเกิดขึ้น**

ออฟไลน์ ปากกาเวทมนตร์

  • รักการอ่าน รักเสียงเพลง
  • **
  • 1161
  • 0
  • เพศ: หญิง
    • เฟซบุ๊คของเราเอง
    • อีเมล์
นาคเป็นอมนุษย์เหรอคะ


อมนุษย์  คือ คำชั้นต้นในการเรียกสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้เป็นมนุษย์เสียทีเดียว  แต่มีส่วนคล้ายคลึงกับมนุษย์อยู่มาก  อาจจะมีแบ่งย่อยออกไปเป็น 2 ฝ่ายคือ อมนุษย์ในด้านดี และอมนุษย์ในด้านไม่ดี
คำว่าอมนุษย์ใช้เรียกสัตว์หรือเทพหลายประเภทมากมาย  อย่างสัตว์หิมพานต์ก็เรียกอมนุษย์ หรือ ปิศาจก็เรียกอมนุษย์

นาคในตำนานและประวัติศาสตร์จารึก  มีทั้งที่เป็น กึ่งสัตว์กึ่งเทพ และชนเผ่าพื้นเมืองที่ถูกเรียกว่านาค
นาคยังแบ่งได้อีกเป็นหลายประเภท  เดี๋ยวจะมาลงข้อมูลให้นะคะ


จริงๆ มีเรื่องเกี่ยวกับ อาณาจักรเลมูเรีย  ทวีปอีกทวีปหนึ่งในช่วงยุคสมัยเดียวกับแอตแลนติส  ว่าจะเอามาลงยังไม่ได้ลงซักที


อ๋อ เข้าใจแล้วค่ะ ตอนแรกนึกว่าอมนุษย์หมายถึงพวกปีศาจ